บทที่ 344
ในตำหนักฉือหนิง นางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้าไปหาหยางไทเฮา “ไทเฮาเพคะ ลี่ผินทูลขอเข้าเฝ้า”
หยางไทเฮาหมุนเมล็ดเหอเถาในมือไปมา “เรียกลี่ผินเข้ามาได้”
ไม่นานนักลี่ผินกับเจียงซือหร่านก้าวเข้ามาพร้อมกันและถวายคำนับไทเฮา
“ลุกขึ้นเถอะ” หยางไทเฮากล่าวคำหนึ่งเสียงราบเรียบ แต่กับเจียงซือหร่านนางให้ความเป็นกันเองมาก “หร่านรานเองหรือ มานั่งข้างๆ ข้า”
เจียงซือหร่านเดินเข้าไปนั่งลงโดยไม่กระมิดกระเมี้ยน
หยางไทเฮาเอ่ยเป็นเชิงตัดพ้อ “หร่านราน เจ้าไม่ได้มาเยี่ยมข้านานระยะหนึ่งแล้วนะ”
เจียงซือหร่านกล่าวยิ้มๆ “แต่พระองค์ยังทรงอ่อนเยาว์เปล่งปลั่งสดใสเหลือเกินเพคะ”
“เจ้าเด็กผู้นี้ช่างจำนรรจานัก” หยางไทเฮาพูดจบถึงมองไปทางลี่ผิน “มาพบข้ามีเรื่องอะไรรึ”
ลี่ผินคุกเข่าลงกะทันหัน “ไทเฮา หม่อมฉันมาด้วยเรื่องขององค์หญิงเพคะ”
“จู่ๆ คุกเข่าด้วยเหตุใด ลุกขึ้นมาพูด”
ลี่ผินลุกขึ้นยืนอย่างโอนอ่อนคล้อยตาม นางยืนประสานมือไว้หน้าตัว
“เจินเจินดีขึ้นบ้างหรือไม่ วันนี้ข้ายังนึกอยู่ว่าจะไปดูนางสักหน่อย”
ลี่ผินยกมือเช็ดน้ำตา “ไทเฮา อาการที่ใบหน้าของเจินเจินสาหัสขึ้นอีกเพคะ”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
ลี่ผินชายตามองเจียงซือหร่านก่อนพูดแกมสะอื้นเบาๆ “หม่อมฉันได้ฟังคำบอกกล่าวของคุณหนูเจียงถึงได้ทราบว่าเพราะเจินเจินใช้ยาของคุณหนูหลีซาน ใบหน้าถึงแย่ลง แต่เจินเจินมีจิตใจโอบอ้อมอารี ก่อนหน้านี้ไม่เอ่ยกับหม่อมฉันสักคำ น่าสงสารนัก…”
“คุณหนูหลีซานผู้นี้เป็นใครรึ”
เจียงซือหร่านอ้าปากพูด “เป็นบุตรสาวของอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตเพคะ”
“เจินเจินใช้ยาของนางได้เช่นไร” หยางไทเฮาไต่ถามตรงเข้าประเด็น
ลี่ผินกล่าวตอบ “ไทเฮาคงไม่ทรงทราบว่าคุณหนูหลีซานผู้นี้เป็นหลานสาวบุญธรรมของหมอเทวดาหลี่เพคะ”
“อ้อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือนี่ หมอเทวดาหลี่รับหลานสาวบุญธรรมตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“พักใหญ่แล้วเพคะ ชาวเมืองหลวงมากมายล้วนล่วงรู้กัน” เจียงซือหร่านกล่าว
หยางไทเฮาพูดอย่างยิ้มแย้ม “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ลี่ผินเจ้าสมควรวางใจจึงจะถูก มีหลานสาวบุญธรรมอยู่ทั้งคน ดูทีว่าหมอเทวดาหลี่ต้องกลับเมืองหลวงไม่ช้าก็เร็ว”
ลี่ผินยกแขนเสื้อปิดหน้าร่ำไห้ “ขอทูลไทเฮาให้ทรงทราบ หมอเทวดาหลี่สิ้นบุญไปแล้วเพคะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ!” หยางไทเฮาผุดลุกขึ้นยืน
ลี่ผินกวาดตามองเจียงซือหร่านแวบหนึ่งทันใด
เจียงซือหร่านเข้าใจความหมาย นางลุกขึ้นกล่าวว่า “ไทเฮา หม่อมฉันเป็นคนทูลพระสนมเองเพคะ ท่านพ่อเพิ่งได้รับข่าวว่าหมอเทวดาหลี่ประสบพายุกลางทะเลมีอันเป็นไปแล้ว”
หยางไทเฮานั่งลงช้าๆ ใบหน้าฉายอารมณ์หลายหลากยากหยั่งเดา นานครู่ใหญ่ถึงกลับเป็นปกติ นางกล่าวเอื่อยๆ “เล่าเรื่องคุณหนูหลีซานผู้นั้นต่อสิ”
เจียงซือหร่านก้มหน้าลง “ไทเฮาเพคะ ความจริงเป็นหม่อมฉันไม่ดีเอง หม่อมฉันร้อนใจเรื่องใบหน้าของเจินเจิน พอรู้ว่าหลีซานเป็นหลานสาวบุญธรรมของหมอเทวดาหลี่ก็ไปขอยาของท่านจากนาง ใครจะรู้ว่านางเอายาสุ่มสี่สุ่มห้ามาหลอกหม่อมฉัน ถึงได้เป็นการทำร้ายเจินเจิน…”
หยางไทเฮาหน้าบึ้ง “เอายามาหลอกลวงคนส่งเดช? นี่มิใช่พวกจิตใจคดโกงหรือไร”
ลี่ผินคุกเข่าลงอีกคำรบหนึ่ง “ไทเฮา เจินเจินถูกคุณหนูหลีซานผู้นั้นทำร้ายถึงเพียงนี้ พระองค์ต้องทรงตัดสินความเป็นธรรมให้เจินเจินนะเพคะ รูปโฉมสำคัญกับเด็กสาวปานใด ใบหน้าเจินเจินกลายเป็นเช่นนี้ ทำให้นางเริ่มคิดสั้นแล้ว”
หยางไทเฮามุ่นคิ้ว “นางเป็นองค์หญิงของราชวงศ์ มิใช่เด็กสาวสามัญชนทั่วไป จะคิดสั้นฆ่าตัวตายอะไรไม่เข้าท่า!”
ลี่ผินอ้าปากออกทว่าไม่กล้ากล่าววาจาต่อ
เจียงซือหร่านลอบเบะปาก พระสนมที่มีพื้นเพเป็นนางรำผู้นี้ช่างเร่อร่าดีแท้ กระทั่งนางยังรู้ว่าเรื่องเป็นๆ ตายๆ พรรค์นี้จะพูดเบื้องพระพักตร์ไทเฮาไม่ได้
“ไหลสี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ถ่ายทอดพระเสาวนีย์ของข้า เชิญหลีซานบุตรสาวของอาลักษณ์หลีเข้าวัง ข้ากลับอยากเห็นหน้าค่าตาคุณหนูหลีซานผู้นั้นนักว่าเป็นอย่างไร”
ขันทีผู้ถ่ายทอดพระบัญชามาถึงจวนตะวันตกของสกุลหลีแล้วอ่านพระเสาวนีย์ของไทเฮาจบ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตกอกตกใจ ทางหนึ่งส่งคนไปเรียกเฉียวเจา ทางหนึ่งต้อนรับไหลสี่อย่างสุภาพมีมารยาท “กงกง เชิญนั่ง”
“ไม่ต้อง องค์ไทเฮายังทรงรอข้าพาคุณหนูหลีซานกลับไปโดยไวอยู่”
“กงกงดื่มน้ำชาก่อน หลานสาวข้าผู้นั้นประเดี๋ยวก็มาแล้ว”
ไหลสี่รับถ้วยน้ำชาที่สาวใช้อาวุโสชิงอวิ๋นยื่นส่งให้มาดมดูทีหนึ่งแล้ววางลง กล่าวด้วยท่าทีคลุมเครือ “คุณหนูสามของจวนท่านบุญพาวาสนาส่งยิ่งนัก ทำให้องค์ไทเฮาทรงเรียกตัวเข้าเฝ้าเอง”
“กงกงพูดถูก ได้ถวายพระพรไทเฮาเป็นบุญวาสนาของเด็กผู้นั้น ไม่รู้ว่าองค์ไทเฮามีพระดำริถึงหลานสาวไม่เอาไหนผู้นั้นของข้าได้อย่างไรกัน”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่อาจรู้ได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งส่งสายตาไปทางชิงอวิ๋น
ชิงอวิ๋นหยิบถุงผ้าปักสีพื้นใบหนึ่งยื่นส่งให้ไหลสี่
