X
    Categories: ชายาประดุจอาหารเลิศรสทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ชายาประดุจอาหารเลิศรส บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 16

บทที่สอง

แม้ไม่อยากขอความช่วยเหลือจากลู่ไป่จวิ้นเพียงใด ทว่าความจริงนั้นช่างโหดร้ายยิ่งเสมอ กว่านายหน้าจะหาบ้านที่นางพอใจได้นั้นก็ยากเย็นมากแล้ว กลับต้องมาเจอเพื่อนบ้านฝั่งซ้ายขวาที่ไม่ถูกใจครอบครัวไร้อำนาจอย่างพวกนาง หากยืนหยัดต่อไปเช่นนี้เมื่อใดจะซื้อบ้านได้เล่า แน่นอนว่านางสามารถยอมแพ้ไปหาที่อื่นได้ ไม่ต้องมาใส่ใจเรื่องที่อยู่อาศัยดีๆ แต่ยามนี้บ้านพวกนางไม่มีบุรุษให้พึ่งพา เพื่อนบ้านทั้งซ้ายขวาจึงสำคัญมาก หลังทบทวนอยู่หลายครั้งฉู่อวิ๋นจิ้งก็ตัดสินใจไปหาลู่ไป่จวิ้นอย่างยอมรับความจริง

“เรื่องตัวบ้านแม่นางฉู่มีอะไรที่ต้องการเป็นพิเศษหรือไม่” เมื่อเห็นฉู่อวิ๋นจิ้งมาเยือน ลู่ไป่จวิ้นก็โล่งใจได้เสียที แต่ไรมานางไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนความคิดง่ายๆ หรือหากนางเปลี่ยนความคิดก็จะเป็นฝ่ายมาเอ่ยขอร้องด้วยตนเอง

“บ้านไม่จำเป็นต้องใหญ่โต แต่ขอให้มีลานใหญ่สักหน่อย ข้าอยากปลูกอะไรเล็กน้อย”

ข้อดีที่สุดของเซียงโจวคืออยู่ติดทะเล บ่อยครั้งที่ฉู่อวิ๋นจิ้งได้พบพ่อค้าจากต่างบ้านต่างเมือง นางซื้อเมล็ดเครื่องเทศจากพวกเขามาไม่น้อย หากมีเครื่องเทศพวกนี้อยู่ในบ้านตอนทำอาหารก็ยิ่งสะดวกสบาย

ลู่ไป่จวิ้นอัศจรรย์ใจยิ่งนัก “แม่นางฉู่ก็ปลูกอะไรเป็นด้วยรึ!”

“ไม่มีอะไรยากนี่ ปลูกผักไว้ใช้เอง ซ้ำยังเอาไปขายได้เงินด้วย วันหลังข้าจะส่งผักผลไม้ที่ปลูกในบ้านให้คุณชายลู่ชิมดูบ้าง” ฉู่อวิ๋นจิ้งคิดหาหนทางขายผักผลไม้ที่บ้านตนเองปลูกตั้งนานแล้ว เคยลองสอบถามหอสุราและพวกร้านผักผลไม้ดู พวกนั้นก็ล้วนแต่ให้ราคารับซื้อที่ไม่ดี พวกชาวบ้านต่ำต้อยมีแต่ถูกพ่อค้าเอาเปรียบไปเช่นนี้ นอกเสียจากว่าจะมีเส้นสาย หากอีกฝ่ายเห็นแก่ความสัมพันธ์ก็จะยอมจ่ายให้ในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งสิ่งที่นางไม่ต้องการพึ่งพามากที่สุดก็คือเส้นสายนี้เอง ติดค้างน้ำใจย่อมง่ายต่อการตกเป็นเบี้ยล่าง แต่มาวันนี้กระทั่งซื้อบ้านยังมาเอ่ยขอร้องเขาถึงที่ หากต้องติดค้างน้ำใจขายผักผลไม้ให้หอจ้วนเซียนอีกคงไม่เป็นไร

ลู่ไป่จวิ้นได้ฟังก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง เขาตอบรับทันใด “หอจ้วนเซียนใช้ผักผลไม้ในปริมาณมหาศาลทุกวัน แม่นางฉู่สามารถขายผักผลไม้ของที่บ้านให้กับหอจ้วนเซียนได้”

“คุณชายลู่รอดูผักผลไม้ของสวนข้าก่อนดีกว่า” ถึงเขาตอบรับด้วยน้ำใจจริงๆ แต่การทำการค้าก็ต้องยึดถือความชอบธรรมจึงจะทำเงินได้อย่างสบายใจ…การค้าถึงจะยืนยาว

“ข้าเชื่อแม่นางฉู่”

“ข้าก็มียามที่ผิดพลาดเหมือนกัน คุณชายลู่ยึดตามที่ตาเห็นเถิด พวกเราจึงจะร่วมงานกันอย่างมีความสุข”

“หอจ้วนเซียนมีวันนี้ได้ถือเป็นความดีความชอบของแม่นางฉู่ ข้ามีความสุขมากที่ได้ร่วมงานกับแม่นางฉู่” ที่หอจ้วนเซียนก้าวขึ้นมาเป็นหอสุราอันดับต้นๆ ในเซียงโจวได้อย่างรวดเร็วนั้นทั้งหมดนี้เป็นเพราะทุกฤดูกาลจะมีอาหารจานใหม่มาตลอด และอาหารจานใหม่ก็จะกลายเป็นอาหารขึ้นชื่อไปในที่สุด

หอจ้วนเซียนรุ่งเรืองขึ้นมาเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนในวงการ หอสุราอื่นย่อมต้องสืบข่าวค้นหาผู้อยู่เบื้องหลังนี้ ลู่ไป่จวิ้นคิดว่านางเองก็น่าจะได้ยินข่าวมาไม่มากก็น้อย แต่นางกลับไม่ใช้ประโยชน์จากจุดนี้ขอขึ้นราคา ยังเป็นเขาที่ออกปากเองก่อน เขาจึงมองออกว่านางหาใช่คนละโมบ ทั้งยังรู้จักบุญคุณ มองว่าเขาเป็นคนที่มอบโอกาสให้นาง

“ข้าก็รู้สึกยินดีที่ได้ทำงานร่วมกับคุณชายลู่” ที่ผ่านมาลู่ไป่จวิ้นไม่เคยพยายามสืบค้นภูมิหลังของนาง กระทั่งเรื่องง่ายดายที่สุดอย่างชื่อแซ่ของนางคืออะไรเขาก็ยังไม่รู้แน่ชัด เป็นเพราะได้ยินผู้อื่นเรียกนางว่า ‘แม่นางฉู่’ เขาจึงเรียกนางว่า ‘แม่นางฉู่’ ตามผู้อื่น

“ไม่รู้ว่าแม่นางฉู่ยังจำเรื่องที่ข้าเคยเอ่ยถึงได้หรือไม่ เรื่องที่อยากให้แม่นางฉู่จัดเตรียมอาหารให้แขกคนสำคัญที่ข้าเชิญจากเมืองหลวงมาโดยเฉพาะ ไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารหายากอะไรเลย แค่อาหารที่แม่นางฉู่ถนัดก็พอ” ลู่ไป่จวิ้นประสานมือแล้วเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “แม้รู้ว่าเรื่องนี้คงทำให้แม่นางฉู่ลำบากใจ แต่ด้วยเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ที่ข้าจะทำในภายภาคหน้าจริงๆ จึงได้แต่ขอให้แม่นางฉู่แหกกฎคราหนึ่งเป็นผู้ควบคุมการปรุงนี้เถิด”

ฉู่อวิ๋นจิ้งพยักหน้า ก่อนเอ่ยรับปาก “ได้ รอข้าซื้อบ้าน จัดแจงดูแลครอบครัวเสร็จก่อนได้หรือไม่”

ไม่ใช่เพราะฉู่อวิ๋นจิ้งคิดเล็กคิดน้อย หวังให้ผู้อื่นทำงานให้ก่อน แต่ก่อนเรื่องย้ายบ้านจะเสร็จเรียบร้อย นางคงไม่มีจิตใจไปรับมือกับเรื่องอื่น

“ย่อมได้แน่นอน ขอแม่นางฉู่วางใจ เรื่องบ้านข้าจะจัดการให้โดยเร็วที่สุด หลังจากนี้แม่นางฉู่กลับไปจัดเก็บสัมภาระรอได้เลย”

ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่กังขาในความสามารถของลู่ไป่จวิ้นเลยสักนิด เพราะเขาไม่อาจให้แขกสำคัญรอต่อไปเรื่อยๆ ได้ เขาจำเป็นต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้นางซื้อและย้ายบ้านเสร็จในเวลาที่รวดเร็วที่สุด

“ได้ ยังต้องขอรบกวนคุณชายลู่ถามความชอบของแขกสำคัญล่วงหน้าด้วย มีอะไรที่ต้องระวังบ้างหรือไม่ หรือมีอาหารอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษ ข้าจะได้ร่างรายการอาหารออกมา”

“ข้าทราบแล้ว สามวันให้หลังต้องรบกวนแม่นางฉู่มายังหอจ้วนเซียนอีกรอบหนึ่ง”

ฉู่อวิ๋นจิ้งผงกศีรษะรับคำ ก่อนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วขอตัวออกจากหอจ้วนเซียน

 

“นี่เจ้าจะทำอะไร!” เซียวอวี้มองความเคลื่อนไหวของลู่ไป่จวิ้นอย่างไม่เข้าใจ…อย่างแรกคือคลี่กระดาษ ต่อด้วยฝนหมึก สุดท้ายยังส่งมอบพู่กันมาให้เขาด้วยสองมืออย่างเอาใจใส่

“ในที่สุดเจ้าก็จะได้กินอาหารเลิศรสที่เมืองหลวงก็หากินไม่ได้ แต่ก่อนที่เจ้าจะได้กินนั้น ข้าต้องทำความเข้าใจความชอบของเจ้าให้ชัดเจนเสียก่อน เจ้ามีเรื่องอะไรที่ต้องระวังเป็นพิเศษหรือไม่ อีกอย่างหนึ่งเจ้าอยากสั่งอาหารอะไร เอาเป็นว่าเจ้าเป็นแขกสำคัญของข้า ต้องการอะไรก็เขียนมาได้เต็มที่ ข้าจะให้เจ้าได้สมปรารถนาทุกอย่าง” ลู่ไป่จวิ้นทำหน้าปะเหลาะเอาใจอย่างเต็มที่

เซียวอวี้เลิกคิ้วอย่างนึกขัน “เจ้ามาไม้ใดกันแน่”

“ที่ข้าบอกว่าจะไปโน้มน้าวคนมาจัดเตรียมอาหารให้เจ้าอย่างไรเล่า ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจไปครั้งใหญ่ ในที่สุดเขาก็พยักหน้ายินยอมแล้ว” ลู่ไป่จวิ้นนั่งลงอีกด้านของตั่งนุ่ม พร้อมกับไม่ลืมชี้กระดาษที่อยู่บนโต๊ะ เร่งรัดสหายให้รีบตอบปัญหาของเขาให้ชัดเจนโดยเร็ว

“พ่อครัวหอจ้วนเซียนแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ เจ้าจำเป็นต้องลำบากไปเชิญพ่อครัวคนอื่นมาอีกหรือ” หลายวันนี้เซียวอวี้ได้กินอาหารไปเกือบทั่วเซียงโจวแล้ว นอกจากน้ำแกงปลาร้านยายเสิ่นแล้ว เซียวอวี้ก็พอใจกับอาหารของหอจ้วนเซียนมากที่สุด

ลู่ไป่จวิ้นส่ายหน้า “พูดแล้วก็น่าแปลกนัก ทั้งที่เป็นอาหารอย่างเดียวกัน แต่พอออกจากมือเขาแล้วกลับแตกต่างกัน”

“แตกต่างอย่างไร”

“เรื่องนี้…เจ้าชิมดูก็รู้แล้ว อย่างไรก็พิเศษกว่า”

“ข้าไม่ได้เลือกกินเพียงนั้นเสียหน่อย ไม่ต้องถึงขั้นเชิญคนมาปรุงอาหารให้โดยเฉพาะหรอก”

ลู่ไป่จวิ้นกลอกตาใส่เขาอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง “เจ้าหรือไม่เลือกกิน?! พอเจ้าไม่ถูกใจอาหารจานใดก็ไม่มีทางกินคำที่สองเป็นอันขาด ทั้งที่ยังไม่เคยทำอาหารเองสักครั้งแต่กลับมีลิ้นเรื่องมากเป็นที่สุด”

ในเมื่อไม่ถูกใจแล้ว ผู้ใดจะทรมานตนเองให้กินคำที่สองอีกเล่า นี่มิใช่เรื่องที่ใครก็ทำหรือไร ทว่าเซียวอวี้ย่อมไม่หาเรื่องต่อปากต่อคำไม่เลิก เขาเพียงเอ่ยเลี่ยงหนักเป็นเบาว่า “อย่างน้อยข้าก็ไม่ตัดสินจากการมองเพียงครั้งเดียวโดยไม่กินสักคำแล้วกัน”

ลู่ไป่จวิ้นกลอกตาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เป็นการกลอกตาให้ตนเอง นี่เป็นเรื่องปกติมากมิใช่หรือ ถ้าข้าเห็นแล้วไม่พอใจก็ไม่เก็บไว้กินอยู่ดี

เซียวอวี้ยกพู่กันจุ่มน้ำหมึก เพียงครู่เดียวเขาก็เขียนเต็มหนึ่งหน้ากระดาษ จากนั้นจึงวางพู่กันในมือลง

ลู่ไป่จวิ้นยกกระดาษขึ้นมองจนสองตาแทบถลนออกมา ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้านี่จะเรื่องมากปานนี้

 

‘หมูหน้าตาน่าเกลียดมีมันมากเกินไป…ไม่กินเนื้อหมู กลิ่นอาหารต้องพิถีพิถันให้หอมฟุ้งอบอวลทว่าห้ามโดดเด่นเกินหน้าวัตถุดิบหลัก ไม่ชอบของหวาน…แต่ของหวานทำให้คนอารมณ์ดี อาหารที่มีรสอ่อนกินแล้วสดชื่นย่อมดีที่สุด…แต่อาหารก็ไม่ควรไร้รส อาหารหนึ่งอย่างจะดึงดูดผู้คนได้หรือไม่ หน้าตาภายนอกถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด’

 

ไหนเจ้าบอกว่าไม่ตัดสินอาหารจากการมองครั้งเดียวโดยไม่กินสักคำอย่างไรเล่า!

ลู่ไป่จวิ้นอยากตวัดตามองค้อนเซียวอวี้นัก แต่เขาก็ยังฝืนอดทนเอาไว้ได้ ยื่นกระดาษแผ่นนี้ให้แม่นางฉู่ตรงๆ นางจะคิดว่าเขากำลังหาเรื่องนางอยู่หรือไม่

เห็นได้ชัดว่าเซียวอวี้ก็รู้ว่าลู่ไป่จวิ้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่เขาก็หาได้ใส่ใจแต่อย่างใด เพียงชายตามองมาแล้วเอ่ยว่า “พูดมาเถิด เจ้ามีท่าทางกระตือรือร้นถึงเพียงนี้เพราะเหตุใดกันแน่”

ลู่ไป่จวิ้นหัวเราะเสียงแห้ง ก่อนสาธยายยาวเหยียด “ถึงเจ้าเป็นฝ่ายบอกให้ข้าเขียนจดหมายเชิญเจ้ามาเซียงโจว แต่ที่ข้าเชิญเจ้ามาก็มีเป้าหมายเช่นกัน ข้าอยากร่วมงานกับเจ้า เปิดหอสุราที่เมืองหลวง”

เซียวอวี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ไฉนจู่ๆ ถึงคิดจะเปิดหอสุราที่เมืองหลวง”

“เจ้าก็มองออกว่าจวนหนิงอันโหวของพวกเราฝืดเคืองเพียงใด ใช้ชีวิตกันอย่างอัตคัดขัดสน กระทั่งชนชั้นสูงระดับกลางก็ยังนับเป็นไม่ได้เลย ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำการค้าแม้แต่น้อย พวกเขาจึงทำได้เพียงเฝ้าสมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ให้ ใช้สมบัติจนหมดบ้านจึงเป็นแค่เรื่องไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรข้าก็ต้องหาวิธีเพิ่มพูนทรัพย์สินให้จวนโหว”

“ข้าจำได้ว่าเจ้าร่ำร้องอยากจะทำการค้า ยั่วโมโหจนท่านโหวโกรธใหญ่โตถึงได้ถูกขับไล่ออกมามิใช่หรือ” เซียวอวี้ย้ำเตือน

“ท่านพ่อข้าไม่ยอมให้ข้าทำการค้าเพราะเกรงว่าข้าจะขาดทุนจนผลาญทรัพย์สมบัติหมดเกลี้ยง แต่พอเห็นเงินที่ข้าหาได้จากเซียงโจวแล้ว เขาก็เห็นความสามารถทางการค้าของข้า ไม่ขัดขวางข้าทำการค้าแล้ว” ลู่ไป่จวิ้นตระเตรียมคำพูดไว้เรียบร้อยตั้งแต่ต้น

ความจริงแล้วบิดามารดาก็ไม่เห็นด้วยที่เขาทำกิจการจริงๆ เป็นถึงคุณชายจวนโหวจะทำตัวเหมือนพ่อค้าผู้หนึ่งได้อย่างไร ขณะที่พี่ใหญ่ผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ก็รู้เพียงเรียนหนังสือ แต่กลับทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หากจวนหนิงอันโหวรู้แต่รักษาสมบัติตกทอดโดยไม่คิดหาเงินเพิ่ม ไม่นานคงเหลือเพียงเปลือกกลวงเท่านั้น ในเมื่อฝ่าบาทยินดีใช้งานเขา ให้โอกาสเขาออกมาฝ่าฟันดูสักครั้ง เมื่อทางบิดามารดารู้สึกว่าเขามีฝีมือทางการค้าจริงๆ ย่อมจะไม่คัดค้านเป็นธรรมดา

“ในเมื่อท่านโหวไม่คัดค้านเรื่องที่เจ้าทำการค้าอีก ไยต้องลากข้าลงน้ำไปด้วย”

“ถึงท่านพ่อข้าไม่ห้าม แต่เรื่องหน้าตายังคงต้องรักษาเอาไว้ อย่างไรเสียชื่อเสียงของเจ้าที่เป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนอู่หยางโหวก็มีประโยชน์กว่าข้าออกหน้าเอง พวกเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายย่อมไม่กล้ามาหาเรื่องเจ้าแน่” ร้านรวงในเมืองหลวงเล็กใหญ่มากมายเหล่านั้นแน่นอนว่าเบื้องหลังของทุกร้านมิได้เกี่ยวพันกับขุนนางหรือว่าผู้มีอำนาจไปเสียทั้งหมด ทว่าร้านที่สะดุดตาเช่นหอสุรา หากอำนาจผู้อยู่เบื้องหลังยิ่งใหญ่ไม่พอย่อมง่ายต่อการเกิดปัญหาเป็นที่สุด ซึ่งเขาก็มั่นใจว่าหอสุราที่ตนเองจะเปิดนั้น ไม่นานจะต้องขัดหูขัดตาผู้คนจำนวนมากเป็นแน่

“ต้องการให้ข้าเป็นเจ้าของในนามใช่หรือไม่” เซียวอวี้เข้าใจได้ในทันที

“หากแขวนชื่อไว้ ข้าให้เจ้าสองส่วน หากร่วมลงทุนด้วย พวกเราค่อยต่อรองกันอีกที”

“คิดว่าข้าจะโลภกับสองส่วนของเจ้าหรือ”

“ข้าให้เจ้าช่วยเปล่าๆ ไม่ได้นี่”

“พวกเราเป็นสหายสนิทกัน ไม่มีสองส่วนข้าก็คุ้มครองเจ้าอยู่ดี”

เดิมทีลู่ไป่จวิ้นก็เต็มใจจะให้สองส่วนนี้แก่เซียวอวี้อยู่แล้ว พอได้ยินสหายเอ่ยเช่นนี้อีกเขาก็ยิ่งซาบซึ้งใจ “ข้ารู้ว่าสองส่วนนี้ไม่อยู่ในสายตาเจ้า แต่หลังจากกินอาหารรับรองแล้ว บางทีเจ้าอาจจะอยากร่วมทุนกับข้า”

“ข้าเริ่มจะประหลาดใจแล้วสิ คนผู้นี้มีความสามารถมากจริงๆ ทำให้เจ้าให้ความสำคัญมากปานนี้”

“เขาไม่ใช่แค่มีความสามารถ ยังเฉลียวฉลาดและใจกล้าอีกด้วย” ลู่ไป่จวิ้นเล่าเมื่อตอนแรกเริ่มที่ได้รู้จักกับนางเมื่อหนึ่งปีก่อนออกมา

ได้ยินเช่นนั้นเซียวอวี้ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนวิจารณ์คำหนึ่งว่า “เป็นคนไม่กลัวตายคนหนึ่ง”

ลู่ไป่จวิ้นส่ายศีรษะแก้ตัว “ตอนนั้นเป็นเพราะอีกฝ่ายขาดเงินมากจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่กล้าขัดขากับหอจ้วนเซียน”

เซียวอวี้เลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยสัพยอก “ข้ารอคอยที่จะได้พบเขายิ่งนัก คนที่ได้รับการยกย่องและปกป้องจากเจ้าเช่นนี้มีอยู่ไม่มากจริงๆ”

“เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่ยินดีพบเจ้า” ต่อให้ลูกค้าเกิดพอใจในอาหารและเชิญพ่อครัวออกมาพบแล้วตกรางวัลให้อย่างงามจะเป็นเรื่องปกติ แต่เขากลับเชื่อว่าแม่นางฉู่คงไม่เห็นค่าของเงินรางวัลนี้แน่

“เขาหน้าตาอัปลักษณ์หาใดเปรียบจึงพบเจอผู้คนไม่ได้หรือไร” เซียวอวี้เอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นเป็นจริงจัง

ลู่ไป่จวิ้นลูบใต้คางพลางย้อนคิดไปหน้าตาของโฉมงามอย่างละเอียด จู่ๆ เขาก็อธิบายขึ้นมาไม่ได้เสียอย่างนั้น เนื่องจากหน้าผากของนางมีผมหน้าม้าปิดอยู่ มองแวบแรกแล้วก็ได้แต่เหม่อลอยไปเล็กน้อย สุดท้ายจึงสรุปได้แค่ว่า “คนผู้นี้ไม่อัปลักษณ์อย่างแน่นอน แต่มีหน้าตาอย่างไรกันแน่ ข้าก็อธิบายออกมาไม่ได้จริงๆ อีกทั้งท่าทางยังดูเย็นชา ทำให้คนไม่กล้าดูแคลน”

เซียวอวี้ยกมุมปากอย่างฝืดฝืน เขาไม่อาจจินตนาการถึงท่าทางเย็นชาของ ‘พ่อครัว’ ที่ทั่วร่างมีแต่กลิ่นน้ำมันและควันอาหารได้

ลู่ไป่จวิ้นโบกมือไปมา “สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่ข้าต้องใจคือรายการอาหารที่มีเต็มสมองของอีกฝ่ายมากกว่า”

“ข้าจะรอ หวังว่าเขาจะควรค่าให้เจ้าชื่นชมถึงเพียงนี้ก็แล้วกัน”

“อีกไม่นานเจ้าก็ได้อิ่มหนำสำราญยกใหญ่แล้ว”

“จะตั้งตารอ” เซียวอวี้พยักหน้ายิ้มๆ พลางขานรับ ทว่าพริบตาเดียวก็โยนทิ้งไปมิได้เก็บมาใส่ใจ

บิดามีเขาเป็นบุตรชายอยู่คนเดียว ทั้งอายุเลยสามสิบห้าแล้วถึงได้มี เพื่อเลี่ยงไม่ให้มารดาเอาใจเขาจนเสียคนบิดาจึงโยนเขาเข้าไปฝึกฝนขัดเกลาอยู่ในกลุ่มองครักษ์ตั้งแต่เล็ก น่าเสียดายที่ในด้านต่างๆ เขานั้นล้วนมีนิสัยเฉกเช่นทหารหาญทั้งสิ้น เห็นจะมีแต่การกินอาหารที่ไม่อาจทนให้ตนเองลำบากตรากตรำได้ ทำให้องครักษ์ที่ติดตามเขาตั้งแต่เด็กสองสามคนพลอยทำอาหารเป็นกันหมด มิหนำซ้ำแต่ละคนต่างก็มีอาหารจานเด็ดคนละสองสามอย่างผลัดกันเข้าครัวทำออกมาให้เขา อย่างน้อยก็รับรองได้ว่าเขาจะไม่มีวันอดตาย

ขนาดพ่อครัวของจวนอู่หยางโหวซึ่งเป็นพ่อครัวเลื่องชื่อจากหอสุราหลายแห่งของเมืองหลวงเซียวอวี้ยังไม่เห็นค่าเลย แล้วนับประสาอะไรกับพ่อครัวที่ไม่กล้ามาพบหน้าผู้หนึ่ง ไหนเลยจะอยู่ในสายตาของเขาได้

แม้จะมั่นใจในตัวลู่ไป่จวิ้นมากเพียงใด แต่เวลาเพียงสามวันก็หาบ้านได้แล้ว นางเห็นก็ถูกใจ หลังจากลงนามในสัญญาซื้อขาย ไม่ต้องทำอะไรก็ย้ายบ้านได้เลย จนถึงตอนนี้ฉู่อวิ๋นจิ้งจึงยังคงตื่นตระหนกไม่น้อย นางปากอ้าจนแทบหุบไม่ลง นี่จะเก่งกาจเกินไปแล้วหรือไม่ คนผู้นี้เป็นพ่อค้าธรรมดาจริงหรือ!

ไม่ว่าลู่ไป่จวิ้นมีเบื้องหลังเป็นใคร แต่อย่างน้อยเขาก็จัดการปัญหาเรื่องซื้อบ้านเสร็จแล้ว ดูคล้ายว่าเขายังไม่วางใจ วันย้ายบ้านถึงกับส่งคนกับรถม้ามาช่วยด้วย จากนั้นพวกเขาก็ย้ายบ้านเสร็จอย่างง่ายๆ สบายๆ ทั้งยังจัดแจงเรียบร้อยในเวลาแค่หนึ่งวัน

ถัดจากนั้นฉู่อวิ๋นจิ้งก็จัดเตรียมอาหารรับรองอย่างตั้งใจ นางร่างรายการอาหารตามข้อควรระวังที่ลู่ไป่จวิ้นนำมาให้ฉบับหนึ่ง นอกจากเป็ดพะโล้แล้ว อาหารอื่นๆ ล้วนไม่อยู่ในรายการอาหารของหอจ้วนเซียน

ยำปลาเส้นเงิน…ใช้ปลาไนสดเป็นวัตถุดิบหลัก แล่เนื้อปลาเป็นเส้นบางลวกด้วยน้ำเดือดแล้วช้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อด้วยนำไปล้างให้สะอาดในน้ำเดือดที่ตั้งจนเย็นแล้ว รีดน้ำออก แล้วเติมเครื่องเคียงได้แก่หัวไช้เท้า ผักกาด ผักชีก่อนจะยกขึ้นโต๊ะ

บะหมี่เย็นใบไหว…เก็บใบไหวสดใหม่มาคั้นน้ำ ผสมรวมกับแป้งหมี่ก่อนจะนวดเป็นก้อน ใช้มีดหั่นเป็นเส้นหมี่ ต้มจนสุกแล้วนำไปแช่ในน้ำเย็นจนมีสีเขียวมรกตสดใส แล้วตักขึ้นมาคลุกด้วยน้ำมัน จากนั้นพักไว้ในบ่อเก็บความเย็น เวลากินค่อยเติมเครื่องปรุงเพิ่มรสชาติ

รากบัวเชื่อม…ล้างรากบัวให้สะอาด ปอกเปลือกออกหั่นเป็นแว่นๆ ลงไปทอดในน้ำมัน ตักขึ้นมาแล้วทาน้ำผึ้งบางๆ ชั้นหนึ่งเป็นอันใช้ได้

หน่อไม้ยัดไส้…อาหารชนิดนี้ใช้หน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิทำจึงจะดีที่สุด แต่หากเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แน่นอนว่าใช้ได้แต่หน่อไม้ฤดูร้อนเท่านั้น โดยให้เลือกใช้หน่อไม้ที่มีความยาวหรือความหนาใกล้เคียงกัน ลอกเปลือกออก ตัดรากทิ้งแล้วล้างให้สะอาด ในส่วนของไส้ใช้เนื้อแพะ ขิงซอย ต้นหอมซอย พริกไทยป่น สุราปรุงอาหาร เกลือคลุกให้เข้ากัน ก่อนจะใช้ตะเกียบเจาะทะลุส่วนที่เป็นข้อด้านในของหน่อไม้ออกให้หมด ยัดไส้เนื้อให้เต็มด้านในหน่อไม้แต่ละท่อน ปิดหัวปิดท้ายด้วยแป้งแล้วใส่เข่งนึ่ง พอสีหน่อไม้เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นแล้วก็ลดไฟลงก่อนจะนึ่งต่ออีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนำออกจากเตายกขึ้นโต๊ะได้

น้ำแกงผักกาดขาว…ใช้ส่วนที่เป็นเนื้อแดงของไก่แก่ แล้วใส่ต้นหอม ขิง สุราปรุงอาหาร ต้มให้ได้น้ำแกงใสดุจน้ำสะอาด จากนั้นเลือกผักกาดขาวสดใหม่มาสองสามหัว ลอกกลีบด้านนอกจนไปถึงชั้นของใจผักกาดขาวที่อ่อนที่สุดซึ่งมีขนาดราวกำปั้น หลังจากนั้นก็ล้างใจผักกาดขาวให้สะอาดแล้วลอกออกทีละชั้นเบาๆ ก่อนจะใช้มีดแกะสลักกรีดถี่ๆ หลายครั้งโดยไม่กรีดให้ขาดออกจากกัน ยังเหลือส่วนให้เชื่อมต่อกันอีกเล็กน้อย มองผ่านๆ ยังเห็นเป็นใจผักกาดขาวที่สมบูรณ์ หลังจากนั้นจึงใช้ช้อนตักน้ำแกงรดลงบนใจผักกาดขาวอย่างช้าๆ ครั้นรดไปสองถึงสามครั้งแล้วก็ค่อยคีบขึ้นมาจัดลงจานทีละชิ้น

น้ำแกงคอแพะเม็ดบัว…หั่นเนื้อคอแพะ เนื้อน่องไก่ และผักกาดดองแห้งเป็นรูปเม็ดบัว เติมสาหร่ายมุกหยก เม็ดบัว แล้วค่อยใส่น้ำแป้งสีขาวข้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน สุดท้ายจึงโรยหน้าด้วยผักชีซอย

อาหารจานสุดท้ายคือของหวาน ขนมอ้ายวอวอ…ใช้เมล็ดเหอเถา เมล็ดแตง งาและน้ำตาลที่ผัดรวมกันจนสุกได้ที่เป็นไส้ แล้วห่อไส้ด้วยข้าวเหนียวนึ่งสุก ปั้นเป็นก้อนกลมเล็กแล้วก็สามารถกินได้ทันที มีสีขาวดุจหิมะ รสสัมผัสนุ่มเหนียว ให้รสชาติที่หอมหวาน

อาหารมื้อนี้นอกจากแบ่งคนออกไปล้างวัตถุดิบ เตรียมเครื่องปรุง และทำงานจิปาถะอื่นๆ แล้ว พูดได้ว่าฉู่อวิ๋นจิ้งแทบจะทำทุกอย่างด้วยตนเอง ประการแรกเพราะลู่ไป่จวิ้นเรียกร้องให้นางควบคุมการปรุง ประการต่อมาคือนอกจากสูตรเป็ดพะโล้แล้วนางก็ยังไม่ได้ขายสูตรอื่นให้กับหอจ้วนเซียน แน่นอนว่าไม่อาจให้พ่อครัวคนอื่นฉวยโอกาสเรียนรู้หรือดูอยู่ข้างๆ

กล่าวโดยสรุปคือเพื่ออาหารรับรองมื้อนี้ เฉพาะการตระเตรียมนางก็ใช้เวลาล่วงหน้าถึงสามวันเต็ม ต่อให้อาหารมื้อนี้ต้องใช้เงินหลายร้อยตำลึงนางก็ไม่รู้สึกผิดสักนิด

อาหารมื้อนี้เซียวอวี้ตั้งความหวังไว้แค่ลองชิมดูเท่านั้น ต่อให้ยากจะกลืนลงคอ แต่เขาจะไม่ไยดีสหายเลยก็ไม่ได้ ด้วยอนาคตของจวนหนิงอันโหวน่ากังวลใจจริงๆ

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า…อาหารมื้อนี้เขาไม่เพียงกินอย่างเอร็ดอร่อย กระทั่งเศษอาหารยังหมดเกลี้ยง ชวนให้ผู้อื่นคิดว่าเขาหิวโซมาหลายวัน

เห็นผลเช่นนี้ลู่ไป่จวิ้นพลันฉีกยิ้มกว้าง น่าเสียดายจริงๆ หากรู้แต่แรกข้าจะได้มาซ่อนตัวแอบดูอยู่ข้างๆ เพราะหลังจากเหตุการณ์ ผิดคาดหนนี้แล้ว ต่อไปเจ้านี่จะต้องระวังมากเป็นพิเศษแน่ คิดอยากเห็นภาพอัศจรรย์นี้อีกคงยากยิ่ง!

“วันนี้ตอนเที่ยงข้าไม่ได้กินอะไรมาก่อน ถึงได้กินมากไปหน่อย” ที่เซียวอวี้เกลียดที่สุดคือการแก้ตัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับรอยยิ้มล้อเลียนของสหาย เขาก็รู้สึกว่าควรต้องอธิบายอะไรออกไปบ้าง

ลู่ไป่จวิ้นหัวเราะอย่างมีเลศนัย เจ้ารู้หรือไม่ว่ายิ่งแก้ยิ่งแย่ “ข้าเข้าใจ กว่าจะขอร้องคนทำมาได้ก็ยากเย็น เจ้าย่อมต้องท้องว่างรอคอยจะได้กินอยู่แล้ว”

เซียวอวี้กระแอมให้คอโล่งอย่างขัดเขิน “เอาเถิด ข้าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้า หากหอสุราในเมืองหลวงได้เขาเป็นผู้คุมการปรุง หอสุราของเจ้าจะต้องรุ่งเรืองอย่างแน่นอน”

“ไม่ต้องให้มาคุมการปรุงหรอก เพียงรับผิดชอบชี้แนะพ่อครัวในหอสุราเท่านั้น”

เซียวอวี้ผงะไป “เพราะเหตุใด”

“พอดีเขาไม่ชอบทำอาหารให้คนนอกกินน่ะ” เว้นไปเล็กน้อยลู่ไป่จวิ้นก็เอ่ยต่อประหนึ่งขอรับรางวัล “วันนี้ที่ยอมทำอาหารให้เจ้าเพราะข้าได้ช่วยเหลืออีกฝ่ายครั้งใหญ่ ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจจึงยอมแหกกฎครั้งหนึ่ง”

“ทั้งที่ทำอาหารเป็นแต่กลับไม่ชอบทำอาหารให้คนนอกเสียอย่างนั้น นี่เป็นหลักการใดกัน” เซียวอวี้ลิ้นแทบผูกเป็นปมด้วยอับจนคำพูด แม้ใต้หล้านี้จะมีเรื่องแปลกประหลาดมากมาย แต่เรื่องนี้ออกจะพิกลเกินไปแล้ว!

ลู่ไป่จวิ้นแบมือออกสองข้าง “ข้าเองก็ไม่เข้าใจ”

เซียวอวี้มองจานเปล่าบนโต๊ะแวบหนึ่ง ก่อนเลิกคิ้วเอ่ยอย่างท้าทาย “บนโต๊ะนี้เขาทำเองหมดเลยหรือ”

ลู่ไป่จวิ้นอดกลอกตาใส่ไม่ได้ “หากไม่ใช่เขาทำออกมา แล้วจะให้พวกมันโผล่ขึ้นมาเองหรือไร”

“เรื่องที่เจ้าเปิดหอสุราที่เมืองหลวงข้าเอาด้วยหนึ่งส่วน” หากเป็นเช่นนี้เขาคงจะได้เห็นหน้าพ่อครัวผู้นี้เสียที

“จริงหรือ!” ลู่ไป่จวิ้นสองตาลุกวาว หากมีกำลังทรัพย์จากสหายคอยช่วยเหลือ สถานที่กับขนาดของหอสุราก็จะไม่ถูกจำกัด

เซียวอวี้พยักหน้า “จะจัดให้พวกเราพบหน้ากันเมื่อใด”

ลู่ไป่จวิ้นชะงักไปเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ “ข้ายังไม่ได้ถามความเห็นเขาเลย ไม่รู้เขาจะยอมร่วมด้วยหรือไม่”

“แค่ออกสูตรอาหารก็ได้นั่งรับเงินหนึ่งส่วน เขาจะปฏิเสธไม่เอาด้วยหรือ”

ลู่ไป่จวิ้นส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “สองฝ่ายมีผลประโยชน์ตรงกันจึงจะทำงานร่วมกันได้ยาวนาน สำหรับพวกเราทั้งคู่นี่ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด กลัวก็แต่เขาจะไม่ยินดีเข้าเมืองหลวง”

“เทียบกับเซียงโจว เมืองหลวงย่อมมี ‘โอกาสหาเงิน’ มากกว่า ขอแค่เขาไม่โง่เขลาก็ควรแยกแยะได้ชัดเจนว่าตัดสินใจเช่นไรจึงจะดีต่ออนาคต ไม่มีทางเด็ดขาดที่จะทิ้งโอกาสดีเช่นนี้ไป”

ก็ใช่น่ะสิ หากมีอนาคตที่ดีกว่า ผู้ใดจะยอมละทิ้งผลักไสโอกาสออกไป แต่นางเป็นสตรี ไม่อาจนึกจะไปก็ไปได้ นอกเสียจากย้ายครอบครัวไปเมืองหลวง มิเช่นนั้นคงได้แต่ให้พ่อครัวของหอสุรามาเรียนรู้กับนางระยะหนึ่งก่อนเท่านั้น นางจะย้ายไปเมืองหลวงก็มีความเป็นไปได้ไม่มากนัก ยิ่งให้คนมาเรียนรู้กับนางก็ไม่ใช่แผนระยะยาวอีก

ลู่ไป่จวิ้นเกาศีรษะอย่างกลัดกลุ้ม เขาโบกมือไปมาพลางกล่าว “เรื่องนี้ข้าขอใคร่ครวญอีกสักหน่อย”

เซียวอวี้โคลงศีรษะอย่างนึกขัน ก็แค่พ่อครัวคนเดียว หากยอมจ่ายหนักยังต้องกลัวหาที่ดีกว่าไม่ได้หรือ แต่พอลองนึกดูแล้ว นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขากินอย่างอิ่มเอมเปรมใจปานนี้ ไม่พูดไม่ได้ว่าคนผู้นั้นมีความสามารถจริงๆ

 

เดิมทีจากเซียงโจวถึงเมืองหลวงนั่งเรือโดยสารไม่ถึงสิบวันเท่านั้น แต่พ่อบ้านหูกลับต้องล้มลุกคลุกคลานนานกว่าครึ่งเดือนจึงกลับมาถึงจวนจงอี้ป๋อ ตอนเข้าประตูมาพอคนในจวนเห็นเขายังแทบจะจำไม่ได้ เนื่องจากเขามีสภาพที่ย่ำแย่ยิ่งนัก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งไม่พอ ใบหน้ายังเปรอะเปื้อนดูไม่ต่างกับขอทาน

“พ่อบ้านหู เกิดเรื่องอะไรขึ้น” จงอี้ป๋อฉู่เจาหมิงได้เห็นสภาพของอีกฝ่ายก็ตกใจอย่างมาก

“คงเพราะบ่าวไม่ถูกกับดินฟ้าอากาศที่เซียงโจว ระหว่างทางกลับเมืองหลวงจึงล้มป่วย จำเป็นต้องอยู่รักษาตัวที่หมิงโจว แต่พอหายดีเดินทางต่อกลับเมาเรือตลอดทางขอรับ” การเดินทางไปเซียงโจวครั้งนี้สำหรับพ่อบ้านหูเรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายโดยแท้ เดิมคิดว่าจะแสนง่าย คิดไม่ถึงว่านอกจากไม่ได้พบนายท่านสี่ เขายังเกือบเอาชีวิตไปทิ้งกลางทาง เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าตนเองไปทำผิดต่อดาวอัปมงคลดวงใดเข้าหรือไม่ มิเช่นนั้นจะมีสภาพอเนจอนาถปานนี้หรือ

“เจ้าสี่กับครอบครัวเล่า” ฉู่เจาหมิงไม่ได้แยแสสิ่งที่พ่อบ้านหูประสบมา เขาสนใจเพียงครอบครัวเจ้าสี่กลับมาด้วยหรือไม่

พ่อบ้านหูก้มศีรษะอย่างละอายใจ “บ่าวไม่ได้พบนายท่านสี่ขอรับ”

“ไม่ได้พบ?”

“นายท่านสี่ออกจากบ้านไปทำการค้า บ่าวรอที่เซียงโจวถึงสามวันก็ยังไม่ได้พบ” เดิมทีพ่อบ้านหูก็อยากรอต่อไปเช่นกัน ในเมื่อก่อนไปเซียงโจวเขาได้ให้คำมั่นว่าจะพานายท่านสี่กับครอบครัวกลับมา

“เจ้าสี่ออกจากบ้านไปทำการค้า?” แต่ไรมาฉู่เจาหมิงก็เห็นน้องชายซึ่งเกิดจากอนุภรรยาผู้นี้ว่าเป็นแค่คนทึ่มทื่อ ทั้งยังเป็นคนที่รู้จักแต่เรียนหนังสือ ทั้งๆ ที่มีของดีสามารถขยับฐานะตนเองได้กลับเก็บไว้ไม่ยอมเอาออกมา คนเช่นนี้จะไปรู้จักวิธีทำการค้าได้อย่างไร

“ขอรับ เดิมบ่าวสงสัยว่านายท่านสี่ไม่อยากพบบ่าว จงใจให้คุณหนูสามโป้ปดว่าออกไปทำการค้า แต่หลังจากสอบถามเพื่อนบ้านละแวกนั้นพวกเขาก็บอกว่าไม่เห็นนายท่านสี่จริงๆ อีกทั้งบ้านของนายท่านสี่ยังซอมซ่อจนไม่อาจทนมองได้เลย คาดว่าชีวิตต้องยากลำบากแน่นอน หากนายท่านสี่จะออกจากบ้านไปทำการค้าเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยขอรับ”

“เจ้าสี่ออกจากบ้านไปทำการค้า แต่ให้ภรรยาเจ้าสี่กับลูกๆ กลับมาก่อนก็ได้นี่” แม้เจ้าสี่จะเป็นคนดื้อรั้นมากเพียงใด แต่ลูกและภรรยาคือชีวิตของเขา หากพวกเขากลับจวนจงอี้ป๋อกันหมด เจ้าสี่ไหนเลยจะไม่ยอมก้มหัวให้

ก่อนไปเซียงโจวท่านป๋อชี้แนะเขาหลายอย่างว่าควรจัดการกับนายท่านสี่อย่างไร หาได้คิดถึงนายหญิงสี่กับลูกๆ สักนิดไม่ กระนั้นพ่อบ้านหูก็ไม่กล้าเอ่ยความจริง ได้แต่หาเหตุผลปัดความรับผิดชอบ “คุณหนูสามอารมณ์รุนแรงมากขอรับ ยังพูดว่าสิ่งที่ชิงชังเคียดแค้นที่สุดคือคนในจวนป๋อ เมื่ออยู่ต่อหน้านาง แม้แต่นายหญิงสี่ยังไม่กล้าออกเสียงเลยขอรับ”

“นางหนูสาม?…” ฉู่เจาหมิงพยายามนึกย้อนความทรงจำ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นึกเรื่องของคนผู้นี้ไม่ออก เห็นได้ชัดว่ายามที่นางอยู่ท่ามกลางเด็กในสกุลทั้งหลายแล้วไม่รู้สึกสะดุดตาเท่าใด

“ไฉนต้องเปลืองแรงเชิญพวกมันกลับมาด้วย ข้าว่าแค่บอกให้พวกมันส่งของออกมาตรงๆ ก็พอ” ฮูหยินจงอี้ป๋อเจียงซื่อ* เร่งรุดมาที่ห้องหนังสือนอก ได้ยินเสียงสนทนาของทั้งสองนางก็รีบสอดปาก

ครอบครัวนายท่านสี่ถูกขับออกจากจวนป๋อ คนแบ่งสมบัติน้อยลงครอบครัวหนึ่งย่อมเป็นที่พึงใจของนาง มาบัดนี้จะต้อนรับครอบครัวนายท่านสี่กลับมาอีก นางย่อมคัดค้าน แต่หยกมังกรครึ่งซีกในมือนายท่านสี่มีค่าเกินไป นางจึงต้องการรับประโยชน์จากสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน

ฉู่เจาหมิงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ หญิงผู้นี้ไยจึงลืมหลักนอกบ้านในบ้านอยู่เรื่อย ทว่ายามนี้เขาไม่มีจิตใจไปต่อความยาวกับเรื่องนี้ เพียงกล่าวว่า “หากเขายินดีให้พวกเรารู้ว่ามีของแทนใจสูงค่าเพียงนั้นอยู่ในมือ เจ้าสี่คงไม่พาภรรยากับลูกจากไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำกระมัง”

เจียงซื่อมองผ่านพ่อบ้านหู ก่อนนั่งลงบนเตียงเตา อย่างวางท่ายโส แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงโมโห “ข้าว่าสมองนายท่านสี่ถูกลาเตะกระเด็นไปแล้ว ของแทนใจล้ำค่าเพียงนั้นกลับซุกซ่อนเงียบเชียบ ยังดีที่รู้จักวางตัว ไม่กล้าขอให้จวนอู่หยางโหวรับการแต่งงานครั้งนี้” แม้อยากจะชิงของแทนใจเพื่อให้การแต่งงานแสนเลิศเลอนี้มาตกอยู่กับบุตรสาวเพียงใด แต่นางรู้ว่าหากจวนอู่หยางโหวไม่แยแส เกรงว่าแม้แต่ผายลมจวนจงอี้ป๋อก็ยังไม่กล้า

ฉู่เจาหมิงเห็นตรงกัน เพียงแต่พอวาจาออกจากปากฮูหยินแล้ว น้ำเสียงของคำพูดก็ไม่ถูกต้องแล้ว เขาจึงอดเอ่ยอย่างเดือดดาลไม่ได้ “ข้าว่าเจ้าไปด้วยตนเองสักเที่ยวเถอะ”

“อะไรนะ!” เจียงซื่อเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง

พ่อบ้านหูถอยมาด้านข้างอย่างเงียบเชียบ เขาไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยา ท่านป๋อเป็นหัวหน้าครอบครัว ในขณะที่ฮูหยินมาจากจวนอันหย่วนป๋อ บิดาคือรองเสนาบดีกรมอากร จึงไม่แปลกที่ท่านป๋อจะคุมฮูหยินไม่อยู่ ฮูหยินถึงได้กล้าเดินเข้าห้องหนังสือนอกตามอำเภอใจเช่นนี้

“ยามที่เจ้าสี่กับพี่น้องอยู่ต่อหน้าเจ้าก็มีแต่รับคำเท่านั้นมา เจ้าไปเชิญพวกเขากลับมาดีหรือไม่ ต่อให้พวกเขาไม่ยอม เจ้าเพียงพูดไม่กี่ประโยคก็ทำให้พวกเขาพูดไม่ออกจนยอมตามเจ้ากลับมาง่ายๆ” ฉู่เจาหมิงทนไม่ไหวกับปากคอเราะรายของเจียงซื่อแล้ว แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่าการมีปากเช่นนี้ก็เป็นประโยชน์ในบางโอกาส

“จากเมืองหลวงไปเซียงโจวต้องเดินทางไกล ข้าจะทนไหวได้อย่างไร” เจียงซื่อไหนเลยจะยอมทนลำบากได้

“ฮูหยินวาดหวังให้เยี่ยนเอ๋อร์แต่งเข้าจวนอู่หยางโหวมิใช่หรือ”

“หรือท่านป๋อไม่หวังให้เยี่ยนเอ๋อร์แต่งเข้าจวนอู่หยางโหว เหตุใดท่านป๋อจึงไม่ไปเชิญพวกเขากลับมาด้วยตนเอง” เจียงซื่อปรายตามองอย่างเย้ยหยัน หากพวกเขายืนหยัดเอาหยกมังกรครึ่งซีกมาครองได้ จะมีคนช่วยออกหน้าบีบให้จวนอู่หยางโหวตอบรับการแต่งงานนี้แทนพวกเขาได้ เพราะแต่ไรมานางไม่เคยเพ้อฝันคิดเกี่ยวดองกับจวนอู่หยางโหวมาก่อน ด้วยพวกเขาเป็นคนสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงในตอนนี้ ขณะที่จงอี้ป๋อกลับเป็นแค่บรรดาศักดิ์ลอยๆ เท่านั้น

“ข้าฝ่าฝืนคำสั่งท่านพ่อไม่ได้”

“แล้วข้าฝ่าฝืนคำสั่งพ่อสามีได้หรือ” เจียงซื่อแค่นเสียงฮึคำหนึ่ง เป็นสามีภรรยากันมาหลายปีนางจะไม่รู้จักฉู่เจาหมิงดีได้อย่างไร เขาก็แค่เห็นแก่หน้าตา ไม่ยอมทำให้ตนเองต้องลำบาก

“แค่ข้าฝ่าฝืนคำสั่งท่านพ่อเชิญเจ้าสี่กลับมาก็นับว่าอกตัญญูแล้ว หากเจ้าหน้าที่แจ้งวินัยรู้เข้าอาจถวายฎีกาถอดถอนข้าได้”

“ข้าเพิ่งพูดไปไม่ใช่รึ ท่านป๋อก็ส่งคนสนิทไปขอให้นายท่านสี่มอบของออกมาตรงๆ เสียเลยสิ เช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าหน้าที่แจ้งวินัยจะถวายฎีกาถอดถอน ทั้งเยี่ยนเอ๋อร์ยังสามารถแต่งเข้าจวนอู่หยางโหวแทนนางหนูสามได้อีก ลงเอยงดงามทั้งสองด้าน”

“คนสนิทของข้าเทียบกับฮูหยินไปเองได้หรือ”

“เดือนหน้าเป็นวันเกิดท่านแม่ ข้าจะไม่อยู่ได้อย่างไร ในเมื่อท่านป๋ออยากได้ของเร็วๆ เหตุใดจึงไม่รีบให้คนสนิทเดินทางไปเองก่อนสักเที่ยวเล่า”

ยามนี้ฉู่เจาหมิงทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดและจนปัญญายิ่งนัก เขาย่อมร้อนใจกว่าเจียงซื่ออยู่แล้ว ด้วยไปคุยโวต่อหน้าคนอื่นว่าภายในสามเดือนจะเอาหยกมังกรครึ่งซีกนั้นมาได้ และที่สำคัญก็คือเขารอวันที่จะไปจากสำนักราชยานสถานที่อันไร้อนาคตนั่นเต็มทีแล้ว มาบัดนี้เมื่อมีโอกาสเช่นนี้เขาก็แทบอยากจะละทิ้งชีวิตที่วันๆ อยู่แต่กับม้าทิ้งไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

“ในเมื่อไม่ยินดีสอดมือในเรื่องนี้ ที่นี่ก็ไม่มีธุระอะไรของฮูหยินแล้ว” ภรรยาคนอื่นมีแต่สนับสนุนสามีอย่างเต็มที่ ทว่าหญิงผู้นี้กลับเพียงโทษว่าเขาไม่เอาไหน ช่างน่าหงุดหงิดมากมิใช่หรือไร

เจียงซื่อทราบข่าวที่พ่อบ้านหูนำกลับมาแล้ว นางจึงลุกขึ้นเดินออกไปอย่างพอใจ

“พ่อบ้านหู เรื่องนี้เจ้าคิดเห็นเช่นไร” ไม่ว่าฉู่เจาหมิงหันไปทางใดก็ล้วนลำบากใจอย่างแท้จริง

พ่อบ้านหูใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวขึ้น “บ่าวคิดว่าส่งคนสนิทของท่านป๋อไปจะไม่เห็นผลเท่าคนสนิทของท่านป๋อผู้เฒ่าขอรับ”

ฉู่เจาหมิงไตร่ตรองดู ก่อนพยักหน้าเห็นด้วย “ตอนที่ท่านพ่อขับไล่ครอบครัวเจ้าสี่ออกไป ท่านแม่เพียงดีใจที่เจ้าสี่จะไม่อยู่แบ่งสมบัติด้วย แต่ไม่รู้เลยว่าเหตุผลของท่านพ่อนั้นก็เพื่อให้เจ้าสี่ได้ออกไปฝ่าฟันชีวิตด้านนอก ครอบครัวเจ้าสี่พอได้ไปจากจวนป๋อแล้วต่างก็ยินดียิ่ง แต่หากเป็นท่านพ่อเอ่ยขอร้องเขา เขาไม่มีวันไม่ไยดีแน่”

“ท่านป๋อผู้เฒ่าเข้าข้างนายท่านสี่ เขาไม่มีทางยอมให้นายท่านสี่ทิ้งโอกาสงามๆ นี้มาให้ท่านป๋อแน่ขอรับ”

“บัดนี้พ่อข้าล้มป่วยนอนติดที่ หากคิดจะซื้อตัวคนสนิทของเขาช่างเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก”

“บ่าวคิดว่าเรื่องนี้ควรคิดอ่านให้ระมัดระวังมากหน่อยเถิด จะได้ไม่ลือไปถึงหูท่านป๋อผู้เฒ่าขอรับ”

ฉู่เจาหมิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง ท่านพ่ออาจจะทำเขาเสียการได้ “เจ้าไปตรวจสอบดู บรรดาคนสนิทของพ่อข้ามีจุดอ่อนอะไรบ้าง รีบหาให้เจอ จากนี้พวกมันจะไม่เชื่อฟังข้าก็ไม่ได้แล้ว”

พ่อบ้านหูประสานมือเอ่ย “ขอรับ บ่าวจะรีบไปตรวจสอบให้ชัดแจ้งโดยเร็ว”

เวลาหนึ่งเดือนเซียวอวี้ตระเวนกินอาหารไปทั่วทุกตรอกในเซียงโจวแล้ว ลำดับถัดไปแน่นอนว่าต้องออกไปนอกเมือง ไม่ทันไรเกาฉีก็พบร้านอาหารสกุลจางที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบรื่อหมิง…ถึงพูดว่าเป็นร้าน แต่ส่วนของที่นั่งลูกค้ากลับสร้างขึ้นจากเพิงหลายหลังต่อกัน แลดูโกโรโกโสยิ่งนัก แต่เพราะติดกับทะเลสาบรื่อหมิง ทั้งยังตระเตรียมเรือลำน้อยหลายลำไว้สำหรับให้คนตกปลา ยิ่งในวันที่แสงแดดเจิดจ้าท้องฟ้าปลอดโปร่งเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าการค้าก็ดีไม่แพ้หอสุรามีชื่อในเมืองเลย

“คุณชาย เดิมทีร้านอาหารสกุลจางขายอาหารที่ทำขึ้นจากปลาโดยเฉพาะ ทว่าสิ่งที่ชวนให้ผู้คนน้ำลายสอในช่วงนี้นั้นกลับเป็นสุราผลไม้ สุราผลไม้ของที่นี่มีกลิ่นผลไม้หอมหวาน มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ยิ่งขอรับ” เกาฉีกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก แม้เป็นทหาร ทว่าด้วยติดตามเซียวอวี้มาตั้งแต่เล็กเกาฉีจึงดูเหมือนบัณฑิตเสียมากกว่า ชอบอยู่ในห้วงอารมณ์อันดื่มด่ำเฉกเช่นพวกบัณฑิต

เซียวอวี้เลิกคิ้วขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าเคยดื่ม?”

“…เขาว่ากันว่าเป็นเช่นนั้นขอรับ” เกาฉีหัวเราะแห้งๆ

“หากสุราผลไม้ของที่นี่มีชื่อเพียงนี้ ไยไม่ตั้งเป็นร้านสุราเสียเลยเล่า”

“สุราผลไม้เพิ่งเริ่มมีมาไม่กี่เดือนนี้เองขอรับ ว่ากันว่ามีคนเสนอกับเถ้าแก่เจ้าของร้านว่าหากได้นั่งตกปลายามเมากรึ่มๆ คงเป็นเรื่องสำราญใจมากบนโลกนี้ ทั้งสุราผลไม้กินแล้วไม่ได้เมามายหนักอะไร ไม่ต้องกังวลว่าลูกค้าจะเมาพับบนเรือ สุรานี้จึงเหมาะสมอย่างยิ่ง” มองเรือลำน้อยลอยเอื่อยๆ ในทะเลสาบ ลอยกลับไปมาท่ามกลางทิวทัศน์ของภูเขาและสายน้ำที่ชวนให้คนรู้สึกผ่อนคลาย

สุราผลไม้ที่ดื่มเท่าไรก็ไม่มีทางเมา?…เซียวอวี้บังเกิดความรู้สึกโหยหาขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาอดชื่นชมไม่ได้ “คนผู้นี้รู้จักพูดโอ้อวดสุราผลไม้ของตนเองยิ่งนัก”

“คุณชายรู้ได้อย่างไรขอรับว่าข้อเสนอนี้มาจากคนขายสุราผลไม้”

เซียวอวี้คร้านจะเอ่ยตอบ นี่เป็นเรื่องธรรมดาที่คาดเดาได้มิใช่หรือ ทว่าเขากลับเอ่ยขึ้นว่า “พวกเรามาลิ้มรสเรื่องสำราญในโลกนี้กันเถอะ”

เกาฉีรีบเช่าเรือลำหนึ่งและซื้อสุราผลไม้สองไหจากเถ้าแก่ทันที

ขึ้นเรือมาเซียวอวี้ก็เหลียวมองซ้ายขวาแวบหนึ่ง ขณะเตรียมจะสั่งให้เกาฉีพายไปทางตะวันออก พวกเขาก็ได้ยินเสียงเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น

“สุราผลไม้มาแล้วขอรับ!”

เซียวอวี้ยกมือขึ้นบอกไม่ให้เกาฉีเคลื่อนไหวชั่วคราว เขามองดูรถเทียมล่อที่แล่นเข้ามาช้าๆ บนหลังรถที่ใช้ผ้าใบคลุมไว้คงเป็นสุราผลไม้ ทว่าในพริบตาเดียวสายตาของเขาก็ถูกหญิงสาวที่บังคับรถเทียมล่อดึงดูดเข้าเสียก่อน…เป็นนาง!

“แม่นางฉู่ ข้านึกว่าวันนี้เจ้าจะไม่มาแล้วเสียอีก” เถ้าแก่รีบพาเด็กหนุ่มสองคนเข้ามาช่วยยกของลงจากรถ

แม่นางฉู่? เซียวอวี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนส่งสัญญาณให้เกาฉีพายเรือได้

ฉู่อวิ๋นจิ้งกระโดดลงจากรถม้า นางโค้งคำนับขออภัยอย่างจริงใจ จากนั้นจึงยื่นมือไปอุ้มฉู่เหยียนลงมา

“คารวะท่านลุงจางขอรับ” ฉู่เหยียนคำนับเถ้าแก่ด้วยท่าทีจริงจัง ทว่าเพียงชั่วครู่ก็กลับคืนท่าทางของเด็กน้อย เขากระตุกเสื้อฉู่อวิ๋นจิ้งไม่หยุด “พี่สาว วันนี้ข้าจะกินหัวปลาหม้อดิน”

“ได้สิ นานๆ เจ้าจะอยากกินปลาสักทีหนึ่ง แต่เจ้าต้องตกปลาลิ่นให้ได้ก่อน” ถึงนางไม่คิดอยากตกปลาและเรื่องนี้ก็สามารถใช้เงินแก้ปัญหาได้ ทว่าฉู่อวิ๋นจิ้งยังชอบการสอนด้วยสถานการณ์จริงมากกว่า นางอยากใช้โอกาสนี้ทำให้ฉู่เหยียนรู้จักความสนุกของ ‘การกินอาหารจากฝีมือตนเอง’

ฉู่เหยียนแววตาเป็นประกาย “นั่งเรือตกปลาหรือ!”

ฉู่อวิ๋นจิ้งส่ายหน้า “เจ้ายังว่ายน้ำไม่เป็น พวกเราตกปลาที่ริมตลิ่งก็พอ”

ฉู่เหยียนห่อไหล่ด้วยความผิดหวัง เขาเอ่ยอย่างยังไม่ยอมถอดใจ “ข้าจะเชื่อฟัง ไม่ขยับตามใจชอบ”

“ไม่ได้ เจ้าไม่ขยับตามใจไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดเรื่องนี่”

“พี่สาว ไม่ได้จริงๆ หรือ”

“ไม่ได้ แต่ข้ารับปากเจ้า วันนี้ข้าอนุญาตให้เจ้าเลือกกับข้าวได้”

“ข้าอยากกินหัวปลาหม้อดินที่พี่สาวทำ” ถึงพี่สาวจะบอกว่ากินปลาแล้วทำให้ฉลาด แต่นอกจากปลาที่พี่สาวทำให้เขากินแล้ว ปลาที่คนอื่นทำล้วนมีกลิ่นคาว เขาจึงไม่ชอบกิน

“ถ้าอยากกินหัวปลาหม้อดินของข้า เจ้าต้องตกปลาลิ่นให้ได้มากหน่อย”

เถ้าแก่ที่ยกของลงจากรถหมดแล้วได้ยินก็รีบร้องบอกว่า “หากแม่นางฉู่ไม่รังเกียจ แม่นางฉู่สามารถใช้ปลาลิ่นที่อยู่ในครัวได้ตามสบาย ขอแค่แม่นางฉู่แบ่งให้พวกเราสักหม้อสองหม้อก็พอ”

เดิมทีฉู่อวิ๋นจิ้งไม่มีความคิดที่จะทำให้คนนอกได้กิน แต่เมื่อเห็นใบหน้ารอคอยเต็มเปี่ยมของทุกคนแล้ว สุดท้ายก็ต้องกลืนคำปฏิเสธลงไป หากไม่ได้เถ้าแก่สนับสนุนอย่างเต็มที่ สุราผลไม้ของนางก็คงไม่ขายดีจนมีชื่อเสียงรวดเร็วเช่นนี้ นางใช้หัวปลาหม้อดินเป็นการขอบคุณไม่นับว่ามากไป ถือเสียว่าทำหัวปลาหม้อดินเพิ่มสักหม้อสองหม้อก็แล้วกัน

ฉู่อวิ๋นจิ้งขอให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งในร้านพาฉู่เหยียนไปตกปลาที่ริมทะเลสาบ ส่วนนางก็เดินตามเถ้าแก่ไปยังห้องครัว

หัวปลาหม้อดินยังเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าน้ำแกงข้นหัวปลา ที่มาที่ไปเล่าขานต่อกันหลายรูปแบบ ที่น่าเชื่อถือหน่อยจะเกี่ยวข้องกับการมาเยือนเจียงหนานของฮ่องเต้เฉียนหลง ทว่าที่นางทำวันนี้นั้นเป็นหัวปลาหม้อดินแบบไต้หวัน

สำหรับหัวปลาหม้อดินแบบไต้หวันจะใช้กระดูกหมูต้มน้ำแกง นำหัวปลาลิ่นมาทาเกลือก่อนจากนั้นค่อยนำไปชุบแป้งมันเทศทอด เต้าหู้กับกระเทียมก็ต้องนำไปผัดก่อนเช่นกัน โดยใช้ต้นหอม ขิง และพวกเครื่องเทศเผ็ดร้อนทำให้มีกลิ่นหอมหวน ในหม้อใส่ผักกาดขาว อาหารทะเล หมูสามชั้น กึ๋นไก่ และต้นกระเทียม สำหรับน้ำแกงสูตรเข้มข้นพิเศษนี้ยังใส่ปลาแห้งและฟองไข่กรอบ นอกจากนี้ยังใส่น้ำปรุงรสซาฉา* เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม ทั้งยังใส่น้ำปรุงรสเต้าเจี้ยวหมักพริกแห้งเพิ่มรสชาติอีกด้วย

นางไม่ได้ทำตามแบบน้ำแกงเข้มข้นพิเศษเสียทีเดียว เนื่องจากไม่มีแป้งมันเทศ นางจึงใช้แป้งหมี่ใส่ไข่แทน ส่วนที่ใส่ในหม้อก็มีเพียงผักกาดขาว หอยตลับ หมูสามชั้น และต้นกระเทียม

ทันทีที่กลิ่นหอมของหัวปลาหม้อดินลอยออกมาจากห้องครัว ฉู่เหยียนก็ไม่อยากตกปลาต่อแล้ว เขาโยนคันเบ็ดทิ้ง ล้างมือ แล้วก็นั่งรอกิน ซ้ำยังเร่งคนในร้านให้เข้าครัวไปตรวจดูว่าหัวปลาหม้อดินของพี่สาวเสร็จแล้วหรือไม่ ในยามนี้เซียวอวี้ก็ตกปลากลับมาพอดี สายตาพลันเลื่อนไปตามที่มาของกลิ่นหอมอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง

ห้องครัวในร้านอาหารสกุลจางสร้างขึ้นจากอิฐจึงไม่สามารถแอบดูความเคลื่อนไหวภายในจากด้านนอกได้ แต่ทั้งที่ปิดหน้าต่างบางส่วนแล้วก็ยังเก็บกลิ่นหอมหวนนี้ไม่อยู่ หากเปิดหน้าต่างหมดทุกบาน เกรงว่ากลิ่นหอมที่ลอยจู่โจมเข้ามาคงพาให้คนหิวกระหายอยากลิ้มลองมากขึ้น

“ข้าหิวแล้ว” เซียวอวี้เหลือบมองเกาฉี ก่อนหาโต๊ะว่างนั่งลง

เกาฉีเข้าใจความนัยของเจ้านายได้ในทันที เขารีบไปหารือกับเถ้าแก่โดยนำปลาที่ตกมาได้มอบให้กับร้านไปทั้งหมด ขอเพียงให้เขาแบ่งหัวปลาหม้อดินแก่พวกเขาหนึ่งหม้อ แน่นอนว่าพอเงินถึงมือเถ้าแก่ย่อมไม่ถือสาที่จะแบ่งให้พวกเขาหม้อหนึ่ง

เซียวอวี้ไม่เคยกินอาหารชนิดนี้มาก่อน หลังจากมาถึงเซียงโจวนี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้กินหัวปลาหม้อดิน ทว่ารสชาติครั้งก่อนกับครั้งนี้กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หัวปลาหม้อดินของที่นี่ไม่มีกลิ่นคาวปลา น้ำแกงเข้มข้นหวานหอม มันแต่ไม่เลี่ยน…กล่าวโดยสรุปคือชวนให้คนอยากลิ้มชิมรสไม่เลิกรา โดยไม่รู้ตัวเซียวอวี้พลันคิดไปถึงพ่อครัวที่สหายรักทำทุกวิถีทางเพื่อเชื้อเชิญให้ไปเมืองหลวงผู้นั้น

“หัวปลาหม้อดินที่พี่สาวทำออกมาอย่างไรก็อร่อย” อีกด้านฉู่เหยียนมองฉู่อวิ๋นจิ้งอย่างประจบเอาใจ

“หัวปลาหม้อดินที่ป้าหลี่ทำก็อร่อยเหมือนกัน ขอแค่เจ้าไม่เลือกกินเช่นนี้” ฉู่อวิ๋นจิ้งส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย

ฉู่เหยียนดื้อดึงไม่ยอมแพ้ “ความเห็นของปาก ข้าบังคับอะไรไม่ได้นี่”

“จริงสินะ ความผิดร้อยพันล้วนเป็นความผิดของปากแท้ๆ”

ฉู่เหยียนออกแรงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนตบปากเบาๆ เลียนแบบท่าทางของฉู่อวิ๋นจิ้งตอนที่เอ็ดเขาว่า “ดื้อจริงๆ เลย!”

“ร้ายไม่เบานะ!”

ฉู่เหยียนดึงแขนเสื้อฉู่อวิ๋นจิ้งอย่างออดอ้อน “พี่สาว ต่อไปตอนที่สั่งกับข้าวข้าขอสั่งสองอย่างได้หรือไม่”

“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ คนเราห้ามละโมบ”

“หากมีกับข้าวแค่อย่างเดียว ข้าก็ไม่ได้กินของที่ทำให้ประหลาดใจน่ะสิ”

ฉู่อวิ๋นจิ้งไหวไหล่อย่างจนปัญญายิ่ง “ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องใดก็มีทั้งได้และเสีย เจ้าจะอยากได้ทั้งกินอิ่มตามท้องปรารถนาและทั้งอยากได้ความประหลาดใจที่คาดไม่ถึงพร้อมๆ กันเช่นนี้ไม่ได้”

นิ่งไปชั่วอึดใจฉู่เหยียนจึงเอ่ยขึ้นราวกับเด็กน้อยน่าสงสาร “หากพี่สาวไม่เก่งเกินไป ทุกครั้งที่เข้าครัวล้วนพาเรื่องประหลาดใจคาดไม่ถึงมากมายมาให้อยู่เสมอ ข้าก็คงไม่ลังเลเลือกไม่ได้เช่นนี้”

ฉู่อวิ๋นจิ้งเบิกตาโตอย่างขบขัน “นี่เป็นความผิดของข้าด้วย?”

ฉู่เหยียนอยากพยักหน้ายิ่งนัก แต่เขายังคงอดทนไว้ ดวงตาน่าสงสารคู่นั้นจ้องมองฉู่อวิ๋นจิ้งไม่วางตา

ฉู่อวิ๋นจิ้งถอนหายใจด้วยความจนใจ “วาจาที่พูดออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้ว ไม่อาจแก้ไข ต่อไปนี้ขอเพียงทุกวันเจ้าฝึกเขียนอักษรตัวเล็กสามแผ่น ตัวใหญ่สามแผ่นอย่างว่าง่าย ข้าก็จะให้เรื่องประหลาดใจกับเจ้านานๆ สักหน เจ้าว่าอย่างไร”

ฉู่เหยียนรีบยื่นมือออกไป ฉู่อวิ๋นจิ้งเกี่ยวก้อยสัญญากับเขาอย่างรู้ใจยิ่ง

ฟังพี่น้องต่อความกันไปมา เซียวอวี้ก็อดยกมุมปากแย้มยิ้มไม่ได้ เขาชักประหลาดใจแล้วจริงๆ รสมือของแม่นางท่านนี้ยอดเยี่ยมเพียงนั้นเชียวหรือ แต่จะว่าไปหัวปลาหม้อดินหม้อนี้ก็อร่อยมากจริงๆ

 

พ้นยามเว่ย* ไปแล้วฉู่อวิ๋นจิ้งถึงได้พาฉู่เหยียนออกจากร้านอาหารสกุลจางกลับมาบ้าน คิดไม่ถึงว่าลู่ไป่จวิ้นจะมาหาที่บ้านและรออยู่กว่าครึ่งชั่วยาม** แล้ว ยังดีที่วันนี้สำนักศึกษาปิด ฉู่เย่าอยู่บ้าน ลู่ไป่จวิ้นได้เขาออกหน้ารับรองจึงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายนัก นอกจากนี้ในลานบ้านสกุลฉู่ยังมีร้านที่ทำจากไม้ตั้งยาวเหยียดอยู่แถวหนึ่งข้างบ่อน้ำพร้อมกับปลูกต้นจื่อเถิง ไว้ด้วย พอตั้งโต๊ะและม้าหินไว้ระหว่างกลาง ยามที่นั่งอยู่ตรงนี้อากาศร้อนที่จู่โจมมาไม่ขาดสายก็พลันหายไปสิ้น

เดิมทีเรือนหน้าก็มีห้องรับแขกอยู่ แต่อากาศร้อนเช่นนี้พวกเขาเห็นว่าพบปะแขกในลานบ้านดูจะเหมาะสมกว่า ฉู่อวิ๋นจิ้งอุ้มฉู่เหยียนที่ผล็อยหลับไประหว่างทางพาไปส่งต่อให้มารดา จากนั้นจึงไปพบลู่ไป่จวิ้นที่ลาน

“พี่สาวกลับมาแล้ว” ฉู่เย่ารีบเข้ามาต้อนรับ

“พวกหนังสือทั้งหมดที่ขนมาจากบ้านเก่า ลุงหลี่น่าจะเก็บเข้าห้องหนังสือเสร็จแล้ว เจ้าไปดูสักหน่อยเถิด” ฉู่เย่าพยักหน้า เขาคำนับลู่ไป่จวิ้นแล้วรีบไปที่ห้องหนังสือ

“วันนี้คุณชายลู่มาเยือนด้วยสาเหตุใดกัน” แม้ลู่ไป่จวิ้นเป็นผู้ซื้อสูตรอาหาร ทว่าฉู่อวิ๋นจิ้งก็ไม่คิดข้องเกี่ยวกับเขามากเกินไป หนึ่งด้วยหญิงชายแตกต่างไม่ควรชิดใกล้จนเกินงาม สองเพราะอายุแตกต่างกันไม่มาก หากสนิทกันเกินไปย่อมง่ายต่อการเก็บไปคิดเกินเลย ด้วยเหตุนี้ยามอยู่ต่อหน้าเขานางจึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องครอบครัวมาก่อน แต่เนื่องจากต้องซื้อบ้านผ่านมือเขา คาดว่าตอนนี้เขาคงรับรู้เรื่องราวในบ้านนางไม่มากก็น้อยแล้ว อย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขาก็รู้ว่านางอยู่ที่ใด หากเขาตั้งใจตามหานางจริงๆ นางก็ไม่มีทางหนีพ้น

“ตั้งแต่แม่นางฉู่ย้ายมาที่นี่ ข้ายังไม่เคยมาเยี่ยมเยียนแสดงความยินดี วันนี้เผอิญผ่านมา ในใจคิดว่าเลือกวันดีไม่สู้ปล่อยตามฟ้าลิขิต แม่นางฉู่ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยคงไม่ติดใจหากข้าไม่ส่งเทียบเชิญมาล่วงหน้า” รู้จักกันมาหนึ่งปีลู่ไป่จวิ้นย่อมมองออกว่านางจงใจรักษาระยะห่าง เขากังวลว่าหากส่งเทียบเชิญมาก่อน อีกฝ่ายคงปฏิเสธไม่ยอมพบหน้า เขาจึงถือโอกาสเสียมารยาทสักครั้งหนึ่ง

ฉู่อวิ๋นจิ้งมุมปากกระตุกเล็กน้อย เขารู้หรือไม่ว่าที่นี่กับหอจ้วนเซียนอยู่คนละทางกันเลย

“หากคุณชายลู่มีเรื่องใดจะว่ากล่าว ขอเชิญกล่าวมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” ฉู่อวิ๋นจิ้งหาใช่คนที่พูดคุยเรื่องไร้ประโยชน์เก่งสักเท่าไร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาเป็นบุรุษด้วยแล้ว เช่นนั้นอย่าได้เปลืองสมองพูดจาวกไปวนมาเลย

ลู่ไป่จวิ้นหัวเราะแก้เก้อ แม้ภายนอกนางดูสงบนิ่งเย็นชา ทว่าพอกล่าวคำหรือทำงานกลับดูตรงไปตรงมาเฉกเช่นบุรุษเสมอ

“การที่หอจ้วนเซียนของข้าได้พบกับแม่นางฉู่นั้นถือเป็นความโชคดียิ่ง แม่นางฉู่มีฝีมือปรุงอาหารล้ำเลิศที่แม้แต่พ่อครัวหลวงยังเทียบไม่ติด หากให้แม่นางฉู่ได้อยู่ในสถานที่ที่ใหญ่โตขึ้น ความสำเร็จของแม่นางฉู่จะต้องมากกว่านี้แน่ หากได้ร่วมงานระยะยาวกับแม่นางฉู่ ข้ามิใช่จะสามารถอาศัยวาสนาของแม่นางฉู่บินทะยานถึงฟ้า ตามไปด้วยได้หรอกหรือ”

ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าลู่ไป่จวิ้นก็เป็นพ่อค้าที่จริงใจไม่เสแสร้งคนหนึ่ง คำพูดนี้พาให้คนฟังรู้สึกสบายกายสบายใจยิ่งนัก…นางรู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นแรงขึ้นทุกที ทว่าภายนอกยังต้องคงความสงบนิ่งเอาไว้ “คุณชายลู่อยากร่วมงานกันอย่างไร”

“ข้าออกเงิน แม่นางฉู่คิดสูตรอาหาร ข้าให้แม่นางฉู่หนึ่งส่วน”

“คุณชายลู่เตรียมเปิดหอจ้วนเซียนแห่งที่สองในเซียงโจวหรือ”

“แม้เซียงโจวจะเป็นดินแดนของพวกคนมั่งมี แต่ไม่คึกคักรุ่งเรืองเท่าเมืองหลวง แม่นางฉู่เห็นว่าอย่างไร”

ความลิงโลดของฉู่อวิ๋นจิ้งพลันสูญสลายไม่มีเหลือในพริบตา ไยจึงเป็นเมืองหลวงไปได้เล่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากมีเงินมากและเส้นสายดีๆ เมืองหลวงย่อมควรค่าแก่การลงทุนมากกว่าเซียงโจว แต่เมืองหลวงหาใช่เมืองข้างๆ ที่สามารถกลับมาบ้านได้ในหนึ่งคืน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจวนจงอี้ป๋อที่อยู่ในเมืองหลวง นอกจากข้าไม่หลีกเลี่ยงยังจะเดินหน้าเข้าไปปะทะอีก เช่นนี้ไม่เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวหรือไร

“นี่เป็นเรื่องใหญ่ แม่นางฉู่ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนให้คำตอบข้า…”

“คุณชายลู่เห็นถึงความสามารถของข้านับว่าเป็นเกียรติยิ่ง แต่น่าเสียดายข้าไม่มีแผนจะเข้าเมืองหลวง” ฉู่อวิ๋นจิ้งตัดบทเขาอย่างไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดอีก

เป็นดังคาด ลู่ไป่จวิ้นจำต้องถอยเพื่อให้ได้ข้อเสนอรองลงมา “หากแม่นางฉู่ไม่สะดวกไปเมืองหลวง ข้าสามารถส่งพ่อครัวมาเรียนกับแม่นางฉู่สักเดือนสองเดือนได้ แม่นางฉู่เห็นว่าอย่างไร”

ฉู่อวิ๋นจิ้งลังเลเล็กน้อย ข้อเสนอนี้ชวนให้หวั่นไหวอย่างแท้จริง แต่นางก็ไม่อาจรับปากอย่างลวกๆ ได้ “ข้าขอใคร่ครวญดูก่อน”

“ข้านั้นอยากร่วมงานกับแม่นางฉู่จากใจจริง ต้องขอให้แม่นางฉู่ช่วยใคร่ครวญอย่างรอบคอบด้วย”

ฉู่อวิ๋นจิ้งผงกศีรษะรับคำ ทั้งยังไปส่งลู่ไป่จวิ้นที่ประตูชั้นใน แล้วจึงให้ลุงหลี่ส่งเขาไปถึงประตูใหญ่

 

ลู่ไป่จวิ้นนั้นแตกต่างจากเซียวอวี้ เขาเป็นคนชอบความครึกครื้น ข้างกายห่างจากผู้คนไม่ได้ หากอยู่คนเดียวเมื่อใดต้องเป็นเพราะอารมณ์ไม่ดีอย่างมากแน่ ถึงขนาดว่าคร้านจะพบปะกับผู้คน

เซียวอวี้เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยเย้าว่า “วันนี้อารมณ์ดีอะไรถึงมาเดินหมากกับตนเองได้”

ลู่ไป่จวิ้นเงยหน้ามองค้อนขวับหนึ่ง ข้าดูคล้ายคนอารมณ์ดีหรือไร

เซียวอวี้นั่งลงบนเตียงเตา มองกระดานหมากบนโต๊ะแล้วก็รู้สึกเวทนาจนมิอาจทนดูต่อไปได้ “ใครมายั่วให้เจ้าหงุดหงิดใจหรือ”

นี่ยังต้องถามอีกรึ! ลู่ไป่จวิ้นหยิบหมากสีขาวตัวหนึ่งขึ้นมาและวางลงอย่างทุกข์ใจ

“ข้าถามมากเกินไปแล้วกระมัง ในเมื่อเจ้ามีความคิดจะกลับไปเปิดหอสุราที่เมืองหลวงอยู่เต็มท้อง ผู้ที่ยั่วให้เจ้าหงุดหงิดได้ก็น่าจะมีเพียงผู้เดียว”

ลู่ไป่จวิ้นหยิบหมากสีดำขึ้นมา ทว่าพักหนึ่งก็ยังคงโยนหมากกลับคืนโถเก็บหมาก ก่อนจะห่อไหล่ลงราวกับหมดแรงแล้ว เขาเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “ข้าคิดไม่ออกว่ามีวิธีใดที่จะพูดให้เขาใจอ่อนเปลี่ยนใจได้บ้าง”

เซียวอวี้ถือโอกาสนี้เก็บหมากสีดำกับหมากสีขาวที่อยู่บนกระดานลงโถโดยแยกสีกัน ปากก็ถามขึ้นอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เขาปฏิเสธจริงๆ หรือ”

“หากตอบรับ ตอนนี้ข้ายังจะนั่งว่างไม่มีการมีงานอยู่ที่นี่ได้หรือ” มิฉะนั้นเขาคงวิ่งวุ่น ตั้งแต่หาร้านไปจนถึงวางแผนสร้างหอสุราเรื่องที่เขาต้องยุ่งวุ่นวายนั้นมีมากนัก

“ไม่ร่วมงานด้วยก็ช่างปะไร เป็นแค่พ่อครัว หากยอมจ่ายเงินให้มากหน่อย ยังกลัวจะหาที่ดีกว่าไม่ได้หรือ” ในสายตาเซียวอวี้นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง

“ข้าว่าเขาดีที่สุด”

เซียวอวี้เข้าใจลู่ไป่จวิ้น เจ้านี่เป็นคนหัวแข็ง หากตัดสินใจแน่แล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนความคิดกลับมา

“เอาเถิด เขาน่ะดีที่สุด แต่ว่าเขาไม่ยอมร่วมงานด้วย เจ้าจะทำอะไรได้”

“ที่เขาไม่ยอมร่วมงานกับข้าเป็นเพราะมีความยากลำบากส่วนตัว”

“ความยากลำบากอะไร”

“เขา…อันที่จริงยังไม่ได้ปฏิเสธไปเสียทีเดียว เพียงแต่บอกว่าจะขบคิดดูอย่างตั้งใจ” หากสหายรักรู้ว่า พ่อครัวที่เขามุ่งมั่นชักชวนมานั้นแท้ที่จริงเป็นสตรี จะรู้สึกว่าเขาสติไม่ดีหรือไม่ เนื่องด้วยตอนเด็กเซียวอวี้เคยเสียขวัญจากการทะเลาะชิงดีชิงเด่นตบตีกันจนเลือดตกยางออกของพวกสาวใช้ ซ้ำยังคลุกคลีกับทหารตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้เขาไม่มีความอดทนต่อสตรี ทั้งยังรู้สึกว่าสตรีนั้นน่ารำคาญยิ่ง ดังนั้นต่อให้พวกนางมีความสามารถเพียงไร เซียวอวี้ก็ไม่ยอมพูดคุยคบหาด้วย และเพราะสาเหตุนี้จึงทำให้เขาไม่เคยเปิดเผยเรื่องแม่นางฉู่ตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้

“เจ้าอย่าได้ลืมเหตุผลที่เจ้ามาเซียงโจวนี้”

“ข้าไหนเลยจะลืมได้ว่ามีพระบัญชาติดตัวอยู่ แม้สองปีนี้ไม่เห็นโจรสลัด แต่ก็ข้ายังสั่งให้ลูกน้องคอยจับตาดูโจรสลัดที่แฝงตัวเข้ามาทางปากแม่น้ำทั้งหลาย ท่าเรือเองก็ไม่อาจละทิ้ง โดยเฉพาะเรือสินค้าที่ออกทะเลกลับมา เพราะกลัวว่าองครักษ์ประตูมังกรจะหลบซ่อนอยู่ภายในแล้วปะปนเข้ามาในเซียงโจว หาโอกาสอ้างนามโจรสลัดก่อความวุ่นวายอีก อีกอย่างข้าต้องมีงานมีการทำคนอื่นเขาจะได้ไม่ใส่ใจข้า ที่เจ้าเที่ยวกินดื่มไปทั่วเช่นนี้ก็มิใช่ทำงานเหมือนกันหรือ”

เซียวอวี้ไร้วาจาจะโต้ตอบ

“หากข้าให้เขาสองส่วน เขาจะตอบรับทันทีหรือไม่” เมื่อกลับมาคิดทบทวนลู่ไป่จวิ้นรู้สึกว่าหนึ่งส่วนออกจะดูตระหนี่เกินไป ขึ้นเป็นสองส่วนจึงจะยิ่งดึงดูดใจมากขึ้น

เซียวอวี้อดมุ่นคิ้วไม่ได้ “เขาเพียงคิดสูตรอาหาร หนึ่งปีก็รวมกันได้หลายร้อยตำลึง บางทีอาจถึงพันตำลึง แค่นี้เขาก็ได้เปรียบมากแล้ว เจ้าอย่าไปทำให้กระเพาะเขาใหญ่ขึ้นเลย”

“เขาไม่ใช่คนละโมบไม่รู้จักพอ”

เซียวอวี้เลิกคิ้วขึ้น คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าช่างมองเขาสูงส่งเสียจริง”

“หากเจ้าได้รู้จักเขา เจ้าจะคิดเช่นเดียวกับข้า” ลู่ไป่จวิ้นไม่กล้าอวดอ้างว่าตนเองมีเสน่ห์เหลือล้น แต่ก็มีลักษณะดึงดูดผึ้งล่อตาภมรเป็นแน่แท้ หญิงสาวยามได้เห็นเขาสองตาเป็นต้องวนเวียนอยู่รอบตัวเขาไม่ห่าง อาจเพราะมีเจตนาอื่นแอบแฝงหรือหักห้ามใจตนเองไม่ได้ โดยสรุปก็คือมีหญิงสาวน้อยคนนักที่จะต้านทานเสน่ห์ของเขาได้ ขณะที่แม่นางฉู่กลับแตกต่างออกไป นอกจากขายสูตรอาหารให้เขาแล้ว นางก็ไม่คิดสานสัมพันธ์กับเขาแม้แต่นิดเดียว ทำให้เขากังวลใจว่าตนเองใช่เปลี่ยนไปอัปลักษณ์แล้วหรือไม่

“ข้ารู้จักพ่อครัวไม่น้อย ให้ข้าหาให้เจ้าสักคนดีหรือไม่” เซียวอวี้ยื่นข้อเสนอที่ทำจริงได้มากกว่า

“เจ้าเดินทางไปที่ใดก็ล้วนไปกินเสมอ ไม่แปลกที่เจ้าจะรู้จักพ่อครัวไม่น้อย พ่อครัวจวนอู่หยางโหวเองก็ยิ่งยอดเยี่ยมระดับต้นๆ แต่ว่า…พวกเขาไม่มีสูตรอาหารที่ชวนให้คนตื่นตาตื่นใจนี่”

“ร้านอาหารหรือพวกหอสุราก็ไม่ได้มีอาหารจานใหม่ทุกปีเสียหน่อย”

ลู่ไป่จวิ้นพยักหน้าเห็นด้วย “นี่ก็เป็นความจริง แต่เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงมีชื่อเสียงโด่งดังได้ไม่กี่ปีก็ตกต่ำแล้ว”

“อย่างน้อยข้าก็รับรองได้ว่าเจ้าจะรุ่งเรืองไปสิบปี”

ความคาดหวังที่ลู่ไป่จวิ้นมีต่อ ‘หออีผิ่น’ ที่ตนเองอยากเปิดนั้นไม่ใช่รุ่งเรืองเพียงสิบปี แต่คือการได้เปิดไปทั่วต้าโจวตั้งแต่เหนือจรดใต้ เขาจึงพูดว่า “ไม่รีบร้อน ข้าจะต้องเกลี้ยกล่อมเขาได้แน่”

“ยังไม่ต้องรีบร้อนจริงๆ เพราะฝ่าบาทยังไม่มีราชโองการเรียกตัวเจ้ากลับเมืองหลวง” เซียวอวี้หยิบหมากสีดำจากโถเก็บหมากวางลงเม็ดหนึ่ง “ข้าจะเดินหมากเป็นเพื่อนเจ้าสักกระดาน”

ลู่ไป่จวิ้นหยิบหมากสีขาวขึ้นวางลงไป “ข้าอยู่ที่เซียงโจวสองปีไม่ได้อยู่เปล่าๆ หรอกนะ สายข่าวของข้าครอบคลุมทั่วทั้งเซียงโจวแล้ว ทันทีที่องครักษ์ประตูมังกรปรากฏตัว พวกเขาไม่มีทางหนีออกจากเซียงโจวได้เป็นอันขาด ส่วนข้าจะกลับเมืองหลวงเมื่อใดนั้นอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีเหตุผลที่สง่าผ่าเผย”

เซียวอวี้ขบคิดดูก็เข้าใจ จากนั้นจึงหยิบหมากสีดำวางลงบนกระดาน “หอจ้วนเซียนที่เซียงโจวทั้งทำเงินและยังสร้างหน้าตาให้แก่เจ้า เจ้าอยากกลับไปเปิดหอสุราที่เมืองหลวงนับเป็นเรื่องปกติ”

“ถูกต้อง ดังนั้น ‘หออีผิ่น’ ของข้าจะต้องเปิดตัวแล้วมีชื่อเสียงในเมืองหลวงทันที” ไม่ว่าเป้าหมายที่เขามาเซียงโจวคืออะไร ทว่าตอนที่เขากลับเมืองหลวงไปนั้นจะต้องยิ่งใหญ่มีหน้ามีตา

เซียวอวี้เหลือบมองกระดานหมากพลางแสดงท่าทางให้ลู่ไป่จวิ้นวางหมาก ก่อนถามเสียงค่อย “หออีผิ่น?”

“ชื่อหออีผิ่นเป็นอย่างไร สง่างามเปี่ยมพลังมากใช่หรือไม่” ลู่ไป่จวิ้นดวงตาเปล่งประกายแวววาว

“ชื่อดีก็จริง แต่เจ้าก็ต้องจัดการพ่อครัวคนนั้นให้ได้ก่อน”

ร่างกายลู่ไป่จวิ้นชะงักกึก เขาถลึงตาใส่เซียวอวี้อย่างคับแค้นใจยิ่ง “เจ้าต้องราดน้ำเย็นใส่ข้าให้ได้เชียวหรือ”

เซียวอวี้เลิกคิ้วท้าทาย “หรือว่าไม่จริง?”

ลู่ไป่จวิ้นคร้านจะต่อความกับเขา จึงประกาศศึกกับเขาบนกระดานหมากเสียเลย แต่ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงเสมอกัน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 พ.ย. 62

หน้าที่แล้ว1 of 16

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: