บทที่ 2 At six and sevens สับสน
เพราตานั่งกอดเข่าอยู่บนเก้าอี้นวมที่มีอายุนับร้อยปี สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างบานสูงที่ยามนี้มีเม็ดฝนเกาะพราว เธอออกจากโรงพยาบาลได้สามวันแล้ว และตอนนี้เธอก็กลับมาพักที่เพนตันฮอลล์ ที่พำนักของลอร์ดฟิตซ์สตัน
เพนตันฮอลล์เป็นคฤหาสน์ที่มีอายุห้าร้อยกว่าปี เดิมเป็นสมบัติของราชวงศ์และมีการเปลี่ยนเจ้าของมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อราวสองสามร้อยปีก่อนบรรพบุรุษของฟิตซ์สตันก็ได้ซื้อที่นี่ไว้ ผ่านมาอีกราวร้อยปีทายาทรุ่นเหลนก็ได้บรรดาศักดิ์เป็นบารอนฟิตซ์สตัน ที่นี่จึงกลายเป็นที่พำนักของบารอนฟิตซ์สตันสืบทอดต่อกันมาจนปัจจุบัน
ตอนนี้จอห์น ฟิตซ์สตันและพริ้มเพราอาศัยอยู่ที่เพนตันฮอลล์เป็นหลัก แต่เนื่องจากคฤหาสน์โบราณนี้ตั้งอยู่ในเอสเซ็กซ์ มณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือของลอนดอน ถึงจะเป็นมณฑลที่อยู่ติดกับลอนดอนหากการเดินทางจากเพนตันฮอลล์เข้าเมืองหลวงก็ต้องใช้เวลาชั่วโมงกว่า พวกฟิตซ์สตันเลยซื้อบ้านไว้ในลอนดอนอีกหลังเพื่อความสะดวก แพทริกทำงานอยู่ในลอนดอนเป็นหลัก บางสุดสัปดาห์จึงจะกลับมาที่เพนตันฮอลล์
เพราตาเรียนมหาวิทยาลัยในลอนดอน แต่เธอก็ไม่ได้พักกับแพทริกเนื่องจากแม่เห็นว่าไม่เหมาะ พริ้มเพราแต่งงานกับลอร์ดฟิตซ์สตันตอนเธอเรียนไฮสกูล เธอไม่อยากย้ายโรงเรียนกลางคันเลยอยู่ที่ไทยจนจบไฮสกูลแล้วค่อยย้ายมาเรียนปริญญาตรีที่อังกฤษ เรียกว่ากว่าจะมาเป็นน้องสาวของแพทริกเธอก็โตเป็นสาวแล้ว แถมเธอเองก็ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลเป็นฟิตซ์สตันด้วยซ้ำ ดังนั้นแม่เลยคิดว่าไหนๆ เธอโตพอแล้วก็ให้อยู่หอพักดีกว่า ซึ่งเธอก็ชอบความคิดนี้ด้วยเพราะเป็นอิสระดี กระนั้นเธอก็สนิทสนมกับแพทริกดี เพราะเขาไม่มีแฟนแล้วก็ลากเธอไปเป็นคู่ควงในงานเลี้ยงตลอด และเขาก็ปฏิบัติต่อเธออย่างพี่ชายกับน้องสาวด้วย เธอเลยนัดเจอกับเขาอยู่เนืองๆ จนถึงขั้นมีคนคิดว่าเธอจะพัฒนาจากน้องสาวไปเป็นคนรักของเขาทีเดียว
เมื่อสามสี่เดือนก่อนเพราตาเพิ่งเรียนจบ เดิมเธอนัดกับจินตาภาเพื่อนสนิทเอาไว้ว่าจะไปท่องยุโรปด้วยกัน แต่อีกฝ่ายดันขาหักเสียก่อน เธอเลยเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเพื่อนที่เมืองไทย พอกลับมาอังกฤษเธอก็ตัดสินใจชะลอแผนการเที่ยวไปก่อน เนื่องจากพอไม่มีเพื่อนก็เท่ากับไม่มีคนหารค่าที่พัก เธอเลยทำงานหาเงินค่าเที่ยวเพิ่มโดยมารับจ็อบเป็นไกด์อยู่ในเพนตันฮอลล์นี่เอง เพราะนอกจากตัวคฤหาสน์แล้วในอาณาเขตของเพนตันฮอลล์ยังมีสวนที่สวยงามจนขึ้นชื่อและศูนย์วิจัยด้านพฤกษศาสตร์อยู่ด้วย เนื่องจากบารอนเมื่อสองรุ่นก่อนมีความสนใจด้านนี้เป็นพิเศษ ปัจจุบันทั้งสวนกับศูนย์วิจัยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไปแล้ว
หญิงสาวเริ่มออกเดินทางเมื่อเดือนก่อน ถ้าเป็นไปตามแผนเธอควรจะเที่ยวต่ออีกสามเดือนทีเดียว แต่เวลานี้เธอก็กลับมาที่เพนตันฮอลล์แล้ว เป็นการกลับมาในสภาพที่บาดเจ็บ...และสับสน
ตอนนี้แผลที่ศีรษะของเธอดีขึ้นพอสมควร จากที่มีผ้าพันแผลพันจนเป็นผ้าโพกหัวก็เบาลงเหลือแค่ผ้าพันไม่กี่ชั้นเหมือนที่คาดผมแทน ทว่าทั้งที่อาการทางกายภาพของเธอดีขึ้นแล้ว ความทรงจำของเธอกลับยังแหว่งวิ่นเช่นเดิม
เรื่องมันเริ่มจากการที่เธอตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลในโรมพร้อมกับความสับสน กระทั่งชื่อตัวเองยังนึกไม่ออก พอหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาอีกครั้งจึงพอจำอะไรได้บ้าง เธอเลยสามารถให้เบอร์ของแม่กับพยาบาลจนพวกเขาโทรตามครอบครัวของเธอได้ จากนั้นเธอก็ถูกย้ายกลับมาที่อังกฤษ ตอนมาถึงไม่มีอะไรต่างจากตอนที่เธออยู่อิตาลีมากนัก แต่พอนอนหลับไปจู่ๆ เธอก็เกิดจำเชน คอดเวลล์ขึ้นมาได้เลยถามหาเขา...เพียงเพื่อจะพบกับความสับสนที่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกระดับ
หลังจากที่กำลังคุยกันแล้วหมอกับพยาบาลเข้ามาขัดจังหวะ พอเชนและครอบครัวของเธอกลับมาอีกทีพวกเขาก็ยังคงดูแปลกๆ ไม่ผิดจากตอนที่คุยกันก่อนหน้านั้น
‘คุณแพม ฟังผมดีๆ นะ’ เชนเป็นคนเปิดบทสนทนา ‘นอกจากการโดนทำร้ายครั้งนี้จะทำให้คุณลืมบางเรื่องไปแล้วมันยังทำให้คุณสับสนด้วย...ความจริงแล้วผมกับคุณไม่ได้เป็นแฟนกันอย่างที่คุณเข้าใจ’
เพราตาทำหน้าเหลอหลา เธอมองเขาด้วยความมึนงง หากเขาก็จ้องมาแน่วแน่อย่างจะยืนยันคำพูด
‘งั้น...อย่างน้อยเราต้องดูๆ กันหรือชอบพอกันอยู่บ้างใช่ไหม’
‘คุณบอกว่าจำได้ว่าเรื่องระหว่างเราซับซ้อน คุณจำรายละเอียดอะไรได้บ้าง’ ชายหนุ่มไม่ตอบหากถามกลับ
‘ก็เมื่อก่อนครอบครัวพวกเราไม่ค่อยถูกกัน แถมพี่ชายคุณก็มาทำให้เพื่อนฉันเสียใจ ฉันเคยด่าพี่ชายคุณกลางงานเลี้ยงอะไรสักอย่างด้วย’ เธอพึมพำ สายตาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาคล้ายไม่แน่ใจ พอเห็นเขาพยักหน้ารับคล้ายจะบอกว่ามีเรื่องแบบที่เธอพูดเกิดขึ้นจริงเธอจึงมั่นใจขึ้นมาบ้างและพูดต่อ ‘แต่ตอนหลังฉันก็ไปขอโทษคุณใช่ไหม แล้วระหว่างพวกเราก็โอเคกันมากขึ้น’
‘ใช่’ อีกครั้งที่เชนพยักหน้ายอมรับ หากก็ยังถามต่อ ‘แล้วคุณจำอะไรได้อีก’
‘เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นแล้วก็กิ๊กๆ กัน แต่ก็เหมือนออนๆ ออฟๆ มีอะไรซักอย่างทำให้มันซับซ้อน...แต่ฉันนึกไม่ออก’ เสียงเธอเบาลงในประโยคท้าย จากนั้นมือเรียวก็ยกขึ้นมากุมศีรษะ ดวงตาหลุบต่ำ ‘ความจำของฉันมันข้ามไปถึงตอนที่คุณเป็นแฟนฉันเลย’
‘สรุปแล้วคุณจำเรื่องระหว่างเราไม่ได้เลยใช่ไหม’
‘ฮื่อ’ เพราตาช้อนสายตาขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้มีน้ำตาเอ่อคลอในหน่วยตาสีนิล ‘แต่ฉันจำได้ว่าฉันไปงานกับคุณ แล้วฉันก็จูบกับคุณด้วย เราไม่ได้คบกันจริงเหรอคะ’
‘อืม เราไม่ได้คบกัน’ เชนยืนยันแล้วหยุดนิดหนึ่ง ‘ส่วนเรื่องที่ไปงานกับจูบนั่นเกิดที่อิตาลี เราเจอกันก่อนที่คุณจะโดนทำร้าย’
‘คะ?’ เธอเบิกตากว้าง
‘คุณพูดอะไรแปลกๆ กับผม ทำนองว่าอยากให้ผมพากลับอังกฤษ ผมก็จะพาคุณกลับ แต่คุณก็หายตัวไปก่อน มาได้ข่าวอีกทีก็คือคุณโดนทำร้ายแล้ว’
‘หมายความว่าที่ฉันโดนทำร้ายอาจเป็นเพราะมีคนตั้งใจทำร้ายฉัน ไม่ใช่การชิงทรัพย์เหรอคะ’
‘ถ้าตามที่คุณพูดกับผมก็น่าจะเป็นอย่างนั้น’ เชนหันไปพยักพเยิดกับแพทริก ซึ่งฝ่ายหลังก็รีบยื่นมือถือมาให้เธอดู บนหน้าจอปรากฏภาพเซลฟี่ของเธอที่ถ่ายคู่กับผู้ชายคนหนึ่ง...ที่เธอไม่รู้จัก
‘แพมเป็นคนส่งรูปนี้ให้แม่ตอนไปถึงอิตาลีใหม่ๆ แพมบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนใหม่ชื่อเปาโล พอจำได้ไหมลูก’ พริ้มเพราเป็นคนถาม
เพราตาจ้องภาพบนหน้าจอมือถือของแพทริกราวไม่เคยเห็น จู่ๆ เธอก็รู้สึกหวิวโหวงในอกอย่างประหลาด แล้วเธอก็ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมปฏิเสธเสียงแหบแห้ง
‘แพมจำอะไรไม่ได้เลย’
‘ไม่เป็นไร นี่ความทรงจำหนูก็ค่อยๆ กลับมาจริงไหม อีกเดี๋ยวก็น่าจะกลับมาหมดนั่นแหละ’ ลอร์ดฟิตซ์สตันปลอบ
เพราตาไม่ตอบ เธอเบือนหน้ากลับไปหาเชน ริมฝีปากขยับอย่างอยากจะพูดอะไรบางอย่าง หากสุดท้ายเธอก็ไม่ได้ส่งเสียงออกไป...เธอไม่รู้จะพูดอะไร ในหัวของเธอมีช่องว่าง เหมือนมีใครดึงเอาจิ๊กซอว์ออกไปจนทำให้ภาพนั้นไม่สมบูรณ์
ที่แย่ไปกว่านั้นคือเธอยังดูไม่ออกด้วยว่าในภาพที่อยู่ตรงหน้ามีจิ๊กซอว์ตัวไหนอยู่ผิดที่ผิดทาง หรือมีจิ๊กซอว์แปลกปลอมจากภาพอื่นมาปนอยู่บ้างไหม ความทรงจำของเธอสับสนไปหมด ที่สำคัญความทรงจำบางส่วนของเธอกลายเป็นของปลอมซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
เธอเชื่อว่าเชน คอดเวลล์เป็นแฟนของเธอ ทั้งที่มันไม่ใช่...
‘ฉันรู้ว่าเธอไปขอโทษคุณเชน แล้วหลังจากนั้นเธอกับเขาก็คุยกันปกติ มีเจอกันตามงานบ้าง...แต่เธอไม่เคยเล่าเลยว่าเธอกิ๊กกับเขา’ จินตาภาบอกอย่างนั้นตอนคุยโทรศัพท์กันเมื่อวันก่อน ‘หรือบางทีเธออาจจะไม่ได้เล่าให้ฉันฟัง...’
‘แล้วฉันจะปิดบังเธอทำไม เราคุยกันทุกเรื่องไม่ใช่เหรอ ขนาดเธอยังเล่าเรื่องเธอกับคุณธามให้ฉันฟังเลย’ เพราตาตอบกลับเสียงแผ่ว
เธอรู้จักกับจินตาภามาตั้งแต่เรียนเกรดหก หลังจากพริ้มเพราแต่งงานกับลอร์ดฟิตซ์สตันแล้วเธอยังเรียนอยู่ที่เมืองไทยต่อ แม่ของเธอไปๆ มาๆ ระหว่างไทยกับอังกฤษ พอแม่ไม่อยู่ไทยเธอก็ไปอาศัยบ้านของเพื่อนอยู่บ้างเป็นระยะ ระหว่างเธอทั้งสองแทบเป็นพี่น้องกัน ถึงเวลานี้จะอยู่กันคนละซีกโลกแต่ความสัมพันธ์ยังคงเดิม พวกเธอยังติดต่อกันสม่ำเสมอ รวมถึงเล่าเรื่องสำคัญๆ ให้กันและกันฟังทุกเรื่อง...เรื่องนี้เธอแน่ใจ
เท่าที่ไล่เลียงกับหลายๆ คนดู ความทรงจำเก่าๆ ในช่วงนานกว่าหกเดือนของเธอยังอยู่ดี อย่างน้อยที่เธอพูดกับแต่ละคนไปก็ถูกต้องทั้งหมด แต่ความทรงจำในช่วงหกเดือนหลังนี้เองที่มีปัญหา ทำไมเธอถึงคิดว่าตนเองกำลังคุยๆ กับเชนอยู่ ทว่าเธอกลับนึกเรื่องราวระหว่างตนเองกับเขาแทบไม่ออกเลย เรียกว่าไม่มีหลักฐานสนับสนุนใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงความเชื่อและความรู้สึกของเธอล้วนๆ
‘หรือเธอจะแอบชอบเขาอยู่...’ จินตาภาสันนิษฐาน
‘ถึงเป็นอย่างนั้นฉันก็ต้องเล่าให้เธอฟังอยู่ดี’
‘มันอาจจะเพิ่งเริ่มไม่นานนี้ก็ได้...เราคุยกันทุกเรื่องก็จริงแต่หลังๆ นี้เราก็ไม่ถึงกับคุยกันบ่อยนะ ช่วงก่อนเธอจะไปเที่ยวเราไม่ค่อยได้คุยกันเพราะต่างคนต่างยุ่ง’
‘ฉัน...ไม่รู้’
‘ใจเย็นๆ หมอก็บอกไม่ใช่เหรอว่าเรื่องของสมองมันซับซ้อน บางทีมันก็ทำอะไรแปลกๆ ในแบบที่เราไม่เข้าใจ อีกไม่นานความจำของเธออาจจะกลับมา ตอนนี้รักษาตัวก่อนเถอะ อย่าเพิ่งคิดอะไรเลย’ จินตาภาปลอบก่อนจะเสนอ ‘ให้ฉันไปอยู่เป็นเพื่อนดีไหม’
‘ยายบ้า! ไม่ต้อง กระดูกเพิ่งประสานกันยังจะฝืนทำเก่ง หัดเดินอยู่ที่เมืองไทยนั่นแหละ นอกจากความจำหายแล้วฉันก็แค่หัวแตก ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก’
เพราตาปฏิเสธเพื่อนแม้จะรู้แก่ใจว่ามันไม่เป็นอย่างนั้น ถึงตอนนี้เธอก็ยังได้แต่นั่งเหม่อลอยและสับสน ไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าสิ่งที่อยู่ในหัวนั้นเป็นของจริงหรือปลอม เธอเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองมาตั้งแต่จำความได้ หากเวลานี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสามารถเชื่อตัวเองได้ไหม
ตั้งแต่วันที่เชนไปที่โรงพยาบาลเธอก็ไม่ได้พบกับเขาอีกเลย เขาไม่ได้ติดต่อมาแม้แต่ทางโทรศัพท์ราวจะยืนยันว่าระหว่างเขากับเธอไม่มีสายสัมพันธ์พิเศษใดๆ หากถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วทำไมเธอถึงยังไม่ยอมเลิกเชื่อ และที่สำคัญคือทำไมความรู้สึกของเธอจึงยังรุนแรงแบบนี้
มันรุนแรงเสียจนหญิงสาวไม่มีแก่ใจทำสิ่งอื่นใด ในใจมีเพียงความรู้สึกอยากพบเชน คอดเวลล์เท่านั้น...เขาไม่ใช่คนรักของเธอ แต่เธอกลับรู้สึกอยากเห็นหน้า อยากอยู่ใกล้ๆ เขา
เธอคิดถึงเชนเหลือเกิน คิดถึงโดยที่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องคิดถึงในเมื่อทุกคนก็พูดตรงกันว่าเธอไม่น่าจะรักเขาด้วยซ้ำ
ดวงหน้าสวยก้มลงไปวางอยู่ตรงกลางระหว่างสองเข่าที่ยกชันขึ้นสูง ขอบตาของเธอร้อนผ่าว แต่ก่อนที่ไอร้อนจะกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำ เสียงของพริ้มเพราก็ลอยมา
“แพม เป็นอะไรลูก ปวดหัวหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ” เพราตาเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วฝืนส่งยิ้มให้แม่ เธอทราบว่าท่านเป็นห่วงเธอมาก “แพมแค่เบื่อๆ เมื่อก่อนแพมก็ไม่ค่อยได้อยู่เฉยๆ แบบนี้...ใช่ไหมคะ”
“จ้ะ แพมน่ะไฮเปอร์” พริ้มเพราพยักหน้ารับ สงสารลูกสาวเหลือเกิน การที่ความทรงจำหายไปทำให้ตอนนี้เธอกลายเป็นคนที่แทบไม่มั่นใจ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง “แพมหาอะไรทำไหมล่ะ เป็นไกด์เหมือนตอนเก็บเงินไปเที่ยวดีไหม”
“ดีเหมือนกันค่ะ แต่วันนี้คงไม่ทันแล้ว” หญิงสาวนึกถึงความตั้งใจของตนเองที่อยากทำงานในแกลลอรี่ศิลปะแล้วได้แต่ลอบทอดถอนใจในอก...ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่เธอถึงจะกลับไปสานต่อความตั้งใจนั้นได้
“พรุ่งนี้ไงจ๊ะ วันนี้ก็พักไปก่อน เมื่อเช้ายังบ่นกับแม่ว่ารู้สึกตึงๆ ที่แผลไม่ใช่หรือไง”
คนเป็นลูกสาวพยักหน้าเชื่องช้า หากก็ยังดูเงื่องหงอยอยู่ดี นั่นทำให้พริ้มเพรายิ่งสงสารลูกขึ้นไปอีก
“ถ้าเบื่อแพมออกไปเดินเล่นในเมืองไหมล่ะ ไม่ก็เอารถออกไปขับเล่นก็ได้ เผื่อจะไปเจอหมู่บ้านน่ารักๆ อีก”
นอกรั้วเพนตันฮอลล์เป็นเมือง เรียกว่าใช้รั้วร่วมกับบ้านของชาวเมืองเลยก็ได้ เวลาเพราตาว่างๆ ก็จะชอบไปเดินเล่นในเมือง หรือไม่ก็จะเอารถที่แพทริกซื้อสะสมไว้ไปขับเล่นตามถนนชนบท หลายครั้งที่เธอขับจนไปเจอหมู่บ้านเล็กๆ น่ารักตามแบบฉบับชนบทอังกฤษซึ่งเธอโปรดปราน
“ก็น่าจะดีเหมือนกันค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ถ้านั่งอยู่เฉยๆ ก็คงได้แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน...
แล้วนี่จะเอาไงต่อ
เพราตายืนมองตึกสูงรูปทรงหกเหลี่ยมที่ตั้งตระหง่านอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม คอดเวลล์คอร์ตเป็นตึกสำนักงานใหญ่ของคอดเวลล์กรุ๊ป เดิมมันชื่อดีนส์คอร์ต เป็นตึกสำนักงานจากยุคเจ็ดศูนย์ เมื่อก่อนคอดเวลล์เช่าพื้นที่ตึกนี้อยู่ แต่พอธุรกิจเฟื่องฟูก็ซื้อทั้งตึกแล้วปรับปรุงแบบยกเครื่องพร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่ จากตึกที่ภายนอกเป็นหินอ่อนตัดแปะดูโบราณ เวลานี้มันกลายเป็นตึกสำนักงานผนังกระจกแสนทันสมัย แถมมีการเพิ่มจำนวนชั้นให้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นในความสูงเท่าเดิม
เมื่อสองชั่วโมงก่อนเพราตาขับรถออดี้ทีทีของแพทริกฝ่าสายฝนพรำออกจากเพนตันฮอลล์ ด้วยความเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่พวกฟิตซ์สตันจึงมีสมบัติเก่ามาก และปัจจุบันพวกเขาก็ยิ่งทำให้มันงอกเงย ฟิตซ์สตันทำธุรกิจหลายอย่าง หลักๆ คือธุรกิจโรงแรม ทั้งที่เป็นโรงแรมของตัวเองและรับจ้างบริหาร ที่ลอร์ดฟิตซ์สตันได้พบกับพริ้มเพราก็เพราะการที่เขาไปลงทุนในธุรกิจโรงแรมที่เมืองไทยนี่เอง
แพทริกมีหัวด้านธุรกิจ เขาหาเงินเก่งมาก ส่วนหนึ่งของเงินที่หาได้ก็มาลงอยู่กับคอลเล็กชั่นรถซึ่งเขาซื้อสะสมไว้นี่เอง เขาสะสมทั้งรถคลาสสิกและรถสปอร์ตแรงๆ คอลเล็กชั่นของเขาใหญ่มากขนาดที่ต้องสร้างโรงรถใหม่โดยเฉพาะ วันดีคืนดีก็ไปเช่าสนามแข่งแล้วขนรถไปขับเล่น แต่เขาก็ไม่ได้หวงรถเลย เขาบอกให้เธอเอาไปใช้ได้ตามสบาย แต่ด้วยราคาของพวกมันทำให้เธอไม่กล้ายุ่งกับรถส่วนใหญ่ของเขา ต่อให้เขาบอกว่าจะไม่โกรธถ้าเธอเอารถไปเกิดรอยขีดข่วนใดๆ ก็ตาม รถที่เธอกล้าขับมีอยู่ไม่กี่คัน หนึ่งในนั้นคือออดี้ทีทีสีขาวคันเล็กที่เธอขับอยู่ตอนนี้
ปกติเวลาขับรถเล่นเพราตามักไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัด เธอทำเหมือนมันเป็นการผจญภัยเล็กๆ ซึ่งมันก็สนุกดี แถมบางครั้งเธอก็ได้เจอขุมสมบัติด้วย ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์สวยๆ ที่ซ่อนอยู่ตามถนนเส้นเล็กๆ หรือกระทั่งหมู่บ้านน่ารักๆ วันนี้ก็เช่นกัน เธอออกจากเพนตันฮอลล์โดยไม่มีจุดหมายในใจ สองมือของเธอจับพวงมาลัยมั่น ตามองถนน หากความคิดล่องลอย กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังอยู่บนถนนที่มุ่งหน้าไปยังลอนดอนก็เหลือระยะเดินทางอีกเพียงราวครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
หญิงสาวระบายลมหายใจ หากก็ยังบังคับรถวิ่งต่อไปโดยไม่มีความคิดจะเลี้ยวกลับ ถ้าแม่รู้อาจไม่สบายใจ รวมถึงแพทริกกับพ่อของเขาด้วย แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าหัวใจของเธอต้องการอะไร และเธอมักจะเชื่อหัวใจของตัวเองเสมอ
อย่างน้อยเธอก็จำได้ว่ามันเป็นแบบนั้น...
ส่วนเรื่องที่เธอไม่แน่ใจเลยก็คือตนเองไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเชนจริงๆ หรือว่าอย่างไร
มือถือของเพราตาหายสาบสูญไปที่อิตาลี เธอจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรกับมัน หลังกลับมาถึงลอนดอนแล้วแพทริกก็เป็นธุระหามือถือเครื่องใหม่มาให้ ดีที่ความจำเกี่ยวกับไอดีและพาสเวิร์ดต่างๆ ของเธอยังอยู่ดี พอได้มือถือเครื่องใหม่มาเลยยังสามารถใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆ ในไอดีเดิมได้ แต่เธอไม่เห็นเบอร์โทรศัพท์ของเชน ไม่มีแม้แต่อีเมลและไอดีแชต พยานหลักฐานทั้งหมดทั้งมวลชี้ชัดว่าเธอไม่น่าจะมีความสัมพันธ์ใดๆ กับเชนไปมากกว่าคนรู้จัก ยกเว้นเพียงความจำกับความรู้สึกของเธอนี่เองที่ยังดื้อด้าน สมองกับหัวใจของเธอยังเชื่อว่าเขาคือคนพิเศษ เวลานี้เธอรู้สึกเหมือนเป็นพวกหูหนวกตาบอด และเธอก็ไม่รู้จะแก้ไขมันอย่างไรเสียด้วย
แล้วตอนนี้หญิงสาวก็ได้แต่ยืนมองตึกเหมือนคนบ้า เธออยากเจอหน้าเชน สักแวบก็ยังดี ทว่าเธอกลับเข้าใกล้เขาได้มากที่สุดแค่ยืนอยู่หน้าตึกที่เขาทำงานอยู่ ทั้งที่เธอเชื่อเหลือเกินว่าระหว่างเธอกับเขามีสายสัมพันธ์พิเศษต่อกัน
ช่างตลกสิ้นดี!
เพราตารู้สึกปวดแผลตรงศีรษะขึ้นมาเฉยๆ เธอเบนสายตาไปทางซ้าย พวกคอดเวลล์ซื้อตึกร้านค้าที่ตั้งอยู่ติดกันกับคอดเวลล์คอร์ตเอาไว้ด้วย จากนั้นก็ปรับปรุงเปลี่ยนร้านค้าเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ บนดาดฟ้าของห้องสมุดเชื่อมกับชั้นห้าของตึกสำนักงาน มันเป็นร้านกาแฟและมีสวนเล็กๆ ด้วย
ขึ้นไปที่นั่นดีไหม...
“มิสฟิตซ์สตันหรือเปล่าครับ”
เสียงถามลอยเข้ามากระทบโสตประสาทแทบจะพร้อมกับคำถามในหัว ดวงหน้าสวยหันไปมอง แล้วก็พบชายแปลกหน้าในชุดสูทเนี้ยบ มือหนึ่งถือแก้วกาแฟ
“ค่ะ” เพราตาพยักหน้ารับ จริงอยู่ถึงเธอจะไม่ได้เปลี่ยนไปใช้นามสกุลฟิตซ์สตันเหมือนแม่ แต่คนทั่วไปที่ไม่ได้เรียกเธอว่าแพมก็มักจะเรียกเธอว่ามิสฟิตซ์สตันอยู่ดี...สำหรับคนตรงหน้าเธอไม่รู้จัก หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเธอคิดว่าไม่เคยพบเขามาก่อน
“ผมโจ วอร์ดครับ เป็นเลขานุการของคุณเชน”
เขายื่นมือมารอ เธอจึงเอื้อมมือออกไปจับ ดูเหมือนเธอจะไม่เคยรู้จักเขามาก่อนจริงๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“ไม่ทราบมีธุระอะไรที่ตึกคอดเวลล์หรือเปล่าครับ” โจถาม ที่ผ่านมาเขาเคยเห็นเพราตาแต่ในภาพข่าว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับเธอ...ปกติก็ใช่ว่าเขาจะทักคนในข่าวแบบนี้บ่อยๆ เพียงแต่เมื่อไม่นานมานี้เชนเพิ่งสั่งงานเกี่ยวกับผู้หญิงตรงหน้าเขามากมาย อีกอย่างการที่เธอมายืนมองคอดเวลล์คอร์ตแบบนี้ไม่น่าจะปกติเท่าไหร่
“ก็...ฉันแค่สงสัยว่าจะเจอคุณเชนได้ไหม” หญิงสาวตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ
“งั้นเดี๋ยวผมโทรเช็กให้นะครับว่าบอสออกจากห้องประชุมหรือยัง”
เพราตาแปลกใจนิดหน่อยกับข้อเสนอที่เขาหยิบยื่นให้ กระนั้นเธอก็ไม่ได้คัดค้าน อย่างไรเสียเธอขับรถมาถึงลอนดอนเพราะอยากพบเชนอยู่แล้ว...ขณะเดียวกันเธอก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมโจถึงยอมพาเธอไปเจอเจ้านายง่ายๆ จะบอกว่าเธอเคยมาที่นี่ก็ไม่น่าใช่ เพราะเขาไม่เคยรู้จักเธอมาก่อนและเพิ่งแนะนำตัวให้เธอรู้จักด้วยซ้ำ
หญิงสาวยืนฟังบทสนทนาทางโทรศัพท์ของอีกฝ่ายเงียบๆ พอจะจับได้ว่าเจ้านายของเขาที่ปลายสายก็แปลกใจไม่น้อยที่รู้ว่าเธอมาหา แต่เพียงอึดใจถัดจากนั้นเขาก็ดึงโทรศัพท์ออกจากข้างแก้มแล้วหันมาส่งยิ้มให้เธอ
“บอสเพิ่งออกจากห้องประชุมพอดีเลยครับ คุณขึ้นไปกับผมได้เลย”
หัวใจของเพราตาเต้นตึกตักจนเธอสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนตรงอกทีเดียวตอนที่ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นยี่สิบเจ็ดของคอดเวลล์คอร์ต มันน่าประหลาด เธอบอกไม่ถูกด้วยซ้ำว่ากำลังตื่นเต้น ดีใจ หรืออะไรกันแน่
ลิฟต์ความเร็วสูงทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี เพียงอึดใจมันก็พาสองหนุ่มสาวมาถึงจุดหมาย และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ทั้งสองก็พบเชน คอดเวลล์ยืนรออยู่หน้าลิฟต์
“ผมนึกว่าคุณไม่ได้อยู่ลอนดอน”
“ฉันเพิ่งขับรถมา” เพราตาก้าวออกจากลิฟต์มายืนสบตากับชายหนุ่ม เขาไม่ได้ติดต่อเธอ ดังนั้นเธอเลยไม่แน่ใจว่าเขารู้เรื่องที่เธอไม่ได้อยู่ลอนดอนมาจากไหน อาจเป็นแพทริกหรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ในเมื่อเขาเป็นเจ้าของเครือสื่อยักษ์ใหญ่
“มาหาผมถึงนี่มีอะไรหรือเปล่า”
“อยากเจอคุณ” หญิงสาวตอบสั้นๆ เท่าที่เธอจำได้เชนเป็นพวกนิ่งๆ จนอาจเรียกว่าเย็นชา หากพอโดนเขาถามด้วยท่าทางเฉยเมยแบบนี้เธอก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“งั้นไปห้องผมกัน” เชนผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญ จากนั้นเขาก็ก้าวเดินไปพร้อมเธอ และไม่รู้ว่าเพราะเขาจับได้ถึงอารมณ์ของเธอหรือเปล่าเขาจึงไถ่ถามต่อ “แผลคุณเป็นไงบ้าง”
“แห้งแล้วค่ะ แต่ก็ยังปวดๆ ตึงๆ อยู่บ้าง”
“แล้วอย่างอื่นล่ะ”
“หมายถึงความจำของฉันเหรอคะ...ยังจำได้เท่าเดิมเหมือนวันที่คุณไปเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาลนั่นแหละค่ะ” เพราตาพูดเซ็งๆ ใบหน้าหล่อเหลาหันมาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าจู่ๆ กระเพาะเจ้ากรรมของเธอก็ส่งเสียงร้องดังจ๊อกลั่น เขาชะงัก เธอเองก็พลอยอึ้งไปด้วย
“นี่คุณกินข้าวเที่ยงหรือยัง”
“ยังค่ะ” เธอสัมผัสได้ถึงความร้อนที่เอ่อขึ้นมาเกาะสองแก้ม รู้สึกอับอายหน่อยๆ “ฉันว่าจะแวะหาอะไรกินกลางทาง แต่ไปๆ มาๆ ก็ขับรถยาวมาถึงลอนดอนเลย”
“แล้วคุณไม่มียาต้องกินหรือไง”
“มีค่ะ” เธอถอนหายใจเบาๆ
“อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวให้โจสั่งให้” เชนถาม ครั้นเห็นเธอเงยหน้าขึ้นมองเขาเลยพูดต่อ “ถ้าคุณไม่ถือที่จะต้องกินในห้องทำงานของผม”
“ไม่ถือค่ะ” เพราตาส่ายหน้าทันที
“โจ แนะนำเมนูให้คุณแพมที” หนุ่มหล่อคอดเวลล์หันไปสั่งเลขาฯ ที่เดินตามมาด้านหลัง ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบสนองด้วยการร่ายรายชื่อร้านอาหารในละแวกนี้ให้เธอฟังทันที
หญิงสาวฟังไปก็เหลือบมองเสี้ยวหน้าของเชนที่ตอนนี้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไป อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เย็นชาเท่าไหร่ บางทีในความทรงจำช่วงที่หายไปเขาอาจจะดีกับเธอแบบนี้ก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ไม่ยากเลยที่เธอจะรู้สึกดีกับเขา
หรือว่าเธอจะแอบชอบเชนแล้วไม่ได้บอกให้จินตาภารู้จริงๆ...
เชนละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วหันมองไปทางชุดโซฟาที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง เพราตานั่งอยู่ตรงนั้น กำลังจัดการชีสเบอร์เกอร์จากร้านดังใกล้ๆ คอดเวลล์คอร์ตซึ่งเป็นมื้อกลางวันของเธออยู่ ชีสเบอร์เกอร์ร้านนี้ไม่ใช่แค่มีชีสวางแปะอยู่ในชั้นเบอร์เกอร์ แต่ชีสนั้นเยิ้มแทบจะเรียกได้ว่าอาบเบอร์เกอร์ทั้งอัน กินทีมือไม้และปากก็เปรอะเปื้อนไปหมด หากนอกจากเธอไม่มีปัญหาแล้วเธอยังดูชื่นชอบกับการเคลือบทั้งมือและปากด้วยชีสด้วย
ตั้งแต่กลับเข้าห้องทำงานมาเขาก็วุ่นวายอยู่กับการเคลียร์งาน ทั้งเซ็นเอกสารและคุยโทรศัพท์ ส่วนเธอก็อยู่ที่ชุดโซฟา หลังจากโทรไปบอกแพทริกว่าตอนนี้เธอมาอยู่ที่คอดเวลล์คอร์ตตามที่เขาแนะกึ่งสั่งแล้วเธอก็นั่งเล่นมือถือไปเรื่อยจนกระทั่งโจเอาเบอร์เกอร์มาส่ง จากนั้นเธอก็นั่งกินเงียบๆ แต่หันไปมองทีไรเธอก็ดูมีความสุขกับการกินดี อย่างเช่นตอนนี้เธอก็กำลังดูดนิ้วที่ชุ่มด้วยชีส
ชายหนุ่มเพิ่งรู้จักเพราตาอย่างจริงจังไม่นานนี้ กระนั้นก็พูดได้ว่าเห็นหน้าเห็นตากันมาหลายปีเพราะเธอออกงานเป็นคู่ควงของแพทริกอยู่เรื่อยๆ และมันก็บ่อยพอจะให้เขาเห็นว่าเธอวางตัวได้ราวกับเป็นฟิตซ์สตันแท้ๆ ทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าการที่เธอนั่งดูดนิ้วกินชีสไม่ใช่ภาพที่แขกเหรื่อในงานเลี้ยงต่างๆ จะได้เห็นแน่ ก็น่าคิดเหมือนกันว่าที่ตอนนี้เธอทำตัวตามสบายขนาดนี้เป็นเพราะ ‘จำได้’ ว่าสนิทกับเขาหรืออย่างไร
“งานเสร็จแล้วเหรอคะ” หญิงสาวกำลังเก็บขยะลงถุงกระดาษ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเขาลุกเดินอ้อมโต๊ะทำงานตรงมา
“อืม แล้วคุณอยากได้อะไรอีกหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ” เธอปฏิเสธแล้วก้มลงหยิบทิชชูเปียกขึ้นมาเช็ดปากและมือ จากนั้นก็ส่งยิ้มให้คนที่เดินมานั่งบนโซฟาเดี่ยวใกล้ๆ “ขอบคุณที่เลี้ยงมื้อกลางวันนะคะ”
“คุณไม่ควรมาลอนดอนคนเดียวโดยไม่บอกใคร” เชนตอบไปอีกทาง
“คุณพูดเหมือนแพทริกเด๊ะเลย” เพราตาเหลือบตามองเพดาน “ฉันแค่ความจำหาย ไม่ได้ฟั่นเฟือนซะหน่อย”
หลายวันมานี้ชายหนุ่มติดต่อแพทริกอยู่บ้าง เขาจึงพอจะรู้ข่าวอาการของเธอจากทายาทฟิตซ์สตัน และรู้ด้วยว่าเธอไปพำนักที่เพนตันฮอลล์แบบไม่มีกำหนด ดังนั้นตอนแรกเขาจึงคิดว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเธอเลยมาหาเขา แต่เอาเข้าจริงก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น
ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยชอบความคิดที่จะให้เพราตามานั่งกินมื้อเที่ยงในห้องทำงานเท่าไหร่ ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลเขาก็หลีกเลี่ยงไม่ยุ่งกับเธอเพราะไม่อยากให้เธอสับสนไปมากกว่าที่เป็นอยู่ กระนั้นในเมื่อเธอมาอยู่ที่นี่แล้วก็ช่วยไม่ได้ เขาไม่อาจปล่อยให้เธอเดินไปบนถนนในลอนดอนตามลำพัง ตราบใดที่ยังไม่รู้แน่ว่าเกิดอะไรกับเธอที่โรม ซึ่งเรื่องนี้ครอบครัวฟิตซ์สตันกับเขาเห็นพ้องต้องกันตั้งแต่ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล
ส่วนตัวเขารู้สึกว่ามีส่วนต้องรับผิดชอบกับอาการบาดเจ็บของเพราตา...เธอมาขอความช่วยเหลือจากเขา แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจเธอเท่าที่ควร แล้วเธอก็โดนทำร้ายจนบาดเจ็บ
“คุณลืมแล้วเหรอว่าคุณโดนทำร้าย แถมตอนอยู่โรมคุณก็ขอความช่วยเหลือจากผมด้วย”
“ประโยคนี้ก็เหมือนที่พี่ชายฉันพูดเหมือนกัน คุณกับแพทเริ่มเข้าขากันแล้วนะ” หญิงสาวแกล้งเหล่เชน หากพอเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าจะสนุกไปกับการล้อเล่นของเธอด้วยเลยเลิก “ฉันจำที่คุณเล่าได้ค่ะ แต่ที่นี่ไม่ใช่โรมนี่นา...หรือคุณรู้อะไรมากกว่าที่เล่าให้ฉันฟัง”
“เปล่า” เขาปฏิเสธ ไม่ได้โกหก ตอนนี้เขายังสืบหาตัวเปาโลอยู่เลย ส่วนเรื่องที่เธอมาขอให้เขาแสดงเป็นแฟนกับรายละเอียดบางอย่างเขาละไว้ไม่ได้พูดถึงเพราะพริ้มเพราขอไว้
‘แค่การที่แพมเชื่อว่าคุณเป็นแฟนแกแต่ความจริงไม่ใช่ก็คงสับสนมากพอแล้ว ยังไงค่อยๆ ให้แกรู้ความจริงได้ไหมคะ ถ้าบอกทั้งหมดรวดเดียวแกอาจจะสติแตก เอาแค่ประเด็นที่สำคัญๆ ก่อน’
พูดตามตรงเชนไม่ค่อยเข้าใจความคิดของหญิงสูงวัยเท่าไหร่ เขาเห็นว่าควรจะบอกความจริงกับเพราตาทั้งหมดมากกว่า ทว่าในเมื่อท่านคือแม่ของหญิงสาว อีกทั้งเขาก็ถือว่าตนเองมีความผิดในเรื่องนี้ เมื่ออีกฝ่ายขออย่างนั้นเขาจึงยอมทำตาม ที่สำคัญเขาคิดว่าถึงความจำของเธอจะไม่กลับมาแต่เธอก็น่าจะสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังบ้างอยู่ดี
“อยากเจอผมมีอะไรหรือเปล่า”
“ก็แค่อยากเจอ” เพราตาพึมพำ “คุณบอกว่าไม่ใช่แฟนของฉัน อะไรต่อมิอะไรก็ชี้ไปในทางนั้น แม้แต่ข่าวพวกเราไปงานด้วยกันยังไม่มีสักข่าว ฉันลองเสิร์ชดูแล้ว สมองฉันก็เข้าใจนะ แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงยังรู้สึกว่าคุณเป็นแฟนฉัน และฉันก็ไม่รู้จะแก้ความรู้สึกตัวเองยังไงเหมือนกัน”
“มันอาจเป็นเพราะก่อนโดนทำร้ายคุณเจอผมเป็นคนสุดท้ายก็ได้” ชายหนุ่มบอกหลังจากเงียบไปอึดใจ
“แพทริกก็พูดแบบนี้” เธอถอนหายใจ “แต่ถึงฉันจะรู้ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงฉันก็ทำอะไรกับความรู้สึกไม่ได้อยู่ดี วันนี้ฉันถึงกับขับรถมาหาคุณที่ลอนดอนแบบเกือบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ”
เชนสบตากับเธอเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เปิดปาก
“คุณรู้สึกรักผมจริงๆ เหรอ”
เพราตาไม่ได้ตอบในทันที จู่ๆ เธอก็ยกตัวขึ้นจากโซฟาแล้วยื่นสองมือออกไปประคองใบหน้าหล่อเหลา พร้อมกันนั้นเธอก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แบบไม่ให้เขาทันตั้งตัว แม้จะไม่ถึงขั้นปลายจมูกชนกันแต่ก็ใกล้พอที่เธอจะเห็นว่าดวงตาของเขาเป็นสีน้ำตาลอ่อนจางจนเกือบเป็นสีทองและล้อมกรอบด้วยวงแหวนสีเขียวเข้มจนกลายเป็นสีแบบที่เรียกกันว่าเฮเซล
สีตาของเชนสวยมาก หญิงสาวถอนหายใจออกมาก่อนจะปล่อยมือแล้วถอยกลับไปนั่งบนโซฟาตัวยาว...ปัญหาก็คือเธอจำไม่ได้เลยว่าเคยมองใบหน้านี้ใกล้ๆ หรือเคยเห็นเฉดสีแสนสวยของดวงตาเขาในระยะประชิดมาก่อน และเธอก็จำไม่ได้ด้วยว่าเคยสัมผัสเรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์ธรรมชาติแสนสวยของเขาด้วย
แน่ล่ะว่าเธอมีปัญหาเรื่องความจำ แต่ถ้าความรู้สึกที่มีต่อเขารุนแรงแบบนี้ เธอก็ควรจะจำรายละเอียดเกี่ยวกับเขาได้มากกว่านี้เหมือนกัน รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อยอื่นๆ ด้วย
“มันก้ำกึ่งค่ะ” เพราตายอมตอบคำถามในที่สุด “ฉันรู้สึกว่าอยากเห็นหน้าคุณ รู้สึกว่าอยู่กับคุณแล้วปลอดภัย แต่มันก็มีอะไรบางอย่างที่รบกวนใจฉันอยู่ด้วย ฉันคิดว่าอาจเป็นเพราะฉันจำอะไรเกี่ยวกับคุณแทบไม่ได้เลย...แต่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เชนรับรู้ถึงความสับสนที่เจือไว้ด้วยความหงุดหงิดของเธอ มันไม่แปลกในเมื่อความทรงจำเธอมีปัญหา ส่วนตัวเขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเขาไม่ถนัดบทสนทนาในทำนองนามธรรมอย่างเรื่องความรู้สึกเสียด้วย ดังนั้นเขาเลยเลือกจะเงียบ ปล่อยให้เธอนั่งมองถุงจากร้านแฮมเบอร์เกอร์เหมือนจะทะเลาะกับมัน จนผ่านไปครู่ใหญ่จู่ๆ เธอก็หันมาถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คุณคิดว่าเป็นไปได้ไหมคะที่ก่อนหน้านี้ฉันอาจแอบชอบคุณอยู่”
“ผมไม่รู้...แต่คิดว่าไม่นะ” เชนตอบหลังจากอึ้งไปนิดหนึ่ง
“ถ้าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วทำไมฉันถึงจูบคุณ...ปกติฉันไม่ใช่พวกที่จะจูบกับผู้ชายไปทั่ว ฉันแน่ใจเรื่องนี้มากๆ”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน” ชายหนุ่มตอบตามตรง ความจริงเธอแค่พูดขอให้เขาช่วยแสดงเป็นแฟนก็พอแล้ว เขาไม่เห็นความจำเป็นที่เธอจะต้องจูบเขาสักนิด จะว่าเธอแอบชอบเขาอยู่อย่างที่เธอตั้งข้อสังเกตเมื่อครู่...คิดอย่างไรก็ไม่น่าใช่
เพราตามองหน้านิ่งๆ ของทายาทคอดเวลล์ เธอตระหนักว่าเขาไม่ได้ชอบเธอแม้แต่นิดเดียว และนั่นก็ก่อให้เกิดกระแสคลื่นที่รุนแรงในอกจนนำมาซึ่งรสขมปร่าในโพรงปาก
มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก น่าจะเป็นเธอนี่แหละที่เข้าใจผิดไปเอง...
“ฉันว่าฉันกลับดีกว่าค่ะ”
“หมายถึงกลับเพนตันฮอลล์ กลับบ้านในลอนดอน หรือไปที่ไหน” ชายหนุ่มแปลกใจที่อยู่ดีๆ เธอก็บอกจะกลับ กระนั้นเขาก็ไม่ได้คัดค้าน
“แพทริกบอกให้ฉันไปหาเขาก่อน”
แวบหนึ่งที่หญิงสาวคิดขึ้นมาว่าเขาดูเต็มใจให้เธอกลับอย่างยิ่ง แล้วแวบต่อมาเธอก็รีบปัดความน้อยใจที่ทำท่าจะเอ่อขึ้นมาทิ้งไป...เท่าที่ปะติดปะต่อได้เธอกับเขาน่าจะเป็นเพียงเพื่อนห่างๆ หรืออาจเป็นเพียงคนรู้จักด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอก็ไม่ควรจะเก็บมาคิด ที่เธอควรทำคือการสะกดตัวเองให้ยอมรับความจริงให้เร็วที่สุดมากกว่า
“เขาอยู่ออฟฟิศใช่ไหม ก็ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ คุณจะเดินไปหรือยังไง”
“คิดว่างั้นค่ะ ขี้เกียจไปหาที่จอดรถใหม่”
“งั้นเดี๋ยวผมหาคนเดินไปส่งคุณ”
เพราตามองใบหน้าหล่อเหลาก่อนจะหัวเราะฝืดๆ ออกมา
“ตอนนี้คุณเข้าขากับแพทริกจริงๆ ด้วย อย่างน้อยที่ฉันโดนทำร้ายก็ดูมีประโยชน์ดีเหมือนกัน”
“เดิมผมก็ไม่ได้มีปัญหากับเขาอยู่แล้ว” เชนบอกเรียบๆ ก่อนที่เขาจะลุกจากโซฟาเดินไปเปิดประตูออกจากห้อง
จะบอกว่าแพทริกมีปัญหากับคอดเวลล์เองว่างั้นเถอะ หญิงสาวเอนศีรษะพิงขอบพนักโซฟา มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มแค่นส่งให้เพดานสีขาวที่ตัดขอบด้วยสีดำ ขณะเดียวกันในใจของเธอก็รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
“เดี๋ยวผมจะให้ รปภ. เดินไปส่งคุณนะ” เชนกลับเข้ามาในห้องทำงานอีกครั้ง เธอเลยตั้งศีรษะตรงแล้วหยิบกระเป๋าสะพายกับถุงขยะก่อนจะลุกยืน
“ขอบคุณค่ะ”
“คงต้องรออีกสักพัก คุณนั่งรอในห้องนี้ก็ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปรอข้างนอกดีกว่า” หญิงสาวไม่รับข้อเสนอ “ขอบคุณอีกครั้งที่เลี้ยงมื้อกลางวันและสละเวลานะคะ”
“ไม่เป็นไร แต่ตราบใดที่เรื่องที่โรมยังไม่เคลียร์คุณอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวแบบไม่บอกใครอย่างนี้อีกก็พอ”
“ฉันก็คงไม่ทำแบบนี้แล้วล่ะค่ะ” เพราตานิ่งไปนิดหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “ความจริงเรื่องทั้งหมดมันแทบไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย ฉันก็แค่ไปขอความช่วยเหลือจากคุณ และคุณก็บอกว่าตั้งใจจะพาฉันกลับอังกฤษแล้วแต่ฉันหายตัวไปก่อนเอง หลังจากนี้ฉันเลยตั้งใจว่าจะไม่มารบกวนคุณแล้วล่ะค่ะ ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
พอพูดจบหญิงสาวก็ค้อมศีรษะลงน้อยๆ เป็นเชิงลา จากนั้นเธอก็เดินผ่านหน้าเชนออกจากห้องไปเงียบๆ ดวงตาคมมองตามไป เขาไม่ได้รังเกียจเธอ แต่พูดตามตรงการอยู่ในสภาพ ‘แฟนมโน’ ของเธอก็ทำให้เขาอึดอัดอยู่บ้างเหมือนกัน เมื่อเธอตัดสินใจแบบนี้ก็ถือว่าดีแล้ว หลังจากนี้เขาจะยังตามเรื่องเพื่อนปริศนาที่ชื่อเปาโลของเธอต่อ ได้เรื่องเมื่อไหร่ก็ถือว่าเขารับผิดชอบที่ช่วยเหลือเธอไม่ดีพอเรียบร้อย หลังจากนั้นก็ให้พวกฟิตซ์สตันจัดการต่อเองน่าจะดีที่สุด
บทที่ 3 Eyes on you มองจากไกลๆ
เพราตานั่งกอดเข่าอยู่กลางสนามหญ้ากว้างด้านหลังเพนตันฮอลล์ สายตาเหม่อมองกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังทยอยเดินออกมาจากศูนย์วิจัยซึ่งมีลักษณะเป็นอาคารเตี้ยๆ เชื่อมกับเรือนกระจกขนาดมหึมา กลุ่มอาคารนี้ตั้งอยู่ทางปีกตะวันตกของเพนตันฮอลล์ นอกจากนี้ทางเดินในฝั่งตะวันตกยังมีสวนทางการแบบอังกฤษขนาดหลายสิบเอเคอร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ให้มีสภาพใกล้เคียงกับตอนมันถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่สิบแปดโดยนักจัดสวนชื่อดังในสมัยนั้น ทั้งหมดนี้เป็นส่วนที่เปิดให้คนภายนอกเข้ามาเยี่ยมชมได้ ดังนั้นเพนตันฮอลล์จึงมีนักท่องเที่ยวมาเยือนไม่ขาด
ตัวคฤหาสน์เพนตันฮอลล์เองถูกสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบห้าและมีการต่อเติมรวมถึงดูแลรักษาอย่างดี ด้วยสถาปัตยกรรมแบบเอลิซาเบธ* อันโดดเด่น ถึงจะไม่ได้เปิดให้เข้าชมภายในคฤหาสน์แต่นักท่องเที่ยวก็มักจะหยุดถ่ายรูปเพนตันฮอลล์จากด้านนอกกันเป็นปกติ ตอนนี้ก็เช่นกัน
จุดที่หญิงสาวนั่งอยู่คือสนามหญ้าด้านหลังเพนตันฮอลล์ซึ่งไม่เปิดให้คนภายนอกเดินเข้ามาแต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้ มีนักท่องเที่ยวหลายคนมองมาทางเธอซึ่งนั่งเล่นสบายใจอยู่ในพื้นที่หวงห้าม หรือไม่ก็อาจจะมองพวกนกยูงที่กำลังเดินเล่นไปมาอย่างแสนสำราญไม่ไกลจากจุดที่เธอนั่งเท่าไหร่นัก
น่าเบื่อชะมัด
เพราตาเบือนหน้ากลับไปมองตรง สายตาทอดไปหาบึงขนาดใหญ่ที่อยู่ต่ำลงไปไกลจากเพนตันฮอลล์พอสมควร ผิวน้ำถูกลมพัดจนเกิดเป็นริ้วคลื่น และแม้วันนี้ฟ้าจะหม่นๆ ตามประสาท้องฟ้าของเกาะอังกฤษแต่พื้นน้ำก็ยังสะท้อนแสงระยิบดึงดูดสายตา ทะเลสาบนี้ถูกขุดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนและเป็นส่วนหนึ่งของเพนตันฮอลล์เช่นกัน ช่วงแรกที่บรรพบุรุษของฟิตซ์สตันซื้อที่นี่มันเป็นเพียงบ้านหลังหนึ่ง หลังจากนั้นลูกหลานรุ่นต่อๆ มาก็ขยับขยายบ้านจนกลายเป็นคฤหาสน์ รวมถึงซื้อที่ดินขยายอาณาเขตไปเรื่อยๆ จนปัจจุบันเพนตันฮอลล์มีพื้นที่ราวสองพันห้าร้อยเอเคอร์* ทางฝั่งตะวันออกใกล้ตัวคฤหาสน์เป็นพื้นที่ส่วนตัวจำพวกโรงรถและคอกม้า แต่ด้านหลังเป็นทุ่งหญ้าโล่งกับป่าโปร่ง
โล่งและโปร่งพอกับชีวิตเธอตอนนี้เลย จู่ๆ หญิงสาวก็ทิ้งตัวลงนอนสนามหญ้าเสียเฉยๆ
ก่อนหน้านี้เธอรับจ็อบเป็นไกด์ให้นักท่องเที่ยวก็จริง แต่นั่นก็มีการวางแผนไว้ล่วงหน้านานพอสมควร ครั้งนี้ค่อนข้างกะทันหัน ในตารางงานมีการลงสล็อตเวลาสำหรับไกด์แต่ละคนไว้แล้ว เธอจึงกลายเป็นตัวสแตนด์บายไปแทรกแทนไกด์หลักบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะว่าง ซึ่งถือว่าผิดนิสัยคนอยู่เฉยไม่เป็นอย่างเธอมาก...ทว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก เพราะความจริงช่วงนี้เธอก็ไม่ค่อยมีแก่ใจทำอะไรเหมือนกัน ปัญหาที่แท้จริงของเธอคือนับตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะไม่ไปวุ่นวายกับเชน คอดเวลล์ตั้งแต่เมื่อเกือบสัปดาห์ก่อน จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถหยุดคิดถึงเขาได้เลย และ...ใช่ ความทรงจำที่หายไปของเธอก็ยังไม่กลับมา
นี่มันบ้าบออะไรไม่รู้ เพราตายกสองมือขึ้นปิดหน้า เธอก็แค่อยากไปเที่ยว แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้เธอต้องติดแหง็กอยู่ที่เพนตันฮอลล์ในสภาพความทรงจำไม่สมประกอบ แถมออกไปใช้ชีวิตปกติก็ไม่ได้ตราบใดที่เรื่องยังไม่เคลียร์ และที่ยิ่งกว่านั้น...หัวใจของเธอดันไปผูกติดกับผู้ชายที่ไม่รู้สึกอะไรกับเธอสักนิดเลย
“ผมไม่เคยเห็นแพมเป็นแบบนี้เลย”
แพทริกกำลังยืนอยู่ตรงข้างประตูกระจกของห้องนั่งเล่นซึ่งสามารถเปิดออกสู่สนามหญ้าด้านหลังคฤหาสน์ได้ นอกจากเขาแล้วในห้องก็มีพริ้มเพราอยู่ด้วย ความจริงท่านควรจะต้องเดินทางไปธุระที่โมนาโกกับลอร์ดฟิตซ์สตัน แต่เนื่องจากเป็นห่วงลูกสาวทำให้ท่านขออยู่อังกฤษ ซึ่งผู้เป็นสามีก็เข้าใจและไม่ได้ว่าอะไร ส่วนชายหนุ่มเองก็กลับมาที่เพนตันฮอลล์เป็นรอบที่สองของสัปดาห์ หลังจากที่เมื่อต้นสัปดาห์เขาพาเพราตากลับมาส่งจากลอนดอน ส่วนครั้งนี้เขากลับมาพักผ่อนที่บ้านตอนปลายสัปดาห์ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก
“เวลาทั่วๆ ไปแพมก็ดูปกติดีนะ แต่บางทีตอนอยู่คนเดียวก็จะเป็นแบบนี้” พริ้มเพราระบายลมหายใจยาว “แพมไม่ค่อยเป็นแบบนี้หรอกค่ะ ยกเว้นตอนมีเรื่องเครียดให้คิดหนัก”
“แล้วแพมได้พูดอะไรกับคุณน้าบ้างหรือเปล่าครับ” หนุ่มผมทองหันกลับมาหาหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่บนโซฟา
“ก็มีเรื่องเชน คอดเวลล์นั่นแหละค่ะ...ตอนกลับมาจากลอนดอนแพมบอกว่าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปยุ่งกับทางนั้นอีก แต่ว่าตั้งแต่นั้นแพมก็เป็นแบบนี้ตลอดเลย”
“แพมก็พูดเรื่องนี้กับผมตอนกลับจากลอนดอนเหมือนกัน” แพทริกพึมพำ “ผมลองถามๆ ดู ท่าทางเชนก็รักษาสัญญากับเรา ไม่ได้พูดอะไรกับแพมมาก แต่แพมไม่ใช่คนโง่อยู่แล้ว น่าจะพอปะติดปะต่อเรื่องได้เหมือนกัน”
“เรื่องนี้คงต้องใช้เวลา” พริ้มเพราระบายลมหายใจ อดคิดไม่ได้ว่าลูกสาวเหมือนคนอกหัก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีวี่แววว่าเธอรักเชนสักนิด “หรือไม่ก็ต้องรอจนกว่าความจำของแพมจะกลับมา”
“หมอก็ทำอะไรไม่ได้ซะด้วย” ชายหนุ่มหนักใจ หมอบอกว่าเรื่องของสมองและความทรงจำนั้นซับซ้อนยากจะคาดเดา ดังนั้นตอนนี้อาจมีเพียงเวลาที่ช่วยได้
“แต่ส่วนหนึ่งที่แพมเป็นแบบนี้อาจเพราะน้าขอให้แพมอยู่บ้านนี่แหละ ปกติแพมอยู่เฉยไม่เป็น พอต้องมาติดแหง็กอยู่ที่บ้านแบบนี้คงจะทำให้ยิ่งเครียด น้าว่าจะชวนแพมไปเที่ยวนะ แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี เรายังไม่รู้เลยว่าเปาโลเป็นใคร แล้วเรื่องที่แพมโดนทำร้ายมันเป็นมายังไง”
ดวงตาสีฟ้าจัดจนเกือบเป็นน้ำเงินเบนออกไปมองร่างโปร่งที่ยังนอนปิดหน้าอยู่กลางสนามหญ้าหลังคฤหาสน์อีกครั้ง จากนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“วันจันทร์นี้แพมต้องไปหาหมอที่ลอนดอนใช่ไหมครับ คืนวันอาทิตย์มีปาร์ตี้วันเกิดของเลดี้คนหนึ่ง ให้แพมไปกับผมดีไหม ออกไปเจอผู้คนใช้ชีวิตเหมือนที่เคยใช้อาจจะพอช่วยให้หายเครียดก็ได้ คุณน้ากับแพมก็แค่ไปค้างในลอนดอนซักคืน”
“อืม อาจจะดีก็ได้นะ” พริ้มเพราตอบหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เดี๋ยวลองถามแพมดูแล้วกัน”
น่าเบื่อจัง
เวลานี้เพราตาอยู่ในงานกาล่าดินเนอร์ตามที่แพทริกชวนมา เธอจำได้ว่าปกติเธอก็รับบทคู่ควงของหนุ่มผมทองอยู่แล้ว เพราะอีกฝ่ายไม่มีแฟนและรำคาญพวกสาวๆ ที่มาอ่อย ซึ่งก็ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้มีคนเข้าใจผิดว่าเธอกับพริ้มเพราจะกินรวบฟิตซ์สตันทั้งสองพ่อลูก ที่ผ่านมาเธอชอบแกล้งบ่นเรื่องการรับบทคู่ควง แต่แท้จริงแล้วเธอก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ออกจะชอบด้วยซ้ำเพราะได้เปิดหูเปิดตา รวมถึงมักจะได้พบเห็นอะไรสนุกๆ จากเหล่าไฮโซอังกฤษด้วย
ทว่าไม่ใช่สำหรับวันนี้ หญิงสาวเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เธอหวังว่าการมางานและได้พบได้คุยกับเพื่อนในวงสังคมจะทำให้เพลิดเพลินได้บ้าง หากเอาเข้าจริงก็ไม่เป็นอย่างนั้น เธอรู้สึกเบื่อหน่ายไม่ต่างจากหลายวันที่ผ่านมาเลย ทั้งที่มีคนรายล้อมมากมายแต่เธอกลับรู้สึกเหงา
คนที่เพราตาอยากเจอมีเพียงคนเดียว ขณะเดียวกันเธอก็ไม่อยากเจออีกฝ่ายด้วย...การไม่เจอเชนน่าจะดีกับเธอมากกว่า
“แพมมี่ เบื่อเหรอ” แพทริกก้มลงถามหลังเดินออกจากวงสนทนาหนึ่ง เขาสังเกตว่าค่ำนี้หญิงสาวค่อนข้างเหม่อลอย แม้ดูเผินๆ เธอจะยิ้มแย้มเป็นปกติก็ตาม
“ปวดหัวนิดนึง” เธอเลือกจะโกหก ด้วยทราบว่าทั้งแม่และชายหนุ่มเป็นห่วงเธอมาก “สงสัยเมาคนมั้ง ไม่ได้มาอยู่ในที่คนเยอะๆ แบบนี้นานแล้ว”
“งั้นกลับบ้านก่อนดีไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ขอออกไปสูดอากาศในสวนแป๊บนึงแล้วกัน”
ชายหนุ่มสบตากับเธอครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับ เธอเลยส่งยิ้มให้เขาแล้วหมุนกายจากมา...เธอโปรยยิ้มให้ใครต่อใครที่เดินผ่านไปเรื่อย ขณะเดียวกันก็ไม่หยุดเท้า จนกระทั่งเดินลงจากบันไดพ้นจากอาคารที่ใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงไปสู่สวนแล้วรอยยิ้มจึงคลายตัว บนดวงหน้าสวยเหลือเพียงความเหนื่อยล้า
เมื่อไหร่มันจะจบเสียที ต้องทำยังไงความจำถึงจะกลับมา เพราตาเงยหน้ามองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนฟ้า ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตนเองติดกับ เดินต่อไปข้างหน้าไม่ได้ และจะหันหลังกลับก็ทำไม่ได้เช่นกัน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็ยิ้มขื่นๆ ออกมา หรือจะเอาหัวโขกต้นไม้ให้น็อกไปอีกซักรอบดี
หญิงสาวเดินวนไปในสวนอย่างไร้จุดหมายครู่หนึ่งแล้วเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าใบเล็กที่ถืออยู่ ตั้งใจจะโทรไปหาจินตาภา ที่เมืองไทยค่อนข้างดึกแล้ว แต่เธอแน่ใจว่าไม่ว่าเวลาไหนเพื่อนก็พร้อมคุยกับเธอ ตอนนี้เธอรู้สึกอัดอั้นตันใจจนเหมือนอกจะระเบิดและอยากจะระบายความรู้สึกกับใครสักคน เธอไม่อยากให้พริ้มเพราเป็นห่วงมากไปกว่านี้ แค่นี้เธอก็รู้สึกว่าเป็นภาระของทุกคนมากพอแล้ว
เพราตาเงยหน้าขึ้นหลังจากกดตัวล็อกของกระเป๋าให้เข้าที่ หากยังไม่ทันที่เธอจะยกมือถือขึ้นมากด สายตาเจ้ากรรมก็สังเกตเห็นร่างสูงที่คุ้นตาเดินอยู่บนระเบียงทางเดินของอาคารที่จัดเลี้ยงเสียก่อน และเธอก็สัมผัสถึงความรู้สึกคล้ายโดนชกเข้าที่กลางอกทันที
เชน...
หญิงสาวนิ่งงัน ถึงเธอจะมีเหตุผลนับล้านให้เชื่อว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ได้รักเขา และสิ่งที่เธอรู้สึกตอนนี้ก็ไม่ใช่ความรักเช่นกัน หากเธอก็ยังไม่สามารถกำจัดความรู้สึกที่อยากจะอยู่ใกล้ๆ เขาให้มากที่สุดออกไปจากใจได้ เธอรู้ตัวว่าควรจะหันหลังแล้วเดินหนีไปซะ หากในความเป็นจริงเธอกลับยืนมองเขาอย่างไร้สติ เธอรู้สึกเหมือนเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนแต่เธอจำไม่ได้ ในอกของเธอเกิดแรงกระเพื่อม และยิ่งเธอมองเขานานแรงกระเพื่อมนั้นก็ยิ่งรุนแรง...มันรุนแรงเสียจนไอร้อนผ่าวเห่อขึ้นมาเกาะตรงขอบตา ทั้งที่เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอยืนอยู่ตรงนี้
เพราตายืนมองเชนหยุดยืนคุยกับนักธุรกิจสูงวัยคนหนึ่ง เธอมองเขานานจนดวงตาเริ่มพร่ามัวด้วยม่านน้ำที่เอ่อขึ้นมาเคลือบฉาบ เธอไม่รู้มาก่อนว่าเขามางานนี้ด้วย ก่อนหน้านี้เธอกับแพทริกเดินไปทั่วงานก็ไม่มีวี่แววของเขา แต่ที่แน่ๆ เธอคิดว่าตอนนี้ตนเองกำลังจะเป็นบ้า
เลิกบ้าเสียทีแพม! หญิงสาวสั่งตัวเองหากสองเท้ากลับไม่ยอมขยับ เธอยังยืนอยู่อย่างนั้น กระทั่งนักธุรกิจสูงวัยผละไปและเชนหันมา ดวงตาสองคู่ประสานกันในระยะไกล และราวกับแม่มดยอมถอนมนตร์ สองขาของเธอขยับได้ในที่สุด แล้วเธอก็สะบัดหน้าก้าวเท้ายาวๆ เดินหนีลึกเข้าไปในสวนอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวเดินไปไกลพอสมควรจนเหนื่อย หนำซ้ำม่านน้ำที่เคลือบดวงตาก็ทิ้งตัวเป็นหยดน้ำอุ่นๆ ไหลลงมาตามผิวแก้ม เธอจึงหยุดแล้วทรุดตัวลงนั่งยองตรงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
มันไม่ไหว...เธอไม่ไหวจริงๆ เพราตาสะอื้นออกมาเบาๆ แม้จะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับเชนอีก แต่ความจริงก็คือเธอเครียดและยังคงสับสน มันเหมือนความรู้สึกกับเหตุผลกำลังทำสงครามกันอยู่ภายในตัวเธอ และมันก็ไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆ ด้วย
“คุณแพม”
เสียงเรียกทำให้หญิงสาวตัวแข็ง เธอเครียดเสียจนไม่รับรู้ว่ามีใครเดินเข้ามาใกล้ พอมาตอนนี้เธอจึงเพิ่งตระหนักว่าเจ้าของเสียงมายืนอยู่ใกล้มากด้วย
เชนตามเธอมาทำไม...
“คุณโอเคหรือเปล่า”
“ค่ะ คุณไปเถอะ” เพราตาต้องใช้เวลาครู่หนึ่งในการพยายามจัดการกับน้ำเสียงของตนเองเพื่อให้มันฟังปกติที่สุดตอนส่งออกไป
เชนมองคนที่นั่งคุกเข่าหันหลังให้เขาในเงามืดใต้ต้นไม้อย่างลังเล สุดท้ายเขาก็หันหลังก้าวเดิน หากก้าวได้เพียงสองก้าวเขาก็หยุดแล้วหันกลับไปอีก
“ผมว่าเราเป็นเพื่อนกันได้”
“เราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ” เธอถามกลับหลังจากนิ่งไปอึดใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขายังไม่ยอมเดินไป...เชน คอดเวลล์ในความทรงจำส่วนที่ชัดเจนของเธอไม่ใช่ผู้ชายใจดีเท่าไหร่เลย อันที่จริงเขาค่อนไปทางเย็นชาและใจร้ายด้วยซ้ำ
“ผมหมายถึงคุณอาจไม่จำเป็นต้องฝืนไม่เจอหน้าผม ในเมื่อคุณก็บอกเองว่ามันไม่ใช่ความรัก การฝืนอาจทำให้คุณยิ่งเครียดและสับสนก็ได้”
“คุณหมายความว่าจะยอมให้ฉันไปวุ่นวายกับคุณเหรอคะ” เพราตายอมลุกยืนในที่สุด จากนั้นเธอก็หันหน้าไปมองอีกฝ่ายทั้งน้ำตา
“ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงอึดอัด” เชนตอบตามตรงแม้จะอึ้งกับการได้เห็นเธออยู่ในสภาพน้ำตาอาบสองแก้มอยู่บ้าง “แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกไม่โอเค คุณจะส่งข้อความมาหรือโทรมาบ้างก็ได้ เพราะคุณบอกว่าจะรู้สึกปลอดภัยถ้าอยู่กับผมใช่ไหม การติดต่อกันอาจพอช่วยได้”
“คุณใจดีกว่าที่ฉันจำได้นะ...หรือว่าฉันจำผิดไม่รู้”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ ความจริงแล้วเธอไม่ได้จำผิด และครั้งนี้เขาก็ไม่ได้นึกห่วงใยเธอเป็นพิเศษ ที่เขาตามเธอมาเพราะการพบเธอที่ระเบียงเมื่อครู่มันคล้ายเหตุการณ์ที่อิตาลีจนชวนหงุดหงิดทีเดียว...ถึงตอนนี้คนของเขายังไม่สามารถหาข่าวเกี่ยวกับเปาโลได้ ซึ่งมันน่าโมโหมาก เขาถือว่าเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของเขา และการที่เขายังไม่สามารถให้ข้อมูลกับพวกฟิตซ์สตันได้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เพราตาต้องถูกกักบริเวณอยู่ในเพนตันฮอลล์ ดังนั้นเขาจึงควรจะช่วยเธอบ้าง...ตราบใดที่เธอไม่เข้ามาใกล้เขามากเกินไป
แต่พูดไปคงไม่ดี เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเขาใจดีกับหญิงสาวเป็นพิเศษอีก ตอนนี้เธอยิ่งสับสนอยู่ด้วย ถึงเธอจะบอกว่าไม่ได้รักเขา หากในเมื่อมันก้ำกึ่งสุ่มเสี่ยง ปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุด...อันที่จริงถ้าเป็นปกติเขาก็ไม่สนหรอกว่าเธอจะตกหลุมรักเขาหรือเปล่า แต่เธอถูกทำร้ายบาดเจ็บจนส่งผลต่อความทรงจำและสภาพจิตใจ ถึงเขาจะไม่แยแสอะไรแต่ก็ไม่ได้เลวถึงขั้นจะอยากทำร้ายเธอซ้ำ โดยเฉพาะเมื่อเขาถือว่าการที่เธอถูกทำร้ายเป็นความผิดของเขาด้วยส่วนหนึ่ง
“ก่อนหน้านี้เราก็ไม่ได้รู้จักกันมากเท่าไหร่ใช่ไหมคะ ฉันไม่ควรพูดแบบนั้นเลย” หญิงสาวพึมพำเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป
“คุณจะกลับเข้าไปในงานอีกไหม” เชนเปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ
“คงต้องเช็ดหน้าเช็ดตาก่อน” เพราตาหัวเราะออกมาเบาๆ อยู่ดีๆ ก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้น เธอก้มลงเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบตลับแป้งกับกระดาษทิชชูขึ้นมา “คุณช่วยถือมือถือส่องไฟให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ”
เธอถามพร้อมกับเปิดแสงแฟลชของกล้องมือถือเพื่อให้แสงสว่าง ชายหนุ่มนึกไม่ถึงว่าเธอจะขอให้เขาช่วยอะไรแบบนี้ กระนั้นเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธและเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์มาถือ พอมีผู้ช่วยเธอก็เริ่มใช้ทิชชูซับคราบน้ำตาบนใบหน้า จากนั้นก็ตามด้วยการทาแป้งกลบเกลื่อนร่องรอยเท่าที่ทำได้
“ฉันร้องไห้เหมือนคนบ้าเลย”
หญิงสาวพึมพำ และเป็นอีกครั้งที่เชนได้ยินชัดหากไม่คิดออกความเห็น เขายังคงยืนถือมือถือให้แสงสว่างกับเธอเงียบๆ ขณะเดียวกันก็นึกถึงคำพูดของโฉมฉาย แม่ของเขาตอนที่เขาเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง
‘ถ้าแม่เจอแบบนี้คงเป็นบ้าแน่ๆ เลย ความจำก็หาย แถมใจเชื่ออย่าง คนอื่นบอกอีกอย่าง ลูกช่วยอะไรเขาได้ก็ช่วยแล้วกันนะ’
“ตอนที่ฉันเห็นคุณยืนอยู่บนระเบียง ฉันรู้สึกเดจาวู เหมือนว่ามันเคยเกิดขึ้นน่ะค่ะ...เราเคยเจอกันแบบนี้มาก่อนไหม”
เสียงของเพราตาดึงความสนใจของชายหนุ่มกลับมาที่เธออีกครั้ง เขามองใบหน้าสวยด้วยสายตาครุ่นคิดแล้วพยักหน้ายอมรับ
“ที่อิตาลี แต่ตอนนั้นคุณอยู่บนระเบียงแล้วผมอยู่ในสวน...คุณปีนรั้วลงมาหาผมเลย”
“ปีนรั้ว?” เธอทวนคำตาโต หยุดเติมแป้งกะทันหัน “นี่แสดงว่าเรื่องน่าจะร้ายแรงมากเลยนะ”
“ร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงคุณก็หายตัวไปและโดนทำร้าย” เขาหยุดนิดหนึ่ง “ความผิดผมเองนั่นแหละที่ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจฟังคุณว่ามีเรื่องเดือดร้อนอะไร มัวแต่สนใจเรื่องอื่น”
เพราตาสบตากับเขาครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปเติมแป้งต่อ
“อย่างน้อยวันนี้ฉันก็รู้สึกเดจาวู อีกไม่นานอาจจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้างก็ได้”
เชนพยักหน้ารับเบาๆ เขาก็หวังให้เป็นอย่างนั้น เพราะถ้าเธอจำอะไรๆ ได้เรื่องก็น่าจะยุ่งยากน้อยลงกว่าเดิมมากทีเดียว
ขณะที่เพราตากำลังตั้งอกตั้งใจเติมแป้งให้เนียนทั่วแก้มก็มีเสียงฝีเท้าลอยมากระทบโสตประสาท ไม่นานหลังจากนั้นร่างในชุดราตรียาวก็ปรากฏกาย ดวงตาสีนิลตวัดไปมอง คราวนี้สมองส่งชื่อมาให้อย่างรวดเร็ว
โอลิเวีย ธิดาโทนของจอร์จ เคปปา บารอนเคปปาที่เจ็ด...ลอร์ดฟิตซ์สตันเป็นเพื่อนกับลอร์ดเคปปา ไม่ถึงกับสนิทแต่ก็ไม่ใช่แค่รู้จักห่างๆ เธอเลยพลอยรู้จักครอบครัวเคปปาไปด้วย เป็นที่เลื่องลือในวงสังคมอังกฤษว่าลอร์ดเคปปาสปอยล์ลูกสาวมาก และเธอก็ได้สัมผัสความเอาแต่ใจของโอลิเวียกับตัวตั้งแต่แรกๆ ที่รู้จักกันเลยทีเดียว เธอไม่ค่อยชอบหน้าอีกฝ่ายนัก และเธอก็รู้ด้วยว่าหล่อนก็ไม่ค่อยชอบหน้าเธอเหมือนกัน ที่ผ่านมาถ้าพบกันจึงแค่ทักทายกันผ่านๆ ตามมารยาทเท่านั้น
เธอไม่ได้อยากจำเรื่องของโอลิเวียสักนิดแต่ก็ดันจำได้ ยิ่งไปกว่านั้น...แม่นี่มาโผล่แถวนี้ได้ยังไงเนี่ย!
“สวัสดีค่ะคุณเชน แพม” หล่อนทักทาย ดวงตามองสำรวจความเป็นไปที่ใต้ต้นไม้อย่างรวดเร็ว จากนั้นหล่อนก็เลื่อนสายตาไปหยุดที่ใบหน้าหล่อเหลา “ฉันได้ยินว่าคุณเดินลงมาในสวนเลยตามมา”
“มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”
“ฉันก็ต้องอยากเจอคุณสิคะ” โอลิเวียยกสองแขนขึ้นกอดอก “เพิ่งรู้นะคะเนี่ยว่าคุณสนิทกับแพมด้วย”
เพราตาซึ่งกำลังเช็กความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายตวัดสายตาไปมองอีกฝ่ายทันที ความรำคาญใจแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิด ดูเหมือนโอลิเวียน่าจะติดอกติดใจเชนอยู่ เธอพยายามจะนึกว่าก่อนหน้านี้เคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับสองคนนี้มาก่อนไหมแต่ก็นึกไม่ออก และนั่นก็ทำให้เธอยิ่งหงุดหงิดหนักขึ้นไปอีก
“คุณว่าโอเคหรือยังคะ” เธอส่งเสียงดึงความสนใจของเขา
เชนเบนสายตากลับมามองสาวไทยอย่างแปลกใจ หากเขาก็ยอมกวาดสายตาสำรวจใบหน้าสวยสองสามรอบก่อนจะพยักหน้ารับ
“ขอบคุณค่ะ” เพราตาปิดตลับแป้ง เธอเก็บมันลงกระเป๋าใบเล็กพร้อมกับทิชชูที่ใช้แล้ว จากนั้นก็เอื้อมไปรับมือถือมาจากเขาพร้อมถาม “อยากให้ฉันกลับเข้าไปในงานก่อนไหมคะ”
“ไปด้วยกันสิ พี่ชายคุณมาด้วยใช่ไหม ผมอยากเจอเขาด้วย”
“คุณกับแพทริกแอบไปสนิทกันโดยที่ฉันไม่รู้หรือเปล่าเนี่ย” เธอหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็หันกลับไปยิ้มใส่ตาโอลิเวียที่จ้องมองมา แม้แถวนี้จะมีเพียงแสงสลัวของโคมไฟในสวน หากเธอก็รับรู้ได้ถึงสายตาดุเดือดของอีกฝ่าย หากเธอก็ไม่นำพา...ถ้าหล่อนชอบเชนจริงล่ะก็ ด้วยนิสัยตอนนี้หล่อนต้องกำลังพื้นเสียมากแน่ และเธอก็ชอบให้เป็นอย่างนั้นเสียด้วย
“นี่ตกลงไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” โอลิเวียยังคงยิ้มให้เชนแม้ดวงตาจะวาววาม
ชายหนุ่มเหลือบมองเพราตา เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดระหว่างสองสาว ไม่รู้ว่าทั้งคู่มีประเด็นอะไรกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้หรือเปล่า เขาทราบว่าโอลิเวียชอบเขาอยู่ ส่วนเพราตานั้นกำลัง ‘เชื่อ’ ว่ารักเขา ถึงแม้เธอจะยอมรับอย่างมีเหตุผลว่าความจริงเธอกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์พิเศษต่อกันก็ตาม พวกผู้หญิงมักจะมีความสามารถพิเศษแบบแปลกๆ ในเรื่องทำนองนี้ เพราตาน่าจะรับรู้ถึงความมุ่งหมายของโอลิเวีย แต่เขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าการที่ระหว่างสองสาวมีบรรยากาศแปลกๆ เกี่ยวกับตัวเขาหรือเปล่า
เพราตาเองก็เหลือบมองเชนเช่นกัน พอได้สบตากันคิ้วของเธอก็ยกขึ้นนิดหนึ่งก่อนที่มุมปากจะยกตามเป็นรอยยิ้ม จากนั้นเธอก็ตอบเสียเอง
“ก็ซักประมาณสองสามอาทิตย์ล่ะมั้ง”
เชนทำได้เพียงพยักหน้ารับ แม้เขาจะไม่คิดว่าตนเองสนิทกับหญิงสาว แต่ในเมื่อเธอพูดแบบนี้เขาก็ไม่คิดจะขัด เพราะถ้าพูดตามจริงระหว่างเธอกับเขาก็ถือว่ารู้จักคุ้นเคยกันมากขึ้นในช่วงสองสามอาทิตย์หลังนี้
“นี่มีอะไรที่ฉันควรรู้หรือเปล่า” เสียงของโอลิเวียเครียดขึ้นเล็กน้อย
“ไม่มีหรอก” เพราตาปฏิเสธ ถึงจะอยากปั่นประสาทอีกฝ่ายต่อแค่ไหน หากเธอก็รู้ตัวดีว่ามันมีเส้นที่เธอไม่อาจก้าวล้ำไป
“แล้วนอกจากอยากเจอผมแล้วคุณมีอะไรอีกหรือเปล่าโอลิเวีย” เชนส่งเสียง หล่อนส่ายหน้าอย่างเสียไม่ได้ หากเขาก็ทำเป็นไม่เห็นสีหน้าของหล่อน “งั้นเรากลับเข้าไปในงานกันดีกว่า”
ชายหนุ่มผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญ เพราตาไม่ขยับแต่มองสาวอังกฤษเหมือนรอให้หล่อนขยับ ซึ่งก็ไม่แปลกเมื่อคิดว่าหล่อนยืนอยู่บนทางเดิน ขวางทางอีกสองคนอยู่ หากนั่นก็ทำให้หล่อนขัดใจอย่างยิ่ง กระนั้นหล่อนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากชักสีหน้าแล้วหมุนกายกระแทกเท้าโครมๆ เดินนำกลับไปยังอาคารที่จัดเลี้ยง
“เธอชอบคุณมานานแล้วเหรอคะ...คือปกติฉันก็ออกงานบ่อย ไม่ค่อยตกข่าวในวงสังคมเท่าไหร่ แต่ฉันนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินเรื่องโอลิเวียกับคุณ” เพราตากระซิบถามเบาๆ เป็นภาษาไทยขณะเดินกลับไปยังอาคารจัดเลี้ยง ถึงจะทราบว่าเขาเป็นลูกครึ่งไทยหากเธอก็ไม่เคยคิดจะใช้ภาษาไทยกับเขาเลย ธามผู้เป็นพี่ชายของเขานั้นใช้ภาษาไทยคล่องมาก แต่เท่าที่ได้ยินมาตัวเขาฟังได้ดีแต่พูดไม่คล่อง
“ก็เพิ่งช่วงสองสามเดือนหลัง” เชนตอบตามตรง “ก่อนหน้านี้เราแค่รู้จักกันผ่านๆ แล้วพอดีเราได้นั่งโต๊ะเดียวกันในงานกาล่าดินเนอร์งานหนึ่ง ก็ไม่ค่อยได้คุยกันหรอก ไม่รู้โอลิเวียนึกอะไรขึ้นมาเหมือนกัน”
“สองสามเดือน...เดือนที่แล้วฉันออกเที่ยว ก่อนหน้านั้นก็ทำงานเก็บเงินอยู่ที่เพนตันฮอลล์” หญิงสาวทำท่านึก “อืม งั้นแสดงว่าเรื่องนี้ฉันไม่ได้ความจำเสื่อม ฉันน่าจะไม่เคยได้ยินข่าวคุณจริงๆ”
ดวงตาสีเฮเซลเหลือบมองเสี้ยวหน้าสวยของสาวไทยเงียบๆ...ไม่เพียงโอลิเวียจะหันมาจีบเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หล่อนยังกวาดผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาวนเวียนใกล้เขาทิ้งไปด้วย โดยที่ไม่มีใครต่อกรกับหล่อนได้เลยเพราะลอร์ดเคปปาให้ท้าย ทีแรกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะรำคาญผู้หญิงพวกนั้นอยู่แล้ว ทว่าช่วงหลังมานี้เขาชักรำคาญหล่อนขึ้นมาแล้ว
“ฉันก็ไม่ได้ไม่ถูกกับโอลิเวียหรอกค่ะ คงต้องใช้คำว่าไม่ถูกชะตากันมั้ง” หญิงสาวพูดต่อเมื่อเห็นว่าเขาเงียบ “เจอกันครั้งแรกเธอก็มาทำเบ่งๆ ใส่ฉันน่ะ ไม่รู้ว่าตั้งใจเป็นพิเศษหรือเพราะนิสัยเป็นงั้นอยู่แล้ว แล้วฉันก็เกิดหมั่นไส้ขึ้นมาเลยเอาคืนมั่ง ทีนี้พอดีตอนนั้นแพทริกอยู่ด้วยแล้วเขาก็เข้าข้างฉัน โอลิเวียคงเอาคืนไม่สะดวกมั้ง แล้วตั้งแต่นั้นเราก็เลยไม่ยุ่งกันเท่าไหร่”
เชนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้...เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ ไม่ใช่ว่าโอลิเวียไม่อยากทำอะไรเพราตาหรอก หากหล่อนทำไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะเธอเป็นสมาชิกครอบครัวฟิตซ์สตัน ต่อให้เป็นเพียงลูกเลี้ยงของลอร์ดฟิตซ์สตันและยังใช้นามสกุลไทยอยู่ แต่อย่างไรก็ต้องถือว่าศักดิ์ศรีของเพราตาไม่ได้ด้อยกว่าโอลิเวียเลย ลอร์ดเคปปาถือหางลูกสาวอย่างไร แพทริกก็ถือหางน้องสาวเลี้ยงคนนี้ไม่แพ้กันนั่นแหละ
ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะแกล้งทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเพราตา แต่อย่างน้อยคืนนี้เขาคงใช้เธอกันโอลิเวียออกไปห่างๆ ได้...
Comments
comments
No tags for this post.