บทที่ 113
สองวันให้หลังเฉิงเซ่าซางฆ่าเวลาอยู่ในตำหนักฉางชิวเช่นเคย ทุกคราที่ฮองเฮาถามถึงการศึกแนวหน้า ท่านลุงฮ่องเต้ล้วนมีท่าทางเย็นใจรับมือได้ทุกสถานการณ์ ใครจะรู้วันที่เจ็ดหลังทัพใหญ่เคลื่อนพล แนวหน้าส่งรายงานกลับมาหนึ่งฉบับ ถึงกับทำให้ฮ่องเต้โกรธแทบตาย ว่ากันว่าพระองค์ก่นด่าอยู่ที่สำนักราชเลขาธิการเกือบครึ่งชั่วยาม ตำหนักฉางชิวกับตำหนักของเยวี่ยเฟยล้วนไม่ไปแล้ว
ตอนที่เฉิงเซ่าซางรับคำสั่งนำโจ๊กกับของว่างไปถวายฮ่องเต้จึงตัวสั่นงันงกอยู่บ้าง นางดึงตัวหยวนเซิ่นตรงหัวเลี้ยวของตรอกตำหนักมา แล้วสอบถามว่าเกิดเรื่องใดกันแน่
หยวนเซิ่นขมวดคิ้วตอบ “นายอำเภอของอำเภอถงหนิวสวามิภักดิ์ข้าศึกแล้ว”
ด้านภูมิประเทศแถบนั้น ในหัวเฉิงเซ่าซางมีแต่แป้งเปียกอันเละเทะ จึงได้แต่ถามต่อ “อำเภอนั้นเป็นชัยภูมิสำคัญทางทหารหรือ”
“แม้อยู่ไม่ไกลจากเมืองโซ่วชุน แต่ก็ไม่ใช่ชัยภูมิสำคัญทางทหารอันใดหรอก” หยวนเซิ่นชี้แจง “เพียงแต่นายอำเภอนามเหยียนจงผู้นั้นชาติตระกูลยากไร้ เป็นฝ่าบาทที่เลื่อนตำแหน่งให้เขาด้วยพระองค์เอง”
เฉิงเซ่าซางเข้าใจในพริบตา นี่ท่านลุงฮ่องเต้ถูกตบหน้าเสียแล้ว
“คนแซ่เหยียนนี่ป่วยกระมัง! ปราบปรามโซ่วชุนหนนี้ ต่อให้เป็นคนไร้ตาก็ยังรู้ว่าราชสำนักต้องชนะแน่นอน ความแตกต่างแค่อยู่ที่ว่าทัพใหญ่จะรุดกลับมาก่อนวันปีใหม่ได้หรือไม่เท่านั้น” เฉิงเซ่าซางกล่าว “อุตส่าห์สวามิภักดิ์ข้าศึกในเวลาเยี่ยงนี้ สมองต้องใช้การไม่ค่อยดีแน่”
หยวนเซิ่นสอดสองมือเข้าแขนเสื้อ มองฟ้าพลางกล่าว “อาจเพราะนายอำเภอเหยียนมีความคับแค้นอยู่บ้าง ได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อนฝ่าบาทเคยให้เขารับตำแหน่งเจ้าเมืองเมืองหนึ่ง ทว่าตอนที่ปรับปรุงกฎหมายท้องถิ่น เขาเข้มงวดวู่วามเกินไป ยามนั้นฝ่าบาทยังทรงทำศึกอยู่แนวหน้า ตระกูลขุนนางแนวหลังกลับถูกบีบคั้นจนเกือบจะก่อกบฏ ฝ่าบาททรงหมายปลอบขวัญขุนนาง ทั้งหมายรักษาความสงบ จึงได้แต่ลดตำแหน่งเหยียนจงไปอยู่อำเภอถงหนิว”
เฉิงเซ่าซางทำปากแบน เอ่ยอย่างไม่เห็นพ้อง “ตอนนี้ทัพใหญ่มุ่งหน้าไปโซ่วชุนอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร คนแซ่เหยียนใช้วิธีเยี่ยงนี้มาระบายความคับแค้น ไม่ต่างอันใดกับรนหาที่ตายเลย”
“ก็ไม่แน่ เหยียนจงผู้นี้จะอย่างไรก็มีความสามารถไม่น้อย ไม่เช่นนั้นเมื่อแรกฝ่าบาทก็คงไม่ทรงเลื่อนตำแหน่งให้เขาหรอก” หยวนเซิ่นยิ้มกล่าว “อำเภอถงหนิวมีเหมืองที่อุดมด้วยแร่ทองแดงอยู่แห่งหนึ่ง ทั้งจัดตั้งโรงหลอมทองแดงที่ใหญ่มหึมาหนึ่งแห่งเพื่อเตรียมพร้อมศึกโซ่วชุน ตลอดทั้งปีนี้ราชสำนักจึงไม่ได้เรียกเก็บทองแดงจากอำเภอถงหนิวเลย ตั้งใจว่าถึงเวลาจะฉวยใช้เอาจากที่นั่น ข้าคำนวณดูคร่าวๆ อย่างน้อยในอำเภอน่าจะสะสมทองแดงบริสุทธิ์ไว้ถึงสองพันชั่ง”
เฉิงเซ่าซางยังไม่อาจตอบสนอง “ท่านหมายความว่านายอำเภอเหยียนละโมบในทองแดงบริสุทธิ์เหล่านี้? เขาจะเอาทองแดงบริสุทธิ์ไปทำอันใด จะยักยอกก็ควรยักยอกทองคำสิ…”
“เด็กซื่อบื้อ! หอบทองคำไปหนึ่งกอง นั่นต่างหากถึงดึงดูดสายตาคน! ทองแดงบริสุทธิ์เหล่านั้นผ่านกระบวนการถลุงแร่ครบถ้วนแล้ว เพียงหลอมเหลวเทผสมกับโลหะอื่นเพื่อขึ้นรูป ก็จะกลายเป็นเหรียญสำริดนับไม่ถ้วนทันที!” หยวนเซิ่นเอ่ยอย่างหัวเสีย “ในรายงานที่นำขึ้นถวายยังแจ้งว่า…ไม่กี่วันก่อนเหยียนจงได้นำพาบุตรภรรยาตลอดจนทองแดงบริสุทธิ์สองพันชั่งนั้นหลบหนีไปแล้ว ก่อนจากยังแสร้งสวามิภักดิ์ มอบปราการอำเภอถงหนิวที่ตั้งรับง่ายบุกตียากให้แก่เผิงเจิน ตัวเขาเองกลับไม่รู้หายไปที่ใด หึๆ กบฏแซ่เผิงก็ถูกเขาดัดหลังเช่นกัน”
“แล้วเขาหนีไปที่ใดเล่า ทั่วหล้าล้วนเป็นแผ่นดินของฝ่าบาท…” เฉิงเซ่าซางยังไม่ทันพูดจบก็ถูกหยวนเซิ่นตัดบท
“ตอนนี้พื้นที่สู่จงยังไม่ใช่แผ่นดินของฝ่าบาท ได้ยินว่าเหยียนจงผู้นั้นก็กำลังมุ่งไปยังพื้นที่สู่จง ต่อให้ฝ่าบาทดำริจะปราบปรามที่นั่น อย่างน้อยก็ยังต้องเตรียมการอีกหลายปี ถึงตอนนั้นไม่รู้เหยียนจงไปหลบซ่อนที่ใดแล้ว!”
