X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่านหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม 5 บทที่ 334-บทที่ 335

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 334

“จากข่าวที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของกวนจวินโหวสืบมาได้ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กับหลันซื่อฮูหยินของมู่เอินป๋อสนิทสนมกันมาก ฤดูหนาวปีกลายคุณหนูใหญ่ของจวนมู่เอินป๋อล้มป่วยจากไป อาการของนางคล้ายคลึงกับอาการตอนพิษหอมสูญกำเริบ”

“คุณหนูใหญ่ของจวนมู่เอินป๋อแซ่เฉิงใช่หรือไม่เจ้าคะ” เฉียวเจาไต่ถาม

เฉียวโม่ผงกศีรษะ “น้องเจารู้จักคุณหนูเฉิงหรือ”

“เคยได้ยินเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่สกุลเฉิงเดิมเป็นหัวหน้าชุมนุมฟู่ซาน”

ตอนที่นางคิดจะเข้าร่วมชุมนุมฟู่ซานนั้นเคยสืบความเป็นมาของชาวชุมนุมคนสำคัญๆ ไว้โดยเฉพาะ และได้รู้เรื่องของหัวหน้าชุมนุมฟู่ซานเป็นคนแรก

คุณหนูเฉิงคือบุตรสาวคนโตสายเลือดภรรยาเอกของมู่เอินป๋อ ทว่ามารดาบังเกิดเกล้าด่วนจากไป ถึงกระนั้นนางโฉมงามดุจบุปผา มีความสามารถล้นเหลือ ไม่ต้องเอ่ยถึงอื่นใดเพียงดูจากว่านางได้เป็นหัวหน้าชุมนุมฟู่ซานทั้งที่ในเมืองหลวงมีสตรีโดดเด่นอยู่เกลื่อนกล่นก็พอจะบ่งบอกได้ทุกสิ่งแล้ว เพียงน่าเสียดายที่หญิงงามมักอาภัพ คุณหนูเฉิงยังไม่ออกเรือนก็ต้องลาลับโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร

หลันซื่อฮูหยินคนปัจจุบันของมู่เอินป๋อเป็นภรรยาคนที่สอง นางคือบุตรสาวคนเล็กของสมุหราชเลขาธิการหลันซาน

“จะอาศัยแค่ว่าเหมาซื่อกับฮูหยินของมู่เอินป๋อสนิทสนมกัน และอาการป่วยของคุณหนูเฉิงคล้ายกับตอนพิษหอมสูญกำเริบ ก็ยืนยันว่าฮูหยินของมู่เอินป๋อเป็นคนจัดหาพิษหอมสูญมาให้เหมาซื่อได้แล้วหรือ อย่าลืมว่าอาการตอนพิษหอมสูญกำเริบไม่ต่างจากโดนลมเย็นเท่าไรนะเจ้าคะ” แม้นเฉียวเจาเชื่อถือในการสืบข่าวของเซ่าหมิงยวน ยังชี้ข้อน่าสงสัยขึ้น

“เจาเจา ไม่ว่าอย่างไรนางคือท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเรา เอาแต่เรียกว่าเหมาซื่อ…”

“พี่ใหญ่ลืมไปหรือว่าตอนนี้ข้าคือหลีเจา เดิมทีนางก็มิใช่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของข้าแล้ว”

เมื่อไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายโลหิตแล้ว สำหรับญาติพี่น้องในอดีตนางดูแต่ความรักใคร่ผูกพันเท่านั้น หากเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึกรักใคร่ผูกพันกันและถึงขั้นปองร้ายพี่ชายของนาง จะนับเป็นป้าสะใภ้อะไรอีก

“เจ้านี่นะ” เฉียวโม่ยกมือยีหัวน้องสาว เขาพูดกลับเข้าเรื่องเดิม “ไม่ใช่เท่านี้แน่นอน น้องเจารู้หรือไม่ว่าจวนมู่เอินป๋อมีอะไรโด่งดังมากที่สุด”

“พี่ใหญ่โปรดชี้แนะสอนสั่งเจ้าค่ะ” เห็นพี่ชายไม่ติดใจกับคำที่ตนใช้เรียกขานเหมาซื่ออีก เฉียวเจาอารมณ์ดีพอดู นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มละไม