เขาตวัดสายตามองถุงผ้าปักแล้วขมวดคิ้ว “นี่จะทำอะไรรึ”
เหอซื่อเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาในเวลานี้เอง “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าได้ยินว่าวังหลวงส่งคนมาเรียกตัวเจาเจาเข้าวังหรือเจ้าคะ”
มุมปากของหญิงชรากระตุกริก หลานเจายังไม่มา ไฉนมารดาเจ้าปัญหาของนางกลับมาถึงก่อน
เหอซื่อไม่แยแสว่าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจะคิดเช่นไร ดวงตาเรียวสวยมองกวาดไปเห็นคนผู้หนึ่งท่าทางเหมือนขันทีบ่ายเบี่ยงไม่รับของที่ชิงอวิ๋นยัดเยียดให้เป็นพัลวัน นางย่นหัวคิ้วเข้าหากันทันใด รำพึงในใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าคงอยากให้สินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แก่ขันทีผู้นี้เพื่อให้เขาช่วยดูแลเจาเจากระมัง จุๆ ถุงเงินเล็กแค่นี้จะได้อย่างไร โชคดีที่ข้าเตรียมไว้ล่วงหน้า!
เหอซื่อเดินฉับๆ มาตรงหน้าไหลสี่ เบียดชิงอวิ๋นไปด้านข้างแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ท่านคือกงกงที่มาเรียกตัวบุตรสาวข้าเข้าวังกระมัง”
ไหลสี่มองเหอซื่ออย่างไม่พึงใจ ลอบคิดคำนึงว่าแม้ฮูหยินผู้นี้จะโฉมงาม จนใจที่ไม่รู้ธรรมเนียมสักนิด ถึงถุงเงินจะเล็กแต่ก็เป็นเงิน อย่างไรจะให้เขามาเสียเที่ยวเปล่าไม่ได้ เขากำลังจะรับไว้อยู่แล้วเชียว สตรีเบาปัญญาไม่ดูตาม้าตาเรือผู้นี้ก็เข้ามาก่อกวนให้เสียเรื่อง จากจุดนี้เห็นได้ว่าคุณหนูหลีซานผู้นั้นคงเป็นคนเบาปัญญาเหมือนกัน มิน่าถึงได้ล่วงเกินคุณหนูเจียงจนพลอยล่วงเกินพวกผู้สูงศักดิ์ในวังไปด้วย
“อื้อ” ไหลสี่เชิดคางขึ้นแทบชี้ฟ้าพร้อมทำเสียงตอบในลำคอ
เหอซื่อเอาห่อผ้าเล็กๆ ที่คล้องอยู่บนแขนยัดใส่มือไหลสี่ “เช่นนั้นกงกงโปรดดูแลช่วยเหลือด้วยเจ้าค่ะ”
น้ำหนักของห่อผ้าทิ้งลงมาบนมือของไหลสี่ซึ่งไม่ทันได้เตรียมเนื้อเตรียมตัว ส่งผลให้มันร่วงหล่นลงทันที
เหอซื่อมือไวตาไวคว้าขึ้นมาวางกลับไปในอ้อมแขนเขา “กงกงถือไว้ดีๆ สิเจ้าคะ”
พอเป็นเช่นนี้ ห่อผ้าใบเล็กก็แบะออกเป็นช่องเล็กๆ ไหลสี่เห็นก้อนเงินหยวนเป่าสีขาววาววับในนั้นแล้วตาค้างไป
เขานึกว่าตนตาลายจึงยกมือขยี้ตา ครั้นยังมองเห็นก้อนเงินโผล่ออกมาทางรอยแยกดังเก่า ก็ยื่นมือไปแหวกช่องบนห่อผ้าให้กว้างขึ้น
ถึงจะประสบพบเห็นเหตุการณ์สำคัญมาสารพัดจนคุ้นเคย กระนั้นขันทีที่รับใช้อยู่ข้างพระวรกายไทเฮาผู้นี้ถึงกับตะลึงลานไป
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นเงินมากถึงเพียงนี้ แต่ที่ผ่านมาเขาไปถ่ายทอดพระบัญชาไม่เคยเจอะเจอว่าเรือนใดมอบสินน้ำใจให้ทั้งห่อผ้า ไม่ใช่แค่ถุงผ้าปัก!
ไหลสี่มองเหอซื่อด้วยแววตาที่ยากจะพรรณนาในคำเดียวได้
ข้าผิดไปแล้ว ฮูหยินผู้นี้มิได้เบาปัญญาแต่อย่างใด นางทั้งโฉมงามทั้งฉลาดชัดๆ!
“กงกง ข้าเพียงขอให้ท่านช่วยชี้แนะด้วยนะเจ้าคะ” เหอซื่อกล่าวพร้อมรอยยิ้มละไม
บิดานางเคยกล่าวไว้ว่าไม่ยื่นมือตีคนที่ยิ้มแย้มมอบเงินให้ คนในวังหลวงนี้น่าจะมิใช่ข้อยกเว้นกระมัง
ไหลสี่เอาห่อผ้าใบเล็กคล้องไว้ที่แขนด้วยสีหน้าเป็นปกติ เขาพยักหน้าอย่างไว้ท่า
“คุณหนูสามมาแล้วเจ้าค่ะ”
ไหลสี่รีบมองไปทางหน้าประตู เห็นเด็กสาวในชุดสีเรียบๆ นางหนึ่งเยื้องย่างเข้ามาอย่างแช่มช้อย
เขาปรนนิบัติไทเฮามานานหลายปี พานพบเหล่าผู้สูงศักดิ์ในอิริยาบถงามสง่าเหลือแสนมาจนชินตา ขณะเห็นท่วงท่าการเดินของเด็กสาว แววประหลาดใจผุดขึ้นในดวงตาเขา
กิริยามารยาทของคุณหนูหลีซานผู้นี้ไม่คล้ายผู้ที่ตระกูลอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิตจะบ่มเพาะออกมาได้
บทที่ 345
เฉียวเจาแสดงคำนับ เหอซื่อเอาตัวบังอยู่หน้าบุตรสาวกล่าวว่า “กงกง จะอะลุ้มอล่วยให้ข้ากล่าววาจากับบุตรสาวได้หรือไม่เจ้าคะ”
ไหลสี่รู้สึกถึงน้ำหนักของห่อผ้าบนแขน เขาพยักหน้าแล้วเอ่ย “รีบๆ เถอะ”
เหอซื่อจูงเฉียวเจาตรงไปที่ห้องด้านใน
ไหลสี่เลิกคิ้วขึ้นทว่าไม่ปริปากว่าอะไร
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลอบถอนใจ บางครั้งลูกสะใภ้หัวทื่อผู้นี้ก็มีประโยชน์ในเวลาสำคัญ!
“เจาเจา เพราะอะไรจู่ๆ ไทเฮาถึงเรียกตัวเจ้าเข้าวัง แม่เป็นห่วงอยู่สักหน่อยจริงๆ”
เหตุใดไทเฮาเรียกตัวนางเข้าวังน่ะหรือ เฉียวเจาตรึกตรองอยู่ตลอดตั้งแต่ได้ข่าว นางคิดไปคิดมาแล้วนึกถึงความเป็นไปได้เพียงประการเดียวคือเกี่ยวข้องกับหมอเทวดาหลี่
“บางทีไทเฮาทรงทราบข่าวท่านปู่หลี่สิ้นบุญ และได้ยินได้ฟังว่าข้าเป็นหลานสาวบุญธรรมของท่าน ฉะนั้นถึงมีพระประสงค์จะพบข้ากระมังเจ้าคะ” เฉียวเจากล่าวตอบเช่นนี้ ทั้งเป็นเหตุผลซึ่งเป็นไปได้มากที่สุดเท่าที่คิดได้และเพื่อทำให้ผู้อาวุโสในเรือนสบายใจ
“หากเป็นอย่างนี้ ข้าก็วางใจแล้ว เจาเจา เจ้าไปเถอะ ไทเฮาตรัสอะไรเจ้าก็รับฟังอย่างว่าง่าย พวกเราไม่วาดหวังเป็นที่ต้องพระเนตรไทเฮา กลับมาอย่างปลอดภัยสำคัญที่สุดนะ”
เฉียวเจากุมมือมารดาเบาๆ “ท่านแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ไม่เกิดเรื่องอันใดกับข้าหรอกเจ้าค่ะ”
เหอซื่อพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ เจาเจาของข้ารู้ความแล้ว ทั้งยังเก่งกว่าแม่มากนัก ไปเถอะ รีบไปรีบกลับ”
แม่ลูกสองคนย้อนกลับไปที่โถงรับรอง
ไหลสี่เชิดคางขึ้น “คุณหนูหลีซาน เชิญเถอะ”
“รบกวนกงกงด้วยเจ้าค่ะ” เฉียวเจายอบกายคำนับ
เกี้ยวราชสำนักแบบเรียบง่ายหากยังแฝงความประณีตวิจิตรไว้หลังหนึ่งจอดอยู่นอกประตู ขณะที่เฉียวเจาก้มตัวจะเข้าไป ไหลสี่ลดสุ้มเสียงลงถามคำหนึ่ง “คุณหนูสามเคยให้ยาอะไรแก่คุณหนูเจียงใช่หรือไม่”
เฉียวเจาชะงักเล็กน้อย นางหันไปมองเขา
ไหลสี่กลับยืนตัวตรงมองไปข้างหน้า ทำท่าทำทางไม่รู้ไม่ชี้
แม้ว่านางเริ่มครุ่นคิดอยู่ในใจ แต่สีหน้ายังคงนิ่งสนิท นางค้อมศีรษะให้เขาเป็นเชิงขอบคุณก่อนก้มศีรษะเข้าไปในเกี้ยว
ไหลสี่ตบๆ ห่อผ้า นึกในใจว่า ข้ากล่าวคำนี้แล้วถือว่าไม่ได้รับเงินห่อนี้มาเปล่าๆ นะ
เกี้ยวถูกยกขึ้น เฉียวเจานั่งอยู่ด้านในยกมือนวดๆ หว่างคิ้ว
ถ้อยคำนี้ของขันทีผู้ถ่ายทอดพระบัญชาจะบอกเป็นนัยๆ ว่าที่ไทเฮาเรียกตัวนางเข้าวังเกี่ยวข้องกับคุณหนูเจียงหรือ แต่จับจากน้ำเสียงนี้เกรงว่าจะมิใช่เรื่องดี
เจียงซือหร่านเคยมาขอยาลบรอยแผลที่ท่านปู่หลี่ปรุงขึ้นไปแค่ขวดเดียว หรือว่ายานี้เกิดปัญหาอะไรขึ้น
อย่างนั้นก็ไม่ถูกต้อง ถ้าเจียงซือหร่านใช้ยาลบรอยแผลแล้วเกิดปัญหา ไฉนรู้ไปถึงไทเฮาได้ เจียงถังจะเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ปานใด แต่เจียงซือหร่านเป็นแค่บุตรสาวของขุนนาง ไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็ไม่น่าจะออกหน้าในครานี้…
เมื่อตรึกตรองถึงตรงนี้ ความคิดหนึ่งจุดวาบขึ้นในหัวของเฉียวเจา นางนึกไปถึงคนผู้หนึ่งโดยพลัน
หรือว่าเจียงซือหร่านขอยานั่นไปให้องค์หญิงเจินเจิน
เฉียวเจายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้มาก
ตอนนางพูดคุยกับเซ่าหมิงยวนในภูเขา เคยถามถึงสถานการณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภายนอก ถึงรู้ว่าองค์หญิงเจินเจินยังไม่เสียชีวิตและถูกช่วยออกไปแล้ว แต่ในเมืองหลวงกลับไม่มีเสียงลือเกี่ยวกับองค์หญิงเจินเจิน ดูทีว่าวังหลวงปกปิดเรื่องที่องค์หญิงประสบเหตุดินถล่มไว้
บางทีองค์หญิงเจินเจินอาจจะมีแผลเป็นจากการบาดเจ็บภายนอกตอนเหตุดินถล่ม เจียงซือหร่านถึงมาขอยาลบรอยแผลของหมอเทวดาหลี่กับนาง
กระนั้นมีจุดหนึ่งที่เฉียวเจาคิดไม่ตก ถ้าเพื่อลบรอยแผล ต่อให้ยาขวดหนึ่งไม่สามารถลบเลือนรอยแผลทั้งหมดได้ นั่นคงไม่ถึงกับต้องไล่เลียงเอาผิดกันกระมัง
ช่างเถิด ไม่คิดแล้ว เข้าเฝ้าไทเฮาแล้วก็รู้เอง
เมื่อคาดเดาได้เลาๆ เช่นนี้ เฉียวเจาก็สงบใจลงได้
ในความคิดของนาง พบปัญหาไม่น่ากลัว ทว่าไม่ล่วงรู้อะไรเลยต่างหากถึงน่าหวาดหวั่น
เมื่อเกี้ยวหยุดนิ่ง เฉียวเจาก้าวลงมาด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น
“คุณหนูหลีซาน ตามข้ามาอย่าให้ห่าง”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณกงกงที่ชี้แนะ”
ไหลสี่พาเฉียวเจาไปยังตำหนักฉือหนิง เขามองอยู่ด้านข้างเห็นนางเดินมองตรงไปข้างหน้าอย่างเรียบร้อยนุ่มนวล ไม่มีท่าทางลุกลี้ลุกลนให้เห็นแม้แต่น้อยนิด พาให้ในใจเขาบังเกิดความชื่นชมเพิ่มขึ้นหลายส่วน
หากมิใช่แน่ใจว่าไม่ได้พามาผิดคน เขาคงนึกไปจริงๆ ว่าคุณหนูหลีซานผู้นี้เป็นสตรีสูงศักดิ์อันดับหนึ่งในระดับแถวหน้าเชียว
“ไทเฮา คุณหนูหลีซานมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอทรงพระเจริญเพคะ” เฉียวเจาย่อเข่าถวายคำนับ
นัยน์ตาคมปลาบของหยางไทเฮามองสำรวจสตรีวัยเยาว์เบื้องหน้าขึ้นๆ ลงๆ เห็นนางมุ่นมวยห่วงคู่แบบที่พบได้บ่อยๆ ในหมู่เด็กสาว ทั้งการแต่งกายประทินโฉมและกิริยามารยาทไม่อาจจับผิดใดๆ ได้สักจุดเดียว สายตาของนางถึงอ่อนแสงลงยามกล่าวเสียงขรึม “เงยหน้าขึ้นให้ข้าดูสิ”
เฉียวเจายังคงอยู่ในท่าถวายคำนับ ได้ยินคำกล่าวนี้แล้วเงยหน้าขึ้นให้หยางไทเฮาเพ่งพิศอย่างเปิดเผย ทว่าหลุบตาลงน้อยๆ ดังเก่าเป็นการแสดงความอ่อนน้อม
“รูปโฉมกลับงามเข้าที อีกสองปีต้องไม่ด้อยไปกว่าองค์หญิงเก้าแล้ว”
“ไทเฮาตรัสชมเกินไปเพคะ หม่อมฉันไม่บังอาจเทียบเคียงองค์หญิง”
“ไม่บังอาจ? เจ้ามีอะไรไม่บังอาจ” หยางไทเฮาที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉยเมื่อครู่นี้พลันบันดาลโทสะ
ข้ารับใช้ในตำหนักล้วนก้มหน้างุดไม่กล้าหายใจแรงๆ ทว่าเด็กสาวที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนยังอยู่นิ่งๆ ในอิริยาบถเดิม ถึงขั้นที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำไป เพียงแต่วางท่าทางนอบน้อมมากขึ้น เผยให้เห็นลำคอระหงขาวผ่อง “ไทเฮาทรงระงับโทสะด้วยเพคะ หากหม่อมฉันกระทำไม่เหมาะสมตรงใด ทรงพระกรุณาให้ความกระจ่างด้วย หม่อมฉันจะพยายามแก้ไขให้ถูกต้องอย่างแน่นอน”
แววตาลึกล้ำของหยางไทเฮาจับอยู่ที่ตัวเด็กสาว นางรู้ดีว่าอยู่ในท่วงท่าถวายคำนับตลอดนั้นเหนื่อยมากแต่กลับไม่คิดเรียกอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น พลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่งถึงกล่าวเนิบๆ “คุณหนูหลี เจ้ารู้หรือไม่องค์หญิงเก้าใช้ยาลบรอยแผลของเจ้าแล้วกลายเป็นอย่างไร”
“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”
“ไม่รู้ เพราะอะไรเจ้าถึงไม่รู้” หยางไทเฮากระแทกถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะน้ำชา เกิดเสียงดังก้องทำให้ทุกคนใจสั่นวูบหนึ่ง
เด็กสาวตรงกลางโถงตำหนักหาได้สะทกสะท้านสักน้อยนิด นางพูดตามสัตย์จริงๆ “เพราะหม่อมฉันไม่เคยถวายยาลบรอยแผลแก่องค์หญิงเพคะ”
“ปากคมปากกล้านัก!” หยางไทเฮาตวัดสายตามองเจียงซือหร่านก่อนถามเสียงเคร่ง “เจ้าไม่ได้ให้ยาลบรอยแผลแก่องค์หญิงเก้า แต่ต้องเคยให้กับคุณหนูเจียงกระมัง”
“เคยให้เพคะ” เฉียวเจาตอบสั้นกระชับ เด็กสาวอยู่ท่าย่อเข่าโดยตลอดจนขาของนางเริ่มเมื่อยล้า หากมิได้แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด
“ต่อให้เจ้าไม่รู้ว่าคุณหนูเจียงจะนำยานั่นมามอบให้องค์หญิงเก้าใช้ แต่เอายาอะไรก็ได้หลอกลวงว่าเป็นของหมอเทวดาหลี่มาทำร้ายคนได้หรือ ข้าเรียกตัวเจ้ามาไม่ใช่แค่เพื่อองค์หญิงเก้าที่เคราะห์ร้ายเท่านั้น แต่รู้สึกปวดใจ ปวดใจที่บุคคลผู้เปรียบประหนึ่งเทพเซียนเฉกหมอเทวดาหลี่กลับมีหลานสาวที่แอบอ้างชื่อของเขาก่อกรรมทำชั่วตามอำเภอใจ”
เฉียวเจาได้ยินคำกล่าวนี้แล้วลอบยิ้มเยาะ
พวกเชื้อพระวงศ์จะพูดจะทำอะไรมักต้องหาเหตุผลสักอย่างบังหน้า พูดไปพูดมาจริงๆ แล้วก็อยากระบายความแค้นให้องค์หญิงเก้า อีกทั้งยังเป็นหลังจากรู้ว่าท่านปู่หลี่จากไปแล้ว นางกล้ายืนยันได้ว่าหากท่านปู่หลี่ยังมีชีวิตอยู่ ไทเฮาไม่มีทางประณามด่าทอโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเป็นแน่
อาการเมื่อยชาแผ่มาจากสองขา พาความคับแค้นใจพลุ่งพล่านขึ้นกลางอก เฉียวเจาเม้มปากปัดความรู้สึกนี้ทิ้งไป
นางประจักษ์แจ้งเรื่องหนึ่งมานานแล้ว ยามคนผู้หนึ่งเหลือแต่ตนเองที่พึ่งพาได้ ไม่มีสิทธิ์คับแค้นใจ สิ่งที่นางต้องทำคือเผชิญหน้ากับมัน ทวงศักดิ์ศรีและความยุติธรรมคืนกลับมาเอง
“ทูลไทเฮา ยาที่หม่อมฉันให้คุณหนูเจียงเป็นยาที่ท่านปู่หลี่ให้หม่อมฉันไว้จริงๆ เพคะ”
“เจ้าโกหก หากเป็นยาของหมอเทวดาหลี่ เหตุใดเจินเจินใช้แล้วถึงอาการรุนแรงขึ้น” เจียงซือหร่านที่นั่งอยู่ข้างกายไทเฮาถามไล่เลียง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.