X
    Categories: กระวานน้อยแรกรักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กระวานน้อยแรกรัก บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 6

วันคืนผ่านพ้นไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า ไม่นานก็มาถึงวันที่แปดเดือนสอง จิ้งอันโหวหมิงถิงหย่วนซึ่งเดินทางไปรับตำแหน่งที่เขตหยางซีปฏิบัติหน้าที่จนครบกำหนดได้เดินทางกลับมายังเมืองหลวง

เขากุมอำนาจทางการทหารเอาไว้จำนวนหนึ่ง ยามอยู่ในตำแหน่งก็มีผลงานโดดเด่น เขาเดินทางกลับเมืองหลวงมารายงานสถานการณ์ครานี้มีความเกี่ยวพันไปถึงการเปลี่ยนแปลงของขุนนางในราชสำนัก คนไม่น้อยต่างก็ลอบสังเกตอยู่อย่างลับๆ

ฮ่องเต้เฉิงคังมีพระราชโองการว่าเมื่อจิ้งอันโหวเดินทางเข้าเมืองหลวงแล้วให้รีบเข้าเฝ้าในทันที เมื่อเข้าถึงตัวเมือง หมิงถิงหย่วนกับคนในครอบครัวและบ่าวรับใช้ก็แยกกันไปคนละทาง ทางหนึ่งมุ่งตรงไปยังประตูฉี่เซวียน ส่วนอีกทางก็อ้อมไปยังจวนจิ้งอันโหวซึ่งตั้งอยู่บนถนนหนานเชวี่ย

พอได้ข่าวว่าท่านโหวจะเดินทางเข้าวังทันทีไม่แวะเข้าจวน ขณะที่พวกหลิ่วอี๋เหนียงจะเดินทางกลับมาก่อน คนในจวนโหวก็เฉื่อยชาขึ้นไม่น้อย เพราะอย่างไรบนโลกนี้ก็ไม่มีกฎว่าต้องต้อนรับอี๋เหนียงและบุตรสาวกลับจวนอย่างเอิกเกริกใหญ่โต

ยามหลิ่วอี๋เหนียงกับหมิงฉู่ลงจากรถม้า มีเพียงแม่นมจางซึ่งเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายเผยซื่อพาสาวใช้และหญิงรับใช้อาวุโสจำนวนหนึ่งออกไปรอรับอยู่ตรงประตูข้างเท่านั้น

อาจเพราะได้รับความรักใคร่โปรดปรานแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นถึงแม้จะอยู่ในสถานที่ที่ยากลำบากใกล้ชายแดนอย่างเขตหยางซีมาห้าปี แต่รูปโฉมของหลิ่วอี๋เหนียงกลับไม่แตกต่างจากเดิมมากมายนัก มิหนำซ้ำยังเปล่งประกายมีน้ำมีนวลมากกว่าเดิมอยู่หลายส่วน

คุณหนูสามอย่างหมิงฉู่กลับยากจะจดจำได้ในแวบแรก ตอนที่ไปจากเมืองหลวงนางอายุแค่เพียงสิบเอ็ดสิบสองปีเท่านั้น ห้าปีผ่านไปรูปโฉมของนางถึงเริ่มปรากฏชัด บุคลิกแตกต่างจากแต่ก่อนอย่างมาก นางสวมใส่ชุดสีแดงสด ท่าทางดูสดใสมีชีวิตชีวา ทั้งยังมีความผึ่งผายองอาจเยี่ยงพยัคฆ์หญิงตระกูลแม่ทัพอยู่ไม่น้อย

“เจ้าให้ข้ากับท่านแม่เข้าทางประตูข้าง?” หมิงฉู่ขมวดคิ้ว ไม่พอใจกับการจัดการของแม่นมจางยิ่ง เนื่องจากยามอยู่ที่เขตหยางซี ไม่ว่านางจะเดินไปที่ใด ทุกคนต่างก็รู้ว่านางเป็นแก้วตาดวงใจของท่านข้าหลวงใหญ่ ไม่มีผู้ใดกล้าเมินเฉยดูแคลนนางสักนิด