“จวนมู่เอินป๋อมีชื่อโด่งดังที่สุดคือโรงหมอจี้เซิง ตกทอดต่อๆ กันมานานนับหลายร้อยปี ในช่วงระหว่างนี้สกุลเฉิงประสบผ่านความรุ่งเรืองตกต่ำสลับกันไปจนกระทั่งราชวงศ์นี้มีคนในตระกูลได้เป็นฮองเฮา ถึงนับว่าย่างกลับเข้าสู่หมู่ชนสูงศักดิ์อีกคราหนึ่ง แต่มีเพียงโรงหมอจี้เซิงที่ยืนหยัดมั่นคงเรื่อยมา”

“ข้าก็เคยได้ยินได้ฟังเรื่องพวกนี้มาบ้างเล็กๆ น้อยๆ เจ้าค่ะ” เฉียวเจาขบคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เกี่ยวข้องกับโรงหมอจี้เซิง?”

เฉียวโม่พยักหน้า “น้องเจารู้อยู่แล้วว่าพิษหอมสูญเป็นของหายากมาก ย่อมไม่มีตามโรงหมอทั่วไป ตอนผู้ใต้บังคับบัญชาของกวนจวินโหวสืบสาวไปถึงโรงหมอจี้เซิง พบว่ามีหมอแซ่หานผู้หนึ่งมาจากทิศใต้ เวลานั้นหมอหานผู้นั้นมาขออาศัยครอบครัวที่เป็นญาติห่างๆ ผลปรากฏว่าไม่ถึงหนึ่งปี คนในครอบครัวของญาติห่างๆ ท่านนั้นทยอยกันตายเพราะอาการโดนลมเย็น…”

เฉียวเจาได้ยินแล้วโคลงศีรษะ โดนลมเย็นอาจคร่าชีวิตคนได้ แต่คนทั้งครอบครัวตายด้วยอาการโดนลมเย็นไปทีละคนนี้พบได้ไม่มากนัก

“หมอหานท่านนั้นได้รับทรัพย์สมบัติของครอบครัวญาติห่างๆ ไปแล้วเปิดโรงหมอแห่งหนึ่ง น่าเสียดายที่โชคไม่ดี เปิดไม่ถึงสองปีก็พลั้งมือรักษาคนป่วยที่มาจากตระกูลผู้มีอำนาจตายไปคนหนึ่ง โรงหมอเลยโดนคนทุบพัง ตัวเขาเองก็ถูกตีขาหักข้างหนึ่ง ต่อมาฮูหยินของมู่เอินป๋อเป็นคนช่วยจัดการให้เขาเข้าไปอยู่ในโรงหมอจี้เซิง…” เฉียวโม่เล่าเรื่องที่สืบเสาะมาได้ให้น้องสาวฟังอย่างละเอียด “ขณะนี้เกือบมั่นใจได้แล้วว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่ได้พิษหอมสูญมาจากฮูหยินของมู่เอินป๋อ แต่ยังไม่ได้หลักฐานมัดตัวมาไว้ในมือ เพื่อไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเลยยังไม่แตะต้องหมอผู้นั้นในเวลานี้”

“สืบเรื่องพวกนี้ได้ในเวลาสั้นๆ เท่านี้ก็หาได้ยากมากแล้วเจ้าค่ะ”

หมู่นี้เกิดเรื่องขึ้นต่อๆ กันไม่หยุดหย่อน นางคิดไม่ถึงเลยว่าเซ่าหมิงยวนจะสืบพบเบาะแสได้รวดเร็วเพียงนี้

“พี่ใหญ่ เช่นนี้แสดงว่าคนที่อยากเล่นงานท่านจริงๆ คือสมุหราชเลขาธิการหลันซานหรือเจ้าคะ”

เฉียวโม่ถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “บางทีกระมัง สิงอู่หยางแม่ทัพคั่งวอนั้นใกล้ชิดกับหลันซานอยู่แต่เดิม เขาคิดจะเล่นงานข้าก็มิใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ข้ากำลังคิดว่าต่อให้ได้หลักฐานมัดตัวมาแล้วไปวางเบื้องพระพักตร์โอรสสวรรค์ สุดท้ายอาจไม่เกิดผลลัพธ์อะไรก็เป็นได้”

สมุหราชเลขาธิการหลันซานอยู่ในราชสำนักใช้มือเดียวปิดฟ้ามาเกือบยี่สิบปี หากบอกว่าในกาลก่อนเขาคิดว่าฮ่องเต้โดนขุนนางโฉดปิดหูปิดตา เช่นนั้นหลังได้พบปะกับโอรสสวรรค์พระองค์นี้อย่างใกล้ชิด และประสบกับเคราะห์ภัยโดนจองจำครั้งหนึ่ง เขาค่อยๆ ตาสว่างแล้วว่าไม่มีฮ่องเต้หมิงคังให้ท้าย หลันซานจะกุมอำนาจไว้ผู้เดียวได้อย่างไร

“อยากได้หลักฐานมัดตัวนั้นยากมากเจ้าค่ะ” เฉียวเจาเอ่ยปากพูด

หมอหานผู้นั้นเป็นคนของฮูหยินของมู่เอินป๋อ ต้องไม่ทิ้งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรใดๆ ไว้เป็นแน่ และถึงเขารับสารภาพ เพียงอาศัยคำให้การข้างเดียว อย่าว่าแต่จะสั่นคลอนตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการของหลันซาน ถึงอยากจัดการหลันซื่อฮูหยินของมู่เอินป๋อก็ยังปราศจากหนทางใด

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต่อให้มีหลักฐานมัดตัวก็ตามที อาจเป็นดั่งเช่นที่พี่ใหญ่กังวลใจว่าฮ่องเต้เต็มใจจะแตะต้องหลันซานหรือไม่ยังบอกได้ยากยิ่ง

“เรื่องนี้เจ้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็พอ เจาเจา ไหนเล่ามาบ้างสิว่าเจ้าอยู่ในภูเขาหลายวันนั้นพบเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง”

“เขาไม่ได้บอกกับพี่ใหญ่หรือเจ้าคะ”

เฉียวโม่ยิ้มน้อยๆ “เขาน่ะใครรึ”

เฉียวเจามองพี่ชายตาขุ่น “พี่ใหญ่ ข้าพูดจริงจังเจ้าค่ะ”

“เขาย่อมไม่บอกอะไรมากแน่นอน จะอย่างไรในสายตาเขาเจ้าคือหลีเจา เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังมากไปไม่เหมาะ”

แม้ว่าพี่ชายจะพูดไปตามเนื้อผ้าด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง แต่เฉียวเจารู้สึกว่าเขากำลังสัพยอกตนอยู่อย่างไรชอบกล นางทำหน้าตึงกล่าวว่า “ตกลงพี่ใหญ่อยากรู้เรื่องในภูเขาหรือไม่เจ้าคะ”

“อยากรู้สิ น้องเจาอย่าโมโหเลยนะ”

“ข้าไม่ได้โมโห”

“ได้ๆ ไม่โมโห เจาเจารีบเล่าเถอะ”

เฉียวเจาเล่าโดยเลือกส่วนที่เล่าได้ให้เฉียวโม่ฟัง

ครั้นเห็นว่าใกล้เที่ยงวันรอมร่อ เซ่าหมิงยวนยังไม่กลับมา นางจึงเอ่ยสั่งปิงลวี่ “เจ้ากลับไปที่จวนก่อน บอกให้อาจูนำยาลบรอยแผลไปส่งให้ที่จวนสกุลเจียงที”

ฝ่ายเจียงซือหร่านตั้งตารอคอยอยู่ตลอดนับแต่เฉียวเจากลับไป นางรอแล้วรอเล่าก็ยังไม่ได้รับของเสียที ครั้นถือแส้ตั้งท่าจะไปคิดบัญชีกับเฉียวเจา ทางจวนสกุลหลีก็ส่งของมาให้ในที่สุด

นางเอายาลบรอยแผลเข้าไปที่วังหลวง

องค์หญิงเจินเจินได้ยินว่าเจียงซือหร่านมาหา รีบเชิญนางเข้ามาอย่างอดใจรอไม่ไหว

“ซือหร่าน ได้ข่าวของหมอเทวดาหลี่แล้วใช่หรือไม่”

เจียงซือหร่านกระอักกระอ่วนใจอยู่สักหน่อย “ยังไม่มีข่าวของหมอเทวดาหลี่ แต่ข้านำของสิ่งนี้มาให้เจ้า”

องค์หญิงเจินเจินพิศดูกล่องหยกใบเล็กกะทัดรัดที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ “นี่คืออะไรหรือ”

“ยาของหมอเทวดาหลี่ ลบรอยแผลได้”

ในดวงตาขององค์หญิงเจินเจินมีแววผิดหวังผุดขึ้นลึกๆ นางลูบใบหน้าเบาๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “บนหน้าข้านี้มิใช่บาดแผลนะ”

นางไม่สมควรตั้งความหวัง แต่ไรมาเจียงซือหร่านถูกประคบประหงมเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ยามพบปัญหายังต้องให้คนอื่นสะสางให้ ไหนเลยจะช่วยนางได้จริงๆ

“ซือหร่าน ความหวังดีของเจ้าข้าขอรับไว้ด้วยใจ ทว่ายานี้ข้าคงไม่ได้ใช้…”

“อย่างไรก็ต้องลองดูสิ นี่น่ะเป็นยาของหมอเทวดาหลี่เชียวนะ ไม่แน่ว่าอาจรักษาอาการเนื้อเน่าบนหน้าเจ้าได้ผล”

ได้ยินอีกฝ่ายคะยั้นคะยอเช่นนี้ องค์หญิงเจินเจินชักสองจิตสองใจ

เจียงซือหร่านยอมลดศักดิ์ศรีขอยากล่องนี้มาจากเฉียวเจา ย่อมหวังว่ามันจะใช้ประโยชน์ได้แน่นอน ด้วยเหตุนี้นางพูดกล่อมต่อ “เจินเจิน เจ้าคิดดู ยาของหมอเทวดามีเงินพันชั่งก็ยังหาไม่ได้ ถึงอย่างไรหน้าเจ้ากลายเป็นเช่นนี้แล้ว ถึงใช้แล้วไม่ได้ผล คงไม่หนักหนาไปกว่านี้กระมัง”

สองเค่อผ่านไป เจียงซือหร่านเห็นองค์หญิงเจินเจินที่ทายาแล้วตะลึงงันไปโดยสิ้นเชิง

แย่แล้ว อาการหนักขึ้นจริงๆ!

บทที่ 335

“ซือหร่าน เป็นอะไรไป” พอเห็นเจียงซือหร่านจ้องหน้าตนเองจนตาค้างไม่เปล่งเสียงพูด องค์หญิงเจินเจินเฉลียวใจทันใด ตะเบ็งเสียงบอก “คันฉ่อง! เอาคันฉ่องมาให้ข้า”

ตำหนักบรรทมอันใหญ่โตกลับหาคันฉ่องตามจุดต่างๆ ที่มองเห็นได้ไม่พบสักอัน

“หลันฟาง เอาคันฉ่องมาให้ข้า”

นางกำนัลหลันฟางหยิบคันฉ่องออกมาอย่างตัวสั่นงันงก

เจียงซือหร่านแย่งคันฉ่องมาไว้ในมือก่อน นางกล่าวอึกๆ อักๆ “เจินเจิน…เจ้าอย่าดูดีกว่า…”

องค์หญิงเจินเจินมองนางนิ่งๆ เผยรอยยิ้มหม่นหมอง “ซือหร่าน เจ้าบอกเองว่าไม่มีทางอาการหนักไปกว่าเดิมกระมัง”

นางยื่นมือไปจับคันฉ่อง แต่เจียงซือหร่านกำมันไว้แน่นไม่คลายมือออก

อาการหนักขึ้นจริงๆ นี่นา ทำอย่างไรดี เจินเจินเห็นแล้วต้องรับไม่ได้แน่ๆ!

“ซือหร่าน ปล่อยมือสิ” องค์หญิงเจินเจินออกแรงแย่งคันฉ่องมามองปราดเดียว นางก็ไม่รับรู้อะไรอีกทั้งนั้น ในหัวสมองอึงอลว่างเปล่า ละม้ายโดนฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อมดังเปรี้ยง

“เจินเจิน เจ้าเป็นอะไรไป เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจนะ” เจียงซือหร่านรู้สึกผิดเหลือจะกล่าว นางเขย่าแขนขององค์หญิงเจินเจินที่ตัวแข็งทื่อไปแล้ว

ผ่านไปนานพักใหญ่องค์หญิงเจินเจินกะพริบตาทีหนึ่ง หยาดน้ำตาใสก็ไหลลงอาบสองแก้ม “ซือหร่าน ยานี้เป็นหมอเทวดาหลี่ปรุงขึ้นจริงๆ ใช่หรือไม่ เจ้าได้มาจากที่ใด”

“ข้า…” เจียงซือหร่านอ้าปากออก จากนั้นหน้าถอดสีไปถนัดตา “ข้ารู้แล้ว ต้องเป็นคนแซ่หลีกลั่นแกล้งข้าแน่”

“หมายความว่าอะไร” องค์หญิงเจินเจินถามด้วยน้ำเสียงชืดชา

เจียงซือหร่านยกมือเช็ดหางตาทีหนึ่งแล้วพูดรัวเร็ว “ยานี้เป็นหลีซานมอบให้ข้า นางบอกว่าเป็นยาของหมอเทวดาหลี่ นางต้องหลอกข้าแน่นอน ข้ายังโง่งมหลงเชื่อไปได้”

นางกระทืบเท้าแล้วกล่าวทิ้งท้ายคำหนึ่งก่อนหมุนกายออกเดินไป “เจินเจิน เจ้าคอยดูนะ ข้าจะไปคิดบัญชีกับนาง”

องค์หญิงเจินเจินรั้งตัวสหายรักไว้ นางยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “ข้าเป็นเช่นนี้ไปแล้ว คิดบัญชีจะมีประโยชน์อันใดเล่า ขืนให้ผู้อื่นรู้ว่าข้าอยู่ในสภาพนี้ จะไม่อับอายขายหน้ามากขึ้นอีกหรือ”

นอกจากเจียงซือหร่านกับคนในวัง ตีให้ตายนางก็ไม่อยากให้คนข้างนอกรู้ว่านางเสียโฉมแล้ว

เจียงซือหร่านกุมมือองค์หญิงเจินเจิน “เจินเจิน เจ้าวางใจได้ ข้าไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องของเจ้าออกไป แต่หากไม่ไปคิดบัญชีกับนาง ข้ากล้ำกลืนความโกรธนี้ไว้ไม่ได้จริงๆ”

องค์หญิงเจินเจินมองตามเจียงซือหร่านที่เข้ามาและจากไปประหนึ่งพายุบุแคม ทิ้งนางไว้กับใบหน้าที่น่าอนาถใจจนทนดูไม่ได้กว่าเดิม เพียงรู้สึกว่าถูกความสิ้นหวังเกาะกุมไปทั้งร่าง ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะหายใจ

นางชิงชังเหลือเกิน ชิงชังที่เหตุใดตนเองกลายเป็นอย่างนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าสมควรชิงชังใคร หรือว่าพยายามให้ตนมีชีวิตที่ดีขึ้นเป็นความผิด นางไม่เคยทำร้ายใครที่ใดเลยนะ!

 

ด้านเจียงซือหร่านออกจากประตูแล้วถือแส้ตรงดิ่งไปที่จวนสกุลหลี “ข้าจะพบคุณหนูสามของจวนเจ้า”

“คุณหนูสามออกไปข้างนอก ตอนนี้ยังไม่กลับมาขอรับ” ยามเฝ้าประตูเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าท่าทางถมึงทึง เขาพูดจบประโยคนี้แล้วจะปิดประตู

“นางไปที่ใด”

“เรื่องนี้ข้าไม่ทราบแล้ว คุณหนูสามไปที่ใดจะบอกกล่าวกับบ่าวไพร่อย่างข้าได้อย่างไร คุณหนูท่านว่าจริงหรือไม่ขอรับ”

เจียงซือหร่านตวัดสายตามองป้ายเหนือประตูจวนสกุลหลีอย่างหัวเสีย จากนั้นบ่ายหน้าตรงไปยังที่ว่าการกององครักษ์จินหลินทันที

“หร่านรานมาได้อย่างไร” เจียงถังวางงานในมือลง เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง

“ท่านพ่อ เป็นเพราะท่านคนเดียวที่ออกความคิดไม่เข้าท่าให้ข้า” เจียงซือหร่านทิ้งตัวลงนั่งแล้วพูดเสียงฮึดฮัด

“เป็นอะไรไปอีก เล่าให้พ่อฟังสิ”

“เรื่องใบหน้าของเจินเจิน ท่านบอกให้ข้าไปหาหลีซาน ผลปรากฏว่านางใช้ยาที่หลีซานมอบให้แล้วอาการเนื้อเน่าบนหน้ายิ่งรุนแรงขึ้นอีกเจ้าค่ะ”

“มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือนี่” เจียงถังแปลกใจพอดู เรื่องฝีไม้ลายมือของแม่เด็กน้อยผู้นั้นเขาให้การยอมรับนับถืออยู่หลายส่วน ตามหลักแล้วไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น

เจียงซือหร่านยื่นมือไปขยุ้มเคราของบิดา “ท่านพ่อ ท่านไม่เชื่อข้าหรือเจ้าคะ”

“เชื่อๆ ปล่อยมือเร็วเข้า”

นางคลายมือออก บอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ท่านพ่อ ท่านสืบให้ข้าทีว่าวันนี้หลีซานอยู่ที่ใด ข้าจะไปหานาง”

“เจ้าไปหานางด้วยเหตุใดกัน”

“นางทำร้ายเจินเจินจนกลายเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าต้องไปไล่เลียงเอาความกับนาง”

เจียงถังหุบยิ้มกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หร่านราน อย่าทำเหลวไหล”

เจียงซือหร่านนิ่งอึ้งไป นางพูดอย่างเหลือเชื่อ “ท่านพ่อ ท่านว่าข้าทำเหลวไหล? หรือว่านางทำร้ายผู้อื่นถึงเพียงนั้น ไม่ควรไปไล่เลียงเอาความกับนางอย่างนั้นหรือ”

“หร่านราน เรื่องอื่นพ่อตามใจเจ้าได้หมด มีเพียงเรื่องของคุณหนูหลีที่ไม่ได้ พ่อเคยบอกแล้วว่าเจ้าอยากผูกไมตรีกับคุณหนูหลีย่อมทำได้ แต่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับนางอีกไม่ได้ โดยเฉพาะห้ามทำร้ายนาง!”

หากเป็นไปได้เขาย่อมหักใจปล่อยให้บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนทนคับข้องหมองใจไม่ได้ แต่ถ้าเขาไม่มีชีวิตอยู่ ผู้ใดเล่าจะปกป้องบุตรสาวได้เช่นนี้ ฉะนั้นเขาไม่มีวันให้ใครแตะต้องคุณหนูหลี รวมถึงหร่านรานด้วย

“ท่านพ่อ นางเป็นบุตรสาวในไส้ของท่านต่างหากกระมัง” เจียงซือหร่านโกรธจัด

ถึงเห็นสีหน้าน้อยอกน้อยใจของบุตรสาว เจียงถังยังทำใจแข็งอย่างหาได้ยาก “หร่านราน พ่อพูดกับเจ้าอย่างจริงจัง เจ้าต้องรับปากพ่อ”

“ถ้าไม่รับปากล่ะเจ้าคะ” เจียงซือหร่านกัดริมฝีปากเอ่ยถาม

เจียงถังถอนใจเฮือก “พี่อู่ของเจ้าอยู่ที่จยาเฟิงไม่ใคร่ราบรื่น บางทีพ่ออาจใคร่ครวญโยกย้ายสือซานกลับไป”

เจียงซือหร่านทำหน้าตะลึงลาน “ท่านพ่อ ท่านพูดล้อเล่นใช่หรือไม่”

“เรื่องเช่นนี้ พ่อไม่เคยพูดล้อเล่น”

เจียงซือหร่านไม่เคยเห็นบิดาทำสีหน้าและน้ำเสียงดุดันในลักษณาการนี้มาก่อน ซ้ำยังเป็นเพราะเด็กสาวพิลึกพิลั่นผู้หนึ่ง นางกระทืบเท้าอย่างโมโหโทโส “ท่านพ่อ ข้าไม่สนใจท่านแล้ว”

แม้จะทั้งโกรธเคืองทั้งน้อยใจ ถึงที่สุดแล้วเจียงซือหร่านก็เชื่อฟังคำพูดของเจียงถัง สะกดไฟโทสะสุมอกไว้ไม่ไปหาเรื่องเฉียวเจาอีก

 

หลังเซ่าหมิงยวนเข้าเฝ้าฮ่องเต้เรียบร้อยแล้วก็นึกได้ว่าพวกเฉียวโม่ต้องรอกินอาหารกับตนอยู่เป็นแน่ เขาจึงควบม้าเร็วรุดกลับไปโดยไว

“พี่เฉียวโม่ ปล่อยให้พวกท่านรอนานแล้ว” บนโต๊ะอาหาร เซ่าหมิงยวนยกจอกสุราขึ้นดื่มคารวะเฉียวโม่

เฉียวเจาเอ่ยเตือนขึ้น “แม่ทัพเซ่า ท่านดื่มสุราให้น้อยลงเป็นการดีที่สุดนะเจ้าคะ”

“อ้อ ได้” เซ่าหมิงยวนวางจอกสุราโดยไม่อิดออดแล้วรินน้ำชาถ้วยหนึ่ง “เช่นนั้นข้าดื่มน้ำชาต่างสุราขอขมาต่อทุกคนก็แล้วกัน”

เฉียวโม่ชายตามองน้องสาวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

เฉียวเจาเม้มปากยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง นางยังนึกว่าต้องจาระไนเหตุผลยืดยาวคนผู้นั้นถึงยอมรับฟังเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับตอบตกลงทันที

เฉียวโม่ยกจอกสุราขึ้น “ขอบคุณท่านโหวที่ช่วยดูแลเจาเจาแทนข้ามาตลอดหลายวันนี้”

เซ่าหมิงยวนบีบมือที่กุมถ้วยน้ำชาแน่นขึ้น กล่าวยิ้มๆ ตามสบาย “สมควรแล้ว คุณหนูหลีเป็นหมอของข้า ข้าพึงดูแลนางให้ปลอดภัยเป็นธรรมดา”

เฉียวเจาชายตามองเขา พลางรำพึงในใจว่า กลับรู้จักออกตัวเป็น!

เซ่าหมิงยวนไม่เหลียวซ้ายแลขวา ชนจอกกับเฉียวโม่แล้วดื่มน้ำชาจนเกลี้ยง

เฉียวโม่ลอบโคลงศีรษะ

น้องสาวคนโตของเขาฉลาดหัวไวและเก่งกาจรอบตัว ไม่ว่าเรื่องใดๆ ล้วนมีความคิดเป็นของตนเอง เขาในฐานะพี่ชายได้แต่เคารพในความคิดของนาง แต่มองดูบรรยากาศอันคลุมเครือระหว่างคนคู่นี้อยู่ด้านข้าง เขายังคงอดหนักใจไม่ได้

ตกลงน้องเจาคิดอย่างไรกันแน่

ยังมีกวนจวินโหวอีกคน ก่อนหน้านี้เขาสวมชุดสีขาวไว้ทุกข์ให้ภรรยา เฉียวโม่ดูแล้วสบายตาอยู่มาก ทว่าบัดนี้น้องสาวคนโตนั่งอยู่ตรงนี้ดีๆ พอเห็นเขาในชุดสีขาวอีกทีก็รู้สึกคับอกคับใจอย่างไร้สาเหตุ

ความสัมพันธ์นี้สลับซับซ้อนเกินไป สุดท้ายเฉียวโม่จึงตกลงใจปล่อยให้เป็นไปตามครรลองธรรมชาติจะดีกว่า

เมื่อกินข้าวเสร็จ เฉียวเจาฝังเข็มให้เซ่าหมิงยวนตามปกติ หลังนางกลับจวนแล้วเขียนรายชื่อสิ่งของที่ต้องการแผ่นหนึ่งสั่งให้อาจูไปซื้อหา จากนั้นก้มหน้าก้มตาแยกแยะกระเปาะพิษที่ซ่อนอยู่ในฟัน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: