บทที่ 109
ขณะนี้เฉิงเซ่าซางกำลังตรวจดูสถานที่เกิดเหตุกับหยวนเซิ่น นางมองดูผนังฝั่งที่เหลียงซั่งนั่งพิงถึงแก่ชีวิตนั้นอยู่เนิ่นนาน ก่อนเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ในเมื่อถูกมีดสั้นหนึ่งเล่มเสียบตรงท้อง ไฉนบนผนังนี้ไม่มีคราบเลือดสักเท่าไรเลย ได้ยินว่าบนศพเปรอะเลือดไม่น้อยนี่นา” เหตุใดบนผนังจึงไม่เกิดรอยเลือดแบบฉีดกระจายเล่า
หยวนเซิ่นกล่าว “ข้าเคยไปดูศพแล้ว อาวุธที่ใช้คือมีดสั้นๆ เล่มหนึ่ง เพียงเสียบเข้าที่ท้อง ไม่ทะลุร่างออกไปแต่อย่างใด ดังนั้นด้านหลังของน้าใหญ่จึงไม่มีเลือดไหลออกมา”
เฉิงเซ่าซางร้องฮึหนึ่งที “ฟังคล้ายการกระทำของบุรุษกำยำมีพลังผู้หนึ่ง”
“เป็นสตรีที่ใช้แรงเหมาะเจาะก็ได้เช่นกัน” หยวนเซิ่นค้าน
เฉิงเซ่าซางเหลือกตาใส่เขาก่อนถามต่อ “นอกจากแผลมีดที่คร่าชีวิต บนร่างน้าใหญ่ของท่านยังมีรอยแผลอื่นหรือไม่”
หยวนเซิ่นขมวดคิ้ว “ไม่เอ่ยถึงแผลเก่า บนข้อมือแต่ละข้างของน้าใหญ่มีรอยข่วนใหม่ๆ หลายรอย ทว่าเช้าวันเกิดเหตุน้าใหญ่เพิ่งมีปากเสียงกับน้าสะใภ้ใหญ่ ตอนที่เขาหมายจะใช้กำลังกับนาง องครักษ์หญิงสองคนยึดกุมสองมือเขาไว้…ดังนั้นเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพจึงไม่อาจชี้ขาดได้ว่าฆาตกรเคยยึดกุมข้อมือของน้าใหญ่หรือไม่”
เฉิงเซ่าซางถามอย่างระมัดระวัง “คือว่า…เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพมีผ่าท้องน้าใหญ่ของท่านออกดูหรือไม่…”
หยวนเซิ่นไม่พอใจ สะบัดแขนเสื้อกล่าว “ไยเซ่าซางจวินถามเยี่ยงนี้ แต่ไรมาล้วนยึดถือผู้ตายเป็นใหญ่ เชิญเจ้าหน้าที่มาตรวจดูศพก็เป็นการกระทำอันจำใจแล้ว นี่ยังจะให้ผ่าท้องอีก? ไม่เท่ากับมองข้ามศีลธรรมกับความรู้สึกของญาติหรือ ถึงอย่างไรน้าใหญ่ก็เป็นบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของท่านตา หากศพของเขาไม่สมบูรณ์ สกุลเหลียงย่อมอัปยศทั้งตระกูล!”
เฉิงเซ่าซางรีบยกมือขอให้ละเว้น “ได้ๆๆ ถือว่าข้าพูดผิดไป ไม่ผ่าก็ไม่ผ่าสิ! ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าวันนั้นน้าใหญ่ของท่านกินสิ่งใดบ้างกันแน่” เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพยุคนี้คงจะดูแค่ช่วงเวลาการตายเท่านั้น
หยวนเซิ่นเลิกขุ่นเคือง เอ่ยอย่างคล้ายฉุกคิดอันใดได้ “…ดูเหมือนแต่แรกเริ่มเจ้าก็คิดว่าคนที่ฆ่าน้าใหญ่เป็นผู้อื่น น้าสะใภ้ใหญ่กับโย่วถงเป็นผู้บริสุทธิ์”
“มิผิด” เฉิงเซ่าซางพยักหน้ารับ “วานซืนตอนข้ามาที่นี่ก็คิดเช่นนี้แล้ว”
“นี่เพราะเหตุใด” หยวนเซิ่นกังขา
“ข้อแรก…เพราะน้าใหญ่ของท่านถูกแทงจากด้านหน้า ต่อให้ด้านหลังไม่มีเลือดออก แต่ด้านหน้าน่ะ ถ้าปากแผลใหญ่เพียงนั้น ผู้ที่ลงมีดจะไม่มีรอยเลือดเปรอะแม้สักหยดได้อย่างไร ทว่าเสื้อผ้ารวมถึงเสื้อคลุมขนสัตว์ที่โย่วถงสวมในวันนั้นล้วนไม่มีคราบเลือดสักนิดเดียว ข้าเคยให้คนไปสอบบ่าวที่เหลือแล้ว พบว่าโย่วถงไม่มีพฤติกรรมปกปิดหรือทิ้งทำลายเสื้อเปื้อนเลือดเลย”
หยวนเซิ่นยิ้มกล่าว “เซ่าซางจวินมีความเห็นสูงส่งโดยแท้ เอาเถิด เช่นนั้นข้อสองเล่า”
เฉิงเซ่าซางตอบ “ข้อสองน่ะหรือ เพราะใต้เท้าหลิงบอกข้าว่าเขาพอจะรู้จักชวีฮูหยินกับสกุลชวีไม่มากก็น้อย คดีฆ่าคนตายนี้น่าจะไม่ใช่การกระทำของฝ่ายชวีฮูหยิน เขาฉลาดกว่าข้า เชื่อเขาย่อมจะไม่ผิด”
หยวนเซิ่นฉุนกึก เดินห่างไปทันใด กระทั่งหยุดยืนริมหน้าต่างค่อยหมุนตัวมาเอ่ยประชด “ในเมื่อเขาถูกต้องทุกอย่าง เจ้ายังจะมาที่นี่ทำอันใด เป็นเด็กดีอยู่บ้านรอเขาปิดคดีก็พอ!”
เฉิงเซ่าซางไม่นึกโกรธ ยังคงตอบอย่างยิ้มแย้ม “เพราะข้ากับเขาคิดไม่เหมือนกันน่ะสิ ข้าเห็นว่าควรสืบหาเบาะแสจับกุมคนร้ายตัวจริง คืนความบริสุทธิ์ให้รัชทายาทกับชวีฮูหยิน”
“แต่หลิงปู้อี๋กลับไม่คิดเช่นนี้” ดวงตาหยวนเซิ่นแฝงรอยยั่วเย้า
“มิเพียงแต่เขาที่ไม่คิดเช่นนี้ เกรงว่าคุณชายหยวนเองก็ไม่คิดเช่นนี้เหมือนกัน…ที่พวกท่านคิดคือจะสยบเหตุวุ่นวายนี้อย่างไรให้สมบูรณ์” เฉิงเซ่าซางเอ่ยอย่างเยือกเย็น “หาไม่ด้วยสติปัญญาของคุณชายหยวน คงไม่อยู่เฉยจนถึงตอนนี้หรอก”
แววตาของหยวนเซิ่นวูบไหว ชั่วครู่ให้หลังจึงยิ้มกล่าว “เซ่าซางจวิน เบื้องหลังเรื่องนี้พลิกผันสุดคาด ลึกล้ำสุดหยั่ง สืบมากไปหนึ่งส่วนไม่แคล้วพัวพันเกินควร ทว่าเดินขาดไปหนึ่งก้าวก็ง่ายที่จะกลับมามือเปล่า อันที่จริง…อาจเป็นหลิงปู้อี๋ต่างหากที่ถูกต้อง”
เฉิงเซ่าซางเอ่ยอย่างไม่ติดใจแม้แต่น้อย “ใต้เท้าหลิงย่อมถูกต้องอยู่แล้ว พวกท่านล้วนถูกต้อง แต่ข้าก็ถูกต้องเช่นกัน ข้าเพียงอยากรู้ว่าเหลียงซั่งตายอย่างไรกันแน่…ทุกคนต่างทำในส่วนของตนเองไปก็พอ”
หยวนเซิ่นเอียงศีรษะตรึกตรอง ก่อนตอบปนยิ้ม “ก็ถูกของเจ้า เพียงแต่…พักนี้เซ่าซางจวินอารมณ์เย็นขึ้นไม่น้อยทีเดียว หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ไม่พ้นสามประโยคจะต้องทะเลาะกับข้าแล้ว”
เฉิงเซ่าซางขบคิดเล็กน้อย “อืม คงเพราะข้าพบเจอบุรุษที่ดีกับข้ามากแสนมากกระมัง”
สีหน้าหยวนเซิ่นเย็นเฉียบทันใด
“เมื่อก่อนข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะออกเรือนกับบุรุษเช่นใต้เท้าหลิง ช่วงเวลาที่พวกเราสองคนทะเลาะกันยังมากกว่าช่วงเวลาที่ดีกันเสียอีก” เฉิงเซ่าซางมองไปทางผนังทิศเหนือ นอกหน้าต่างกลมเล็กสามบานที่เรียงตัวเป็นรูปอักษร ‘ผิ่น’ นั้น แลเห็นน้ำทะเลสาบใสเย็น ระลอกแสงทอดไกล “แต่ตอนนี้มาคิดดูแล้ว คล้ายว่ามาเยือนโลกใบนี้หนึ่งเที่ยว หากข้าไม่ได้พานพบเขา ก็คงเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป
ดังนั้นคุณชายหยวน…ข้ากับใต้เท้าหลิงยังจะทะเลาะกันอีก มิใช่เพราะท่าน ก็เป็นเพราะเรื่องอื่นสักเรื่อง แต่เกรงว่าพวกเราคงจะไม่แยกทางกันด้วยเหตุนี้หรอก…ท่านยังคงไปดูตัวให้ดีๆ เถิด”
ในปากหยวนเซิ่นขมเฝื่อน “แล้วเจ้ายังให้ข้ามาเป็นเพื่อนเจ้าถึงที่นี่?”
“เพราะข้าไม่เคยเห็นศพน้าใหญ่ของท่าน ย่อมต้องหาใครสักคนมาสอบถามน่ะสิ อีกอย่าง…ท่านจะรั้งอยู่ที่นี่อีกไม่นานแล้ว”
“อันใดเรียกว่า ‘รั้งอยู่ไม่นาน’?” หยวนเซิ่นฉงน
เฉิงเซ่าซางหมุนตัวกลับมา คลี่ยิ้มจนตาหยี “ท่านรออีกประเดี๋ยว ข้าคะเนว่าใกล้เวลาแล้วล่ะ นั่นอย่างไร มาแล้ว”
บ่าวสูงวัยที่ดูท่าทางเป็นพ่อบ้านจวนสกุลเหลียงรีบรุดเข้ามาในเรือน คารวะหนุ่มสาวทั้งสองก่อนเอ่ย “คุณชายหยวน ใต้เท้าผู้เฒ่าหลายท่านอยู่ด้านหน้ามีปากเสียงกันรุนแรง ใต้เท้าผู้ว่าการจึงให้เชิญท่านไปห้ามทัพขอรับ”
หยวนเซิ่นมองดูเฉิงเซ่าซาง เห็นนางส่งยิ้มให้ด้วยสีหน้าเช่นผู้บริสุทธิ์ เขาขึงตาอยู่เป็นนาน คิดแล้วรู้สึกว่าตนเองชวนระอา จึงส่ายหน้าเหยียดแขนเสื้อยาว เดินตามบ่าวสูงวัยผู้นั้นออกไป
เหลียงชิวเฟยที่เดินตามพ่อบ้านจวนสกุลเหลียงเข้ามามีรอยยิ้มแต้มคิ้วตา เอ่ยอย่างกระตือรือร้นยิ่งยวด “นายหญิงน้อย ท่านต้องการผู้ช่วยเช่นไรสั่งข้าน้อยมาได้เต็มที่เลยขอรับ! คนแซ่หยวนพึ่งไม่ได้จริงๆ เสียด้วย เมื่อครู่ท่านไม่ควรเชิญเขามาสืบคดีด้วยกันเลย!”
“เจ้าพอได้แล้วกระมัง! ไม่ใช่เพราะนายน้อยของเจ้าหรือ!” เฉิงเซ่าซางโต้กลับ “ข้าอยากไปดูศพของเหลียงซั่งตั้งแต่วานซืนแล้ว แต่นายน้อยของเจ้าบอกว่าตราบใดที่เขายังมีลมหายใจอยู่หนึ่งเฮือก ข้าจงเลิกหวังที่จะไป! ช่างน่าขันเสียไม่มี ข้าเห็นศพมาน้อยหรือไรกัน!”
เหลียงชิวเฟยรีบแก้ต่าง “มิอาจกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ เห็นศพเป็นพืดในสนามรบกับลูบคลำศพศพหนึ่งอย่างถี่ถ้วน นั่นมันคนละเรื่องกันเลยนะขอรับ!”
“ข้าไม่ได้จะลูบคลำศพนั้นกับมือข้าเองเสียหน่อย แค่ให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพเป็นผู้ตรวจสอบ ส่วนข้าเพียงมองดูเท่านั้น!”
“ตอนตรวจศพจะต้องเปลื้องผ้าผ่อนทั้งร่าง เหลียงซั่งเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ให้…ให้…ให้ท่านชมดูสิ่งนั้น อย่าว่าแต่นายน้อยเลย ข้าน้อยเองก็ขอยอมตาบอดให้รู้แล้วรู้รอดไป!”
“พูดเหลวไหลให้น้อยๆ หน่อย! หากวานซืนข้าได้ตรวจศพ คงพบจักจั่นหยกในปากเหลียงซั่งชิ้นนั้นแต่แรก เป็นเพราะพวกเจ้าเหล่าบุรุษที่คร่ำครึนี่เอง ถึงหวิดจะทำให้เสียการใหญ่! เจ้าจงออกไปให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้ ข้าคนเดียวก็เพียงพอ!”
เสียงโต้แย้งภายในเรือนตำราแว่วออกมา หยวนเซิ่นที่อยู่ด้านนอกชะงักฝีเท้าเหลียวกลับไป ราวได้ยินเสียงอันไพเราะของเด็กสาว
พ่อบ้านจวนสกุลเหลียงผู้นั้นหันกลับไปมองแล้วยิ้มกล่าว “แม่นางน้อยสกุลเฉิงผู้นี้โฉมงามหลักแหลมนะขอรับ”
หยวนเซิ่นขานดังอืมเบาๆ หนึ่งที ก่อนออกเดินอีกครา
นับแต่วัยแรกรุ่น เขาเคยคิดคำนวณอย่างละเอียดเกี่ยวกับตัวเลือกภรรยา ไม่ว่าจะเป็นชาติกำเนิด วงศ์ตระกูล ชื่อเสียง ยศขุนนางของบิดากับพี่ชาย ขั้วอำนาจที่เกี่ยวดองเป็นเครือญาติ ตลอดจนอุปนิสัย ความรู้ความสามารถ และรูปโฉม…เขาเคยคิดมาทั้งสิ้น แต่งภรรยาผิด ภัยลามถึงสามรุ่น ดังนั้นเขาจึงแสนจะรอบคอบมาโดยตลอด
ตอนนี้เขาอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว เรื่องแต่งงานไม่เหมาะจะประวิงต่อไป เขาจึงยึดตามความต้องการของตน คัดสรรตัวเลือกภรรยาที่ ‘เหมาะสม’ ไปตามขั้นตอน ดุจเดียวกับกำหนดแผนงานราชการ
อ่อนโยนเปิดเผย ภูมิฐานรู้เหตุผล รูปโฉมความสามารถเพียบพร้อม…เขาเฟ้นแล้วเฟ้นอีก ประวิงแล้วประวิงอีก ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจพึงพอใจเขาเสียที แรกเริ่มเขาเองก็ไม่เข้าใจสาเหตุ ตอนนี้มาคิดดูแล้ว อาจเพราะพวกนางล้วนมิใช่แบบเฉิงเซ่าซางกระมัง
แต่นั่นแล้วอย่างไร วางหมากช้าไปตัวเดียว พ่ายแพ้ทั้งกระดาน ชวีหลิงจวินมีประโยคหนึ่งกล่าวได้ถูกต้อง…ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป
สาวทอผ้านภาพราว มือเพรียวขาวขยับไหว ธารดาราแลตื้นใส สองฝั่งไกลเท่าใดกัน*
สองฝั่งไกลเท่าใดกัน…สองฝั่งไกลเท่าใดกัน…
ถึงที่สุดชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป
เฉิงเซ่าซางอยู่ในเรือนตรวจค้นอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่ง ไม่เพียงผลักขยับชั้นวางหนังสือ ลูบคลำโต๊ะต่างๆ รวมถึงทดลองปีนหน้าต่างดู ทว่าไม่มีสิ่งผิดปกติใดเลย จากนั้นนางยังเดินออกจากเรือนมาลองยืนดูไกลๆ
ความจริงเรือนตำราหลังนี้มิใช่มีเพียงห้องเดียว ซ้ายขวาของห้องที่เหลียงซั่งประสบเหตุต่างมีห้องปีกอีกด้านละห้อง ทั้งสามห้องเรียงหน้ากระดานติดกัน ห้องตรงกลางนั้นสว่างกว้างใหญ่ที่สุด ห้องปีกตะวันออกก่อเตาเล็กๆ ไว้สองเตา ยามที่เจ้านายต้องการสามารถปรุงอาหารอุ่นสุราในนั้นได้ ส่วนห้องปีกตะวันตกเป็นห้องขนาดกลางใช้สำหรับเก็บของ มีของเก่าจำพวกเชือก บันได และโต๊ะวางกองอยู่ ด้านบนยังปิดคลุมด้วยผ้าหนาเนื้อหยาบ
ห้องครัวเล็กนั้นกวาดถูสะอาดสะอ้านยิ่ง ในเตามีฟืนเหลือค้างอยู่ คาดว่าเพิ่งใช้งานไปเมื่อเร็วๆ นี้ ผิดกับห้องเก็บของที่สะสมไปด้วยฝุ่นผงหนาบางไม่เท่ากัน ดูเหมือนมีเครื่องมือบางชิ้นมักถูกหยิบใช้ ผ้าเนื้อหยาบจึงมีร่องรอยของการเปิดขึ้นบ่อยครั้ง อีกทั้งบนพื้นก็มีรอยเท้าสับสนปนเป
เฉิงเซ่าซางไม่ถอดใจ ย้อนกลับไปยังห้องเกิดเหตุ นางขยับย้ายข้าวของแทบทุกชิ้นรอบหนึ่ง ดูว่าจะปรากฏทางลับอันใดหรือไม่ ทว่าล้วนคว้าน้ำเหลว นางจึงหยิบมีดสั้นฝังอัญมณีเล่มเล็กของตนออกมา ใช้ส่วนด้ามเคาะผนังไปทีละด้านเพื่อฟังว่าจุดใดมีเสียงกลวงโหวงหรือไม่ ปรากฏว่ายังคงไร้ผลลัพธ์ ผนังทั้งสี่ด้านล้วนเป็นไม้สลับอิฐตัน อาจมีหนาบางต่างกันไปบ้าง ทว่าเสียงโดยรวมของผนังแต่ละด้านล้วนเหมือนกัน
เฉิงเซ่าซางชักทดท้อใจ นางเชื่อมั่นว่าเหลียงซั่งไม่มีทางจะตายอย่างไร้ที่มาที่ไปเด็ดขาด แต่หากไม่มีบุคคลที่สามเคยเข้ามาในห้องนี้ เช่นนั้นเหลียงซั่งตายได้อย่างไรกันเล่า!
เห็นนางอ่อนล้า เหลียงชิวเฟยก็เดินยิ้มมาพูดใกล้ๆ “นายหญิงน้อยหากเหนื่อยแล้ว มิสู้ไปพักก่อนสักครู่ ตามความเห็นของข้าน้อย ท่านกลับวังไปนั่งคอยเลยก็ได้ รอข่าวดีจากนายน้อยเป็นพอ ดีกว่าเดินไปเดินมาอยู่ที่นี่รอบแล้วรอบเล่า พื้นที่แค่เท่านี้ นายหญิงน้อยยังลูบคลำไม่หนำใจอีกหรือขอรับ”
เดิมเฉิงเซ่าซางเหน็ดเหนื่อยทั้งใจกาย พอได้ยินวาจานี้นางยิ่งเสียหน้าจนหัวเสีย ผลักไสขับไล่เหลียงชิวเฟยออกไป ทั้งตวาดสั่งเขารวมถึงองครักษ์ที่เหลือให้ยืนอยู่ข้างนอก ห้ามมารบกวนนาง
หลังจากไล่ตะเพิดคนไปอย่างฉุนเฉียว หัวใจเฉิงเซ่าซางพลันกระตุกวูบ…พื้นที่แค่เท่านี้?
นางผุดความคิดบางอย่างแล้ว
เฉิงเซ่าซางเริ่มจากเดินอยู่นอกตัวเรือน จากตะวันออกไปตะวันตก ใช้ฝีก้าววัดความยาวรวมของห้องทั้งสามจากด้านนอกรอบหนึ่ง ค่อยแยกวัดความยาวด้านในของแต่ละห้อง นางเกรงว่าจะคลาดเคลื่อน จึงเดินวัดรวดเดียวซ้ำสามหน จากนั้นนำมาหาค่าเฉลี่ย ผลออกมาเป็นดังที่คิดจริงเสียด้วย…
ความยาวรวมด้านนอกของห้องทั้งสามเฉลี่ยได้เก้าสิบห้าก้าว ความยาวด้านในของห้องครัวเล็กคือสิบสามก้าว ห้องเก็บของยี่สิบสองก้าว ห้องหนังสือที่เกิดเหตุสี่สิบสี่ก้าว ในส่วนต่างสิบหกก้าวนี้ เมื่อตัดความหนาของผนังสี่ข้างออกไป ต่อให้คิดหนาๆ หน่อย อย่างน้อยก็ต้องมีความยาวห้าหกก้าวที่หายไป
พื้นที่เหล่านี้หายไปที่ใดได้เล่า
ห้องครัวเล็กไม่เพียงคับแคบ ยังมีคนเข้าออกบ่อยครั้ง ซ้ำมีน้ำไฟปะปน ดังนั้น…เฉิงเซ่าซางจึงเบนสายตาไปยังห้องเก็บของอันทึบทึม ครั้นเดินลึกเข้าไป นางพบว่าในนี้ขมุกขมัวมากจริงๆ เห็นอยู่ว่าด้านนอกแสงตะวันสดใส แต่ในนี้มีช่องหน้าต่างเล็กที่อยู่สูงบนผนังทิศใต้ช่องเดียวที่แสงพอจะลอดเข้ามาได้
นางเดินไปยังผนังทิศตะวันออก ซึ่งก็คือผนังกั้นระหว่างห้องหนังสือ จุดแท่งจุดไฟเล็กๆ แท่งหนึ่ง มองสำรวจผนังด้านนี้อย่างถี่ถ้วน ไม่ต่างจากห้องที่เหลียงซั่งประสบเหตุ บนผนังห้องนี้ก็ใช้แท่งไม้ตีเป็นตาราง ยาวช่องละประมาณหนึ่งในสามจั้ง ผนังหนึ่งด้านมีช่องตารางเช่นนี้ราวสิบกว่าช่อง นี่เป็นรูปแบบการปลูกสร้างที่สมัยก่อนนิยมอย่างยิ่ง สามารถประคองผนังไม่ให้เปลี่ยนรูปได้
เฉิงเซ่าซางก้มหน้า ชูแท่งจุดไฟสำรวจพื้นข้างผนัง เนื่องจากหลังเกิดคดี เพื่อจะหามศพของเหลียงซั่งออกไป พวกบ่าวเคยเข้ามาที่นี่หยิบฉวยเปลไม้ไผ่ไปใช้ ส่งผลให้รอยเท้าบนพื้นสับสนยุ่งเหยิง กระนั้นนางยังคงสังเกตพบว่ามีรอยเท้าสองรอยที่ค่อนข้างพิเศษ เพราะสองรอยนี้มีเพียงครึ่งค่อนเท้า ซ้ำปลายเท้ายังชี้เข้าหาผนัง และอยู่ห่างจากผนังเพียงหนึ่งช่วงก้าว
เหตุใดจึงมีรอยเท้าเยี่ยงนี้ได้เล่า ยามวิ่งเร็วหากทิ้งรอยเท้าไว้ครึ่งเท้า นั่นไม่แปลกแม้แต่น้อย ทว่าปลายเท้าชี้เข้าหาผนัง…จะเอาศีรษะพุ่งชนเข้าผนังไปหรือไร เฉิงเซ่าซางเพ่งสมาธิขบคิดชั่วครู่ก็คลี่ยิ้ม…นี่เป็นท่วงท่าขณะคนผู้หนึ่งจดจ่อออกแรงใช้สองฝ่ามือดันผนังน่ะสิ
คิดแล้วนางก็วางแท่งจุดไฟไว้ด้านข้าง หมายทดลองดูว่าตนจะดันผนังขยับได้หรือไม่ หากไม่ได้ค่อยไปเรียกเหลียงชิวเฟยจอมพูดมากนั่นแล้วกัน ภายหลังผลักดันจนสุดแรงเกิด เดิมนางคิดจะไปเรียกคนมาช่วยแล้ว ใครจะรู้ฝ่ามือพลันเลื่อนวูบ ผนังถึงกับถูกนางดันยุบตัวลงเป็นโพรง ขนาดเท่ากับสองช่องตารางพอดี
นางตะลึงงันอยู่พักหนึ่ง ก่อนชูแท่งจุดไฟ ย่างก้าวเล็กเข้าไปมองรอบด้านเพียงปราดเดียว นางก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว
มิน่าเล่า อยู่ในห้องหนังสือนางเคาะอย่างไรก็ไม่มีความผิดปกติ ที่แท้เพราะห้องลับนี้เป็นห้องที่แทรกอยู่ระหว่างสองห้อง เหมือนขนมโก๋สอดไส้ชิ้นหนึ่งที่ตัดขอบข้างออก ความกว้างของมันเหมือนกับอีกสามห้อง ทว่าความยาวกลับมีเพียงสามสี่ก้าว
เงาแสงของแท่งจุดไฟบิดส่าย ทั้งไม่เอนเอียงไปทางหนึ่งทางใด คาดว่าห้องลับนี้น่าจะมีช่องลมหลายจุด เสียงจากเบื้องนอกสามารถได้ยินชัดแจ้ง ทว่าเสียงจากด้านในดูเหมือนเบื้องนอกไม่อาจจะได้ยิน เพราะเมื่อครู่ตอนเข้ามาคล้ายนางเตะอะไรสักอย่างล้ม องครักษ์กับบ่าวชายด้านนอกดูเหมือนไม่มีใครใส่ใจเลย
เฉิงเซ่าซางได้ยินเหลียงชิวเฟยกำลังสั่งบ่าวรับใช้เตรียมอาหารกลางวัน ทั้งให้จัดน้ำหวานรสผลไม้เพิ่มมาหนึ่งกา ดีที่สุดให้จัดเป็นรสทับทิม นางผลิยิ้ม คิดในใจว่า จอมพูดมากผู้นี้ยังนับว่าละเอียดอ่อน รู้ว่าข้าชอบกินทับทิม เพียงแต่วันอากาศหนาวเยี่ยงนี้จะไปหาทับทิมได้ที่ใดกัน
นางหันหลังไป เห็นฝั่งด้านในของประตูเล็กที่ตนเดินเข้ามาเมื่อครู่ติดตั้งมือจับที่หลอมขึ้นจากเหล็กกล้าสองอัน คาดว่าเมื่อคนในห้องลับอยากจะออกไป สามารถดึงมือจับนี้
นางชูแท่งจุดไฟพลางเดินไปดูผนังฝั่งตรงข้าม และค้นพบมือจับเหล็กกล้าหนึ่งคู่อย่างง่ายดาย เดิมนางคิดจะดึงมัน ทว่าขบคิดเล็กน้อยก็เปลี่ยนเป็นเอียงกายใช้ไหล่ดันแทน นางออกแรงอยู่สักพัก ผนังจึงเปิดเป็นช่อง ลำแสงอันสว่างไสวสาดตรงเข้ามาในห้องลับทันที
ความพยายามไม่เคยหักหลังผู้มุมานะจริงๆ เสียด้วย ฝั่งนี้ก็คือห้องหนังสือที่เหลียงซั่งประสบเหตุ!
เฉิงเซ่าซางประหนึ่งได้กินผลเหรินเซิน* สิบแปดผล ความเหนื่อยล้าสลายสิ้น ทั่วร่างปลอดโปร่ง ยินดีสุดประมาณ! มิน่าเล่า นางค้นหาทางลับห้องลับในห้องหนังสือของเหลียงซั่งอย่างไรล้วนเปล่าประโยชน์ เป็นเพราะประตูลับบานนี้เปิดได้เพียงจากฝั่งห้องลับนี้นี่เอง!
นางก้าวออกจากห้องลับ มัวกระหยิ่มกับตนเองพักหนึ่ง ขณะคิดจะตะโกนเรียกเหลียงชิวเฟยมา เสียงกริ๊กหนึ่งหนพลันแว่วขึ้นที่ด้านหลัง ไม่รอให้นางเหลียวกลับไป ฝ่ามือเย็นเยียบมีพลังข้างหนึ่งก็หิ้วตัวนางกลับเข้าห้องลับไปในคราวเดียว สิ้นเสียงทึบๆ สองหน ประตูลับซ้ายขวาสองบานล้วนถูกปิดลงเสียแล้ว
“อันที่จริงข้าไม่เคยอยากรู้ว่าเหลียงซั่งตายอย่างไร เพราะว่ากันถึงที่สุด ผู้ที่จะวางแหฟ้าตาข่ายดิน รวบการเดินทางของชวีหลิงจวินเข้าในแผนการด้วยเช่นนี้ได้ หากมิใช่คนสกุลเหลียงเองย่อมไม่อาจทำสำเร็จ ยิ่งไม่ใช่คนผู้เดียวจะทำได้ลุล่วง” หลิงปู้อี๋กล่าว
เหลียงอู๋จี้หน้าดำทะมึน ไม่เปล่งเสียงสักคำ
“บัดนี้เรื่องยังไม่ลุกลาม กรมอาญายังพอจะไว้หน้าสกุลเหลียงได้บ้าง ทว่ารอจนยามที่โอรสสวรรค์พิโรธ มีรับสั่งจับกุมบ่าวทุกระดับชั้นในสกุลเหลียงไปเค้นสอบอย่างละเอียดหนึ่งรอบ มีหรือยังจะสืบไม่ทราบ”
เหลียงอู๋จี้ถอนหายใจกล่าว “ข้ารู้ เปรียบกับให้คนของกรมอาญามาไต่สวน มิสู้ข้าเป็นผู้ซักถามเอง เพียงแต่…ระดมคนเริ่มสืบสวนเมื่อใด เกียรติภูมิของสกุลเหลียง…”
“หรือว่าตอนนี้เกียรติภูมิของสกุลเหลียงดีนัก?” หลิงปู้อี๋ถากถาง “ระดมคนในบ้านตนเอง ย่อมดีกว่าให้กรมอาญาระดมใช้ทัณฑ์ลงโทษกระมัง ใต้เท้าผู้ว่าการ ผู้แซ่หลิงขอกล่าวเพียงเท่านี้ สรุปคือภายในวันนี้หากท่านไม่อาจมอบคำตอบแก่ข้า เช้าวันพรุ่งนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าจี้ก็จะมาถึงที่นี่เพื่อจับกุมคน”
เหลียงอู๋จี้โกรธกรุ่น “ภายในวันนี้? เจ้าใจร้อนเกินไปแล้ว…”
“เรื่องราวยิ่งลากยาว รัชทายาทก็ยิ่งได้รับผลเสีย! รอถึงสิบวันครึ่งเดือน ทุกผู้คนทั่วเมืองหลวงเชื่อถือคำลือเกี่ยวกับรัชทายาทจนสิ้น ถึงตอนนั้นใต้เท้าผู้ว่าการสืบจนความจริงปรากฏก็ป่วยการแล้ว!”
เหลียงอู๋จี้ถูกต้อนจนมุม เขาตบโต๊ะแรงๆ หนึ่งหนก่อนตอบรับเสียงก้อง “ได้ ข้าจะจับกุมผู้ต้องสงสัยทั้งหมดมาสอบสวน ให้คำตอบแก่จื่อเซิ่งก่อนตะวันตกดิน!”
“ใต้เท้าผู้ว่าการเฉียบขาดยิ่ง” หลิงปู้อี๋เอ่ยปนยิ้มน้อยๆ “ข้าจะนิ่งคอยฟังข่าวดี เรื่องยุติแล้วจะจัดเลี้ยงขอขมาที่เสียมารยาทต่อท่านในวันนี้”
เหลียงอู๋จี้โบกมือติดๆ กัน “เฮ้อ นี่ไม่ต้องกล่าวถึงหรอก เป็นโชคร้ายของวงศ์ตระกูลต่างหาก โชคร้ายของวงศ์ตระกูล…”
ตอนนี้เององครักษ์หนุ่มน้อยคิ้วตาหมดจดผู้หนึ่งพลันบุกพรวดเข้ามาโดยไม่รายงานก่อน ถลาทรุดเข่าลงเบื้องหน้าหลิงปู้อี๋ แล้วตะเบ็งเสียงเรียกทันใด “นายน้อย! แย่แล้วขอรับ นายหญิงน้อย…นายหญิงน้อย นาง…นางหายตัวไป!”
หลิงปู้อี๋หน้าถอดสี คว้าตัวองครักษ์ผู้นั้นแล้วถามเสียงกร้าว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น! ข้าสั่งให้เจ้าเฝ้าดูนางไม่ใช่หรือ!”
เหลียงชิวเฟยเงยหน้าขึ้น ละอายใจจนหลั่งเหงื่อโซมใบหน้า “นายหญิงน้อยเดินไปเดินมาอยู่ในห้องสามห้องของเรือนตำราโดยตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบพวกข้าน้อยล้วนเฝ้าอยู่นอกเรือน เมื่อชั่วครู่ก่อนยังเห็นนางเข้าๆ ออกๆ อยู่เลย ใครจะรู้เพียงพริบตาเดียวนางกลับหายตัวไปเสียแล้ว นอกเรือนมีคนตั้งมากเพียงนั้น นอกจากพวกข้าน้อยก็ยังมีบ่าวชายหญิง ไฉนจึง…ไฉนจึงได้…”
หลิงปู้อี๋หันขวับมองไปทางเหลียงอู๋จี้ สีหน้าของชายหนุ่มเรียบสงบ ทว่าในดวงตาดุจมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วง “ใต้เท้าผู้ว่าการ เกรงว่าวันนี้ผู้เยาว์ต้องล่วงเกินจวนของท่านครั้งใหญ่แล้ว”
ภายในห้องลับอันเงียบสงัดอึมครึม มีเพียงแสงริบหรี่ส่ายไหวจากแท่งจุดไฟเล็กๆ แท่งนั้น บุรุษที่แต่งกายในชุดบ่าวผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้แสงไฟ ริ้วกล้ามเนื้อบนใบหน้าโปนขึ้นนิดๆ ยิ่งแลดูดุร้ายน่าพรั่นพรึง เขาเดินประชิดมาทางเฉิงเซ่าซางช้าๆ พลางเปล่งเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายเบาๆ ประหนึ่งกำลังหยอกเย้าหนอนน้อยในอุ้งมือ
เฉิงเซ่าซางถูกคุกคามไปถึงส่วนท้ายของห้องลับอันแคบยาว จนกระทั่งแผ่นหลังชิดติดผนัง นางเพียรบังคับตนเองให้ยืดกายตรงก่อนพลันเอ่ย “คุณชายเหลียงรู้สึกว่าฆ่าข้าแล้ว ตนเองก็จะรอดปลอดภัยได้?”
เหลียงสยาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากสั้นกระชั้นดุจเสียงของนกแสก “ห้องลับนี้ไม่มีใครล่วงรู้ ข้าเชือดเจ้าทิ้ง รอจนคลื่นลมผ่านพ้นค่อยมาสะสางศพเจ้า ใครกันจะรู้ได้”
“ไยคุณชายเหลียงไม่ถามเล่าว่าใต้เท้าหลิงไปที่ใด ข้าอยู่ที่นี่ค้นไปค้นมา เขากลับสนทนาลับอยู่กับญาติผู้พี่ของท่านจวบจนบัดนี้ ท่านว่าพวกเขากำลังพูดคุยอันใดกันอยู่” เฉิงเซ่าซางฝืนทำเยือกเย็น ทั้งที่หน้าผากผุดเหงื่อซึม
เหลียงสยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะหยัน “เจ้าไม่ต้องมาหลอกข้า!”
“ข้าไม่ได้หลอกท่าน!” เฉิงเซ่าซางพยายามควบคุมไม่ให้เสียงตนเองสั่น
“ความจริงเหตุที่ทุกคน รวมถึงใต้เท้าจี้ผู้เข้มงวดเที่ยงตรงถูกเรื่องระหว่างชวีฮูหยินกับรัชทายาททำให้ดวงตาพร่ามัวนั้น ล้วนเป็นเพราะฐานะอันสูงศักดิ์ของรัชทายาทเกี่ยวโยงเป็นวงกว้างยิ่ง หึๆ คนเป็นขุนนางเหล่านี้มักชอบมองเรื่องราวไปในทางใหญ่โต คดียิ่งสะสางยากก็ยิ่งดี ผู้ที่พัวพันยิ่งสูงศักดิ์ก็ยิ่งภาคภูมิใจกับผลงาน! ทว่าหากลองคิดดูอีกที เรื่องราวอาจไม่ได้สับสนยุ่งเหยิงถึงเพียงนั้น อาจแค่มีคนบางคนหมายใช้ประโยชน์จากเรื่องของชวีฮูหยินกับรัชทายาทมาอำพรางตนเองก็เป็นได้”
สีหน้าเหลียงสยาค่อยๆ เขียวคล้ำ “หรือว่าหลิงปู้อี๋ก็ทายออกแล้ว?”
เฉิงเซ่าซางไม่กล้ากระทั่งจะปาดเหงื่อ ยังคงคลี่ยิ้มน้อยๆ “คิดสิว่าพี่ชายท่านตายแล้ว ใครกันจะได้รับประโยชน์สูงสุด อันที่จริงไม่ใช่ชวีฮูหยิน หากแต่เป็นท่าน บุตรชายของพี่ชายท่านเพิ่งจะกี่ขวบ ส่วนผู้ว่าการเหลียงก็อายุสี่สิบหกสี่สิบเจ็ดแล้ว จนบัดนี้ยังคงไร้บุตรชาย เมื่อพี่ชายท่านจากไป ผู้ว่าการเหลียงนอกจากแต่งตั้งท่านเป็นผู้นำสกุลรุ่นต่อไปก็ไม่มีทางอื่นอีก”
“ในเมื่อพวกเจ้าล้วนรู้แล้ว เหตุใดยังไม่มาจับข้าเล่า” เหลียงสยาพลันใจเย็นลง เปล่งเสียงหัวเราะอันชวนสะพรึง
เฉิงเซ่าซางแสร้งถอนใจอย่างจนปัญญา “เพราะพวกเราไม่รู้ว่าที่แท้ท่านฆ่าคนด้วยวิธีใดน่ะสิ! อย่างไรเสียท่านก็เป็นคุณชายสกุลเหลียง ดังคำว่า ‘ทัณฑ์ไม่ถึงขุนนางระดับสูง’ จะให้จับท่านไปลงทัณฑ์ทรมานที่กรมอาญาหนึ่งยกหรือไร ย่อมต้องมีหลักฐานจึงจะตั้งข้อหาท่านได้! เฮ้อ น่าสะทกสะท้อนใจนัก ผู้คนล้วนยกย่องว่าใต้เท้าหลิงเก่งกาจจนน่าตระหนก แต่จนบัดนี้กลับยังคิดไม่ออกว่าท่านลงมือเช่นไรกันแน่!”
เหลียงสยาหัวเราะร่วนดังฮ่าๆ แล้วพูดอย่างได้ใจ “นั่นย่อมแน่นอน! วิธีการนี้เป็น…” เขาพลันชะงักกึก ก่อนคลี่ยิ้มเอ่ยต่อ “เป็นข้าที่เค้นสมองวางแผนออกมา! หากมิใช่แม่นางน้อยเยี่ยงเจ้าคลำหาเปะปะไปทั่ว ไม่ว่าผู้ใดขบคิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกหรอก!”
“ผู้เยาว์กังขานัก ขอคุณชายเหลียงโปรดอย่าตระหนี่คำชี้แนะ” เฉิงเซ่าซางทำเป็นบอบบางน่าสงสาร หวังใจให้กฎที่ว่า ‘ตัวร้ายตายเพราะพูดมาก’ นั้นบังเกิดผล เหลียงชิวเฟยเป็นคนรอบคอบ แม้ถูกนางต่อว่าไล่ออกไป กระนั้นทุกๆ ไม่ถึงครึ่งเค่อล้วนเป็นต้องเข้ามาในเรือนดูว่านางทำอันใดอยู่
“วันนั้นข้าแฝงตัวเข้ามาในห้องลับนี้ตั้งแต่เช้า รอคอยจวบจนตอนใกล้เที่ยง ได้ยินพี่ชายก่นด่าโย่วถงหญิงชั้นต่ำนั่น ทั้งยังผลักชั้นวางหนังสือล้มลงอย่างเกรี้ยวกราด ข้ารอกระทั่งโย่วถงจากไปไกลค่อยดันผนังออกไป พี่ชายตกใจยิ่ง เขาไม่เคยรู้เลยว่ามีห้องลับนี้ ความจริงข้าก็ค้นพบมันโดยบังเอิญเช่นกัน ข้าแสร้งพูดล้อเล่น ฉวยจังหวะขณะสนทนาแทงเขาตายในมีดเดียว แล้วผลักเขาไปนั่งข้างผนัง งอพับสองเข่าของเขา ให้ศพดูเหมือนเคยอยู่ในหีบตำรา จากนั้นใส่ยาสลบเล็กน้อยลงในป้านสุรา ค่อยกลับมาซ่อนตัวในห้องลับ ถอดเสื้อนอกออก ผลัดเปลี่ยนเป็นชุดบ่าวชาย รอจนช่วงบ่ายชวีหลิงจวินค้นพบศพ ข้างนอกชุลมุนวุ่นวาย ข้าจึงฉวยโอกาสปะปนจากไป”
“แผนการเยี่ยม!” เฉิงเซ่าซางพูดสนับสนุนเต็มที่ “เห็นทีคนข้างนอกล้วนมองคุณชายผิดถนัด ท่านมิเพียงวรยุทธ์สูงส่ง ยังเจ้าปัญญามากแผนการ เรียกว่าเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊โดยแท้”
เหลียงสยาหัวเราะร่าอย่างกระหยิ่มใจ จากนั้นสีหน้าพลันขรึมวูบ คุกคามเข้าใกล้นางทีละก้าว “เจ้าไม่ต้องถ่วงเวลาหรอก หึๆ เพียงแต่…ดูเจ้าโฉมงามปานบุปผาหยก มิสู้ก่อนตายให้ข้าได้สำราญใจสักหน่อย”
เดิมเฉิงเซ่าซางหวาดกลัวยิ่งยวด ครั้นได้ยินถ้อยคำนี้กลับจุดประกายความคิดบางอย่าง ที่แท้ก็จะขืนใจก่อน เช่นนั้นนางก็มีโอกาสแล้วน่ะสิ นิ้วมือนางลอบแตะไปที่มีดสั้นฝังอัญมณีเล่มเล็กตรงข้างเอว
ห้องลับมืดทึมเป็นทุนเดิม ประกอบกับมีดสั้นเล่มเล็กนั้นถูกท่านลุงวั่นสั่งทำมาแบบหรูหราอลังการ เต็มไปด้วยอัญมณีไม่พอ ปลายสองด้านยังโค้งขึ้นดุจจันทร์เสี้ยว คนทั่วไปได้เห็นล้วนต้องนึกว่ามันเป็นเพียงเครื่องประดับของเด็กสาวจำพวกเดียวกับหยกครึ่งวงกลม
ขณะที่เหลียงสยากำลังจะโถมตรงมา เสียงอึกทึกก็ดังขึ้นที่เบื้องนอก ได้ยินแต่เสียงตะโกนขององครักษ์ดังติดต่อกัน…
“แม่นางเฉิงเล่า แม่นางเฉิงหายตัวไป!”
“ห้องนี้ข้าดูแล้ว นางไม่อยู่! ห้องนั้นเล่า”
“ก็ไม่อยู่เหมือนกัน!”
“รีบปิดล้อมสามห้องนี้ไว้ ห้ามใครเข้าออก อาเฟย เจ้าไปแจ้งนายน้อยเร็วเข้า!”
เหลียงสยาสีหน้าเขียวคล้ำ เฉิงเซ่าซางยืดกายตรงเอ่ยเยาะหยัน “ตอนนี้ต่อให้ท่านฆ่าข้าก็ออกไปไม่ได้แล้ว!”
เหลียงสยาพุ่งตรงมาอย่างโกรธเกรี้ยว ปากก็ตะคอกลั่น “นางเด็กต่ำช้า!”
เฉิงเซ่าซางงอตัวกลิ้งหนึ่งตลบ ลอดผ่านใต้แขนของเขาไป ก่อนเอ่ยเสียงเย็น “ท่านกับข้าไม่มีความแค้นในปัจจุบัน ทั้งไม่มีเรื่องบาดหมางแต่หนหลัง ท่านไยต้องหาความกับข้าให้ได้เล่า มิสู้ปล่อยข้าจากไป ข้ารับรองว่าจะไม่พูดเรื่องของท่านออกไปแน่ รอจนเหล่าองครักษ์ถอนกำลังแล้วท่านค่อยหนีไป มิใช่ดีพร้อมหรอกหรือ”
เหลียงสยาอึ้งงันไปชั่วอึดใจ ครั้นได้สติแจ่มใสก็ตวาดด้วยโทสะ “ข้ามีหรือจะเชื่อเจ้า! นางเด็กต่ำช้ากลอกกลิ้ง มอบชีวิตมา!”
เฉิงเซ่าซางเล็งตำแหน่งอย่างแม่นยำ ก่อนพุ่งปราดไปฉวยแท่งจุดไฟที่เสียบอยู่บนผนัง ย่ำดับแล้วเก็บซ่อนเข้าแขนเสื้อทันที
ในห้องลับพลันมืดมิดไปทั่ว เหลียงสยาไม่ได้พกแท่งจุดไฟมาด้วย จึงได้แต่ด่าทอพลางคลำหาเด็กสาวท่ามกลางความมืด ฝ่ายเฉิงเซ่าซางที่รูปร่างเล็กอ้อนแอ้น สดับฟังเสียงหายใจอันหนักหน่วงของเหลียงสยาพลางลอดซ้ายหลบขวา ชั่วขณะเขาถึงกับไม่อาจจับตัวนางได้ ทว่าไม่ช้าเขาก็เข้าใจกุญแจสำคัญ เริ่มคว้าจับตั้งแต่ปลายด้านหนึ่งของห้องลับอันแคบยาว มือเท้ากางออกแกว่งไกว เดินหน้ารุกประชิดมาทีละก้าว ในที่สุดนางก็หมดหนทางจะหลบหลีก ถูกเขาจับกุมในกำมือจนได้
เหลียงสยาบังเกิดจิตอำมหิต มือกดบนลำคอเด็กสาวหมายจะบีบเค้นให้ตาย ขณะเดียวกันเฉิงเซ่าซางเองก็กำมีดสั้นเล่มเล็กไว้ในฝ่ามือ หมายจะกรีดหนึ่งมีดบนหลอดเลือดแดงใหญ่ตรงลำคอของเขา
ตอนนี้เองเสียงอันกังวานทว่าเร่งร้อนของชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ดังขึ้นที่เบื้องนอก นี่เป็นเสียงซึ่งต่อให้อยู่ท่ามกลางผู้คนนับหมื่นก็จะไม่ถูกมองข้ามเป็นอันขาด “นางอยู่ที่ใด!”
“เรียนนายน้อย ทั้งสามห้องล้วนค้นจนทั่วแล้ว แม่นางเฉิงไม่อยู่จริงๆ ขอรับ!”
“จื่อเซิ่ง แม่นางเฉิงเดินเตร่ไปที่อื่นแล้วไม่ได้บอกเหล่าองครักษ์หรือไม่” นี่เป็นเสียงของผู้ว่าการเหลียง
“ไม่หรอก นางแม้อายุน้อย ทว่าเป็นคนระวังรอบคอบ ยามปกติเดินอยู่ในวัง น้อยครั้งนักจะไม่พานางกำนัลขันทีไปด้วย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสถานที่เช่นนี้ นางไม่มีทางจากไปโดยไม่บอกกล่าว!”
การเคลื่อนไหวของเหลียงสยากับเฉิงเซ่าซางหยุดชะงักโดยพร้อมเพรียง
ดวงตาของเฉิงเซ่าซางกลอกวูบหนึ่งก่อนกล่าว “ท่านอย่าฆ่าข้าจะดีกว่า ใช้ข้าเป็นตัวประกันเถิด”
เหลียงสยาแสยะยิ้มอย่างดุร้าย “พวกเขาหาที่นี่ไม่พบหรอก ข้าฆ่าเจ้าแล้ว ซ่อนตัวจนฟ้ามืด พวกเขาสลายตัวไป ข้าค่อยหลบหนี!”
ขณะคิดจะพูดว่า ‘แม้แต่ข้ายังหาห้องลับนี้พบ นับประสาอะไรกับหลิงปู้อี๋เล่า’ นางก็พลันได้ยินเสียงเคร้งคร้างระลอกหนึ่งดังขึ้นที่เบื้องนอก คล้ายเป็นหินเหล็กบางอย่างที่แสนหนักอึ้ง
เสียงพูดของหลิงปู้อี๋แม้ฟังคล้ายเรียบสงบ ทว่าระดับเสียงกลับดังก้องขึ้นมิใช่น้อย “ใต้เท้าผู้ว่าการ ขอล่วงเกินครั้งใหญ่แล้ว องครักษ์! ลงมือได้ จงรื้อสามห้องนี้ทิ้งเสีย!”
เหลียงสยาตะลึงงัน เฉิงเซ่าซางเองก็ตาค้างอยู่บ้างขณะงึมงำ “ไฉนข้านึกไม่ถึงเรื่องรื้อเรือนนะ ทำราวแมลงวันที่ไร้หัว มัวหาทางลับห้องลับอะไรกัน รื้อทิ้งซะก็แจ่มแจ้งทุกอย่างไม่ใช่หรือไร”
ตอนนี้คนด้านนอกมาชุมนุมกันมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากแทรกปนด้วยเสียงร้องตกใจอันแหลมสูงของสตรี ยังมีเสียงอันชราภาพเสียงหนึ่งดังกังวานเป็นพิเศษ “ใต้เท้าหลิงตรึกตรองด้วย! จวนร้อยปีของสกุลเหลียง ไฉนท่านจึง…”
“นี่เป็นศาลบรรพชนสกุลเหลียงหรือ เรือนนี้เซ่นไหว้บรรพชนของท่านอยู่หรือไร เป็นชีวิตของภรรยาข้าที่สำคัญ หรือเป็นเรือนตำรานี้ที่สำคัญ ท่านลุงสกุลเหลียงผู้นี้ วันนี้หลิงจื่อเซิ่งจดจำท่านไว้แล้ว รอวันหน้าจะมารับการชี้แนะอีกครา! ฮึ อย่าว่าแต่เรือนไม้สลับอิฐสามห้องเท่านี้เลย ต่อให้เป็นศาลบรรพชนสกุลเหลียงของท่านจริง วันนี้ข้าก็จะรื้อให้ได้!”
เสียงชราภาพทว่าก้องกังวานนั้นขาดหายไปทันตา รอบด้านล้วนเป็นใบ้ไร้สุ้มเสียง
ฟังคล้ายหลิงปู้อี๋แค่นหัวเราะอย่างเย็นชาหนึ่งที จากนั้นเร่งรัดไม่ขาดปากให้รื้อเรือนโดยไว เหลียงสยากับเฉิงเซ่าซางต่างได้ยินเสียงทุบทำลายดังถี่ยิบจากเบื้องบนและซ้ายขวา ไม่รู้ในห้วงฉุกละหุกหลิงปู้อี๋หาเครื่องมือหนักจำนวนมากนี้มาจากที่ใดกัน
“ข้ารู้สึกว่าท่านยังคงออกไปเถิด” เฉิงเซ่าซางเตือนด้วยความหวังดี “ตอนนี้ออกไปยังนับได้ว่าท่านมอบตัว หาไม่รอจนหลังคาเรือนถูกรื้อค่อยออกไป ท่านไม่เสียความองอาจแย่หรือ”
เหลียงสยาหน้าเครียดเกร็ง ได้ยินเสียงโครมครามรอบทิศดังใกล้เข้ามาทุกขณะ สองมือของเขาจึงยึดกุมเฉิงเซ่าซางอย่างแน่นหนา ใช้หลังไหล่ผลักเปิดประตูลับฝั่งห้องหนังสือ แล้วตะโกนพลางเดินออกไป “คนอยู่ที่ข้า พวกเจ้าทั้งหมดจงหยุดมือ!”
เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าภาพลักษณ์สำคัญยิ่ง ท่ามกลางความชุลมุนนางยังมิวายก้มมองตนเอง พบว่านอกจากกลิ้งเปรอะฝุ่นดินทั้งตัวแล้ว เครื่องแต่งกายยังคงเรียบร้อยดี
การรื้อเรือนยุติลงชั่วคราว เหลียงสยาจับกุมเฉิงเซ่าซางเดินออกมานอกเรือน
อยู่ในห้องลับอันมืดมิดมาเนิ่นนาน พลันได้เห็นแสงตะวันอีกครา นางตื้นตันจนแทบน้ำตาไหล แม่จ๋า หนนี้บานปลายจนเลยเถิดแล้ว
นอกเรือนล้อมไปด้วยผู้คนแน่นขนัดหลายชั้น กลุ่มคนวงชั้นในสุดคือองครักษ์ของหลิงปู้อี๋ แต่ละคนพาดเกาทัณฑ์น้าวคันธนู เล็งตรงไปทางเหลียงสยา วงชั้นกลางคือทหารส่วนตัวของเหลียงอู๋จี้ ต่างชักดาบกระบี่ออกจากฝัก จัดกระบวนตั้งรับอย่างรัดกุม วงชั้นนอกคือบ่าวชายของจวนสกุลเหลียง
ถัดจากวงล้อมสามชั้นนี้ไปจึงจะเป็นเหล่าญาติสนิทมิตรสหาย บ่าวรับใช้ และกลุ่มผู้กินแตงในจวนสกุลเหลียง
เดิมหลิงปู้อี๋ยืนอยู่บนชั้นสองของสำนักศึกษาฝั่งตรงข้ามเพื่อบัญชาการโดยรวม ครั้นเห็นเหลียงสยากับเฉิงเซ่าซางสองคนเดินออกมา เขาก็ไม่มัวหันหลังอ้อมลงมาทางบันได ทว่ากระโดดลงจากชั้นสองมาโดยตรง
ประดุจหมัวซีแยกทะเลแดง* วงล้อมสามชั้นขององครักษ์ ทหารส่วนตัว และบ่าวชายต่างพากันหลีกทางจนเปิดเป็นช่องทางหนึ่ง หลิงปู้อี๋ย่างก้าวใหญ่ตรงไป หยวนเซิ่นรุ่มร้อนหมายจะเข้าไปเช่นกัน แต่ถูกเหลียงอู๋จี้คว้าตัวไว้กลางทาง ด้วยกังวลว่าบัณฑิตเช่นอีกฝ่ายยากจะหลบพ้นดาบกระบี่
“เจ้าห้ามเข้ามานะ! ไม่อย่างนั้นข้าจะบีบคอนางให้ตาย!” เหลียงสยาถอยร่นไปหนึ่งก้าว แผ่นหลังพิงเสา ใบหน้าเกลื่อนด้วยความหวาดหวั่น
หลิงปู้อี๋สีหน้าขาวซีด ในดวงตาแฝงซึ่งอารมณ์กระสับกระส่าย “เจ้าปล่อยคนก่อน อย่างอื่นล้วนพูดคุยได้ง่าย!”
“ปล่อยนางแล้วข้ายังจะมีทางรอดอีกหรือ! หลิงปู้อี๋ เจ้าอย่าดูถูกกันนัก!”
หลิงปู้อี๋เม้มปากนิดๆ เพียงยื่นมือโบกไปทางด้านหลัง เห็นองครักษ์สองคนคุมตัวหญิงสูงวัยผู้หนึ่งมา เฉิงเซ่าซางตั้งสติมองไป อีกฝ่ายคือเหลียงเอ่านั่นเอง หลิงปู้อี๋กล่าว “เจ้าปล่อยนาง แล้วข้าจะไม่สร้างความลำบากแก่มารดาเจ้า!”
ตอนนี้มีผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ในสำนักศึกษาอีกผู้หนึ่งพลันเปล่งเสียง “ใต้เท้าหลิง ไยต้องสร้างความลำบากแก่สตรีด้วยเล่า ถึงอย่างไรนางก็เป็นสะใภ้สกุลเหลียง พวกเราสกุลเหลียงอยู่มาร้อยปี…”
หยวนเซิ่นเอ่ยอย่างร้อนใจ “ท่านลุงสามอย่าพูดอีกเลย! หากแม่นางน้อยที่ฮองเฮาทรงส่งมาไถ่ถามคดีผู้นี้เป็นอันใดไป นั่นเท่ากับดูหมิ่นพระเมตตา สกุลเหลียงก็ต้องยุติที่ร้อยปีนี้แล้ว!”
ผู้อาวุโสท่านนั้นจำต้องหุบปากอย่างวางหน้าไม่สนิท
ครั้นเหลียงเอ่าถูกดึงก้อนผ้าที่อุดอยู่ในปากออก นางก็ร่ำไห้ร้องเรียกบุตรชาย “สยาเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป! เหตุใดเจ้าต้องทำเยี่ยงนี้ด้วย เป็นพวกเขาปรักปรำเจ้าใช่หรือไม่! เจ้าจะฆ่าพี่ชายตนเองได้อย่างไรกัน…”
เสียงพูดไม่ทันขาดคำ ทุกคนก็เห็นเหลียงชิวฉี่เดินออกมาจากห้องลับที่แทรกตัวอยู่ห้องนั้น ในมือเขาถือเสื้อเปื้อนเลือดตัวหนึ่ง ชูขึ้นสูงให้คนทั้งหมดได้เห็น ปากก็เอ่ยรายงานเสียงก้อง “นายน้อย ในห้องลับนั้นไม่เพียงมีเสื้อเปื้อนเลือดของเหลียงสยาขณะลงมือสังหาร ยังมีอาหารน้ำดื่ม ตลอดจนชุดบ่าวชายสำหรับผลัดเปลี่ยนสองสามตัวขอรับ!”
เรื่องราวชัดแจ้งยิ่งแล้ว เหลียงอู๋จี้กับผู้เฒ่าสกุลเหลียงทั้งหลายล้วนมีสีหน้าเขียวคล้ำ กระดากระคนละอายใจ
หลิงปู้อี๋กล่าว “จับได้คาหนังคาเขา เจ้ายังจะว่าอย่างไร จงรีบจำนนเสียดีกว่า คนในตระกูลกับมารดาชราจะได้ไม่ต้องรับความอัปยศ!”
เหลียงสยารู้ว่ายากจะพ้นผิดแล้ว จึงทุ่มสุดตัวตะเบ็งเสียงลั่น “ข้าไม่จำนน! ถึงข้าตายก็ต้องหาสักคนมาตายด้วย! เจ้าจะฆ่าหญิงแก่นี่ก็ฆ่าได้เลย ข้าไม่มีทางสะทกสะท้าน!”
แม้แต่คนที่ชั่วช้าสามานย์มาแต่ไหนแต่ไรก็มีน้อยนักที่จะไม่ไยดีบุพการี เหลียงสยาตอบออกมาเยี่ยงนี้ คนสกุลเหลียงล้วนขายหน้าไม่เหลือดี ลอบถอนใจว่าไฉนจึงให้กำเนิดบุตรหลานอกตัญญูพรรค์นี้ออกมาได้
หลิงปู้อี๋มีสีหน้าเย็นชา สั่งการอย่างเฉียบขาดฉับไว “องครักษ์ จงหักแขนหญิงชราผู้นี้ข้างหนึ่งก่อน ดูซิว่าคุณชายเหลียงจะสะทกสะท้านหรือไม่!”
