บทที่ 10
ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายหมิงถานก็สามารถถอนหมั้นได้ในที่สุด
เพียงแต่ยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งวันเรื่องเหม็นคาวของจวนลิ่งกั๋วกงก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง หากมีคนไม่ว่าจะนอกจวนหรือในจวนเอ่ยถึงคุณหนูสี่สกุลหมิงอย่างนางยามนี้ บ้างก็มีคนสงสารเวทนา บ้างก็มีคนแอบแฝงความสมน้ำหน้าสะใจไว้ในความสงสารเห็นใจอย่างยากจะปิดบัง
หมิงถานกลับหาได้ยินคำติฉินนินทาเหล่านั้นไม่ เพราะนางไม่ได้ออกจากเรือนเลยแม้แต่ก้าวเดียว ตั้งแต่ที่เผยซื่อกลับออกไป นางก็นั่งลงข้างโต๊ะพลางสั่งการให้พวกสาวใช้จัดเก็บสัมภาระ
อย่างไรนางก็ไม่อยากหั่นผมประชดคนสารเลวอย่างเหลียงจื่อเซวียน ยิ่งไม่อยากแขวนคอฆ่าตัวตายทิ้งชีวิตไปเปล่าๆ ดังนั้นนางจึงจำต้องปรึกษากับเผยซื่อว่าจะหาอารามสักแห่งเพื่อไปสวดมนต์ขอพร นอกจากนั้นการไปพำนักอยู่ข้างนอกหลบเลี่ยงความวุ่นวายชั่วคราวก็จะยิ่งแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ไร้มลทินของนาง
“ไอหนาวเหน็บของฤดูใบไม้ผลิยังไม่ผ่านพ้น ชุดคลุมขนจิ้งจอกสีขาวปักลายเต็มผืนตัวนั้นยังต้องเอาไปด้วย ยามราตรีอากาศเย็นจะได้นำมาคลุมใส่”
“ตัวนี้ไม่เอา เป็นเนื้อผ้าที่นิยมไปเมื่อปีก่อนแล้ว…”
“นี่ก็ชุดใหม่เหมือนกันหรือ ไฉนลวดลายถึงดูคุ้นตาเหลือเกินเล่า ช่างเถิด ไม่ค่อยเข้ากับรองเท้าผ้าปักที่จะเอาไปด้วยสักเท่าไร เอาวางไว้ที่นี่ก็แล้วกัน”
ลวี่เอ้อจัดเก็บสัมภาระอย่างขยันขันแข็งยิ่ง ทว่าซู่ซินกลับอดเอ่ยเตือนมิได้ “คุณหนู พวกเราจะไปขอพรที่อารามนะเจ้าคะ แต่งตัวเช่นนี้จะไม่เกินไปหน่อยหรือ”
“เกินไปหรือ ข้าอุตส่าห์เลือกเสื้อผ้าที่สีเรียบๆ แล้วนะ” หมิงถานมองดูหีบที่จัดเตรียมเอาไว้แวบหนึ่ง เอ่ยด้วยความไม่แน่ใจว่า “ในเมื่อมากเกินไป เช่นนั้นก็ลดลงสักหน่อยแล้วกัน”
ตกดึก ณ ห้องหนังสือฝั่งทิศใต้ของจวนติ้งเป่ยอ๋อง องครักษ์ลับกำลังรายงานข่าวสารด้วยเสียงต่ำเบา
“…หลายตระกูลที่มีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องของจวนเฉิงเอินโหวแต่ไม่ได้ลึกซึ้งมากต่างก็กำลังหาหนทางดึงตนเองออกมา วิธีที่ใช้เหมือนกับที่ท่านอ๋องคาดการณ์ไว้ขอรับ นอกจากนั้น วันนี้จวนลิ่งกั๋วกงเกิดเรื่องขึ้น ไทเฮาเองก็ทรงเรียกคนเข้าวังก่อนที่ประตูวังจะลงกลอนเหมือนอย่างที่ท่านอ๋องคาดการณ์ไว้เช่นกัน ส่วนทางจวนจิ้งอันโหวนั้นได้ตระเตรียมรถม้าไว้ห้าคัน เตรียมจะส่งคุณหนูสี่ผู้นั้นออกจากจวนไปไหว้พระขอพรเพื่อหลบหลีกเรื่องวุ่นวายชั่วคราวขอรับ”
พอได้ยินถึงตรงนี้เจียงซวี่ที่ไม่ได้เงยหน้ามองมาโดยตลอดกลับวางตำราพิชัยสงครามในมือลงทันใด “ห้าคัน? บรรทุกสิ่งใดเอาไว้กัน”
องครักษ์ลับชะงักนิ่งไปเล็กน้อย แล้วถึงเพิ่งรู้ตัวว่าการที่ตนเองรายงานรายละเอียดยิบย่อยเช่นนี้ดูเหมือนจะทำให้ท่านอ๋องเข้าใจผิดเข้า เขาจึงก้มหน้าลงเอ่ยด้วยความกระดากใจ “ไม่มีอันใดขอรับ มีแต่เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ของคุณหนูสี่ผู้นั้นทั้งสิ้น”
ทีแรกเขาเองก็คิดว่าจวนจิ้งอันโหวคิดจะฉวยโอกาสนี้ขนส่งของอันใดบางอย่างเหมือนกัน จึงอุตส่าห์ลักลอบเข้าไปตรวจสอบที่คอกม้ารอบหนึ่ง สุดท้ายกลับมีแต่เสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า ปิ่นปักผม เครื่องประดับของสตรี รวมไปถึงม่านมุ้ง เตากำยาน เครื่องชงชาครบชุด เป็นต้น
เจียงซวี่ “…”
คิดว่าตนเองไปเข้าร่วมการคัดเลือกสนมชายาหรืออย่างไร
ช่างไม่รู้อันใดบ้างเสียเลย
อารามที่คุณหนูสี่สกุลหมิงผู้ไม่รู้อันใดบ้างเสียเลยจะไปในคราวนี้คืออารามหลิงเหมี่ยว ซึ่งตั้งอยู่บนเขาอวิ๋นซิ่ว อยู่ห่างออกไปสามลี้จากทางเหนือของเมืองหลวง
อารามหลิงเหมี่ยวแห่งนี้มิได้มีคนมาสักการบูชาล้นหลามเหมือนอย่างอารามหลวงต้าเซี่ยงกั๋วและก็ไม่ได้มีชื่อเสียงว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านการขอคู่ครองขอบุตรสืบสกุล ทว่าทัศนียภาพกลับงามตา บรรยากาศสงบร่มเย็นเป็นพิเศษ มีชื่อเสียงในหมู่ชาวบ้านว่ามี ‘อาหารเจรสเลิศสดใหม่’
หมิงถานถูกใจอารามแห่งนี้ตรงที่อยู่ห่างไกลและสงบเงียบ นางหนีมาขอพรหลบเรื่องวุ่นวายที่นี่จะได้ไม่ต้องเจอสตรีสูงศักดิ์จากเมืองหลวงที่แวะมาจุดธูปไหว้พระบ่อยๆ
ตอนนี้เรื่องสกปรกของจวนลิ่งกั๋วกงแพร่กระจายไปทั่วแล้ว ไม่มีเหตุผลอันใดที่หมิงฉู่กับเสิ่นฮว่าจะไม่รู้ ซ้ำหลิ่วอี๋เหนียงยังเป็นคนข้างหมอนของบิดานาง ไม่แน่หมิงฉู่อาจจะรู้แม้กระทั่งเรื่องที่นางถูกวางแผนให้ตกน้ำด้วยก็เป็นได้
เดิมทีเผยซื่อตั้งใจว่าจะเตรียมส่งนางเดินทางในเช้าวันถัดไป แต่หมิงถานคิดว่าตอนที่ทุกคนส่งนางออกจากจวน หมิงฉู่คงไม่ยอมปล่อยโอกาสดีๆ ที่จะได้เสียดสีฉีกหน้านางไปง่ายๆ แน่นอน
ดังนั้นนางจึงไม่คิดจะให้หมิงฉู่ได้มีโอกาสทำเช่นนั้น…พอตกดึกนางก็แจ้งเผยซื่อว่านางจะพาซู่ซินกับลวี่เอ้อออกเดินทางก่อนกำหนดตั้งแต่ยามห้าโดยที่ฟ้ายังไม่ทันสาง
เมื่อมาถึงอารามหลิงเหมี่ยว ภิกษุในวัดก็เพิ่งจะเสร็จจากทำวัตรเช้า อย่างไรที่นี่ก็เป็นดินแดนพิสุทธิ์แห่งพุทธะ กลองฆ้องตีบอกเวลาเช้าเย็น เสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังลอยแว่วมา เมื่ออยู่บนภูเขาแห่งนี้ก็พาให้ในใจรู้สึกสงบนิ่งลงไม่น้อยอย่างมิอาจห้าม
เนื่องจากเผยซื่อได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า จึงมีภิกษุผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกยืนรอพวกหมิงถานอยู่นอกประตูอารามก่อนแล้ว
เมื่อเห็นหมิงถาน ภิกษุรูปนั้นก็พนมมือทั้งสองข้างพลางเอ่ย “อมิตาภพุทธ สีกาโปรดตามอาตมามา”
“รบกวนพระอาจารย์ด้วยเจ้าค่ะ” หมิงถานทำความเคารพกลับอย่างมีมารยาท
ภายในอารามเงียบสงบร่มรื่น ตลอดทางที่เดินตามหลังภิกษุผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกมานางก็เห็นว่าระหว่างทางมีต้นไม้โบราณขึ้นทับซ้อนกันมากมาย ปลาจิ่นหลี* ในบ่ออภัยทานแหวกว่ายไปมา มีความสงบเรียบง่ายแตกต่างไปอีกแบบ
เมื่อมาถึงห้องพำนักของแขกสตรี แม้จะไม่ได้ประณีตหรูหราเหมือนอย่างเรือนจ้าวสุ่ย แต่ก็ถือว่ากว้างขวางสะอาดสะอ้าน หมิงถานยังพอยอมรับได้ ทว่านางยังไม่ทันได้สำรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็มีเณรน้อยรูปหนึ่งนำชุดผ้าเนื้อหยาบสีครามมามอบให้
หมิงถานชะงักนิ่งไป ก่อนจะเอ่ยถามอย่างแฝงความสงสัยนิดๆ “พระอาจารย์ นี่คือ…”
ภิกษุผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกเอ่ยตอบอย่างนุ่มนวล “แขกที่มาพำนักระยะสั้นที่อารามจะต้องใส่ชุดนี้กันทุกคน สีกาไม่ต้องเป็นห่วง ชุดสะอาดใหม่เอี่ยมทุกตัว”
หมิงถาน “…”
นี่ใช่ปัญหาว่าสะอาดไม่สะอาด ใหม่ไม่ใหม่ที่ใดกัน
ก่อนหน้านี้ซู่ซินกล่าวเตือนนาง นางก็ยอมสละทิ้งหลายสิ่งไปอย่างยากลำบาก ลดเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ไปไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครบอกนางเลยว่ามาพำนักระยะสั้นที่อารามแห่งนี้จะมีเสื้อผ้าแจกด้วย นางไม่ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัวปานประหนึ่งถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ จริงๆ!
ระหว่างที่นางตะลึงอึ้งงันไป ภิกษุผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกก็อธิบายกฎระเบียบข้อห้ามที่แขกซึ่งมาพำนักระยะสั้นจำเป็นต้องปฏิบัติตามให้ฟังมากมาย สุดท้ายก็ยังกล่าวด้วยความเข้าอกเข้าใจว่า “สีการีบเร่งเดินทางมาคงจะเหนื่อยล้ามากแล้ว จะพักผ่อนสักประเดี๋ยวก่อนก็ได้ อาตมาไม่รบกวนแล้ว อมิตาภพุทธ”
หมิงถานยังไม่ได้สติกลับคืนมา นางลูบเสื้อผ้าที่ได้รับมาอย่างไม่รู้สึกตัว พูดจาไม่ออกไปพักใหญ่
อื่นๆ ยังไม่เท่าไร แต่ว่าชุดตัวนี้ไหล่กว้างแขนเสื้อยาว ไม่มีทรวดทรงเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งสีสันทั้งเนื้อผ้าไม่มีตรงไหนใช้ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซู่ซินกับลวี่เอ้อ แม้แต่ชุดของสาวใช้ขั้นสามของจวนโหวยังพิถีพิถันกว่านี้เป็นร้อยเท่า แล้วนี่จะให้นางใส่ได้อย่างไร
หมิงถานนั่งจ้องมองตาถลึงอยู่ตรงที่เดิม แต่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม นางเองก็ไม่มีหนทางอื่นใดอีก จะเอาแต่อยู่ในห้องไม่ออกไปเดินเหินข้างนอกเลยก็คงไม่ได้
เอาแค่เรื่องการกินอาหาร ทุกคนจะต้องไปตักอาหารที่โรงอาหารเจ ไม่มีคนคอยปรนนิบัติ และไม่สามารถนำอาหารออกไปข้างนอกได้
พออดทนมาถึงเวลาอาหารกลางวัน สุดท้ายความเด็ดเดี่ยวของคุณหนูสี่ก็พ่ายแพ้ให้แก่กระเพาะที่ไม่มีอาหารหลงเหลืออยู่แล้ว นางจึงยอมให้ลวี่เอ้อปรนนิบัตินางเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดตัวนี้อย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
ตั้งแต่เกิดมา หมิงถานยังไม่เคยแต่งตัวเรียบง่ายเช่นนี้มาก่อน ปกติแล้วแม้แต่ชุดนอนตัวกลางนางก็ยังเลือกเนื้อผ้าที่อ่อนนุ่ม ปักลวดลายสลับซับซ้อน แล้วก็ตัดสั่งชุดตามขนาดรูปร่าง พอมาใส่ชุดตัวนี้นั่งอยู่ในห้อง นางก็รู้สึกแปลกพิกลไปทั่วทั้งตัว
“แต่งตัวพื้นๆ เช่นนี้จะให้ออกไปพบเจอผู้คนได้อย่างไร” นางมองสำรวจตนเองที่อยู่ในคันฉ่องอย่างไม่พอใจนัก พร้อมขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ย
