บทที่ 60
ค่ายกลปกป้องเมืองถูกทำลาย เด็กและผู้ใหญ่ในเมืองเหิงหยางต่างส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก
เมิ่งถังเวลานี้จะอย่างไรก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนในขั้นหยวนอิง แม้สถานการณ์จะคับขันอันตรายเช่นนี้ แต่จะปกป้องตนเองย่อมไม่เป็นปัญหาแน่นอน
นอกจากนี้เพราะดวงจิตของชิงหลวนคือวิหคเทพอันเป็นลักษณะพิเศษ นางจึงขออาสากับมู่หวาฮุยไปกำจัดนกประหลาดบนท้องฟ้าเหล่านั้น
นกประหลาดบนฟ้าเหล่านี้แม้จะไม่มีพลังเข่นฆ่าสังหารมากเท่ามารกับมารอสูรเหล่านั้น แต่ส่งเสียงร้องแปลกประหลาด ‘แคกๆ’ บินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะผู้คนก็สร้างแรงกดดันให้กับคนอย่างมาก พวกมันยังพุ่งลงมา ไม่ก็ใช้กรงเล็บแหลมคมคว้าตัวคนบินขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็เหวี่ยงลงมา หรือไม่ก็อาศัยจะงอยปากที่แหลมคมจิกลงไปที่ตัวคนอย่างแรง ทุกคนล้วนมีเลือดเนื้อเป็นคนธรรมดาย่อมไม่อาจต้านทานได้ไหว
มู่หวาฮุยรู้ถึงกำลังความสามารถของเมิ่งถังในเวลานี้กลับไม่ได้ไม่อนุญาต เพียงกำชับนางให้ระมัดระวัง ไม่อาจฝืนกำลังเกินตัว ถ้ามีเรื่องอันใดให้รีบเรียกเขาทันที จากนั้นก็กุมกระบี่อู๋จี๋พุ่งไปที่นอกกำแพงเมือง
เมื่อเทียบกับการบุกเข้าโจมตีทัพใหญ่ของแดนมารที่รุกเข้าถึงนอกเมืองแล้ว เห็นได้ชัดว่าการจัดการกับเหล่านกประหลาดในเมืองดูจะปลอดภัยยิ่งกว่า
ก่อนหน้านี้แม้เมิ่งถังจะเคยผ่านการทำศึกมาหลายครั้ง แต่ยังคงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสถานการณ์การสู้รบที่ใหญ่โตเช่นนี้ ถ้าจะบอกว่าในใจไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยย่อมเป็นไปไม่ได้
แต่ถึงจะหวาดกลัวเพียงใดก็ต้องกัดฟันเข้าต่อสู้
กุมชิงหลวนไว้ในมือมั่น นางเหินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
พร้อมๆ กับที่นางเข้าสู่ขั้นหยวนอิง ชิงหลวนกับนางไม่เพียงนับวันยิ่งรู้ใจกัน พลังอำนาจอันน่าเกรงขามของมันในฐานะกระบี่เซียนก็ยิ่งปรากฏชัดมากขึ้น
บ่อยครั้งเมิ่งถังเพียงกวัดแกว่งมือออกไป ไอกระบี่สีมรกตจางๆ ประดุจลมพายุพัดโหม ผ่านไปทางใดไม่มีนกประหลาดอยู่รอดปลอดภัยแม้แต่ตัวเดียว
บางครั้งพบเห็นนกประหลาดก่อเหตุอยู่ในที่ไกลออกไป เมิ่งถังรุดไปช่วยไม่ทันก็ชูมือขว้างชิงหลวนออกไป ชิงหลวนพลันกลายร่างเดิมเป็นวิหคเทพพุ่งเข้าไปพ่นเปลวเพลิงออกจากปากทีเดียวก็จบเรื่องแล้ว
ภายใต้การสู้รบที่ดุเดือดเช่นนี้ นกประหลาดที่ยกกันมามืดฟ้ามัวดินไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าใด บินอยู่เหนือศีรษะปิดฟ้าบังเดือน ถึงกับถูกเมิ่งถังกับชิงหลวนกำจัดไปแล้วเจ็ดแปดส่วน สามารถมองเห็นท้องฟ้ายามราตรีที่ปลอดโปร่งและจันทร์เต็มดวงที่อยู่เหนือศีรษะได้แล้ว
เมิ่งถังลอบระบายลมหายใจยาวออกมา
เหลือเพียงเก็บกวาดงานในช่วงท้าย นางก็จะเร่งรุดไปที่นอกเมืองร่วมต่อต้านข้าศึกกับมู่หวาฮุยได้แล้ว
ในยามนี้เอง นางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องเสียงแหลมดังขึ้นมาในหู
หันมองไปตามเสียงก็เห็นว่ามีนกประหลาดตัวหนึ่งรูปร่างใหญ่โตมาก สามารถเรียกได้ว่าเป็นจ้าวแห่งนกประหลาดเหล่านี้ได้เลย กำลังใช้กรงเล็บคู่หนึ่งคว้าจับอวิ๋นชูเยวี่ยแล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
แม้เมิ่งถังจะไม่ชอบอวิ๋นชูเยวี่ย แต่จะอย่างไรก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักย่อมไม่อาจนิ่งดูดายมองนางตายอยู่ตรงหน้าตนโดยไม่ช่วยเหลือ
นอกจากนี้เพราะเรื่องของชุยเย่า เมิ่งถังจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าตนติดค้างอวิ๋นชูเยวี่ยอยู่หนึ่งชีวิต
ครั้นแล้วจึงรีบหมุนตัวพุ่งทะยานไปที่นกประหลาดตัวนั้น
แต่มาได้ครึ่งทางพลันเห็นโจวอิ้งเสวี่ยกำลังถูกนกประหลาดตัวหนึ่งโจมตีอยู่ หัวไหล่ซ้ายไม่เพียงถูกจะงอยปากแหลมคมของนกประหลาดตัวนั้นจิกได้รับบาดแผล มองเห็นโลหิตสดไหลไม่หยุด กระทั่งกระดูกขาวก็โผล่ออกมาเป็นที่น่าสะพรึงกลัว
แต่แม้กระนั้นก็ไม่เห็นโจวอิ้งเสวี่ยร้องออกมาแม้แต่คำเดียว หากแต่กัดฟันแน่น มือขวายังคงกวัดแกว่งกระบี่ไม่หยุด คิดจะสังหารนกประหลาดตัวนั้นให้ตาย
เรื่องราวย่อมแบ่งเป็นหนักเบาเร่งด่วน อีกทั้งโจวอิ้งเสวี่ยแม้อยู่ห่างจากตนแต่ก็ใกล้กว่าอวิ๋นชูเยวี่ย
ครั้นแล้วเมิ่งถังจึงหักเลี้ยวกลางทาง พุ่งไปที่ข้างกายโจวอิ้งเสวี่ยก่อน
เพื่อจะหลีกเลี่ยงตอนกวัดแกว่งกระบี่จะพลาดไปถูกโจวอิ้งเสวี่ยเข้า เมิ่งถังจึงทิ้งกระบี่มาใช้มือ
สองมือจับไปที่ปีกข้างหนึ่งของนกประหลาดแน่น ออกแรงฉุดลากมันไปที่ด้านข้าง
แต่พละกำลังของนางมีจำกัด ฉุดลากอย่างไรก็ไม่ขยับกลับไปกระตุ้นความดุร้ายของนกประหลาดตัวนั้น
กรงเล็บแหลมคมคู่นั้นยังคงเกาะโจวอิ้งเสวี่ยไม่ปล่อย ทางหนึ่งกระพือปีกของตนเอง ทางหนึ่งก็หันหน้ามาจะจิกเมิ่งถัง
ติงเล่อเซวียนที่ต่อสู้กับนกประหลาดตัวหนึ่งอยู่ที่ด้านข้างเห็นแล้วรีบวิ่งเข้ามาช่วย
