บทที่ 330
องครักษ์จินหลินสกัดคนอื่นๆ ที่คิดจะขึ้นเขาไว้หมดทันที
“บุตรสาวข้ายังอยู่บนนั้น เพราะอะไรถึงจะขึ้นไปไม่ได้” เหอซื่อสืบเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่งพลางยืดอกเอ่ย
“ยกเว้นองครักษ์จินหลิน ไม่ว่าเป็นผู้ใดล้วนขึ้นเขาไปไม่ได้” เจียงสืออีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าคนผู้นี้ยังมีเหตุผลหรือไม่” เหอซื่อยกมือเท้าเอวถามไล่เลียงอย่างมีน้ำโห
เจียงสืออีโบกมือไปมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ขึ้นเขา”
พวกเขาองครักษ์จินหลินอาศัยความมีเหตุผลปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เมื่อไร สตรีออกเรือนแล้วนางนี้พูดจาไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย
“ท่านพี่ ท่านดูคนพวกนี้…” เหอซื่อโกรธจนทนไม่ไหวพลางกระตุกแขนเสื้อหลีกวงเหวิน
เจียงหย่วนเฉาก้าวเท้าเข้ามา “หลีฮูหยินมิต้องใจร้อน พวกข้าทำงานตามคำสั่งเบื้องบนเช่นกัน ข้าขอรับรองต่อท่านว่าจะพาคุณหนูหลีไปส่งถึงข้างกายท่านอย่างปลอดภัยแน่นอนขอรับ”
“ขอบคุณ” หลีกวงเหวินกล่าวขอบคุณอย่างขอไปที เขาดึงเหอซื่อมาบอกว่า “พวกเราไปรอที่เพิงบังแดดทางโน้นเถอะ”
อีกฟากหนึ่งของถนนมีเพิงบังแดดหลังใหม่ที่ทั้งใหญ่ทั้งนั่งสบายกว่าเดิม เหอซื่อเป็นคนควักถุงเงินสร้างขึ้นเอง ทุกวันพอสองสามีภรรยาลืมตาตื่นก็จะมาประจำอยู่ที่นี่ตรงตามเวลา
ฉือชั่นยืนนิ่งอยู่ริมถนน ฝ่ายหยางโฮ่วเฉิงโอบไหล่เขา “สือซี พวกเราไปรอในเพิงบังแดดเถอะ ยืนตรงนี้ประเดี๋ยวจะเป็นลมแดดเอาได้”
“เจ้าว่าเสียงระฆังที่ดังมาจากวัดบนภูเขาในคืนนั้น เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย “ไม่รู้สิ ตอนหลังถามเซ่าจือดู เขาไม่ได้พูดอะไรมิใช่หรือ”
ดวงตาที่มองไปทางวัดต้าฝูของฉือชั่นทอประกายเข้มขึ้น “ก็เพราะไม่พูดอะไรทั้งนั้นถึงมีปัญหา”
มาตรว่าตัวเขามีบารมีพอจะทำตามอำเภอใจได้ แต่เขายังรู้จักตนเองดีด้วย ดังเช่นวันนี้องครักษ์จินหลินไม่อนุญาตให้ผู้ใดขึ้นเขา บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าบนนั้นต้องเกิดเรื่องใหญ่มากขึ้น ถึงเขาอยากพบหน้าหลีซานทันทีใจจะขาด แต่ไม่มีทางก่อความวุ่นวายในเวลานี้
จูเยี่ยนกล่าวได้ถูกต้อง เขาหมายจะไขว่คว้าสิ่งที่ตนเองปรารถนาก็ต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้เสียก่อน ทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะกำหนดชะตาชีวิตของตนได้
หลีซาน เจ้าต้องรอข้านะ
“หัวหน้า พวกเราไม่ขึ้นเขาจริงๆ หรือขอรับ” องครักษ์หลายคนรุมถามอยู่รอบตัวเซ่าจือ
เซ่าจือหมุนกายสาวเท้าไปที่ริมถนน เขาเดินไปพูดไป “ไม่ได้ยินที่องครักษ์จินหลินบอกหรือ เบื้องบนสั่งกำชับไว้ อนุญาตให้คนของกององครักษ์จินหลินขึ้นเขาไปเท่านั้น”
“ถือสิทธิ์อันใด ข่าวจากในภูเขาล้วนเป็นท่านแม่ทัพของเราส่งออกมา ตอนนี้ถนนเปิดแล้ว พวกเรายังขึ้นเขาไปรับท่านแม่ทัพลงมาไม่ได้อีก” มีคนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมจำนน
เซ่าจือเงื้อมือฟาดคนผู้นั้นทีหนึ่ง “อย่าพูดจาส่งเดช อยากนำภัยมาให้ท่านแม่ทัพของเราหรือไร”
พวกองครักษ์จินหลินเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ ยิ่งในเวลาเช่นนี้ท่านแม่ทัพยิ่งสมควรวางตัวสงบเสงี่ยม พวกเขาชิงความโดดเด่นให้ผู้เป็นนายชั่วครู่ชั่วยาม ภายหลังจะเป็นต้นเหตุให้ท่านแม่ทัพโดนฮ่องเต้ขึ้นบัญชีหมายหัวไว้ นั่นต่างหากจะได้ไม่คุ้มเสีย
“ไปรอทางโน้น อีกไม่นานท่านแม่ทัพก็ลงมาได้แล้ว”
องครักษ์จินหลินเกือบร้อยคนมาถึงวัดต้าฝูภายใต้การนำของเจียงหย่วนเฉาและเจียงสืออี
ข่าวคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในอารามซูอิ่งกับวัดต้าฝูถูกส่งออกไปทางนกพิราบสื่อสาร เจียงหย่วนเฉาได้รับคำสั่งให้มาสืบคดีให้กระจ่างชัด ขณะที่เจียงสืออีรับหน้าที่อารักขาอู๋เหมยซือไท่ลงเขา
“คุณหนูหลี ไปกันเถอะ” เจียงสืออีเตรียมการให้อู๋เหมยซือไท่เรียบร้อยแล้วจึงเดินมาตรงหน้าเฉียวเจา
นางย่อกายคำนับเซ่าหมิงยวน “แม่ทัพเซ่า ข้าจะลงเขาก่อนแล้ว ด้านเฉินกวงยังไม่เหมาะจะขึ้นลงภูเขาในเวลานี้ ก็ให้เขาพักฟื้นอยู่ในวัดชั่วคราวเถอะเจ้าค่ะ”
นางติดอยู่กลางเขามานานเพียงนี้ ต้องทำให้บิดามารดาและญาติพี่น้องในสกุลหลีเป็นห่วงแล้ว
“คุณหนูหลีค่อยๆ เดิน” เซ่าหมิงยวนมองตามแผ่นหลังที่ห่างออกไปทุกทีๆ ของเด็กสาว ในใจบังเกิดความอิจฉาอยู่หลายส่วน
มีคนห่วงหาอาทร ช่างดีเหลือเกินจริงๆ
“ท่านโหว?” เจียงหย่วนเฉาเลิกคิ้วสูง
เซ่าหมิงยวนดึงสายตาคืนมา กล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ใต้เท้าเจียง พวกเราเข้าไปนั่งลงคุยกันเถอะ”
“ได้” เจียงหย่วนเฉาหยักยิ้ม เขาหันหน้าทอดสายตามองไปไกลๆ ที่แผ่นหลังของเจียงสืออี
ท่านพ่อบุญธรรมคิดอย่างไรกันแน่ หรือว่าเพื่อตัดโอกาสใดๆ ระหว่างข้ากับคุณหนูหลี เลยคิดจะให้เจียงสืออีเข้ามาแทรกกลาง
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ เจียงหย่วนเฉาหัวร่อออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
เขาไม่คิดว่าคุณหนูหลีเป็นสตรีที่จะติดกับ ‘อุบายชายรูปงาม’
อืม ข้าเริ่มตั้งตารอดูเหตุการณ์เจียงสืออีโดนปฏิเสธหน้าม้านเสียแล้ว
เฉียวเจารู้สึกเป็นคราแรกว่าระยะทางลงเขายาวไกลเพียงนี้ ดีที่ปิงลวี่ชวนคุยอยู่ด้านข้างไม่หยุดช่วยฆ่าเวลาได้บ้าง
“คุณหนู เฉินกวงจะลงเขาได้เมื่อไรเจ้าคะ”
“หือ?”
สาวใช้น้อยหน้าแดง “ก็เขาเป็นสารถีของคุณหนูนี่นา ไม่กลับจวนเสียที วันหน้าคุณหนูออกไปข้างนอกจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
เจียงสืออีที่เดินอยู่ไม่ไกลนักเบือนหน้ามาเอ่ยถามอย่างเย็นชา “คุณหนูหลีต้องการสารถีหรือ”
ท่านพ่อบุญธรรมกำชับไว้ว่าไม่ว่าคุณหนูหลีประสงค์สิ่งใด ขอแค่อยู่ในขอบเขตเหมาะสม ให้เขาตอบสนองความต้องการของนางอย่างสุดความสามารถ
“เกี่ยวอะไรกับท่านด้วย” ปิงลวี่กลอกตาขึ้นพร้อมเอ่ย องครักษ์จินหลินผู้นี้คงไม่ผิดปกติกระมัง นี่คิดจะแย่งหน้าที่สารถีกับเฉินกวงของนางรึ
เฉียวเจารู้สึกว่าแปลกชอบกลเช่นกัน คงเพราะนางไม่ถูกโฉลกกับองครักษ์จินหลิน ก่อนหน้านี้เจียงหย่วนเฉาจับตาดูแม่นางน้อยเช่นนางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เป็นต้นเหตุให้ตัวตนของนางเกือบถูกเปิดเผยออกมา บัดนี้มีเจียงสืออีโผล่มาอีกคน ถึงแม้เขาชอบทำหน้าเย็นชาเสมอ แต่ดูเหมือนจำนวนครั้งที่ปรากฏตัวเบื้องหน้านางก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่จำเป็น ข้ามีสารถีแล้ว” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อ้อ” เจียงสืออีขานตอบคำหนึ่งอย่างสั้นกระชับ
อย่างนั้นเขาไม่ต้องไปหาสารถีพอดี หวังว่าคุณหนูหลีจะไม่สร้างความวุ่นวายให้เช่นนี้ไปตลอดได้จึงจะดี
ว่าไปแล้วท่านพ่อบุญธรรมมอบหมายงานน่าเบื่อพรรค์นี้ให้เขาด้วยเหตุใดกัน ทั้งที่เขาช่ำชองการสอบปากคำมากกว่าเจียงสือซานแท้ๆ หรืออย่างเช่นเอาแส้แช่น้ำเกลืออะไรทำนองนี้ต่างหากถึงเป็นความถนัดของเขา
เฉียวเจานิ่งเงียบตลอดทางจนลงไปถึงเชิงเขา นางเหลียวซ้ายแลขวายังมองหาพวกหลีกวงเหวินไม่พบ ก็ถูกเหอซื่อถลาเข้ามากอดไว้หมับ
“เจาเจาของข้า แม่ได้เจอหน้าเจ้าเสียที ฮือๆๆ…”
“ฮูหยิน ท่านขวางทางอยู่” เจียงสืออีเอ่ยเตือนเสียงเย็นๆ
ปิงลวี่ลอบเบะปากแล้วบ่นอุบอิบ “ไม่เคยเห็นพวกทำลายบรรยากาศเฉกนี้”
เจียงสืออีมองนางด้วยสีหน้าเฉยชา
สาวใช้น้อยรู้สึกหนังศีรษะชาวาบอย่างปราศจากสาเหตุ นางไม่กล้ากล่าววาจาใดแล้ว
“ท่านแม่ พวกเรากลับเรือนแล้วค่อยคุยกันเถอะ” เฉียวเจาไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตา นางจึงเปล่งเสียงเอ่ยเตือนขึ้น
“ใช่ๆ กลับเรือน พวกเรากลับเรือนกัน หลายวันมานี้ท่านย่าเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะ ท่านเฝ้ารอเจ้ากลับไปอยู่นานแล้ว” เหอซื่อคล้องแขนกับบุตรสาวเดินไปหาหลีกวงเหวิน
“คุณหนูหลี คุณหนูเจียงเป็นห่วงท่านมาก อยากเชื้อเชิญท่านไปเป็นแขกที่จวนสกุลเจียง” เจียงสืออีหยิบเทียบใบหนึ่งยื่นส่งให้
เฉียวเจายื่นมือไปรับมา “ฝากขอบคุณคุณหนูเจียงแทนข้าด้วย”
เหอซื่อเห็นบุตรสาวรับเทียบเชิญไว้ก็อดร้อนใจไม่ได้ นางบีบแขนเฉียวเจาทีหนึ่งค่อยกล่าวว่า “เจาเจา สีหน้าเจ้าดูไม่ดีอย่างมาก รีบตามแม่กลับเรือนโดยไว จะได้เชิญหมอสักคนมาตรวจอาการเจ้าอย่างละเอียด”
นางกล่าวถ้อยคำนี้แล้วไม่รอดูว่าเจียงสืออีจะมีท่าทีเช่นใด ก็ฉุดเฉียวเจาขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ริมถนน
หลีกวงเหวินลูบๆ จมูกอย่างกระอักกระอ่วน
เขายังรอบุตรสาวโผมาซบอกร่ำไห้ด้วยความยินดีอยู่ ผลปรากฏว่านางยังมิได้เรียก ‘ท่านพ่อ’ สักคำก็ถูกภรรยาพาขึ้นรถม้าไปเลย ช่างน่าขุ่นใจจริงๆ
เมื่อเห็นรถม้าค่อยๆ แล่นห่างไปไกลขึ้นทุกที หยางโฮ่วเฉิงสะกิดฉือชั่นอย่างฉงนใจ “สือซี ไฉนเมื่อครู่นี้เจ้าไม่เข้าไปล่ะ”
ฉือชั่นขึงตาใส่เขา “เวลานี้เข้าไปด้วยเหตุใดกัน ข้าไม่ได้เบาปัญญาสักหน่อย”
ถ้ามีแต่หลีซานก็แล้วกันไป ตอนนี้บิดามารดาของนางล้วนอยู่ด้วย เขาน่ะเป็นชายหนุ่มแสนประเสริฐที่สุภาพและเคร่งครัดธรรมเนียมนะ
บทที่ 331
หยางโฮ่วเฉิงงุนงงยิ่งขึ้น “แล้วทุกวันที่เจ้ามารอคอยที่นี่เช้าจรดเย็นเพื่ออะไรกัน หรือว่าเพื่อมองแวบเดียว”
“มองแวบหนึ่งให้แน่ใจว่านางปลอดภัยไม่เป็นอันตรายแล้วไม่พอหรือ” ฉือชั่นหมุนกายมาอย่างมาดมั่น ยกมือตบไหล่สหายรัก “ไปเถอะ ไปดื่มสุรากัน”
“แล้วทางคุณหนูหลี…”
“พรุ่งนี้ไปรอนางที่จวนของถิงเฉวียน” ฉือชั่นพลิกกายขึ้นหลังม้า
“พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าเวร”
ฉือชั่นชายตามองเขา “เจ้าไม่จำเป็นต้องไปด้วยนี่”
หยางโฮ่วเฉิง “…” จะเห็นสตรีดีกว่าสหายก็ไม่ต้องถึงขั้นนี้กระมัง
จากนั้นทั้งคู่ก็ขี่ม้าออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างทางกลับจวน เหอซื่อจับมือเฉียวเจาพลางมองดูนางไม่วางตาอยู่ตลอด มองไปก็น้ำตาไหลไป “เจ้าลูกผู้นี้ ไม่ยอมให้แม่เบาใจจริงๆ”
เฉียวเจาแปลบปลาบในอก นางกอดแขนมารดาพลางพูดเสียงอ่อนๆ “ท่านแม่ ขออภัยเจ้าค่ะที่ทำให้ท่านเป็นห่วง”
“แค่ก” หลีกวงเหวินปั้นหน้าตึงกระแอมกระไอเสียงหนึ่ง
“ยังมีท่านพ่อด้วย ลูกไม่ดีเองเจ้าค่ะ” ในใจเฉียวเจารู้สึกผิดเต็มเปี่ยม หากที่มากกว่าคือจนใจ
นางสุดปัญญาจะเป็นหลีเจาได้อย่างหมดหัวใจ อีกทั้งหลีเจาตัวจริงจากไปแต่แรกแล้ว สิ่งที่นางกระทำได้คือไม่ปล่อยให้ชาวสกุลหลีถูกทำร้ายเพราะนาง และทำให้พวกเขาอยู่ดีมีสุขมากขึ้นอย่างเต็มความสามารถ
“ข้าไม่ได้เดินหมากตั้งนานแล้ว” หลีกวงเหวินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“กลับถึงจวน ข้าเดินหมากกับท่านพ่อนะเจ้าคะ”
“ในห้องหนังสือข้ายังขาดภาพวาดภาพหนึ่ง”
“ข้าวาดภาพขุนเขาวสันต์กลางม่านหมอกฝนให้ท่านพ่อดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลีกวงเหวินถึงแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาล้วงห่อกระดาษเคลือบมันในแขนเสื้อออกมายื่นส่งให้ “เนื้อรมควัน หลายวันมานี้อยู่ในภูเขาได้กินแต่อาหารมังสวิรัติ คงอยากกินแล้วกระมัง”
“ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ” เฉียวเจาได้กลิ่นหอมของเนื้อรมควันพลันหวนประหวัดถึงไก่ย่างที่กินตรงท้ายป่าไผ่คืนนั้น
อืม ไก่ย่างตัวนั้นรสชาติดีมาก น่าเสียดายที่วันหน้าไม่มีโอกาสได้กินแล้ว
รถม้าแล่นตะบึงไปตามถนน พอมันหยุดจอดตรงหน้าประตูจวนสกุลหลี ข่าวก็แพร่ไปถึงฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
“ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง คุณหนูสามกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ” หญิงชราลุกพรวดขึ้นแล้ววิงเวียนระลอกหนึ่งกะทันหัน นางล้มลงนั่งกลับไปบนเก้าอี้ไท่ซือ
“ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง ท่านเป็นอะไรไป…”
เฉียวเจายังไม่เข้าเรือนก็ได้ยินว่าท่านย่าไม่สบาย นางรีบเร่งยกชายกระโปรงวิ่งเข้าไป
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกลับเป็นปกติแล้ว นางแลมองหลานสาวที่วิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อนก็กล่าวยิ้มๆ “เจาเจาเอ๊ย วิ่งช้าๆ หน่อย”
เฉียวเจาคุกเข่าลงโขกศีรษะให้นางทีหนึ่ง “ท่านย่า หลานกลับมาแล้วเจ้าค่ะ หลานอกตัญญู หลายวันมานี้ทำให้ท่านต้องเป็นห่วง”
“กลับมาก็ดีแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโบกมือบอกให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป
“หลานเจาซูบลง” นางมองสำรวจเฉียวเจาขึ้นๆ ลงๆ ก่อนเอ่ยกับเหอซื่อ “สะใภ้ใหญ่ เจ้าไปสั่งเรือนครัวทำอาหารชั้นเลิศหลายๆ อย่าง วันนี้พวกเรากินข้าวพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวสักมื้อ”
“เจ้าค่ะ ข้าไปเดี๋ยวนี้เลย” เหอซื่อออกไปอย่างปีติยินดีเต็มอก
เฉียวเจาหลุบตาลง มุมปากนางยกโค้งขึ้น ท่านแม่ยังคงพาซื่อเช่นนี้ดุจเก่า
เฉียวเจาคิดไม่ผิด ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอ้างเหตุผลให้เหอซื่อออกไปย่อมมีเรื่องจะพูดเป็นธรรมดา
“มา มานั่งข้างๆ ท่านย่านี่”
เด็กสาวนั่งลงอย่างเชื่อฟัง
“เจาเจา เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่วัดต้าฝูหรือ”
เสียงระฆังคืนนั้นทำให้คนทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนคาดเดาไปต่างๆ นานากันเซ็งแซ่
แม้ว่าองครักษ์จินหลินสั่งกำชับมิให้แพร่งพรายเรื่องของอารามซูอิ่งต่อคนภายนอก แต่เฉียวเจาไม่คิดจะปิดบังฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
นางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้คร่าวๆ รอบหนึ่ง ส่วนหญิงชรารับฟังด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
“ยังดีที่เจ้าไม่เป็นไร ผู้ใดจะคาดคิดว่าในวัดต้าฝูกับอารามซูอิ่งจะมีคนกล้าก่อเรื่องเข่นฆ่าสังหารคน เจาเจา วันหน้าไม่ต้องไปแล้วกระมัง”
“อื้อ ไม่ไปแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโล่งอก นางกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “วันหน้าอยู่เรือนแล้วอุดอู้เบื่อหน่าย พวกเราก็ไปเดินเที่ยวในเมืองกัน”
“ดีเจ้าค่ะ ข้าเชื่อฟังท่านย่า” เฉียวเจาพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย “ท่านย่า ท่านให้ข้าตรวจดูสักหน่อยนะเจ้าคะ เมื่อครู่ท่านไม่ค่อยสบายมิใช่หรือ”
“คนแก่คนเฒ่าเป็นเช่นนี้ล่ะ ไม่เป็นอะไรมาก” ถึงฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกล่าวคำนี้ นางก็ยังคงยื่นข้อมือออกไป
เฉียวเจาจับชีพจรของนางแล้วคลายใจลงได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอาจอิดโรยบ้าง แต่สุขภาพยังแข็งแรงดี
“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร สมัยวัยสาวท่านย่าเคยทำไร่ไถนาด้วยซ้ำไป ไม่ใช่ยายเฒ่าที่เสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองพวกนั้น” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดพลางขยิบตา พยักพเยิดคางไปทางทิศตะวันออก “กลับเป็นท่านย่าใหญ่ของเจ้า ดวงตาของนางนับวันยิ่งอาการแย่ลง พักก่อนยังมาเลียบเคียงถามข้าว่าเจ้ารักษาเจ้าเดรัจฉานน้อยของตระกูลฉางชุนป๋อหายได้เช่นไร”
เฉียวเจาได้ยินแล้วสะดุดใจวูบ นี่ท่านเซียงจวินของจวนตะวันออกพุ่งเป้ามาที่นางแล้วหรือ ยังดีที่ผู้รู้วิชาแพทย์มีข้อดีอยู่จุดหนึ่ง ปฏิเสธว่ารักษาไม่เป็น ผู้ใดก็หมดปัญญา
“เจาเจา เจ้ากลับไปชำระกายผลัดอาภรณ์ก่อนเถอะ ประเดี๋ยวถึงเวลากินอาหารค่อยให้พวกสาวใช้ไปตามเจ้า”
“เช่นนั้นข้าขอตัวเจ้าค่ะ”
ยามเฉียวเจากลับถึงเรือนเล็กฝั่งซ้าย อาจูสาวเท้าเร็วรี่เข้ามาต้อนรับ “คุณหนู…”
สาวใช้ผู้สุขุมเป็นนิจจับแขนเสื้อนางไว้ด้วยสองตาแดงเรื่อ
เฉียวเจานั้นนับได้ว่าเฉียดกรายประตูนรกมาหนหนึ่ง นางตบหลังมืออาจูอย่างสะทกสะท้อนใจ “ไม่เป็นไร ทุกอย่างผ่านไปหมดแล้ว”
ปิงลวี่ยื่นมือไปสวมกอดอาจูไว้เต็มสองแขน ส่งผลให้นางตะลึงงันไป “ปิงลวี่?”
“อื้อ จู่ๆ รู้สึกว่าเห็นเจ้าแล้วถูกตากว่าพวกพระหัวโล้นในวัดต้าฝูพวกนั้นตั้งเยอะเลย”
อาจูอึ้งงัน “…”
เมื่อเฉียวเจาชำระกายอย่างจุใจและสวมเสื้อกับกระโปรงชุดใหม่สบายตัวแล้ว ถึงได้หยิบเทียบเชิญที่เจียงสืออีมอบให้นางออกมาดู
เฉียวเจาไม่คิดว่าเทียบใบนี้เป็นเจียงซือหร่านส่งให้ตน ในความคิดของนางน่าจะเป็นเจียงถังอ้างบุตรสาวบังหน้าเพื่อจะพบนาง จึงคิดไม่ถึงว่าหลังอ่านแล้วถึงล่วงรู้ว่านางคาดเดาผิดไป
เจียงซือหร่านเป็นคนออกเทียบใบนี้จริงๆ สถานที่นัดพบคือจวนสกุลเจียง
ตอนเจอกันคราวนั้นคุณหนูเจียงอยากสับนางเป็นชิ้นๆ ใจจะขาด ตอนนี้กลับออกเทียบเชิญนาง?
“คุณหนู ท่านดูเทียบใบนี้ด้วยเหตุใดเจ้าคะ คงไม่คิดจะไปจริงๆ กระมัง ท่านอย่าได้คิดไม่ตกเป็นอันขาด คุณหนูเจียงมิใช่คนดี” ปิงลวี่เห็นเจียงสืออียัดเยียดเทียบให้เฉียวเจากับตา นางอดเอ่ยเตือนขึ้นไม่ได้
“ยังไม่เคยไปเดินเที่ยวจวนท่านผู้บัญชาการใหญ่กระมัง พรุ่งนี้ข้าพาเจ้าไปด้วยกัน” เฉียวเจาบอกพร้อมรอยยิ้มพริ้มพราย
เทียบเชิญเป็นเจียงสืออีมอบให้นางแสดงว่าเจียงถังรู้เรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นต่อให้นางบอกปัดครั้งนี้ อย่างไรก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้เผชิญหน้าตรงๆ มีปัญหาอะไรก็รีบสะสางโดยไวดีกว่า
“ท่านจะไปจริงๆ หรือเจ้าคะ ถ้าเกิดคุณหนูเจียงกลั่นแกล้งท่านจะทำฉันใด”
“มีปิงลวี่อยู่ทั้งคนไม่ใช่หรือ” เฉียวเจากระเซ้านาง
สาวใช้น้อยฟังแล้วโลหิตในกายฉีดพล่านทันที นางเดินไปข้างนอกพลางเอ่ย “คุณหนู ข้าออกไปซ้อมมวยชุดหนึ่งค่อยมาปรนนิบัติท่านนะเจ้าคะ”
ข้าต้องตั้งใจฝึกวรยุทธ์ จะได้คุ้มครองคุณหนู!
วันนี้เหล่าชาวจวนตะวันตกชุมนุมตัวที่เรือนชิงซงกินอาหารพร้อมหน้ากันอย่างสนุกครึกครื้น แม้แต่คุณหนูใหญ่หลีเจี่ยวซึ่งมิได้ย่างเท้าออกนอกประตูห้องมานานยังปรากฏตัวด้วย
ถึงแม้สายตาคับข้องของหลีเจี่ยวจะมองมาที่ตัวหลีเจาบ่อยๆ แต่นางกลับไม่สะดุ้งสะเทือนสักน้อยนิด ยังคงกินอาหารได้อย่างสบายใจยิ่ง จากนั้นเหอซื่อชวนนางไปพักผ่อนในเรือนกลางของเรือนหยาเหอ
ฝ่ายหลีกวงเหวินหลบไปที่ห้องหนังสือเงียบๆ
เมื่อก่อนข้านอนในห้องหนังสือมาได้ตั้งนานหลายปี ไฉนเพิ่งไม่ได้นอนที่นี่ไม่กี่วันก็รู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้างนะ
นายท่านใหญ่ของสกุลหลีคิดคำนึงอย่างเศร้าสร้อย ขณะเอนกายอยู่บนตั่งขาเตี้ยแข็งกระด้าง
วันถัดมาเฉียวเจาแต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมพรักแล้วไปตามนัดหมายที่จวนสกุลเจียง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.