ลวี่เอ้อเอ่ย “คุณหนูวางใจเถิด คงจะไม่มีใครเห็นหรอกเจ้าค่ะ ตอนมาวันนี้บ่าวก็ได้สังเกตดูแล้ว ในอารามแห่งนี้วันหนึ่งมีแขกมาไหว้พระแค่ไม่กี่คนเท่านั้นเอง”
หมิงถาน “…”
ซู่ซินกระแอมเบาๆ ถลึงตาใส่ลวี่เอ้อปราดหนึ่ง
ลวี่เอ้อจึงได้สติรู้ตัว นางตบปากตนเองด้วยความหงุดหงิดโมโห แล้วเอ่ยสำทับขึ้นอีกประโยค “ทะ…ทั้งบ่าวก็คิดว่าชุดผ้าหยาบสีครามยิ่งขับเน้นรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของคุณหนูให้โดดเด่นขึ้นกว่าเดิมด้วยนะเจ้าคะ เหมือนอย่างคำกล่าวที่ว่า ‘พิสุทธิ์ดุจบุษบงโผล่พ้นผิวน้ำ งามล้ำเป็นธรรมชาติไร้สิ่งเติมแต่ง’ นี่บรรยายถึงตัวคุณหนูชัดๆ เลยมิใช่หรือเจ้าคะ”
อืม
พิสุทธิ์ดุจบุษบงโผล่พ้นผิวน้ำ งามล้ำเป็นธรรมชาติไร้สิ่งเติมแต่ง
นี่ถือเป็นคำเยินยอที่ถูกใจหมิงถานทีเดียว
ช่างเถิด ที่ผ่านมาแต่งตัวงดงามวิจิตรบรรจงมาตลอด หากเปลี่ยนมาแต่งตัวเรียบง่ายบ้างเป็นครั้งคราว ข้าจะได้ยิ่งดูงามบริสุทธิ์เฉิดฉัน พอคิดถึงตรงนี้สภาพจิตใจของนางซึ่งเดิมทีไม่ค่อยสบอารมณ์ก็พลันแจ่มใสเริงร่าขึ้นมา
แต่เพิ่งจะแจ่มใสร่าเริงได้เพียงชั่วครู่ ลวี่เอ้อก็พูดปลอบใจนางขึ้นมาอย่างไม่เหมาะกาลเทศะ “บ่าวคิดว่าอารามแห่งนี้นับว่าเงียบสงบดีทีเดียว คุณหนูอยู่ที่นี่ให้สบายใจสักระยะเถิด แล้วก็ไม่ต้องเศร้าโศกไปหรอกเจ้าค่ะ ละ…เหลียงซื่อจื่อผู้นั้นดูท่าทางเหมือนคนดี แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนใจร้ายใจดำเช่นนี้ เขาตาบอดไปแล้วจริงๆ ถึงได้ปล่อยให้คู่หมั้นดีๆ อย่างคุณหนูหลุดมือไป คุณหนูสบายใจได้เจ้าค่ะ พอกลับไปเมืองหลวงแล้ว ท่านโหวกับฮูหยินจะต้องเลือกท่านเขยผู้เพียบพร้อมให้คุณหนูใหม่แน่นอน!”
หมิงถาน “…”
นางมิได้เศร้าโศกเสียหน่อย เหลียงจื่อเซวียนมีค่าให้นางเสียใจที่ไหนกัน เพียงแต่เรื่องโสมมเรื่องชั่วช้าที่ฮูหยินลิ่งกั๋วกงก่อกลับทำให้คนบริสุทธิ์อย่างนางต้องแบกรับผลกระทบไปด้วยไม่มากก็น้อย ในใจนางยังรู้สึกไม่ชอบใจอยู่มาก
ในเมื่อนางไม่พอใจ เช่นนั้นไม่ว่าใครก็อย่าได้อยู่อย่างมีความสุขเลย
ถึงแม้การเดินทางมาไหว้พระขอพรครั้งนี้จะเตรียมการอย่างเร่งรีบฉุกละหุก แต่ก่อนนางจะจากมา นางก็ไม่ลืมเตรียมละครสนุกๆ ฉากหนึ่งไว้ให้จวนลิ่งกั๋วกง
ณ จวนชางกั๋วกง ภายในเรือนของไป๋หมินหมิ่น โจวจิ้งหว่านกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ จับพู่กันจรดลงเขียนตัวอักษร
สกุลโจวเป็นตระกูลบัณฑิตที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแคว้นต้าเสี่ยน ในช่วงตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทั้งตระกูลสายหลักสายรองไม่รู้ว่าได้ให้กำเนิดกวีผู้ยิ่งใหญ่และอัครเสนาบดีเลื่องชื่อมามากมายเท่าไรแล้ว บิดาของโจวจิ้งหว่านเองก็เคยสอบได้ตำแหน่งปั่งเหยี่ยนมาก่อน บัดนี้ดำรงตำแหน่งเป็นราชบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน อนาคตสดใสยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด
เพราะได้รับการอบรมสั่งสอนจากครอบครัว โจวจิ้งหว่านเองก็ถือเป็นอัจฉริยะหญิงที่ได้รับการยอมรับในหมู่คุณหนูตระกูลขุนนางที่ยังมิได้ออกเรือนเช่นกัน มือข้างหนึ่งของนางกำลังเขียนอักษรเสี่ยวข่ายจันฮวา* อย่างเป็นระเบียบบรรจง แต่เมื่อพิศอ่านรายละเอียดให้ดีๆ แล้ว…
“ประโยคนี้สุภาพเกินไป จิ้งหว่าน เจ้าเขียนให้ตรงไปตรงมากว่านี้หน่อย ตอนข้าไปฟังเรื่องเล่าที่โรงน้ำชา พวกนักเล่าเรื่องยังไม่เห็นจะกระมิดกระเมี้ยนถึงเพียงนี้เลย” ไป๋หมินหมิ่นยืนพูดชี้แนะอยู่ข้างๆ
โจวจิ้งหว่านหยุดพู่กัน พินิจอ่านดูอยู่พักหนึ่ง นางคิดกับตนเองว่าเรื่องฉาวโฉ่คาวโลกีย์ปานนี้ แค่บอกเล่าอย่างคลุมเครือเช่นนี้ก็ดูไม่งามมากแล้ว นางลำบากใจเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาว่า “เช่นนั้นควรจะตรงไปตรงมาอย่างไรเล่า”
ไป๋หมินหมิ่นตอบ “ง่ายจะตายไป เจ้าก็เขียนไปตรงๆ ว่าลิ่งกั๋วกงกับอี๋เหนียงเล็กที่นายท่านบ้านรองเพิ่งรับเข้ามาใหม่ลักลอบเป็นชู้กันก็พอแล้ว! จะได้ผูกเรื่องของเหลียงจื่อเซวียนเข้าด้วยกัน นี่เรียกว่าคานบนไม่ตรง คานล่างย่อมเบี้ยว* คบชู้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น!”
โจวจิ้งหว่าน “…”
ก่อนที่หมิงถานจะออกจากเมืองหลวงไปไหว้พระขอพร นางได้สั่งให้คนนำจดหมายฉบับหนึ่งมาส่งให้ที่จวนชางกั๋วกงเป็นพิเศษ ในจดหมายได้บอกให้ไป๋หมินหมิ่นกับโจวจิ้งหว่านช่วยเกลาสำนวนเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง จากนั้นก็หานักเล่าเรื่องมาเล่าเรื่องโสมมเหล่านี้ของจวนลิ่งกั๋วกงให้ผู้คนได้รับรู้กันโดยทั่ว
เรื่องเหม็นคาวฉาวโฉ่เหล่านี้หมิงถานได้ไหว้วานให้ไป๋จิ้งหยวนสืบมาให้ก่อนหน้านี้ ต่างก็เกี่ยวกับพวกลิ่งกั๋วกงสองสามีภรรยาทั้งสิ้น เดิมทีนางตั้งใจว่าจะนำมาใช้จัดการกับจวนลิ่งกั๋วกงหลังจากถอนหมั้นได้อย่างราบรื่นแล้ว
ทว่าบัดนี้ถอนหมั้นไม่สำเร็จราบรื่น ข่าวฉาวโฉ่ก็แพร่สะพัดไปทั่ว นางจึงใส่สีตีไข่เพิ่มเติม ประการแรกถือเป็นการเอาคืนที่ถูกเล่นงานถูกหักหลังถูกร่างแหไปด้วย ประการที่สองก็ถือว่าเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าทุกคนในจวนลิ่งกั๋วกงของเขามีพฤติกรรมเลวช้าต่ำทราม ประการที่สามยังทำให้นางได้โอกาสปกป้องชื่อเสียงอันดีงามของตนเองอีกด้วย
“ช่างเถิด ให้เจ้าขัดเกลาสำนวนเรื่องสกปรกโสมมพวกนี้ก็นับว่าเป็นการทำให้เจ้าลำบากใจจริงๆ” ไป๋หมินหมิ่นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เอาให้นักเล่าเรื่องเลยก็แล้วกัน เจ้าเขียนชื่นชมเยินยออาถานอีกสักหน่อยก็พอ”
โจวจิ้งหว่านระบายลมหายใจเฮือก จากนั้นก็พยักหน้าตอบรับ
เดิมทีหมิงถานก็ดีเลิศแสนประเสริฐในใจนางอยู่แล้ว เรื่องนี้นางย่อมทำได้แน่นอน
“จริงสิ ยายหนูอาถานยังกำชับอีกว่าเรื่องอื่นเขียนแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็พอ แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องชมว่านางงดงาม” ไป๋หมินหมิ่นหยุดชะงักไป ก่อนจะบ่นอุบอิบด้วยความระอาใจ “หน้าไม่อายจริงๆ”
โจวจิ้งหว่านได้ยินดังนั้นก็อดเม้มปากยิ้มบางๆ ออกมามิได้
ในสายตานาง หมิงถานรูปโฉมงดงามสะสวยอยู่แล้ว ชมนิดชมหน่อยก็ไม่ได้ฝืนใจอันใด นางตวัดพู่กันแต่งกลอนชื่นชมออกมาหนึ่งบทได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ไป๋หมินหมิ่นกับโจวจิ้งหว่านกำลังยุ่งอยู่กับการช่วยหมิงถานจัดการธุระ หมิงถานเองก็กำลังเดินไปโรงอาหารเจในชุดเสื้อผ้าเรียบง่าย ไร้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ ทั้งสิ้น
โรงอาหารเจไม่แบ่งนายบ่าว ทุกคนต่างก็กินอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน หมิงถานใจดีมีเมตตากับสาวใช้ประจำตัวมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะสม ทว่าซู่ซินกับลวี่เอ้อไม่กล้ากินอาหารร่วมกับคุณหนูของตน ยืนกรานจะเฝ้ารออยู่นอกโรงอาหารเจให้ได้ รอให้หมิงถานกินเสร็จแล้วพวกนางค่อยเข้าไป
หมิงถานเองก็ไม่ได้บังคับฝืนใจพวกนาง
วันนี้ออกจากจวนตั้งแต่เช้ามืด นางเลยยังไม่ทันได้กินอาหารเช้า เวลานี้จึงรู้สึกหิวอยู่บ้างจริงๆ นางได้ยินมาว่าอารามหลิงเหมี่ยวอาหารเจรสเลิศสดใหม่ ยามนางนั่งลง ในใจก็มีความคาดหวังสนอกสนใจอยู่เล็กน้อย
แต่หลังจากนางกินอาหารเจอย่างสำรวมไปได้หนึ่งคำเล็กๆ นางจะคายก็ไม่ใช่ จะกลืนก็ไม่เชิง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าข้าวเม็ดหยาบแข็งและอาหารรสจืดชืดนี้มัน ‘รสเลิศสดใหม่’ ตรงไหน!
นางอยากจะลุกออกไป กลับมีเณรน้อยเดินเข้ามาขวางนางเอาไว้ ตักเตือนด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “อมิตาภพุทธ สีกาเอ๋ย อาหารเจห้ามกินเหลือทิ้งเหลือขว้าง”
“…”
ลืมไปเลยว่ามีกฎข้อนี้อยู่ด้วย
เณรน้อยมองนางอย่างอบอุ่นอ่อนโยน เอาแต่จ้องมองอยู่อย่างนั้น มองจนนางต้องจำใจนั่งลงแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาช้าๆ
กระทั่งนางฝืนใจกลืนอาหารเจคำเล็กๆ ลงท้องไปหนึ่งคำ นางก็แอบเหลือบมองดูเณรน้อยรูปนั้น…
ยังมองข้าอยู่อีก!
“…”
ข้ารู้ว่าตนเองรูปโฉมสะสวยงดงาม แต่ก็ไม่เห็นต้องมองถึงขั้นนี้ก็ได้!
ด้วยความจนปัญญา นางจึงจำต้องกินอาหารเจต่อไป แต่เพราะรสชาติแตกต่างจากอาหารปกติที่กินราวฟ้ากับเหว นางจึงรีบๆ กลืนลงท้องไปโดยที่ไม่ได้เคี้ยวให้ละเอียดสักเท่าไร
แต่นางเป็นคนกินน้อย กินจนแน่นท้องแล้วก็ยังเหลือข้าวอีกครึ่งถ้วยเล็ก นางจึงเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางน่าสงสารเวทนา “เณร ข้ากินอาหารเจนี่ไม่ลงแล้วจริงๆ”
เณรน้อยเห็นว่าอาหารเหลืออยู่ไม่มาก ทั้งนางเองก็กินอย่างลำบากยากเย็นจริงๆ จึงพนมมือตอบว่า “อมิตาภพุทธ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สีกาก็ไปสำนึกตนที่ห้องพระเล็กเป็นเวลาสักหนึ่งก้านธูป* เถิด”
หมิงถาน “…”
นี่ยังต้องคุกเข่าทำโทษด้วยหรือ
ก็ได้ ข้าเองก็กลัวว่าพระพุทธองค์จะลงทัณฑ์ที่ข้ากินอาหารเหลือทิ้งเหลือขว้างอยู่เหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้นางจึงก้าวออกประตูไปภายใต้สายตาจับจ้องและการชี้บอกเส้นทางของเณรน้อย
แต่ว่าประตูที่เณรน้อยบอกหาใช่ประตูใหญ่ของโรงอาหารเจไม่ นางเดินออกไปข้างนอกอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายกลับเดินอ้อมไปมาจนหลงทาง ยิ่งเดินยิ่งสับสนงุนงง รอบด้านมีแต่วิหารสำหรับสักการะพระพุทธรูป ไม่รู้ว่าห้องใดคือห้องพระเล็กที่เณรน้อยบอกกันแน่
ไม่สนแล้ว การสำนึกตนนั้นสำคัญที่ความจริงใจ
พอคิดถึงตรงนี้นางก็เดินเข้าไปในวิหารที่ไร้ผู้คนตรงหน้า แล้วคุกเข่าลงบนเบาะรองอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
วิหารแห่งนี้กว้างขวางโอ่อ่าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองฝั่งมีวิหารปีกข้าง หมิงถานไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่าข้างหอเก็บตำราของวิหารปีกซ้ายยังมีห้องบำเพ็ญสมาธิอยู่อีกห้องหนึ่ง
ภายในห้องบำเพ็ญสมาธิเวลานี้ ติ้งเป่ยอ๋องเทพแห่งสงครามผู้มีชื่อเสียงเลื่องระบือกำลังจิบชาพลางเดินหมากกับพระอาจารย์ฮุ่ยหยวนผู้เดินทางรอนแรมไปทั่วทุกสารทิศยากจะหาร่องรอยเจอ
“พระพุทธองค์เจ้าขา ศิษย์คืออาถานแห่งสกุลหมิง ยามปกติกินอยู่อย่างพิถีพิถัน กินได้ค่อนข้างน้อย วันนี้บังเอิญได้กินอาหารเจของอารามพระพุทธองค์ แต่ศิษย์กินไม่หมดจริงๆ กินอาหารเหลือทิ้งเหลือขว้าง ในใจรู้สึกผิดบาปยิ่งนัก ขอพระพุทธองค์โปรดเมตตาปรานี อย่าลงโทษศิษย์เลยนะเจ้าคะ”
จู่ๆ คนในห้องบำเพ็ญสมาธิก็ได้ยินเสียงนี้ เณรน้อยที่กำลังจะลุกออกไปรีบกล่าวว่า “คงจะมีสีกาที่กินอาหารเจไม่หมดหลงเข้ามานั่งสำนึกผิด ข้าจะรีบพานางไปห้องพระเล็กเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เสียงนี้ช่างคุ้นหูยิ่ง ซ้ำยังบอกว่าตนเองคือ ‘อาถานแห่งสกุลหมิง’
เจียงซวี่นึกอันใดบางอย่างขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาเพียงแค่หลุบตาลงจดจ่อกับกระดานหมาก ยกมือบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องไปไล่นาง
ส่วนหมิงถานนั้นก็นั่งอยู่ด้านนอก พอสำนึกตนเสร็จนางก็เงียบเสียงไปสักพัก แล้วก็นึกถึงการหาสามีผู้เพียบพร้อมคนใหม่ที่ลวี่เอ้อพูดก่อนหน้านี้ขึ้นมา จึงคิดในใจว่า ในเมื่อมาแล้วก็ขอพรไปด้วยเลยแล้วกัน
ดังนั้นนางจึงพนมมือทั้งสองข้าง เอ่ยเจื้อยแจ้วว่า “พระพุทธองค์เจ้าขา นอกจากสำนึกผิดที่กินอาหารไม่หมดแล้ว ศิษย์ยังมีคำขออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ ครั้งนี้ที่ถอนหมั้นล้วนเป็นเพราะคู่หมั้นมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่ควรค่าแก่การเป็นคู่ครอง แต่ศิษย์กลับถูกคนรอบข้างหัวเราะเยาะหยันเพราะเหตุนี้ พอกลับเมืองหลวงไปคราวนี้ ขอให้พระพุทธองค์ช่วยปกป้องคุ้มครองศิษย์ให้หาสามีที่ตรงดังใจหมายด้วยเถิดนะเจ้าคะ
สามีขอให้มีฐานะชาติกำเนิดเหมาะสมคู่ควรกันก็พอ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ ตระกูลกงหรือโหว หรือครอบครัวบัณฑิต สิ่งที่ศิษย์ให้ความสำคัญมากกว่าคือความรู้และรูปลักษณ์ ในด้านความรู้ ขอแค่สอบติดสามอันดับแรกในการสอบขุนนางฤดูใบไม้ผลิก็เป็นพอ รูปโฉมก็ต้องหล่อเหลางดงาม เช่นนี้ถึงจะคู่ควรเหมาะสมกับศิษย์ แน่นอนว่าทรัพย์สมบัติก็ต้องล้นเหลือหน่อย ชีวิตยิ่งต้องอยู่อย่างสุขสบาย หากไม่มีทรัพย์สินมากมายเท่าจวนโหวก็ไม่เป็นไร ขอแค่รับรองว่าศิษย์จะสามารถกินโจ๊กรังนกได้ทุกเมื่อ ทุกฤดูกาลสามารถเชิญร้านจิ่นซิ่วมาตัดชุดตามที่ผู้คนนิยมได้สักสองสามหีบ มีเครื่องประดับใหม่ๆ อันใดก็สามารถครอบครองเป็นเจ้าของได้ทันที ปวดหัวตัวร้อนก็สามารถเชิญหมอฝีมือสูงส่งจากหอเหลียงชุนมาดูอาการได้ทันใด…”
เสียงของสตรีที่ถูกกรอกเข้าหูไม่หยุดรบกวนเจียงซวี่จนวางหมากไม่ได้อยู่ครู่ใหญ่ พระอาจารย์ฮุ่ยหยวนใบหน้าประดับรอยยิ้ม ส่วนเณรน้อยกลับก้มหน้างุด ท่องอมิตาภพุทธอยู่ในใจเงียบๆ
ครึ่งก้านธูปผ่านไป
“…รูปร่างถ้าหากสูงเจ็ดฉื่อ* ได้ก็จะดีที่สุด แม่สามีที่บ้านก็ต้องเป็นคนนิสัยเข้ากันง่าย จะเอาแต่ตั้งกฎระเบียบกลั่นแกล้งสะใภ้คนใหม่ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าไม่มีแม่สามีก็จะดียิ่ง ญาติพี่น้องน้อยๆ ไม่ซับซ้อนหน่อยจะดีที่สุด ห้ามมีญาติผู้พี่ญาติผู้น้องที่ผูกพันแน่นแฟ้นกันมาตั้งแต่เด็กๆ อันใดนั่นเด็ดขาด ศิษย์มิใช่คนขี้อิจฉาริษยา แต่ว่ารับอนุภรรยาภายในสามปีหลังจากแต่งเข้าจวนมาก็ออกจะเร็วไปสักหน่อย ไม่เป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะความรักความผูกพันฉันสามีภรรยาระหว่างศิษย์กับสามี สามปีให้หลังหากรับอนุภรรยาก็ไม่ควรจะมากกว่าสองคน เพราะในบ้านมีคนเยอะแยะวุ่นวายจะเกิดปัญหายุ่งยากได้ง่าย อย่าเป็นพวกที่ชอบเที่ยวเตร่ตามสถานเริงรมย์…”
หนึ่งก้านธูปผ่านไป
“…ร่างกายก็แข็งแรงกำยำหน่อย แต่แข็งแรงกำยำก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งตัวจะมีแต่เนื้อหนัง ถ้าหากเจอเหตุไม่คาดฝันสามารถต้านได้สักสองสามคนก็จะดี หากฝึกวรยุทธ์ก็ควรจะฝึกกระบี่ ท่วงท่าสง่างาม เช่นนี้แล้วยามร่ายรำเพลงกระบี่ศิษย์จะได้บรรเลงฉินเพิ่มความสุนทรีย์ สามีภรรยาสามัคคีกลมเกลียวย่อมเป็นเรื่องดีงาม อืม… คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ล่ะเจ้าค่ะ ขอพระพุทธองค์โปรดช่วยปกปักคุ้มครองด้วยเถิด หากศิษย์หาสามีที่สมดังใจปรารถนาเช่นนี้ได้ จะต้องกลับมาหล่อพระพุทธรูปทองคำ บริจาคค่าธูปเทียนให้พระพุทธองค์แน่นอนเจ้าค่ะ”
พูดจบหมิงถานก็โขกศีรษะสามครั้งด้วยความเคารพนับถือจากใจจริง
หลังจากเสียงสะท้อนเบาๆ จากการโขกศีรษะสิ้นสุดลง เณรน้อยก็ระบายลมหายใจออกมาในที่สุด
…เงื่อนไขในการเลือกสามีของแม่นางน้อยผู้นี้สูงมากเกินไปจริงๆ
เชิงอรรถ
* ปลาจิ่นหลี หมายถึงปลาแฟนซีคาร์พ
* อักษรเสี่ยวข่ายจันฮวา เป็นอักษรบรรจงขนาดเล็กรูปแบบหนึ่ง มีความนุ่มนวลสวยงาม ว่ากันว่าเว่ยฮูหยินในสมัยราชวงศ์จิ้นเป็นผู้คิดค้นอักษรรูปแบบนี้ขึ้นมา
* คานบนไม่ตรง คานล่างย่อมเบี้ยว เป็นการชี้ถึงพฤติกรรมว่าหากคนรุ่นก่อนประพฤติไม่ดี คนรุ่นหลังก็จะทำเรื่องไม่ถูกไม่ควรตามไปด้วย
* หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของจีนโบราณ บางตำราประมาณว่าครึ่งชั่วโมง บางตำราว่าหนึ่งชั่วโมง ‘ครึ่งก้านธูป’ จึงหมายถึงเวลาประมาณ 15-30 นาที
* ฉื่อ หน่วยวัดความยาวของจีน เทียบได้ประมาณ 1 ฟุต
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมีนาคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.