นกประหลาดที่พันพัวอยู่กับติงเล่อเซวียนตัวนั้นก็กระโจนเข้ามาจะโจมตีติงเล่อเซวียนต่อ
เรื่องนี้จัดการไม่ยาก เมิ่งถังสั่งการชิงหลวนให้บินขึ้นไปพ่นไฟออกมาคำเดียวก็เผานกตัวนั้นจนลุกไหม้กลายเป็นลูกไฟสลายไป
เมิ่งถังกับติงเล่อเซวียนสองคนร่วมแรงร่วมใจกัน สุดท้ายก็ดึงนกประหลาดตัวนั้นออกมาจากร่างของโจวอิ้งเสวี่ยได้สำเร็จ
โจวอิ้งเสวี่ยแม้จะเจ็บจนใบหน้าซีดขาว หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น แต่ยังคงกัดฟัน พลิกมือเสือกกระบี่ออกไป แทงเข้าไปที่หัวใจของนกประหลาดตัวนั้นอย่างแรง
นี่ก็นับว่าล้างแค้นให้กับตนเองแล้ว
เมิ่งถังทางหนึ่งหอบหายใจ ทางหนึ่งบอกกับติงเล่อเซวียนและโจวอิ้งเสวี่ย “พวกเจ้าสองคนรีบหาเรือนสักหลังแล้วเข้าไปหลบ รอข้าเผานกประหลาดที่เหลือเหล่านี้แล้วพวกเจ้าค่อย…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของอวิ๋นชูเยวี่ยดังขึ้นทันที
เมิ่งถังเงยหน้าขึ้นมอง อดอุทานให้ตายสิออกมาไม่ได้
ไม่มีเวลาจะมาสั่งกำชับติงเล่อเซวียนและโจวอิ้งเสวี่ยต่อ เมิ่งถังก็ตะโกนเรียกชิงหลวนคำหนึ่ง ขี่กระบี่เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า
ที่แท้นกประหลาดที่จับอวิ๋นชูเยวี่ยไปตัวนั้น เห็นว่าระดับความสูงเพียงพอที่จะโยนคนลงไปให้กลายเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อได้แล้วจึงปล่อยกรงเล็บทันที
จากนั้นอวิ๋นชูเยวี่ยก็ร่วงตกลงไปเป็นเส้นตรง
ประเด็นสำคัญก็คือนางทางหนึ่งร่วงลงไปทางหนึ่งก็ส่งเสียงกรีดร้องไปด้วย
เมิ่งถังรีบขี่กระบี่พุ่งเข้าไปรับตัวนางไว้
ตอนพานางกลับลงมาที่พื้น ติงเล่อเซวียนและโจวอิ้งเสวี่ยยังไม่ทันหาเรือนที่เหมาะสมเข้าไปหลบภัยได้
เมิ่งถังจึงมอบอวิ๋นชูเยวี่ยให้กับติงเล่อเซวียน
เห็นชัดว่าสองขาของอวิ๋นชูเยวี่ยอ่อนยวบแล้ว ตอนเมิ่งถังปล่อยมือ นางก็ลื่นไถลลงไปนั่งกับพื้นราวกับโคลนเหลว
ติงเล่อเซวียนมองดูนาง ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายยังคงเดินเข้ามายื่นมือไปประคองนางขึ้น
ตอนแรกเมิ่งถังหมุนตัวจะขี่กระบี่จากไป แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว หันหน้ามาว่ากล่าวอวิ๋นชูเยวี่ย
“อวิ๋นชูเยวี่ย ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ไม่ใช่คนธรรมดาจะเทียบได้ เมื่อครู่เจ้าถูกนกประหลาดจับไปหรือจะไม่รู้จักช่วยเหลือตนเอง ตอนถูกมันโยนลงมาหรือเจ้าไม่รู้จักขี่กระบี่ เอาแต่กรีดร้องมีประโยชน์อันใด หรือเห็นว่าแค่กรีดร้องแล้วจะช่วยชีวิตเจ้าได้”
ถ้าจะบอกว่าอ่อนแอบอบบาง หรือโจวอิ้งเสวี่ยไม่ใช่บุตรสาวเจ้าเมือง มีอันใดด้อยกว่าเจ้าหรือ
นางยังไม่นับเป็นผู้บำเพ็ญเซียนด้วยซ้ำ กระทั่งขี่กระบี่ก็ยังไม่เป็น แต่เมื่อครู่ตอนนางถูกโจมตีก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องสักคำ รู้จักช่วยเหลือตนเอง
เช่นนี้เมื่อหันไปมองอวิ๋นชูเยวี่ยอีกครั้ง เมิ่งถังก็รู้สึกแทบไม่อยากจะมอง
จึงเอ่ยเสียงเย็น “ศิษย์น้องอวิ๋น ที่ติดค้างเจ้าอยู่หนึ่งชีวิตข้าใช้คืนให้แล้ว”
พูดพลางนางก็หมุนตัวขี่กระบี่จากไป เริ่มงานเก็บกวาดในช่วงท้ายของตน
ติงเล่อเซวียนมองอวิ๋นชูเยวี่ยที่โกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ แล้วประคองนางเดินเข้าไปในเรือนที่อยู่ด้านข้างหลังหนึ่งเงียบๆ
โจวอิ้งเสวี่ยรู้ ยามนี้ตนบาดเจ็บหนัก ถ้ายังอยู่ข้างนอก ไม่เพียงไม่อาจช่วยเมิ่งถังได้ เกรงว่ายังจะทำให้นางต้องแบ่งสมาธิมาตลอดเวลาจึงตามติงเล่อเซวียนเข้ามาในเรือนเงียบๆ
เพียงแต่ถึงจะเข้ามาในเรือนแล้ว นางยังคงยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่าง แหงนหน้ามองเมิ่งถังตลอดเวลา
ก็เห็นเงาร่างของเมิ่งถังรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ เห็นอยู่ว่าเมื่อครู่ยังด้านตะวันออกสังหารนกประหลาดตัวหนึ่งในกระบี่เดียว พริบตาถัดมานางก็มาปรากฏตัวที่ด้านตะวันตก ประกายกระบี่พุ่งผ่านไป นกประหลาดสองตัวทางซ้ายตัว ทางขวาตัวต่างร่างขาดเป็นสองท่อน ขนปีกสีดำบนร่างนกร่วงพรูลงมาปานประหนึ่งหิมะสีดำตก
โจวอิ้งเสวี่ยมองเมิ่งถังที่เป็นเช่นนี้อดที่จะชื่นชมไม่ได้ “เมิ่งเซียนจื่อร้ายกาจยิ่งนัก ทำให้คนเลื่อมใสใฝ่ฝัน”
อวิ๋นชูเยวี่ยถูกติงเล่อเซวียนประคองไปนั่งที่ม้านั่งตัวหนึ่งได้ยินแล้วก็แค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง
ติงเล่อเซวียนได้ยินชัดเจน อดที่จะเงยหน้าขึ้นมองนางไม่ได้
เมื่อกลางวันเมิ่งถังถูกฟ่านตูจับตัวไป ปล่อยนกกระเรียนกระดาษตัวนั้นออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือกลับถูกอวิ๋นชูเยวี่ยชักกระบี่ฟันขาด
ติงเล่อเซวียนแม้จะเร่งรุดไปบอกมู่หวาฮุยเรื่องเมิ่งถังมีอันตราย แต่ก็ลังเลแล้วลังเลอีก สุดท้ายนางก็ไม่ได้บอกเรื่องที่อวิ๋นชูเยวี่ยฟันนกกระเรียนขาดออกไป
เพียงแต่หลังจากเรื่องผ่านไปติงเล่อเซวียนมาใคร่ครวญถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดกลับอดเย็นยะเยียบไปทั้งร่างไม่ได้
เพราะนางนึกขึ้นมาได้ว่าสองวันก่อนมู่หวาฮุยยืนกรานจะยกเลิกการหมั้นหมาย อวิ๋นชูเยวี่ยไม่ยินยอม เรื่องนี้ยังถูกหลิงซิงเหยาได้ยินเข้า
อวิ๋นชูเยวี่ยคิดจะไปอธิบายกับหลิงซิงเหยา หลิงซิงเหยากลับไม่สนใจนาง หมุนตัวเข้าห้องปิดประตู
หลังจากนั้นอวิ๋นชูเยวี่ยก็ร้องไห้วิ่งออกไป ตนได้รับการไหว้วานจากอวิ๋นซิวไป่ให้ตามไปปลอบใจอวิ๋นชูเยวี่ย
ครานั้นนางหาอวิ๋นชูเยวี่ยพบก็เห็นนางนั่งอยู่กับบุรุษผู้บำเพ็ญเซียนอิสระสองคนกำลังสนทนากันเรื่องอาวุธวิเศษในแดนบำเพ็ญเซียน
เนื่องจากพักหลังมานี้อวิ๋นชูเยวี่ยนับวันยิ่งวางตัวเมินเฉยเหินห่างต่อตน ติงเล่อเซวียนไม่อยากจะเข้าไปใกล้นางมากนักจึงยืนฟังอยู่ห่างๆ
ระหว่างนั้นเองก็ได้ยินอวิ๋นชูเยวี่ยเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเซียนอิสระสองคนนั้นถึงกระบี่คู่กายของเมิ่งถังว่าเป็นอาวุธเทพชิ้นหนึ่งสามารถกลายร่างเป็นร่างที่มีจิตวิญญาณได้ตามใจชอบ
ตอนนั้นติงเล่อเซวียนยังเคยคิด ก่อนลงจากเขามาฝึกฝนหาประสบการณ์ ผู้อาวุโสซ่งแห่งหอคุมกฎยังเรียกพวกนางหลายคนที่รู้เรื่องนี้ไปสั่งกำชับเป็นพิเศษ บอกเรื่องนี้เป็นความลับของสำนัก ห้ามพวกนางเปิดเผยให้คนนอกรู้แม้แต่ครึ่งคำ เหตุใดยามนี้ศิษย์น้องอวิ๋นถึงกับบอกเรื่องนี้กับบุรุษภายนอกสองคนที่ไม่มีความคุ้นเคยใดๆ ต่อกัน
ทว่าตอนนั้นนางก็ไม่ได้เข้าไปห้ามปราม หลังจากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับอวิ๋นชูเยวี่ย ด้วยเหตุนี้อวิ๋นชูเยวี่ยจึงไม่รู้ว่านางได้ยินคำพูดเหล่านั้นทั้งหมด
แต่เมื่อมาคิดโยงกับเรื่องที่เมิ่งถังเล่าให้ฟังในตอนบ่าย บอกฟ่านตูผู้นั้นอยากได้กระบี่ชิงหลวนของนางถึงได้จับตัวนางไป…
ฟ่านตูผู้นั้น ใช่หนึ่งในสองผู้บำเพ็ญเซียนอิสระสองคนนั้นในวันนั้นหรือไม่
ดังนั้นอวิ๋นชูเยวี่ยคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าฟ่านตูต้องอยากได้กระบี่ชิงหลวน และมาทำร้ายเมิ่งถัง
นางกระทั่งยังฟันนกกระเรียนกระดาษที่เมิ่งถังปล่อยออกมาขอความช่วยเหลือจนขาด…
คิดมาถึงตรงนี้ติงเล่อเซวียนเพียงรู้สึกในใจยิ่งเย็นยะเยือก
ก็รู้สึกว่าอวิ๋นชูเยวี่ยเกิดมามีใบหน้าอ่อนแอบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเสียเปล่า เบื้องหลังกลับใจดำอำมหิตเช่นนี้
ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนจะไม่รู้ได้อย่างไร คิดจะเอาอาวุธคู่กายของผู้อื่นมาเป็นของตน ย่อมต้องสังหารคนผู้นั้นเสียก่อน
เห็นชัดว่าอวิ๋นชูเยวี่ยต้องการเล่นงานเมิ่งถังถึงตาย
แต่ในสายตาของติงเล่อเซวียน เมิ่งถังแม้แต่ไรมาจะพูดจาไม่ไว้หน้าผู้อื่น แต่นางไม่เคยทำเรื่องใดๆ ที่ทำให้อวิ๋นชูเยวี่ยโกรธอย่างจริงจัง นางกระทั่งยังเคยลงมือช่วยอวิ๋นชูเยวี่ย เหตุใดอวิ๋นชูเยวี่ยจึงอยากให้เมิ่งถังตายถึงเพียงนี้ด้วย
ครั้นแล้วเวลานี้ติงเล่อเซวียนจึงไม่อยากใกล้ชิดอวิ๋นชูเยวี่ยเป็นอย่างมาก
ประคองนางมานั่งที่ม้านั่ง หันหน้าไปเห็นที่หัวไหล่โจวอิ้งเสวี่ยโลหิตยังไหลไม่หยุด จึงเดินเข้าไปเอายาห้ามเลือดใส่ให้นาง
โจวอิ้งเสวี่ยหันมายิ้มให้นาง กล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ
ติงเล่อเซวียนก็ยิ้มตอบนาง บอกอย่างเกรงใจว่าไม่ต้องขอบคุณ
อวิ๋นชูเยวี่ยเห็นบรรยากาศระหว่างพวกนางสองคนนั้นดูสนิทสนมกันดี สองมือก็กำเข้าหากันแน่น
เมื่อครู่เห็นอยู่ว่าเมิ่งถังเห็นนางถูกนกประหลาดนั่นโจมตีก่อน แต่ระหว่างทางกลับรีบไปช่วยโจวอิ้งเสวี่ย รอจนนางถูกนกประหลาดโยนลงมาจากท้องฟ้า เมิ่งถังถึงได้ขี่กระบี่ไปรับตัวนางไว้
หลังจากช่วยนางแล้วยังตำหนินางต่อหน้าโจวอิ้งเสวี่ยกับติงเล่อเซวียนอีกด้วย
อย่างไรกันเมิ่งถังคิดว่าช่วยชีวิตนางไว้ก็สามารถชักสีหน้าสั่งการผู้อื่น วางท่าเป็นศิษย์พี่ต่อหน้านางเช่นนั้นหรือ
แล้วตอนนี้ทั้งที่เห็นอยู่ว่านางกับติงเล่อเซวียนต่างหากที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก แต่ตั้งแต่ต้นจนจบติงเล่อเซวียนกลับไม่ได้กล่าวปลอบใจนางแม้แต่คำเดียว เพียงรีบไปดูแลโจวอิ้งเสวี่ย
อวิ๋นชูเยวี่ยในใจรู้สึกโกรธอย่างมาก
หนึ่งคนก็แล้วสองคนก็แล้ว นับวันยิ่งไม่เห็นความสำคัญของนางขึ้นทุกที
ถ้าเมิ่งถังรู้ว่าตนช่วยอวิ๋นชูเยวี่ยไว้แล้ว อีกฝ่ายไม่เพียงไม่ขอบคุณ ในใจยังเพิ่มความเกลียดชังนางมากขึ้นอีกสองส่วนแล้วล่ะก็ นางจะต้องนึกเสียใจที่ได้ช่วยอวิ๋นชูเยวี่ยไว้
ทว่ายามนี้นางหาได้รู้เรื่องนี้ ยังคงเก็บกวาดงานในช่วงท้ายอย่างขยันขันแข็ง
หลังจากกำจัดนกประหลาดที่กีดขวางอยู่บนท้องฟ้าเหล่านั้นจนหมดสิ้นแล้ว นางก็ขี่กระบี่มุ่งหน้าไปนอกเมือง
สมรภูมิที่นอกเมืองพูดได้ว่าน่าสยดสยองเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต แต่เมิ่งถังรู้สึกว่าอาจเพราะตนเพิ่งผ่านศึกอีกที่มา หัวใจทั้งดวงของนางได้รับการหล่อหลอมจนแข็งแกร่งยิ่ง ดังนั้นตอนนี้นางจึงไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
เพียงมองหาเงาร่างของมู่หวาฮุยท่ามกลางเหล่ามารและมารอสูรที่ไหลมาดุจกระแสน้ำอย่างใจจดใจจ่อ
รอหาเจอแล้วก็รีบขี่กระบี่พุ่งเข้าไป ร้องเรียก “ศิษย์พี่!”
มู่หวาฮุยสังหารเหล่ามารที่โอบล้อมเข้ามารอบด้านในกระบี่เดียว แล้วหันมามองเมิ่งถัง
“อันตราย รีบกลับไป!”
พูดพลางกระบี่ในมือก็วาดออกไปไม่หยุด
“ข้าไม่กลับ!”
เมิ่งถังกลับไม่เชื่อฟังเขาอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น เหินทะยานลงมา กุมชิงหลวนในมือแน่นแล้วเข้าร่วมการทำศึก
นางทางหนึ่งสังหารข้าศึก ทางหนึ่งยังเหลียวมองไปรอบด้าน
ก็เห็นในที่ไกลออกไปมีสถานที่คล้ายแท่นสูงอยู่แห่งหนึ่ง โม่เซียวยืนสองมือไพล่หลังอยู่บนนั้น สายตาเจือความบ้าระห่ำกำลังมองมาทางนี้
เมิ่งถังรู้เขากำลังมองมู่หวาฮุย เกรงว่าในใจยังกำลังวางแผนว่าต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้มู่หวาฮุยยินยอมพร้อมใจเข้าสู่ความเป็นมารด้วยตนเอง
คนสติฟั่นเฟือนผู้นี้!
เขาถือดีอย่างไรมาคิดว่าเรื่องทุกอย่างขอเพียงเขาต้องการก็พอแล้ว ความเจ็บปวดทรมานของมู่หวาฮุยเขาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย กระทั่งเห็นว่าเจ็บปวดทรมานก็ยิ่งดีจะได้ทำให้มู่หวาฮุยเข้าสู่ความเป็นมารเร็วขึ้นใช่หรือไม่
ขอเพียงคนผู้นี้ตายแล้ว หลังจากนี้ความเสี่ยงที่มู่หวาฮุยจะเข้าสู่ความเป็นมารก็ย่อมต่ำลงมาก
คิดมาถึงตรงนี้เมิ่งถังก็เริ่มประเมินกำลังความสามารถระหว่างตนกับโม่เซียว
กำลังความสามารถของตัวนางเอง ผู้ฝึกวิชากระบี่ขั้นหยวนอิงที่สดใหม่เพิ่งออกจากเตา ภายนอกมีอาวุธเทพกระบี่ชิงหลวนเพิ่มเข้ามาอีกเล่มหนึ่ง ไม่พูดถึงขั้นต้าเฉิง แต่อย่างน้อยประมือกับผู้มีพลังวัตรขั้นหยวนอิงช่วงปลายนางน่าจะพอถูไถรับมือได้
ส่วนกำลังความสามารถของโม่เซียว นางไม่ทราบ…
เรื่องนี้ความจริงแล้วก็ไม่อาจตำหนิเมิ่งถัง
เพราะในหนังสือนิยาย โม่เซียวเป็นเพียงบุคคลที่เป็นเครื่องมือในการผลักดันให้มู่หวาฮุยเข้าสู่ความเป็นมาร เรียกได้ว่าถ้าหากมู่หวาฮุยเรียกหาก็พร้อมจะไปอยู่เคียงข้างช่วยเหลือ
คิดว่านักเขียนเดิมก็ไม่ได้กำหนดลักษณะตัวละครตัวนี้ไว้อย่างละเอียด เพียงบอกมีกำลังความสามารถที่แข็งแกร่งคำเดียวก็จบเรื่อง
นอกจากนี้ภาพประทับใจของโม่เซียวที่มีต่อเมิ่งถัง นั่นคือเขาเป็นคนที่ลอบวางแผนการร้ายที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำไม่อาจให้ใครรู้อยู่เบื้องหลัง ทั้งไม่เคยสังเกตเห็นว่าเขาเคยต่อสู้กับใครมาก่อนเลยจริงๆ
ครั้นแล้วเมิ่งถังก็ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายยังคงตัดสินใจเด็ดขาด พุ่งกระโจนไม่กี่ครั้งไปอยู่ที่ข้างกายมู่หวาฮุย
มารและมารอสูรที่อยู่รอบด้านพุ่งเข้ามาไม่ขาดสาย มีผู้บำเพ็ญเซียนระดับล่างหลั่งโลหิตอาบย้อมสถานที่แห่งนี้ไม่น้อยแล้ว
เมิ่งถังเห็นหลิงซิงเหยาก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ไอกระบี่เย็นยะเยียบสาดกระจายออกมาเป็นสายๆ
แม้เวลานี้พลังวัตรของเขาจะสูงส่งลึกล้ำ แต่สุภาษิตพูดไว้ได้ดี หมัดที่ชกออกมาสะเปะสะปะตียอดฝีมือให้ตายได้* มารและมารอสูรบุกเข้ามาเป็นระลอก ตายแล้วก็มีมารและมารอสูรอีกกลุ่มบุกเข้ามา ถึงจะเป็นการต่อสู้แบบเวียนเทียนแต่ไม่ช้าก็เร็วก็ทำให้คนเหนื่อยตายได้
แต่ถ้าโม่เซียวตายแล้ว ฝูงมังกรไร้เศียร** ก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่ถอย
ดียิ่งนัก มีเหตุผลที่โม่เซียวต้องตายเพิ่มขึ้นมาอีกข้อแล้ว
เมิ่งถังกับมู่หวาฮุยยืนหันหลังชนกันทำศึก เช่นนี้ทั้งสองคนไม่เพียงสามารถต้านทานข้าศึกต่อไปได้ ยังรับรองได้ว่าจะไม่ถูกข้าศึกโจมตีที่ด้านหลัง
เมิ่งถังทางหนึ่งกวัดแกว่งกระบี่ไม่หยุด ทางหนึ่งก็ปรึกษากับมู่หวาฮุยเสียงต่ำ
“ศิษย์พี่ ท่านเห็นโม่เซียวที่ยืนอยู่บนแท่นสูงทางด้านนั้นหรือไม่ เอาอย่างนี้ข้าคิดจะไปลองหยั่งเชิงกำลังความสามารถของเขา ท่านคุ้มกันข้าเข้าไป”
ที่นี่อยู่ห่างจากจุดที่โม่เซียวอยู่ยังไกลพอสมควร
ประเด็นคือระหว่างทางมีมารกับมารอสูรอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งยิ่งเข้าไปใกล้ข้างกายโม่เซียว มารกับมารอสูรเหล่านั้นก็ยิ่งมีพลังวัตรสูงส่งลึกล้ำ ถ้าไม่มีคนช่วยคุ้มกันเกรงว่าเมิ่งถังยังไปไม่ถึงเบื้องหน้าโม่เซียวก็คงสิ้นเรี่ยวแรงตายไปก่อนแล้ว
บทที่ 61
ความจริงมู่หวาฮุยสังเกตเห็นโม่เซียวตั้งแต่แรกแล้ว และเคยคิดเรื่องจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าก่อน
แต่ความกังวลของเขาก็เหมือนกับเมิ่งถัง ห่วงว่าตนยังไม่ทันบุกไปถึงเบื้องหน้าโม่เซียวก็จะหมดแรงตายไปก่อนแล้ว
นอกจากนี้ต่อให้เขาไม่ได้หมดแรงตายไปก่อน ปราณวิเศษก็ต้องสิ้นเปลืองอย่างหนัก ยังจะต่อสู้กับโม่เซียวได้อย่างไร
ครั้งก่อนเขาเคยประมือกับโม่เซียวมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย จิตมารของเขาถูกโม่เซียวปลุกเร้า เขาก็ไม่กล้ารับรองว่าตนจะสามารถเอาชนะโม่เซียวได้
แต่เวลานี้เมิ่งถังถึงกับบอกว่าคิดจะไปเจอโม่เซียว
เขาจะยอมให้เมิ่งถังไปอยู่ในอันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร!
จึงดุนาง “อย่าก่อกวน!”
เมิ่งถังเบ้ปากอย่างออกจะไม่ยินยอม
หึ ศิษย์พี่เอาแต่บอกว่านางก่อกวน แต่ครั้งนี้นางไม่ได้รู้สึกว่าตนเองก่อกวนแม้แต่น้อย
ขอเพียงสังหารโม่เซียวแล้ว ไม่เพียงสามารถหยุดยั้งความวุ่นวายในการถูกข้าศึกโอบล้อมเมืองในครั้งนี้ได้ ไม่แน่ยังอาจยุติความเสี่ยงในวันข้างหน้าของมู่หวาฮุย ยิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้นกสองตัว ต่อให้มีอันตรายนางก็ควรจะลองดู
อย่างมากถึงตอนนั้นถ้าเห็นท่าไม่ดี นางก็หมุนตัววิ่งหนีไปก็แล้วกัน
จึงวางแผนจะไปหาโม่เซียวเพื่อต่อสู้ขั้นเด็ดขาด โดยไม่ต้องผ่านความยินยอมจากมู่หวาฮุย
อย่างไรเสียขอเพียงนางก้าวเท้าออกไป นางก็เชื่อว่ามู่หวาฮุยจะต้องช่วยคุ้มกันให้นางแน่นอน
แต่มู่หวาฮุยไหนเลยจะไม่รู้ว่าในใจนางกำลังคิดอะไร
หัวคิ้วขยับเข้าหากัน ได้ถ่ายทอดเสียงให้หลิงซิงเหยาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว “ศิษย์น้องหลิง คุ้มกันข้าด้วย”
หลิงซิงเหยาไม่หยุดเพลงกระบี่ในมือ เอียงหน้าหันมามอง
ความจริงเมื่อครู่ตอนเมิ่งถังขี่กระบี่เข้ามาหลิงซิงเหยาก็เห็นแล้ว
เมิ่งถังสวมชุดสีแดง เท้าเหยียบชิงหลวน จากในเมืองมาถึงอย่างรวดเร็วดุจสายลมดุจสายฟ้าแลบ
ทั่วร่างนางร้อนแรงดุจดวงอัคคีกลุ่มหนึ่ง ในท่วงทีองอาจห้าวหาญมีความงามแฝงอยู่ ยากยิ่งที่คนจะไม่สังเกตเห็น
แต่ดวงอัคคีกลุ่มนี้พุ่งไปที่มู่หวาฮุยอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ไม่เห็นคนอื่นใดอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง
ในใจของหลิงซิงเหยารู้สึกเศร้าสลด แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่ง
มู่หวาฮุยเดิมก็เป็นศิษย์พี่ของเมิ่งถัง และคอยอยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด คิดเพื่อนางทุกเรื่อง นางใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาก็เป็นเรื่องสมควร
แต่ความกลัดกลุ้มในใจไม่มีที่ให้ปลดปล่อย ไอกระบี่ที่กวัดแกว่งออกมาต่อจากนั้นเปรียบกับก่อนหน้านี้แล้วยิ่งเย็นยะเยือกมากขึ้น
มาบัดนี้ได้ยินมู่หวาฮุยถ่ายทอดเสียงมา เขาไม่ลังเลใดๆ รีบเหินทะยานเข้ามาทันที
ไม่ว่าปกติเขาจะไม่ยอมรับมู่หวาฮุยเพียงใด แต่ยามนี้ศึกใหญ่เพียงนี้ ทุกคนอาจตายได้ทุกเมื่อ ในฐานะศิษย์ร่วมสำนัก พวกเขาย่อมสมควรปกป้องกันและกัน
รอหลิงซิงเหยามาถึง มู่หวาฮุยก็ทะยานร่างพุ่งไปทางแท่นสูงที่โม่เซียวอยู่ทันที
เมิ่งถังเบิกตาค้างแล้ว ร้องเรียกเสียงดัง “ศิษย์พี่!”
คิดไม่ถึงว่ามู่หวาฮุยถึงกับชิงตัดหน้านางไปก้าวหนึ่ง ทำในสิ่งที่นางคิดจะทำแล้ว
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ไม่มีหนทางอื่น จำต้องแบกรับหน้าที่คุ้มกันไว้
มารอสูรของแดนมารกลุ่มนี้แม้จำนวนมากจะยังไม่ได้เปิดปัญญา แต่ยากจะต้านทานต่อร่างกายที่ใหญ่โตมโหฬาร ผิวหยาบหนังหนาโลหิตมากได้ อีกทั้งดูเหมือนจะไม่กลัวความเจ็บปวดเช่นนั้น แม้มือเท้าจะถูกฟันขาดแล้วยังสามารถเลื้อยขยุกขยิกอยู่บนพื้นได้
ส่วนมารเหล่านั้น พวกเขาก็ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรมีทั้งพลังวัตรสูงและพลังวัตรต่ำ
ปกติผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไปเจอกับมารอสูรและมารไม่กี่ตนก็หนักมือพอแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหน้าเต็มไปมารอสูรและมารแน่นขนัด
มู่หวาฮุยเพื่อจะรักษาปราณวิเศษในร่างกายจะได้ไปต่อสู้ขั้นเด็ดขาดกับโม่เซียว ระหว่างทางที่เร่งรุดไปเขาจึงลงมือน้อยมาก
ในเวลาเช่นนี้ย่อมต้องอาศัยเมิ่งถังกับหลิงซิงเหยาแล้ว
พวกเขาสองคนต่างเป็นผู้บำเพ็ญเซียนในขั้นหยวนอิงเช่นกัน คนหนึ่งมือกุมกระบี่เซียน คนหนึ่งที่กุมอยู่ในมือแม้จะไม่ใช่กระบี่เซียน แต่ก็เป็นกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของแดนบำเพ็ญเซียน
ชั่วขณะนั้นประกายกระบี่ทั้งสองก็เปล่งแสงวูบวาบไม่ขาดสาย ผ่านไปทางใดก็ฟาดฟันเหล่ามารอสูรและมารที่ขวางทาง เปิดเส้นทางที่เต็มไปด้วยโลหิตขึ้นมาสายหนึ่ง
สภาพการณ์ในเวลานี้มีแต่กลิ่นคาวโลหิตทำให้คนรู้สึกไม่สบายเป็นอย่างยิ่ง
แต่โม่เซียวที่ยืนอยู่บนแท่นสูงกลับเมินเฉยต่อภาพทั้งหมดนี้ สองมือไพล่หลัง สายตาจับจ้องอยู่ที่มู่หวาฮุยซึ่งค่อยๆ รุกประชิดเข้ามาทุกที
รอจนมู่หวาฮุยเข้ามาใกล้แท่นสูงก็มีลูกสมุนของอีกฝ่ายหลายตนจะเข้าไปสกัด ยังถูกโม่เซียวยกมือห้ามไว้
ครั้งก่อนเขาประมือกับมู่หวาฮุย กำลังความสามารถของมู่หวาฮุยเดิมสู้เขาไม่ได้ แต่ภายหลังเขาอาศัยเมิ่งถัง ใช้คำพูดไม่กี่คำยั่วยุมู่หวาฮุยจนสูญเสียการควบคุมอารมณ์ ไอมารโหมทะลักขึ้นมา พอพลั้งเผลอไม่ระมัดระวังไปชั่วขณะ เพียงแค่กระบวนท่ามือเดียวเขาก็ถูกมู่หวาฮุยจู่โจมเข้าที่กลางอกจนเลือดลมสับสนพลุ่งพล่าน ต้องกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บอยู่หลายวัน
ตอนนั้นผนึกที่ปิดอยู่ในร่างของมู่หวาฮุยแม้จะมีรอยแยก ยามที่ควบคุมตนเองไม่อยู่ก็จะมีไอมารทะลักออกมา แต่จะอย่างไรไอมารที่ออกมาก็ยังเป็นส่วนน้อย
แต่ถึงกระนั้นการโจมตีของมู่หวาฮุยก็ยังมีอานุภาพถึงปานนั้น
ถ้ามู่หวาฮุยเข้าสู่ความเป็นมารอย่างสมบูรณ์ กำลังความสามารถของเขาจะน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเพียงใด
ไม่เสียทีที่เป็นร่างมารสวรรค์ยากจะพบเจอในรอบพันปีหมื่นปีอย่างแท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่มารอื่นๆ จะเทียบเคียงได้
คิดมาถึงตรงนี้สายตาของโม่เซียวที่มองมู่หวาฮุยก็ยิ่งเร่าร้อนขึ้นมา
เมืองเหิงหยางอะไร ยาวิเศษที่ช่วยให้คนทะลวงผ่านคอขวดอันใด ความจริงแล้วล้วนเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
ความจริงแล้วเขามาเพื่อมู่หวาฮุย
ยามนี้เห็นมู่หวาฮุยพุ่งตรงมาหาเขาก็ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ไหนเลยยังจะยอมให้คนขัดขวาง
เห็นมู่หวาฮุยทะยานร่างขึ้นมาบนแท่นสูง เรือนร่างสูงโปร่ง ชายเสื้อสีครามถูกสายลมเจือกลิ่นอายโลหิตพัดกระพือขึ้น ดวงตาดำสนิทคู่นั้นสงบนิ่งดุจผิวน้ำลึก ท่วงทำนองทั่วร่างโปร่งใสและซื่อตรง โม่เซียวเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง
มารก็ควรมีท่าทีอย่างมาร
เขาควรมีนัยน์ตาแดงเรื่อเจือความกระหายเลือดคู่หนึ่ง ทั่วร่างควรมีกลิ่นอายของความเหี้ยมโหด เห็นใครขวางหูขวางตาก็ยื่นมือไปเอาชีวิตผู้นั้นทันที
สำนักฝ่ายธรรมะเหล่านั้นสอนมู่หวาฮุยจนผิดพลาดไปหมดแล้ว นับแต่นี้ไปเขาจะเริ่มแก้ไขให้ถูกต้อง
ครั้นแล้วโม่เซียวก็ก้าวช้าๆ ไปข้างหน้าสองก้าว ส่งยิ้มกำเริบเสิบสานให้มู่หวาฮุย
“ไม่ได้พบกันมาระยะหนึ่ง ให้ข้าลองทดสอบดูว่าพลังวัตรของเจ้าได้ก้าวหน้าขึ้นหรือไม่”
มู่หวาฮุยไม่กล้าประมาท
กำลังความสามารถของโม่เซียวผู้นี้ยังนับเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือเขามีความสามารถในการอ่านใจคนอย่างทะลุปรุโปร่งและใช้คำพูดในการปลุกปั่นใจคน
วันนั้นเขาเพียงเสียสมาธิไปชั่วขณะ โม่เซียวก็มองออกถึงน้ำหนักของเมิ่งถังในใจของเขา จากนั้นก็ใช้เมิ่งถังมายั่วยุเขา
ดังนั้นเวลานี้ถึงเขาจะยังคงเป็นห่วงเมิ่งถัง แต่กลับไม่กล้าหันกลับไปมองข้างหลังแม้แต่แวบเดียว
แต่โม่เซียวเจ้าเล่ห์เกินไปแล้วจริงๆ ถึงแม้มู่หวาฮุยจะทำเช่นนี้ โม่เซียวยังคงมองออกว่าความรู้สึกที่เขามีต่อเมิ่งถังต่างจากคนอื่น
โม่เซียวยังรู้สึกได้กระทั่งว่าเปรียบกับตอนประมือกันคราวก่อนแล้ว ยามนี้ความยึดมั่นที่มู่หวาฮุยมีต่อเมิ่งถังยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น
ครั้นแล้วหลังจากประมือกับมู่หวาฮุยไปได้หลายกระบวนท่า โม่เซียวก็ยิ้มบอก “พลังวัตรของเจ้าในเวลานี้เปรียบกับวันนั้นแล้ว ไม่เพียงไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นกลับดูจะลดต่ำลง หลายวันมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
มู่หวาฮุยไม่พูด เพียงมุ่งมั่นบุกเข้าโจมตี
แม้ตอนเอาโลหิตจากหัวใจเขาจะบอกเมิ่งถังว่าไม่เป็นไร แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เป็นไรจริงๆ เขายอมสูญเสียพลังวัตรของตนให้เมิ่งถังก้าวสู่ขั้นสูงขึ้นได้สำเร็จ
โม่เซียวย่อมคิดไม่ถึงว่ามู่หวาฮุยจะทำเรื่องที่บ้าระห่ำเช่นนั้น ถ้ารู้ยามนี้เขาจะต้องสังหารเมิ่งถังในที่นี้เป็นแน่
แต่ต่อให้ยามนี้โม่เซียวไม่มีความคิดจะสังหารเมิ่งถัง แต่คิดจะเก็บเมิ่งถังไว้เพื่อจู่โจมมู่หวาฮุยขั้นเด็ดขาด ผลักอีกฝ่ายเข้าสู่ความเป็นมารคราเดียวในภายหลัง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการที่เขาจะใช้เมิ่งถังมายั่วยุมู่หวาฮุยในขณะนี้
“พลังวัตรของเจ้าถดถอย พลังวัตรของศิษย์น้องแสนดีผู้นั้นของเจ้ากลับเลื่อนสูงขึ้นแล้ว บุรุษหนุ่มที่อยู่ข้างๆ นางผู้นั้นก็เป็นศิษย์พี่ของนางกระมัง เปรียบกับวันนั้นที่ไม่อาจต้านรับการจู่โจมของข้าแล้ว มาบัดนี้พลังวัตรของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย จุๆ คนผู้นั้นดูแล้วก็เป็นศิษย์พี่ที่ดีคนหนึ่ง รักและทะนุถนอมศิษย์น้องแสนดีของเจ้ายิ่งนัก
มู่หวาฮุย เจ้าหันกลับไปมองสักครา ศิษย์น้องแสนดีผู้นั้นของเจ้ากำลังหันหลังชนกันกับศิษย์พี่ผู้นั้นของนาง ดูแล้วในใจของเจ้ามีเพียงศิษย์น้องแสนดีผู้นี้ แต่ในใจของศิษย์น้องแสนดีผู้นั้น ศิษย์พี่ที่ดีของนางหาได้มีเจ้าเพียงคนเดียว”
ถ้าเมิ่งถังได้ยินคำพูดเหล่านี้ของอีกฝ่ายจะต้องแทบอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา
นางยืนหันหลังชนกันกับหลิงซิงเหยาตั้งแต่เมื่อใด
แน่นอนว่าพวกนางสองคนต่างมอบด้านหลังของตนให้กับอีกฝ่ายจริง เพราะภายใต้การโอบล้อมของเหล่ามารและมารอสูร การทำเช่นนี้ไม่เพียงสามารถรับรองว่าทั้งสองคนจะไม่ถูกทำร้ายในจุดบอดที่สายตามองไม่เห็น ยังช่วยให้การโจมตีของทั้งสองแข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย
แต่ฟ้าดินเป็นพยาน พวกนางสองคนเพียงยืนเช่นนี้เท่านั้นไม่ได้หันหลังชนกันแม้แต่น้อย
กระทั่งแตะถูกกันก็ไม่มี!
แต่มู่หวาฮุยไม่รู้นี่นา
แม้เขาจะเคยขอคำยืนยันแล้ว เมิ่งถังก็เคยบอกกับเขาว่าไม่ได้ชอบหลิงซิงเหยาแล้ว แต่บางครั้งมู่หวาฮุยยังคงอดกินน้ำส้มไม่ได้ กลัวว่าเมิ่งถังจะกลับไปชอบหลิงซิงเหยาอีกครั้ง
ครานี้จากการยั่วยุด้วยคำพูดของโม่เซียว มู่หวาฮุยยังจะสงบใจอยู่ได้อย่างไร
ตอนกลางวันเขาเพิ่งเอาโลหิตจากหัวใจออกมาหยดหนึ่ง ลำดับขั้นของเขาเดิมก็ไม่เสถียรอยู่แล้ว มาบัดนี้ภายใต้คำพูดที่มีเจตนาปลุกปั่นของโม่เซียว สภาพจิตใจของเขาก็ขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้ง
โม่เซียวก็รู้สึกว่าไอกระบี่ของเขาดุเดือดรุนแรงขึ้นทุกที นัยน์ตาดำคู่นั้นยิ่งเข้มดุจหมึก
ชั่วประเดี๋ยวเดียวในความดำดุจหมึกก็ค่อยๆ มีสีแดงเรื่อผุดขึ้นจางๆ
โม่เซียวในใจรู้สึกยินดียิ่ง
ไม่ผิดจากที่คาด เมิ่งถังคือจุดอ่อนของมู่หวาฮุยจริง ไม่ว่าที่ใดเวลาใดขอเพียงเอ่ยถึงเมิ่งถังขึ้นมา มู่หวาฮุยก็ไม่อาจทำใจให้สงบดุจสายธารได้
ครั้งนี้เขาจะต้องไม่เป็นเช่นครั้งก่อนถูกมู่หวาฮุยโจมตีเข้าใส่กระบวนท่าหนึ่งถึงกับรับมือไม่ทัน ต้องทดสอบกำลังความสามารถของมู่หวาฮุยหลังจากเข้าสู่ความเป็นมารให้ดี
แต่ในตอนนี้เอง เมิ่งถังก็สังเกตเห็นความไม่ถูกต้องของมู่หวาฮุยขึ้นมารำไรจึงรีบร้องเรียกเสียงดัง
“ศิษย์พี่!”
แทบจะทันทีที่สิ้นเสียงในดวงตาของมู่หวาฮุยที่เดิมมีสีโลหิตผุดขึ้นก็จางหายไปหมดสิ้น สติสัมปชัญญะของเขาฟื้นคืนกลับมาปลอดโปร่งดังเดิม
เขามองจ้องโม่เซียวเต็มตา
“เจ้าใช้คำพูดยั่วยุข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ที่แท้แล้วมีจุดประสงค์อันใดกันแน่”
เสียงของมู่หวาฮุยเย็นเยียบอย่างที่สุด อีกทั้งจิตสังหารในดวงตาของเขายังไม่จางไปแม้แต่น้อยกลับยิ่งเข้มข้นขึ้นกว่าเมื่อครู่ก่อน
โม่เซียวยังคงประหลาดใจอย่างมาก
เดิมมู่หวาฮุยใกล้จะเข้าสู่ความเป็นมารแล้ว คิดไม่ถึงว่าเมิ่งถังเพียงเรียกศิษย์พี่คำเดียวก็สามารถดึงเขากลับมาได้ทันที
เมิ่งถังผู้นี้ถึงกับมีอำนาจต่อมู่หวาฮุยมากเพียงนี้
โม่เซียวรู้สึกว่าเรื่องนี้ยิ่งพบยิ่งสนุกแล้ว
มู่หวาฮุยยิ่งใส่ใจเมิ่งถัง วันหน้าเมื่อเมิ่งถัง ‘ทรยศ’ เขา หรือตายลงตรงหน้าเขาก็จะทำให้เขายิ่งสะเทือนใจมากขึ้น
“ไม่มีจุดประสงค์ใด”
โม่เซียวหัวเราะขึ้น “ก็แค่เห็นเจ้าค่อยๆ กลายเป็นมารแล้วสนุกยิ่ง”
รูม่านตาของมู่หวาฮุยหดเล็กลง
ปกติผู้บำเพ็ญเซียนแม้จะเกิดจิตมารกำเริบ คนอื่นจะไม่พูดว่ากลายเป็นมาร แต่เวลานี้โม่เซียวกลับบอกว่าเขากลายเป็นมาร…
คำพูดนี้ของโม่เซียวหมายความว่าอย่างไร
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เล็กน้อยในดวงตาของมู่หวาฮุย ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของโม่เซียวไปได้
ในด้านการมองคนอย่างทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งการยั่วเย้าด้วยความอดทน โม่เซียวเรียกได้ว่ามีความเชี่ยวชาญยิ่ง หาไม่เขาก็คงไม่มองเพียงแวบเดียวก็เห็นแล้วว่าเมิ่งถังมีความสำคัญต่อมู่หวาฮุยแตกต่างจากคนอื่น และใช้เมิ่งถังมายั่วยุมู่หวาฮุยครั้งแล้วครั้งเล่า
ยามนี้เห็นมู่หวาฮุยเกิดความสงสัยขึ้นในใจ เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“มู่หวาฮุย คงไม่ใช่จนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังไม่รู้ถึงจุดพิเศษของตนเองกระมัง”
คำพูดนี้เขาเพียงพูดออกมาครึ่งเดียว ที่เหลือก็ให้มู่หวาฮุยไปขบคิดเอาเอง
เขาเชื่อว่าความจริงแล้วมู่หวาฮุยรับรู้ถึงไอมารในร่างกายของตนแล้ว และเคยสงสัยในตัวเอง เพียงแต่ไม่กล้าที่จะเชื่อ
เพราะเขาคือนายน้อยแห่งเมืองเชียนเฮ่อ เป็นศิษย์คนโตของเจ้าสำนักหมิงหวาคนปัจจุบัน เป็นผู้ที่คนในแดนบำเพ็ญเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเลื่อมใสและหวังพึ่งพา
แต่ไม่เป็นไร เวลานี้สิ่งที่โม่เซียวต้องทำก็คือการใส่ปุ๋ยบำรุงให้กับเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยในหัวใจของมู่หวาฮุย กระตุ้นให้เจริญเติบโต แข็งแรงขึ้นทีละก้าว…ทีละก้าว
ดังนั้นหลังจากกล่าวคำพูดนี้จบ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับไอกระบี่ของมู่หวาฮุยที่เหี้ยมโหดดุดันขึ้นมาอย่างฉับพลัน โม่เซียวเพียงหัวเราะออกมาเสียงดัง
ขณะนี้เมิ่งถังได้ร่วมแรงร่วมใจกับหลิงซิงเหยา ในที่สุดก็กำจัดมารอสูรและมารที่กีดขวางเหล่านั้นไปพอสมควรแล้ว
ในใจเป็นห่วงมู่หวาฮุย พอปลีกตัวได้ก็ทะยานขึ้นไปบนแท่นสูงทันที
ปลายกระบี่ชิงหลวนชี้ตรงไปที่โม่เซียว เมิ่งถังเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าครั่นคร้าม “โม่เซียว วันนี้ก็คือวันตายของเจ้า”
ก็ไม่เชื่อว่ารวมกำลังกันสามคนมู่หวาฮุย หลิงซิงเหยา และนางแล้วจะจัดการกับโม่เซียวไม่ได้
โม่เซียวไม่ได้เอาคำพูดดุดันของนางมาใส่ใจแม้แต่น้อย
หากแต่ชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง แล้วมองหลิงซิงเหยาที่ทะยานตามนางขึ้นมาบนแท่นสูง กล่าวยิ้มๆ “เมื่อครู่เจ้าร่วมมือและประสานกับศิษย์พี่ผู้นี้ของเจ้าได้ดียิ่ง แดนมนุษย์มีสำนวนอยู่วลีหนึ่ง เรียกว่ารู้ใจกัน ใช่ใช้กับสถานการณ์เช่นพวกเจ้าสองคนเช่นนี้หรือไม่”
เมิ่งถังกลับฟังไม่ออกถึงความต้องการยุแหย่ให้แตกแยกกันในคำพูดประโยคนี้ของเขา และไม่ได้สังเกตเห็นแววตาที่พลันขรึมลงมาของมู่หวาฮุย
สะบัดข้อมือตัวกระบี่ชิงหลวนสั่นวิ้ง นางแค่นหัวเราะ
“ประเดี๋ยวตอนเอาชีวิตสุนัขของเจ้า เราจะร่วมมือและประสานกันดียิ่งขึ้น”
พูดพลางสะกิดปลายเท้าพุ่งเข้าไปที่โม่เซียว
มู่หวาฮุยกับหลิงซิงเหยาเห็นแล้วรีบสะบัดกระบี่คนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวาเร่งรุดเข้าไปช่วยเหลือนาง
พูดตามตรงพวกเขาสามคนรวมกำลังกัน โม่เซียวมากน้อยก็ยังนึกกลัวอยู่บ้าง
มองมารอสูรและมารที่บาดเจ็บล้มตายอยู่ข้างหน้าแวบหนึ่งเห็นว่าถึงกลับไปตอนนี้ก็มีคำอธิบายให้กับจอมมารแล้ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาเห็นว่าเมื่อครู่เขาได้ผลักมู่หวาฮุยให้เดินหน้าไปบนเส้นทางสู่ความเป็นมารอีกระยะแล้ว
ในเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่อีก
ครั้นแล้วหลังจากประมือกับคนทั้งสามไปไม่กี่กระบวนท่า เขาก็ยกมือขึ้นขว้างระเบิดควันออกมาลูกหนึ่ง
บนแท่นสูงอบอวลไปด้วยควันดำในทันที
มู่หวาฮุยเกรงว่าควันดำจะมีพิษ ในเวลาเดียวกันกับที่ตนเองปิดกั้นลมหายใจก็พุ่งเข้าไปโอบเมิ่งถังไว้ในอ้อมแขน ยกมือสร้างม่านอาคมขึ้นมา
แล้วหยิบยาลูกกลอนต้านพิษจากแหวนเก็บทรัพย์ยัดใส่ปากเมิ่งถังเม็ดหนึ่ง
เมิ่งถังอ้าปากอมไว้แล้ว
เพียงแต่นางกลับไม่ยอมซุกอยู่ในอ้อมแขนมู่หวาฮุยแต่โดยดี เงยหน้าขึ้นมองควันดำตรงหน้าตลอดเวลา คิดจะหาเงาร่างของโม่เซียว
แน่นอนย่อมหาไม่พบ
กระทั่งรอจนควันดำสลายไปหมด บนแท่นสูงไม่เพียงโม่เซียว ลูกสมุนหลายตนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็ล้วนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
บนแท่นสูงที่กว้างใหญ่เหลือเพียงนาง มู่หวาฮุย และหลิงซิงเหยาสามคนเท่านั้น
“น่าโมโหยิ่งนัก! ถึงกับปล่อยให้เขาหนีไปได้!”
เมิ่งถังโมโหจนกระทืบเท้าเร่าๆ
ครั้งนี้ปล่อยให้โม่เซียวหนีไปได้แล้ว ครั้งต่อไปจะรวมกำลังกันสามคนเช่นเมื่อครู่อีกครั้งไม่รู้ต้องรอถึงเมื่อใด
มู่หวาฮุยมองธงใหญ่ของแดนมารที่ยังคงตั้งอยู่บนแท่นสูง นิ่งเงียบไม่พูด
โม่เซียวแม้จะจากไปแล้ว แต่คำพูดที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ในใจของมู่หวาฮุย
เขาอดที่จะหันไปมองด้านข้างแวบหนึ่งไม่ได้
เมื่อครู่ตอนโม่เซียวขว้างระเบิดควันแล้วหนีไป เขาเร่งรุดมาปกป้องเมิ่งถังก็รู้สึกได้ว่าหลิงซิงเหยากำลังมุ่งมาทางด้านนี้เช่นกัน
หลิงซิงเหยาเองก็คงจะเร่งรุดมาด้วยจิตใต้สำนึกเพื่อจะปกป้องเมิ่งถังกระมัง แต่ถูกเขาชิงตัดหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งจึงจำต้องล้มเลิก
เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ก็คือถ้าเมื่อครู่เขาช้าไปเพียงก้าวเดียว เช่นนั้นตอนนี้คนที่โอบเมิ่งถังไว้ในอ้อมแขนก็คือหลิงซิงเหยาใช่หรือไม่
คิดมาถึงตรงนี้มู่หวาฮุยก็อดกระชับแขนขวาที่โอบเอวบางของเมิ่งถังเข้ามาไม่ได้
เมิ่งถังเป็นของเขาเพียงคนเดียว เขาจะไม่ยอมให้ใครมีโอกาสแตะต้องเมิ่งถังได้อีก!
ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลิงซิงเหยามองสบสายตานิ่งขรึมของมู่หวาฮุย แล้วหันหน้าไปทางด้านหนึ่งเงียบๆ
เมื่อครู่เห็นท่าไม่ดี เขาคิดจะเข้ามาปกป้องเมิ่งถังจริง
ทั้งหมดนั้นเป็นการทำไปด้วยจิตใต้สำนึกกลับถูกมู่หวาฮุยชิงตัดหน้าไปก้าวหนึ่ง
ตอนเห็นมู่หวาฮุยโอบเมิ่งถังเข้ามาในอ้อมแขนด้วยความรวดเร็วอย่างที่สุด และยกมือขึ้นสร้างม่านอาคม เขาก็หยุดฝีเท้าลง
จะแย่งชิงเรื่องทำนองนี้ไปทำอันใด เห็นชัดว่าเมิ่งถังปฏิบัติต่อมู่หวาฮุยอย่างสนิทสนมกว่ามาก
ดังนั้นทุกครั้งตอนนางถูกมู่หวาฮุยโอบกอดล้วนจะโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่เคยดิ้นรนขัดขืน
แล้วมองท่าทางที่ปรารถนาจะครอบครองนางแต่เพียงผู้เดียวของมู่หวาฮุย…
พวกเขาสองคนความจริงน่าจะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อกันไปแล้วกระมัง
เพราะเหตุใดในใจจึงมีความรู้สึกฝาดเฝื่อนบอกไม่ถูกอยู่จางๆ
หลิงซิงเหยาเงยหน้าเหม่อมองจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้าไกล
* หมัดที่ชกออกมาสะเปะสะปะตียอดฝีมือให้ตายได้ เป็นการเปรียบเปรย หมายถึงคนที่ทำอะไรส่งเดช ไม่มีระเบียบขั้นตอนอาจจับพลัดจับผลูเอาชนะผู้เชี่ยวชาญที่ทำอะไรมีขั้นตอนได้ ในที่นี้หมายถึงยอดฝีมืออาจรับมือกับผู้ด้อยฝีมือแต่มีจำนวนมากกว่าไม่ไหว
** ฝูงมังกรไร้เศียร หมายถึงกลุ่มคนที่ขาดผู้นำ ไร้ทิศทาง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.