เฉิงเซ่าซางเห็นหยวนเซิ่นมีสีหน้าหนักอึ้งก่อนเอ่ยต่อว่า “เขามาจากวงศ์ตระกูลที่ยากไร้ ไม่กลัวพัวพันไปถึงผู้ใด หากหนนี้เขาไปเข้ากับอ๋องขบถที่ตั้งตัวเป็นผู้ปกครองสู่จงนั่นยังดี รอถึงวันที่ทัพใหญ่ของฝ่าบาทตีพื้นที่สู่จงแตก ก็จะเป็นเวลาที่เขาถูกบั่นศีรษะ ทว่าหากเขาเปลี่ยนชื่อแซ่ไปเป็นคหบดีในชนบท เช่นนั้นท่ามกลางทะเลมนุษย์อันไพศาลก็ยากจะเสาะพบแล้วจริงๆ”
นอกจากตกตะลึง เฉิงเซ่าซางถึงกับบังเกิดความประทับใจอันพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง “ ‘กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง’* ช่างเป็นกระบวนท่าอันยอดเยี่ยม สลับซับซ้อนโดยแท้ นึกไม่ถึงว่ายุคสมัยนี้เป็นโจรกบฏก็ยังพิถีพิถันเพียงนี้” ประทับใจจบนางก็เอ่ยกับหยวนเซิ่นต่อ “ในเมื่ออำเภอถงหนิวแห่งนั้นไม่ได้สลักสำคัญเท่าใด พวกท่านก็โน้มน้าวฝ่าบาทให้มากๆ อย่าให้กริ้วเช่นนั้น จะเสียพระพลานามัยเอาได้”
แรกเริ่มหยวนเซิ่นไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาทไม่ได้กริ้วด้วยเรื่องนี้”
เฉิงเซ่าซางชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะตอบสนองได้ทันที ท่านลุงฮ่องเต้ไม่ได้โกรธเพราะสูญเสียอำเภอไปหนึ่งแห่ง และไม่ได้โกรธเพราะถูกตบหน้า หากแต่เป็นเพราะวันหน้าพระองค์จะเลื่อนตำแหน่งให้บัณฑิตตระกูลต่ำต้อยอีก ย่อมถูกขุนนางสำคัญจากตระกูลชั้นสูงเก่าๆ คัดค้านเอาได้ง่ายๆ! นางถอนหายใจนิดๆ รู้สึกว่าท่านลุงฮ่องเต้ไม่ง่ายดายเลย “ไฉนท่านไม่พูดเล่าว่าเหยียนจงคือเหยียนจง ยังมีบุตรหลานตระกูลยากไร้ที่ภักดีต่อแคว้นอีกมากมายนัก จะเหมารวมทั้งหมดได้อย่างไรกัน”
หยวนเซิ่นจับตามองสีหน้าของเด็กสาว มุมปากผุดรอยยิ้มอย่างตระหนักได้ “เจ้าเข้าใจได้เร็วไม่เบา เพียงแต่…จะให้ข้าโน้มน้าวฝ่าบาทเช่นไร ชาติตระกูลข้าอยู่ฝ่ายใดกัน”
เฉิงเซ่าซางกะพริบตาถี่ๆ “ในตำราของปราชญ์เมธีบอกว่าต้องเสนอชื่อผู้มีความสามารถแก่แคว้น ไม่ยึดติดว่าเป็นผู้ใกล้ชิดหรือห่างเหิน มีบุญคุณหรือความแค้นต่อกันไม่ใช่หรือไร”
“ที่ใดกันเล่า ที่ใดกัน ข้าน้อยมีหรือจะอ่านตำรามากไปกว่าเซ่าซางจวินได้” หยวนเซิ่นโต้กลับ “เพียงแต่…ขอบังอาจเรียนถาม ‘เสนอชื่อผู้มีความสามารถแก่แคว้น ไม่ยึดติดว่าเป็นผู้ใกล้ชิดหรือห่างเหิน มีบุญคุณหรือความแค้นต่อกัน’ มาจากตำราของปราชญ์เมธีเล่มใดหรือ ข้าน้อยความรู้ตื้นเขิน ขอเซ่าซางจวินอย่าได้ตระหนี่คำชี้แนะ”
เฉิงเซ่าซางไม่พอใจแล้ว นางเกลียดที่สุดเวลาผู้อื่นทดสอบนางด้วยโจทย์วิชาสายศิลป์ “ท่านน่าชังก็ตรงนี้นี่ล่ะ รู้อยู่ว่าข้าอ่านตำราไม่แม่นยำ ยังดึงดันจะซักไซ้ลงลึก”
หลิงปู้อี๋ไม่เห็นเคยโอ้อวดเรื่องพวกนี้เลย!
ดูเหมือนหยวนเซิ่นฉุกคิดได้แล้วเช่นกัน จึงเงียบงันไม่พูดจา
เฉิงเซ่าซางเห็นว่าหัวข้อนี้ถูกปล่อยผ่านไปแล้ว สีหน้าค่อยหายขุ่นเคือง คลี่ยิ้มเอ่ยเย้า “คุณชายซั่นเจี้ยน คราวก่อนได้ยินว่าในที่สุดท่านก็เลือกเฟ้นคุณหนูที่มีชาติตระกูลสมกันและดีเยี่ยมทั้งรูปโฉมความประพฤติได้ห้าคนแล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า”
หยวนเซิ่นหน้าดำทะมึน “ขอบคุณเซ่าซางจวินยิ่งนักที่ห่วงใย คัดเหลือสามจากห้าแล้ว!”
แขนเสื้อหลวมกว้างของเขาสะบัดพึ่บ หมุนตัวแยกจากไปดุจลมพัดเมฆกระจาย ครั้นเดินไปได้ครึ่งทาง เขาก็เหลียวหลังมาเอ่ยเสียงเบา “อันที่จริง…ได้รู้ว่าเจ้าอ่านจนถึง ‘ตำราหลี่ว์ซื่อชุนชิว’* แล้ว ในใจข้าชื่นชมยิ่ง เพียงแต่…เกรงว่าข้าไม่อาจจะเป็นฉีหวงหยาง** ได้หรอก”
จากนั้นไม่รอให้เด็กสาวตอบสนอง เงาร่างของเขาก็ลับหายไปตรงหัวเลี้ยวแล้ว
เฉิงเซ่าซางไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ไหนๆ นางกับเขารู้จักกันมานานเพียงนี้ น้อยครั้งที่สองคนจะแยกย้ายกันอย่างรื่นรมย์ ตอนนี้นางเป็นห่วงรัชทายาทมากกว่า ถึงอย่างไรก็นับได้ว่าเท้าครึ่งข้างของนางเหยียบอยู่บนเรือรัชทายาทลำนี้แล้ว
นับแต่ชวีหลิงจวินจากไป มีอยู่พักหนึ่งรัชทายาทห่อเหี่ยวยิ่ง กับคนภายนอกย่อมประกาศไปว่ารัชทายาทยัง ‘รักษาอาการบาดเจ็บ’ อยู่ วิธีปลอบใจของหลิงปู้อี๋แสนจะโผงผางและเรียบง่าย นั่นคือไปขอฮ่องเต้ตรงๆ ให้โยนงานแก่รัชทายาทมากหน่อย คนเราพองานยุ่ง ก็จะไม่มีเวลามาอารมณ์เปราะบางอีก ในมุมมองของหลิงปู้อี๋ พวกที่มีเวลาอันดีงามทั้งไม่เจ็บไข้แต่กลับคร่ำครวญนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพราะว่างงานนั่นเอง
ที่บังเอิญยิ่งคือชุยโย่วก็คิดเห็นแบบเดียวกัน เขาหมายจะควบคุมบรรดาบุตรหลานชนชั้นสูงที่กระโดดโลดเต้นอยู่ในกองทัพ จึงจำต้องมอบหมายภารกิจหางานให้คนเหล่านี้ไม่หยุดหย่อน เพื่อการนี้ชุยโย่วไม่เสียดายที่จะดั้นด้นข้ามภูเขาสืบเสาะไปทั่ว ค้นหาค่ายโจรขนาดเล็กหลายแห่งอย่างยากเย็นแสนเข็ญมาให้เหล่าหนุ่มน้อยได้ซ้อมมือ
แรกเริ่มเหล่าคุณชายผู้แสนฮึกเหิมที่แม้แต่เชือกเกี่ยวขาม้ากับร่องดักม้ายังแยกแยะไม่ออก สมรภูมิแรกๆ ถึงกับมีหลายคนถูกจับเป็น ต้องให้ชุยโย่วจ่ายค่าไถ่ตัว ยิ่งมีบางคนติดตามหน่วยลาดตระเวนไปสืบเส้นทางแล้วพบเจอสตรีที่บอบบางน่าสงสารมาขอความช่วยเหลือ กระตุ้นให้เลือดโง่งมกำเริบจนหวิดจะถูกรวบเข้าตาข่ายกันหมดทั้งหน่วย ที่น่าขันที่สุดต้องนับพวกคุณชายที่ทะเล่อทะล่าไปสืบข่าวจากร้านสุราในเขตที่อยู่ของค่ายโจร ตอนไปท่วงทีสง่างาม ไม่ยึดติดกรอบธรรมเนียม เพียงเจอยาสลบไปหนึ่งกำมือก็ถูกเปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่า มัดห้อยโตงเตงในป่าแบบผู้นิยมความเจ็บปวด ยังดีชุยโย่วมีน้ำใจงามยิ่ง ตอนที่ไปช่วยหลายคนนี้เขาสั่งให้ทหารกลุ่มใหญ่แยกย้ายไปก่อน เพียงส่งคนสนิทที่ปิดปากสนิทไม่กี่คนเข้าไปเป็นพิเศษ เมื่อเหล่าผู้เสียหายเดินทางกลับมาย่อมจะซาบซึ้งในตัวท่านครูชุยล้นใจ
ไม่กี่หนต่อมาบรรดาลูกผู้ดีหากมิใช่หมดอาลัยตายอยาก ก็คือรู้จักระวังรอบคอบแล้ว มีหนึ่งในสามส่วนเลือดตกยางออกจนถึงระดับที่ห่อส่งกลับเมืองหลวงได้เสียที ชุยโย่วพึงพอใจกับการแสดงฝีมือของโจรเหล่านี้อย่างยิ่ง จึงโบกมือเปิดโอกาสให้สวามิภักดิ์ทุกราย
ด้วยเหตุนี้ข่าวตีเมืองโซ่วชุนแตกยังไม่ยักจะส่งมา หนังสือที่ขุนนางท้องถิ่นกราบทูลขอคุณความชอบให้ชุยโย่วกลับกองเต็มโต๊ะแล้ว ฮ่องเต้รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง
ขณะที่เฉิงเซ่าซางกังวลอยู่ว่าท่านอาชุยเดินทัพชักช้าเช่นนี้ จะทำให้ศึกปราบกบฏเสียการหรือไม่นั้น รัชทายาทก็มาแจ้งข่าวดีที่ตำหนักฉางชิวอย่างคึกคัก
“ต้องบอกว่าชุยโหวเปี่ยมสติปัญญาจริงๆ ที่แท้เขาจงใจแพร่ข่าวออกไปว่าบุตรหลานตระกูลชั้นสูงในกองทัพไม่อยู่ในโอวาท ทั้งไปปราบโจรอย่างเอิกเกริก ทำให้พวกพ้องกบฏแซ่เผิงหลงนึกว่าทัพใหญ่มิเพียงอยู่ไกลถึงขอบฟ้า ซ้ำสถานการณ์ยังยุ่งเหยิงจนน่ากลุ้มใจแทน ใครจะรู้ชุยโหวได้ลอบส่งจื่อเซิ่งนำทหารม้าเกราะเบาเดินทางลัดทั้งวันทั้งคืนรุกเข้าจู่โจมแล้ว! ไม่กี่วันก่อนจื่อเซิ่งตีปราการแรกแตก ทั้งฟันสังหารแม่ทัพกองหน้าผู้หนึ่งของกบฏแซ่เผิงด้วย!”
“นี่มิใช่กลยุทธ์ ‘ต่อหน้าซ่อมทางข้ามผา ลับหลังบุกยึดเฉินฉาง’* หรอกหรือ” ฮองเฮายิ้มกล่าว “ทุกคนล้วนนึกว่าในสถานการณ์ที่จำนวนทหารต่างกันลิบลับ ทัพใหญ่ของชุยโหวย่อมทุ่มกำลังประชิดเมือง ใครจะรู้ชุยโหวกลับส่งทัพย่อยจู่โจมแบบไม่คาดฝัน”
เฉิงเซ่าซางกลับเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ใต้เท้าเหล่านั้นฝากฝังบุตรหลานของตนต่อชุยโหว หากจื่อเซิ่งชิงผลงานไปจนสิ้น จะไม่ทำให้ผู้อื่นตำหนิเอาหรือ”
รัชทายาทยิ้มตอบ “เจ้าวางใจได้ ชุยโหวออกจะปราดเปรื่อง งานสะสางผลพวงกับไล่ล่าทหารกบฏที่แตกพ่ายยังมีเหลือให้คุณชายเหล่านั้นอีกมาก”
“นี่ค่อยยังชั่ว” เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะรับ “หวังว่าผู้อื่นจะสร้างคุณความชอบมากหน่อย อย่าให้จื่อเซิ่งสะดุดตาเกินไปเลย”
รัชทายาทลอบคิด…หนนี้ที่เสด็จพ่อทรงหวังก็คือจะให้หลิงปู้อี๋ได้ออกหน้าออกตาได้อวดฝีมือมากๆ นี่เอง มีหรือจะเป็นดังที่เจ้าคิดได้ เพียงแต่รัชทายาทมีอุปนิสัยโอนอ่อน จึงเอ่ยคล้อยตามถ้อยคำของเด็กสาว “เจ้าวางใจเถิด เหล่าบุตรหลานตระกูลชั้นสูงใช่ว่าจะเป็นคนหนุ่มเสเพลเสียทั้งหมด บัดนี้การศึกแม้ยังไม่ยุติ ทว่ามีผู้กล้าหนุ่มหลายคนเริ่มเผยฝีมืออันโดดเด่นให้เห็นแล้ว สถานการณ์ตอนท้ายจะต้องชื่นมื่นด้วยกันทุกฝ่ายแน่”
เขาหันไปกล่าวกับฮองเฮาต่อ “เสด็จแม่ ไม่กี่วันนี้เสนาบดีโหลวยินดีปรีดายิ่ง ทรงทายดูเป็นอย่างไร ที่แท้เร็วๆ นี้หลานชายของเขานามโหลวเปิน ชื่อรองจื่อเหวย สร้างคุณความชอบครั้งใหญ่เลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“โหลวจื่อเหวย? เขาติดตามกองทัพไปโซ่วชุนด้วยหรือ ไฉนแม่ไม่ยักได้ยิน” ฮองเฮาถาม
“เขาจะติดตามกองทัพได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นผู้รักเสรีออกท่องไปทั่วสี่สมุทร ทั่วร่างผ่าเผยเป็นตัวของตัวเองออกปานนั้น!” รัชทายาทยิ้มกล่าว “เสด็จแม่ยังทรงจำอำเภอถงหนิวแห่งนั้นได้หรือไม่ เป็นเพราะในอำเภอมีโรงหลอมทองแดง นายอำเภอทุกสมัยจึงเสริมปราการรอบตัวอำเภอจนสูงหนาแข็งแกร่ง หากจะฝืนบุกตีจริงๆ เกรงว่าต้องเจ็บตายกันไม่น้อย ใครจะรู้โหลวจื่อเหวยมีวาทศิลป์เป็นเลิศ รู้ซึ้งในวิถีแห่งการทูต ถึงกับโน้มน้าวแม่ทัพของกบฏแซ่เผิงที่รักษาอำเภอถงหนิวจนละทิ้งความมืดมาสู่ความสว่าง ด้วยเหตุนี้อำเภอถงหนิวแห่งนั้นจึงเสียไปแล้วได้คืนโดยไม่ต้องเสียทหารแม้แต่นายเดียว!”
ในใจเฉิงเซ่าซางพลิกไปอีกทาง โหลวเปิน? นั่นคือพี่ชายร่วมอุทรของโหลวเหยาไม่ใช่หรือ อาศัยผลงานนี้ คาดว่าหนนี้โหลวเหยาคงไปเป็นขุนนางในท้องที่ที่ดีและอยู่ใกล้หน่อยได้แล้ว เหอเจาจวินก็คงไม่คัดค้านอีก
ตามที่ข่าวชนะศึกส่งมาจากแนวหน้าอย่างต่อเนื่อง แม้ศึกโซ่วชุนยังไม่จบสิ้น ทว่ารูปการณ์ที่จะคว้าชัยได้อย่างงดงามนั้นกำหนดชัดแล้ว
เฉิงเซ่าซางวางหัวใจทั้งดวงลงจนได้ ประกอบกับฮองเฮาเห็นใจที่นางต้องแยกจากหลิงปู้อี๋ แม้แต่ข้อเรียกร้องด้านการเรียนก็ผ่อนผันให้นางครั้งแล้วครั้งเล่า นางจึงได้ใช้ชีวิตอย่างหย่อนใจไร้ภาระโดยสิ้นเชิง ทว่าคงเพราะสวรรค์เห็นนางอยู่ว่างเกินไป จึงได้ส่งเรื่องหนึ่งเหินลงมาจากนอกฟ้า
วันนี้ฮ่องเต้มากินอาหารค่ำกับฮองเฮาเช่นเคย ภายหลังสุราอาหารอิ่มหนำ พระองค์เปรยขึ้นด้วยท่าทางที่คล้ายไม่ตั้งใจ “เซ่าซาง ได้ยินว่าบิดาเจ้ากับวั่นซงไป่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน?”
เฉิงเซ่าซางทางหนึ่งเติมน้ำแกงกระดูกหมูขิงอ่อนที่ร้อนฉุยให้ฮองเฮาหนึ่งชาม ทางหนึ่งตอบอย่างนบนอบ “ทูลฝ่าบาท เป็นเช่นนั้นเพคะ มิเพียงท่านพ่อกับท่านลุงวั่นที่ผูกพันดุจพี่น้อง คนสองสกุลก็มีไมตรีแน่นแฟ้นดุจครอบครัวเดียวกัน”
ฮ่องเต้มองน้ำแกงชามนั้นแล้ว ในใจให้ริษยานิดๆ บัดนี้ล่วงเข้าสู่ฤดูเหมันต์ ขิงอ่อนสดใหม่ที่เติบโตในธรรมชาติไม่มีเหลือแต่แรก จะมีก็แต่ขิงแก่ๆ ส่วนขิงอ่อนๆ เหล่านี้เป็นฝีมือเด็กสาวใช้ถ่านไฟอบไออุ่นในโรงเพาะชำกว่าจะปลูกออกมาได้
ฮองเฮาร่างกายอ่อนแอ ม้ามกระเพาะทำงานไม่ดี ฤดูเหมันต์กินขิงอ่อนจะดีที่สุด แต่เนื่องจากปลูกได้ไม่มาก ที่ผ่านมาเด็กสาวจึงให้ฮองเฮากินผู้เดียว ผู้อื่นทำได้แค่มอง
บนใบหน้าฮ่องเต้ไม่ปรากฏรอยสั่นไหวแม้เพียงนิด “วันนี้ผู้ตรวจการหวงเหวินมารายงาน กล่าวโทษเรื่องวั่นซงไป่ละเมิดกฎหมาย”
เฉิงเซ่าซางมือสั่นวูบ เอ่ยกุกกักด้วยความตระหนก “นะ…นี่…นี่…นี่จะทำเช่นไรกันเล่า”
ในใจฮ่องเต้พลันนึกสนุก “เจ้าถึงกับไม่ร้องทุกข์ก่อน?” เชื้อพระวงศ์ขุนนางตำแหน่งสูงที่เกิดเรื่องมีอยู่มากมาย ปกติพวกเขาล้วนร้องทุกข์ก่อนว่าตนถูกปรักปรำ ยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง ต่อเมื่อไม่อาจบิดพลิ้วค่อยงัดข้ออ้างสารพัด
เฉิงเซ่าซางรีบประคองส่งชามน้ำแกงให้ฮองเฮา ตนเองกระเถิบไปถึงตรงหน้าฮ่องเต้ ก่อนตอบอย่างเคร่งเครียด “ท่านแม่ของหม่อมฉันมักพูดว่าท่านลุงวั่นมีนิสัยแย่ๆ อยู่ทั่วตัว ชอบดื่มสุรา มุทะลุขี้โมโห จะต้องถูกกล่าวโทษเข้าสักวัน! ไม่นึกเลยว่า…จะเร็วเยี่ยงนี้…”
ด้วยการตอบสนองของเด็กสาวแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร ฮ่องเต้จึงจนถ้อยคำไปชั่วขณะ
เฉิงเซ่าซางมีใจจะร้องขอความเมตตา ทว่าสองชาติภพของนางล้วนอาศัยความแกร่งกร้าวฝ่าฟันมา เรื่องขอความเมตตาเช่นนี้จึงไม่ถนัดเอาเสียเลย
“ฝ่าบาท…” นางอ้อนวอนด้วยสีหน้าตกประหม่าสับสน “ท่านลุงวั่นผู้นั้นของหม่อมฉัน…น่าสงสารนะเพคะ”
ฮ่องเต้เหลือกตาใส่นางปราดหนึ่ง ลอบคิดว่า ขอความเมตตาเยี่ยงนี้มีที่ใดกัน “น่าสงสารอันใด ผู้ละเมิดกฎหมายย่อมไม่พึงเว้นโทษ!”
“ไม่ๆๆ หม่อมฉันมิได้บอกว่าท่านลุงวั่นละเมิดกฎหมายไม่พึงลงโทษ หากแต่…” เฉิงเซ่าซางชี้แจงอย่างหวาดหวั่น “เอ่อคือ…หม่อมฉันได้ยินว่าหลายปีก่อนมีเจ้าเมืองแซ่โอวหยางท่านหนึ่งฉ้อราษฎร์บังหลวง ว่ากันว่ายักยอกเงินถึงสิบกว่าล้านเฉียน ทั้งที่หลักฐานแน่นหนา แต่เพราะเขามาจากวงศ์ตระกูลที่ลือนาม ทั้งเคยเขียนตำรานำเสนอหลักคิด มีศิษย์อยู่ทั่วหล้า ส่งผลให้มีใต้เท้าสิบกว่าท่านร้องขอความเมตตาให้เขา ถึงกับยังมีคนจะขอตายแทนเขาด้วยซ้ำ…ทว่าท่านลุงวั่นเล่า ครอบครัวตนเองสมาชิกบางตาไม่พอ สหายเก่ากับตระกูลที่เกี่ยวดองกันก็มีคนอยู่น้อยนิด บัดนี้คำกล่าวโทษเพียงกระทงเดียว ฝ่าบาทก็จะทรงลงอาญาเขาทันที แม้กระทั่งสหายขุนนางที่จะขอความเมตตาแทนเขาสักคนก็ยังไม่มีเลย…”
ฮองเฮาก้มหน้าอำพรางรอยยิ้ม คิดในใจว่า วิธีโน้มน้าวของเด็กสาวหลักแหลมไม่เบา
“พูดเหลวไหล!” ฮ่องเต้ตำหนิ “วันนี้ยังมีคนพูดจาแทนวั่นซงไป่อยู่เลย”
แม้ผู้ที่เอ่ยปากจะมีเพียงสองคน ซ้ำเอ่ยถ้อยคำที่ไม่เจ็บไม่คันแค่สั้นๆ ว่า ‘พึงสืบให้กระจ่างก่อน’
เพียงแต่เด็กสาวก็พูดแทงใจดำของพระองค์เข้าอย่างจัง ยามที่พระองค์จะจัดการตระกูลใหญ่ขุนนางสำคัญ เรียกได้ว่ากระตุกผมเส้นเดียวกระเทือนไปทั้งร่าง คนมาเกลี้ยกล่อมขอความเมตตามีไม่ขาดสาย แม้กระทั่งหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าซึ่งเมื่อก่อนหลบอยู่ในอารามเต๋าก็ยังถูกเชิญตัวออกมา จะว่าไปแล้วกับขุนนางเช่นวั่นซงไป่นี้กลับยิ่งควรผ่อนปรนมากหน่อย
พอดีตอนนี้ไจ๋เอ่าประคองกล่องเก็บความร้อนเข้ามาใบหนึ่ง เฉิงเซ่าซางรีบหยิบโถกระเบื้องใบเล็กออกจากกล่อง แล้วยกถวายฮ่องเต้อย่างพินอบพิเทา “ฝ่าบาทเชิญเสวยเพคะ ถั่วขาวเหล่านี้เด็ดในฤดูกาลของมันแล้วตากแห้งเก็บไว้ กว่าจะแช่น้ำจนนิ่มใช้เวลานานอย่างยิ่ง จึงเพิ่งจะตุ๋นเสร็จเอาป่านนี้”
ฮ่องเต้หยิบช้อนลองตักขึ้นมา พบว่าเป็นน้ำแกงใส่ถั่วขาวกับขิงอ่อน ในใจก็ให้ปลอดโปร่งนัก คิดว่าเฉิงเซ่าซางผู้นี้มิได้เลอะเลือนไปเสียหมด รู้ว่าปกติพระองค์ชอบดื่มสุรากินเนื้อ จึงยกอาหารประเภทตุ๋นที่มีรสอ่อนแก้เลี่ยนเช่นนี้มาถวายพระองค์ ถั่วขาวพอเข้าปากก็ละลาย ขิงอ่อนกรอบสดชื่น ฮ่องเต้อิ่มเอมใจยิ่ง จึงมองเฉิงเซ่าซางรื่นตาขึ้นอีกหลายส่วน
ฮองเฮาอดไม่ได้จริงๆ จึงหัวเราะออกมาเบาๆ หนึ่งที
ฮ่องเต้ดื่มน้ำแกงอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก่อนเอ่ยอย่างใจเย็น “ในหนังสือกราบทูลของหวงเหวิน บอกว่าวั่นซงไป่ฮุบที่นาราษฎร ซ้ำยังฉุดคร่าสาวน้อยวัยกำดัดหลายนางไปเป็นอนุนางบำเรอ…เจ้าเป็นอะไรของเจ้า” ดวงตาของเด็กสาวเบิกโตปานกระพรวนสำริดแล้ว
“ฝ่าบาทเพคะ นี่ไม่ถูกต้อง!” เฉิงเซ่าซางตอบ “มีโอกาสถึงแปดในสิบส่วนที่ท่านลุงวั่นจะถูกปรักปรำ!”
ฮองเฮาฉงน “เจ้ารู้ได้อย่างไรหรือ”
เฉิงเซ่าซางรีบชี้แจง “ทูลฝ่าบาท ทูลฮองเฮา หากสองพระองค์ทรงเคยเห็นอนุของท่านลุงวั่นกลุ่มนั้นก็จะเข้าพระทัย! ท่านลุงวั่นของหม่อมฉันน่ะ จะพูดว่าอย่างไรดี…ความชื่นชอบของเขามั่นคง หลายสิบปีเสมือนวันเดียว…ขะ…เขา…เขารักชอบแต่…”
นางยากจะเลือกคำได้ เดิมคิดจะใช้มือทำท่าประกอบ แต่คำนึงว่าไม่เหมาะควรจึงฝืนข่มใจไว้ “ท่านลุงวั่นเขารักชอบแต่สตรีผู้มีทรวดทรงอวบอัด ท่วงทีเปี่ยมเสน่ห์ เหล่าอนุของเขา…ตอนที่รับเข้าจวนไม่มีสักคนอ่อนกว่าวัยยี่สิบ หากเคยแต่งงานคลอดบุตรชายมาก่อนก็ยิ่งดี…” พูดให้ชัด…นั่นคือสัญชาตญาณของท่านลุงวั่นที่จะแสวงหาสิ่งมีชีวิตซึ่งขยายเผ่าพันธุ์ได้ หัวหน้าเซียวเคยพูดเหน็บนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
วาจาของเด็กสาวคลุมเครือ ทว่าฮ่องเต้กับฮองเฮาล้วนฟังเข้าใจได้
“บอกว่าท่านลุงวั่นฉุดคร่าภรรยาชาวบ้านยังจะเข้าเค้าหน่อย ส่วนสาวน้อยวัยกำดัด…” เฉิงเซ่าซางจนถ้อยคำ “ตามคำกล่าวของท่านพ่อ ท่านลุงวั่นเขา…ต่อให้เมามายไม่ได้สติ ก็ไม่มีทางจะคลำผิดไปเด็ดขาด”
ถ้อยคำเดิมของท่านพ่อเฉิงที่นางบังเอิญได้ยินมาคือ… ‘เอวคอดกิ่วอันใด เรือนร่างแบบบางอันใด พี่วั่นล้วนไม่เคยเหลือบแล เขาน่ะชอบแต่อกอูมสะโพกอิ่ม ลูบคลำลงไป ขอเพียงจับเจอกระดูก เขาล้วนไม่ต้องการ!’
ฮ่องเต้ลังเลอยู่บ้าง “แต่ไรมาหวงเหวินสุขุมรอบคอบ ในสิบคนที่เขากล่าวโทษ มีแปดเก้าคนที่ผิดตามนั้นจริง…”
“ในเมื่อเป็นแปดเก้าคน แล้วอีกคนสองคนเล่า ไม่แน่อาจเข้าใจผิดนะเพคะ” เฉิงเซ่าซางแย้งด้วยความรุ่มร้อนใจ ครั้นเห็นแววตาไม่เห็นพ้องของฮองเฮา เด็กสาวก็รีบหมอบลงกับพื้น “หม่อมฉันเสียมารยาทจาบจ้วงเบื้องสูง ขอฝ่าบาททรงอภัยด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้มิได้เก็บมาเป็นอารมณ์ เพียงลูบเคราเอ่ย “เช่นนี้แล้วกัน เรียกตัววั่นซงไป่มาเมืองหลวง ให้จี้จุนสอบถามเขา หากไม่มีเรื่องเช่นนั้น เขาก็กลับไปเป็นเจ้าเมืองของเขาต่อ”
เห็นท่าทางน่าสงสารของเด็กสาวแล้วก็พาให้นึกถึงบุตรบุญธรรม ฮ่องเต้จึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนพูดใหม่ “เอาเถิด พอคนของกรมอาญาออกหน้า ย่อมจะเกิดคำนินทาว่าร้ายโดยใช่เหตุ เราให้คนเรียกตัววั่นซงไป่เข้าเมืองหลวงมารายงานการปฏิบัติหน้าที่ของเขาแล้วกัน อย่างไรเสียเขาก็รับตำแหน่งมาได้ครึ่งปีแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยถือโอกาสพูดเรื่องนี้ให้กระจ่าง”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนัก!” เฉิงเซ่าซางโขกศีรษะขอบพระทัยอย่างยินดีปรีดา
“หม่อมฉันเองก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแทนเซ่าซางเพคะ” ฮองเฮายกแขนถวายคำนับอย่างนอบน้อม ในดวงตาอาบด้วยรอยยิ้ม
ฮ่องเต้ขึงตาใส่ภรรยาหนึ่งที เพียรปั้นหน้าบึ้งตึงเข้าไว้
เดิมค่ำคืนนี้เฉิงเซ่าซางจะค้างแรมในตำหนักฉางชิว ทว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางจึงได้แต่ขอป้ายคำสั่งจากฮองเฮาเพื่อออกจากวังไปในคืนนั้นเลย ครั้นกลับถึงจวน ผู้คนล้วนเข้านอนกันแล้ว นางรีบให้ชิงชงฮูหยินปลุกเซียวฮูหยินจนตื่น ก่อนบอกเล่าเรื่องนี้อย่างเร่งร้อน
เซียวฮูหยินฟังจบ แรกเริ่มสีหน้าขรึมวูบ ซักถามรายละเอียดคำถามคำตอบระหว่างฮ่องเต้กับบุตรสาว จากนั้นหัวคิ้วจึงค่อยคลายออก “ค่อยยังชั่ว ฝ่าบาทคงมิได้มีพระดำริจะเร่งลงโทษท่านลุงวั่นของเจ้า หาไม่พระองค์คงไม่เจตนาตรัสเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าเจ้าหรอก”
เฉิงเซ่าซางขบคิดเล็กน้อย “ท่านแม่พูดมีเหตุผลเจ้าค่ะ”
“เพียงแต่ก็ไม่อาจประมาท” เซียวฮูหยินดึงเสื้อตัวกลางที่คลุมอยู่บนหัวไหล่ “ผู้ตรวจการหวงผู้นี้แม่เคยได้ยินมาบ้าง เขาไม่ใช่คนพูดพล่อยส่งเดช และไม่ใช่พวกละโมบในชื่อเสียงผลงาน ในเมื่อเขากล้ากล่าวโทษ ก็จะต้องมีความมั่นใจไม่น้อย”
“หรือว่าท่านลุงวั่นฉุดคร่าสาวชาวบ้านจริงๆ?!” ชั่วขณะนี้เฉิงเซ่าซางเพิ่งรู้ซึ้งถึงความลำบากใจที่ชายาองค์ชายรองมีต่อคดีสังหารสามีของชวีหลิงจวินแล้ว “ท่านแม่ ลูกชักนำภัยมาให้ทางบ้านเสียแล้วใช่หรือไม่ หากท่านลุงวั่นกระทำผิดมหันต์จริงๆ แต่ลูกกลับขอความเมตตาแทนเขา…”
เซียวฮูหยินเอ่ยเสียงหนัก “ชักนำภัยอันใดกันเล่า หนนี้เจ้าไม่ได้ทำผิดสักนิดเดียว! พวกเรากับสกุลวั่นเป็นสหายที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ท่านลุงวั่นของเจ้ากระทำลงไปหรือไม่นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง พวกเรายื่นมือช่วยเหลือหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากท่านลุงวั่นของเจ้าเลอะเลือนไปจริงๆ พวกเราก็นับว่าได้แสดงน้ำใจถึงที่สุดแล้ว!”
เพียงคิดว่าบุตรสาวของนางอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็ยังพูดแก้ต่างแทนวั่นซงไป่โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย มีน้ำใจไมตรีอันซื่อตรงร้อนแรงเฉกเช่นเฉิงสื่อสามีของนาง ก็ไม่เสียทีที่วั่นชีชีเอ่ยเช้าจรดค่ำว่าบุตรสาวของนางคือผู้ที่ฝากฝังชีวิตกับครอบครัวได้
เฉิงเซ่าซางได้รับคำชมเชยจากเซียวฮูหยินอย่างหาได้ยาก จึงออกอาการปรับตัวไม่ค่อยได้อยู่บ้าง
เช้าวันรุ่งขึ้นกลุ่มเจ้าหน้าที่ผู้ประกาศพระราชโองการของฮ่องเต้ก็ควบม้าเร็วจากไป ผ่านไปอีกสองวันเฉิงซ่งกับวั่นชีชีก็เสนอกับเซียวฮูหยินว่าจะขอไปรับวั่นซงไป่ระหว่างทาง
เฉิงซ่งกล่าว “ท่านแม่ ชีชีนั่งไม่ติดบ้านแม้แต่ชั่วเค่อเดียวแล้ว ต้องการจะไปหาท่านลุงวั่นเพื่อถามดูให้รู้ชัด ฮูหยินผู้เฒ่าวั่นตอบตกลงนางแล้ว ลูก…ลูกจะเคียงข้างไปพร้อมกับนางด้วย ไม่เช่นนั้นลูกวางใจไม่ลง…”
เฉิงเซ่าซางยักคิ้วหลิ่วตา เปล่งเสียงหยอกเย้า
วั่นชีชีหน้าแดงจัดทันใด ทั้งกระหยิ่มทั้งขวยเขิน “ท่านอาสะใภ้เซียว ล้วนเป็นเพราะข้าเอาแต่ใจ ท่านเกลี้ยกล่อมอาซ่งทีเถิด ข้ามีวรยุทธ์ ขี่ม้ายิงธนูเป็น ทั้งออกเดินทางพร้อมผู้คุ้มกันกับทหารประจำจวน ไม่มีเรื่องใดแน่เจ้าค่ะ”
เซียวฮูหยินเอ่ย “เจ้าจะเกรงใจอันใดกับข้า พวกเราสองสกุลมีความสัมพันธ์กันเช่นไร ข้าจะมองดูเจ้าออกเดินทางไปคนเดียวได้หรือ” นางตรึกตรองชั่วอึดใจ “เอาเถิด ให้จื่อฝูส่งเจ้าไปดีกว่า เพียงแต่เจ้ากับพ่อคงจะไม่คลาดกันระหว่างทางกระมัง”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ จากที่นี่ไปเมืองสวีมีถนนหลวงเพียงสายเดียว อีกอย่างเมื่อวานข้าส่งบ่าวชายควบม้าเร็วไปแจ้งข่าวแล้ว ท่านพ่อจะไม่ใช้ทางสายเล็กส่งเดชแน่”
“เช่นนั้นก็ดี” เซียวฮูหยินผงกศีรษะ มองไปทางคู่รักหนุ่มสาวที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างลังเล “เพียงแต่…พวกเจ้าสองคนแม้หมั้นหมายกันแล้ว ทว่าจะต้องร่วมกินดื่มร่วมค้างแรมหลายวัน อย่างไรเสียก็ต้องคำนึงถึงจารีต…”
เฉิงซ่งหน้าแดงก้มศีรษะลง ผิดกับวั่นชีชีที่ดวงตาสว่างวาบ “ท่านอาสะใภ้ มิสู้ให้เซ่าซางไปด้วยกันกับพวกเรา?”
เฉิงเซ่าซางอึ้งงันไปวูบเดียวก็หวั่นไหวอย่างยิ่ง คราวก่อนติดตามอาสามขาหมูไปต่างเมือง แม้ประสบกับเรื่องสลดใจ กระนั้นช่วงเวลาที่เหลือยังคงเริงรื่นชื่นบาน ได้รับผลดีมากมาย
“เซ่าซางๆ” วั่นชีชีจับมือสหายรัก อารมณ์คึกคักกระตือรือร้นฉาบล้นใบหน้า “เจ้าไปด้วยกันกับพวกเรานะ! ตอนนี้ยิ่งมุ่งลงใต้ยิ่งอบอุ่น เจ้าก็ถือเสียว่าไปเที่ยวชมขุนเขาลำน้ำแล้วกัน…”
เฉิงเซ่ากงพูดเหน็บแนมอยู่อีกด้าน “ตอนนี้ช่วงเวลานี้ขุนเขาปรกด้วยหิมะ ลำน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง จะเที่ยวชมขุนเขาลำน้ำอันใดกันเล่า”
“เจ้าหุบปากไป กล้ารื้อนั่งร้านของข้าเชียวหรือ ระวังข้าจะสาธยายท่าทางขี้แยตอนที่เจ้ากำลังผลัดฟัน!” วั่นชีชีข่มขู่จบก็ชักจูงเฉิงเซ่าซางต่อ “ใต้เท้าหลิงผู้นั้นของเจ้า วันทั้งวันทำตัวราวกับเสือกินคน คุมเจ้าแจถึงเพียงนั้น ต่อไปเจ้าแต่งกับเขาแล้ว ยิ่งออกไปข้างนอกตามใจไม่ได้!”
“ชีชี” เฉิงซ่งปรามเบาๆ “อย่าพูดเหลวไหล ระวังเหนียวเหนี่ยวบอกหลิงจื่อเซิ่ง เขากลับมาเมื่อไร เจ้าได้น่าดูชมหรอก”
“ไม่เป็นไร” เฉิงเซ่าซางโบกมือ สีหน้าเยือกเย็น “พี่ชีชีไม่ได้พูดผิดเสียหน่อย หากเทียบกันจริงๆ ล่ะก็ ผู้คุมนักโทษในกรมอาญาทุกคนรวมกันก็ยังโดดเด่นไม่เท่าเขาเลย ถ้าเช่นนั้น…ท่านแม่เจ้าคะ…” นางมองไปทางเซียวฮูหยินเป็นเชิงสอบถาม
เซียวฮูหยินใคร่ครวญชั่วครู่ก็ตอบตกลง “ก็ได้ ในเมื่อเซ่าซางจะไป เซ่ากง เจ้าจงไปด้วย”
เฉิงเซ่ากงตาค้าง โอดครวญทันใด “ท่านแม่ ลูกไม่ชอบออกไปข้างนอก! ลูกอยากอยู่บ้านขอรับ!”
“พูดพล่ามให้น้อยหน่อย หากไม่ใช่พักนี้พี่ใหญ่เจ้าถูกไอเย็นเล่นงาน นอนพักฟื้นอยู่ นึกหรือว่าจะถึงตาเจ้า!” เซียวฮูหยินกล่าว
“พี่สาม ไปเถิดนะ ไปกันเถิด ระหว่างทางได้ดูดซับปราณวิเศษจากฟ้าดิน ไม่แน่การทำนายของท่านอาจแม่นยำยิ่งขึ้นไปอีก” เฉิงเซ่าซางยิ้มละไมพลางกระตุกแขนเสื้อพี่ชายฝาแฝด
เฉิงเซ่ากงเอ่ยอย่างหัวเสีย “ที่นี่คือเมืองแทบพระบาทโอรสสวรรค์ ที่ใดในใต้หล้ายังจะมีปราณวิเศษเยอะกว่าที่นี่ได้อีกเล่า” ถ้อยคำแม้กล่าวเช่นนี้ ทว่าภายใต้พลังสยบอันกล้าแข็งของเซียวฮูหยิน เขายังคงตอบรับแต่โดยดี
ก่อนที่หนุ่มสาวทั้งสี่จะออกเดินทาง เซียวฮูหยินเริ่มกำชับกำชาตามระเบียบ
บุตรชายสองคนไม่ต้องพูดให้มากความ คำอบรมตักเตือนตลอดหลายปีมิได้สั่งสอนสูญเปล่า จะมีก็แต่เด็กสาวสองคนที่ตึงมืออยู่บ้าง คนหนึ่งเลือดร้อน ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ผสมโรงเรื่องสนุกสนาน อีกคนพยศ เฉียบขาดดุดัน ไม่ยอมถูกรังแก สองคนรวมเข้าด้วยกัน เจาะแผ่นฟ้าทะลุได้ทีเดียว
เซียวฮูหยินกล่าวกับวั่นชีชีอย่างจริงจัง “ตลอดทางจงเร่งเดินทางไปแต่โดยดี ห้ามเห็นความไม่เป็นธรรมแล้วสอดมือยุ่งเกี่ยว ห้ามให้เกิดเรื่องแทรกซ้อน ยิ่งห้ามเห็นความครึกครื้นในตำบลรายทางแล้วมัวห่วงเที่ยวเล่น”
วั่นชีชีตอบรับเต็มปากเต็มคำ เฉิงซ่งยั่วเย้าอยู่ด้านข้าง “เจ้าตอบรับเร็วไวดีแท้ ข้ากลัวว่าเจ้าจะทำไม่ได้สักข้อน่ะสิ!”
เซียวฮูหยินเอ่ย “ไม่เป็นไร ชีชี เจ้าฟังไว้ให้ดี หากเจ้าไม่ยอมเดินทางบนถนนหลวงไปอย่างว่าง่าย ข้าจะตีลงโทษจื่อฝู หากเจ้าบาดเจ็บหรือป่วยไข้ ข้าก็จะตีลงโทษจื่อฝู หากเจ้าก่อเรื่องก่อภัย ข้าก็ยังจะตีลงโทษจื่อฝู…เจ้าจำได้แล้วหรือไม่”
เฉิงซ่ง “…”
วั่นชีชี “…”
เซียวฮูหยินหันไปหาบุตรสาวของตน เฉิงเซ่าซางกลับยิ้มร่าอย่างไม่รู้สึกรู้สา “หรือว่าท่านแม่ก็จะตีลงโทษใต้เท้าหลิง?”
เซียวฮูหยินตอบ “แน่นอนว่าไม่ แต่หากเจ้าไม่เดินทางอย่างสงบเสงี่ยม หรือหากเจ้าก่อความวุ่นวายขึ้น แม่จะบอกจื่อเซิ่งทั้งหมด ให้เขามาเป็นคนจัดการเจ้า ขืนเจ้ากล้าป่วน แม่จะดูซิว่าครึ่งชีวิตหลังของเจ้ายังจะออกไปข้างนอกได้อีกหรือไม่”
เฉิงเซ่าซาง “…”
* กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง หมายถึงคนฉลาดมักมีทางหนีทีไล่หรือมีแผนการสำรองไว้มากมาย
* ตำราหลี่ว์ซื่อชุนชิว เป็นตำราที่หลี่ว์ปู้เหวยอัครเสนาบดีแคว้นฉินเป็นผู้สั่งให้เรียบเรียงขึ้น รวบรวมปรัชญาของหลายสำนักก่อนยุคราชวงศ์ฉินเข้าไว้ด้วยกันโดยมีปรัชญาสำนักเต๋าเป็นแกนหลัก หมายใช้เป็นหลักปกครองภายหลังแคว้นฉินผนวกแผ่นดินเป็นปึกแผ่น ทว่าต่อมาฉินสื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้) กลับเลือกใช้หลักคิดของสำนักนิตินิยม
** ฉีหวงหยาง คือชาวแคว้นจิ้นยุคชุนชิว เป็นขุนนางเก่าแก่รับใช้เจ้าแคว้นจิ้นถึงสี่พระองค์ ในตำราหลี่ว์ซื่อชุนชิวบันทึกไว้ว่าเมื่อเขาจะเกษียณ มิได้คำนึงถึงความแค้นส่วนตัว ยังคงเสนอชื่อเซี่ยหูศัตรูผู้ฆ่าบิดาให้มารับตำแหน่งต่อจากเขา
* ต่อหน้าซ่อมทางข้ามผา ลับหลังบุกยึดเฉินฉาง หมายถึงต่อหน้าสร้างความสับสนแก่ฝ่ายตรงข้าม ลับหลังรุกจู่โจมไม่ให้ตั้งตัว มีที่มาจากอุบายของหานซิ่นแม่ทัพของหลิวปังปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่น โดยส่งทหารส่วนหนึ่งไปซ่อมทางข้ามผา หลอกให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจว่าจะเดินทัพด้วยเส้นทางนี้ แท้ที่จริงหานซิ่นลอบนำทัพใหญ่รุดอ้อมทางไปบุกยึดเฉินฉางแล้ว (ปัจจุบันอยู่ในเขตเมืองเป่าจี มณฑลส่านซี) ส่งผลให้ทัพฮั่นได้กลับเข้าเสียนหยางเมืองหลวงราชวงศ์ฉินในขณะนั้น ปูทางสู่ชัยชนะเหนือเซี่ยงอวี่ (ฌ้อปาอ๋อง) และการสถาปนาราชวงศ์ฮั่นในกาลต่อมา
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมีนาคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.