แต่ในสายตาผู้อื่นหมิงฉู่กลับดูพาลพาโลอย่างไร้เหตุผลยิ่ง ที่นี่คือเมืองหลวง ประตูใหญ่จะเปิดพร่ำเพรื่อได้อย่างไร ปกติแม้แต่เผยซื่อก็ยังเข้าออกจากประตูข้าง แน่นอนว่าหากวันนี้พวกนางกลับจวนมาพร้อมท่านโหว ก็ยังพอจะได้อาศัยบารมีท่านโหวเดินเข้าทางประตูใหญ่กับเขาบ้าง แต่เวลานี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น

แม่นมจางกำลังจะเอ่ยอธิบายให้ชัดเจน หลิ่วอี๋เหนียงกลับเดินเข้าไปคว้ามือของหมิงฉู่เอาไว้ จากนั้นบีบแน่นอย่างไม่แสดงสีหน้าท่าทางออกมา

เมื่อนึกถึงคำเตือนของหลิ่วอี๋เหนียงตลอดทางกลับเมืองหลวง หมิงฉู่ก็ตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจกลืนโทสะครานี้ลงท้องไปชั่วคราวก่อน นางเดินหน้าบึ้งตึงผ่านแม่นมจางไป ก้าวตรงเข้าไปยังประตูข้าง

 

ในเวลาเดียวกัน หมิงถานก็กำลังระเบิดโทสะใหญ่โตอยู่ภายในเรือนจ้าวสุ่ย

นางตบกระดาษจดหมายลงกับโต๊ะ ต่อมาก็กวาดชุดเครื่องชาอันวิจิตรงดงามมูลค่าไม่ธรรมดาบนโต๊ะลงกับพื้นอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่

เสียงเครื่องกระเบื้องแตกกระจายดังก้องกังวาน นางตบโต๊ะแล้วพลันลุกพรวดขึ้นมา เดินวนไปมาในห้องพลางพูดพึมพำว่า “ต่ำช้า ต่ำช้าที่สุด! ทีแรกคิดว่าครอบครัวนี้แค่ไร้กฎเกณฑ์ไร้ยางอาย ข้าดูถูกพวกเขาเกินไปจริงๆ ไม่คิดว่าพวกเขาจะถึงกับวางแผนเล่นงานข้า!”

นางโกรธจัดจนเสียงสั่นเครือเล็กน้อย หลังจากกำนิ้วทั้งสิบแน่น ข้อนิ้วก็เริ่มซีดขาว หลังมือสามารถมองเห็นเส้นเลือดได้รำไร

ซู่ซินกับลวี่เอ้อตกอกตกใจยกใหญ่ ที่สำคัญคือพวกนางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น

สองวันมานี้คุณหนูของพวกนางยังกระตือรือร้นพร้อมประชันขันแข่ง ตั้งใจจะแต่งอาภรณ์เต็มยศเพื่อกดข่มรัศมีคุณหนูสามที่กลับจวนวันนี้อยู่แท้ๆ เช้าตรู่วันนี้ยังสั่งให้คนไปเก็บน้ำค้างรุ่งอรุณบนดอกไม้มาผสมกับผงโฉมหยกแล้วพอกหน้าเป็นชั้นหนา บอกว่าหากพอกหน้าเช่นนี้ไว้ เมื่อล้างหน้าแล้วผิวพรรณจะเนียนนุ่มกระจ่างใสมากเป็นพิเศษ

ทว่าเมื่อครู่นี้พอกินอาหารเช้าเสร็จ บ่าวรับใช้จวนสกุลไป๋ก็ได้นำจดหมายมาส่ง ความในจดหมายกล่าวว่าเดิมทีไป๋หมินหมิ่นคิดจะแวะมาบอกเรื่องในจดหมายกับนางด้วยตนเอง แต่เห็นว่าวันนี้จวนโหวเพิ่งจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่เหมาะที่จะแวะไปหา จำต้องเขียนเรื่องนี้เป็นจดหมายแล้วให้คนนำมาส่งแทน

ไม่รู้เช่นกันว่าในจดหมายเขียนไว้ว่าอย่างไร ถึงได้ทำให้คุณหนูสี่สกุลหมิงที่มักจะพูดติดปากว่า ‘กุลสตรีตระกูลมีชื่อเสียงไม่ว่าจะพบเจอเรื่องใดก็ห้ามลืมตัวเสียกิริยา หากโหวกเหวกโวยวายขว้างปาข้าวของจะต่างกับสตรีเสียสติตามตลาดตรงที่ใด’ คลุ้มคลั่งรุนแรงเช่นนี้…

ครั้นพวกนางหวนนึกถึงงานเลี้ยงดอกเบญจมาศทองคำเมื่อหลายปีก่อน จู่ๆ ก็มีเฟิ่งเจาจวิ้นจู่* โผล่มาจากที่ใดไม่รู้มาแย่งตำแหน่ง ‘จ้าวบุปผา’ ที่เดิมควรจะเป็นของคุณหนูพวกนางไป พอคุณหนูกลับมาถึงจวนก็แค่ขว้างปาแก้วกระเบื้องไปใบเดียวเท่านั้น ซ้ำยังปาใส่บนตั่งกุ้ยเฟย** อีกต่างหาก ไม่ได้กระแทกแตกเลยสักนิด

ทว่าคราวนี้แค่กวาดถ้วยชากากระเบื้องลงพื้นก็ยังไม่ถือว่าจบ หมิงถานยังเดินวนไปมาอยู่ในห้องหลายรอบ ทันใดนั้นก็รีบหยิบจดหมายพุ่งปรี่ออกไปข้างนอก

เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ซู่ซินที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดก็แตกตื่นลนลานขึ้นมา นางรีบไล่ตามไปแล้วเอ่ยเตือนสติ “คุณหนู นี่ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ คุณหนูสามกับอี๋เหนียงกลับมาที่จวนแล้ว ปิ่นปักผมอันใหม่ที่ท่านสั่งไว้ยังไม่ได้ใส่เลยนะเจ้าคะ!”

ฝีเท้าของหมิงถานชะงักไปโดยพลัน

อ้อ จริงด้วย ปิ่นปักผม

แล้วยังมีแม่ลูกคู่นั้นอีก

นางหันร่างกลับไป เดินตรงเข้าไปยังห้องชั้นใน นั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องประทินโฉมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ซู่ซินกระแทกลวี่เอ้อเบาๆ

ลวี่เอ้อที่อึ้งตะลึงยังคงงุนงงอยู่นิดๆ ส่งเสียงตะกุกตะกักไปสองทีกว่าจะมีอาการตอบสนอง “คะ…คุณหนู อย่าได้โมโหไปเลยเจ้าค่ะ ถ้าโมโหจะไม่งดงามเอานะเจ้าคะ…ก็ไม่ใช่ว่าไม่งดงาม ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูก็งดงามอยู่แล้ว แต่ยามคุณหนูยิ้มจะสะสวยยิ่งกว่าเดิม งดงามล่มบ้านล่มเมืองยิ่งกว่าเดิม งามล้ำสยบสรรพสิ่งเลยนะเจ้าคะ!”

ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะลวี่เอ้อเอ่ยชมได้ถึงอกถึงใจ หรือเพราะเห็นใบหน้าของตนเองกันแน่ โทสะของหมิงถานถึงได้สงบลง หลังจากนางได้นั่งลงก็ใจเย็นขึ้นไม่น้อย

บิดาของนางกำลังเดินทางเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้เฉิงคัง หากนางผลุนผลันปรี่ออกไปตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่เจอตัวเขาเท่านั้น ซ้ำยังจะทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเปล่าๆ นอกจากนั้นบิดาของนางก็กลับมาแล้ว จะพุ่งไปโวยวายขอถอนหมั้นในทันทีทันใดก็ไม่ได้ ไม่เจอกันมาห้าปี ผู้ใดจะไปรู้ว่าหมิงฉู่กับหลิ่วอี๋เหนียงได้เป่าหูบิดาของนางไปมากเพียงใด พอถึงตอนนั้นหากทำให้บิดาเข้าใจผิดว่าเป็นเพราะนางไม่ใส่ใจขนบธรรมเนียม ถึงได้ถูกจวนลิ่งกั๋วกงดูถูกหยามหน้าคงจะแย่แน่ อีกอย่างนางก็ไม่มั่นใจมากนักว่าบิดาที่แม้ในความทรงจำจะดีต่อนางไม่เลว แต่ก็มิได้รักใคร่เอ็นดูอย่างสุดซึ้งเหมือนอย่างที่ท่านลุงปฏิบัติต่อไป๋หมินหมิ่น จะยอมผิดใจกับจวนลิ่งกั๋วกงเพื่อนาง

นางหยิบปิ่นห้อยระย้า รูปจันทร์สีเงินบนโต๊ะที่เพิ่งสั่งทำใหม่ขึ้นมา หลังจากพิศสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก็พลันเอ่ยสั่งขึ้นมาว่า “ซู่ซิน เจ้าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าขาวมาผืนหนึ่ง จุ่มน้ำกระเทียมมาด้วยเล็กน้อย”

“เจ้าค่ะ”

“ยังมีอีกเรื่อง เจ้ามานี่” นางบอกเป็นนัยให้ซู่ซินเดินเข้ามาใกล้ๆ อีกนิด จากนั้นก็ใส่จดหมายที่บ่าวรับใช้จากจวนสกุลไป๋ส่งมากลับเข้าไปในซองตามเดิมแล้วยื่นให้นาง ทั้งยังเอ่ยกำชับสั่งเสียงต่ำเบาๆ ที่ข้างหูซู่ซินอีกสองสามประโยค

ที่ผ่านมาหากเจ้านายไม่พูด ซู่ซินก็จะไม่ถามให้มากความ หลังจากน้อมรับคำสั่งแล้ว นางก็ปล่อยมือทั้งสองข้างลู่ลง แล้วเดินถอยออกไป

หมิงถานระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ต่อมาก็สั่งกับลวี่เอ้อว่า “หวีผมแต่งหน้าให้ข้าใหม่ ไม่ต้องหรูหรา เกินไป เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเป็นชุดอื่นด้วย”

ก่อนหน้านี้นางคิดแต่จะข่มรัศมีหมิงฉู่อย่างไรดี กลับลืมไปเสียสนิทว่าการพบกับบิดานางต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า

ดังนั้นภายใต้การเลือกซ้ำไปซ้ำมาและคำชี้แนะต่างๆ นานาของหมิงถาน ลวี่เอ้อก็แต่งกายให้นางดูงามพิสุทธิ์เฉิดฉัน พร้อมทั้งยังแฝงความนุ่มนวลเปราะบางด้วยเล็กน้อยได้ในที่สุด

นางยืนส่องอยู่หน้าคันฉ่องสัมฤทธิ์บานใหญ่ขนาดเท่าตัวคนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ “ไป ไปที่เรือนหลันซินกัน”

 

เรือนหลันซินคือเรือนของเผยซื่อ หากเดินจากเรือนจ้าวสุ่ยจะต้องเดินผ่านเฉลียงอ้อมกำแพง แล้วยังต้องเดินผ่านสวนดอกไม้ของลานข้างเรือนหลักฝั่งตะวันออกอีกด้วย

พวกหมิงถานเดินไปตามเฉลียงทางเดิน เพิ่งจะมาถึงสวนดอกไม้ของลานข้างเรือนหลักฝั่งตะวันออกก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากข้างหน้า

“อ้อ…เป็นหลานสาวของน้องชายลูกอนุภรรยาจากบ้านเดิมฮูหยินผู้เฒ่านี่เอง ฮูหยินผู้เฒ่าก็เสียไปตั้งนานแล้ว ความเกี่ยวข้องช่างห่างไกลกันจริงๆ อีกอย่างถ้าข้าจำไม่ผิด บ้านเดิมของฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อแรกเป็นจวนป๋อ ก่อนจะลดตำแหน่งหลังสืบทอดบรรดาศักดิ์จนไม่มีตำแหน่งให้ลดแล้วนี่ ไม่ได้ติดต่อกับจวนของพวกเรามาตั้งหลายปี ข้าว่านี่มันใช่ญาติพี่น้องจริงๆ ตรงไหนกัน” หมิงฉู่เอ่ยเสียดสี

เสิ่นฮว่าเรียก “น้องสาม เจ้า!”

“เจ้าอันใดของเจ้าเล่า ญาติผู้พี่ ข้าเห็นแก่หน้าฮูหยินผู้เฒ่าที่เสียไปแล้วถึงได้เรียกเจ้าว่า ‘ญาติผู้พี่’ หรอกนะ เจ้ากลับไม่สำเหนียกว่าตนเองเป็นคนนอกจริงๆ ข้ากับท่านแม่เพิ่งกลับมาถึงจวนก็ต้องมาเจอเจ้าขับขานกลอนบ้าบอคอแตกอันใดก็ไม่รู้อยู่ในสวน นี่เจ้าตั้งใจจะรบกวนข้ากับท่านแม่ใช่หรือไม่ ข้าจะบอกให้นะ มาขออาศัยเขาอยู่ก็ควรจะหัดเจียมเนื้อเจียมตัวเสียบ้าง!”

เดิมทีในใจหมิงฉู่ก็หงุดหงิดเรื่องที่ต้องเข้าจวนทางประตูข้างอยู่แล้ว บ่าวรับใช้ในจวนที่พบเจอระหว่างทางก็ไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนอย่างที่เขตหยางซี ต่อมายังเจอเสิ่นฮว่าขับขานกลอนวสันต์โศกอันใดก็ไม่รู้อยู่ในสวนอีก เพลิงโทสะของนางจึงสะกดกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป ถ้อยคำที่พูดออกมาแฝงความประชดเสียดสีเปี่ยมล้น ในน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความโอหังอวดดีอย่างไม่ลดราวาศอก

เสิ่นฮว่าฉุนจัด

ก่อนหน้านี้นางกับหมิงถานปะทะกันอย่างลับๆ ก็มักจะถูกทำให้โมโหจนทนไม่ไหวอยู่บ่อยๆ แต่ว่าดีร้ายอย่างไรหมิงถานก็เป็นสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลมีชื่อเสียง นางก็แค่ซ่อนเข็มไว้ในผ้าแพร* ไหนเลยจะหยาบคายไร้มารยาทไม่มีความเป็นกุลสตรีเช่นนี้!

ขณะที่เสิ่นฮว่ากำลังจะเปิดปากตอกกลับไป จู่ๆ ก็มีเสียงเหน็บแนมอย่างเฉยชาดังขึ้นมาจากด้านหลัง “พี่สามระมัดระวังคำพูดด้วย ท่านแม่อยู่ที่เรือนหลันซินต่างหาก หาใช่ที่นี่ไม่”

ทั้งสองฝ่ายที่กำลังประจันหน้ากันหันหน้าไปมองในทันที

พวกนางเห็นบ่าวรับใช้ในชุดสีเขียวกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากหัวมุมของเฉลียงทางเดิน พอเดินมาได้ช่วงหนึ่ง บ่าวรับใช้กลุ่มนี้ก็หยุดฝีเท้าลง ยืนแยกเรียงออกเป็นสองแถว ก้มศีรษะลงอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย…

เด็กสาวในชุดกระโปรงสีขาวหยกปักลายด้วยด้ายทองคำเดินออกมาจากตรงกลางด้วยฝีเท้าเนิบช้า นางผิวขาวดุจหิมะ เส้นผมดำขลับ ดวงตาทั้งสองข้างประหนึ่งสายธารา มือเรียวบางโบกพัดกลมเบาๆ ในทุกย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้า ปิ่นห้อยระย้ารูปจันทร์สีเงินตรงศีรษะก็จะขยับไหวเปล่งประกายระยิบระยับออกมา

ทั้งที่มิได้แต่งกายงดงามหรูหรามากมาย แต่แค่มองจากไกลๆ กลับให้ความรู้สึกบอบบางงามละเมียดละไม เหมือนดั่งแจกันกระเบื้องเคลือบเลอค่าราคาแพงที่วางไว้กับพื้นก็กลัวล้มประคองไว้ในมือก็กลัวแตก งดงามจนทำให้คนไม่อาจเบนสายตาหนีได้

แม้ว่าเสิ่นฮว่าจะเห็นภาพเช่นนี้มามากแล้ว แต่ก็ยังตะลึงงันไปชั่วขณะเช่นกัน กว่าจะได้สติกลับคืนมา นางไม่รู้ว่าควรจะแอบเสียดสีในความเสแสร้งดัดจริตของหมิงถานเหมือนอย่างทุกทีดี หรือว่าควรจะขอบคุณในความเสแสร้งจอมปลอมของหมิงถานที่สามารถสยบสตรีปากร้ายบางคนที่ไม่รู้จักมารยาทของการเป็นกุลสตรีได้ดี

“นี่คงจะเป็นคุณหนูสี่กระมัง” หลิ่วอี๋เหนียงจำหมิงถานได้อย่างรวดเร็ว นางแย้มยิ้มนุ่มนวล เอ่ยเสียงละมุนว่า “ไม่เจอกันหลายปี บัดนี้คุณหนูสี่รูปโฉมงดงามชวนมองจริงๆ”

ที่ก่อนหน้านี้หลิ่วอี๋เหนียงมิได้ห้ามปรามหมิงฉู่ หลักๆ เป็นเพราะนางไม่ได้เห็นเสิ่นฮว่าอยู่ในสายตาเท่าไร ทว่าหมิงถานนั้นไม่เหมือนกัน หากหมิงถานเอาเรื่องคำเรียกขาน ‘ท่านแม่’ นี้ไปฟ้องจนเรื่องไปถึงเผยซื่อ เกรงว่าคงจะไม่เป็นผลดีกับพวกนางแน่นอน

“อี๋เหนียงชมเกินไปแล้ว ข้าว่าบัดนี้พี่สามเองก็ดู…ไม่ค่อยเหมือนกับหญิงสาวที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมานานอย่างพวกข้าสักเท่าไร”

หมิงถานตอบรับคำชมของหลิ่วอี๋เหนียง ทว่ามิได้หันไปมองหลิ่วอี๋เหนียงแม้แต่น้อย แต่กลับมองสำรวจหมิงฉู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเชื่องช้าเหมือนอย่างที่หมิงฉู่มองดูเสิ่นฮว่าเมื่อครู่นี้

หมิงฉู่เพิ่งจะรู้สึกตัว “เจ้า!”

“เจ้าอันใดของท่านกัน พี่สาม ที่นี่คือเมืองหลวง การชี้นิ้วใส่ผู้อื่นยามพูดจาดูไม่งามยิ่ง” หมิงถานใช้พัดกดนิ้วของหมิงฉู่ลงอย่างแช่มช้า “พี่สามไม่ได้กลับมาเมืองหลวงเสียนาน คงจะลืมกฎระเบียบไปไม่น้อย ยกตัวอย่างในวันนี้ที่ท่านไม่รู้ว่า ‘ท่านแม่’ อยู่ที่ใด ไม่เคารพญาติพี่น้องที่มาจากแดนไกล ทั้งยังยกนิ้วชี้หน้าใส่ ไม่ทะนุถนอมน้องสาวเยาว์วัย หากไปทำเรื่องเช่นนี้ข้างนอกเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่งก็พอให้คนหัวเราะเยาะไปครึ่งปีแล้ว คนที่ควรจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวคือพี่สามต่างหาก”

“…”

หมิงฉู่ถูกคำพูดของตนเองก่อนหน้านี้ตอกกลับมาทีละประโยค จึงเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ จ้องมองหมิงถานเขม็งจนดวงตาแทบจะพ่นไฟออกมาอยู่รอมร่อ!

ครั้นเห็นว่าหมิงฉู่ทำท่าจะชักแส้อ่อนตรงข้างเอวออกมาเล่นงานคน หลิ่วอี๋เหนียงก็รีบเดินเข้าไปกดมือนางเอาไว้ ร้องเรียกเสียงต่ำ “ฉูฉู่!”

หมิงฉู่จ้องมองเด็กสาวตรงหน้าตาเขม็ง คำว่า ‘นางสารเลว’ มาถึงตรงริมฝีปากแล้วด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้เหตุไฉนสุดท้ายนางก็กลืนกลับลงท้องไป

มารดาของนางพูดถูก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอดทนรอให้การหมั้นหมายเรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน เผยซื่อเป็นมารดาใหญ่ของนาง หากถูกอีกฝ่ายจับผิดทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ฉวยโอกาสขัดขวางตอนนางหาคู่แต่งงานคงจะไม่คุ้มกัน!

 

เชิงอรรถ

* จวิ้นจู่ เป็นบรรดาศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์หญิงในจีนสมัยโบราณ โดยทั่วไปมักแต่งตั้งให้แก่บุตรสาวในชายาเอกของชินอ๋อง

** ตั่งกุ้ยเฟย หรือตั่งเซียงเฟย คือตั่งยาวที่มีเท้าแขนข้างหนึ่งให้เอนนอนได้ สตรีสูงศักดิ์ในวังเช่น อัครชายา (กุ้ยเฟย) และราชชายา (เซียงเฟย) นิยมใช้เอนกายพักผ่อนอิริยาบถ ตั่งคนงาม พนักคนงามก็เรียก

* ซ่อนเข็มไว้ในผ้าแพร เป็นสำนวน หมายถึงภายนอกดูสุภาพเป็นมิตร แต่จริงๆ แล้วภายในใจโหดเหี้ยมชั่วร้าย คล้ายกับสำนวนไทยว่าหน้าเนื้อใจเสือ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: