บทที่สาม
วิญญาณของฉู่อวิ๋นจิ้งมาอยู่ต้าโจวได้หนึ่งปีกว่าแล้ว นอกจากหนึ่งเดือนที่นอนพักรักษาตัวและคอยสังเกตผู้คนในตอนเริ่มแรก ต่อจากนั้นฉู่อวิ๋นจิ้งก็รักการนอนเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยเพราะกลางวันยุ่งจนไม่มีเวลาว่างสักชั่วครู่เดียว ยามราตรีนางจึงนอนหลับยาวไปจนฟ้าสว่าง คนโบราณนอนเร็ว ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าดึกดื่นจะมีมนุษย์ค้างคาวสร้างเสียงรบกวนมาปลุกให้ตื่น แต่ถึงอย่างนั้นคืนนี้นางกลับนอนไม่หลับ
ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่ชอบฝืนตนเอง นอนไม่หลับก็ไม่ต้องนอน ฤดูร้อนยามราตรีเหมาะแก่การชมจันทร์เป็นที่สุด กระนั้นก็ต้องมีถุงหอมกันแมลงติดตัวไว้ด้วย
ฉู่อวิ๋นจิ้งเดินคลำทางในความมืดออกมาจากห้อง ย่อมนึกไม่ถึงว่าจะพบมารดานั่งอ้างว้างอยู่บนขั้นบันได
“อากาศร้อนเกินไป ท่านแม่เลยนอนไม่หลับหรือเจ้าคะ” ฉู่อวิ๋นจิ้งแสร้งทำทีผ่อนคลายขณะเดินไปนั่งลงข้างกายเหลียนอวี้จู
เหลียนอวี้จูหลุดจากภวังค์พลางหันหน้ามามองฉู่อวิ๋นจิ้ง “เหนื่อยมาทั้งวัน เหตุใดเจ้าจึงไม่นอนเล่า”
“ท่านแม่เคยคิดจะกลับเมืองหลวงบ้างหรือไม่” ฉู่อวิ๋นจิ้งเพียงถามไปตามปาก ก่อนจะเงยหน้ามองจันทร์ที่ทอแสงกระจ่างอย่างไม่ใส่ใจนัก วันนี้จันทร์เต็มดวง…จันทร์เต็มดวงผู้คนกลมเกลียว ทว่าครอบครัวนี้กลับไม่มีวันได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกแล้ว
ครู่ใหญ่เหลียนอวี้จูก็คล้ายพึมพำกับตนเองว่า “ตอนออกจากเมืองหลวงพ่อเจ้ารับปากกับแม่ว่าวันข้างหน้าจะให้แม่กลับเมืองหลวงอย่างสง่าสมเกียรติ ตอนนั้นแม่ก็แค่ยิ้มรับ สำหรับแม่แล้วขอแค่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า ไม่ว่าเซียงโจวหรือเมืองหลวงแม่ล้วนไม่ติดใจ แต่แม่รู้ว่าใจของพ่อเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงมาตลอด ถึงเขาออกจากจวนจงอี้ป๋อแล้ว แต่ก็ยังอยากอยู่ที่เมืองหลวง”
ฉู่อวิ๋นจิ้งฟังแล้วไม่เข้าใจ หากท่านพ่ออยากอยู่เมืองหลวงจริงๆ เหตุใดจึงต้องยั่วโมโหท่านปู่ด้วย ท่านพ่อเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยา หากไม่ได้ท่านปู่ช่วยคุ้มครองไว้ ตอนที่อยู่ในจวนจงอี้ป๋อทั้งครอบครัวคงถูกข่มเหงกัดแทะจนเหลือแต่เศษกระดูกไปแล้ว ทั้งที่เป็นเช่นนั้นท่านพ่อก็ยังทะเลาะกับท่านปู่ นี่มิใช่ผิดหลักการปกติหรือไร หรือจริงๆ แล้วพวกเขาเจตนาใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็สามารถอธิบายได้เพียงเรื่องเดียว…ท่านพ่ออยากไปจากจวนจงอี้ป๋อ ทั้งยังได้รับการยินยอมจากท่านปู่ พ่อลูกจึงแสดงละครฉากหนึ่งขึ้น
คาดว่าท่านพ่อคงจำใจออกจากจวนจงอี้ป๋อเพื่อความก้าวหน้า แน่นอนว่าต้องหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้หวนคืนสู่เมืองหลวงอย่างสง่าสมเกียรติ
เงียบไปครู่หนึ่งเหลียนอวี้จูก็เอ่ยต่อโดยไม่รอบุตรสาวพูดขึ้นมา “บัดนี้พ่อเจ้าไม่อยู่แล้ว พวกเราจะอยู่ที่ใดล้วนไม่เป็นปัญหา”
“ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านพ่อจึงตามเรือสินค้าออกทะเลไป” ฉู่อวิ๋นจิ้งคิดไม่ออกเสียที เพราะออกทะเลทำการค้าก็ทำได้แค่หาเงิน ไม่ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อะไร ยามอยู่ต่อหน้าผู้มีอำนาจก็ยังต้องก้มศีรษะค้อมเอวอยู่ดี
เงียบงันไปชั่วอึดใจเหลียนอวี้จูจึงตัดสินใจไม่ตอบตามคำถาม “จิ้งเอ๋อร์ แม่รู้สึกได้ว่าพ่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
ฉู่อวิ๋นจิ้งก็หวังว่าบิดาจะยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน แต่ความจริงนั้นโหดร้าย “อย่างมากที่สุดเรือสินค้าก็ออกทะเลไม่เกินสองปี”
“แม่รู้ แต่…” จวบจนบัดนี้สามีก็ยังไม่เคยมาเข้าฝัน นางจึงไม่เชื่อว่าเขาตายจากไปแล้ว แต่หากอาศัยเพียงข้อนี้ก็ไม่มีเหตุผลใดมาคัดค้านได้
“ข้าหวังว่าฟ้าจะเห็นใจ ความจริงท่านพ่อเพียงติดอยู่ที่ใดสักแห่งยังไม่อาจกลับมาอยู่ข้างกายพวกเราได้ในตอนนี้เท่านั้น” ต่อให้ความหวังมีน้อยนิดเพียงใด แต่นี่ก็เป็นความปรารถนาของนางผู้เป็นบุตรสาว
ได้ฟังดังนั้นเหลียนอวี้จูจึงอดถามขึ้นด้วยความกังวลใจไม่ได้ “หากพ่อเจ้าติดอยู่ที่ใดจริงๆ ทำให้ไม่อาจกลับมาอยู่ข้างกายพวกเราได้ เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี”
“ข้าจะหาคนไปสืบข่าวเกี่ยวกับเรือสินค้าที่ออกทะเลเมื่อสองปีที่แล้วก่อน” ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่ใช่ไม่เคยคิดจะหาร่องรอยของบิดามาก่อน ทว่าในมือนางไม่มีคนที่ใช้ให้ไปสืบข่าวได้เลย ทั้งยังไม่มีเส้นสาย เพียงแค่สืบหาข่าวของเรือสินค้าที่ออกทะเลไปเมื่อสองปีก่อนก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นสืบจากที่ใด
เหลียนอวี้จูผงะ จากนั้นร่างกายก็อ่อนยวบดุจวิญญาณหลุดออกจากร่าง ฉู่อวิ๋นจิ้งเห็นแล้วรีบเข้าไปประคองนาง
“ท่านแม่เป็นอะไรไปเจ้าคะ”
ผ่านไปครู่หนึ่งเหลียนอวี้จูจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ “ช่างเถิด กระทั่งพ่อเจ้าออกทะเลไปตอนใดพวกเรายังไม่รู้ นับประสาอะไรกับการสืบข่าวคราว”
“ต่อให้ไม่ง่าย แต่ก็ลองดูได้นี่เจ้าคะ”
“หากพ่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ แม่เชื่อว่าเขาจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคนับหมื่นพันกลับมาอยู่ข้างกายพวกเราได้แน่”
“แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านพ่อเองก็รู้ว่าพวกเรารอเขากลับมาอยู่กันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว” ฉู่อวิ๋นจิ้งหยุดไปเล็กน้อย ก่อนกลับไปที่ปัญหาก่อนหน้าอีก “หากมีโอกาสท่านแม่อยากกลับเมืองหลวงหรือไม่”
เหลียนอวี้จูขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางเองก็ทุกข์ใจกับปัญหาเรื่องนี้เช่นกัน เดิมทีฉู่อวิ๋นจิ้งยังนึกว่ามารดาจะไม่ตอบเสียแล้ว ทว่าจู่ๆ นางก็ตอบว่า “ถึงแม่จะไม่ชอบเมืองหลวง แต่ที่นั่นก็เป็นสถานที่ที่พ่อเจ้าแม้แต่นอนก็ยังฝันอยากจะกลับไป”
ฉู่อวิ๋นจิ้งเข้าใจความรู้สึกของมารดา จากบ้านเกิดแต่งไปที่เมืองหลวง ซ้ำยังแต่งกับลูกอนุภรรยาที่ถูกคนอื่นๆ ในบ้านรังแกกดขี่ ใช้ชีวิตผ่านมาอย่างทรมานและยากลำบากหลายปีกว่าจะหลุดพ้นออกมาได้อย่างยากเย็น ไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวอีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามารดาแทบอยากหนีไปให้ไกลแสนไกลเสียให้ได้ ขณะที่ความรู้สึกของบิดานั้นกลับแตกต่างออกไป เขาหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ลืมตาอ้าปากต่อหน้าผู้คนที่เคยดูถูกเขา
“ท่านแม่แต่งงานกับท่านพ่อได้อย่างไรกัน” นี่เป็นเรื่องที่ฉู่อวิ๋นจิ้งอยากรู้มาตลอด
“ยายของเจ้าหวังให้แม่แต่งไปอยู่เมืองหลวง ตอนอายุสิบสี่เคยส่งแม่ไปอยู่กับท่านทวด ท่านทวดของเจ้าเคยเป็นรองหัวหน้าในสำนักศึกษาหลวง ตำแหน่งไม่สูง กระนั้นก็มีขุนนางและคหบดีมากมายยินดีเกี่ยวดองด้วย ถึงอย่างนั้นตาของเจ้าก็เป็นเพียงรองนายอำเภอ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ยอมให้ลูกภรรยาเอกของตนตบแต่งภรรยาที่ไม่มีอำนาจอะไร ตามหานานถึงหนึ่งปี จนแล้วจนรอดการแต่งงานนี้ก็ยังหาทางสรุปไม่ได้ จนวันหนึ่งแม่พบกับม้าตื่นบนถนนเข้า พ่อเจ้าได้ช่วยชีวิตแม่ไว้ ย่าของเจ้าทราบเรื่องนี้จึงส่งคนมาทาบทามสู่ขอ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งได้ยินก็เข้าใจได้ในทันที ท่านย่าไม่ต้องการให้ลูกอนุได้สู่ขอภรรยาที่มีอำนาจแน่ ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมถูกผู้คนครหาว่านางปฏิบัติไม่ดีกับลูกอนุ และมารดาของนางก็เหมาะจะเป็นภรรยาของลูกอนุที่ไม่ดีไม่แย่ในใจของนาง เมื่อมีบุญคุณช่วยชีวิต แน่นอนว่าต้องรีบจัดการงานมงคลในครั้งนี้
“แม้ชีวิตในจวนจงอี้ป๋อจะไม่ง่ายดาย แต่แม่โชคดีมากที่ได้แต่งกับพ่อของเจ้า พ่อเจ้าฉลาดเฉลียวปราดเปรื่อง มีความสามารถล้ำเลิศ หากไม่ถูกแม่ใหญ่กับพี่น้องคอยกดขี่ข่มเหง เขาคงก้าวหน้าไปตั้งนานแล้ว คงไม่ได้มาแต่งกับลูกสาวขุนนางตำแหน่งเล็กๆ เช่นแม่”
ฉู่อวิ๋นจิ้งพยายามนึกภาพของบิดาในความทรงจำ เดิมทีเขาเกิดมาหน้าตาหล่อเหลา หากไม่เป็นเพราะแม่ใหญ่กับพวกพี่น้องคอยกีดกันไม่ให้เขาได้แสดงความสามารถ มิฉะนั้นกระทั่งองค์หญิงเขาก็มีโอกาสได้แต่งงานด้วย
“จิ้งเอ๋อร์ พวกเรามีโอกาสกลับเมืองหลวงใช่หรือไม่” เหลียนอวี้จูรู้ว่าบุตรสาวไม่มีทางถามขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
ฉู่อวิ๋นจิ้งใคร่ครวญดูแล้วก็เล่าข้อเสนอของลู่ไป่จวิ้นออกมา
“เจ้าอยากร่วมการค้ากับคุณชายลู่หรือไม่”
“ข้อเสนอที่คุณชายลู่เสนอให้ยังไม่พอที่จะให้ข้าหวั่นไหว แต่นี่ก็เป็นโอกาสดีจริงๆ” ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่ต้องการให้มารดาต้องกดดัน ไม่ว่ามารดาจะชอบเมืองหลวงหรือไม่ คนที่ตัดสินใจก็จะเป็นมารดา
แม้เหลียนอวี้จูไม่อยากกลับเมืองหลวงเพียงใด แต่นางก็ไม่ยอมให้บุตรสาวละทิ้งโอกาสดีๆ เช่นนี้ นางจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบไม่กล่าวคำ
“ดึกมากแล้ว ท่านแม่ควรเข้านอนได้แล้วเจ้าค่ะ” ฉู่อวิ๋นจิ้งประคองมารดาลุกขึ้น แล้วพาส่งกลับห้อง ก่อนที่นางจะเดินเนิบช้าท่ามกลางแสงจันทร์กลับห้องของตนเอง
ตั้งแต่ในเมืองจนถึงนอกเมืองเซียวอวี้เติมเต็มความปรารถนาของกระเพาะและปากอย่างเต็มที่ ในที่สุดเขาก็คิดทำงานทำการบ้างแล้ว
อันดับแรกย่อมเป็นการสืบเรื่องของฉู่ซื่อเหยียให้แน่ชัด เรื่องนี้ไม่ยาก เพราะตั้งแต่ก่อนมาที่เซียงโจวเขาก็ส่งคนมาลอบสืบข่าวก่อนแล้วจนรู้ว่าฉู่ซื่อเหยียมีบ้านอยู่ที่นี่ แต่กลับคิดไม่ถึง เรื่องที่เขาคิดว่าไม่กี่วันก็จัดการได้สำเร็จลุล่วงกลับขมวดแน่นกลายเป็นเงื่อนตายเสียแล้ว…ฉู่ซื่อเหยียออกทะเลไปกับเรือสินค้าตั้งแต่สองปีก่อน จวบจนบัดนี้ยังคงไร้ข่าวคราว…เป็นตายไม่กระจ่าง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าฉู่ซื่อเหยียออกเรือไปกับเรือสินค้าจริงๆ” เซียวอวี้วางคันธนูในมือลง เขาไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกหากฉู่ซื่อเหยียเลือกออกทะเลทำการค้าเพื่อสร้างความร่ำรวย แต่จากข่าวที่เขาสืบมาได้นั้น ฉู่ซื่อเหยียชอบอ่านตำรับตำรา ต่อให้ถูกคนในจวนจงอี้ป๋อกดขี่ข่มเหงก็ยังไม่อาจปกปิดลักษณะประดุจจ้วงหยวนของเขาได้ พูดอีกอย่างก็คือเขาดูไม่คล้ายกับคนที่จะใช้การค้าขายมาเป็นเส้นทางให้อนาคตตนเอง ตรงกันข้าม ฉู่ซื่อเหยียยังสอบเคอจวี่ได้ถึงระดับบัณฑิตจิ้นซื่อแล้ว อาศัยความสามารถของตนเองรับราชการยังดูเป็นเรื่องที่เขาควรทำมากกว่า
เกาฉีพยักหน้าตอบว่า “ได้ยินว่าเป็นเช่นนี้ขอรับ เว้นเสียแต่ว่าฉู่ซื่อเหยียจะไม่เปิดเผยเรื่องการเดินทางกับคนในครอบครัว”
เซียวอวี้ขมวดคิ้ว “แต่ข้าจำได้ว่าสองปีมานี้ไม่มีเหตุร้ายที่เกี่ยวกับเรือเกิดขึ้นเลย”
“ข้าก็จำได้ว่าหลายปีมานี้ไม่มีเรืออับปางเกิดขึ้น จึงไปสอบถามที่ท่าเรือ ตรวจรายชื่อผู้ที่ออกทะเลในสองสามปีนี้โดยละเอียด ไม่พบชื่อของฉู่ซื่อเหยียเลย นอกเสียจากฉู่ซื่อเหยียจะใช้นามอื่น”
เซียวอวี้ส่ายหน้าอย่างแน่ใจ “หากฉู่ซื่อเหยียไม่มีทางเลือกจนต้องออกทะเลไปเพื่อความก้าวหน้าจริง เขาไม่อาจใช้นามอื่นได้ มีฐานะของจวนจงอี้ป๋อระหว่างทางจึงจะสะดวกต่องานเขามากกว่า เห็นทีเขาคงไม่ได้ออกทะเล”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เรือที่ออกทะเลในช่วงเวลานั้นมีอยู่สามลำ ซึ่งต่างก็ทยอยกลับมากันแล้ว ถึงจะมีคนเกิดเรื่องไม่คาดฝันจนกลับมาไม่ได้ แต่หลังจากยืนยันลักษณะอย่างละเอียด คนเหล่านั้นก็ไม่มีใครที่มีลักษณะตรงกับฉู่ซื่อเหยียเลย”
เซียวอวี้ลูบใต้คางไปมาพลางเค้นสมองขบคิดโดยละเอียด “หากพูดว่าออกทะเลทำการค้าแต่กลับไม่ได้ขึ้นเรือ เป็นไปได้มากว่าที่ที่จะไปไม่สามารถพูดออกมาตรงๆ ได้ แต่สองปีแล้วยังไม่กลับมา ความเป็นไปได้แรกคือตายด้วยเหตุไม่คาดฝัน ความเป็นไปได้ที่สองคือไม่อาจจากมาได้ หากเป็นอย่างหลังเกรงว่าสถานการณ์คงจะซับซ้อนกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้แล้ว”
เกาฉีครุ่นคิดตามผู้เป็นนาย ก่อนจะได้ข้อสรุปเพียงอย่างเดียว “เรื่องนี้คงสืบข่าวได้ไม่ง่าย เพราะอย่างไรก็ผ่านไปสองปีแล้ว”
“แน่นอนว่าไม่ง่าย แต่ก็ต้องสืบข่าวให้ชัดเจน”
“เบาะแสของฉู่ซื่อเหยียที่ขาดช่วงไปควรเริ่มค้นจากที่ใดขอรับ”
“หากภรรยาและลูกของฉู่ซื่อเหยียยังอยู่ที่นี่ เบาะแสก็ไม่หายไปไหนหรอก” เซียวอวี้เอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ
เมื่อเอ่ยถึงครอบครัวของฉู่ซื่อเหยียเกาฉีก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “คุณชายขอรับ พ่อครัวที่คุณชายลู่ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากเพื่อดึงมาร่วมงานนั้นเป็นไปได้มากว่าจะเป็นบุตรสาวคนโตของฉู่ซื่อเหยียขอรับ”
“อะไรนะ!” เซียวอวี้ตกใจจนแทบตกจากเก้าอี้
“ข้าไปสืบข่าวที่บ้านของฉู่ซื่อเหยียมา ทราบจากบ้านข้างๆ ว่าไม่นานมานี้นายหญิงสี่สกุลฉู่ได้พาบุตรชายบุตรสาวย้ายไปอยู่ในเมืองแล้ว ว่ากันว่าหลังจากฉู่ซื่อเหยียจากไป บ้านสกุลฉู่ก็ตกต่ำย่ำแย่ลงทุกที เมื่อถึงยามที่อับจนหนทาง จู่ๆ คุณหนูใหญ่สกุลฉู่ก็ได้พบกับคนของหอจ้วนเซียน ถึงขนาดที่คนจากที่นั่นออกหน้าซื้อบ้านในเมืองให้ครอบครัวสกุลฉู่ด้วยตนเอง พอข้าถามเรื่องนี้กับหลงจู๊เหอ จึงได้รู้ว่าตัวเขามิได้สนิทสนมกับคุณหนูใหญ่สกุลฉู่ แต่เป็นคุณชายลู่ที่เป็นเถ้าแก่ของหอจ้วนเซียนช่วยคุณหนูใหญ่สกุลฉู่ซื้อบ้านในเมือง”
“คุณหนูใหญ่สกุลฉู่?”
“ขอรับ หลงจู๊เหอบอกว่าคนที่ขายสูตรอาหารให้หอจ้วนเซียนก็คือคุณหนูใหญ่สกุลฉู่”
ครู่ใหญ่เซียวอวี้ถึงตั้งสติได้ เขารู้สึกมาตลอดว่าลู่ไป่จวิ้นกล่าววาจาดูมีลับลมคมในอยู่ตลอด ที่แท้คนผู้นั้นก็เป็น ‘นาง’ มิใช่ ‘เขา’ แม้ในสายตาเขาจะมองสตรีเป็นตัวปัญหา ทั้งเขายังเกลียดการติดต่อกับพวกนางเป็นที่สุด ทว่าครั้งนี้เขาไม่พูดไม่ได้เลยว่า “หากเป็นนางจริง ก็ไม่แปลกที่อาจวิ้นจะยืนกรานขอร่วมงานกับนางให้ได้”
“แม่นางฉู่ที่พวกเราเจอที่ร้านอาหารสกุลจางก็คือแม่นางฉู่จริงๆ หรือนี่” เกาฉียิ่งคิดยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ แม่ครัวที่กำราบอาการเลือกกินของคุณชายได้นั้นกลับกลายเป็นฮูหยินซื่อจื่อในอนาคต?!…แม้คุณชายจะไม่ยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ แต่ก่อนที่จะรับของแทนใจคืนกลับมา แม่นางฉู่ก็ยังถือว่าเป็นภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้าของคุณชาย
“ไปเยือนถึงที่ก็รู้แล้ว” จู่ๆ เซียวอวี้ก็รู้สึกหัวใจเต้นแรง พบหน้ากันสองครั้งเขาก็มีความสงสัยใคร่รู้ในตัวนางอย่างแท้จริงแล้ว แต่เนื่องจากเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเขาจึงไม่เก็บมาใส่ใจนัก คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นบุตรสาวคนโตของฉู่ซื่อเหยีย เป็นภรรยาในนามที่ยังไม่แต่งเข้าสกุลของเขา
“ข้ายังไม่ได้สืบว่าสกุลฉู่ย้ายบ้านไปอยู่ที่ใดเลยขอรับ” เกาฉีเอ่ยขึ้น
“อาจวิ้นต้องรู้อย่างแน่นอน”
“ข้าจะไปถามคุณชายลู่เดี๋ยวนี้ขอรับ” เกาฉีรีบหมุนตัวออกจากลานฝึกยุทธ์ไป
เซียวอวี้ยกคันธนูในมือขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลง เขาใช้หูยืนยันเป้าหมาย จากนั้นก็เล็งให้แม่น ลูกธนูถูกยิงออกไป ก่อนจะตรึงเหรียญอีแปะที่แขวนบนต้นพุทราไว้กับกำแพง…อาจวิ้นเห็นเข้าคงต้องสบถด่าเป็นแน่
ตั้งแต่เซียวอวี้มาอยู่ที่นี่กำแพงลานฝึกยุทธ์ก็ถูกเขาเล่นงานจนเป็นรอยทั่วไปหมด น่าขัดหูขัดตาโดยแท้ เขาจึงเสนอให้แขวนเป้าฟางให้ทั่วเสียเลย แต่อาจวิ้นกลับมองว่ามันน่าเกลียดเกินไป ยืนกรานไม่เอา ทั้งยังสั่งไม่ให้เขาใช้เหรียญอีแปะระบายอารมณ์อีก หากมีฝีมือก็ให้ยิงนกที่บินบนท้องฟ้า ทว่าที่นี่มิใช่ป่าเขาเสียหน่อย วันหนึ่งเขาไม่เห็นจะมีนกบินผ่านมาสักตัว แน่นอนว่าเขาเลยได้แต่ยิงเหรียญอีแปะต่อไป
แม้ตามหลักการมาเยี่ยมเยียนถึงบ้านควรจะส่งเทียบมาก่อน แต่บุรุษผู้เป็นเจ้าบ้านไม่อยู่เช่นนี้ควรจะส่งเทียบให้ผู้ใดเล่า คิดอยู่นานในที่สุดเซียวอวี้ก็ขอข้ามขั้นตอนนี้ไป เขาใช้ฐานะที่อาวุโสน้อยกว่ามาเยือนถึงบ้านโดยตรง บุรุษเจ้าบ้านไม่อยู่ก็ต้องพบสตรีเจ้าบ้าน ทว่านายหญิงสี่สกุลฉู่ไม่ถนัดการรับรองแขก ยามนี้แม่นางฉู่ซึ่งเป็นผู้นำครอบครัวที่แท้จริงจึงอยู่ข้างกายมารดาของนางด้วย
ในที่สุดเซียวอวี้ก็ได้ยืนยันฐานะที่แท้จริงของนาง เขาลอบถอนหายใจโล่งอกอย่างไม่มีสาเหตุ ซึ่งตัวเขาไม่แน่ชัดว่านี่เป็นความรู้สึกใดกันแน่ รู้สึกว่าพอพวกเขามีความเกี่ยวพันอันน่าเหลือเชื่อเช่นนี้แล้ว…ช่างดียิ่งนัก
“ข้าบุ่มบ่ามมาขอพบเอง ขอฮูหยินโปรดอภัยด้วย” เซียวอวี้เปลี่ยนท่าทียโสแข็งกร้าวในยามปกติมาเป็นอ่อนน้อมมีมารยาท
“ไม่ทราบวันนี้อู่หยางโหวซื่อจื่อมาเยือนด้วยเหตุใด” เหลียนอวี้จูนั่งไม่ติดอย่างเห็นได้ชัด นางเหลือบมองฉู่อวิ๋นจิ้งโดยจิตใต้สำนึก ทว่าบุตรสาวกลับไม่มีท่าทีจะออกหน้าแต่อย่างใด เพียงยืนรับใช้อยู่ด้านหลังอย่างเคารพนอบน้อมประหนึ่งสาวใช้ นางจึงได้แต่ถอนสายตากลับมา
ในยามนี้ฉู่อวิ๋นจิ้งนับว่าเป็นผู้นำครอบครัวอย่างแท้จริง เรื่องน้อยใหญ่ในบ้านล้วนมีนางเป็นผู้ตัดสินใจทั้งสิ้น ทว่านางยังคงรู้กาลเทศะยิ่ง หากไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่าแขกที่มาใส่ใจธรรมเนียมมากมายเพียงใดและนางยังเป็นกังวลว่ามารดาจะรับมือแขกที่มาในวันนี้ไม่ไหว นางคงไม่มีทางมายืนอยู่ที่นี่
“ฮูหยินเคยได้ยินฉู่ซื่อเหยียเอ่ยถึงเรื่องที่เคยช่วยพ่อข้าเมื่อสี่ปีก่อนหรือไม่” เซียวอวี้ชำเลืองมองฉู่อวิ๋นจิ้งแวบหนึ่งคล้ายไม่ตั้งใจ นางในวันนี้ดูแตกต่างกับสองครั้งก่อนหน้าที่พบกัน…แลดูชดช้อยนุ่มนวลขึ้น
เหลียนอวี้จูพลันตกตะลึง “ท่านพี่เคยช่วยอู่หยางโหวไว้?!”
“ขอรับ สี่ปีก่อนเกิดอุทกภัยที่เจียงหนานท่านพ่อเดินทางมาช่วยเหลือชาวบ้านที่เจอภัยพิบัติที่เซียงโจวพร้อมกับองค์ชายสาม คิดไม่ถึงว่าจะถูกโจรสลัดจู่โจม เคราะห์ดีที่ฉู่ซื่อเหยียออกหน้าฝ่าวงล้อมเข้ามาช่วยเหลือเอาไว้”
“…สี่ปีก่อนสามีข้าอยู่ที่เซียงโจวระยะหนึ่งจริงๆ แต่เขาไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องที่เคยช่วยอู่หยางโหวไว้เลย” เนื่องจากพ่อสามียกบ้านในเซียงโจวให้สามีของนาง เขาจึงเดินทางมาที่เซียงโจว คาดไม่ถึงว่าจะมาเจออุทกภัยที่เจียงหนานเข้าพอดี ซ้ำยังเกิดเรื่องโจรสลัดลอบโจมตีอีก สุดท้ายจึงพักอยู่ที่เซียงโจวนานถึงครึ่งปีกว่า
“จากคำพูดของท่านพ่อข้า ฉู่ซื่อเหยียคงเห็นว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยดุจยกฝ่ามือ ไม่ควรนับมาพูดถึง เพราะเหตุนี้ฉู่ซื่อเหยียจึงไม่ได้เล่าเรื่องนี้ต่อฮูหยินกระมัง”
“ในเมื่อเป็นเรื่องเล็กน้อยดุจยกฝ่ามือ ท่านพี่คงไม่เก็บมาใส่ใจ แน่นอนว่าคงไม่คิดเอ่ยเรื่องนี้กับข้า” สามีของนางเป็นคนเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วการช่วยเหลือผู้อื่นล้วนมิได้ทำเพื่อสิ่งตอบแทนจากอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะไม่อยากผิดต่อมโนธรรมในใจ ดังนั้นหากเขาไม่มีความสามารถพอที่จะช่วย เขาก็จะไม่เสนอตัวเป็นอันขาด
เวลานี้เซียวอวี้จำต้องเอ่ยเข้าประเด็นตรงๆ “ตอนนั้นเพื่อตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตท่านพ่อได้หมั้นหมายข้ากับบุตรสาวคนโตของฉู่ซื่อเหยีย ทั้งฝ่าบาทยังทรงนำหยกมังกรครึ่งซีกที่พกติดตัวมอบให้ฉู่ซื่อเหยียแทนของแทนใจอีกด้วย”
เหลียนอวี้จูงงงันไปทันใด จิ้งเอ๋อร์มีสัญญาหมั้นหมายกับซื่อจื่อ?
“ที่ซื่อจื่อมาเยือนวันนี้ก็เพื่อนำของแทนใจกลับคืน ถอนการหมั้นหมายครั้งนี้ใช่หรือไม่” ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่อาจทำตัวเป็นผู้ฟังได้อีกต่อไป ด้วยเกรงว่ามารดาจะไม่อาจตัดใจจากการหมั้นหมายนี้ และนางก็ไม่ชอบวิธีการตอบแทนบุญคุณด้วยเรื่องสำคัญในชีวิตเช่นนี้เป็นที่สุด แม้จะบอกว่ายุคนี้ไม่ใช่ยุคที่เลือกคู่ครองได้อย่างอิสระ ทั้งเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานก็ล้วนเป็นไปตามการตัดสินใจของบิดามารดาและวาจาของแม่สื่อ ทว่าเมื่อโยงด้วยการตอบแทนบุญคุณเช่นนี้นางก็รู้สึกเสียหน้าพิกล นางไม่ยินยอมเสียหรอก
เซียวอวี้ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเลี่ยงหนักเป็นเบา “ทีแรกเป็นเพราะท่านพ่อข้าไม่มีของมีค่าติดตัว จึงต้องหยิบยืมของแทนใจจากองค์ชายสาม…ซึ่งก็คือฝ่าบาทในตอนนี้ บัดนี้ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะนำหยกมังกรครึ่งซีกคืนแล้ว”
ฝ่าบาท…ของแทนใจนี้ช่างมีค่ามากเสียเหลือเกิน น่าเสียดายที่พวกเขารับไว้ไม่ได้ ฉู่อวิ๋นจิ้งหันไปทางเหลียนอวี้จู “ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าหยกมังกรครึ่งซีกนั้นอยู่ที่ใด”
เมื่อได้สติกลับมาเหลียนอวี้จูก็ส่ายศีรษะอย่างมึนงง “แม่ไม่เคยได้ยินเรื่องหยกมังกรมาก่อน”
“ท่านพ่อไม่เคยเอ่ยถึง ท่านแม่ก็ไม่ทราบ ขอเรียนถามซื่อจื่อได้หรือไม่ว่าหยกมังกรนี้มีหน้าตาอย่างไร เพื่อความสะดวกให้พวกเราค้นหาจากสิ่งของที่ท่านพ่อทิ้งไว้ที่บ้าน”
เซียวอวี้ยื่นมือไปทางเกาฉีแล้วรับแบบร่างหยกมังกรมา เขายื่นให้ฉู่อวิ๋นจิ้ง ก่อนที่นางจะส่งต่อไปยังมือเหลียนอวี้จู
เหลียนอวี้จูมองอย่างละเอียดอยู่หลายครั้ง ก่อนส่ายหน้า “แม่ไม่เคยเห็นมาก่อน”
ในเมื่อท่านแม่ไม่เคยเห็น ก็หมายความว่าในบ้านไม่มีของเช่นนี้แน่ แต่ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่อยากถูกผู้อื่นเหน็บแนมเอาได้ นางจึงเอ่ยอย่างจริงใจที่สุดว่า “ขอซื่อจื่อให้เวลาข้าสามวัน หากหาพบแล้วข้าจะส่งคืนซื่อจื่อโดยเร็วแน่นอน”
“ลำบากแม่นางฉู่แล้ว หากมีข่าวคราวใดก็ส่งไปที่หอจ้วนเซียนได้เลย” เซียวอวี้รู้สึกว่านี่เป็นการกระทำที่ไม่จำเป็น แต่ก็ไม่อาจละทิ้งความเป็นไปได้แม้เพียงนิด
ฉู่อวิ๋นจิ้งพยักหน้า จากนั้นจึงเดินไปส่งพวกเขาถึงประตูชั้นในอย่างเคารพนบนอบ ก่อนจะให้ลุงหลี่ไปส่งแขก
หลังออกจากบ้านสกุลฉู่กลับมาที่คฤหาสน์จู๋ย่วนแล้ว เกาฉีก็เอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจ “คุณชาย หยกมังกรครึ่งซีกนั่นคงจะอยู่กับตัวฉู่ซื่อเหยียแน่ขอรับ”
เซียวอวี้พยักหน้า “ข้าควรเดาได้แต่แรก ฉู่ซื่อเหยียไม่มีทางมอบของแทนใจที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้ให้ผู้ใด”
“บ้านสกุลฉู่เชื่อว่าฉู่ซื่อเหยียออกทะเลทำการค้าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับ เบาะแสของฉู่ซื่อเหยียย่อมขาดหายไปอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงวันนี้การจะตามหาหยกมังกรครึ่งซีกให้พบนับเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรโดยแท้”
เซียวอวี้คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้จัดการได้ยากจริงๆ ถึงกระนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือตามหาฉู่ซื่อเหยียให้พบ “ถึงฉู่ซื่อเหยียจะไม่ได้ออกทะเล แต่เขาก็ต้องไปที่ใดสักที่หนึ่งแน่”
เกาฉีเอ่ยขึ้นอย่างเห็นพ้อง “ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ขอรับ คนไม่อาจหายสาบสูญไปโดยปราศจากต้นสายปลายเหตุ”
เซียวอวี้เดินกลับไปกลับมาพร้อมกับใคร่ครวญโดยละเอียด “การหายสาบสูญไปมีสองประเภท ประเภทแรกคือตาย อีกประเภทคือไปทำภารกิจลับอยู่ที่ใดสักที่หนึ่ง ข้าคิดว่าอย่างหลังดูมีความเป็นไปได้มากกว่า มิฉะนั้นฉู่ซื่อเหยียคงไม่ต้องโกหกครอบครัวว่าออกทะเลไปทำการค้า แต่นี่ก็ทำให้รู้ได้อย่างหนึ่ง เขาน่าจะคิดว่าตนเองสามารถกลับมาได้ภายในหนึ่งถึงสองปี ย่อมคิดไม่ถึงว่าจะติดอยู่ที่นั่นจนกลับมาไม่ได้เช่นนี้”
“หาก…หากว่าตายไปแล้วเล่าขอรับ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเขา ไม่ก็อาจถูกฆ่า…คุณชาย เรื่องกล่องกลไกถูกแพร่งพรายออกไปตั้งแต่แรกใช่หรือไม่” ท่าทางของเกาฉีเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันใด
ไม่ว่าฝ่าบาทหรือเซียวอวี้ย่อมไม่เคยคิดว่าเรื่องของกล่องกลไกจะหลุดออกไปตั้งแต่แรก เพราะอย่างไรเสียฉีอ๋องก็ต้องเก็บกล่องกลไกเอาไว้เพื่อรักษาชีวิต ทันทีที่มีคนรู้ว่าด้านในกล่องกลไกซุกซ่อนตราพยัคฆ์กับสมุดรายชื่อทหารเรือเอาไว้ หากฝ่าบาทล่วงรู้เข้าย่อมนำภัยมาถึงตัวแน่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องกล่องกลไกจะไม่มีวันเล็ดลอดออกไป เพราะกล่องกลไกนี้อยู่ในมือฝ่าบาทและข้างกายฝ่าบาทย่อมจะมีสายข่าวแฝงตัวอยู่ไม่น้อย
“หากเป็นเช่นนี้ข้างกายฝ่าบาทจะต้องมีคนของจิ้งอ๋องผู้เฒ่าอยู่”
“จิ้งอ๋องผู้เฒ่า?”
“จิ้งอ๋องผู้เฒ่าคือน้องชายของไท่จู่กับฉีอ๋อง ซึ่งประจักษ์ชัดในความขัดแย้งระหว่างไท่จู่กับฉีอ๋องเป็นอย่างดี ไท่จู่ถึงขั้นสงสัยว่าครานั้นที่ฉีอ๋องแกล้งตายจนหลบหนีออกไปได้ก็อาจเกี่ยวข้องกับจิ้งอ๋องผู้เฒ่านี้ด้วย และก็เป็นเขาที่คอยยุแยงฉีอ๋องอย่างลับๆ หากมีตราพยัคฆ์ที่ถูกปลอมแปลงขึ้นจริงๆ ก็ต้องมาจากคนที่ใกล้ชิดฉีอ๋องมากที่สุด ซึ่งเคยได้เห็นตราพยัคฆ์ของจริงมาก่อนและใช้โอกาสนี้ปลอมแปลงตราพยัคฆ์ขึ้นมา ใช้ของปลอมก่อความวุ่นวายขึ้นจริง ซึ่งคนที่สนิทกับฉีอ๋องมากที่สุดก็คือจิ้งอ๋องผู้เฒ่า”
“เดิมทีจิ้งอ๋องผู้เฒ่าก็ปลีกตัวไม่แก่งแย่งชิงอำนาจกับผู้ใด เหตุใดจึงต้องการองครักษ์ประตูมังกรเล่าขอรับ” เกาฉียังคงไม่เข้าใจ
เซียวอวี้หัวเราะขึ้นอย่างเยาะหยัน มีเชื้อพระวงศ์คนใดที่ไม่สนใจอำนาจชื่อเสียงจริงๆ ด้วยหรือ “จิ้งอ๋องผู้เฒ่ามิได้อยากแยกตัวจากการแก่งแย่งชิงดีนี้ด้วยใจจริง แต่เพราะไม่มีความสามารถพอต่างหาก แม้แต่ฉีอ๋องยังจำเป็นต้องถอนตัวไปเลย จิ้งอ๋องผู้เฒ่าเองจะว่าเป็นสายบุ๋นก็ไม่ใช่ เป็นสายบู๊ก็ไม่เชิง หากไม่เป็นอ๋องเรื่อยเฉื่อยผู้หนึ่งยังจะทำอะไรได้อีก แต่ก็ยากรับรองว่าเขาจะไม่มีแผนการอื่นหรือไม่ต้องใจองครักษ์ประตูมังกรเลย บางทีเขาอาจคอยยุแยงส่งเสริมอยู่ด้านข้างเพื่อยืมมือจิ้งอ๋องผู้เฒ่าควบคุมองครักษ์ประตูมังกรก็ได้”
แม้บอกว่าใครๆ ต่างก็รู้ว่าองครักษ์ประตูมังกรหายไปพร้อมกับฉีอ๋องแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อว่าฉีอ๋องจะหักใจละทิ้งอำนาจในมือได้จริงๆ แต่นอกจากฉีอ๋องแล้วยังจะมีใครอื่นที่รู้ร่องรอยขององครักษ์ประตูมังกรอีก เมื่อใคร่ครวญดูก็รู้ว่าคนที่ฉีอ๋องสนิทด้วยที่สุดก็คือจิ้งอ๋องผู้เฒ่า หากต้องการตามหาองครักษ์ประตูมังกร ก็ควรจะไปหาจิ้งอ๋องผู้เฒ่าอย่างไม่ต้องสงสัย
กล่าวได้ว่าแม้จิ้งอ๋องผู้เฒ่าจะไม่มีความสามารถพอในการแย่งชิงอำนาจ ทว่าเขาก็ยังไม่หมดโอกาสเสียทีเดียว แน่นอนว่าเขาย่อมกระหายจะได้อำนาจที่มากขึ้น ขอแค่มีคนจงใจจุดประกายให้เขา ความทะเยอทะยานของเขาย่อมต้องลุกโชนขึ้นแน่ กระนั้นจิ้งอ๋องผู้เฒ่ากลับเป็นคนไร้ฝีมือผู้หนึ่ง เป็นไปได้มากว่าท้ายที่สุดตัวเขาจะถูกผู้อื่นหลอกใช้เอาได้
เกาฉีเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่เขายังไม่เข้าใจ “หากตราพยัคฆ์ปลอมชิ้นนั้นอยู่ในมือจิ้งอ๋องผู้เฒ่า เขาก็ไม่จำเป็นต้องได้ตราพยัคฆ์ของจริงเลยสักนิด”
“ตั้งแต่สี่ปีก่อนองครักษ์ประตูมังกรก็ไม่เคยปรากฏกายขึ้นอีก เห็นได้ชัดว่าตราพยัคฆ์ปลอมไม่อาจงานใช้ได้โดยง่าย และต่อให้เปลี่ยนของปลอมเป็นของจริงอย่างไร สุดท้ายก็ยังเป็นของปลอมอยู่ดี เมื่อตราพยัคฆ์ของจริงปรากฏขึ้น ตราพยัคฆ์ที่เป็นของปลอมก็จะถูกเปิดเผยและทำให้ใช้การไม่ได้อีกต่อไป”
“มาวันนี้กล่องกลไกที่ซ่อนตราพยัคฆ์อยู่ในความครอบครองของฝ่าบาท ต่อให้จิ้งอ๋องผู้เฒ่าได้หยกมังกรครึ่งซีกจากมือของฉู่ซื่อเหยียไป แต่ถ้าไม่ได้หยกมังกรอีกครึ่งซีกจากฝ่าบาท เขาก็ไม่มีโอกาสเปิดกล่องกลไก…” สีหน้าของเกาฉีพลันเปลี่ยนไปทันที เมื่อคิดถึงสถานการณ์ที่จัดการยากที่สุดขึ้นมาได้ “แต่หากทำลายหยกมังกรครึ่งซีกในมือของฉู่ซื่อเหยีย ฝ่าบาทก็ไม่มีทางเปิดกล่องกลไกได้ตลอดไป”
เซียวอวี้ไตร่ตรองแล้วก็ส่ายหน้าเอ่ย “กล่องกลไกเพิ่งตกมาอยู่ในมือฝ่าบาทเมื่อสองปีก่อน และยามนั้นฉู่ซื่อเหยียก็ได้พาลูกและภรรยามาที่เซียงโจวแล้ว ก่อนจะใช้ข้ออ้างออกทะเลทำการค้าแยกตัวไป หากเป็นเช่นนี้การที่ฉู่ซื่อเหยียหายตัวไปก็ไม่ควรเกี่ยวข้องกับหยกมังกรครึ่งซีก”
“นี่ก็จริงขอรับ หากฝ่าบาทไม่ส่งคุณชายมาที่เซียงโจว คุณชายก็คงไม่รู้ว่าหยกมังกรครึ่งซีกอยู่ที่ตัวฉู่ซื่อเหยีย คนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่แน่ว่าอาจยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ”
“นี่ก็ไม่แน่เสมอไป ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ทรงมอบกล่องกลไกให้ฮ่องเต้ คนจากฝ่ายต่างๆ ก็จับตาดูเรื่องนี้ไม่วางตา ทว่าฝ่าบาทยังทรงไร้ท่าที ในช่วงแรกคาดเดาได้ว่าเพราะพระองค์ทรงขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน ทรงยุ่งกับการสร้างความมั่นคงในราชสำนัก แต่พอหลายเดือนผ่านพ้นไปฝ่าบาทกลับยังคงอดทนไม่เปิดกล่องกลไกเสียอย่างนั้น เช่นนี้ผิดหลักการยิ่ง ย่อมต้องลอบตรวจสอบว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ทรงเปิดกล่องกลไก เรื่องที่ฝ่าบาททรงมีหยกมังกรเพียงครึ่งซีก ส่วนอีกครึ่งซีกยกให้ฉู่ซื่อเหยียเป็นของแทนใจนั้นย่อมไม่ยากที่จะสืบมาได้”
“หากเป็นเช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าพวกเขาอาจเคยส่งคนมาหาฉู่ซื่อเหยียที่เซียงโจวแล้ว”
เซียวอวี้พยักหน้าเห็นด้วย “พวกเขาจะต้องได้ยินว่าฉู่ซื่อเหยียออกทะเลไปทำการค้าแน่ เมื่อค้นบ้านสกุลฉู่แล้วไม่พบอะไร จึงได้แต่รอให้ฉู่ซื่อเหยียกลับมา แต่น่าเสียดายที่ตลอดมาล้วนไร้ข่าวคราวของฉู่ซื่อเหยีย ในตอนนี้เมื่อข้ามาด้วยตนเอง ต่อให้มีอาจวิ้นบังหน้า พวกเขาก็คงมั่นใจว่าการปรากฏตัวของข้าเกี่ยวข้องกับหยกมังกรครึ่งซีกนั่น”
“พวกเขาต้องส่งคนมาจับตาดูคุณชายแน่ขอรับ”
“ฐานะของข้าเดิมทีก็ดึงดูดสายตาคนอยู่แล้ว ถึงไม่ทำงานให้ฝ่าบาทก็มีคนสนใจทุกฝีก้าวทุกความเคลื่อนไหวอยู่ดี ดังนั้นต่อไปจะไปที่ใดก็ระวังตัวไว้สักหน่อย”
“ขอรับ แล้วเรื่องนี้ต้องกราบทูลฝ่าบาทหรือไม่”
หลังจัดระเบียบความคิดครู่หนึ่งเซียวอวี้ก็เอ่ยว่า “ให้เจียงจิ่นเดินทางไปด้วยตนเองก่อนเที่ยวหนึ่ง แม้เรื่องจิ้งอ๋องผู้เฒ่าจะเป็นแค่การคาดเดาของพวกเรา แต่ข้ามั่นใจว่าตราพยัคฆ์ปลอมจะต้องอยู่ที่เขาแน่ หากจิ้งอ๋องผู้เฒ่ารู้ว่าหยกมังกรอีกครึ่งซีกอยู่ในมือฉู่ซื่อเหยีย ย่อมมีโอกาสที่เขาจะส่งคนออกตามหาฉู่ซื่อเหยียและทำลายหยกมังกรครึ่งซีกในมือเขาไป เรื่องนี้จำต้องเตือนฝ่าบาทก่อน”
“ขอรับ ข้าจะให้เจียงจิ่นกลับเมืองหลวงทันที”
“อีกอย่างเจ้าอย่าได้ออกหน้าสืบค้นเรื่องของฉู่ซื่อเหยียเอง ส่งต่อเรื่องนี้ให้หลินคุนเป็นผู้จัดการ ฉู่ซื่อเหยียออกจากบ้านไปหนนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นบ้างต้องตรวจสอบมาให้ละเอียด แม้เวลาจะผ่านไปสองปีก็ยังต้องค้นหาร่องรอยให้ได้ เบาะแสเล็กน้อยก็ห้ามปล่อยไป ฮูหยินของฉู่ซื่อเหยียเองก็ห้ามปล่อยไป คิดวิธีสืบหาความจริงให้ได้ ไม่แน่นางอาจรู้อะไรแต่ไม่ยอมพูดออกมา”
เมื่อเอ่ยถึงฉู่ซื่อเหยียผู้นี้แล้ว นอกจากการเล่าเรียนอ่านตำราแล้วสิ่งที่คนอื่นประจักษ์ชัดที่สุดก็คือเรื่องรักภรรยา เมื่อเขารักภรรยามากเช่นนี้ก็ไม่ควรปกปิดจุดมุ่งหมายที่แท้จริงกับภรรยา
เกาฉีขานรับแล้วรีบออกไปจัดการ
ฉู่อวิ๋นจิ้งชอบกินซาลาเปาเกลียวไหมมาก นี่เป็นขนมนึ่งชนิดหนึ่ง โดยใช้น้ำมันหมู กุ้งแห้ง ขาหมูรมควัน ผงพริกหอม โคนต้นหอมซอย และเกลือนำมาคลุกเคล้าจนกลายเป็นไส้เนื้อข้นๆ จากนั้นก็นวดแป้งซึ่งเป็นส่วนที่ห่อไส้ เสร็จแล้วทาไส้ลงไปหนึ่งชั้น ห่อเป็นรูปกระบอกตัดเป็นท่อนสั้นๆ แต่ละท่อนหั่นเป็นเส้นเล็ก ก่อนจะคลึงออกเป็นแผ่นยาว แล้วค่อยม้วนเป็นก้อน สุดท้ายวางใส่เข่งนึ่งด้วยไฟแรงพอสุกก็เป็นอันเสร็จ
“ข้าเห็นว่าเจ้าเขียนหนังสือสวยขึ้นเรื่อยๆ วันนี้จึงให้เรื่องประหลาดใจเล็กน้อยกับเจ้าอย่างหนึ่ง…ซาลาเปาเกลียวไหมไส้ต้นหอม” ฉู่อวิ๋นจิ้งยังเตรียมชาชะเอมปั้วเหอ* ให้กินคู่กับซาลาเปาเกลียวไหมไส้ต้นหอมแก่น้องชายด้วย ซึ่งชานี้มีสรรพคุณช่วยคลายร้อน ลดร้อนใน เย็นสบาย แก้พิษ ทำให้มีเหงื่อออก
ฉู่เหยียนหลับตาพลางสูดหายใจเข้าอย่างเกินจริง “หอมมาก!”
ฉู่อวิ๋นจิ้งใช้นิ้วเกาจมูกเขาอย่างขบขัน “แค่มีของให้กิน อะไรเจ้าก็ว่าหอมทั้งนั้นกระมัง”
ฉู่เหยียนเบะปากอย่างไม่ยินยอม “หากไม่ใช่ของที่พี่สาวทำ ก็ไม่หอมเลยสักนิดเดียว”
“แน่นอนๆ พี่สาวเก่งที่สุดแล้ว ใครก็เทียบไม่ได้” ฉู่อวิ๋นจิ้งแสร้งทำทีเป็นเชิดหน้าอย่างภูมิใจ
ฉู่เหยียนเห็นแล้วก็ขำพรืดพร้อมกับพยักหน้ารับระรัว
“พี่สาว ซาลาเปาเกลียวไหมไส้ต้นหอมรสชาติเป็นเช่นไรหรือ”
“เค็มกำลังพอดีเลย”
“ข้ากินได้แล้วหรือยัง” ฉู่เหยียนกลืนน้ำลายลงคอ เขาแทบทนรอไม่ไหวอยากจะขยับตะเกียบกินแล้ว
“ได้ ให้ข้าทำให้เจ้าดูก่อนครั้งหนึ่ง” ฉู่อวิ๋นจิ้งใช้ตะเกียบคีบที่ปลายด้านหนึ่งซึ่งมีลักษณะราวกับเป็นเส้นไหมแล้วยกขึ้นมา
“สนุกมากเลย!” ฉู่เหยียนคีบปลายด้านหนึ่งของซาลาเปาเกลียวไหมไส้ต้นหอมเลียนแบบฉู่อวิ๋นจิ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยท่าทางแสนสุข กินไปพลางก็พยักหน้าไปพลาง
“ค่อยๆ กิน อย่าให้ติดคอเล่า” ฉู่อวิ๋นจิ้งจ้องมองน้องชายอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็มีอารมณ์ดื่มด่ำกับเวลาจิบชายามบ่ายของตนเองเสียที ทว่ายังไม่ทันมีอะไรเข้าปากนางก็เหลือบไปเห็นมารดาเหม่อลอยจนเผลอทำน้ำชาหกรดเสื้อผ้าเสียก่อน โดยที่มารดาไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
นับตั้งแต่อู่หยางโหวซื่อจื่อมาที่นี่ ท่านแม่ก็ดูมีเรื่องกังวลในใจ ท่านแม่ปิดบังเรื่องอะไรเกี่ยวกับหยกมังกรอยู่หรือ ฉู่อวิ๋นจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่งฉู่เหยียนให้น้องสาวฉู่อวิ๋นซินเป็นผู้ดูแล แล้วค่อยเขยิบตัวเข้าไปใกล้มารดา นางหยิบถ้วยชาในมืออีกฝ่ายมาถือไว้อย่างแผ่วเบา พร้อมยิ้มละไมพลางเอ่ย “เสื้อท่านแม่เปื้อนหมดแล้ว ข้ากลับไปเปลี่ยนที่ห้องเป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะ”
เหลียนอวี้จูยังไม่ทันหลุดจากภวังค์ ขณะที่กำลังทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ตรงหน้านี้ฉู่อวิ๋นจิ้งก็คล้องแขนพานางเดินออกมาจากบริเวณร้านต้นจื่อเถิงแล้ว
“ท่านแม่มีเรื่องอะไรอย่าเก็บไว้ในใจเลย มีคนร่วมหารือด้วยย่อมดีกว่า แม้ไม่อาจแก้ปัญหาได้แต่ก็จะได้ความเห็นที่มากขึ้น โดยเฉพาะข้าสมองคิดเร็วฉับไว ไม่มีเรื่องใดที่ยากเกินกำลังข้าไปได้” ฉู่อวิ๋นจิ้งเอ่ยเสียงค่อย
ผ่านไปครู่ใหญ่เหลียนอวี้จูถึงได้สติ “แม่ไม่เป็นไร”
“ท่านแม่จะทำร้ายจิตใจข้าเกินไปแล้ว ท่านไม่เชื่อว่าข้าสามารถช่วยท่านออกความเห็นได้หรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่แม่ไม่เชื่อเจ้า แต่พูดไปแล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ไยแม่ต้องพูดออกมาให้เจ้าเป็นกังวลขึ้นด้วย”
“เดิมทีชีวิตมนุษย์ก็คือนิทานที่สอดประสานความสุขและความทุกข์เข้าด้วยกัน มีสูงต่ำ มีขึ้นมีลง มีธรรมดาสามัญก็ต้องมีสีสันตื่นตา หากคิดแต่จะวิ่งเข้าหาเรื่องดีมีความสุข ยามพบเจอเรื่องร้ายทุกข์ใจก็กระถดกายถอยห่างไปไกลแสนไกลกระนั้นหรือ เช่นนี้ยังจะเรียกว่าชีวิตมนุษย์ได้อย่างไรเจ้าคะ” ฉู่อวิ๋นจิ้งส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยกับมารดา
เหลียนอวี้จูตกตะลึงไปชั่วขณะ นางทั้งซาบซึ้งและขบขันในเวลาเดียวกัน “หลักการของเจ้ามีมากกว่าคนอื่นเขาจริงๆ”
“แล้วไม่ถูกหรือเจ้าคะ ชีวิตที่สุขสบายไร้กังวลย่อมสุขสำราญใจ แต่หากขาดความทุกข์ ความโกรธไป ชีวิตเหล่านี้ก็คงจะน่าเบื่อหน่ายมากมิใช่หรือไร” นี่เป็นคำพูดจากใจฉู่อวิ๋นจิ้งจริงๆ เพียงแต่คนบนโลกนี้มักเลือกใช้แต่ชีวิตที่สุขสบาย
กลับมาถึงห้องของเหลียนอวี้จูแล้ว ฉู่อวิ๋นจิ้งก็เปลี่ยนชุดให้มารดา จากนั้นแม่ลูกก็ไปนั่งลงบนตั่งนุ่ม
เหลียนอวี้จูกัดริมฝีปากล่าง ชั่งใจอยู่นานในที่สุดนางก็เอ่ยออกมา “พ่อเจ้าไม่ได้ออกทะเลไปกับเรือสินค้าหรอก แต่แม่ก็ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าไปที่ใดกันแน่ รู้แค่ว่าเรื่องนี้เป็นความลับยิ่ง และที่สำคัญก็คือหลังจากเสร็จเรื่องนี้แล้ว ครอบครัวของเราจะสามารถกลับเมืองหลวงได้อย่างสง่าสมเกียรติ”
“ครอบครัวเราจะกลับเมืองหลวงได้อย่างสง่าสมเกียรติ?”
“ใช่ พ่อเจ้ายังบอกว่าถึงไม่มีจวนจงอี้ป๋อ เขาก็อาศัยความสามารถของตนเองเข้ารับราชการได้”
ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ลางดีเท่าไรนัก ท่านพ่อไปเป็นทหารกระนั้นหรือ ไม่ถูกต้อง หากเป็นทหาร ท่านพ่อก็ไม่ควรพูดว่าเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดสิ นอกเสียจากว่าเป็นหน่วยรบพิเศษ เฮ้อ…ในยุคนี้คงไม่มีหน่วยงานอย่างหน่วยรบพิเศษหรอก อย่าทำให้ตนเองเสียขวัญเช่นนี้สิ
“ท่านพ่อยังพูดอะไรอีกหรือไม่”
“ไม่มีแล้ว เขาเพียงบอกให้แม่อย่าเป็นกังวล เร็วที่สุดจะกลับมาในหนึ่งปี อย่างช้าอาจถึงสองปี”
ตอนนี้เองฉู่อวิ๋นจิ้งถึงค่อยโล่งใจได้ มิน่าท่านแม่ถึงคิดว่าท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ “หากท่านพ่อกล่าวเช่นนี้จริงก็เป็นไปได้มากที่ท่านพ่อจะอยู่ในที่ใดสักแห่งที่ไม่สามารถบอกได้”
“แต่สองปีผ่านไปแล้ว”
“ท่านพ่อไม่อาจยืนยันเรื่องเวลาที่แน่ชัด เวลาที่ล่าช้าจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ท่านแม่ก็เชื่อว่าท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ”
เหลียนอวี้จูพยักหน้าแรงๆ “หากพ่อเจ้าเป็นอะไรไป เขาจะต้องมาเข้าฝันบอกแม่แน่นอน แต่ถ้าเขายังอยู่ดี เหตุใดจึงยังไม่กลับมาเล่า”
“เขาอาจติดพันกับบางเรื่องอยู่” นี่เป็นคำอธิบายเดียวที่ฉู่อวิ๋นจิ้งนึกออกมาได้และเป็นสิ่งที่นางวาดหวังให้เป็นเช่นนี้ ปัญหาคือบิดาไปที่ใดกันแน่ ไม่ว่านางจะทำอะไรได้หรือไม่ อย่างน้อยก็ต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด
“เขาจะพบกับอันตรายอะไรหรือไม่” เหลียนอวี้จูหวั่นวิตกจนคิ้วขมวดเป็นปม
จู่ๆ ฉู่อวิ๋นจิ้งก็นึกขึ้นได้ว่าไม่นานมานี้จวนจงอี้ป๋อก็ต้องการให้พวกเขากลับเมืองหลวง เป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับหยกมังกรครึ่งซีกของฮ่องเต้
“ท่านแม่ไม่เคยเห็นของแทนใจที่อู่หยางโหวซื่อจื่อเอ่ยถึงจริงหรือ”
“แม่ไม่เคยเห็นจริงๆ แต่พ่อเจ้าเคยพูดเรื่องเจอโจรสลัดโจมตีที่เซียงโจว บอกว่าตอนนั้นเผอิญได้ช่วยเหลือผู้สูงศักดิ์เอาไว้ แต่มิได้บอกชัดถึงฐานะของคนสูงศักดิ์ผู้นั้น แม่เองก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ พ่อเจ้าก็มีนิสัยเช่นนี้ มีบุญคุณกับคนอื่น ตนเองกลับไม่จดจำ คนอื่นมีบุญคุณกับเขา เขาจะจดจำได้ขึ้นใจ” และเพราะเหตุนี้ นางจึงไม่พูดความจริงกับอู่หยางโหวซื่อจื่อ
“ของล้ำค่าปานนี้ท่านพ่อคงเก็บติดตัวไว้”
เหลียนอวี้จูลังเลไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวอธิบายว่า “แม้อู่หยางโหวซื่อจื่อโดดเด่นล้ำเลิศเพียงใด แต่การแต่งงานนี้ต่อให้พวกเราปรารถนาก็รับไว้ไม่ได้ คาดว่าพ่อเจ้าเองก็คงรู้สึกว่าพวกเราไม่อาจใฝ่สูง และเพื่อไม่ให้พวกเราเป็นกังวลจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา”
ฉู่อวิ๋นจิ้งตะลึงไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้ม “ท่านแม่ เทียบกับการคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้ มิสู้ขบคิดว่าพวกเราจะทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ ดีกว่า ส่วนเรื่องท่านพ่อข้าจะลองสืบดูเอง”
หากมิใช่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ร่องรอยของท่านพี่แน่ชัด งานแต่งของจิ้งเอ๋อร์ก็ควรกำหนดไว้ตั้งแต่ก่อนพิธีปักปิ่น แล้ว ซึ่งเรื่องนี้จะไม่สำคัญได้อย่างไร แต่เมื่อเทียบกับเรื่องการแต่งงานของบุตรสาว สิ่งที่เหลียนอวี้จูคะนึงหามากที่สุดยังคงเป็นสามี “เรื่องของพ่อเจ้า เจ้าจะสืบหาอย่างไร”
“ข้าขอคิดดูอีกสักหน่อย” ฉู่อวิ๋นจิ้งมีวิธีการอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก รอให้เรื่องราวมีความคืบหน้าก่อนค่อยว่ากัน
“แม่รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย เจ้าเองก็อย่าได้ฝืนทำให้ตนเองลำบากเกินไปเล่า”
ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่กล่าวอะไรมากอีก นางกุมมือมารดาไว้อย่างปลอบโยนไม่อยากให้นางเป็นกังวล จากนั้นจึงประคองมารดาออกจากห้อง พากลับไปยังร้านต้นจื่อเถิงที่อยู่ในลาน
ถึงจะรู้ว่าสกุลฉู่ไม่มีทางหาหยกมังกรครึ่งซีกนั้นพบ เซียวอวี้ก็ยังคงมารอที่หอจ้วนเซียนตั้งแต่เช้า เขาวางกระดานหมาก ก่อนจะลากเกาฉีมาดวลหมากด้วย ครั้นลู่ไป่จวิ้นปรากฏกายขึ้น ผู้ที่เดินหมากก็เปลี่ยนเป็นเขาทันที
สามตาสามเสมอ ลู่ไป่จวิ้นพลันรู้สึกว่าเจ้านี่จงใจให้ผลออกมาเป็นเช่นนี้แน่ เมื่อเจอยอดฝีมือที่แท้จริงอย่างเซียวอวี้ เทียบกับแพ้ชนะแล้ว การทำให้ผลออกมาเสมอกันในสายตาเขาจึงจะดูมีความท้าทายยิ่งกว่า เอาเป็นว่าคู่ต่อสู้เช่นนี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก มิสู้ดื่มชาขบเม็ดแตงชื่นชมทิวทัศน์ ลู่ไป่จวิ้นจึงลุกขึ้นเดินไปขบเม็ดแตงอีกด้านหนึ่ง
เกาฉีได้แต่กลับไปนั่งที่เดิมและเดินหมากเป็นเพื่อนเจ้านาย
ครู่หนึ่งลู่ไป่จวิ้นก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “มีคนหมายหัวเจ้าแล้วหรือ”
“สองสามวันมานี้มีพวกน่ารำคาญสองสามกลุ่มตามข้าอยู่จริงๆ” สายตาของเซียวอวี้ยังคงจับจ้องอยู่ที่กระดานหมาก
เซียวอวี้รู้สึกว่าตนเองปากเสียโดยแท้ เพิ่งจะพูดว่าฐานะของเขาดึงดูดสายตา ถึงไม่ทำงานให้ฝ่าบาทก็มีคนสนใจ คิดไม่ถึงผ่านไปวันเดียวก็มีคนติดตามไล่หลังเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย…แม้มีหูตาของฝ่ายตรงข้ามเพิ่มไม่น้อย แต่คนเบื้องหลังคนเหล่านั้นล้วนเป็นคนเดียวกัน การกระทำนี้เพียงเพื่อให้เขาจับต้นชนปลายไม่ถูก สงสัยนี่สงสัยนั่นไปหมด
ลู่ไป่จวิ้นถอนสายตากลับมาจากด้านนอก “เจ้ามาเซียงโจวได้ระยะหนึ่งแล้ว เหตุใดจู่ๆ ถึงเพิ่งมาหมายหัวเจ้าเล่า”
“ข้าไปบ้านสกุลฉู่มา”
“เจ้าไปหาฉู่ซื่อเหยียมาแล้ว?”
เซียวอวี้พยักหน้า ก่อนเอ่ยราวกับพูดคุยเรื่องทั่วไป “พูดกันว่าฉู่ซื่อเหยียออกทะเลไปทำการค้า จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่กลับ”
ลู่ไป่จวิ้นเลิกคิ้วสูงขึ้นอีก “พูดกันว่า?”
“เกาฉีไปตรวจสอบดูแล้ว เรือสินค้าที่ออกทะเลตอนนั้นไม่พบชื่อฉู่ซื่อเหยียเลย เขาน่าจะไปที่อื่นเพื่อทำภารกิจลับบางอย่าง”
ลู่ไป่จวิ้นคิดออกอย่างรวดเร็ว “หยกมังกรครึ่งซีกของฝ่าบาทอยู่ในตัวฉู่ซื่อเหยีย?”
“ฉู่ซื่อเหยียย่อมไม่มอบของแทนใจสูงค่าปานนี้ให้ผู้อื่นแน่ แต่ฉู่ซื่อเหยียอยู่ที่ใดนั้นก็ยังไม่แน่ชัด คนที่ลอบตรวจสอบหยกมังกรจึงได้แต่จับตาดูข้า หวังว่าข้าจะหาฉู่ซื่อเหยียออกมาให้พวกเขาแทน จากนั้นก็ค่อยแย่งของในมือข้าไปทำลายทิ้ง กล่องกลไกก็จะเปิดไม่ออกตลอดกาล และตราพยัคฆ์ของจริงก็จะไม่มีวันปรากฏขึ้น”
พอทบทวนอย่างละเอียดลู่ไป่จวิ้นก็เข้าใจกระจ่าง “พวกคนไม่รู้ที่ตายพวกนี้ถึงกับหาญกล้าหมายหัวเจ้าเชียวรึ”
เซียวอวี้โบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “หากหยกมังกรตกอยู่ในมือข้า ไม่ว่าผู้ใดก็มาชิงไปไม่ได้ทั้งนั้น”
“เจ้าจะปล่อยพวกมันไว้เช่นนี้หรือ”
“เกาเยี่ยนจะคอยจับตาดู” เกาเยี่ยนคือองครักษ์ลับของเซียวอวี้
ลู่ไป่จวิ้นหันหน้ามองออกไปด้านนอกอีกครั้ง ครู่เดียวก็ได้ข้อสรุป “คนเหล่านี้คงเป็นพวกอันธพาลที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ทำงานเป็นลูกสมุนของคุณชายคหบดีโดยเฉพาะ”
“เจ้าอยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว จะต้องหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังออกมาได้แน่”
“ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการได้”
“รอบคอบสักหน่อย อย่าทำให้คนตื่นกลัวจนหนีไปเล่า” เซียวอวี้ไม่คิดว่าจะสืบหาอะไรจากอันธพาลพวกนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจเมินเฉยพวกนั้น เพราะทุกเงื่อนงำล้วนนำไปสู่เรื่องราวที่น่าสนใจบางอย่างได้เสมอ
จู่ๆ ลู่ไป่จวิ้นก็เบิกตาโตราวกับค้นพบอะไรบางอย่าง เขาโน้มร่างไปข้างนอก ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “แม่นางฉู่เป็นหญิงสาวที่น่าสนใจที่สุดที่ข้าเคยพบเลย”
เซียวอวี้ลุกขึ้นเดินเข้าไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน เพียงมองตามสายตาของลู่ไป่จวิ้น เขาก็เห็นฉู่อวิ๋นจิ้งกำลังต่อแถวซื้อขนมห้าหอม
“ขนมที่นางทำรสชาติอร่อยล้ำเลิศเพียงนั้น แค่กินคำเดียวก็ติดใจ แต่พอนางได้ยินว่าที่ใดมีของอร่อย นางเป็นต้องไปร่วมชิมด้วยเสมอ ถึงต้องต่อแถวนางก็ยินดีไม่เหนื่อยหน่าย…”
ลู่ไป่จวิ้นพลันนึกเรื่องหนึ่งได้ในทันใด ข้าเผลอเปิดเผยฐานะสตรีของแม่นางฉู่ออกมาจนได้!
เซียวอวี้อ่านความคิดของสหายออกในปราดเดียว จึงขยับเข้าไปจ้องอีกฝ่ายอย่างมีเจตนาร้ายพลางเอ่ยเนิบช้า “จริงด้วย ข้าเหมือนจะลืมบอกเจ้าไป แม่นางฉู่เป็นบุตรสาวคนโตของฉู่ซื่อเหยีย”
ลู่ไป่จวิ้นพลันงงงัน เจ้านี่รู้แล้ว? แล้วยังบอกว่าแม่นางฉู่เป็น…
เซียวอวี้แค่นเสียงเฮอะคำหนึ่ง “คิดว่าข้าเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยเพียงนั้นเชียวหรือ เพราะเห็นเป็นสตรีก็เลยปฏิเสธไม่ยอมรับความสามารถของนาง คัดค้านไม่ให้เจ้าร่วมงานด้วย?”
ลู่ไป่จวิ้นพลันได้สติ สมองกลับมาทำงานเป็นปกติ เรื่องแรกที่พูดก็คือ… “แม่นางฉู่เป็นภรรยาในนามที่ยังไม่ได้แต่งเข้าของเจ้านี่”
ตะลึงไปชั่วอึดใจเซียวอวี้ก็ผงกศีรษะเอ่ย “จนกว่าจะยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย นางก็เป็นภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้าของข้าจริงๆ”
“น่าเสียดาย ต่อให้เจ้ายินดีรับงานมงคลนี้ สกุลฉู่ก็ไม่กล้ารับหรอก” ลู่ไป่จวิ้นไม่มีทางยอมรับเป็นอันขาดว่าที่เขาพูดมานั้นเป็นการท้าทายยั่วยุ เนื่องจากความจริงก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งกว่านั้นแม่นางฉู่เป็นคนหยิ่งทะนงยิ่งนัก นางไม่ชอบวิธีการทวงบุญคุณบีบให้ต้องตอบแทนเช่นนี้แน่
เซียวอวี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดขึ้นอย่างเผด็จการ “แต่หากข้ายอมรับการแต่งงานนี้ การแต่งงานนี้ก็ไม่มีทางยกเลิก”
“เจ้าอยากยอมรับการแต่งงานนี้?” ลู่ไป่จวิ้นเพียงคิดว่าสหายกำลังเอ่ยวาจาไม่เป็นจริงเป็นจังอะไร
“เหตุใดจึงต้องไม่ยอมรับเล่า”
เกาฉีอ้าปากคิดจะเปล่งวาจาเตือนเจ้านาย แต่พอคำพูดแล่นมาถึงลิ้น วนเวียนในปากรอบหนึ่งเขาก็ยังคงกลืนลงไป
ลู่ไป่จวิ้นตะลึงในทีแรก ก่อนจะคลี่ยิ้มราวกับนึกอะไรขึ้นได้ เขาออกแรงพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง “แน่นอนว่าต้องยอมรับสิ หออีผิ่นของข้าจะตั้งที่เมืองหลวงได้หรือไม่นั้นต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
จู่ๆ เซียวอวี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ในที่สุดเขาก็มีเหตุผลให้รับงานแต่งครั้งนี้แล้ว “สี่ส่วน”
“อะไรนะ!” ลู่ไป่จวิ้นแทบจะเรียกสติตนเองกลับมาไม่ทัน
“หากนางเป็นภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้าของข้า ข้าจะให้นางเสียเปรียบได้อย่างไร”
ลู่ไป่จวิ้นเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้ายืดแขนมาเกี่ยวเร็วเกินไปแล้วกระมัง”
“เดิมข้าก็เป็นคนชอบปกป้องพวกพ้อง อีกอย่างเจ้าใจกว้างกับนาง นางมิใช่จะยิ่งตั้งใจช่วยเจ้าหรือ นอกจากสูตรอาหารข้าเชื่อว่ายังมีอีกหลายอย่างที่นางช่วยเจ้าได้” วันนั้นหลังจากอิ่มหนำอาหารหนึ่งมื้อที่ร้านอาหารสกุลจางแล้ว เขากับเถ้าแก่ก็พูดคุยเรื่องทั่วไปสองสามประโยค จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายได้รับการชี้แนะจากแม่นางฉู่ว่ายามที่ตกปลาให้ดื่มสุราเล็กน้อยจึงจะดี และด้วยการชี้แนะนี้การค้าของร้านอาหารสกุลจางจึงพลิกขึ้นมาดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ภายหลังมีคนแย่งกันเลียนแบบ ร้านอาหารริมทะเลสาบรื่อหมิงจึงผุดขึ้นราวกับหน่อไม้หลังฝนพรำในฤดูใบไม้ผลิ แต่ทั้งหมดล้วนอร่อยไม่เท่าอาหารของร้านอาหารสกุลจาง โดยเฉพาะหัวปลาหม้อดิน สุดท้ายจึงได้แต่ทยอยเก็บแผงไม่ก็เปลี่ยนไปทำอาหารอย่างอื่นแทน
ลู่ไป่จวิ้นกัดฟันกรอดอย่างคับแค้น “ถึงเจ้าจะปกป้องนาง แต่จะเอาเปรียบข้าเช่นนี้ไม่ได้นะ”
“ข้าขอสองส่วน เงินออกสี่ส่วน”
“อ้อ! เจ้าช่างใจกว้างเหลือเกิน!” ลู่ไป่จวิ้นเกือบคิดตามไม่ทัน หนนี้ขอยอมแพ้แต่โดยดี!
“เจ้ายกให้สองส่วน ข้ายกให้สองส่วน ต่อไปเจ้าจะได้ไม่รู้สึกว่าถูกข้าเอาเปรียบอยู่เรื่อย”
“นี่ก็ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ต้องให้นางพยักหน้ายินยอมก่อน” ลู่ไป่จวิ้นอดกลอกตาไม่ได้ คนต้นเรื่องยังไม่พูดอะไร พวกเขาสองคนกลับรีบต่อรองราคาแล้ว นี่มิใช่น่าขันยิ่งรึ!
“ไม่รีบร้อน เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปได้”
เห็นเซียวอวี้มีท่าทางมั่นอกมั่นใจ ลู่ไป่จวิ้นก็นึกสนใจขึ้นมา “เจ้ามีวิธี?”
“ข้าบอกว่าไม่รีบมิใช่รึ วางใจเถอะ ถึงตอนที่เจ้าต้องออกหน้า ต่อให้เจ้าอยากหนีไปเป็นผู้ชมก็ไม่ได้แล้ว” เรื่องที่เขาตั้งใจทำนั้นแต่ไรมาไม่เคยไม่สำเร็จ
“ได้ ไม่รีบ ข้าจะรอข่าวดีจากเจ้า” แม้ไม่แน่ชัดว่าเซียวอวี้ไปต้องใจแม่นางฉู่ได้อย่างไร แต่ตราบที่มีสหายคอยช่วยเหลือเขาก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาแล้ว
ลู่ไป่จวิ้นประหนึ่งได้กินยาสงบใจ เรื่องกลุ้มใจพลันมลายสิ้น
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 พ.ย. 62
Comments
comments
No tags for this post.