บทที่สี่
“อาหารชนิดนี้ชื่อว่าไก่ขอทาน…เลือกใช้ไก่ที่เนื้อนุ่ม จัดการล้างให้สะอาด ทาน้ำปรุงรสทั้งด้านในด้านนอกพอกไว้หนึ่งวัน ท้องไก่ยัดไส้ที่ผัดจนหอม เช่นเนื้อสับ หน่อไม้สับ กุ้งสด ใช้มันร่างแหห่อตัวไก่เอาไว้ แล้วห่อด้วยใบบัว ค่อยใช้ดินเหลืองพอกให้ทั่วทั้งตัวไก่ ก่อนจะนำไปเผา” ถึงส่วนที่ต้องทำไว้ล่วงหน้าจะจัดเตรียมเสร็จหมดแล้ว แต่ฉู่อวิ๋นจิ้งก็ยังอธิบายอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ เพื่อให้ฉู่เหยียนรู้ว่าไก่ขอทานจานนี้ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปมากเพียงใด นี่ก็คือการสอนด้วยสถานการณ์จริง
ฉู่เหยียนจ้องไก่ขอทานที่ถูกเผาอยู่ในกระถางไฟ บ่อยครั้งเขาก็ใช้ไม้คีบไปเขี่ยเล็กน้อย แล้วสูดจมูกฟุดฟิดเสียงดัง “ข้าได้กลิ่นหอมแล้ว”
ฉู่อวิ๋นจิ้งกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “จมูกเจ้าเป็นจมูกสุนัขหรือ”
“ข้าได้กลิ่นหอมแล้วจริงๆ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งทำท่าปวดหัวแล้วดีดหน้าผากเขาทีหนึ่ง “ข้าพูดยาวเป็นพรวน เจ้ากลับรับรู้แค่กลิ่นหอมอยู่อย่างเดียว”
ฉู่เหยียนยื่นปากเล็ก “ข้าฟังอยู่นะ นี่เรียกว่าไก่ขอทาน”
ฉู่อวิ๋นจิ้งยกมุมปาก ก่อนพยักหน้าขึ้นลง “ดีมาก อย่างน้อยก็ไม่บอกว่าชื่อเป็ดขอทาน”
เหลียนอวี้จูวางงานเย็บปักในมือลง ก่อนส่ายหน้าเอ่ย “เจ้าเอาใจเขาเกินไปแล้ว ยิ่งทำเช่นนี้เขาก็ยิ่งเลือกกิน นี่ก็ไม่กินนั่นก็ไม่กิน อะไรล้วนไม่อร่อยเท่าพี่สาวทำ”
“เหยียนเกอเอ๋อร์ของพวกเราแค่รู้จักเลือก” ฉู่อวิ๋นจิ้งเอ่ยยิ้มๆ
ฉู่เหยียนพลันยิ้มกว้าง
ฉู่อวิ๋นซินหยุดงานเย็บปักในมือ ก่อนจะเงยหน้าออกความเห็น “ข้าก็รู้สึกว่าอาหารที่พี่สาวทำอร่อยที่สุด”
เหลียนอวี้จูไร้หนทางเอ่ยโต้แย้ง นางได้แต่ก้มหน้าทำงานปักในมือต่อ
กลิ่นหอมฟุ้งลอยออกมาเป็นระลอก ฉู่เหยียนรีบใช้ไม้คีบไปจิ้มดู ก่อนร้องอย่างลิงโลด “พี่สาว เห็นหรือไม่ ดินปริแตกแล้ว อย่างนี้กินได้แล้วใช่หรือไม่”
ฉู่อวิ๋นจิ้งพยักหน้า ฉู่อวิ๋นซินก็วางงานปักในมือลงไปในกระจาดด้วยความดีใจ แล้วประชิดมาที่ข้างตัวพี่สาวโดยอยู่ข้างๆ ฉู่เหยียน มองพี่สาวใช้ไม้คีบคีบไก่ขอทานที่อยู่ในกระถางเผาไฟออกมา เริ่มจากวางไว้บนถาด จากนั้นจึงย้ายไปที่โต๊ะหิน ตามด้วยใช้ค้อนกะเทาะดินออก ลอกใบบัวทิ้ง เนื้อไก่นุ่มลื่นส่งกลิ่นหอมโชยมาแตะจมูก เพียงแค่สูดหายใจลึกเข้าหนึ่งเฮือก น้ำลายก็แทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว
“เอาล่ะ กินได้แล้ว ระวังลวกปากด้วยนะ”
ฉู่เหยียนเริ่มกินก่อน ฉู่อวิ๋นซินก็รีบกินตาม เหลียนอวี้จูเห็นพวกเขากินไปพลางปากก็ร้องว่าร้อนบ้าง ไม่ก็ร้องว่าอร่อย นางจึงอดไม่ได้ต้องเข้าไปชิมด้วยคำหนึ่ง อร่อยเหลือเกิน! โดยไม่รู้ตัวก็ขยับตะเกียบอีกครั้ง กินเช่นนี้คำแล้วคำเล่า
ฉู่อวิ๋นจิ้งเพียงแค่มองพวกเขากินอย่างมีความสุข นางก็อิ่มอกอิ่มใจมากแล้ว
เวลานี้เองลุงหลี่ก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ “แม่นางฉู่ อู่หยางโหวซื่อจื่อขอเข้าพบขอรับ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งตกตะลึงไปเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็สงบลง “ข้ายุ่งอยู่ ตอนนี้ไม่มีเวลารับรองแขก”
“เช่นนี้จะดีหรือ” เหลียนอวี้จูถามอย่างไม่สบายใจ
“ไม่ส่งเทียบก็มาถึงบ้านแล้ว เป็นฝ่ายเขาที่เสียมารยาทก่อนนะเจ้าคะ” เดิมทีฉู่อวิ๋นจิ้งไม่ควรมีความรู้สึกดีใจ เจ็บแค้น โศกเศร้า หรือว่ามีความสุขกับเซียวอวี้ แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่พวกเขาพบกันสองสามครั้งที่แล้วมา ทั้งยังคิดเรื่องที่นางกับเขาเป็นคู่หมั้นหมายกัน…ถึงสัญญาหมั้นหมายนี้จะคล้ายไม่มีความหมายอะไร แต่นางก็รู้สึกแปลกพิกลอยู่ดี
“ในเมื่อพ่อเจ้าไม่อยู่ จะให้เขาส่งเทียบมาให้ผู้ใดเล่า” เหลียนอวี้จูเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย
“ขอบคุณฮูหยินที่เข้าใจ ข้าเองก็วางตัวลำบากยิ่งนัก” เห็นชัดว่าเซียวอวี้คาดเดาได้ล่วงหน้าว่าอีกฝ่ายจะไม่ต้อนรับ เขาจึงเดินตามหลังลุงหลี่มาเสียเลย จากนั้นจึงคารวะคนทั้งหมดอย่างนอบน้อมก่อนกล่าวต่อ “อีกทั้งข้าก็นึกไปว่าแม่นางฉู่คงไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับพิธีรีตองเหล่านี้ ถึงได้มาขอเข้าพบถึงบ้านโดยตรง ย่อมคิดไม่ถึงว่าจะมารบกวนพวกท่านกินข้าวเสียได้”
“พวกเราไม่ได้กำลังกินข้าว พี่สาวทำอาหารว่างให้พวกเรา…” ชะงักไปเล็กน้อยฉู่เหยียนพลันรู้สึกว่านี่คงไม่นับเป็นอาหารว่างได้ แต่เขาก็ไม่มีคำพูดที่ใกล้เคียงกว่ามาอธิบาย จึงข้ามตรงนี้ไปเสียเลยแล้วพูดแนะนำต่อ “นี่เรียกว่าไก่ขอทาน เนื้อไก่สุกนุ่ม หอมกรุ่นแตะจมูก เอร็ดอร่อยถูกปากยิ่งนักขอรับ”
“ชื่อไก่ขอทานดูน่าสนใจยิ่งนัก” เซียวอวี้เดินไปนั่งลงข้างฉู่เหยียนอย่างเป็นกันเอง
“พี่สาวบอกว่าคนแรกสุดที่ใช้ดินเหลืองพอกไก่แล้วนำไปย่างไฟเป็นขอทานผู้หนึ่ง”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
“ถึงอย่างนั้น…ขอทานก็ทำไม่อร่อยเท่าพี่สาวหรอกขอรับ” ฉู่เหยียนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“นี่ย่อมแน่นอน ใต้หล้านี้ฝีมือปรุงอาหารของแม่นางฉู่เป็นหนึ่งไม่มีสอง”
“พี่ชายช่างรู้ใจข้าจริงๆ”
“ข้าขอชิมคำหนึ่งได้หรือไม่” เซียวอวี้เอ่ยปากขอทันที
ฉู่เหยียนลังเลไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพยักหน้ายินยอม ถึงขั้นยื่นตะเกียบให้เซียวอวี้ด้วยตนเอง พี่สาวบอกว่าห้ามหวงของ โดยเฉพาะของอร่อยต้องรู้จักแบ่งปัน กินไปพลางสนทนาไปพลางก็จะทำให้การกินอาหารยิ่งคึกคักได้บรรยากาศ
ฉู่อวิ๋นจิ้งอึ้งงันไปทันใด นี่มันสถานการณ์อะไร!
เกาฉีได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง ปกติยามคุณชายกินอาหารจะไม่ชอบให้คนอื่นพูดส่งเสียงจอแจอยู่ข้างกาย บอกว่าความอยากอาหารมีมากเพียงใดก็ล้วนหายหมด ทว่ายามนี้กลับกินติดต่อกันคำแล้วคำเล่าได้เสียอย่างนั้น เขามองดูจนน้ำลายจวนจะไหลอยู่แล้ว อยากลิ้มชิมรสชาติของอาหารที่เรียกว่าไก่ขอทานนี่ดูบ้างสักคำหนึ่ง อยากรู้นักว่าเหตุใดจึงทำให้คุณชายของเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้ได้
เมื่อเซียวอวี้เข้าร่วมด้วย เหลียนอวี้จูกับฉู่อวิ๋นซินก็เดินไปหยิบกระจาดของพวกนางแล้วแยกตัวไปเงียบๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนฉู่อวิ๋นจิ้งเป็นคนที่เซียวอวี้ขอเข้าพบ นางจะเดินหนีออกไปก็ไม่ได้ จึงได้แต่รอให้คนตัวโตกับคนตัวเล็กกินอิ่มเสียก่อน
“พี่สาว ข้าจะไปอ่านหนังสือแล้ว” ฉู่เหยียนเป็นเด็กดี นี่เป็นเรื่องที่ตกลงกันก่อนแล้ว หลังกินอาหารว่างเขาต้องไปอ่านหนังสือหนึ่งชั่วยาม
ที่ควรไปก็ไปแล้ว ฉู่อวิ๋นจิ้งจึงเอ่ยขึ้นอย่างเห็นว่าควรแก่เวลา “ซื่อจื่อคงมาด้วยเรื่องหยกมังกร แต่น่าเสียดายพวกเราค้นหาทั่วบ้านแล้วก็ไม่พบแม้แต่เงา คาดว่าของล้ำค่าเช่นนี้ท่านพ่อข้าคงเก็บไว้ติดตัว”
“แม่นางฉู่เข้าใจผิดแล้ว วันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อหยกมังกร ข้าอยากมาขอคำตอบจากแม่นางฉู่เรื่องหนึ่ง…พวกท่านแน่ใจว่าฉู่ซื่อเหยียออกทะเลไปกับเรือสินค้าแน่หรือ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งตะลึงไป “ข้าไม่เข้าใจ ซื่อจื่อโปรดกล่าวตรงไปตรงมาด้วย”
“สองสามปีนี้ไม่เคยเกิดเหตุเรือล่ม หากฉู่ซื่อเหยียออกทะเลทำการค้าจริง จนถึงวันนี้ไม่ใช่ว่าควรกลับมาแล้วหรือ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงให้คนไปตรวจสอบเรือที่ออกทะเลในสองปีนี้อย่างละเอียด แต่ไม่พบฉู่ซื่อเหยียอยู่ในรายชื่อเลย เมื่อคิดว่าฉู่ซื่อเหยียอาจใช้นามอื่นจึงสืบค้นจากผู้ที่ออกทะเลแต่ละคน แต่ทั้งหมดล้วนพูดว่าไม่เคยพบฉู่ซื่อเหยียมาก่อน จึงเป็นไปได้มากว่าฉู่ซื่อเหยียจะไม่ได้ออกทะเล”
ใคร่ครวญครู่หนึ่งฉู่อวิ๋นจิ้งจึงเอ่ยตามจริง “หลายวันก่อนท่านแม่ข้าสารภาพกับข้าว่าท่านพ่อไม่ได้ออกทะเลไปกับเรือสินค้า แต่ท่านพ่อไปที่ใดนั้นก็ไม่รู้แน่ชัด เพียงรู้ว่าเรื่องนี้เป็นความลับยิ่ง หลังจากเสร็จเรื่องพวกเราทั้งครอบครัวจะสามารถกลับเมืองหลวงได้อย่างสง่าสมเกียรติ” แม้เจตนาของพวกเขาแตกต่างกัน แต่เป้าหมายกลับเหมือนกัน อย่างไรเซียวอวี้ก็มีเส้นสาย เงินก็มีมากกว่านาง เทียบกันแล้วเขาสามารถหาร่องรอยบิดาของนางได้ง่ายกว่ามาก
“หลังจากเสร็จเรื่องพวกเจ้าทั้งครอบครัวจะสามารถกลับเมืองหลวงได้อย่างสง่าสมเกียรติ?”
“คาดว่าซื่อจื่อคงรู้แล้วว่าท่านพ่อเป็นลูกอนุภรรยา ทั้งยังถูกท่านปู่ขับไล่ออกจากจวนจงอี้ป๋อ หากอาศัยความสามารถของตนเองชิงตำแหน่งหน้าที่การงานมาสักตำแหน่งหนึ่ง คงมีเพียงต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายเท่านั้น ทว่า…นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น”
“เอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายอย่างนั้นหรือ” เซียวอวี้ครุ่นคิดพลางพูดงึมงำกับตนเอง
“ข้าไม่เข้าใจเรื่องราวในราชสำนัก จึงไม่รู้ว่าท่านพ่อเลือกเดินเส้นทางใดเพื่อแลกกับอนาคต แต่ข้าคิดว่าหากคิดจะหลุดพ้นจากการข่มเหงของจวนจงอี้ป๋อให้ได้ คงมีเพียงการสร้างคุณงามความดีต่อบ้านเมือง และฝ่าบาทเป็นผู้พระราชทานตำแหน่งให้พ่อข้าด้วยพระองค์เองเท่านั้น”
เซียวอวี้ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เจอหญิงสาวเช่นนี้…นางทั้งฉลาดเฉลียว ทั้งสามารถอ่านสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง และนางก็คือภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้าสกุลของเขา…ความรู้สึกนี้พาให้เขารู้สึกยินดีปรีดาในใจยิ่งนัก
“ข้าจะขอให้แม่นางฉู่ช่วยสักอย่างได้หรือไม่ ไม่ว่าผู้ใดถามไถ่ ให้พวกท่านบอกว่ารู้เพียงฉู่ซื่อเหยียตามเรือสินค้าออกทะเล”
“ข้าทราบแล้ว หากมีข่าวของพ่อข้า ขอซื่อจื่อโปรดบอกกล่าวข้าด้วยได้หรือไม่”
“แน่นอน ข้าจะต้องตามหาท่านอาให้พบ พวกท่านจะได้อยู่กันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว” เซียวอวี้ใช้คำว่า ‘ท่านอา’ แทน ‘ฉู่ซื่อเหยีย’ ด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติยิ่ง
“ข้าขอขอบคุณซื่อจื่อล่วงหน้า ลำบากซื่อจื่อแล้ว” ฉู่อวิ๋นจิ้งเอ่ยพลางคารวะ
“นี่เป็นเรื่องที่ข้าควรทำ แม่นางฉู่อย่าได้เก็บมาใส่ใจ ขอแค่พวกเราร่วมใจกันจะต้องหาท่านอาพบได้โดยเร็วแน่ หากแม่นางพบสิ่งใดก็ขอมาแจ้งให้ข้าทราบได้ ตอนนี้ข้าพักที่คฤหาสน์ของคุณชายลู่”
ฉู่อวิ๋นจิ้งพยักหน้ารับรู้ ในที่สุดนางก็รู้สึกว่าการตามหาบิดาไม่ได้มีอุปสรรคมากมายอีกต่อไป
เมื่อมีแรงช่วยฉู่อวิ๋นจิ้งก็ฮึกเหิมขึ้นมา นางรู้สึกว่าตนเองควรจะทำอะไรสักหน่อย อย่างเช่นตามหาช่องทางที่ท่านพ่อใช้ฝ่าฟันเพื่อความก้าวหน้า แม้ความเป็นไปได้ที่จะพบเบาะแสนั้นมีอยู่น้อยเต็มที นางยังก็ขนหีบเก็บหนังสือของบิดาออกมา แต่ด้วยจำนวนของหีบหนังสือที่มีมากเกินไป นางจึงได้แต่ขนออกมาทีละหีบอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็หยิบหนังสือในหีบออกมาวางตากแดดทีละเล่ม ขณะเดียวกันก็มุ่งค้นหาร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ จากของรักของหวงของบิดา
ยามที่มองดูหนังสือในหัวของฉู่อวิ๋นจิ้งก็ปรากฏภาพที่บิดาสอนนางอ่านหนังสือและเขียนอักษรขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทุกวันเขาจะต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการศึกษาตำราและภาพวาดในห้องหนังสือ
ไม่ทันไรฉู่อวิ๋นจิ้งก็ค้นพบเรื่องหนึ่งจากหนังสือที่นำมาตากแดด…ท่านพ่อมีหนังสือของแคว้นข้างเคียงมากมายนัก!
“หนังสือของพ่อเจ้ามีแมลงขึ้นหมดแล้ว” เสียงของเหลียนอวี้จูดังขึ้นช้าๆ
ฉู่อวิ๋นจิ้งมองมารดาที่ยืนอยู่ตรงทางเดิน ก่อนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ท่านแม่ ในเมื่อท่านพ่ออยากรับราชการ ไยจึงไม่สอบเตี้ยนซื่อต่อเล่าเจ้าคะ” กว่าจะได้เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อนั้นไม่ง่ายเลย อีกทั้งท่านพ่อก็เป็นคนทะนงตน เขาย่อมไม่ติดใจกับการเหนื่อยยากต่ออีกสักเล็กน้อย ทางแม่ใหญ่และพี่น้องคนอื่นๆ ก็ไม่มีทางลบฐานะของบัณฑิตจิ้นซื่อที่เขาอาศัยความสามารถของตนสอบได้มาไปได้
เหลียนอวี้จูเดินลงบันได ก่อนจะนั่งลงบนตั่งเตี้ยที่ฉู่อวิ๋นจิ้งเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ “พ่อเจ้าไม่อยากสอบเตี้ยนซื่อต่อเอง เพราะถึงสอบได้จ้วงหยวนหรืออันดับต้นๆ ก็มีแม่ใหญ่กับพวกพี่น้องคอยกดขี่ เส้นทางชีวิตขุนนางของเขาก็ไม่ราบรื่นเช่นกัน”
“หากท่านพ่ออยากเป็นขุนนาง ก็คงหนีไม่พ้นถูกคนในสกุลฉู่กลั่นแกล้งจริงๆ”
“ข้อนี้พ่อเจ้าเองก็รู้ หากอยากเป็นขุนนาง มีเพียงต้องเข้าสำนักพิธีกรรมหงหลูเท่านั้น”
“สำนักพิธีกรรมหงหลู?” ฉู่อวิ๋นจิ้งสนใจขึ้นมาทันใด
“แม่เคยได้ยินพ่อเจ้าพูดถึงอยู่เหมือนกัน สำนักพิธีกรรมหงหลูจะคอยดูแลเรื่องแคว้นต่างบ้านต่างเมืองโดยเฉพาะ ที่สอบเคอจวี่เข้าสำนักพิธีกรรมหงหลูก็มีอยู่ แต่ส่วนมากจะเข้าโดยผ่านการเสนอชื่อ หากเป็นคนที่ฝ่าบาทต้องพระทัย ไม่ว่าใครก็ล้วนขัดขวางไม่ได้”
ฉู่อวิ๋นจิ้งเลิกคิ้วอย่างครุ่นคิด “ท่านพ่อต้องการให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งเข้าสำนักพิธีกรรมหงหลูใช่หรือไม่”
“แม่ไม่รู้หรอก แต่พ่อเจ้าชอบสะสมหนังสือธรรมเนียมท้องถิ่นของต่างแคว้น ทั้งยังพร่ำเอ่ยข้างหูแม่บ่อยครั้ง ถึงสำนักพิธีกรรมหงหลูจะมีตำแหน่งไม่สูงมาก แต่ฝ่าบาทให้ความสำคัญยิ่งนัก หากเข้าตาพระองค์ ก็ไม่ต้องกลัวว่าอนาคตจะไร้โอกาสเลื่อนขั้น” ฉู่อวิ๋นจิ้งมองหนังสือที่ตากแดดอยู่ทั่วบริเวณ
“พ่อเจ้าไม่เพียงชอบสะสมหนังสือธรรมเนียมพื้นถิ่นของต่างแคว้นเท่านั้น เขายังเชี่ยวชาญภาษาต่างแคว้นอีกหลายภาษาด้วย”
ฉู่อวิ๋นจิ้งตกตะลึงยิ่งนัก “เชี่ยวชาญภาษาต่างแคว้นหลายภาษา?”
เหลียนอวี้จูดวงตาเปี่ยมด้วยแววเลื่อมใสชื่นชม “พ่อเจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาด แม่เห็นอักษรเหล่านั้นเหมือนกับภาพวาด แต่พ่อเจ้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าเขียนว่าอะไร”
“ท่านพ่อรู้จักกับคนต่างแคว้นหลายคนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“แม่ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าสนิทสนมกับผู้ใดบ้าง พ่อเจ้าเองก็รู้ว่าแม่เป็นคนซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม ง่ายต่อการถูกคนหลอกให้พูด จึงไม่ชอบบอกเรื่องนอกบ้านกับแม่เลย หรือต่อให้บอกแม่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แม่จึงไม่เคยถามนู่นถามนี่พ่อเจ้ามาก่อน”
ฉู่อวิ๋นจิ้งเข้าใจได้ ก็ในเมื่อคนในสกุลฉู่จดจ้องครอบครัวของพวกเขาไม่วางตา ด้วยกลัวว่าเขาจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี บิดาจึงได้ปกปิดซุกซ่อนเรื่องพวกนี้เอาไว้แม้แต่กับคนใกล้ชิด มิเช่นนั้นด้วยความสัมพันธ์ลึกซึ้งปานนี้ระหว่างบิดามารดามีหรือมารดาจะไม่รู้ว่าบิดาไปที่ใด
เหลียนอวี้จูเห็นชัดว่าคิดถึงข้อนี้ได้เช่นกัน นางจึงถอนหายใจแล้วเอ่ย “หากแม่ฉลาดกว่านี้สักหน่อย มีเล่ห์เหลี่ยมขึ้นอีกสักนิด ยามนี้คงไม่ถึงกับไม่รู้ว่าพ่อเจ้าไปที่ใดกันแน่”
“ท่านแม่อย่าได้โทษตนเองเลย บุรุษรับผิดชอบภาระนอกบ้าน สตรีดูแลเรื่องในบ้าน ท่านพ่อไม่บอกเรื่องภายนอกกับท่านแม่ ก็เหมือนกับที่ท่านแม่ไม่บอกเรื่องภายในบ้านต่อหน้าท่านพ่อ นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
นี่คือยุคที่ชายหญิงไม่เสมอภาค ขีดเส้นแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน เป็นผลจากสภาพแวดล้อม ข้าพูดไป ท่านก็ไม่อาจเข้าใจหรอก ไยต้องเปลืองน้ำลายด้วย
เวลานี้ลุงหลี่ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง “นายหญิง คุณหนูใหญ่ ท่านป๋อผู้เฒ่าส่งคนมาขอรับ”
“เหตุใดท่านป๋อผู้เฒ่าต้องส่งคนมาด้วย” เหลียนอวี้จูมองบุตรสาวอย่างกระวนกระวาย
ฉู่อวิ๋นจิ้งเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ลุงหลี่รู้จักเขาหรือไม่”
“รู้จักขอรับ จางเหยียนเป็นคนสนิทของท่านป๋อผู้เฒ่า แต่เทียบกับเหล่าหลิ่วแล้วยังด้อยกว่าขั้นหนึ่งขอรับ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้จักเพียงเหล่าหลิ่ว คนผู้นี้คือคนสนิทของท่านปู่ รับใช้ท่านปู่มาตั้งแต่เล็กแล้ว
“ท่านแม่ช่วยข้าตากหนังสืออยู่ที่นี่เถิด ข้าจะไปพบเขาเอง” ฉู่อวิ๋นจิ้งหันไปหาลุงหลี่ “ลุงหลี่พาเขาไปที่โถงรับแขก แล้วก็รั้งอยู่ด้วย รอฟังว่าเขาจะว่าอะไร”
เหตุใดท่านปู่จึงส่งคนมาได้นะ สัญชาตญาณของฉู่อวิ๋นจิ้งบอกว่าเรื่องนี้ดูมีลับลมคมในยิ่ง ที่ท่านพ่อถูกขับออกจากสกุลมานั้นก็เป็นความต้องการของท่านปู่เอง เห็นได้ชัดว่าท่านปู่กระจ่างแจ้งในความมุ่งหมายของท่านพ่อดี แล้วท่านปู่จะส่งคนมาหาท่านพ่อได้อย่างไรกันเล่า
เป็นเช่นที่ฉู่อวิ๋นจิ้งคิดไว้ สัญชาตญาณของนางถูกต้องยิ่งนัก เพียงได้ยินเจตนาในการมาเยือนของอีกฝ่ายนางก็แทบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา “เจ้าบอกว่าท่านปู่ต้องการให้พวกเรากลับไป?”
“ขอรับ ท่านป๋อผู้เฒ่าร่างกายแย่ลงทุกวัน คิดถึงนายท่านสี่ยิ่งนัก หวังให้นายท่านสี่กับครอบครัวกลับจวนป๋อขอรับ” จางเหยียนแววตาวิบวับเป็นประกาย ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าจ้องฉู่อวิ๋นจิ้งตรงๆ
“น่าเสียดายนะ ท่านพ่อออกทะเลทำการค้าจนถึงวันนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย” ในที่สุดฉู่อวิ๋นจิ้งก็เข้าใจ ก่อนที่บิดาจากไป เหตุใดจึงกำชับนักกำชับหนาว่าไม่ว่าดีร้ายอย่างไรพวกเขาก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจวนจงอี้ป๋ออีก บิดาคงคาดการณ์ไว้แต่แรกว่าจะมีวันนี้
จางเหยียนผงะอึ้ง “นายท่านสี่ยังไม่กลับ?”
“ใช่ รอท่านพ่อกลับมาแล้ว ข้าจะถ่ายทอดคำพูดของท่านปู่ให้ท่านพ่อทราบอย่างแน่นอน”
จางเหยียนได้รับคำสั่งมา ดีที่สุดคือให้พานายท่านสี่กับครอบครัวกลับไปด้วย หากไม่สำเร็จ เป้าหมายคือให้มุ่งตรงไปที่ของแทนใจ
“ไม่ทราบว่าคุณหนูสามรู้เรื่องหยกมังกรหรือไม่”
ฉู่อวิ๋นจิ้งเข้าใจในทันที ที่แท้ก็มาเพื่อหยกมังกร “มันคืออะไรหรือ”
“นายท่านสี่เคยมีบุญคุณช่วยชีวิตอู่หยางโหวที่เซียงโจว อู่หยางโหวจึงสัญญาว่าเมื่อกลับเมืองหลวงจะมอบตำแหน่งให้นายท่านสี่ คราวนั้นอู่หยางโหวไม่มีของมีค่าติดกายเป็นของแทนใจ จึงขอยืมหยกมังกรครึ่งซีกจากสหายมอบให้นายท่านสี่ ทว่าตลอดมานายท่านสี่กลับไม่เคยไปหาที่จวน บัดนี้อู่หยางโหวมาตามถึงที่ ต้องการใช้ของแทนใจอีกชิ้นหนึ่งแลกหยกมังกรครึ่งซีกนั้นกลับไป เพราะอย่างไรเสียก็เป็นสิ่งของของผู้อื่น” จางเหยียนรีบหยิบกล่องบุผ้าไหมออกมา ลุงหลี่รับกล่องบุผ้าไหมมายื่นให้ฉู่อวิ๋นจิ้ง
ฉู่อวิ๋นจิ้งรับมาเปิดกล่องบุผ้าไหมดู เป็นหยกขาวมันแพะราคาแพงหนึ่งชิ้น แต่ถึงล้ำค่าเพียงใดก็เทียบไม่ได้กับหยกมังกรครึ่งซีกของฝ่าบาท เอาเถิด นางไม่ควรรังเกียจ อย่างน้อยจวนจงอี้ป๋อยังรู้จักหาเหตุผลมาเอาของ ไม่คิดแย่งชิงกันตรงๆ
“ของสิ่งนี้เกรงว่าคงต้องให้ท่านป๋อส่งคืนอู่หยางโหวแล้ว ก่อนท่านพ่อจากบ้านไปไม่เคยกล่าวถึงหยกมังกรมาก่อน และของที่ท่านพ่อรักมากที่สุดคือหนังสือตำรามากมายหลายหีบ ไม่มีของล้ำค่าอย่างเครื่องประดับหรือป้ายหยกสักครึ่งชิ้นแน่” ฉู่อวิ๋นจิ้งส่งกล่องบุผ้าไหมให้ลุงหลี่ จากนั้นลุงหลี่ก็ยัดของคืนใส่มือจางเหยียน
“…คุณหนูสามไม่ลองถามนายหญิงสี่สักหน่อยหรือขอรับ เป็นไปได้มากที่นายหญิงสี่จะรู้เรื่องหยกมังกร” จางเหยียนร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านแม่ข้าไม่จัดการธุระพวกนี้หรอก ขนาดข้ายังไม่รู้เรื่องหยกมังกรเลย ท่านแม่จะรู้ได้อย่างไร”
จางเหยียนลนลานประหนึ่งมดบนเตาร้อน แต่ก็เค้นคำพูดออกมาไม่ได้
“เจ้าไปบอกท่านป๋อ แม้ไม่รู้แน่ชัดว่าเป้าหมายที่เขาต้องการหยกมังกรคืออะไร แต่ของแทนใจสูงค่าเพียงนี้ ท่านพ่อข้าไม่มีวันมอบให้ผู้อื่นแน่” ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่กลัวที่จะบอกออกไปอย่างชัดเจน การอาศัยชื่อท่านป๋อผู้เฒ่ามาหลอกเอาของแทนใจเช่นนี้ช่างน่าละอายโดยแท้
“…” ใบหน้าจางเหยียนประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว คุณหนูสามดูออกแล้วหรือ
“ลุงหลี่ ส่งแขก” ฉู่อวิ๋นจิ้งคร้านจะพูดต่อให้มากความ นางลุกขึ้นเดินออกจากโถงรับแขกกลับไปตากหนังสือต่อ
เพราะการคาดเดาของฉู่อวิ๋นจิ้ง เซียวอวี้จึงรู้ทิศทางในการตามหาฉู่ซื่อเหยีย แต่ก่อนหน้านั้นฉู่ซื่อเหยียขึ้นเหนือหรือลงใต้ ผลของทิศเหนือและทิศใต้ย่อมต่างกันโดยสิ้นเชิง โชคดีที่ห้าวันให้หลังหลินคุนก็สืบข่าวมาได้ในที่สุด แม้ฉู่ซื่อเหยียมิได้ออกทะเลไปกับเรือสินค้า แต่ก็นั่งเรือโดยสารเข้าเมืองหลวง
“คนผู้นี้พูดจนเหมือนเห็นทั้งภาพและได้ยินเสียงเลยขอรับ ตลอดทางนี้เขาตามติดฉู่ซื่อเหยียทุกฝีก้าว บอกว่าฉู่ซื่อเหยียพาผู้ติดตามมาด้วยคนหนึ่ง และผู้ติดตามคนนี้มีฝีมือยอดเยี่ยม ด้วยเหตุนี้เขาจึงเกิดความคิดที่จะเชื่อมสัมพันธ์คบค้ากับฉู่ซื่อเหยีย ฉู่ซื่อเหยียมีความรู้รอบด้าน สนทนากับเขาได้ประโยชน์มากยิ่ง ทำให้เขาผุดความคิดที่จะทำการค้าร่วมกับฉู่ซื่อเหยีย ทว่าพอลงจากเรือที่ทงโจวพริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาร่างของฉู่ซื่อเหยียกับผู้ติดตามคนนั้นแล้วขอรับ”
เซียวอวี้พิจารณาอย่างละเอียด เชื่อว่าคนผู้นี้โดยสารเรือขึ้นเหนือลำเดียวกับฉู่ซื่อเหยียจริง ใคร่ครวญจากเรื่องของฉู่ซื่อเหยียผู้นี้คนที่รู้จักล้วนพูดว่ามีความรู้กว้างขวาง ทว่าที่สำคัญที่สุดคือข้างกายฉู่ซื่อเหยียมียอดฝีมืออยู่คนหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่กลับช่วยให้เรื่องนี้ยิ่งดูเป็นความจริงมากขึ้น
“หากที่เขาพูดเป็นความจริง ฉู่ซื่อเหยียน่าจะกลับเมืองหลวงไปแล้ว” เซียวอวี้เคาะโต๊ะเล็กแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว “ฉู่ซื่อเหยียถูกจวนจงอี้ป๋อขับไล่ออกมา พาลูกเมียมาที่เซียงโจว แต่จู่ๆ ก็ลอบกลับไปเมืองหลวง นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน”
“ยามนี้พวกเราไม่อยู่เมืองหลวง ยากจะสืบค้นให้กระจ่างว่าช่วงเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นขอรับ” เกาฉีเพียงเอ่ยขึ้นโดยไม่ตั้งใจ แต่กลับเป็นการเตือนให้เซียวอวี้ฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งได้
“เจ้าไปหาอาจวิ้น คิดหาวิธีเอาจดหมายเหตุราชสำนักของสองปีก่อนมา”
เกาฉีไม่เข้าใจ “จดหมายเหตุราชสำนักของสองปีก่อน?”
ไม่ทันไรหลินคุนก็เข้าใจแล้ว “จากจดหมายเหตุราชสำนักของสองปีก่อนจะทำให้มองแผนงานต่างๆ ของราชสำนักในยามนั้นได้ จากในนั้นเราก็อาจวิเคราะห์ได้ว่าเป้าหมายที่ฉู่ซื่อเหยียเข้าเมืองหลวงคืออะไร”
“เทียบกับอ่านจดหมายเหตุราชสำนัก มิสู้ถามฝ่าบาทโดยตรงเสียเลยขอรับ” เกาฉีเอ่ยขึ้นมา
เซียวอวี้ส่ายหน้า “เวลานี้ข้ายังกลับเมืองหลวงไม่ได้ ได้แต่ให้เหยี่ยวส่งข่าวถึงเจียงจิ่นแล้ว ให้เขาไปๆ กลับๆ จะลำบากเกินไป อีกทั้งเรื่องเมื่อสองปีก่อน หากไม่ตรวจอ่านราชโองการหรือจดหมายเหตุราชสำนัก ฝ่าบาทก็ไม่อาจจดจำได้ว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอะไร มิสู้พวกเราหาจดหมายเหตุราชสำนักตรงๆ จากที่นี่เลย”
“เจียงจิ่นยังอยู่เมืองหลวง ต้องการให้เขากลับมาอยู่ข้างกายคุณชายหรือไม่ขอรับ”
“อยู่เมืองหลวงต่อไปเถอะ ให้เขาสืบค้นให้ชัดว่าฉู่ซื่อเหยียคบหาอยู่กับผู้ใดบ้าง คนพวกนั้นตอนนี้อยู่ที่เมืองหลวงหรือไม่ หากมีคนไปจากเมืองหลวง ไปเมื่อใด ไปที่ใด…เอาเป็นว่ายิ่งละเอียดเท่าใดยิ่งดี แล้วก็…ทางที่ดีให้เขายืนยันให้ได้ว่าสองปีก่อนเขาแอบกลับเมืองหลวงจริงๆ”
“ทราบแล้วขอรับ” เกาฉีเอ่ยตอบรับ
จู่ๆ หลินคุนก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งได้ เขารีบร้อนเอ่ย “คุณชาย ข้าพบว่ามีคนอื่นกำลังสืบเรื่องของฉู่ซื่อเหยียขอรับ”
เซียวอวี้แววตาขรึมลง “สืบมาได้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร”
หลินคุนส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิด “ฝ่ายตรงข้ามระมัดระวังตัวสูงยิ่ง ข้าเพิ่งสังเกตเห็น เขาก็หนีไปแล้ว”
“หากเป็นเช่นนี้คงไม่ใช่พวกที่ตามหลังข้าช่วงนี้”
“คุณชาย จะใช่คนที่ทางจิ้งอ๋องผู้เฒ่าส่งมาหรือไม่” ไม่ว่าเบื้องหลังของจิ้งอ๋องผู้เฒ่าจะมีบุคคลอื่นอีกหรือไม่ แต่ในสายตาเกาฉีคนที่กลัวว่าตราพยัคฆ์ของจริงจะปรากฏขึ้นก็คือจิ้งอ๋องผู้เฒ่า
“ไม่ต้องรีบ ไม่ว่าเป็นใคร สักวันก็ต้องเผยหางออกมา”
“หากอีกฝ่ายหาตัวฉู่ซื่อเหยียพบก่อนก้าวหนึ่งเล่าขอรับ” เกาฉีโพล่งออกมา
เซียวอวี้ตวัดสายตามองเขาอย่างเย็นชา “คนของข้าเทียบกับพวกมันไม่ได้เชียวรึ!”
เกาฉีพลันหดคอ คุณชายของข้าทะนงตนมากเพียงใดกันแน่นะ หากคุณชายเก่งกาจที่สุด ไหนเลยลูกน้องจะแพ้ให้ผู้อื่นได้
เสียงเกาเยี่ยนร้องขึ้นจากนอกประตู “คุณชาย แม่นางฉู่ขอเข้าพบ พ่อบ้านเสี่ยวลู่พาไปรอที่ศาลาบงกชแล้วขอรับ”
เซียวอวี้ลุกขึ้นยืนทันใด ก่อนจะก้าวเท้ายาวออกไปข้างนอก
เกาฉีกับหลินคุนเห็นแล้วพลันตะลึงงัน แล้วรีบร้อนตามไป
ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่รู้ฐานะของลู่ไป่จวิ้น ถึงอย่างนั้นก็เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายเกิดมาในสกุลมั่งมี จริงดังคาด เมื่ออยู่ในคฤหาสน์สกุลลู่ที่มีนามว่าจู๋ย่วน ยามที่ยืนอยู่ในศาลาบงกชซึ่งตั้งอยู่กลางบ่อน้ำ ไม่ว่ามองจากซ้ายขวาหรือเหนือใต้ก็ล้วนเป็นภาพที่งดงามหาใดเปรียบ นางยิ่งแน่ใจว่าภูมิหลังตระกูลของลู่ไป่จวิ้นต้องส่องแสงวาวโรจน์เช่นกัน
มองทิวทัศน์ตรงหน้าแล้ว จู่ๆ นางก็ฉุกคิดถึงกลอน ‘บงกช’ ของหยางวั่นหลี่กวีสมัยซ่งใต้ขึ้นมา ‘บงกชแดงขาวผลิบานในบ่อน้ำ สองสีสันหนึ่งกลิ่นหอมจรุง’
ก่อนหน้านี้เซียวอวี้ยังรีบร้อนเดินมาอยู่แท้ๆ ทว่าพริบตาต่อมาเขาก็หยุดชะงักฝีเท้าลง เพียงมองโฉมสะคราญซึ่งงามประดุจภาพวาดอย่างเงียบเชียบ
นางเป็นหญิงสาวที่พิเศษยิ่งโดยแท้ ราวกับไม่ว่าเวลาหรือสถานที่ใดนางก็ล้วนเป็นอิสระไร้ข้อผูกมัด คล้ายกับไม่มีผู้ใดดำรงอยู่…ไม่สิ ไม่ถูกต้อง ควรพูดว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องล้วนไม่ดำรงอยู่ในสายตานาง
ฉู่อวิ๋นจิ้งมองไปทางซ้ายทีขวาที ในที่สุดก็เห็นเซียวอวี้ นางรีบร้อนเก็บท่าทางเอ้อระเหยของตนเอง ก่อนเดินเข้าไปคารวะ “ซื่อจื่อ รบกวนแล้ว”
“ไม่เลย ข้ากำลังจะไปหาคุณหนูใหญ่พอดี นึกไม่ถึงคุณหนูใหญ่ก็มาแล้ว คุณหนูใหญ่ค้นพบอะไรใช่หรือไม่” เซียวอวี้พยายามเก็บอาการลิงโลดที่ได้พบนาง
“ข้าพบว่าท่านพ่อมีหนังสือสะสมเกี่ยวกับธรรมเนียมจารีตและสภาพความเป็นอยู่ของต่างแคว้นมากมายยิ่งนัก”
เซียวอวี้พลันนึกถึงคนที่บอกว่าตนเองนั่งเรือลำเดียวกับฉู่ซื่อเหยีย กล่าวว่าฉู่ซื่อเหยียมีความรู้กว้างขวาง สนทนากันได้ประโยชน์มากมาย ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความคิดอยากร่วมมือทำการค้ากับฉู่ซื่อเหยีย แท้จริงก็เพราะต้องใจที่ฉู่ซื่อเหยียแตกฉานธรรมเนียมจารีตและสภาพความเป็นอยู่ของต่างแคว้น…สมองเขาพลันแล่นปราด รีบบอกเรื่องที่หลินคุนสืบมาได้กับฉู่อวิ๋นจิ้ง
“ข้างกายพ่อข้ามีผู้ติดตามจริงๆ แต่เหตุใดพวกเขาต้องลอบกลับเมืองหลวงไปด้วย”
“นี่เป็นเรื่องเมื่อสองปีก่อน อาจต้องใช้เวลาในการตรวจสอบให้กระจ่างชัด”
“ข้ารู้สึกว่าเรื่องที่ท่านพ่อจะไปยังต่างแคว้นมีความเป็นไปได้มากนัก”
“แต่จากที่ข้าทราบมา นับแต่ฝ่าบาทสืบราชบัลลังก์มาจนวันนี้ ทรงมิเคยส่งทูตไปเยือนต่างแคว้นเลย”
ฉู่อวิ๋นจิ้งฟังแล้วพลันยิ้มขื่น “นั่นก็จริง หากเป็นทูตที่ฝ่าบาททรงส่งไป ท่านพ่อก็ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ”
“แต่อย่างน้อยก็มีเบาะแสอะไรบ้างแล้ว ไม่จำเป็นต้องงมเข็มในมหาสมุทร”
คิดเช่นนี้หัวคิ้วของฉู่อวิ๋นจิ้งก็คลายลง “จริงสินะ อย่างน้อยๆ ก็พอคาดเดาได้ว่าพ่อข้าไปยังที่ใด”
“หากได้ข่าวคืบหน้า ข้าจะบอกคุณหนูใหญ่ทันที” เซียวอวี้เอ่ยปากเพื่อให้นางวางใจ
ฉู่อวิ๋นจิ้งคารวะขอบคุณอย่างนอบน้อม “ลำบากซื่อจื่อแล้ว”
“เรื่องของคุณหนูใหญ่ก็คือเรื่องของข้า ข้าควรต้องทำอยู่แล้ว”
ฉู่อวิ๋นจิ้งตกตะลึงไป ถ้อยคำนี้ฟังดูพิกลนัก ทว่าชั่วขณะนั้นนางกลับคิดไม่ออกว่ามีปัญหาตรงที่ใด
เซียวอวี้เห็นฉู่อวิ๋นจิ้งมีท่าทางเหม่อลอยงุนงง เขาก็อดไม่ได้ต้องยกมือขึ้น ทว่ายกได้เพียงครึ่งทางก็ลดมือลง หากข้าลูบผมนางจริง นางจะต้องเสียขวัญจนหนีกระเจิงไปเป็นแน่
ฉู่อวิ๋นจิ้งคิดว่าตนเองเป็นคนฉลาด แต่ไรมาก็เข้าใจเรื่องราวได้โดยง่าย ทว่านางกลับไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้ตนเองว้าวุ่นใจในตอนนี้ คนดีๆ สองคนไยจึงเปลี่ยนเป็นแปลกพิกลได้กะทันหันเล่า
ด้วยยังคิดไม่ตกและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ฉู่อวิ๋นจิ้งจึงได้แต่รีบเอ่ยปากขอตัวไป
เซียวอวี้เห็นเช่นนั้นก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ ที่แท้นางก็มียามที่ตระหนกลนลานเช่นกัน ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก
“เพื่อของชิ้นนี้ ข้าเสียเงินไม่พอ ยังต้องใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีอยู่อีก” ลู่ไป่จวิ้นโยนสมุดในมือลงไปบนโต๊ะเล็กอย่างแค้นใจ เนื้อหาในสมุดคัดลอกมาจากจดหมายเหตุราชสำนักเมื่อสองปีก่อน
หากมิใช่ขุนนาง โดยปกติย่อมไม่โอกาสไปค้นหาจดหมายเหตุราชสำนักที่เก็บรักษาไว้ที่จวนว่าการได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการยืมออกมาคัดลอกเลย ลู่ไป่จวิ้นจึงทำได้เพียงติดสินบน ต่อด้วยส่งของกำนัลล้ำค่าเพื่อเชิญคนมาคัดลอก ทั้งยังกลัวว่าคนผู้นั้นจะไม่ตั้งใจคัดลอกให้เขาอีก จึงต้องจ้างคนมาคอยจับตาดูข้างๆ
เซียวอวี้เบะปากอย่างไม่เห็นด้วย “อาศัยฐานะของเจ้า ไหนเลยต้องใช้เส้นสายทั้งหมดถึงจะเอาจดหมายเหตุราชสำนักมาได้”
“หากเป็นของทั่วไปที่แค่มีตำแหน่งก็เอามาได้ ไยเจ้าไม่ออกโรงเองเสียเลยเล่า ฐานะของเจ้าใช้การได้ดีกว่าข้าอีกนะ” ในเมื่อเขามีเพียงความคิดจะดูแลหอจ้วนเซียนอยู่เต็มท้อง อยู่ๆ จะไปใส่ใจเรื่องราวในราชสำนักได้เยี่ยงไร แน่นอนว่าตามหลักแล้วพ่อค้าก็ควรใส่ใจทิศทางของราชสำนักบ้าง ทว่าที่ใส่ใจน่ะคือทิศทางในอนาคต หาใช่อดีตไม่!
“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก ข้าอยู่ที่นี่ก็เป็นแค่นักเดินทาง ไม่แน่ว่าคนอื่นเขาจะเห็นแก่ฐานะข้า” เซียวอวี้พลิกเปิดสมุดพลางเพ่งดูอย่างละเอียด
ลู่ไป่จวิ้นนั่งลงบนตั่งนุ่มอีกด้านหนึ่ง “เหตุใดอยู่ๆ ถึงจะตรวจสอบจดหมายเหตุราชสำนักเมื่อสองปีก่อนเล่า”
เซียวอวี้โบกมือไปมาเป็นการบอกไม่ให้เขาเสียงดัง แล้วอ่านข้อความในสมุดต่อ
ลู่ไป่จวิ้นจึงเบนสายตาไปที่เกาฉีเสียเลย
เกาฉีรีบร้อนเบือนหน้าหนี เวลาเช่นนี้หากกล้ารบกวนคุณชาย เกรงว่าข้าคงต้องเป็นใบ้ไปสามวัน ข้าไม่เอาด้วยหรอก
ลู่ไป่จวิ้นทำได้เพียงเฝ้ารออย่างอดทน ยังดีที่เซียวอวี้มีความสามารถในการกวาดตาอ่านที่รวดเร็วยิ่ง เพียงไม่นานก็หยุดนิ่งไม่เลื่อนสายตาต่อแล้ว
“หาเจอแล้วหรือ” ลู่ไป่จวิ้นขยับเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เซียวอวี้ขอชาดจากเกาฉี ทำเครื่องหมายลงบนจุดหนึ่งของรายงานนั้น “เปิดการค้าขายข้ามชายแดนใหม่ นี่เป็นพระดำริแรกหลังฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์”
“เรื่องนี้ข้าจำได้ ตอนนั้นมีขุนนางคัดค้านไม่น้อย ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานราชสำนักก็ปั่นป่วน ผู้คนจิตใจระส่ำระสาย ฝ่าบาทกลับมีพระดำริจะเปิดการค้าข้ามชายแดน นี่มิใช่หาเรื่องใส่ตัวหรือ”
เซียวอวี้พยักหน้า “อดีตฮ่องเต้ปิดการค้าข้ามชายแดนไปด้วยความจนใจ เนื่องจากแคว้นเยียนกับแคว้นเหลียงต่างก็มีใจทะเยอทะยาน พวกเขาใช้หนังสัตว์แลกเสบียงและอาวุธจากพ่อค้า ซ้ำยังลอบผูกสัมพันธ์กัน หากสร้างกองทัพ แคว้นต้าโจวย่อมลำบากแน่ ทั้งอดีตฮ่องเต้มีพระวรกายไม่สู้ดี กระนั้นก็ทรงต่อต้านสงครามมาแต่ไหนแต่ไร จึงทำได้เพียงปิดการค้าชายแดนเท่านั้น เช่นนี้ไม่เพียงสามารถยับยั้งอาวุธไหลเข้าสู่แคว้นทั้งสองได้ ยังทำให้สองแคว้นซื้อเสบียงไม่ได้ด้วย ทำให้ยากต่อการกักตุนเสบียงสร้างกองทัพ”
“เหตุใดฝ่าบาทจึงมีพระดำริจะเปิดชายแดนค้าขายอีกครั้งเล่า”
“แคว้นเหลียงซื้อเสบียงไม่ได้ก็สามารถไปซื้อจากแคว้นเล็กแคว้นน้อยทางตะวันตกเฉียงใต้ได้ ขณะที่แคว้นเยียนนั้นข้นแค้น จึงให้ทหารม้ามารุกรานชายแดนบ่อยครั้งเพื่อแย่งเสบียงอาหาร ฝ่าบาททรงเล็งเห็นว่าการปิดการค้าชายแดนไม่อาจหยุดความทะเยอทะยานของสองแคว้นลงได้ พวกที่หากินจากการค้าของเถื่อนก็มีแต่จะยิ่งกำเริบเสิบสาน ชีวิตของชาวบ้านชายแดนก็ยิ่งยากลำบาก นี่เป็นกลยุทธ์ชั้นเลวโดยแท้ มิสู้เปิดการค้าข้ามชายแดน ภาษีที่เก็บได้เพียงพอให้เลี้ยงกองทหารม้าได้กองหนึ่ง นอกจากนี้การไปหาสู่กันมากขึ้นยิ่งทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้”
ลู่ไป่จวิ้นพยักหน้าเห็นด้วย “ปิดประตูการค้าเช่นนี้นอกจากจะยับยั้งพ่อค้าที่อยากหาเงินไม่ได้แล้ว ยังทำให้ตนเองกลายเป็นคนตาบอดด้วย”
“ในสายตาขุนนางการที่ฝ่าบาททรงเปิดการค้าขายข้ามชายแดนนั้นถือเป็นการแสดงอำนาจ พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานอย่างไรก็ต้องกระทำสองสามเรื่องที่ทำให้คนหมู่มากประจักษ์ชัดว่าพระองค์คือผู้เป็นใหญ่ การตัดสินใจของเขาไม่อาจให้ผู้อื่นมาสอดปากได้” เซียวอวี้เชื่อว่าฝ่าบาทมีเจตนาหมายแสดงอำนาจจริง ถึงอย่างนั้นก็มีความมุ่งหมายที่ลึกซึ้งยิ่งอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งเป็นไปได้มากว่าฉู่ซื่อเหยียจะพัวพันกับเรื่องนี้ และแน่ชัดว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเอง ยังต้องหาหลักฐานเพิ่มอย่างละเอียด
“ข้าจำได้ว่าแม้จะเปิดการค้าขายข้ามชายแดนใหม่อีกครั้ง แต่ทหารประจำการก็เพิ่มขึ้นมาก การลาดตระเวนชายแดนก็ยิ่งเข้มงวดขึ้น หากตรวจพบของต้องห้ามล้วนมีโทษเทียบเท่ากบฏ”
“ถึงอย่างนั้นเป้าหมายของฝ่าบาทก็ทรงบรรลุแล้วมิใช่หรือ”
“เรื่องนี้ทำให้ฝ่าบาททรงได้รับชื่อเสียงและความนิยมจากบรรดาแม่ทัพชายแดนอย่างมาก มีผลให้บัลลังก์มังกรของฝ่าบาทมั่นคงขึ้น”
“ฝ่าบาทดูคล้ายอ่อนโยน ทว่าจิตใจกลับกว้างใหญ่เหนือกว่าไท่จู่” ลู่ไป่จวิ้นเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ว่าแต่เจ้าสืบเรื่องนี้ไปไย”
เซียวอวี้เล่าถึงเบาะแสการค้นหาฉู่ซื่อเหยียที่ตนเองค้นพบออกมา รวมทั้งเบาะแสที่ฉู่อวิ๋นจิ้งให้ ทั้งหมดล้วนพุ่งไปที่ฉู่ซื่อเหยีย…ไม่ไปแคว้นเยียนก็เป็นแคว้นเหลียง
ลู่ไป่จวิ้นดีใจยิ่งนักที่พบร่องรอยของหยกมังกรแล้ว ทว่าเวลานี้สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง “ความสัมพันธ์ของเจ้ากับแม่นางฉู่ในตอนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ”
เซียวอวี้ชำเลืองมองลู่ไป่จวิ้นโดยที่ใบหน้าไม่เปลี่ยนสี “นางเป็นภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้าของข้า ความสัมพันธ์ย่อมแตกต่างจากคนแปลกหน้าอยู่แล้ว”
ลู่ไป่จวิ้นพลันอ้าปากค้างทันใด เขาไม่อาจหาเรื่องมาโต้แย้งได้จริงๆ
“แล้วพวกที่ตามหลังสองสามกลุ่มนั่นตรวจสอบแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” เซียวอวี้เปลี่ยนไปถามอีกเรื่องแทน
“ข้าเกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท นักเลงท้องถิ่นไม่กี่คนพวกนั้นล้วนเป็นลูกน้องของสกุลอู๋”
“สกุลอู๋? สกุลอู๋ที่ทำกิจการซื้อขายแพรไหมอยู่ทางตะวันออกของเมืองน่ะหรือ”
ได้ยินเช่นนั้นลู่ไป่จวิ้นก็อดยกนิ้วโป้งขึ้นไม่ได้ “ยอดเยี่ยม! ข้ามาเซียงโจวกว่าครึ่งปีถึงแยกแยะได้ชัดเจนว่าสองสามตระกูลคหบดีใดบ้างที่เป็นตระกูลสำคัญของที่นี่ แล้วยังทำกิจการค้าขายอะไร เจ้ามาไม่ทันไรก็คลำชัดแล้วรึนี่”
“สกุลอู๋เป็นคหบดีใหญ่อันดับต้นๆ ของเซียงโจว ยามไปโรงน้ำชาก็ต้องได้ยินเรื่องของสกุลอู๋สักประโยคสองประโยค จิตใจเจ้าอยู่แต่กับหอจ้วนเซียน เกรงว่าคงไม่มีอารมณ์ไปนั่งในโรงน้ำชากระมัง”
“ข้อนี้ข้าสู้เจ้าไม่ได้จริงๆ แต่เจ้าไม่มีทางรู้แน่ว่าสกุลอู๋ส่งบุตรสาวคนหนึ่งไปเป็นอนุให้จิ้งอ๋อง”
“สกุลอู๋ส่งบุตรสาวไปถึงมือจิ้งอ๋องได้อย่างไรกัน”
“จิ้งอ๋องมาเซียงโจวเพื่อร่วมงานวันเกิดอายุแปดสิบปีของท่านยายของเขา คหบดีตระกูลต่างๆ ผลัดกันเป็นเจ้าภาพเชิญร่วมงานเลี้ยง คิดใช้โอกาสนี้ส่งลูกที่เกิดจากอนุภรรยาไปเป็นอนุภรรยาของจิ้งอ๋องเพื่อผูกสัมพันธ์เป็นครอบครัวเดียวกับจิ้งอ๋อง ทว่าจิ้งอ๋องรับเพียงบุตรสาวสกุลอู๋เพียงผู้เดียว ว่ากันว่าหญิงผู้นี้เป็นโฉมสะคราญแห่งเจียงหนานที่แท้จริง จิ้งอ๋องชมชอบยิ่งนัก”
นิ่งเงียบไปพักหนึ่งเซียวอวี้จึงเอ่ยอย่างเลื่อมใส “เรื่องนี้จัดการได้ประจวบเหมาะเสียจริง คนผู้นี้มีความคิดละเอียดรอบคอบโดยแท้”
ลู่ไป่จวิ้นอึ้งงันไป “หมายความว่าอะไร”
“เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับจิ้งอ๋องผู้เฒ่า จึงมีความเป็นไปได้ที่จิ้งอ๋องจะใส่ใจที่อยู่ของหยกมังกรครึ่งซีกนั้น” จิ้งอ๋องผู้เฒ่าขาดเท้าอีกข้างหนึ่งก็จะก้าวลงโลงอยู่แล้ว ยามนี้หากคิดวางแผนสิ่งใดย่อมต้องทำเพื่อบุตรชาย นี่ถือเป็นหลักการทั่วไป
ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งลู่ไป่จวิ้นก็เข้าใจ “มีคนจงใจลากจิ้งอ๋องออกมา พอพวกเราจับตาดูจิ้งอ๋อง เขาก็จะหนุนหมอนไร้กังวล”
“อาจไม่ถึงขั้นหนุนหมอนไร้กังวล เพราะต่อให้จิ้งอ๋องผู้เฒ่าเป็นคนที่น่าจะปลอมตราพยัคฆ์มากที่สุด แล้วมอบตราพยัคฆ์ปลอมนั้นให้จิ้งอ๋องจริง ทว่าจิ้งอ๋องผู้นี้กลับเป็นคนที่หูเบายิ่ง ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง อาจมีคนหวังใช้จุดอ่อนนี้หลอกใช้เขาก็ได้ หากมีคนรู้เรื่องนี้แล้วไม่ว่าใครก็ต้องพุ่งมาที่ตราพยัคฆ์ปลอมทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงพวกเราเลย”
“มิผิด ข้านั้นใสซื่อเกินไป ไม่เหมือนเจ้า ช่างเจ้าแผนการยิ่งนัก” เมื่อได้รับสายตาเย็นชาจาก ‘บางคน’ ลู่ไป่จวิ้นก็รีบหัวเราะฮ่าๆ แล้วเปลี่ยนไปถามว่า “หากไม่ใช่จิ้งอ๋องแล้วจะเป็นผู้ใด”
“ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือหนิงอ๋องและอู่อ๋อง” หนึ่งคือพี่ชายของฝ่าบาท อีกหนึ่งคือน้องชายของฝ่าบาท พวกเขาต่างเป็นองค์ชายที่เคยมีโอกาสได้นั่งบัลลังก์มังกร อาจเคยมีโอกาสมากกว่าฝ่าบาทเสียด้วยซ้ำ เพราะโอรสที่อดีตฮ่องเต้ชื่นชอบที่สุดคือหนิงอ๋อง ขณะที่เสียนเฟยชายาที่โปรดปรานที่สุดคือมารดาของอู่อ๋อง
“หนิงอ๋องผู้นี้แต่ไรมาไม่มีปากมีเสียง กลับเป็นอู่อ๋องที่วันๆ ทำตัวเกะกะระราน มีเรื่องเล็กใหญ่ไม่ขาด”
“เกะกะระรานมีอันใดไม่ดีเล่า อย่างน้อยเจ้าก็รู้ว่าเขากำลังทำเรื่องไม่ดีอะไร แน่นอนว่าอาจเป็นภาพลวงก็เป็นได้ ทว่าการไม่มีปากมีเสียง เงียบเชียบคล้ายใช้ชีวิตอยู่ในกรอบไม่ออกนอกลู่นอกทางกลับทำให้คนไม่รู้ตื้นลึกมากกว่า” ด้วยการเลี้ยงดูแบบพิเศษของบิดาจึงมีน้อยนักที่เซียวอวี้จะไปมาหาสู่กับชนชั้นสูงในเมืองหลวง ในสายตาของเขาหนิงอ๋องกับอู่อ๋องจึงนับเป็นคนแปลกหน้า
ลู่ไป่จวิ้นพิจารณาอย่างละเอียดก็เห็นว่าเป็นไปได้จริงๆ ทว่าเขายังคงอดพูดแทนหนิงอ๋องไม่ได้ “หนิงอ๋องผู้นี้นิสัยดี เขาขึ้นชื่อว่าเป็นคนดีในหมู่ชนชั้นสูงของเมืองหลวงเชียวนะ”
เซียวอวี้ไม่แยแสคำพูดของคนภายนอกแม้แต่น้อย ทุกคนล้วนมีความชอบของตนเอง ทั้งยังเป็นยอดฝีมือในการใส่น้ำมันเติมน้ำส้ม สุดท้ายจริงหรือเท็จก็ไม่แน่ชัด เนื่องจากทุกคนก็เอาสิ่งที่ตนเองเห็นมาตัดสินจริงเท็จอยู่ดี
“นี่เจ้าไม่เห็นด้วยรึ”
“ไม่รู้จัก และไม่มีอะไรจะพูด” เซียวอวี้ปิดสมุดในมือ “ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องมาสนใจเรื่องนี้ เพียงตั้งอกตั้งใจเปิดหออีผิ่นของเจ้าไปเถิด”
“อะไรนะ!” ลู่ไป่จวิ้นเกือบจะคิดตามไม่ทันอยู่แล้ว
“เจ้าเตรียมตัวได้แล้ว ภายในสามเดือนข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนาแน่” เซียวอวี้ยกสมุดในมือขึ้นมาปิดปากของลู่ไป่จวิ้น ห้ามไม่ให้เขาพูดจาไร้สาระ “พวกเราเดินไปคุยไปเถอะ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งมองดูคนสองคนที่นั่งกินไข่ใบชาเป็นเพื่อนฉู่เหยียนบนม้าหิน ซึ่งก็คือเซียวอวี้กับลู่ไป่จวิ้น เมื่อมองสภาพ ‘คึกคัก’ บนโต๊ะหินในยามนี้ด้วยแล้วนางก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรออกมาดี
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ต้มไข่ใบชาเสร็จแล้ว นางก็ออกไปส่งงานที่โรงปักผ้า คิดไม่ถึงพอกลับมาในบ้านจะมีคนเพิ่มขึ้นอีกสองคน ไข่ใบชาหนึ่งหม้อเหลือเพียงแค่เปลือกไข่…โชคดีที่นางเก็บไข่ใบชาไว้หนึ่งถ้วยน้ำแกงก่อนแล้วเพื่อเตรียมเป็นอาหารมื้อดึกให้ฉู่เย่าตอนกลางคืน
“อร่อยจริงๆ ยังมีอีกหรือไม่” เซียวอวี้มองฉู่อวิ๋นจิ้งราวกับยังกินไม่จุใจพอ
คนผู้นี้จะวางตัวเป็นกันเองไปหน่อยหรือไม่ ฉู่อวิ๋นจิ้งมองผ่านสถานการณ์ประหลาดตรงหน้านี้ไป แล้วเอ่ยเป็นจริงเป็นจริงขึ้น “อาหารว่างพวกนี้กินมากไม่ได้ แค่กินเป็นบางทีก็พอ”
“เหตุใดจึงกินมากไม่ได้เล่า”
“ข้าพูดไปท่านก็ไม่เข้าใจ”
“เจ้ายังไม่พูดเลย แล้วรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่เข้าใจ” เซียวอวี้ยังคงอยากรู้เหตุผลนั้น
แม้ใบชาจะช่วยเพิ่มกลิ่นหอมของไข่ได้ ทว่ากรดแทนนินในใบชากลับง่ายต่อการรวมตัวกับธาตุเหล็กที่อยู่ในไข่ นอกจากจะทำให้ระคายกระเพาะอาหารแล้ว ยังเป็นสาเหตุของปัญหาอาหารไม่ย่อยอีกด้วย สิ่งเหล่านี้พวกท่านเข้าใจหรือไม่ ฉู่อวิ๋นจิ้งได้แต่คิดในใจแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนี้พวกท่านมาเยือนด้วยเรื่องใด”
“พวกเราอยากมาหารือเรื่องการเปิดหอสุราในเมืองหลวง” ลู่ไป่จวิ้นตอบอย่างรู้หน้าที่ดี เนื่องจากหอสุราเป็นกิจการของเขา แน่นอนว่าต้องให้เขาเป็นผู้จัดการเรื่องนี้
ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกขบขันเป็นที่สุด “ข้าดูเหมือนว่าไม่ได้รับปากว่าจะร่วมมือกับคุณชายลู่นี่”
“สี่ส่วน” ลู่ไป่จวิ้นยกมือขวาขึ้นชูสี่นิ้วอย่างชัดเจนไม่อ้อมค้อม
ฉู่อวิ๋นจิ้งยอมรับว่าตนเองตกใจอย่างมาก จากหนึ่งส่วนกระโดดไปเป็นสี่ส่วน ออกจะดีดตัวขึ้นสูงเกินไปแล้วกระมัง ทว่าในชั่วพริบตานางก็สงบลง ก่อนส่ายหน้าด้วยความเด็ดเดี่ยวยิ่ง “ไม่ว่าคุณชายลู่จะให้เงื่อนไขดีเพียงใดก็ล้วนไม่เป็นผล”
ลู่ไป่จวิ้นปรายตามองเซียวอวี้ตามจิตใต้สำนึกทันที ทั้งสองตกลงกันก่อนหน้าแล้ว เซียวอวี้จะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการโน้มน้าวนี้
เซียวอวี้บอกกับฉู่เหยียนว่าอยากดื่มอะไรเย็นๆ สักหน่อย เดิมทีฉู่เหยียนกำลังเงี่ยหูฟังพวกเขาพูดกันอยู่ ไม่นึกอยากแยกออกไปสักนิด แต่พอฉู่อวิ๋นจิ้งเอ่ยปากให้เขาไปบอกป้าหลี่ให้ยกชาชะเอมปั้วเหอมา เขาก็ได้แต่ทำปากยื่น กระโดดลงจากเก้าอี้อย่างว่าง่ายไปแจ้งกับห้องครัว
แยกตัวคนไม่เกี่ยวข้องออกไปแล้ว เซียวอวี้ก็พูดอย่างมั่นใจในเหตุผล “เมื่อท่านอากลับมาอย่างปลอดภัย ท้ายที่สุดพวกเจ้าก็ต้องกลับเมืองหลวง”
ฉู่อวิ๋นจิ้งขึงตาใส่อย่างอดไม่ได้ “ท่านพ่อจะกลับมารับพวกเราเอง”
“นี่ย่อมแน่นอน แต่หากพวกเจ้าเข้าเมืองหลวง ข้าก็สามารถคุ้มกันพวกเจ้าได้ง่ายมากขึ้น”
ฉู่อวิ๋นจิ้งใบหน้าเปลี่ยนสี “ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่าน”
“นอกจากข้ายังมีคนอีกกลุ่มตามหาร่องรอยของพ่อเจ้าอยู่ นั่นเป็นเพราะหยกมังกรบนตัวท่านอาเกี่ยวพันถึงตราพยัคฆ์และสมุดรายชื่อของทหารเรือกองหนึ่ง เป็นกองทหารที่องอาจห้าวหาญและเชี่ยวชาญการรบกองหนึ่ง ในบันทึกคุณูปการสร้างแคว้นของต้าโจวถึงกับครองหน้ากระดาษที่สำคัญที่สุดหน้าหนึ่ง เป็นเหตุให้ฝ่าบาทรีบร้อนหาหยกมังกรครึ่งซีกนั้นกลับมา” เซียวอวี้เคยใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว หากต้องการเปลี่ยนความคิดนางให้ได้ ที่ดีที่สุดคือให้เหตุผลที่นางจำเป็นต้องไปจากที่นี่ และหยกมังกรครึ่งซีกบนตัวฉู่ซื่อเหยียก็เป็นสิ่งที่เขานำมาอธิบายเรื่องราวให้ดูใหญ่โตขึ้นได้
ฉู่อวิ๋นจิ้งพลันรู้สึกว่าสมองของนางสับสนวุ่นวายไปหมด คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะมีเผือกร้อนลวกติดตัวก้อนหนึ่ง
“วันนั้นคุณหนูใหญ่บอกข้าว่าเป็นไปได้มากว่าท่านพ่อจะไปแคว้นข้างเคียง ข้าจึงไปตรวจสอบจดหมายเหตุราชสำนักของสองปีก่อนดู พบว่ามีความเป็นไปได้อยู่จริงๆ” เซียวอวี้เหลือบมองเกาฉี เขารีบนำสมุดคัดลอกจดหมายเหตุยื่นให้ฉู่อวิ๋นจิ้งทันที “คุณหนูใหญ่ดูจุดที่มีชาดทำเครื่องหมายไว้เถิด นี่เป็นเรื่องแรกที่ฝ่าบาทมีพระดำริหลังสืบราชบัลลังก์…เปิดการค้าขายข้ามชายแดนใหม่ ภายในสามเดือนหลังจากนั้น ก็มีขบวนพ่อค้าไปทำการค้ายังแคว้นเยียนและแคว้นเหลียงถึงยี่สิบสามสิบกอง”
ฉู่อวิ๋นจิ้งเปิดสมุดจนหาจุดที่ทำเครื่องหมายชาดพบ ก่อนจะอ่านเนื้อหาอย่างละเอียด “หากท่านพ่อตามขบวนพ่อค้าไปแคว้นเยียนหรือแคว้นเหลียงจริงๆ แม้จะหาเงินได้จนถุงเหอเปาล้นปริ่ม แต่ก็ไม่อาจสร้างอนาคตได้ จะพาพวกเราทั้งครอบครัวกลับเมืองหลวงอย่างสง่าสมเกียรติได้อย่างไรกัน”
เซียวอวี้ก้าวขึ้นหน้ามา จวบจนช่องว่างระหว่างทั้งสองคนไม่เหลือให้บุคคลที่สาม ฉู่อวิ๋นจิ้งก็อดตัวแข็งค้างไปไม่ได้ ความรู้สึกกดดันอันไร้ที่มาขุมหนึ่งพลันอบอวลอยู่รอบกายนาง เสียงแหบทุ้มของเขาดังพาดผ่านข้างหูอย่างเชื่องช้า “ข้าสงสัยว่าหนึ่งในนั้นอาจมีขบวนพ่อค้าที่ฝ่าบาททรงส่งไป”
ฉู่อวิ๋นจิ้งข่มความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองลงไป ก่อนจะหันหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ตอนอดีตฮ่องเต้ยังครองราชย์อยู่นั้น การปิดกั้นการค้าขายชายแดน ปิดพรมแดนไม่ให้มีคนเข้าออกทำให้การติดต่อไปมาหาสู่ระหว่างแคว้นต้าโจว แคว้นเยียน และแคว้นเหลียงต้องขาดสะบั้นลง แม้จะมีขบวนพ่อค้าอีกไม่น้อยเดินทางจากแคว้นเล็กไปยังแคว้นเยียนและแคว้นเหลียง หรืออาจเสี่ยงภยันตรายเพื่อข้ามพรมแดนเข้าสู่ทั้งสองแคว้น แต่ข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับแคว้นเยียนและแคว้นเหลียงก็ยังน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากยังไร้ข่าวคราวเช่นนี้ ไม่ถึงสิบปีอาจมีการเปลี่ยนแปลงจนถึงขั้นทำลายราชสำนักได้ภายในหนึ่งคืน ฝ่าบาททรงไม่อาจทนรับความว่างเปล่าตลอดสิบปีนี้ได้ จึงทรงส่งคนเดินทางไปสืบข่าวตรวจสอบทั่วแคว้นเยียนกับแคว้นเหลียง”
ฉู่อวิ๋นจิ้งพลันเข้าใจกระจ่าง “แม้ไปในนามขบวนพ่อค้า ทว่าแท้จริงคือสายลับของฝ่าบาท?”
“สายลับ อืม…คำนี้เรียกได้เหมาะสมยิ่งนัก”
ฉู่อวิ๋นจิ้งขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล “นี่มิใช่อันตรายมากหรือ”
“คุณหนูใหญ่คาดเดาได้ในใจตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ หากท่านอาอยากหลุดพ้นจากการข่มเหงของคนในจวนจงอี้ป๋อ มีเพียงต้องเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อให้ได้มาซึ่งความก้าวหน้า”
ฉู่อวิ๋นจิ้งออกแรงกัดริมฝีปากล่าง ไม่ผิด ทว่าการคาดเดาก็เรื่องหนึ่ง หลังพิสูจน์ความจริงได้แล้วก็เป็นอีกเรื่อง
เซียวอวี้เห็นท่าทางของฉู่อวิ๋นจิ้งแล้วก็รู้สึกปวดใจยิ่ง เขาอยากเข้าไปปลอบโยนความไม่สงบใจของนางยิ่งนัก แต่เขายังทำเช่นนั้นไม่ได้ ทำได้เพียงปลอบโยนนางด้วยคำพูด
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย ผู้ที่ทำให้ฝ่าบาทต้องพระทัยจนได้รับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้จะต้องเป็นยอดฝีมือในยอดฝีมืออย่างแน่นอน”
“หากท่านพ่อเป็นสายลับของฝ่าบาทจริง ฝ่าบาทก็น่าจะทรงรู้ว่าท่านพ่ออยู่ที่ใด เหตุใดจึงต้องให้ท่านมาตามหาหยกมังกรครึ่งซีกถึงที่เซียงโจวด้วย”
“ข้าคาดว่าฝ่าบาทเพียงรับสั่งภารกิจนี้กับคนผู้หนึ่ง ส่วนคนผู้นั้นจะตามหาใครมารวมตัวเป็นขบวนพ่อค้าบ้างนั้น ฝ่าบาททรงไม่ทราบแม้แต่น้อย แต่ที่มั่นใจได้คือขบวนพ่อค้าก็ต้องเป็นขบวนพ่อค้า ในสายตาคนนอกไม่มีทางมองสายสนกลในออก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ขบวนพ่อค้าถูกคนจับตามอง”
ยามนี้เป็นกังวลไปก็ไม่เกิดผล นางยังไม่รู้แน่ชัดเลยว่าแท้จริงบิดาไปที่ใด จึงได้แต่พักเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว กลับไปยังคำถามก่อนหน้าของพวกเขา “เรื่องท่านพ่อเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของพวกเราอย่างไร”
“หากตามหาท่านอาไม่พบ ก็ทำได้เพียงลงมือกับพวกเจ้า พวกเจ้าอยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัยหรอก”
ฉู่อวิ๋นจิ้งกลับเห็นต่าง “พวกเรายังไม่รู้ที่อยู่แน่ชัดของท่านพ่อเลย ลงมือกับพวกเราจะไปมีประโยชน์อะไร”
“หากสงสัยว่าพวกเจ้ามีเจตนาปิดบังเล่า”
ฉู่อวิ๋นจิ้งสงบนิ่งลงทันใด พวกเขาย่อมไม่กลัวผู้อื่นมาตรวจสอบ เนื่องจากไม่รู้ที่อยู่ของท่านพ่อจริงๆ จะกลัวก็แต่คนอื่นจะเข้ามาก่อความวุ่นวายไม่เลิกรา พวกเขาเป็นแค่ชาวบ้านที่แม้แต่แรงจะมัดไก่ยังไม่มี รับมือกับคนพวกนั้นคงไม่ไหวจริงๆ
“นอกจากเรื่องนี้แล้ว เรื่องที่ท่านอากลับเมืองหลวงแล้วไปที่ใดต่อนั้นก็ยังต้องกลับไปสืบข่าวที่เมืองหลวงถึงจะยืนยันได้”
จริงสินะ มาวันนี้มีเพียงเบาะแส แต่ข้ายังตามหาท่านพ่อไม่พบ ฉู่อวิ๋นจิ้งนึกอยากทดท้อใจ
“ข้าจะจัดการทุกเรื่องให้เรียบร้อย รวมถึงสำนักศึกษาของเย่าเกอเอ๋อร์ หาอาจารย์ให้เหยียนเกอเอ๋อร์ ส่วนพวกเจ้าเพียงแค่เก็บสัมภาระเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงก็พอ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งยังไม่ให้คำตอบในตอนนี้ แม้การกลับเมืองหลวงจะเป็นความจำเป็น แต่พอเข้าเมืองหลวงไปแล้วก็อาจต้องเผชิญกับจวนจงอี้ป๋อ นี่ถือเป็นความยุ่งยากอย่างหนึ่ง
“ข้าให้เวลาเจ้าคิดใคร่ครวญสามวัน” เซียวอวี้ไม่กล้าบีบบังคับเร่งรัดเกินไป จะได้เลี่ยงข้อสงสัยว่าตั้งใจมาเพื่อก่อกวนคุกคาม…
ทว่าในความเป็นจริงเขาก็หาใช่ผู้บริสุทธิ์ เป็นเพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ต้องกลับเมืองหลวง จึงได้อ้างเหตุผลว่าสกุลฉู่อยู่ที่นี่ชีวิตจะไม่ปลอดภัยขึ้นมา บีบให้นางต้องกลับเมืองหลวงไปพร้อมกับเขา
ฉู่อวิ๋นจิ้งพยักหน้ารับรู้
เทียบกับเรื่องจะกลับเมืองหลวงหรือไม่นั้น สิ่งที่ฉู่อวิ๋นจิ้งใส่ใจมากยิ่งกว่าก็คือความปลอดภัยของบิดา ไม่ว่าปกปิดดีเพียงไร เรื่องที่บิดาทำนั้นก็มีอันตรายอยู่ดี หากสถานะของบิดาถูกเปิดเผยออกมา เขาย่อมต้องตายสถานเดียว หากกลุ่มคนอีกกลุ่มที่อู่หยางโหวซื่อจื่อเอ่ยถึงค้นพบร่องรอยของบิดาแล้วไล่ตามไป สถานการณ์ของบิดามิใช่ยิ่งเลวร้ายหรือ
“ดึกมากแล้ว ไยเจ้ายังไม่นอนอีก” เหลียนอวี้จูนั่งลงข้างฉู่อวิ๋นจิ้งบนขั้นบันได
ฉู่อวิ๋นจิ้งรีบร้อนเก็บความห่วงพะวงในใจเอาไว้ พยายามคลี่ยิ้มออกมา “ท่านแม่ยังไม่นอนหรือเจ้าคะ”
“หากไม่ได้นั่งพูดคุยกับพ่อเจ้าสักสองสามประโยคก่อนเข้านอน แม่คงนอนไม่หลับ” เหลียนอวี้จูเงยหน้ามองจันทราบนท้องฟ้าวูบหนึ่ง
“ท่านแม่พูดอะไรกับท่านพ่อบ้างเจ้าคะ”
“เขาจากบ้านนานเกินไปแล้ว ให้รีบกลับมาโดยเร็วเถิด”
“ท่านพ่อต้องได้ยินแน่นอนเจ้าค่ะ ท่านพ่อจะต้องกำจัดอุปสรรคมากมายแล้วรีบกลับมาแน่” ฉู่อวิ๋นจิ้งสองจิตสองใจ ควรบอกเบาะแสของท่านพ่อให้ท่านแม่ทราบหรือไม่ บอกไปแล้วท่านแม่จะกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือไม่หนอ
เหลียนอวี้จูพยักหน้า นางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วในที่สุดก็ตัดสินใจพูดสิ่งที่ลังเลอยู่นานออกมา “หากเจ้าจะกลับเมืองหลวง พวกเราก็กลับด้วยกันเถิด”
ฉู่อวิ๋นจิ้งมองมารดาอย่างไม่เข้าใจ
“แม่ได้ยินเหยียนเกอเอ๋อร์พูดแล้ว คุณชายลู่ยินดีให้ประโยชน์กับเจ้าสี่ส่วน”
“แม้เงื่อนไขที่คุณชายลู่เสนอมาจะชวนให้หวั่นไหวจริง แต่ท่านแม่ไม่ชอบเมืองหลวงไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“แม่ไม่ชอบเมืองหลวง แต่มีสี่ส่วนจากหอสุราต่อไปเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องลำบากถึงเพียงนี้แล้ว ทั้งข้าได้ยินว่านี่เป็นความตั้งใจของอู่หยางโหวซื่อจื่อด้วย”
ฉู่อวิ๋นจิ้งตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนนางจะทำเป็นเอ่ยด้วยความโมโห “เหยียนเกอเอ๋อร์เริ่มไม่รู้จักธรรมเนียมมากขึ้นทุกทีแล้ว”
“พวกเจ้าจงใจแยกเขาออกไป เขาก็ยิ่งอยากรู้อย่างเห็นมากขึ้นน่ะสิ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งยิ้มเฝื่อน “ต่อไปจะดูเบาเขาเกินไปไม่ได้แล้ว”
เหลียนอวี้จูเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามด้วยความวาดหวัง “อู่หยางโหวซื่อจื่อยินดีรับการผูกดองของสองสกุลใช่หรือไม่”
“ท่านแม่คิดไปถึงที่ใดแล้วเจ้าคะ ซื่อจื่อเพียงอยากนำหยกมังกรครึ่งซีกที่อยู่กับท่านพ่อกลับไปเท่านั้น” แม้เรื่องจริงเป็นเช่นนี้ ทว่า…ในใจนางก็ยังรู้สึกหวิวๆ อยู่ดี ด้วยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ ท่าทีที่เขามีต่อนางถึงแฝงไปด้วยความสนิทชิดเชื้อเช่นนี้ได้
ข้าต้องรู้สึกไปเองแน่นอน เป็นข้าที่คิดมากไปโดยแท้ ข้าจะเกิดความคิดที่ไม่ควรเกิดไม่ได้…ไม่มีทาง ข้าจะไปเกิดความคิดเช่นนี้จากท่าทีคล้ายยั่วยวนไม่ยั่วยวนของเขาได้อย่างไร
“แม่ว่าอู่หยางโหวซื่อจื่อยอดเยี่ยมนัก”
ได้ยินเช่นนี้ฉู่อวิ๋นจิ้งก็ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี ท่านแม่ช่างลืมรวดเร็วเสียจริง
“ก่อนหน้านี้ไม่นานท่านแม่ยังเตือนข้าว่าแม้อู่หยางโหวซื่อจื่อโดดเด่นล้ำเลิศ ทว่าพวกเราไม่อาจใฝ่สูงถึงงานแต่งนี้ ไม่ควรมีความคิดพะวงถึงการแต่งงาน”
“ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่หากซื่อจื่อยินดีรับการแต่งงานนี้…”
“ท่านแม่อย่าคิดเลยเถิดเลย ตอนนี้ข้าคิดเพียงจะกลับเมืองหลวงหรือไม่เท่านั้น” ฉู่อวิ๋นจิ้งตัดบทมารดาอย่างเด็ดขาด
“ถ้าเจ้าอยากกลับ พวกเราก็กลับด้วย”
“หากพวกเรากลับเมืองหลวง ช้าเร็วก็ต้องพบกับคนจวนจงอี้ป๋อ” นอกจากฉู่อวิ๋นจิ้งที่เป็นวิญญาณเข้ามาในภายหลังแล้ว ครอบครัวนี้จากบนลงล่างล้วนมีความพรั่นพรึงลึกซึ้งยิ่งกับจวนจงอี้ป๋อ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่นางไม่กล้าบุ่มบ่ามตัดสินใจ
เหลียนอวี้จูกัดริมฝีปากล่าง ยังคงว้าวุ่นใจยิ่ง “แม่ไม่รู้ว่าควรรับมือกับคนของจวนจงอี้ป๋ออย่างไรดี”
เห็นอาการของมารดาแล้ว ฉู่อวิ๋นจิ้งก็กลับกลายเป็นผู้นำครอบครัวในทันที ความกล้าหาญเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง พอกลับถึงเมืองหลวงข้าก็จะรับมือกับจวนจงอี้ป๋อเอง” แม้นางไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก แต่ก็ไม่หวาดกลัวความยุ่งยาก
“สุดท้ายพ่อแม่ก็ยังเป็นพ่อแม่ เมื่อหมวกอกตัญญูถูกครอบลงมาเมื่อใด พวกเราก็ล้วนแต่ยืนไม่ไหวเสมอ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งชะงักไป นางหลงลืมไปเสียได้ว่าความคิดของคนยุคนี้แตกต่างจากนาง
“หากพ่อเจ้าอยู่ พวกเราก็ไม่ต้องกลุ้มใจแล้ว”
ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่เข้าใจ “หากท่านพ่ออยู่ ปัญหาของพวกเราจะไม่เหมือนเดิมหรือเจ้าคะ”
“พ่อเจ้าสามารถผลักไสได้ว่าพ่อสามีเคยพูดว่าหากพ่อเจ้าก้าวเข้าจวนจงอี้ป๋ออีกถือว่าอกตัญญู จวนจงอี้ป๋อก็ไม่สามารถครอบหมวกอกตัญญูบนหัวพวกเราได้แล้ว แต่พ่อสามีมิได้ห้ามแม่กลับจวนจงอี้ป๋อนี่”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
“หากหลีกเลี่ยงจวนจงอี้ป๋อได้ก็คงดี”
แม้การหลีกเลี่ยงจวนจงอี้ป๋อจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ฉู่อวิ๋นจิ้งก็ไม่อยากสาดน้ำเย็นรดมารดา เพียงกล่าวว่า “เรื่องนี้พวกเราค่อยครุ่นคิดให้ดีเถิด”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 ธ.ค. 62
Comments
comments
No tags for this post.