วาจานี้พอเปล่งออกมา ทุกผู้คนต่างตกตะลึง จับหญิงสูงวัยมาข่มขู่นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าลงมือจริงกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในใจผู้คนสองร้อยกว่าคนในที่นี้ล้วนคิดกันว่า หลิงปู้อี๋ใจคออำมหิตจริงๆ เสียด้วย
แม้เมื่อครู่เหลียงสยาพูดจาโอหัง แต่เมื่อเห็นแขนของมารดาแท้ๆ ถูกองครักษ์ผู้หนึ่งยึดกุมไว้ในมือทำท่าจะบิดหักอยู่นั้น จิตใจของเขาไม่แคล้วหวั่นไหว ส่งผลให้ฝ่ามือคลายจากลำคอเฉิงเซ่าซางนิดๆ
ทันใดนั้นเองเฉิงเซ่าซางก็รู้สึกว่าหลอดลมพลันได้รับอิสระ จึงเผยมีดสั้นในแขนเสื้อ แทงใส่ช่วงเอวของเหลียงสยาที่อยู่ด้านหลังตนทันที ใต้คมมีดปรากฏเลือดในพริบตา เหลียงสยาร้องโอยด้วยความเจ็บปวด เฉิงเซ่าซางก็รีบฉวยจังหวะกลิ้งตัวเรียดพื้น
ไม่รอให้อีกฝ่ายพุ่งตัวไปหานางได้อีกครา หลิงปู้อี๋ไม่รู้หนีบมีดบินที่บางเฉียบปานใบหลิวไว้กับร่องนิ้วตั้งแต่เมื่อใด ซัดออกไปสี่เล่มต่อเนื่องกันประดุจรุ้งเหิน สองเล่มเสียบเข้าฝ่ามือขวาของเหลียงสยาซึ่งจวนจะแตะถึงหัวไหล่นาง ส่วนอีกสองเล่มแยกย้ายเสียบเข้าที่ฝ่ามือซ้ายกับข้อมือซ้ายของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ
ข้างหูเฉิงเซ่าซางอื้ออึงด้วยเสียงของเหลียงสยาซึ่งร้องโหยหวนราวเม่นตัวใหญ่เกลือกกลิ้งบนพื้นโดยไม่รู้สาเหตุ จากนั้นนางก็ถูกหลิงปู้อี๋โผตรงมาโอบเข้าสู่อ้อมอก ยามที่นางเงยหน้าขึ้นอีกครา ก็ได้เห็นดวงหน้าอันหล่อเหลากระจ่างตาทว่าขาวซีดของเขาแล้ว
กลุ่มองครักษ์สืบเท้าขึ้นหน้ามาโดยไม่รั้งรอ กอปรเป็นกำแพงมนุษย์ ล้อมป้องเบื้องหน้าคนทั้งสองอย่างมิดชิดชนิดสายลมไม่อาจเล็ดลอด
หลิงปู้อี๋ขบขากรรไกรแน่น แววตาดุดัน กอดรัดเด็กสาวไว้ แล้วเริ่มเปิดฉากเอ็ดนางโดยไม่คำนึงว่าสายธนูรอบทิศยังคงน้าวตึง “คำพูดของข้าเจ้าไม่เคยยอมฟังเลยใช่หรือไม่! ข้าบอกเจ้าว่าไม่ต้องมา เจ้าก็จะมาให้ได้ ข้าบอกเจ้าว่าให้ระวัง เจ้ากลับกระทำตามอำเภอใจ หากไม่มีชีวิตแล้ว เจ้าควรทำเช่นไรเล่า”
ประโยคสุดท้ายนี้เป็นคำถามที่เต็มไปด้วยตรรกะอันย้อนแย้ง ทว่ายามนี้เฉิงเซ่าซางไม่อาจมัวจับผิด เพราะกล้ามแขนอันแกร่งกำยำของชายหนุ่มรัดเกร็งจนกระดูกนางเจ็บแปลบไปทั้งร่าง นางลำคอตีบตันอยู่เป็นนานกว่าจะเปล่งเสียงโฮออกมา แล้วร้องทุกข์ปนสะอื้น
“เมื่อครู่อยู่ข้างในข้านึกว่าจะต้องตายแน่แล้ว ในใจคิดถึงเพียงแต่ท่าน คิดว่าหากก่อนตายได้พบหน้าท่านสักครั้งก็คงดี! พอรู้ว่าท่านมาช่วยข้าแล้ว ในใจข้าเต็มตื้นจนแม้นตายก็เต็มใจ! ข้าเห็นท่านเป็นผู้ที่สนิทชิดใกล้ที่สุดของข้า เป็นผู้ที่ข้าพึ่งพิงได้ยิ่งกว่าใครทั้งหมด ตอนนี้ข้าทั้งเหนื่อยล้าทั้งหวาดกลัว ท่านกลับจำได้แต่ดุด่าข้า รู้เช่นนี้แต่แรก ข้าตายอยู่ในนั้นเสียก็ดี…”
ก่อนหน้านี้หลิงปู้อี๋เห็นเด็กสาวใบหน้ามอมแมม หน้าผากไม่รู้โขกถูกที่ใดจนบวมนูน ในดวงตาวาวใสคู่โตยังขังคลอด้วยหยาดน้ำ พาให้หัวใจเขาอ่อนยวบไปครึ่งดวงตั้งแต่แรก ยามนี้มาได้ฟังวาจานี้ หัวใจอีกครึ่งดวงก็อ่อนตาม ทั้งเหลวละลายเป็นน้ำอุ่นเต็มช่องอกแล้ว เขาลอบถอนหายใจ ปลดเสื้อคลุมของตนห่อหุ้มนางไว้ก่อนโอบกอดนางแนบอก พูดปลอบประโลมเสียงเบา
น่าเสียดาย ใต้เท้าหลิงผู้เก่งกาจสามารถในทุกเรื่องมีการฝึกปรือทางด้านนี้ไม่เพียงพอ วกไปวนมาได้แต่ปลอบนางทำนองว่า “เอาล่ะๆ อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ข้าไม่ดุเจ้าแล้ว” ยังดีที่เขามีรูปเป็นทรัพย์ เรือนกายแข็งแกร่ง สุ้มเสียงชวนหวั่นไหว เฉิงเซ่าซางจึงฝืนใจยอมรับคำปลอบนี้
เหลียงชิวฉี่ในฐานะที่มีสตรีผู้รู้ใจถึงสี่นางมองนายน้อยของตนด้วยความเวทนาล้นใจ
เหลียงชิวเฟยในฐานะที่ไม่มีสตรีผู้รู้ใจสี่นาง มีแต่ความงุนงงเกลื่อนใบหน้า เขารู้สึกตงิดๆ ว่าแม่นางน้อยสกุลเฉิงไม่ได้อ่อนแอขี้กลัวเยี่ยงนี้แต่อย่างใด เมื่อครู่นางแทงเหลียงสยาทั้งโหดเหี้ยมทั้งแม่นยำ กลิ้งเรียดพื้นแคล่วคล่องถึงเพียงใด ทว่า…บางที…เอ่อคือ เขาเองก็ไม่รู้แล้ว
หยวนเซิ่นเห็นเฉิงเซ่าซางพ้นภัย เดิมอยากจะตรงไปไถ่ถามสองสามประโยค ต่อเมื่อเห็นหนุ่มสาวแซ่หลิงกับเฉิงสองคนอิงแอบอยู่ด้วยกัน ฝีเท้าของเขาก็ชะงักกึก กลับหลังหันไปทันที
หลายปีที่ผ่านมาบรรดาแม่นางน้อยชาติตระกูลสูงส่งในเมืองหลวงเคยแสดงความอ่อนแอของพวกนางต่อหลิงปู้อี๋ไม่ต่ำกว่าสิบหน บ้างตกสระน้ำ บ้างห้อยตัวอยู่บนกิ่งไม้ บ้างแขวนร่างอยู่บนผาขาด…ต่างมุ่งหวังเฝ้ารอว่าหลิงปู้อี๋จะยื่นมือเข้าช่วย แต่หลิงปู้อี๋ก็เพียรแสดงออกอย่างมุ่งมั่นไม่ต่ำกว่าสิบหนเช่นกันว่าเขาไม่แพ้ทางลูกไม้ ‘มารยาอ่อนแอ’ นี้จริงๆ
หยวนเซิ่นคิด…อันที่จริงก็แค่คนไม่ถูกต้อง ขอเพียงคนถูกต้องแล้ว ไม่ว่านางจะอ่อนแอหรือแสบสัน เจ้าเล่ห์หรือหัวช้า เจนจัดหรือไร้เดียงสา หลิงปู้อี๋ล้วนยินยอมพ่ายแพ้ ทั้งยินยอมอย่างเต็มอกเต็มใจดุจกินน้ำตาลอันหวานล้ำ
คำกล่าวรุกรับระหว่างคู่หนุ่มสาวทางนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วสั้นๆ ทั้งมีองครักษ์ล้อมบังอยู่เบื้องหน้า ผู้คนทั่วบริเวณไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะคู่มารดากับบุตรชายสกุลเหลียงทำตัวเด่นเหลือเกินจริงๆ…
ฉวยจังหวะชุลมุนตอนที่เฉิงเซ่าซางพ้นภัย เหลียงเอ่าแผดร้องปานคลุ้มคลั่ง ดิ้นหลุดจากองครักษ์ถลาไปถึงข้างกายบุตรชาย ลูบคลำตามแผลของเขาพลางคร่ำครวญหวนไห้ “ลูกแม่ ไฉนเจ้าเลอะเลือนเยี่ยงนี้เล่า”
เหลียงสยาเดือดดาล ผลักนางออกห่างแล้วตะคอกกลับ “ล้วนเป็นความผิดของท่าน! แต่ไรมาท่านไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา ในใจท่านมีแต่พี่ชายข้าเป็นบุตรชายคนเดียว เพราะหลังจากคลอดเหลียงซั่ง ท่านถึงถูกท่านพ่อเลื่อนฐานะขึ้นเป็นภรรยาเอก หาไม่ท่านก็ยังคงเป็นแค่อนุ! ดังนั้นท่านจึงมองเหลียงซั่งเป็นดวงใจ ประคบประหงมรักถนอมทั้งวี่วันก็ยังติว่าไม่พอ!”
ผู้คนฟังจบก็ต่างวิจารณ์กันเซ็งแซ่
เมื่อแรกนายท่านผู้เฒ่าเหลียงหมายให้บุตรชายมีฐานะมั่นคงขึ้น จึงจงใจปกปิดพื้นเพของเหลียงเอ่า แสร้งบอกว่านางเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่แทนภรรยาผู้ล่วงลับ เรื่องนี้นอกจากคนส่วนน้อยไม่กี่คนอย่างเหลียงอู๋จี้กับเหลียงซื่อมารดาของหยวนเซิ่นแล้ว ในตระกูลถึงกับไม่มีผู้อื่นล่วงรู้
“เช่นนั้นข้าเป็นใคร เป็นตัวอะไรกัน! ท่านคลอดข้าเพิ่มออกมาเพื่อเป็นตัวสำรองของพี่ชายแค่นั้นสินะ! ปีนั้นเขาป่วยหนัก ท่านพลันดีกับข้า แต่ต่อมาพอเขาหายป่วย ท่านก็ทิ้งข้าไปอีก! เห็นกันอยู่ว่าเหลียงซั่งมีคุณสมบัติพื้นๆ เป็นตัวไร้ค่าไร้ความสามารถ! แต่ว่าท่าน ท่านพี่ผู้ว่าการ รวมถึงคนทั้งตระกูลล้วนเห็นเขาเป็นสิ่งล้ำค่า! ไม่ว่าจะสำนักศึกษาที่ดีที่สุด อาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่สุด หรือแม้แต่การแต่งงาน เขาก็ได้แต่งกับบุตรสาวที่มีรูปโฉมความสามารถและฐานะดีที่สุดในตระกูลชั้นสูงอย่างสกุลชวี! ส่วนข้าเล่า กลับได้แต่แต่งกับบุตรสาวเจ้าหน้าที่ธรรมดาสักคน ถือสิทธิ์อะไร เขาถือสิทธิ์อะไร ทั้งที่ข้ากับเขาเกิดจากมารดาเดียวกัน!”
ชวีหลิงจวินซึ่งยืนอยู่ไกลๆ มีสีหน้าอมเหลืองดุจกระดาษทอง บ่าวชายหญิงของสกุลชวีที่ห้อมล้อมอยู่รอบกายนางล้วนมองคนสกุลเหลียงด้วยแววตาโกรธขึ้ง มิใช่ว่าบุตรีภรรยาเอกกับบุตรชายอนุไม่อาจแต่งงานกัน จ้าวเซียงจื่อ* ผู้มีนามกระเดื่องยุคชุนชิวยังเกิดจากบ่าวด้วยซ้ำ มีคนใดเล่ากล้าดูแคลนเขา ทว่าพวกเจ้าสกุลเหลียงจะมาหลอกกันเยี่ยงนี้ไม่ได้!
เหลียงเอ่าคุกเข่ากับพื้น กอดต้นขาเหลียงสยาพลางร่ำไห้อย่างเจ็บปวด “แม่จะไม่เห็นเจ้าในสายตาได้อย่างไร! เพียงแต่พี่ชายเจ้าร่างกายอ่อนแอมาแต่เล็ก มะ…แม่…ต่อให้เป็นเช่นนี้เจ้าก็ไม่ควรปองร้ายเขา พวกเจ้าเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันนะ”
เหลียงสยาฉุนขาด เตะมารดาแท้ๆ ออกไปในเท้าเดียวแล้วก่นด่าราวเสียสติ “ข้าตกอยู่ในสภาพเยี่ยงวันนี้ ล้วนเป็นความผิดของท่าน! เดิมข้าป้ายความผิดให้ชวีซื่อไปแล้ว หากลงโทษกันเองในตระกูลเงียบๆ ยังจะมีเรื่องอะไรได้! พวกแก่หนังเหนียวนั่นไม่กล้าล่วงเกินราชวงศ์หรอก แค่มอบผ้าขาวผืนหนึ่งให้ชวีซื่อจบชีวิตตนเอง เรื่องก็จบแล้ว! เป็นท่าน เป็นเพราะท่านเที่ยวไปป่าวร้องข้างนอกครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อบุตรชายคนโตที่ท่านรักดั่งดวงใจ ดึงดันจะทำให้เรื่องบานปลายใหญ่โตจนทำร้ายให้ข้าตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้!”
หลิงปู้อี๋หัวเราะเยาะเบาๆ
เฉิงเซ่าซางได้ยินแล้วกระซิบถาม “ทำไมหรือ”
หลิงปู้อี๋โน้มใบหน้าลงตอบริมหูนาง “ไม่ว่าหญิงสูงวัยผู้นี้ป่าวร้องหรือไม่ ล้วนจะมีคนทำให้เรื่องนี้บานปลายใหญ่โต”
เฉิงเซ่าซางคล้ายเข้าใจคล้ายยังงุนงง
หลิงปู้อี๋ลูบศีรษะเด็กสาวในอ้อมอกอย่างรักถนอม ยามเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กำชับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “ข้าต้องการจับเป็น”
เหลียงชิวฉี่ตะโกนถ่ายทอดคำสั่ง เหล่าองครักษ์ก็พร้อมใจกันเก็บเกาทัณฑ์ สะพายคันธนูกลับขึ้นหลัง แล้วปลดเชือกกับโซ่เหล็กจากข้างเอวหมายจับเป็นเหลียงสยา
ทว่าตอนนี้เองเกาทัณฑ์อันเฉียบไวปานสายฟ้าดอกหนึ่งกลับโฉบผ่านไป ปักต้องลำคอของเหลียงสยาอย่างถนัดถนี่ เกาทัณฑ์ยาวขนนกสีเทาดอกนั้นมีพลังกล้าแข็งยิ่ง หัวธนูทะลวงผ่านเลือดเนื้อแล้วถึงกับเสียบตรึงบนเสาที่อยู่ด้านหลังของเหลียงสยา หางธนูยังคงสั่นสะท้าน
คนทั้งหมดล้วนตื่นตระหนก มองย้อนไปยังทิศทางต้นเสียงก็เห็นเหลียงอู๋จี้ยืนสูงอยู่บนเนินดิน ห้อมล้อมด้วยทหารส่วนตัว แขนขวาถือคันธนู มือซ้ายยังอยู่ในท่าเหนี่ยวสาย สายธนูยังคงสั่นไหวแผ่วเบา
ชั่วขณะนั้นทั่วบริเวณเงียบสงัด กระทั่งเข็มหล่นสักเล่มก็ต้องได้ยิน
เหลียงเอ่าจับจ้องศพบุตรชายที่เบิกดวงตาขึ้งเคียดค้างโพลง เนิ่นนานกว่านางจะตอบสนองได้ ขณะจะสาปแช่งด่าทอเหลียงอู๋จี้ว่าอำมหิตชั่วช้า เกาทัณฑ์อีกสองดอกของเหลียงอู๋จี้ก็ยิงขวับๆ ปักเข้าผนังอิฐเบื้องหลังเหลียงเอ่าติดต่อกัน
เนื่องจากเมื่อครู่หลิงปู้อี๋รื้อเรือน ผนังอิฐนั้นถูกทุบทำลายไปกว่าครึ่งค่อน เกาทัณฑ์สองดอกนี้ของเหลียงอู๋จี้แซะก้อนอิฐที่ง่อนแง่นก้อนหนึ่งออกมาพอดิบพอดี ก้อนอิฐจึงหลุดร่วงกระแทกบนศีรษะเหลียงเอ่าเข้าอย่างจัง ทำให้นางหมดสติกับพื้นทันใด ไม่อาจส่งเสียงได้อีก
ใบหน้าเหลียงอู๋จี้ที่ไม่แสดงความรู้สึกเปี่ยมพลังอำนาจน่าเกรงขาม
ตอนนี้ฝูงชนค่อยจำได้ว่าใต้เท้าผู้นำสกุลซึ่งสุขุมเงียบขรึมของพวกตนท่านนี้ วัยหนุ่มก็เคยเป็นวีรบุรุษที่หาญกล้าไร้ผู้เปรียบในดินแดนหนึ่ง เพียงเพราะต่อมาเข้าสู่เส้นทางขุนนาง จึงได้ระวังเนื้อระวังตัวขึ้นทุกปี
เหลียงอู๋จี้ลดคันธนูอันทรงพลังในมือลง ก่อนมองไปทางหลิงปู้อี๋ “ข้าจะเข้าวังไปกับเจ้า เข้าเฝ้ารับผิดด้วยตนเอง”
หลิงปู้อี๋ตอบ “ดี”
* มีที่มาจากบทกวี ‘ดาวหนุ่มเลี้ยงวัวอันไกลโพ้น’ อ้างอิงตำนานเรื่องหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าซึ่งต้องพรากจากอยู่คนละฝั่งของทางช้างเผือก พรรณนาถึงความทุกข์ที่คู่รักมิอาจได้อยู่ร่วม แม้นธารดาราที่คั่นกลางอยู่จะดูคล้ายตื้นและใส แต่กลับอยู่ไกลกันสุดจะนับ
* ผลเหรินเซิน เป็นผลไม้เซียนในตำนาน มีรูปลักษณ์คล้ายโสมคน กินแล้วทำให้อายุยืน
* หมัวซี (โมเสส) แยกทะเลแดง เป็นเรื่องเล่าในคัมภีร์ไบเบิล เมื่อโมเสสนำพาชาวอิสราเอลหลบหนีการไล่ล่าของทหารอียิปต์ไปถึงทะเลแดง ด้วยศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า เขาชูไม้เท้าเลี้ยงสัตว์ของตนขึ้น ส่งผลให้ทะเลแดงแหวกออก กระทั่งชาวอิสราเอลข้ามฝั่งสำเร็จ ทะเลแดงจึงกลับมาบรรจบกัน กลืนกินกองทัพชาวอียิปต์
* จ้าวเซียงจื่อ (505-425 ปีก่อนคริสตกาล) คือผู้นำรุ่นที่เจ็ดของสกุลจ้าว ซึ่งเดิมเป็นสกุลใหญ่ในแคว้นจิ้นยุคชุนชิว (770-476 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นผู้นำพาสกุลหานกับเว่ยปราบปรามจื้อป๋อหัวหน้าขุนนางแคว้นจิ้น วางรากฐานให้สกุลจ้าวได้สถาปนาขึ้นเป็นแคว้นจ้าว หนึ่งในเจ็ดแคว้นใหญ่แห่งยุคจั้นกั๋ว (476-221 ปีก่อนคริสตกาล)
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.