บทที่ 342
“ท่านโหว เจาเจา พวกเราหารือเรื่องพิธีศพของหมอเทวดาหลี่กันเถอะ”
แม้นจะหักใจเอ่ยเรื่องที่ทำให้น้องสาวเสียใจนี้ไม่ได้ปานใด แต่เฉียวโม่ไม่อาจปล่อยให้ผู้อาวุโสมิตรเก่าของสกุลเฉียวที่ต้องสิ้นชีพเพราะตนท่านนี้ไม่มีแม้แต่สถานที่ให้คนเซ่นไหว้ เขาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“ท่านหมอเทวดาไม่มีบุตรหลาน ไม่เคยลงหลักปักฐานที่ใดมาทั้งชีวิต พวกเราก็สร้างสุสานหมวกกับอาภรณ์ให้ท่านผู้เฒ่าในเมืองหลวงเถอะ เจาเจาเป็นหลานสาวบุญธรรมของท่าน ถึงเวลาก็ให้เจาเจาเป็นคนตั้งป้ายศพ…” เฉียวโม่กล่าวพลางมองไปทางนาง กลับพบว่าเด็กสาวเอาสองมือเท้ากับโต๊ะหินหลับไปตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้
“เจาเจา…” เขายื่นมือไปผลักนางเบาๆ ทีหนึ่ง
ร่างของเฉียวเจาโงนเงนไปมาก่อนจะฟุบลงบนโต๊ะหิน
เฉียวโม่ตกใจยกใหญ่ “เจาเจา เจ้าเป็นอะไรไป”
เซ่าหมิงยวนยื่นมือแตะหน้าผากนาง เขาทำสีหน้าไม่ดีนัก “นางเป็นไข้”
“ป่วยแล้ว?” เฉียวโม่ช้อนตัวนางขึ้นอุ้มไว้ “ท่านโหว ข้าพาเจาเจาเข้าไปในห้องก่อน”
เมื่อเห็นเฉียวโม่อุ้มเฉียวเจาไปแล้ว เซ่าหมิงยวนก็รีบสั่งให้องครักษ์ไปเชิญหมอมาทันทีพร้อมกับตามตัวปิงลวี่มาถาม “คุณหนูของเจ้าไม่สบายหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ เอ๊ะ คุณหนูของข้าล่ะ” ปิงลวี่เหลียวมองรอบด้านอย่างงุนงง พอไม่เห็นวี่แววของเฉียวเจาอยู่ในลานเรือน นางก็อดร้อนใจไม่ได้
ข้าสัปหงกแค่ประเดี๋ยวเดียว ไฉนคุณหนูหายตัวไปแล้ว
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนฉายแววเครียดขรึมอยู่บ้าง “คุณหนูของเจ้าหมดสติไป คุณชายเฉียวพานางเข้าไปในห้องแล้ว”
“ข้าไปดูคุณหนูของข้า…” ปิงลวี่ทำสีหน้าร้อนรน
“คุณหนูของเจ้าป่วยเป็นอะไร”
ปิงลวี่เกาท้ายทอย “ท่านหมอบอกว่าคุณหนูของข้ากลัดกลุ้มกังวลเกินไป เมื่อวานกลับไปนางก็เก็บตัวอยู่ในห้อง เมื่อเช้าข้ากับอาจูพบว่าคุณหนูจับไข้ รีบเชิญท่านหมอมาตรวจอาการให้ ตอนแรกท่านหมอกำชับให้คุณหนูนอนพักผ่อนมากๆ คิดไม่ถึงว่านางกินโจ๊กไปชามหนึ่งก็พาข้ามาที่นี่ แม่ทัพเซ่าไม่รู้อะไร คุณหนูต้องแอบหนีออกมานะเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง เขาชำเลืองมองประตูห้องพลางถาม “คุณหนูของเจ้าเก็บตัวอยู่ในห้องทั้งวันหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะ ตอนหลังข้าถีบประตูเปิดออกแล้วหิ้วกรงนกขุนทองที่ท่านมอบให้เข้าไป”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งถึงเอ่ยถามเสียงเบา “ถูกใจนางหรือไม่”
ปิงลวี่ตอบอย่างเถรตรงโผงผาง “ข้าดูไม่ออกหรอกว่าถูกใจหรือไม่ แต่นกขุนทองตัวนั้นพูดอะไรตลกมาก เห็นคุณหนูของข้าก็เรียกว่าน้องหญิงเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ” เซ่าหมิงยวนทำหน้าตะลึงลาน บังเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะแคะหูตนเอง
ข้าต้องหูฝาดเป็นแน่!
“เจ้านกขุนทองตัวนั้นพูดว่าอะไร”
“มันเรียกคุณหนูของข้าว่าน้องหญิงตลอดเลย ท่านว่าน่าอัศจรรย์ใจหรือไม่เจ้าคะ”
สีหน้าของแม่ทัพหนุ่มอึ้งงันไป น่าอัศจรรย์ใจหรือไม่เขาไม่รู้ แต่เขาสู้หน้าคุณหนูหลีไม่ได้น่ะเป็นความจริง!
ไม่นานนักองครักษ์พาหมอมาถึง เซ่าหมิงยวนยืนนิ่งอยู่หน้าประตู กระดากใจเกินกว่าจะเข้าไป
เฉียวเจาฟื้นแล้ว นางเห็นสายตาห่วงใยของพี่ชายก็พูดปลอบเขา “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แค่พักผ่อนไม่พอเท่านั้นเอง”
“กลับไปพักผ่อนให้ดีๆ”
“อื้อ ข้ายังแอบหนีออกมาอีกด้วย อยู่นานไม่ได้เจ้าค่ะ” เฉียวเจาลุกขึ้นนั่งตะโกนเรียก “ปิงลวี่…”
ปิงลวี่ถลันเข้ามา “คุณหนู”
“พวกเรากลับได้แล้ว”
นายบ่าวสองคนเดินออกไปข้างนอก เซ่าหมิงยวนที่ยืนตรงหน้าประตูติดตามไป “คุณหนูหลี ข้าไปส่งท่าน”
ปกติเฉียวเจาพูดคุยกับเซ่าหมิงยวนมักให้ปิงลวี่ปลีกตัวออกไปเสมอจนกลายเป็นความเคยชินของนาง ยามนี้นางจึงถอยไปอยู่รั้งท้ายเองอย่างรู้หน้าที่
เซ่าหมิงยวนเดินอยู่ข้างๆ เฉียวเจา เขามองดูดวงหน้าขาวซีดของนาง พูดอย่างละอายใจว่า “เพราะพิษไอเย็นในตัวข้าทำให้คุณหนูหลีต้องลำบากไปด้วย”
เฉียวเจาส่ายหน้า “ถ้อยคำตามมารยาทพรรค์นี้ แม่ทัพเซ่าไม่ต้องพูดแล้ว พรุ่งนี้ข้ายังจะมาตามเดิม น่าจะเวลาเดียวกับวันนี้เจ้าค่ะ”
เมื่อส่งเฉียวเจากลับไปแล้ว เซ่าหมิงยวนกลับเข้าห้องหนังสือ ย่างเท้าไปหยุดยืนหน้าภาพวาดคนตรงผนังฝั่งซ้าย พินิจดูอยู่นานสองนานก่อนจะเรียกองครักษ์มาสั่งกำชับหลายคำ
วันต่อมาเฉียวเจาพาปิงลวี่แอบหนีออกมาทางประตูด้านข้างของจวนสกุลหลี ไม่ทันไรก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งส่งเสียงเรียก “คุณหนูหลี เชิญตามข้าน้อยมาขอรับ”
ปิงลวี่เอาตัวบังอยู่ข้างหน้าเฉียวเจา เอ่ยด้วยสีหน้าระวังระไว “เจ้าเป็นใคร”
เฉียวเจาความจำดี นางมองปราดเดียวก็จดจำได้ “องครักษ์ของแม่ทัพเซ่า?”
“ถูกต้องขอรับ นี่คือป้ายคำสั่งของท่านแม่ทัพ เชิญคุณหนูหลีผ่านตา” องครักษ์ถือป้ายด้วยสองมือยื่นออกไปอย่างพินอบพิเทา
เฉียวเจาดูป้ายแล้วเอ่ยถาม “ไปที่ใดหรือ”
“เชิญคุณหนูหลีตามข้าไปเป็นพอ”
“ทำเป็นมีลับลมคมในอะไรกัน” ปิงลวี่เบะปาก คนผู้นี้ไม่น่ารักอย่างเฉินกวงสักน้อยนิด!
เฉียวเจาโบกมือปรามปิงลวี่ให้หยุดพูดบ่นแล้วบุ้ยใบ้บอกให้องครักษ์นำทาง
“คุณหนู เขาจะพาพวกเราไปที่ใดเจ้าคะ” ปิงลวี่กระซิบถาม
“ตามไปก็จะได้รู้กัน”
ในเมื่อเป็นคนที่เซ่าหมิงยวนส่งมา เขาย่อมเป็นผู้เตรียมการไว้เป็นธรรมดา
เฉียวเจาเพิ่งกล่าวคำนี้จบองครักษ์ก็หยุดฝีเท้า ยื่นมือไปเปิดประตูออก “คุณหนูหลีเชิญเข้าไปข้างในขอรับ”
นางผงกศีรษะเล็กน้อยกับองครักษ์แล้วก้าวขาเดินเข้าไป
ปิงลวี่มองซ้ายแลขวา พูดอย่างฉงนใจว่า “คฤหาสน์ด้านข้างจวนสกุลของเราหลังนี้ว่างเปล่ามาตั้งนานแล้ว เจ้าพาคุณหนูของข้ามาที่นี่ทำอะไร…เอ๊ะ แม่ทัพเซ่า?”
บุรุษหนุ่มซึ่งยืนอยู่ในลานกว้างหน้าเรือนโถงหมุนกายมา ก้าวขาเรียวยาวเดินฉับๆ มาต้อนรับ “คุณหนูหลี”
เฉียวเจาสะดุดใจวูบ “ที่นี่…”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “ข้ารู้มาว่าเรือนหลังนี้ไม่มีคนอยู่เลยไปขอซื้อต่อจากเจ้าของ วันหน้าก็ไม่ต้องรบกวนท่านต้องไปไกลๆ อย่างนั้น ทุกวันเวลานี้ข้าจะมารอท่านที่นี่เอง”
“แม่ทัพเซ่าซื้อคฤหาสน์หลังนี้ไว้หรือ” เมื่อเห็นเขาปรากฏกายขึ้นที่นี่ นางคาดเดาถึงความเป็นไปได้นี้แล้ว แต่ได้ยินเขายืนยันกับปากยังคงอดทอดถอนใจมิได้
คนผู้นี้ร่ำรวยกล้าได้กล้าเสีย ยังทำอะไรเด็ดขาดฉับไวดีแท้ ในเวลาวันเดียวก็ซื้อคฤหาสน์ข้างเรือนนางไว้แล้ว
ไม่รู้ด้วยเหตุใดแม่นางเฉียวรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว
“คุณหนูหลีเชิญด้านใน” เซ่าหมิงยวนพาเฉียวเจาเดินเข้าสู่เรือนพำนักหลังหนึ่ง กล่าวอย่างขอลุแก่โทษ “ยังรกรุงรังอยู่ เพิ่งทำความสะอาดเรือนหลังนี้เสร็จแบบลวกๆ”
เฉียวเจาแย้มปากยิ้ม “ข้าจำได้ว่านายท่านเจ้าของเรือนหลังนี้รับราชการอยู่ในกรมอากร ต่อมากระทำความผิด คฤหาสน์หลังนี้ว่างเปล่าเป็นเวลานาน ยังเคยเล่าลือกันว่ามีผีสิง แม่ทัพเซ่าเก็บกวาดเรือนที่ถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนานได้อย่างนี้ภายในวันเดียวก็น่าประหลาดใจเป็นอันมากแล้วเจ้าค่ะ”
“คุณหนูหลีรู้สึกว่าสะดวกเป็นพอ” เซ่าหมิงยวนขบคิดคำพูดของเฉียวเจาแล้วกล่าวปลอบ “สำหรับเสียงลือว่ามีผีสิง คุณหนูหลีไม่ต้องกลัว เวลาที่ท่านมา ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่ก่อนเสมอ”
“ฝังเข็มก่อนเถอะเจ้าค่ะ” นางกล่าวเสียงเรียบ
เมื่อวานยังนึกว่าเขาทื่อเป็นท่อนไม้อยู่เลย คาดไม่ถึงว่าจะซื้อคฤหาสน์ข้างเรือนนางไว้โดยไม่บอกไม่กล่าว ยังนับว่ามีความเห็นอกเห็นใจต่อสตรีตัวเล็กๆ ดี นี่เลยคิดจะเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกันใช่หรือไม่
หลังฝังเข็มเสร็จ เฉียวเจาไม่รั้งอยู่นาน นางยอบกายคารวะแล้วอำลากลับไป
สองนายบ่าวใช้เวลาเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงเรือน เฉียวเจารู้สึกสะดวกอย่างมาก ขณะที่ปิงลวี่กลับทำหน้าเศร้าเต็มที
“เป็นอะไรไป”
ปิงลวี่ถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “คุณหนู แม่ทัพเซ่ากลายเป็นเพื่อนบ้านของเรา เช่นนั้นเฉินกวงไม่ต้องเป็นสารถีให้ท่านแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
สาวใช้น้อยขมวดคิ้ว สีหน้าหม่นหมองโดยไม่ปิดบัง
เฉียวเจานึกอิจฉาอยู่หลายส่วนอย่างปราศจากเหตุผล นางอมยิ้มกล่าว “หรือว่าข้าไปที่อื่นจะไม่ต้องการสารถีเล่า”
ปิงลวี่ถึงถอนหายใจโล่งอก
บทที่ 343
ผ่านไปไม่กี่วันทางเจียงถังก็ได้ข่าวหมอเทวดาหลี่ประสบเคราะห์ร้ายเสียชีวิตไปแล้ว
ด้วยช่วงที่ผ่านมาบุตรสาวเซ้าซี้ถามเบาะแสของหมอเทวดาหลี่มาโดยตลอด เจียงถังจึงไม่ปิดบัง บอกข่าวนี้กับเจียงซือหร่านตามตรง
นางฟังแล้วอึ้งไปเป็นนานถึงพูดพึมพำ “เช่นนี้เจินเจินก็หมดทางรักษาแล้วหรือ ไม่ได้ ข้าต้องเข้าวังสักหน”
เจียงถังโคลงศีรษะเมื่อเห็นบุตรสาวผลุนผลันออกไป
เจ้าลูกผู้นี้หนอ ใจร้อนเฉกนี้เสมอ
ตำหนักบรรทมขององค์หญิงเจินเจิน
พอได้ยินว่าเจียงซือหร่านมาถึง องค์หญิงเจินเจินลูบผ้าโปร่งบางเบาที่คลุมหน้าไว้พลางกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “บอกคุณหนูเจียงว่าข้านอนหลับอยู่”
นางกำนัลฟางหลันออกไปบอกความ เจียงซือหร่านย่อมคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงเจินเจินเพียงไม่อยากพบหน้าตน นางนั่งเฉยไม่ขยับแม้สักนิดจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะอยู่ตรงนี้รอองค์หญิงตื่นแล้วกัน ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับนาง”
“ไม่ทราบว่าคุณหนูเจียงมีเรื่องสำคัญอะไรเจ้าคะ กำชับบ่าวไว้ได้หรือไม่ เช่นนี้รอองค์หญิงตื่นบรรทม ข้าจะได้ทูลรายงานองค์หญิงให้ทรงทราบเป็นอันดับแรก” ฟางหลันไต่ถามอย่างนอบน้อม
เพราะยาที่คุณหนูเจียงนำมาทำให้อาการที่ใบหน้าขององค์หญิงสาหัสขึ้น องค์หญิงโกรธเคืองอยู่ในใจถึงไม่อยากพบหน้าอีกฝ่าย ทว่าในฐานะนางกำนัลประจำตัวขององค์หญิง นางไม่อาจไม่คำนึงถึงองค์หญิง มาตรว่าคุณหนูเจียงผู้นี้ไม่สูงศักดิ์เท่าองค์หญิง แต่กลับล่วงเกินมิได้
“เป็นเรื่องที่ข้ารับปากว่าจะช่วยสืบถามให้นางก่อนหน้านี้ รอองค์หญิงตื่นแล้ว เจ้าบอกกับนางเช่นนี้ก็ได้”
ฟางหลันกลับไปที่ตำหนักด้านในกล่าวรายงานองค์หญิงเจินเจินทันควัน องค์หญิงเจินเจินได้ยินแล้วรีบเชิญเจียงซือหร่านเข้ามา
“เจินเจิน เจ้านอนหลับอยู่มิใช่หรือ”
องค์หญิงเจินเจินสะกดความตื่นเต้นในใจไว้และกล่าวอธิบายว่า “เดิมทีนอนหลับอยู่ แต่รู้สึกกระหายน้ำเลยลุกขึ้นมาดื่มน้ำถึงรู้ว่าเจ้ามาหา ข้าอบรมสั่งสอนฟางหลันยกใหญ่ไปแล้ว เจ้าอุตส่าห์มาหากลับไม่รู้จักปลุกข้าตื่นทันที”
เจียงซือหร่านโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “สุขภาพเจ้าไม่แข็งแรง พึงควรพักผ่อนมากๆ ข้ารอครู่หนึ่งได้ไม่เป็นอะไร”
องค์หญิงเจินเจินรินน้ำชาถ้วยหนึ่งยื่นให้เจียงซือหร่านเอง นางหลุบตาลงเก็บซ่อนความร้อนรนในใจ “ซือหร่าน มีข่าวหมอเทวดาหลี่ใช่หรือไม่”
เจียงซือหร่านวางถ้วยน้ำชาลงด้านข้าง “อื้อ ท่านพ่อข้าสืบข่าวของหมอเทวดาหลี่ได้แล้ว”
“ตอนนี้หมอเทวดาหลี่อยู่ที่ใด”
เจียงซือหร่านถอนใจเฮือก “ท่านพ่อได้ข่าวว่าหมอเทวดาหลี่ประสบพายุกลางทะเล…มีอันเป็นไปแล้ว”
องค์หญิงเจินเจินนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อราวกับโดนฟ้าผ่า
“เจินเจิน เจ้าไม่เป็นไรกระมัง” เจียงซือหร่านยื่นมือไปผลักตัวนาง แต่นางไม่มีอาการตอบสนองใดๆ
“เจินเจิน เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจสิ เจ้าเป็นอะไรกันแน่”
“ข้า…” องค์หญิงเจินเจินมองนางแวบหนึ่งแล้วล้มตึงลงไป
“เจินเจิน!” เจียงซือหร่านร้องเรียกเสียงแหลมสูง
ในวังโกลาหลอลหม่านระลอกหนึ่งทันใด ลี่ผินซึ่งพักอยู่ที่นี่รุดมาถึงอย่างเร่งร้อน เอ่ยถามเสียงรัวเร็ว “องค์หญิงเป็นอะไรไป”
เจียงซือหร่านพูดอย่างขัดเคือง “ดูเหมือนเจินเจินจะทนสะเทือนใจไม่ไหวเป็นลมไปเพคะ”
“รีบไปเชิญหมอหลวง” ลี่ผินออกคำสั่งแล้วย่ำเท้าวนไปวนมาอย่างกระสับกระส่าย พอสายตามองกวาดไปทางเจียงซือหร่านก็ลอบขุ่นใจแทบทนไม่ไหว แต่จะแสดงออกมาก็ไม่เป็นการดี “คุณหนูเจียงกลับไปก่อนเถอะ”
เจียงซือหร่านส่ายหน้า “หม่อมฉันจะรอเจินเจินฟื้นเพคะ”
ลี่ผินทำท่าอึกๆ อักๆ สุดท้ายก็ถอนใจเฮือกหนึ่ง “คุณหนูเจียงรู้หรือไม่ว่าเจินเจินสะเทือนใจเรื่องอะไร คราวก่อนหลังเจ้ากลับไป เจินเจินก็ร้องไห้อยู่ทั้งคืน”
แม้ว่าน้ำเสียงของลี่ผินจะนุ่มนวล เจียงซือหร่านฟังแล้วยังคงรู้สึกคับข้องหมองใจ เห็นลี่ผินเพ่งมองตนอยู่จึงเอ่ยเสียงฮึดฮัด “ยังมิใช่เพราะยาของหลีซานหรือเพคะ”
“หลีซาน?”
“ก็บุตรสาวของอาลักษณ์หลีแห่งสำนักราชบัณฑิต อยู่ในลำดับสามของตระกูล”
ดวงตาคู่งามของลี่ผินทอประกายวูบหนึ่ง “ข้ารู้จักคุณหนูหลีผู้นั้น อาศัยอยู่ในตรอกซิ่งจื่อใช่หรือไม่”
ตอนฝนตกหนักคราวนั้น เจินเจินได้รับบาดเจ็บที่ขา คุณหนูสามสกุลหลียังเคยช่วยเหลือไว้
“ใช่ นางนั่นเองเพคะ”
“นี่เกี่ยวอะไรกับคุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้”
“เจินเจินไม่ได้ทูลพระองค์หรือเพคะ ใบหน้านางแย่ลงเพราะยาของหลีซาน!”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือนี่ คุณหนูเจียงเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดที” ลี่ผินทำหน้าขรึมลงทันใด
นางต้องเกรงอกเกรงใจบุตรสาวของเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน หรือว่าบุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ในสำนักราชบัณฑิตผู้หนึ่งยังต้องเกรงใจอีก
“หมอเทวดาหลี่เป็นท่านปู่บุญธรรมของหลีซาน นางก็แอบอ้างชื่อของหมอเทวดาหลี่โอ้อวดหลอกลวง หม่อมฉันไปขอยาให้เจินเจิน นางให้ยามากล่องหนึ่ง บอกว่าหมอเทวดาหลี่ปรุงขึ้น ผลปรากฏว่าเจินเจินใช้แล้วนอกจากใบหน้าไม่ดีขึ้นยังอาการแย่ลง ทีแรกหม่อมฉันจะไปคิดบัญชีกับนาง แต่เจินเจินไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ถึงไม่ถือสาหาความกับนางเพคะ”
“ไร้เหตุผลสิ้นดีจริงๆ” ลี่ผินตบเท้าแขนเก้าอี้ทีหนึ่งสุดแรงด้วยความโมโห
หลังจากหมอหลวงตรวจอาการเสร็จ องค์หญิงเจินเจินลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นลี่ผินกับเจียงซือหร่านสองคน นางเบือนหน้าไปทางอื่น ปล่อยน้ำตาไหลพรากลงมา
“เจินเจิน เจ้าอย่าร้องไห้นะ” ลี่ผินปวดใจสุดจะกล่าว ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้นาง
“ไม่ต้องสนพระทัยหม่อมฉัน หม่อมฉันเป็นเช่นนี้มีชีวิตอยู่ก็ไร้ความหมายเพคะ”
ลี่ผินได้ยินคำพูดนี้แล้วตกใจแทบตาย นางจับมือพระธิดาไว้แน่นๆ พลางกล่าว “เจินเจิน เสด็จแม่มีเจ้าเป็นบุตรสาวคนเดียว เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจ เจ้าอย่าท้อใจ ถึงอย่างไรก็ต้องมีวิธี”
องค์หญิงเจินเจินส่ายหน้าอย่างท้อแท้สิ้นหวัง “หมอที่เคยมาตรวจอาการมีตั้งมากมายหลายคนอย่างนั้น หมดหนทางแล้วเพคะ”
“ยังมีหมอเทวดาหลี่นะ องค์ไทเฮาตรัสเองกับพระโอษฐ์มิใช่หรือ หมอเทวดาท่านนั้นรักษาคนป่วยร่อแร่ใกล้ตายได้ ทรงส่งคนไปสืบข่าวของเขาแล้ว”
“หมอเทวดาหลี่สิ้นชีวิตแล้วเพคะ” องค์หญิงเจินเจินกล่าวอย่างหมดอาลัยตายอยากจบก็พลิกตัวไปนอนนิ่งๆ ไม่ขยับ
ลี่ผินตกอกตกใจ อดมองไปทางเจียงซือหร่านไม่ได้
เจียงซือหร่านกัดริมฝีปากพยักหน้า “ท่านพ่อของหม่อมฉันเพิ่งได้ข่าวเพคะ”
ลี่ผินเพียงรู้สึกหน้ามืดวูบหนึ่ง นางรีบเกาะเท้าแขนเก้าอี้ไว้ ผ่อนลมหายใจชั่วครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้น “เจินเจิน อันว่าสวรรค์ย่อมไม่ตัดหนทางคน เจ้าเป็นองค์หญิงของราชวงศ์ ข้าไม่เชื่อว่าทั่วทั้งใต้หล้านี้จะหาหมอที่รักษาโรคให้เจ้าไม่พบสักคน”
นางลุกขึ้นยืน “ฟางหลัน ดูแลองค์หญิงให้ดี ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิง จะเอาโทษเจ้าผู้เดียว”
ฟางหลันรีบรับคำทันที
ลี่ผินส่งสายตาบอกเจียงซือหร่าน
แม้นนางเป็นคนตรงไปตรงมาไร้เล่ห์เหลี่ยม แต่ก็เข้าใจว่าเวลานี้จะทำให้สหายรักสะเทือนใจอีกไม่ได้ นางลุกขึ้นเดินตามลี่ผินออกไป
“คุณหนูเจียงตามข้าไปเข้าเฝ้าไทเฮาด้วยกันได้หรือไม่ หลีซานผู้นั้นกระหน่ำซ้ำเติมทำร้ายองค์หญิง จะให้แล้วกันไปเท่านี้ไม่ได้”
หากหมอเทวดาหลี่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ไทเฮาต้องให้เกียรติหลานสาวบุญธรรมของเขาเป็นแน่ นางคงไม่มีทางเสนอหน้าไปเพ็ดทูลอย่างไม่รู้กาลเทศะ แต่บัดนี้หมอเทวดาหลี่สิ้นชีพแล้ว นางไม่อาจปล่อยให้บุตรสาวต้องทนทุกข์ทรมานเปล่าๆ ปลี้ๆ!
“ได้เพคะ หม่อมฉันจะไปพร้อมกับพระองค์” เจียงซือหร่านครุ่นคิดเล็กน้อยก็ตอบตกลง
ท่านพ่อโดนหลีซานวางยาเสน่ห์อะไรก็สุดรู้ ทั้งที่อีกฝ่ายทำเรื่องชั่วร้ายตั้งมากมาย ซ้ำยังเคยตบหน้านางทีหนึ่งกลับไม่ยอมให้นางระบายความแค้น มันน่าอัดอั้นตันใจแทบคลั่งดีแท้ ตอนนี้ได้ทีแล้ว ลี่ผินเป็นคนที่จะเอาเรื่องกับหลีซาน มิใช่นางที่ไม่เชื่อฟัง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.