X
    Categories: ชายาประดุจอาหารเลิศรสทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ชายาประดุจอาหารเลิศรส บทนำ-บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทนำ

 หากทำได้ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่อยากจะฟื้นขึ้นมาเลย ทางที่ดีหลังผ่านไปสองสามวันแล้วก็ให้นางค้นพบว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝันเถิด เรื่องประหลาดผิดธรรมดานี้ไม่เคยเกิดขึ้น นางไม่เคยต้องกังวลเรื่องปากท้องอะไร ทว่าน่าเสียดาย…

ฉู่อวิ๋นจิ้งกวาดตามองจากซ้ายไปขวา เก็บภาพความระเกะระกะเละเทะของทั้งห้องไว้ในสายตา ก่อนเงยหน้ามองฟ้า ถามโดยไร้สุ้มเสียง เทวดาฟ้าดินเจ้าคะ ครอบครัวนี้บ้านเหลือแต่ผนังสี่ด้านแล้ว ยังจะถูกขโมยขึ้นบ้านอีก พระองค์ว่าเช่นนี้มันยุติธรรมหรือเจ้าคะ

แน่นอนว่านางไม่ได้รับคำตอบจากเบื้องบน สายตาจึงค่อยๆ มองคนในบ้านที่มีทั้งเด็กและสตรี ท้ายที่สุดนางก็ได้ข้อสรุปว่า…ครอบครัวนี้อเนจอนาถเกินไปแล้ว!

เมื่อหนึ่งปีก่อนบิดาได้ออกทะเลไปพร้อมกับเรือสินค้า นับแต่นั้นมาเขาก็ประหนึ่งก้อนหินที่จมหายไปในห้วงสมุทร ทั้งครอบครัวพลันสูญเสียคนหาเงินที่สำคัญที่สุดไป ทว่ายังดีที่มีเงินช่วยเหลือจากท่านยายทุกคนจึงพอประทังชีวิตมาได้ แต่เพียงไม่กี่เดือนให้หลังคิดไม่ถึงว่าแหล่งเงินช่วยเหลือซึ่งก็คือท่านยายของพวกเขากลับจากไป อำนาจของผู้ดูแลเรือนจึงตกไปอยู่ในมือสะใภ้ใหญ่ และแน่นอนว่า…พวกเขาไม่ได้รับเงินช่วยเหลืออีกแล้ว

แล้วก็ยิ่งเคราะห์ซ้ำกรรมซัดขึ้นไปอีกเมื่อมารดามาล้มป่วยจากการโหมงานหนักเกินไป ต่อจากนั้นก็มีเรื่องที่พี่สาวคนโตของครอบครัวนี้ช่วยชีวิตน้องชายคนเล็กที่พลัดตกจากหน้าผาจนตัวตาย เคราะห์ดีที่นางทะลุมิติมาที่ร่างนี้พอดี ทั้งยังมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอยู่ด้วย มิฉะนั้นครอบครัวนี้คงได้อเนจอนาถยิ่งกว่านี้แน่

“ท่านแม่ พวกเราถูกโจรขึ้นบ้านขอรับ” ฉู่เย่าพยายามสะกดน้ำเสียงให้นิ่งมากที่สุด ถึงกระนั้นเขาก็มีอายุเพียงสิบสี่ปี เมื่อเจอสถานการณ์ตรงหน้านี้ร่างเขาก็ยังสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่

เหลียนอวี้จูผู้เป็นมารดาตั้งสติได้ในที่สุด นางคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้จึงวิ่งพุ่งเข้าไปในห้อง เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา นางจึงเดินเนิบช้าออกมา ถึงใบหน้าจะยังขาวซีด แต่สีหน้ากลับดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด

นางมองลูกๆ ที่ดูเป็นกังวล แล้วฝืนคลี่ยิ้มอย่างปลอบประโลม “ไม่เป็นไรนะ เงินหลายสิบตำลึงที่แม่ซ่อนไว้ใต้เตียงยังอยู่ดี”

หลายสิบตำลึง?!…ฉู่อวิ๋นจิ้งเหลียวมองกระบุงไม้ไผ่ที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง ภายในนั้นใส่ผักป่าและผลไม้ที่เพิ่งเก็บมาจากบนเขาไว้จนเต็ม นางอดทอดถอนใจไม่ได้ ครอบครัวนี้ยากจนข้นแค้นเกินไปแล้วนะ! ไม่ได้การ ชีวิตที่แล้วมาของข้าล้วนสุขสบายยิ่งนัก ข้าจะกินยากหรือเอาแต่ใจอย่างไรก็ได้ เพียงแค่วันเวลาที่กินไม่อิ่มท้องในตอนนี้ก็เกินพอให้ข้าลืมไม่ลงไปชั่วชีวิตแล้ว ข้าจะต้องลุกขึ้นสู้ เปลี่ยนแปลงอะไรบ้างแล้ว จะปล่อยให้ครอบครัวนี้ตกต่ำต่อไปไม่ได้!

“ท่านแม่ พวกเราเคยล่วงเกินผู้ใดไปหรือไม่”

ตลอดหนึ่งเดือนมานี้หลังจากที่ฉู่อวิ๋นจิ้งฟื้นขึ้นมาจากการช่วยชีวิตน้องชายคนเล็ก นอกจากอาการบาดเจ็บภายนอกแล้วนางก็ดูนิ่งเงียบจนแทบจะกลายเป็นคนใบ้ทีเดียว จู่ๆ ยามนี้ได้ยินนางเอ่ยปากพูดเช่นนี้ช่างชวนให้คนทั้งหมดอึ้งไปพร้อมกัน

ฉู่อวิ๋นจิ้งประหนึ่งไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของตนเอง นางยังคงเอ่ยต่อโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าบ้านพวกเรายากจนข้นแค้นเพียงใด พวกโจรมาที่นี่ออกจะโง่เขลาเกินไปหรือไม่ ซ้ำยังแทบจะค้นทุกซอกทุกมุม เกรงว่าคงไม่ใช่การขโมยของธรรมดาๆ แน่”

“พวกเราไหนเลยจะไปล่วงเกินผู้อื่นได้” แววตาเหลียนอวี้จูเผยประกายวูบหนึ่ง

“ท่านแม่บอกความจริงมาเถิด ข้าจะได้คิดให้กระจ่างว่าเรื่องวันนี้เกิดจากโจรที่ตาไร้แววเข้าผิดบ้าน หรือมีคนจงใจ”

“…คนจงใจ?”

“ท่านแม่เห็นว่าเหตุการณ์นี้ปกติหรือเจ้าคะ” ฉู่อวิ๋นจิ้งกวาดตามองทุกคนอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง ทว่าเพียงแค่แวบเดียวบรรยากาศก็ตึงเครียดเพิ่มขึ้นทันใด จู่ๆ คนทั้งหมดก็พร้อมใจกันตั้งใจฟัง ชั่วพริบตานี้เองพี่สาวคนโตที่คงอยู่ประดุจร่างโปร่งแสงมาตลอดทั้งเดือนก็เปลี่ยนเป็นผู้นำครอบครัวคอยดูแลจัดการเรื่องราวภายในบ้าน

“แม่ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเราไปล่วงเกินใครเข้า เพียงแต่ก่อนพ่อเจ้าออกจากบ้านได้เอ่ยกำชับหลายครั้งว่าพวกเรากับจวนจงอี้ป๋อ ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว ลำบากยากเข็ญเพียงใดก็ห้ามคิดกลับจวนจงอี้ป๋อ”

ฉู่อวิ๋นจิ้งจัดระเบียบความคิดอย่างรวดเร็วครู่หนึ่ง เรียบเรียงความเป็นมาของพวกเขาทั้งครอบครัวอย่างคร่าวๆ

บิดาของนางเป็นลูกชายคนเล็กของท่านป๋อผู้เฒ่าแห่งจวนจงอี้ป๋อ เป็นลูกคนที่สี่ซึ่งเกิดจากอนุภรรยา หนึ่งปีก่อนเขาทำให้ท่านป๋อผู้เฒ่าโมโหจนล้มป่วย ถึงขั้นถูกขับออกจากตระกูล เขาจึงพาภรรยาและลูกมายังเซียงโจว ประการแรกเพราะบ้านภรรยาอยู่ที่นี่ ประการที่สองเพราะเมื่อสี่ปีก่อนท่านป๋อผู้เฒ่าได้ซื้อบ้านชนบทที่นี่ไว้ให้เขาหลังหนึ่ง ในใจคิดว่ามาปลูกอะไรที่นี่สักหน่อยอย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวอดตาย ทว่าน่าเสียดายที่เขาปลูกอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง คิดพึ่งพาผลผลิตจากการเพาะปลูกเพื่อให้มีชีวิตที่ดีนั้นเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด ไหนจะต้องส่งลูกชายสองคนเรียนหนังสือสอบเคอจวี่ อีก หลังใคร่ครวญอย่างดีแล้วเขาจึงตัดสินใจพาบ่าวขึ้นเรือสินค้าออกทะเลไปทำการค้า

“บัดนี้พวกเราอยู่ไกลออกมานับพันหลี่ ต่อให้ไม่เห็นแก่ศักดิ์ศรีก็เอ่ยขอความช่วยเหลือจากจวนจงอี้ป๋อไม่ได้อยู่ดี ยิ่งจวนจงอี้ป๋อลบพวกเราออกจากสาแหรกตระกูลเช่นนี้ เขายิ่งไม่มีทางฉีกหน้าตนเองโดยให้พวกเรากลับไปแน่” บิดาจากบ้านไปไกล เรื่องที่ย้ำแล้วย้ำอีกย่อมเป็นเรื่องสำคัญ ทว่าเหตุผลที่เอ่ยกำชับกำชานี้ช่างชวนให้ผู้คนไม่เข้าใจยิ่งนัก

“ตอนนั้นแม่เคยพูดเรื่องให้กลับจวนจงอี้ป๋อมาก่อน แต่พ่อเจ้าเพียงบอกให้แม่จดจำเอาไว้ ไม่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรพวกเราก็ไม่อาจเกี่ยวข้องกับจวนจงอี้ป๋อได้อีก”

“เจ้าค่ะ ไม่ว่าพวกเราเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับจวนจงอี้ป๋ออีก ในขณะเดียวกันชีวิตพวกเราก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วย” ฉู่อวิ๋นจิ้งปรายตามองทุกคนครู่หนึ่ง นอกจากคนในครอบครัวนี้แล้วก็ยังมีบ่าวรับใช้ผู้ภักดีที่ไม่ทอดทิ้งหนีไปไหนอีกสามคนหนึ่งครอบครัว นับว่าคนที่นางต้องเลี้ยงดูนั้นมีไม่มาก ไม่ถึงปีนางก็น่าจะเก็บหอมรอมริบได้สักหนึ่งถังทองแล้วล่ะ

แม้ทุกคนจะยังไม่คุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงของฉู่อวิ๋นจิ้ง แต่อย่างน้อยแววตาและน้ำเสียงแน่วแน่ของนางก็สามารถลดความกังวลร้อนรนใจของผู้ฟังลงได้ ทุกคนรู้สึกเหมือนพบกับเสาหลัก

“เอาล่ะ เก็บข้าวของพวกนี้ก่อน แล้วค่อยมาหารือเรื่องแผนสร้างรายได้กัน” หลายสิบวันมานี้ฉู่อวิ๋นจิ้งอาจดูเหมือนคนเบื้อใบ้ แต่ในความเป็นจริงนางจะคอยลอบสังเกตอุปนิสัย ความเชี่ยวชาญ และความสามารถของทุกคนมาโดยตลอด ซึ่งนางมีแผนสร้างรายได้แล้ว นั่นก็คือการใช้คนอย่างเต็มความสามารถ

อะไรเรียกว่า ‘ใช้คนอย่างเต็มความสามารถ’ น่ะหรือ มันก็คือการนำความสามารถของทุกคนมาหาเงิน เช่นน้องสาวสืบทอดฝีมือการเย็บปักถักร้อยจากมารดา ทว่าลวดลายที่น้องสาวและมารดาคิดได้นั้นกลับมีน้อยเกินไป ย่อมทำเงินได้ไม่มากเท่าไร ขณะที่ฉู่อวิ๋นจิ้งเรียนด้านการออกแบบมา ในหัวของนางจึงมีลวดลายมากมายนับไม่ถ้วน สามารถคิดออกแบบให้น้องสาวและมารดาได้

ทั้งนางยังชอบกินอาหารและมีฝีมือในการหมักสุราผลไม้ ทว่าน่าเสียดายที่นางไม่มีเงินและกำลังพอจะเปิดร้านอาหาร หอสุรา หรือร้านขายขนมได้ สิ่งที่นางทำได้จึงมีเพียงขายสูตรอาหารให้สักร้านหนึ่งเท่านั้น แล้วเหตุใดพวกเขาต้องมาซื้อสูตรอาหารของนางด้วยน่ะหรือ เรื่องนี้ฉู่อวิ๋นจิ้งจำเป็นต้องพิสูจน์ว่าสูตรอาหารของนางสามารถนำมาซึ่ง ‘ความมั่งคั่งในอนาคต’ ได้ ส่วนจะพิสูจน์อย่างไรนั้นคงต้องเค้นสมองขบคิดให้ดีสักหน่อย

นอกจากนี้พื้นที่ภายในบ้านก็ไม่อาจปล่อยทิ้งโดยไม่ดูแลเช่นนี้อีก ทุกคนสามารถปลูกอะไรเล็กๆ น้อยๆ ไว้กินเองได้ ซึ่งเอาไปขายทำเงินได้ด้วย สรุปก็คือ…วันเวลาต่อจากนี้ของนางคงจะยุ่งอย่างยิ่ง

คนทั้งหมดมองฉู่อวิ๋นจิ้งด้วยใบหน้างุนงง หารือเรื่องแผนสร้างรายได้?

“ประเดี๋ยวทุกคนก็จะรู้เอง” ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่พูดมากอีก นางลงมือเก็บของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นเป็นคนแรก เห็นเช่นนั้นทุกคนก็รีบร้อนเก็บกวาดทำความสะอาดตามนางด้วยเช่นกัน

บทที่หนึ่ง

 “อาหารจานนี้มีชื่อว่าเป็ดพะโล้ ขั้นแรกล้างเป็ดให้สะอาด ใส่น้ำมันงาลงกระทะแล้วตั้งให้ร้อน เอาเป็ดลงไปจี่จนทั้งสองด้านเป็นสีเหลือง ใส่สุรา น้ำส้ม และน้ำเปล่าพอให้ท่วมเนื้อเป็ด จากนั้นใส่เครื่องเทศที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พวกยี่หร่า ชะเอม รากไป๋จื่อ ขิง พริกหอม กระวาน และเครื่องเทศบดละเอียดอื่นๆ ลงไป แล้วตามด้วยต้นหอม น้ำปรุงรส เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนสุก หลังสุกทั่วแล้วก็ให้เอาไปแช่ในน้ำพะโล้ เวลามีคนสั่งค่อยนำออกมาหั่นใส่จาน” หลังจากฉู่อวิ๋นจิ้งกล่าวให้ทั้งสามคนซึ่งประกอบไปด้วยหลงจู๊เหอกับพ่อครัวสองคนฟัง นางก็แสดงวิธีการทำให้ดูด้วยตนเองอีกหนึ่งรอบ

กลิ่นหอมลอยฟุ้งไปทั่วห้อง กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่กระตุ้นความอยากอาหารของคน ชวนให้คนที่ได้กลิ่นอยากจะลิ้มลองสักคำหนึ่ง ทว่าน่าเสียดายนักที่บ่าวอย่างพวกเขากลับได้กินแต่ของเหลือจากเจ้านายเท่านั้น แต่ต่อให้อาหารตรงหน้านี้เหลือจากเจ้านาย ขอเพียงเขาได้ชิมอาหารตรงหน้านี้สักคำหนึ่ง พวกเขาก็คงพอใจมากแล้ว เพราะพวกเขารู้มานานแล้วว่าแม่นางฉู่ผู้นี้มีฝีมือการปรุงอาหารล้ำเลิศเพียงใด ต่อให้เป็นอาหารชนิดเดียวกัน ขอเพียงได้ผ่านมือนางแล้วก็จะทำให้คนกินรู้สึกอยากกินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเสมอ

“เอาล่ะ อีกประเดี๋ยวค่อยยกไปให้แขกสำคัญ ถึงตอนนั้นก็ให้นำออกมาหั่นเป็นชิ้นลงจาน” ฉู่อวิ๋นจิ้งนับถือเถ้าแก่หอจ้วนเซียนยิ่งนัก เพราะตอนที่นางแสดงวิธีการทำอาหารนี้ เขาก็จะถือโอกาสเปิดตัวอาหารจานใหม่ไปด้วยเลยพร้อมกัน เพราะเหตุนี้ทุกคราวที่หอจ้วนเซียนเปิดตัวอาหารจานใหม่ ตลอดหนึ่งเดือนจากนี้บรรดาขุนนางคหบดีในเซียงโจวและพวกพ่อค้าที่เดินทางมาทำการค้าจากเมืองใกล้เคียงก็ต้องมาเพื่อสั่งอาหารจานใหม่นี้เป็นการเฉพาะ

หลงจู๊เหอหันไปบอกกับพ่อครัวว่า “อีกหนึ่งถ้วยชาให้ยกเป็ดพะโล้ไปส่งที่คฤหาสน์จู๋ย่วน” แล้วประสานมือเอ่ยกับฉู่อวิ๋นจิ้ง “เถ้าแก่รอแม่นางฉู่อยู่ที่ห้องตงซานขอรับ เชิญแม่นางฉู่ตามผู้น้อยมา”

ฉู่อวิ๋นจิ้งพยักหน้ารับรู้ นางปลดผ้ากันเปื้อนเก็บใส่ถุงผ้าสะพายหลัง ก่อนเดินตามหลงจู๊เหอออกจากห้องครัวไปยังห้องตงซานที่อยู่บนชั้นสอง

“แม่นางฉู่มาแล้วขอรับ” หลงจู๊เหอเอ่ยปากขึ้น แล้วหยุดอยู่อยู่เงียบๆ ที่ข้างประตู

ลู่ไป่จวิ้นลุกขึ้นต้อนรับ แล้วเชิญฉู่อวิ๋นจิ้งนั่งลง

ฉู่อวิ๋นจิ้งคารวะตอบ ก่อนนั่งลงตรงข้ามลู่ไป่จวิ้น เขาพลันเลื่อนหนังสือสัญญากับตั๋วเงินห้าสิบตำลึงสองใบมาให้ตรงหน้านาง

“แม่นางฉู่ขายสูตรอาหารกับข้าหนึ่งร้อยตำลึง ไม่รู้สึกเสียดายบ้างหรือ” แต่ไรมาลู่ไป่จวิ้นก็เชื่อว่าตนเองมีสายตาเฉียบแหลมมาตลอด เพียงแค่มองใครสักคนในปราดเดียวก็สามารถอ่านได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว ทว่าสายตาเฉียบแหลมของเขานั้นกลับใช้ไม่ได้กับฉู่อวิ๋นจิ้ง ทั้งที่พวกเขาติดต่อค้าขายกันมาหนึ่งปีแล้ว สิ่งที่เขาสัมผัสได้จากนางกลับเหมือนมองนางผ่านผ้าโปร่งคลุมชั้นหนึ่ง รู้แค่นางหาได้บอบบางอ้อนแอ้นดั่งรูปโฉมภายนอก

ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่เห็นด้วย “หากสูตรอาหารนี้ไม่ขายให้คุณชายลู่ ภายหน้าก็อาจมีคนคิดสูตรอาหารแบบนี้ออกมาได้เช่นกัน สูตรอาหารของข้าก็จะไม่มีความหมาย”

“ข้ายังคงเลื่อมใสในตัวแม่นางฉู่ยิ่งนัก ช่างเปิดเผยตรงไปตรงมาจริงๆ”

ฉู่อวิ๋นจิ้งอธิบายอะไรเพิ่มไม่ได้ เพราะความจริงนางก็แค่ใช้สูตรอาหารของคนอื่นมาหาเงิน นางจึงเอ่ยเพียงว่า “ข้ายังต้องขอบคุณคุณชายลู่ที่ให้โอกาส”

“ข้าเป็นพ่อค้าที่มองสินค้าตามคุณภาพ หากไม่ใช่เพราะขนมที่แม่นางฉู่ทำออกมาทำให้ข้าเห็นโอกาสทางการค้าและแม่นางฉู่มีความสามารถจริงๆ ข้าเองก็คงไม่ร่วมงานด้วยหรอก” ลู่ไป่จวิ้นยังจำเหตุการณ์ตอนพบนางครั้งแรกเมื่อหนึ่งปีก่อนได้ นางมาขายขนมตรงข้ามกับหอจ้วนเซียน ซ้ำขนมที่ขายยังเป็นขนมเกาลัดที่เลื่องชื่อที่สุดของหอจ้วนเซียนอีกด้วย

ตอนนั้นทุกคนล้วนมองฉู่อวิ๋นจิ้งเป็นคนเสียสติ ทว่าสิ่งที่นางทำกลับไปสะกิดความสงสัยของลู่ไป่จวิ้นเข้า เขาคิดว่าการกระทำนี้ของนางต้องมีเหตุผล ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิดไว้จริงๆ เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นคำตอบก็เผยออกมา นางใช้ประโยชน์จากหอจ้วนเซียนสร้างชื่อให้กับขนมเกาลัดของตนเอง ขนมเกาลัดของนางไม่เพียงอร่อยกว่าของหอจ้วนเซียน ทั้งยังถูกกว่าด้วย

เหตุการณ์นั้นทำให้ลู่ไป่จวิ้นรู้ว่าฉู่อวิ๋นจิ้งมีสติปัญญาเฉียบแหลมเพียงใด แต่นี่ก็ออกจะบุ่มบ่ามเสี่ยงอันตรายเกินไปด้วย หากไม่ได้พบคนอย่างเขาที่มองออกถึงความนึกคิดของนาง การกระทำของนางคงกลายเป็นการหาศัตรูใส่ตัวเป็นแน่แท้ ซึ่งนางเองก็คงรู้ดี เพราะตอนที่เขามาขอซื้อสูตรขนมเกาลัดจากนาง นางก็เสนอข้อตกลงร่วมงานกันพร้อมกล่าวขออภัยต่อเขา หากมิใช่เพราะอับจนหนทางแล้วจริงๆ นางก็ไม่มีวันหาผลประโยชน์จากหอจ้วนเซียนเช่นนี้

แค่เพียงเรื่องนี้ก็รู้ได้ว่าฉู่อวิ๋นจิ้งเป็นหญิงสาวฉลาดเฉลียวใจกล้าอย่างยิ่ง แต่เมื่อทั้งสองได้ติดต่อไปมาหาสู่กันจริงๆ นางกลับสงบเรียบร้อยอยู่ในระเบียบ พาให้คนคาดเดานิสัยที่แท้จริงของนางไม่ออกเสียอย่างนั้น

“พวกเราต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าใครติดค้างใครหรอก”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หากเป็ดพะโล้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า สูตรอาหารครั้งหน้าของแม่นางฉู่ข้ายินดีจ่ายเป็นสองเท่า”

นิ่งไปชั่วอึดใจฉู่อวิ๋นจิ้งก็พยักหน้ารับโดยไม่คิดปฏิเสธ

ลู่ไป่จวิ้นจำต้องระวังป้องกันเพื่อไม่ให้นางขายสูตรอาหารในมือไปให้กับหอสุราอื่น พวกเขาทำงานด้วยกันมาหนึ่งปีแล้ว ที่หอจ้วนเซียนเติบโตอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้ล้วนเป็นผลมาจากอาหารชนิดใหม่ทั้งสิ้น ซึ่งอาหารเหล่านั้นย่อมไปดึงดูดความสนใจจากหอสุราอื่นอยู่แล้ว ต่อให้หอจ้วนเซียนจะปิดปากเงียบ แต่หากสืบให้ละเอียดสักหน่อยก็จะรู้ได้ว่าสูตรอาหารของหอจ้วนเซียนมาจากที่ใด

“จริงสิ ได้ยินว่าแม่นางฉู่กำลังมองหาบ้านในเขตเมืองอยู่ แม่นางฉู่อยากให้ข้าช่วยเหลืออะไรหรือไม่”

“ขอบคุณคุณชายลู่มาก แต่ข้าไม่ขอรบกวนดีกว่า” ต่อให้นางจะแอบถามเรื่องซื้อบ้านในเขตเมืองกับหลงจู๊เหอโดยไม่มีเจตนาจะปกปิดเรื่องนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางอยากข้องเกี่ยวกับนายจ้าง

“หากมีเรื่องที่ข้าช่วยได้ แม่นางฉู่ไม่ต้องเกรงใจ”

“ข้าทราบแล้ว”

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าจะมีแขกสำคัญมาเยือน ไม่ทราบว่าจะเชิญแม่นางฉู่จัดเตรียมอาหารรับรองให้ข้าด้วยตนเองได้หรือไม่”

“ต้องขออภัย ข้าไม่ทำอาหารให้คนไม่รู้จัก” สำหรับฉู่อวิ๋นจิ้งแล้วการเข้าครัวถือเป็นความสำราญอย่างหนึ่งในชีวิต บัดนี้เพื่อเลี้ยงดูครอบครัวนางจำเป็นต้องขายสูตรอาหาร ยอมเข้าครัวเพื่อแสดงวิธีการทำด้วยตนเอง นอกจากสองอย่างนี้แล้วนางก็ไม่ยินดีให้การทำอาหารต้องเปลี่ยนเป็นงานที่น่าเบื่อไร้รสชาติ กระทั่งเป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง

“แขกสำคัญผู้นี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของข้า ข้าถึงได้เอ่ยปากเชิญแม่นางฉู่มาจัดเตรียมอาหารรับรองให้กับเขาเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบแพงหรูหราอะไร ขอเพียงเป็นอาหารที่แม่นางฉู่เชี่ยวชาญ หกกับข้าว หนึ่งน้ำแกง หนึ่งของหวาน…จบงานแล้วข้าจะให้แม่นางฉู่ห้าร้อยตำลึง”

สิ่งนี้หาเงินได้เร็วยิ่งกว่าขายสูตรอาหารเสียอีก ทว่าฉู่อวิ๋นจิ้งยังคงส่ายหน้าและเอ่ยขอบคุณโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “พ่อครัวของหอจ้วนเซียนก็ไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย ไยคุณชายลู่ต้องละทิ้งของใกล้ตัวร้องขอของไกลตัวด้วย”

“แม่นางฉู่ให้เกียรติพวกเขาเกินไปแล้ว พวกเขาเทียบแม่นางฉู่ไม่ได้เลยสักนิด”

“ขอบคุณคุณชายลู่ที่ให้เกียรติข้าถึงเพียงนี้ ทว่านี่เป็นกฎของข้า ขอคุณชายลู่โปรดเข้าใจ”

ลู่ไป่จวิ้นพยักหน้าเข้าใจและไม่ฝืนบังคับอีก

ฉู่อวิ๋นจิ้งรีบลุกขึ้นขอตัวออกไป

ลู่ไป่จวิ้นมองส่งฉู่อวิ๋นจิ้งแล้วก็เลื่อนสายตามามองหลงจู๊เหอพลางถาม “เป็ดพะโล้ส่งไปที่คฤหาสน์จู๋ย่วนแล้วหรือยัง”

“ขอรับ คุณชายเซียวกำลังกินอาหารแล้ว”

“ข้าจะไปคฤหาสน์จู๋ย่วน เจ้าสั่งให้บ่าวในครัวส่งเป็ดพะโล้มาให้อีกที่ด้วย” ลู่ไป่จวิ้นสืบเท้าออกจากห้องตงซานอย่างเอื่อยเฉื่อย ลงบันไดเดินมุ่งไปยังคฤหาสน์จู๋ย่วนซึ่งตั้งอยู่ทางด้านหลังหอสุรา

 

คฤหาสน์จู๋ย่วนตั้งอยู่ทางด้านหลังหอจ้วนเซียนซึ่งเป็นที่พักของลู่ไป่จวิ้น มีประตูเข้าออกที่ชัดเจน จากหอจ้วนเซียนต้องเดินอ้อมเป็นทางไกลเสียหน่อย ในสายตาคนภายนอกที่มองมาจึงเห็นเป็นสถานที่สองแห่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย

เซียวอวี้ชอบกินอาหารอร่อย แต่หากมีคนอื่นอยู่ข้างๆ ด้วยเขาก็จะไม่มีความอยากอาหาร ต่อให้มีอาหารล้ำค่าหายากวางตรงหน้าเขาก็กินไม่อร่อยอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ลู่ไป่จวิ้นจึงรอให้เขาอิ่มแล้วค่อยสาวเท้าเข้าไปอย่างไม่เร่งไม่ร้อน

ลู่ไป่จวิ้นปรายตามองอาหารที่เหลือบนโต๊ะหินก็รู้คำวิจารณ์ของสหายสนิททันที ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”

“เป็ดพะโล้ใช้ได้ทีเดียว เจ้าเจอสมบัติล้ำค่าเข้าแล้ว” เซียวอวี้เป็นคนตระหนี่คำพูด ได้รับคำวิจารณ์จากเขาว่า ‘ใช้ได้’ เช่นนี้นับว่าไม่ง่ายเลย

ลู่ไป่จวิ้นพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง ก่อนจะนั่งลงที่ม้าหินตรงข้ามอีกฝ่าย “ข้าก็รู้สึกว่าตนเองขุดเจอสมบัติล้ำค่าเหมือนกัน ใช้เงินเพียงหนึ่งร้อยตำลึงก็ซื้อสูตรอาหารจานนี้มาได้แล้ว ให้รู้สึกขออภัยโดยแท้”

“ยังต้องเพิ่มขออภัยให้อีกเท่าหนึ่ง”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น หอสุราอื่นจะได้ไม่มาขุดสมบัติไปจากมือข้า”

ได้ยินลู่ไป่จวิ้นกล่าวออกมาเช่นนี้เซียวอวี้ก็เลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยเย้าแหย่ “เจ้าคงไม่คิดว่าตนเองถูกครอบครัวไล่ออกมาจริงๆ แล้วเตรียมลงหลักปักฐานที่นี่หรอกนะ”

“ข้าโดนครอบครัวไล่ออกมาจริงๆ” ถึงจะจงใจจัดฉากก็เถอะ

“เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้ามาเซียงโจวเพราะเหตุใด”

“จะลืมได้อย่างไรเล่า ฉากหน้าข้าทะเลาะกับครอบครัวถึงได้มาที่เซียงโจวนี่ แต่ข้าจะทำอะไรไม่สำเร็จเลยไม่ได้”

“ก็จริงอยู่ คิดไม่ถึงว่าหอจ้วนเซียนของเจ้าจะเป็นรูปเป็นร่างถึงเพียงนี้”

“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่อยากกลับไปเมืองหลวงแล้วถูกคนอื่นหัวเราะเยาะว่าทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างนี่”

“ฝ่าบาทไม่ทรงตำหนิว่าเจ้าทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างหรอก มีก็แต่เรื่ององครักษ์ประตูมังกร จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสอีกหรือ”

ลู่ไป่จวิ้นพยักหน้า เขากุมขมับด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม แล้วย้อนถามว่า “เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงมั่นพระทัยว่าโจรสลัดที่พบที่เซียงโจวเมื่อสี่ปีก่อนไม่ใช่โจรสลัดจริงๆ แต่เป็นองครักษ์ประตูมังกรปลอมตัวมา”

“เจ้ารู้จักองครักษ์ประตูมังกรดีเพียงใด”

“ข้ารู้ว่าพวกเขาคือกองทัพเรือที่ฉีอ๋องเป็นผู้ฝึกฝน” ‘ฉีอ๋อง’ เป็นน้องชายของไท่จู่ ตอนที่บ้านเมืองตกอยู่ในความวุ่นวายพี่น้องสองคนได้ร่วมมือกันช่วงชิงแผ่นดินมาได้ คนหนึ่งชำนาญการสู้รบบนดิน อีกคนเชี่ยวชาญการรบทางน้ำ และเป็นกองทัพเรือที่ฉีอ๋องฝึกฝนมานี้เองที่สามารถข้ามผ่านกองกำลังของฝ่ายต่างๆ แฝงตัวเข้าเมืองหลวง ร่วมมือกับไท่จู่ประสานกันระหว่างภายในภายนอกเปิดประตูเมืองหลวงให้กองทัพต้าโจวสำเร็จ

องครักษ์ประตูมังกรนับว่ามีคุณูปการใหญ่หลวงต่อการก่อตั้งราชวงศ์ต้าโจวนี้ ทว่าหลังจากไท่จู่ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เรื่องแรกที่ออกคำสั่งกลับเป็นการยุบองครักษ์ประตูมังกรทิ้ง ไท่จู่เห็นว่าการดำรงอยู่ของกองทัพเรือไม่มีความหมายอีกต่อไป ศัตรูของต้าโจวคือแคว้นเหลียงทางตะวันตกเฉียงเหนือ แคว้นเยียนทางเหนือ และแคว้นเยวี่ยทางใต้ ทว่าในสายตาของฉีอ๋องแล้วไท่จู่อาศัยโอกาสนี้แย่งอำนาจทางทหารไปจากมือเขามากกว่า สองพี่น้องจึงหมางใจกันนับแต่นั้นมา ภายหลังฉีอ๋องยังแกล้งตาย ก่อนจะพาบุตรและชายาไปจากต้าโจว สิ่งที่หายไปพร้อมกันนั้นยังมีองครักษ์ประตูมังกรด้วย

“แม้ไท่จู่จะมีพระราชประสงค์ยุบองครักษ์ประตูมังกรด้วยเจตนาส่วนตัวจริง แต่ยามนั้นต้าโจวเพิ่งสร้างแคว้นได้ไม่นาน ความเสียหายของบ้านเมืองกำลังรอการฟื้นฟูอยู่ ย่อมไม่มีเงินพอให้ไปเลี้ยงกองทัพเรือที่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ หรือต่อให้มีโจรสลัดโผล่มาเรื่อยๆ ทว่าพวกเขาก็แค่กลุ่มคนที่ไร้กฎระเบียบ เป็นเพียงคนเร่ร่อนพเนจรในทะเล ไม่พอจะสร้างแรงคุกคามบ้านเมืองได้ ไท่จู่ย่อมมีพระดำริว่าหากมีกองทัพเรือต่อไปก็คงไร้ความหมาย” เซียวอวี้เห็นว่าทั้งไท่จู่และฉีอ๋องต่างเป็นคนมุทะลุไร้เล่ห์เหลี่ยม ทางฉีอ๋องย่อมมองว่ากองทัพเรือจะยุบทิ้งไม่ได้เป็นอันขาด แต่การเลี้ยงดูทหารเรือกองหนึ่งก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดคือการใช้ประโยชน์จากการต่อสู้ทางน้ำของพวกเขามาหาเลี้ยงตนเอง ซึ่งข้อนี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ตระหนักได้แล้ว

“เพราะองครักษ์ประตูมังกรคือทหารเรือ ฝ่าบาทจึงสงสัยว่าโจรสลัดที่จู่โจมเมืองเซียงโจวเมื่อสี่ปีก่อนคือองครักษ์ประตูมังกร?”

“ฝ่าบาททรงเห็นความสามารถที่แท้จริงของโจรสลัดในคราวนั้นด้วยพระเนตรตนเองแล้ว พวกเขาไม่ได้ไร้ระเบียบเลยสักนิด พ่อข้าเองก็อยู่ในตอนนั้นด้วย เขาเล่าถึงโจรสลัดกลุ่มนั้นว่าแต่ละคนล้วนเก่งกล้าราวกับผ่านสมรภูมิมานับร้อย”

หลังใคร่ครวญเล็กน้อยลู่ไป่จวิ้นก็เข้าใจ “หากเป็นโจรสลัดจริงพวกเขาคงไม่อาจก่อความวุ่นวายใหญ่โตที่เซียงโจวได้กระมัง ในเมื่อฝ่าบาททรงสงสัยว่าโจรสลัดพวกนั้นคือองครักษ์ประตูมังกรจริง แล้วเหตุใดจึงไม่ทรงรายงานเรื่องนี้ต่ออดีตฮ่องเต้เล่า”

“ยามนั้นเจียงหนาน* เกิดอุทกภัยขึ้น ราชสำนักจำเป็นต้องรีบให้ความช่วยเหลือ ถึงขนาดส่งองค์ชายที่เกิดจากฮองเฮามาที่เจียงหนานมา อดีตฮ่องเต้ไหนเลยจะมาใส่พระทัยเรื่ององครักษ์ประตูมังกร อีกทั้งฝ่าบาทก็มีพระดำริแตกต่างจากอดีตฮ่องเต้ อดีตฮ่องเต้มีพระราชประสงค์จะทำลายองครักษ์ประตูมังกร ขณะที่ฝ่าบาททรงไม่เห็นด้วย” ไท่จู่ต้องการตามหาร่องรอยขององครักษ์ประตูมังกรเสมอมา ก่อนสวรรคตยังเอ่ยกำชับต่ออดีตฮ่องเต้ไม่ให้ลืมเรื่องนี้ แต่เนื่องจากอดีตฮ่องเต้พระวรกายไม่แข็งแรง จึงไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องกองทัพเรือนี้อีก เมื่อฝ่าบาททราบความคิดของอดีตฮ่องเต้ จึงไม่มีทางเอ่ยสิ่งที่พบเห็นตอนเดินทางมาเซียงโจวอย่างแน่นอน

“ฝ่าบาทมีพระราชประสงค์จะคืนฐานะให้องครักษ์ประตูมังกร?”

“ข้าไม่แน่ใจว่าฝ่าบาททรงมีแผนการเช่นไรกับองครักษ์ประตูมังกรบ้าง ยามนี้เพียงมีพระราชประสงค์จะตามหาองครักษ์ประตูมังกรให้พบก่อน” บิดาของเซียวอวี้เป็นอาจารย์สอนการต่อสู้ของฮ่องเต้ พูดได้ว่าเซียวอวี้นั้นเติบโตมาด้วยกันกับฮ่องเต้ เขาย่อมคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ได้ไม่มากก็น้อย แต่ตราบใดที่ฮ่องเต้ไม่พูด เขาก็ไม่มีวันปริปาก

“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้สองปีแล้ว โจรสลัดสักคนก็ยังไม่เห็น” ลู่ไป่จวิ้นนับว่าโชคดียิ่ง เพราะหากที่นี่มีโจรสลัดขึ้นมาเกรงว่ากิจการของหอจ้วนเซียนคงไม่รุ่งเรืองถึงเพียงนี้

“หลายปีมานี้แคว้นวอ ไม่มีจลาจลภายใน โจรสลัดเร้นกายไร้ข่าวคราวย่อมเป็นเรื่องปกติ”

“นี่ก็เป็นเหตุให้ฝ่าบาททรงเชื่อว่าโจรสลัดเมื่อสี่ปีก่อนคือองครักษ์ประตูมังกรอย่างนั้นหรือ”

“นี่นับเป็นเหตุผลหนึ่ง ถึงจะพูดว่าแคว้นวอไม่มีจลาจลภายใน แต่ก็มีภัยทางธรรมชาติไม่น้อย ชาวบ้านตกยากจะกลายเป็นโจรสลัดก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้”

ลู่ไป่จวิ้นส่ายหน้าเอ่ย “การตามหาองครักษ์ประตูมังกรให้พบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย”

“เดิมทีก็ไม่ง่ายหรอก แต่ก่อนอดีตฮ่องเต้สวรรคตทรงพบกล่องกลไกที่อยู่ในครอบครองของฉีอ๋องซื่อจื่อ เข้าเสียก่อน กล่าวกันว่าด้านในใส่ตราพยัคฆ์ที่สามารถสั่งการองครักษ์ประตูมังกรได้ ทั้งยังเก็บสมุดรายชื่อองครักษ์ประตูมังกรเอาไว้ด้วย”

ลู่ไป่จวิ้นเลิกคิ้วอย่างตกใจ “อดีตฮ่องเต้หาตัวฉีอ๋องซื่อจื่อพบแล้ว?!”

“หลังอดีตฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ก็ทรงพบตัวฉีอ๋องซื่อจื่อแล้ว ทว่าพระองค์กลับไม่มีแรงใจจัดการปัญหาเรื่องฉีอ๋องซื่อจื่อนี้เสียที จวบจนประชวรหนักถึงได้ส่งองครักษ์เสื้อแพรลอบพาฉีอ๋องซื่อจื่อและครอบครัวกลับมายังเมืองหลวง ฉีอ๋องซื่อจื่อจึงใช้กล่องกลไกที่ฉีอ๋องทิ้งไว้แลกกับชีวิตคนทั้งครอบครัว”

ลู่ไป่จวิ้นได้ฟังก็ขมวดคิ้วมุ่น “องครักษ์ประตูมังกรไม่ได้อยู่ในมือฉีอ๋องซื่อจื่อ?”

“อดีตฮ่องเต้ก็ทรงกังขาต่อเรื่องนี้เช่นกัน คิดว่าฉีอ๋องจงใจใช้แผนลวง ทว่าฝ่าบาทกลับทรงเชื่อ พอฉีอ๋องแกล้งตายหนีไปจากต้าโจวแล้ว เขาย่อมเลี้ยงดูกองทัพเรือไม่ไหวแน่นอน อีกอย่างในเมื่อฉีอ๋องตัดสินใจไปจากราชสำนักแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องพากำลังทหารยิ่งใหญ่เพียงนั้นติดตามไปด้วย เพราะมีแต่จะทำให้ผู้คนสงสัยว่าเขามีเจตนาแอบแฝงและอาจเป็นภัยร้ายต่อบัลลังก์ในภายภาคหน้าอีก มิสู้จ้างคนสร้างกล่องกลไกเก็บตราพยัคฆ์กับสมุดรายชื่อเอาไว้ ยามคับขันค่อยใช้เป็นสิ่งของแลกเปลี่ยนเอาชีวิตรอด” ในสายตาเซียวอวี้นั้นฉีอ๋องหาได้ฉลาดปราดเปรื่องไม่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ถือเป็นคนที่ตรงไปตรงมาแต่กำเนิด ซ้ำยังรู้จักปล่อยวางลงได้

ลู่ไป่จวิ้นยกมือขึ้นคล้ายฉุกคิดอะไรได้ “ช้าก่อน ไม่ถูกต้อง หากตราพยัคฆ์ซ่อนอยู่ในกล่องกลไกมาตลอด สี่ปีก่อนองครักษ์ประตูมังกรที่ปรากฏตัวในคราบโจรสลัดที่เซียงโจวจะอธิบายว่าอย่างไร”

“ฝ่าบาททรงสงสัยว่าหากไม่ใช่ตราพยัคฆ์ถูกขโมยไป ก็ต้องมีตราพยัคฆ์อีกชิ้นหนึ่ง ซ้ำยังเป็นตราพยัคฆ์ปลอม แต่หากตราพยัคฆ์ถูกขโมยไปตั้งแต่แรก เมื่อไม่มีรหัสมาเปิดกล่องกลไก ก็ย่อมไม่มีทางเปิดกล่องกลไกได้เลย”

“ฉีอ๋องคงไม่ได้ไม่รู้รหัสเปิดกล่องกลไกหรอกนะ”

“ฉีอ๋องรู้ แต่เขาไม่มีวันบอกฉีอ๋องซื่อจื่อหรอก เพราะกังวลว่าฉีอ๋องซื่อจื่อจะเกิดความคิดที่ไม่สมควรมีจนทำลายความตั้งใจที่จะรักษาชีวิตคนในครอบครัวของเขาไป” เซียวอวี้นับถือฉีอ๋องอย่างมาก การวางอำนาจลงได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแผ่นดินต้าโจวครึ่งหนึ่งถือเป็นของเขาด้วยแล้ว

ลู่ไป่จวิ้นยิ่งฟังยิ่งสับสน เขาอดกุมขมับอีกครั้งไม่ได้ “ฉีอ๋องซื่อจื่อไม่รู้รหัสเปิดกล่องกลไก แล้วจะใช้กล่องกลไกแลกเปลี่ยนชีวิตคนในครอบครัวได้หรือ”

“ฉีอ๋องทิ้งเบาะแสให้กับฉีอ๋องซื่อจื่อ เพราะเขาสลักรหัสเปิดกล่องกลไกไว้ที่หยกมังกรของฝ่าบาท” ตะลึงไปครู่ใหญ่ลู่ไป่จวิ้นก็กะพริบตาปริบๆ อย่างงงเป็นไก่ตาแตก “หยกมังกรของฝ่าบาทเป็นอดีตฮ่องเต้พระราชทานให้พระองค์ในพิธีสวมหมวก แล้วฉีอ๋องจะสลักรหัสลงไปบนหยกมังกรได้อย่างไร”

เซียวอวี้ก็รู้สึกอัศจรรย์ใจเช่นกัน แต่เขาเชื่อว่าฉีอ๋องเป็นคนจัดการเรื่องนี้จริงๆ “เกรงว่าหยกมังกรของฝ่าบาทคงถูกสับเปลี่ยนตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในมืออดีตฮ่องเต้ และที่ฉีอ๋องเลือกจะซ่อนรหัสเปิดกล่องกลไกไว้ในหยกมังกรของฝ่าบาทก็เพราะพระองค์คือพระโอรสเพียงพระองค์เดียวที่เกิดจากฮองเฮาในอดีตฮ่องเต้ เป็นผู้ที่มีโอกาสสืบทอดราชบัลลังก์มากที่สุด”

ลู่ไป่จวิ้นรู้สึกว่าภายในสมองตนเองตีกันยุ่งเหยิงอีกหน “ในเมื่อรหัสถูกสลักบนหยกมังกร ฝ่าบาทก็ควรเปิดกล่องกลไกได้แล้วไม่ใช่หรือ”

เซียวอวี้ยิ้มอย่างจนใจ “หยกมังกรของฝ่าบาทอีกครึ่งซีกอยู่ที่ฉู่ซื่อเหยีย แห่งจวนจงอี้ป๋อ” ลู่ไป่จวิ้นมีสีหน้าตกตะลึง นี่มันเรื่องอะไรกันอีก!

“นี่เป็นเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน ตอนที่พ่อข้าติดตามฝ่าบาทไปช่วยเหลือชาวบ้านที่เจียงหนานนั้น คิดไม่ถึงว่าจะพบโจรสลัดที่เซียงโจวเข้า ในช่วงเวลาเป็นตายก็ได้ฉู่ซื่อเหยียช่วยไว้ได้พอดี พ่อข้าจึงใช้การหมั้นหมายของข้าตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตของอีกฝ่าย ทว่ายามนั้นกลับไม่มีของมีค่าใดพอใช้เป็นของแทนใจได้ ฝ่าบาทจึงมอบหยกมังกรครึ่งซีกที่ติดตัวมาด้วยให้อีกฝ่ายไป”

“…ฝ่าบาทมอบของแทนใจแทนท่านโหว?!” ลู่ไป่จวิ้นพลันรู้สึกว่าสมองของตนเองไม่พอใช้เสียแล้ว

“ตอนนั้นฝ่าบาทยังเป็นองค์ชายอยู่ วันหน้าหากพวกเราจวนอู่หยางโหวไม่ยอมรับการแต่งงานนี้ก็เพียงมอบผลประโยชน์เป็นการตอบแทนให้อีกฝ่ายไปก็พอ แต่ทันทีที่อดีตฮ่องเต้ทรงเลือกฝ่าบาทขึ้นสืบราชบัลลังก์ ของแทนใจนี้จึงไม่เหมือนเดิมอีก” เวลานั้นไม่ว่าฝ่าบาทหรือพ่อเขาต่างก็คิดไม่ถึงว่าหยกมังกรครึ่งซีกจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร

ลู่ไป่จวิ้นพยักหน้า “ฐานะของฮ่องเต้กับองค์ชายแตกต่างกันมากนัก ดังนั้นฮ่องเต้จึงมีพระราชโองการสมรสพระราชทานลงมา โดยไม่สนว่าฐานะของทั้งสองฝ่ายจะคู่ควรหรือไม่”

“แต่ฉู่ซื่อเหยียไม่นำของแทนใจมาหาพ่อข้าเสียที เป็นไปได้มากว่าฉู่ซื่อเหยียจะรู้จักประมาณตน รู้ว่าไม่อาจใฝ่สูงถึงจวนอู่หยางโหวของพวกเรา”

ลู่ไป่จวิ้นเหยียดปากอย่างไม่คิดเช่นนั้น “มีของแทนใจของฝ่าบาทเช่นนี้ เจ้าคิดหรือว่าพวกเขาจะไม่ตอบรับการแต่งงาน”

“แต่จนถึงวันนี้ฉู่ซื่อเหยียก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจริงๆ ตอนฝ่าบาททรงขึ้นครองบัลลังก์ใหม่ๆ เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือสร้างความมั่นคงในราชสำนัก ทว่าในใจยังคงรอให้ฉู่ซื่อเหยียเป็นฝ่ายมาหา ซึ่งตลอดมาฉู่ซื่อเหยียไม่เคยมีความเคลื่อนไหวใด กล่องกลไกจะปล่อยทิ้งไว้ไม่เปิดออกตลอดไปไม่ได้ ฝ่าบาทจึงส่งพ่อข้าไปตามตัวถึงที่บ้าน คิดไม่ถึงว่าฉู่ซื่อเหยียจะถูกจวนจงอี้ป๋อขับออกจากตระกูลไปตั้งแต่สองปีก่อน ทั้งยังพาภรรยากับลูกย้ายมายังเซียงโจวแล้ว”

มุมปากของลู่ไป่จวิ้นกระตุกทีหนึ่ง “จวนจงอี้ป๋อขับฉู่ซื่อเหยียออกจากตระกูล?”

เซียวอวี้ย่อมเข้าใจความคิดของสหายสนิท “เรื่องนี้ข้าเองก็คิดไม่ตก ในตัวฉู่ซื่อเหยียมีหยกมังกรของฝ่าบาทอยู่ครึ่งซีก จวนจงอี้ป๋อหักใจขับเขาออกจากตระกูลได้อย่างไรกัน”

“เจ้าพบตัวฉู่ซื่อเหยียแล้วหรือไม่”

“ข้ายังไม่รีบร้อนเพียงนั้น อย่างไรเสียฐานะของข้าก็เลี่ยงไม่ให้เป็นที่สงสัยได้ยากนัก ฉะนั้นในเมื่อตกลงกันแล้วว่าจะมาเที่ยวกินดื่มที่นี่ ย่อมต้องไปชิมอาหารอร่อยให้ทั่วเสียก่อน” เซียวอวี้เป็นคนรักในอาหารเลิศรส ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่สำคัญเท่าการได้ลิ้มชิมรสอาหารรสชาติเยี่ยม

“มิน่า ถึงให้ข้าเขียนจดหมายเชิญเจ้ามาเยือนเซียงโจว แต่ข้าอยู่เซียงโจวมาสองปีแล้วก็ไม่เคยได้ยินว่าฉู่ซื่อเหยียแห่งจวนจงอี้ป๋ออยู่ที่นี่นะ”

“เขาถูกขับออกจากตระกูลแล้ว ไปไหนมาไหนข้างนอกย่อมไม่สะดวกจะอ้างชื่อจวนจงอี้ป๋อ”

“ก็จริงอยู่”

“ในเมื่อข้ารับคำเชิญเจ้ามาชิมอาหารอร่อยที่นี่ เรื่องของฉู่ซื่อเหยียอีกสักหลายวันหน่อยค่อยว่ากัน”

“ข้าเชิญเจ้ามาชิมอาหารรสเลิศที่นี่ด้วยใจจริงเชียวนะ แต่ว่า…ข้ายังโน้มน้าวอีกฝ่ายไม่สำเร็จ” ลู่ไป่จวิ้นทอดถอนใจเบาๆ

เซียวอวี้เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

ลู่ไป่จวิ้นแบมือออกสองข้างโดยไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่ม “เอาเป็นว่าเจ้ารอไปก่อน ข้าจะให้เจ้าได้ชิมอาหารเลิศรสที่แม้แต่ในเมืองหลวงก็หากินไม่ได้แน่นอน!”

 

ปกติห้องครัวของบ้านสกุลฉู่เป็นพื้นที่ของป้าหลี่ ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่ได้เข้าครัวเอง ประการแรกเพราะนางงานยุ่ง ประการที่สอง การเข้าครัวสำหรับนางควรจะเป็นความสำราญใจอย่างหนึ่ง หากต้องขลุกอยู่กับน้ำมันและควันอาหารตั้งแต่เช้าจรดค่ำเพื่อทำมาหาเลี้ยงท้อง ต่อให้เป็นเรื่องน่าสนุกเพียงใดก็เปลี่ยนเป็นน่าเบื่อไร้รสชาติได้อยู่ดี ด้วยเหตุนี้ทันทีที่อารมณ์ของนางผ่อนคลายแล้ว เรื่องแรกที่คิดถึงก็คือการเข้าครัว

หนึ่งปีมานี้นับว่ายากลำบากอย่างแท้จริง แม้ยังไม่มีกำลังซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่หรือมีหน้าร้านเป็นของตนเอง แต่ยามนี้ก็พอมีเงินติดมืออยู่บ้าง เป็นไปตามเป้าหมายของนางเมื่อปีก่อน…เก็บทองให้ได้หนึ่งถังในหนึ่งปี!

ต่อให้ลู่ไป่จวิ้นยินดีจ่ายเงินเพิ่มอีกเท่าตัวเพื่อซื้อสูตรอาหารของนางอีก แต่นางกลับไม่รีบร้อนใช้วิธีนี้หาเงินให้มากๆ เพราะต่อจากนี้นางจะไม่ยอมขายสูตรอาหารง่ายๆ อีก เนื่องจากนี่ไม่ใช่แผนระยะยาวแต่อย่างใด เทียบกับประโยชน์ที่ได้เพียงครั้งเดียวแล้ว ไม่สู้ใช้โอกาสนี้ร่วมมือกับผู้อื่นสร้างผลประโยชน์ระยะยาวขึ้นมาเสียเลย ทว่าโอกาสเช่นนี้คงหาได้ยากยิ่ง

ความจริงแล้วมาถึงวันนี้นางก็มีความพร้อมแล้ว ต้องขอบคุณฝีมือเย็บปักของมารดาและน้องสาวที่มีลักษณะพิเศษอันชวนตื่นตา…ยิ่งฝีมือการปักสองหน้าผสานกับลวดลายที่นางวาดออกมาด้วยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นเล็กอย่างพวกผ้าเช็ดหน้า ถุงเหอเปา จนถึงงานปักชั้นสูงราคาแพงอย่างชุดกระโปรง ฉากบังลม และอื่นๆ ก็ล้วนแต่เปิดเส้นทางสร้างเงินให้แก่นางได้ทั้งสิ้น ภายหลังเพียงแค่เฉพาะลวดลายก็สามารถขายให้กับโรงปักผ้าได้แล้ว เงินทองก็ยิ่งหลั่งไหลเข้าถุงเหอเปาเป็นเท่าทวี

อีกอย่างสุราผลไม้ของนางก็หาทางขายได้แล้ว ผู้ที่เคยดื่มต่างเอ่ยชื่นชมไม่หยุดปาก ยิ่งเปิดช่องทำเงินให้นางอีกทางหนึ่ง มิหนำซ้ำผักผลไม้ที่ปลูกในบริเวณบ้านก็ใกล้จะเก็บได้แล้ว

โดยสรุปคือพวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องหรือเครื่องนุ่งห่มอีก ทั้งยังสามารถส่งน้องชายสองคนเรียนหนังสือเพื่อสอบเคอจวี่ได้อย่างวางใจ เงินที่หาได้ในวันนี้ก็อยู่ในส่วนสำหรับซื้อบ้านซื้อที่นาแล้ว

ฉู่อวิ๋นจิ้งเพลิดเพลินอยู่กับการทำอาหารอย่างมาก วันนี้นางทำน้ำแกงปลาสะใภ้ซ่ง หรือเรียกอีกชื่อว่าน้ำแกงปลาเทียมปู หลังนึ่งปลากุ้ย ให้สุกดี ก็ลอกหนังและเลาะก้างออก ก่อนจะเติมขาหมูรมควันที่หั่นเป็นเส้นๆ เห็ดหอม หน่อไม้ซอย น้ำต้มไก่ และพวกเครื่องปรุงต่างๆ ลงไปต้มแล้วก็เป็นอันเสร็จ เมื่อสุกแล้วจะมีสีเหลืองทอง เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ รสชาติคล้ายเนื้อปู

น้ำแกงปลาเทียมปูจะเลือกใช้ปลากะพงก็ได้ แต่ฤดูใบไม้ผลิน้ำในแม่น้ำใสจะสะอาด น้ำในแม่น้ำเย็นสบาย เวลานี้เป็นช่วงที่ปลากุ้ยรสชาติเยี่ยมยอดที่สุดในสี่ฤดู เนื้อปลากุ้ยจะนุ่มเนียนละเอียด ซ้ำยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ย่อยง่ายยิ่งนักสำหรับเด็ก คนแก่ รวมถึงคนร่างกายอ่อนแอ ยิ่งกับคนที่ม้ามและกระเพาะทำงานไม่ดีด้วยแล้วกินปลากุ้ยก็จะได้ทั้งบำรุงร่างกายและไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารไม่ย่อย

ไม่ทันไรน้ำแกงปลาเทียมปูก็หมดจนเห็นก้นหม้อ ทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อยไม่รู้เบื่อ

“น้ำแกงปลาที่พี่สาวต้มอร่อยมากจริงๆ” ฉู่เหยียนมองฉู่อวิ๋นจิ้งด้วยสีหน้าประจบ เดิมทีเขาไม่ชอบกินปลาเป็นที่สุด เนื่องจากมันเหม็นคาว แต่พี่สาวก็จะคอยหาวิธีทำให้กลิ่นคาวปลาที่เขาเกลียดหายไป กระทั่งได้ลิ้มรสความนุ่มสดของปลาที่ไร้กลิ่นคาว

“ถ้าเจ้ายอมกินข้าวอย่างว่าง่าย ในห้าวันพี่จะอนุญาตให้เจ้าเลือกกับข้าวได้หนึ่งครั้ง แต่ว่าจะเลือกได้เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นนะ” เวลาฉู่อวิ๋นจิ้งเจอคนกินยากจะออกอาการกระปรี้กระเปร่าอย่างมาก ยิ่งได้ยินคำว่า ‘อร่อย’ จากปากเขาคำหนึ่ง นางก็จะภาคภูมิใจเป็นพิเศษ

ฉู่เหยียนสองตาวาววับ “ข้าอยากกินอะไรก็ได้จริงหรือ”

“แน่นอน ขอแค่ข้าทำได้เป็นพอ”

“ข้าอยากกินผัดเนื้อแพะ” ฉู่เหยียนเคยกินผัดเนื้อแพะครั้งหนึ่ง นับแต่นั้นมาก็คิดถึงมิรู้ลืม แต่มารดาบอกว่าเนื้อแพะแพงเกินไปและไม่ยอมให้พี่สาวทำอาหารชนิดนี้อีก

“ได้ ไม่ได้กินผัดเนื้อแพะนานมากแล้ว ช่างชวนให้คิดถึงโดยแท้” ฉู่อวิ๋นจิ้งชิงเอ่ยก่อนมารดาจะทัดทานขึ้นมา ไม่ว่ายุคสมัยใดเนื้อแพะก็แพงมาก ว่ากันว่าสมัยซ่งเนื้อแพะถือเป็นอาหารที่ล้ำค่าที่สุด ไม่ว่าคนในวังหรือในหมู่ชาวบ้านล้วนเห็นการกินเนื้อแพะเป็นเรื่องยอดเยี่ยมทั้งสิ้น

ฉู่เหยียนรีบยื่นมือออกมา

ฉู่อวิ๋นจิ้งเห็นแล้วเข้าใจได้ในทันที นางยื่นมือไปเกี่ยวก้อยสัญญากับเขา

เวลานี้เองลุงหลี่ก็พลันก้าวอย่างเร่งร้อนเข้ามาในโถงรับแขก เขาหอบหายใจพลางเอ่ย “นายหญิง จวนป๋อในเมืองหลวงส่งคนมาขอรับ” เหลียนอวี้จูงุนงง นางลืมจวนจงอี้ป๋อไปตั้งนานแล้ว ยิ่งไม่เคยคิดว่าจวนป๋อจะส่งคนมา

“จวนป๋อส่งผู้ใดมา” ฉู่อวิ๋นจิ้งมุ่นคิ้วเล็กน้อยพลางถาม

“พ่อบ้านหูขอรับ”

“ลุงหลี่พาพ่อบ้านหูไปที่ศาลารับลมก่อน ข้าจะไปพบเขาที่นั่น” ปกติสถานที่ที่พวกเขาใช้รับรองแขกก็คือโถงรับแขก ทว่ายามนี้พวกเขากำลังกินอาหาร ย่อมไม่เหมาะจะพบเขาที่นี่

เหลียนอวี้จูตั้งสติได้ในที่สุด นางลุกขึ้นจะติดตามฉู่อวิ๋นจิ้งไปพบพ่อบ้านหู ฉู่อวิ๋นจิ้งเดิมคิดยื่นมือขวางไว้ แต่เมื่อคิดดูก็เห็นว่าไม่ถูกต้อง อย่างไรบิดาก็ไม่อยู่ ในนามมารดาถือเป็นผู้นำครอบครัว มารดาออกหน้าจึงสมเหตุสมผล ถึงอย่างนั้นฉู่อวิ๋นจิ้งก็ไม่ลืมกำชับมารดาอย่างละเอียด หากไม่จำเป็นไม่ต้องเอ่ยวาจา ตนจะรับมือเอง

“คารวะนายหญิงสี่ คุณหนูสาม” พอพ่อบ้านหูเห็นพวกนางสองแม่ลูกก็รีบร้อนเข้ามาคารวะ

ฉู่อวิ๋นจิ้งประคองมารดานั่งลงบนม้าหิน นางยืนอยู่ด้านหลังมารดา มองพ่อบ้านหูแล้วเอ่ย “พ่อบ้านหูมาเยือนเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดชี้แนะหรือ”

“บ่าวมาถ่ายทอดคำพูดของท่านป๋อ อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไฉนจะทนดูพวกท่านใช้ชีวิตยากลำบากที่นี่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงส่งบ่าวมาเชิญครอบครัวนายท่านสี่กลับจวนป๋อขอรับ” แม้พ่อบ้านหูจะไม่มีท่าทีหยิ่งยโส แต่ก็ไม่เห็นท่าทางนอบน้อม ประหนึ่งพอเขาเอ่ยเป้าหมายการมาเยือนจบแล้วพวกนางก็จะยอมรับอย่างยินดีปรีดาเสียอย่างนั้น

ฉู่อวิ๋นจิ้งยกยิ้มหยัน “ท่านป๋อพูดผิดแล้ว พวกเราไม่ใช่ ‘ครอบครัวเดียวกัน’ มาตั้งนานแล้ว”

พ่อบ้านหูได้ยินก็พลันตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าท่าทีของฉู่อวิ๋นจิ้งไม่เป็นไปตามที่คาดไว้

“ทุกคนในครอบครัวล้วนชอบชีวิตที่นี่มาก ไม่คิดกลับเมืองหลวง”

“บ่าวอยากพบนายท่านสี่ขอรับ” พ่อบ้านหูมองซ้ายมองขวาแวบหนึ่งแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย บ้านซอมซ่อถึงเพียงนี้คงไม่ได้มีชีวิตที่ดีแน่ จะไปชอบชีวิตที่นี่ได้อย่างไร

ฉู่อวิ๋นจิ้งอ่านความคิดพ่อบ้านหูออกอย่างไม่ยากเย็น เนื่องจากบ้านนี้เคยมีขโมยขึ้นมาก่อน อีกทั้งนางก็ตั้งใจจะซื้อบ้านใหม่ในตัวเมืองอยู่แล้ว จึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องฟุ่มเฟือยเงินทองเพื่อจัดระเบียบที่นี่ใหม่ สิ่งเดียวที่นางใส่ใจกับที่นี่จึงอยู่ที่การปลูกผักผลไม้เท่านั้น

“พ่อบ้านหูมาเยือนได้ไม่ถูกเวลาเสียเลย หลายวันนี้พ่อข้าไม่อยู่บ้าน”

“ตอนนี้บ่าวพักที่โรงเตี๊ยมซื่อไห่ในเมือง รอนายท่านสี่กลับมา บ่าวค่อยมาอีกครั้งหนึ่ง”

“ข้าว่าพ่อบ้านหูอย่าเสียเวลารอพ่อข้ากลับมาเลย สิ่งที่พ่อข้าชิงชังเป็นที่สุดก็คือคนของจวนป๋อ หากพ่อข้าอยู่บ้าน เกรงว่าพ่อบ้านหูคงเข้ามาไม่ได้ตั้งแต่ประตูหน้าแล้ว”

“บ่าวขอรอนายท่านสี่กลับมาดีกว่า” พ่อบ้านหูรับคำสั่งของจงอี้ป๋อมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพานายท่านสี่กับครอบครัวกลับเมืองหลวงให้ได้ ต่อให้นายท่านสี่เป็นคนดื้อรั้นหัวแข็งจนอาจทำให้เขาพบกับความยากลำบาก แต่เขาจะยอมแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด

“พ่อบ้านหูอยากรอก็รอเถิด เพราะพ่อข้าก็ไม่ได้บอกไว้ว่าจะกลับมาเมื่อใด” ฉู่อวิ๋นจิ้งเอ่ย

พ่อบ้านหูลังเลชั่วขณะ ก่อนยกมือประสานแล้วเอ่ย “สามวันให้หลังบ่าวจะมาใหม่”

ฉู่อวิ๋นจิ้งให้ลุงหลี่ส่งแขก ไม่นานศาลารับลมก็เหลือเพียงพวกนางสองคนแม่ลูก

“จิ้งเอ๋อร์ ไยจู่ๆ จวนป๋อก็จะให้พวกเรากลับไปเล่า” เหลียนอวี้จูไม่อยากเชื่อเลยสักนิด อาศัยในจวนจงอี้ป๋อมาสิบกว่าปีนางไหนเลยจะไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นสถานที่เช่นไร นายท่านสี่ บุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยาเพียงคนเดียวผู้นี้พูดได้ว่าเป็นความอัปยศที่ฮูหยินผู้เฒ่าอยากลบออกไปมากที่สุด ตั้งแต่เด็กเขาก็ใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนภายใต้การกดขี่ของฮูหยินผู้เฒ่ากับบรรดาพี่น้อง ฐานะในจวนต่ำต้อยยิ่งยวด กระทั่งคำพูดยังมีน้ำหนักไม่เท่าคนที่ปรนนิบัติข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า

“ไม่ว่าเป้าหมายคืออะไรก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่” ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่ไว้ใจพวกเขาเช่นกัน

“หากพวกเราไม่ตามพ่อบ้านหูกลับไป จวนป๋อจะเลิกราโดยดีหรือไม่”

“ข้าอยากย้ายไปอยู่ในเมืองมาโดยตลอด อยู่ที่นั่นสะดวกส่งน้องชายทั้งสองเรียนหนังสือ” พอเริ่มมีเงิน นางก็ส่งฉู่เย่าเข้าเรียนที่สำนักศึกษาในเมือง แต่ฉู่เหยียนเด็กเกินไปจึงยังเข้าสำนักศึกษาไม่ได้ เขาต้องเข้าเรียนในสำนักศึกษาชั้นต้นแทน ทว่าละแวกนี้กลับไม่มีสำนักศึกษาชั้นต้นเลย คิดไปคิดมาพวกเขาย้ายเข้าเมืองจะค่อนข้างสะดวกกว่าอยู่ที่นี่

“แม่ตัดใจจากที่นี่ไม่ได้”

“ท่านแม่ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่มีทางขายบ้านนี้แน่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะเก็บบ้านนี้ไว้ ท่านพ่อกลับมาแล้วจะได้หาพวกเราเจอ” สองปีไม่มีข่าวคราว เกรงว่าบิดาคงเจอเรื่องร้ายมากกว่าดีแน่ แต่ทั้งครอบครัวก็ยังไม่อยากละทิ้งความหวัง

“ไม่ขายบ้านพวกเราก็ไม่มีเงินซื้อบ้านในเมืองนะ”

“ข้าเตรียมเงินสำหรับซื้อบ้านไว้แล้ว แต่คงต้องลำบากน้องสาวปักภาพวาดให้ข้าผืนหนึ่ง” ฉู่อวิ๋นจิ้งยังคงชอบให้มีเงินเก็บติดตัวมากหน่อย การปักภาพวาดเป็นรายรับที่นางคิดได้อีกช่องทางหนึ่ง ถึงแม้ฉากบังลมปักสองหน้าจะราคาสูงกว่าภาพปัก แต่ภาพปักเสียแรงน้อยกว่า ก่อนหาบ้านและย้ายเข้าเมืองก็น่าจะปักสำเร็จได้ภาพหนึ่งพอดี

นิ่งไปเล็กน้อยเหลียนอวี้จูก็เอ่ยขึ้นตะกุกตะกัก “ก่อนพ่อเจ้าออกจากบ้านไปเขาได้ทิ้งตั๋วเงินร้อยตำลึงไว้ให้แม่ยี่สิบใบ”

“เอ๋?” ฉู่อวิ๋นจิ้งพลันรู้สึกว่าสมองชาหนึบ

“พ่อเจ้าบอกว่าหากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ห้ามแตะต้องเงินเป็นอันขาด แม่เลยเย็บตั๋วเงินไว้ในเสื้อกันหนาวสองสามตัว ด้วยกลัวว่าหากเจอความลำบากเล็กๆ น้อยๆ แล้วจะทนไม่ไหวจนเผลอใช้เงินเหล่านั้น”

ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่รู้จะพูดอะไรแล้วจริงๆ

จริงสินะ ตอนนั้นยังไม่ถึงกับเข้าตาจนเสียทีเดียว เป็นนางที่รอไม่ไหวกระโดดออกมาแบกรับภาระเลี้ยงดูครอบครัวนี้เสียก่อน จะโทษที่มารดาไม่รู้จักปรับตัวตามสถานการณ์ ดึงดันจะเก็บตั๋วเงินไม่ยอมเอาออกมาก็ไม่ได้ นี่ถือเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าบิดานางหาใช่บุรุษที่ไม่มีความรับผิดชอบ อย่างน้อยออกจากบ้านไปก็ยังรู้จักทิ้งเงินให้ภรรยาและลูก

“ถึงวันนี้พวกเราก็ไม่ขาดเงินทองอะไร ท่านแม่เก็บไว้ต่อไปเถิดเจ้าค่ะ”

ได้ยินเช่นนี้เหลียนอวี้จูก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ตั๋วเงินที่สามีทิ้งไว้ให้นั้นสำหรับนางแล้วถือเป็นของดูต่างหน้าสามีอย่างหนึ่ง ทำให้หวนนึกถึงตอนเขาจากไป เขามอบตั๋วเงินให้นางอย่างจริงจัง ซ้ำยังไม่วางใจกำชับให้นางดูแลตนเองกับลูกให้ดี รอจนเมื่อเขากลับมา เขาจะเป็นผู้ชดเชยความน้อยเนื้อต่ำใจที่แล้วมาของนางให้ ยามราตรีดึกสงัดนางจึงมักลูบตั๋วเงินที่ซ่อนไว้ในเสื้อผ้าด้วยความถวิลหาสามี นางเชื่อว่าเขาจะรักษาสัญญากลับมาหา นางอดคิดไม่ได้ว่าหากนางใช้ตั๋วเงินเหล่านี้ไป สามีก็จะหายลับไปเช่นเดียวกัน

ที่เซียวอวี้ชอบชิมอาหารเลิศรสอย่างเงียบๆ นั้นไม่ใช่เพราะเขาทนที่ด้านข้างมีคนอื่นอยู่ด้วยไม่ได้ แต่เป็นเพราะเขาเกลียดการกินอาหารแล้วยังต้องรักษาสีหน้ายามอยู่กับคนอื่น สำหรับเขาแล้วการกินดื่มถือเป็นเรื่องง่ายดายอย่างหนึ่ง อร่อยคืออร่อย ไม่อร่อยคือไม่อร่อย หากมีคนจำนวนมากคอยตัดสินรสชาติอาหารจากความชอบของตนเอง รสชาติของอาหารก็จะเปลี่ยนไปไม่บริสุทธิ์

เพราะอย่างนี้แทนที่เซียวอวี้จะชอบนั่งในหอสุราที่มีชื่อเสียง เขากลับชมชอบร้านเล็กๆ ไม่สะดุดตาคนมากกว่า

“คุณชาย น้ำแกงปลาร้านนี้รสชาติโดดเด่นไม่เหมือนใครยิ่งนัก ให้รสชาติเหมือนกับเนื้อปูเลยขอรับ” เกาฉีเอ่ยประหนึ่งถวายของล้ำค่า ที่ใดมีอาหารโอชาชวนให้คนน้ำลายสอ คุณชายก็จะค้นพบก่อนพวกเขาเหล่าองครักษ์เสมอ ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ชิงตัดหน้าค้นพบร้านน้ำแกงปลานี้ก่อนคุณชายหนึ่งก้าวแล้ว

เซียวอวี้กวาดตามองรอบด้านแล้วพยักหน้าเล็กน้อย แม้จะนั่งเบียดเสียดยัดเยียดไปบ้าง แต่จิตใจทุกคนล้วนจดจ่ออยู่กับการกินอาหารจึงไม่ถึงขั้นดูจอแจ

ไม่นานน้ำแกงปลาสองชามก็ถูกยกมาส่ง ทั้งสองคนกินก่อนพูดทีหลังอย่างรู้ใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด

“แม่นางฉู่” ท่านยายเสิ่นเอ่ยขึ้นเสียงไม่ดังก็จริง แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนสัมผัสได้ถึงความยินดีปรีดาของนาง ลูกค้าในร้านเลื่อนสายตามองตามไป กระทั่งเซียวอวี้ก็ไม่เว้น ทว่าที่ตัวเขาหันมานั้นเพราะ ‘แซ่ฉู่’ ต่างหาก

ฉู่อวิ๋นจิ้งที่กำลังกลัดกลุ้มจนใกล้สติแตกเต็มที จู่ๆ ได้ยินคนเอ่ยเรียกเช่นนี้นางจึงหยุดฝีเท้าแล้วมองตามเสียงไป เมื่อเห็นคนเรียกนางก็แย้มยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง “ท่านยายเสิ่น!”

“แม่นางฉู่คงยังไม่ได้กินอะไรมา นั่งกินน้ำแกงปลาคู่กับข้าวหน้าหมูพะโล้ก่อนเถิด”

ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด แต่นางไม่มีวันปฏิเสธท่านยายเสิ่น เพราะนี่เป็นวิธีการตอบแทนบุญคุณที่ท่านยายเสิ่นมีต่อนาง เนื่องจากน้ำแกงปลาของท่านยายเสิ่นก็คือน้ำแกงปลาเทียมปูที่นางสอนให้กับมือทุกขั้นตอน รวมถึงข้าวหน้าหมูพะโล้ก็ด้วย ทำให้ท่านยายเสิ่นได้อาศัยสิ่งนี้เลี้ยงดูหลานทั้งสามคน

“ขอบคุณท่านยายเสิ่นมาก ข้าขอแค่น้ำแกงปลาชามหนึ่งก็พอแล้ว” ฉู่อวิ๋นจิ้งนั่งลงตามที่ท่านยายเสิ่นจัดให้

ท่านยายเสิ่นยกน้ำแกงปลามาส่งหนึ่งชามอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “แม่นางฉู่พบความยุ่งยากอะไรมาหรือ”

“แค่เรื่องเล็กเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่นับเป็นความยุ่งยากอะไรเจ้าค่ะ” ที่ฉู่อวิ๋นจิ้งพูดมาก็เป็นความจริง ต่อให้ยามนี้นางจะปวดสมองเต็มทีแล้วก็ตาม เพราะเดิมคิดว่าซื้อบ้านก็เหมือนกับการซื้อผักในตลาดที่ดูสุดแสนจะง่ายดาย สิ่งสำคัญคือต้องมีถุงเหอเปาที่ลึกพอเสียก่อน จากนั้นก็แค่เลือกแบบที่ชอบตรงกับที่ต้องการ…เป็นอันจบ

ทว่านางคิดผิด…ผิดมหันต์! ซื้อบ้านหาใช่เหมือนกับที่นางคิดไว้ อย่างน้อยๆ ก็ที่เซียงโจวนี้ หากจะซื้อบ้านสักหลังจำเป็นต้องให้เพื่อนบ้านทั้งซ้ายและขวายินยอมเสียก่อน…มีเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน น่าขบขันไปหรือไม่ ทว่าต่อให้นางไม่อยากเข้าใจเพียงใด ความจริงตรงหน้าก็ยังคงเป็นเช่นนี้

ในเวลานี้นางเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความสำคัญของคนที่มีอำนาจแล้ว หากได้วาจาของคนมีเงินที่มากอำนาจมาช่วยพูดให้ เพื่อนบ้านทั้งซ้ายและขวาไหนเลยจะกล้าไม่ยินยอม นางใคร่ครวญดู…หรือจะไปขอให้ลู่ไป่จวิ้นช่วยดีนะ คนที่ข้ารู้จักมีเพียงเขาที่ดูมีอำนาจ นอกจากนี้เขายังเคยเปรยว่ายินดีให้ความช่วยเหลือ นั่นก็หมายความว่าสำหรับเขาแล้วสิ่งนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากขอให้เขาช่วยออกหน้า ข้าก็ต้องติดหนี้บุญคุณเขาครั้งหนึ่ง

“แม่นางฉู่ หากมีสิ่งใดที่ยายพอช่วยเหลืออะไรได้ ขอให้เอ่ยปากมาเต็มที่เลยนะ”

“ได้เจ้าค่ะ เหตุใดวันนี้ข้าไม่เห็นต้าหลางเลยเล่า” ถึงหลานคนโตสุดของท่านยายเสิ่นจะอายุไม่ถึงสิบปี แต่สำหรับครอบครัวชาวบ้านยากจนนั้น จะมีเด็กขึ้นเป็นผู้นำครอบครัวตั้งแต่อายุน้อยๆ ขอแค่ไม่นอนติดที่ก็ต้องรับผิดชอบภาระเลี้ยงดูครอบครัวแล้ว

“วันนี้ที่ตีนเขาวัดเฉิงเอินมีตลาด เขาพาเอ้อร์หลางไปตั้งแผงขายน้ำแกงปลาที่นั่น”

ฉู่อวิ๋นจิ้งยกนิ้วโป้งชมเชย “พวกเขาเป็นเด็กรู้ความโดยแท้”

“นั่นสิ แต่ถ้าไม่ได้แม่นางฉู่ พวกเราคงไม่มีวันนี้”

“ข้าเพียงให้สูตรอาหารกับท่านเท่านั้น ส่วนที่เหลือล้วนเป็นพวกท่านเพียรพยายามมาด้วยตนเองทั้งสิ้น” ครั้นเห็นลูกค้าเข้าประตูมาฉู่อวิ๋นจิ้งก็เอ่ยว่า “ท่านยายเสิ่นไปทำงานเถิด ไม่ต้องดูแลข้า”

“ข้าไปทำงานแล้ว เชิญแม่นางฉู่กินตามสบาย” จบคำท่านยายเสิ่นก็หมุนตัวไปดูแลลูกค้าคนอื่น

ฉู่อวิ๋นจิ้งมองตามท่านยายเสิ่นที่ทางหนึ่งต้อนรับลูกค้า อีกทางหนึ่งก็เก็บชามเก็บช้อนบนโต๊ะ กระนั้นใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยังเต็มไปรอยยิ้มกระตือรือร้นและจริงใจยิ่ง นางพลันรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ช่างเป็นภาพอันงดงามในโลกมนุษย์โดยแท้ หากเปลี่ยนเป็นตัวนางไปอยู่ตรงนั้นคงทำได้แค่ฝืนไม่ทำหน้าตาบูดบึ้งแล้ว เนื่องจากนางรู้สึกว่าการทำอาหารควรเป็นเรื่องที่ทำแล้วมีความสุข ความสบายใจ ไม่ใช่การค้าขายที่ไม่อาจเลือกลูกค้าได้ เมื่อพบลูกค้าน่าชิงชังสักคนหนึ่ง นางจะยังรักษาความสุขตอนที่ทำอาหารไว้ได้หรือ นางทำไม่ได้แน่ ด้วยเหตุนี้นางจึงชื่นชมคนอย่างท่านยายเสิ่นเป็นพิเศษ

ครู่ใหญ่กว่าที่ฉู่อวิ๋นจิ้งจะถอนสายตากลับมาได้ ยามนี้นางถึงสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังมองมา นางหันหน้าไปตามสัญชาตญาณ ก่อนจะสบเข้ากับดวงตาสีดำเย็นชาลึกล้ำคู่หนึ่งเข้า

หลังชะงักไปชั่วอึดใจนางก็ย่นจมูก จากนั้นจึงหันกลับมาประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงดื่มด่ำกับน้ำแกงปลาอย่างตั้งใจ

คราวนี้กลายเป็นเซียวอวี้ที่อึ้งงันไปแทน ด้วยคิดไม่ถึงว่านางจะเห็นเขาเป็นอากาศธาตุเช่นนี้

“คุณชาย มีอะไรไม่ถูกต้องหรือขอรับ” เกาฉีสังเกตว่าเจ้านายมีท่าทีผิดแปลกไป

เซียวอวี้ส่ายหน้า เพียงตั้งหน้าตั้งตากินน้ำแกงปลาต่อ ถึงนางใช้แซ่ฉู่ก็ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นบุตรสาวของฉู่ซื่อเหยีย…คู่หมั้นของเขานี่ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ยอมรับการแต่งงานนี้เสียหน่อย ต่อให้นางเป็นบุตรสาวของฉู่ซื่อเหยียจริงๆ พวกเขาก็เป็นเพียงคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน

“แม่นางท่านนี้ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับฉู่ซื่อเหยียหรือไม่” เกาฉีหลุดปากพึมพำขึ้นมาประโยคหนึ่ง เนื่องจากเขาก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้เช่นกัน หากหญิงสาวผู้นี้คือบุตรสาวของฉู่ซื่อเหยียจริง ไม่ใช่ว่านางเป็นคู่หมั้นของคุณชายหรอกหรือ

“คนที่ข้าตามหาคือฉู่ซื่อเหยีย” ความนัยของวาจานี้คือ…จะเกี่ยวข้องหรือไม่นั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

“หากแม่นางท่านนี้คือบุตรสาวของฉู่ซื่อเหยียจริง เพียงสะกดรอยนางไปก็จะหาฉู่ซื่อเหยียพบไม่ใช่หรือขอรับ”

เซียวอวี้ตวัดสายตามองเกาฉีอย่างเย็นชา “ข้าจะหาคนสักคนจำเป็นต้องทุ่มเทแรงใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“…” สะกดรอยเป็นวิธีที่เรื่องน้อยที่สุดไม่ใช่หรือไร เกาฉีหุบปากอย่างรู้ตัวดี เขาติดตามข้างกายคุณชายมาตั้งแต่ยังเยาว์ ไม่ต้องรอให้ถึงกับขมวดคิ้วเขาก็รู้ได้ว่าคุณชายไม่พอใจแล้ว

“เรื่องของฉู่ซื่อเหยียค่อยเป็นค่อยไปเถิด” เซียวอวี้ไม่คิดว่าฉู่ซื่อเหยียจะยอมส่งมอบหยกมังกรครึ่งซีกออกมาง่ายๆ แน่ ของแทนใจที่สูงค่าเพียงนั้นจะไม่ขอแลกเปลี่ยนผลประโยชน์สักนิดได้อย่างไร ฉะนั้นการให้ผลประโยชน์เล็กน้อยเพื่อรับหยกมังกรครึ่งซีกกลับมาก็เป็นการสมควรแล้ว แต่จะให้ผลประโยชน์มากน้อยอย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับเขา ซึ่งเขาไม่อาจปล่อยให้ฉู่ซื่อเหยียเป็นฝ่ายบงการได้ ดังนั้นก่อนที่จะต่อรองกับอีกฝ่ายเขาจำต้องควบคุมสถานการณ์ของฉู่ซื่อเหยียให้ได้ก่อน เพื่อให้ฉู่ซื่อเหยียยอมส่งมอบหยกมังกรครึ่งชิ้นนั้นแต่โดยดี

เกาฉีพยักหน้า ไม่กล้าพูดมากอีกแม้แต่ประโยคเดียว

เวลานี้เองเซียวอวี้ก็หันไปเห็นว่าฉู่อวิ๋นจิ้งกินน้ำแกงปลาเสร็จแล้ว นางลุกขึ้นแต่ไม่ได้หันกายจากไป กลับช่วยเก็บชามกับตะเกียบ ทำความสะอาดโต๊ะ ตอนท้ายยังไปซุกตัวอยู่มุมหนึ่งวักน้ำล้างชามกับตะเกียบอีก ท่านยายเสิ่นเห็นก็ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ยังคงยุ่งอยู่กับการต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาในร้าน

เซียวอวี้ตกตะลึงเมื่อได้เห็นเช่นนี้ แววตาเขาเปลี่ยนเป็นใคร่ครวญ แม่นางผู้นี้ช่างแตกต่างกับสตรีอื่นจริงๆ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 พ.ย. 62

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: