บทที่ 346
เฉียวเจาไม่ปริปาก
“ร้อนตัวแล้วรึ ไม่กล้าพูดแล้วกระมัง” เจียงซือหร่านพูดเยาะ
“คุณหนูหลี ไฉนเจ้าไม่กล่าววาจา” ไทเฮาเอ่ยถาม
เฉียวเจาก้มศีรษะลงเล็กน้อย เอ่ยอย่างอ่อนน้อมว่า “ทูลไทเฮา เพราะหม่อมฉันพูดกับคุณหนูเจียงในอิริยาบถนี้ไม่เหมาะไม่ควรเพคะ”
นางอยู่ในท่าถวายคำนับขณะพูดตอบไทเฮาตลอดเวลา ไทเฮาไม่เรียกนางลุกขึ้น นางย่อมจะยืดตัวขึ้นยืนตรงโดยพลการไม่ได้แน่นอน แต่นี่มิได้หมายความว่านางจะพูดกับเจียงซือหร่านในท่วงท่าเช่นนี้
“ไม่เหมาะไม่ควรอะไรหรือ” เจียงซือหร่านซึ่งไม่ใคร่ใส่ใจเรื่องธรรมเนียมมารยาทมาแต่ไหนแต่ไรยังคิดตามไม่ทันในชั่วขณะ
เฉียวเจาแย้มปากออก “เกิดมีเสียงเล่าลือออกไปเช่นนี้ เกรงว่าชื่อเสียงของคุณหนูเจียงจะด่างพร้อยได้”
เป็นบุตรสาวของขุนนางดุจเดียวกัน ปล่อยให้คุณหนูท่านหนึ่งอยู่ในท่าถวายคำนับไทเฮายามพูดจากับคุณหนูอีกท่านหนึ่ง เช่นนั้นคุณหนูคนที่รับการคำนับโดยไม่หลบเลี่ยงจะดูหยิ่งผยองไม่รู้ธรรมเนียมมารยาทเกินไป
เมื่อเฉียวเจากล่าวเตือนขึ้น เจียงซือหร่านคิดถึงจุดนี้ได้ทันใด ในใจนางกรุ่นโกรธเป็นอันมาก “เจ้า…”
นางต้องเจตนาแน่ๆ!
“ลุกขึ้นเถอะ” สุ้มเสียงของหยางไทเฮาราบเรียบ นางมองเฉียวเจาด้วยแววตาลุ่มลึกยิ่ง
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ผู้หนึ่งในสำนักราชบัณฑิตจะควบคุมอารมณ์ได้ดีและไม่เจียมตัวไม่โอหังเยี่ยงนี้
ถ้าเด็กสาวอย่างนี้เป็นคนดีย่อมจะดีมากเป็นธรรมดา แต่หากเป็นคนชั่ว…
เฉียวเจายืดตัวขึ้น การย่อเข่าเป็นเวลานานทำให้นางซวนเซไปเล็กน้อยก่อนทรงตัวไว้ได้ในพริบตา นางเอ่ยถามอย่างสุขุมใจเย็น “คุณหนูเจียงจะถามคำถามเมื่อครู่นี้ซ้ำอีกคราได้หรือไม่”
“เจ้าเจตนาใช่หรือไม่” เจียงซือหร่านขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห
หลีซานผู้นี้ไม่เพียงตั้งแง่กับนางไปเสียทุกเรื่องไม่ว่า ยังชอบยกตนสูงส่งกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่งเสมอ แค่บุตรสาวของขุนนางขั้นหกเล็กๆ ผู้หนึ่ง นึกว่าตนเองเป็นองค์หญิงหรือไร อาศัยอะไรพูดกับนางเช่นนี้
ไม่ถูกสิ ถึงเป็นเจินเจินยังพูดกับนางอย่างสุภาพมีมารยาท
“คุณหนูเจียงกล่าวล้อเล่นแล้ว เหตุผลที่ข้าขอให้ท่านถามซ้ำอีกหน เพราะเมื่อครู่ข้าจดจ่อกับการตอบคำถามของไทเฮาเลยไม่กล้าแบ่งสมาธิ ดังนั้นจึงไม่ได้ฟังว่าท่านถามอะไรอย่างชัดเจน”
เจียงซือหร่านโดนโต้กลับ จึงกำมือแน่นจนข้อกระดูกนิ้วขาวซีดไปหมด
หยางไทเฮาลอบส่ายหน้า นางมองออกในที่สุดว่าเด็กสาวนางนี้วาจาคมคายไม่เปิดช่องโหว่สักนิด เจียงซือหร่านหมายจะเป็นต่อในเชิงคารมนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
หยางไทเฮากระแอมกระไอให้คอโล่ง “เอาล่ะ หร่านราน เจ้ามีอะไรก็ถามคุณหนูหลีซานเถอะ” ว่าแล้วนางก็ชายตามองเฉียวเจานิ่งๆ เป็นเชิงบอกอีกฝ่ายว่าอย่าตีฝีปากกับเจียงซือหร่าน
เจียงซือหร่านจ้องเฉียวเจาตาเขม็งพลางถาม “ข้าขอถามว่าเพราะอะไรหลังจากเจินเจินใช้ยาที่เจ้าให้ข้ามากลับอาการรุนแรงขึ้น”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “คุณหนูเจียงเอาแต่พูดว่าองค์หญิงทรงใช้ยาที่ข้าให้แล้วพระอาการรุนแรงขึ้น แต่ไม่ได้บอกข้าเลยว่าองค์หญิงทรงมีบาดแผลที่ใดกันแน่ เป็นแผลจากอาวุธหรือแผลไฟไหม้ รอยแผลนูนขึ้นหรือบุ๋มลง และอยู่ตรงตำแหน่งใด”
“มันเกี่ยวอะไรกันด้วย” เจียงซือหร่านถามแย้งกลับ
“เกี่ยวกันแน่นอน สาเหตุที่เกิดแผลตลอดจนลักษณะและตำแหน่งของรอยแผล ยาที่ใช้รักษาล้วนแตกต่างกันไป”
“แต่ตอนนั้นเจ้าไม่ได้บอกว่าต้องระวังจุดนี้” เจียงซือหร่านไม่ยอมจำนน
ถึงจะแตกต่างกันก็ไม่ใช่ว่าพอใช้แล้วต้องแย่ลง นี่จะรังแกว่านางไม่รู้เรื่องพวกนี้ชัดๆ
เฉียวเจาไม่ปฏิเสธ “ข้าไม่ได้บอก เพราะไม่ว่ายาของท่านปู่หลี่ใช้กับรอยแผลแบบใด และต่อให้แสดงสรรพคุณไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยไม่มีทางเกิดผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม”
เจียงซือหร่านแค่นเสียงเยาะ “ดังนั้นเจ้ายังมีอะไรแก้ตัวได้อีก ยานั่นต้องไม่ใช่ของหมอเทวดาหลี่แน่นอน แต่เป็นยาสุ่มสี่สุ่มห้าที่เจ้าเอามาหลอกลวงข้า”
นางพูดแล้วเบนหน้าไปมองหยางไทเฮา “ไทเฮา พระองค์ทรงได้ยินแล้วนะเพคะ นางยอมรับเองกับปาก จะไม่ทรงลงทัณฑ์นางระบายความแค้นให้เจินเจินหรือเพคะ”
หยางไทเฮามองเฉียวเจาด้วยสายตาดุดัน
ใบหน้าของเฉียวเจาปราศจากแววแตกตื่นลนลานให้เห็นสักกระผีก ยามพูดกับเจียงซือหร่านนางจะประสานสายตากับอีกฝ่ายตรงๆ แต่ตอนพูดไขข้อสงสัยของหยางไทเฮาก็จะหลุบตาลงทันที “ไทเฮาเพคะ ได้ยินคำกล่าวของคุณหนูเจียง หม่อมฉันแน่ใจได้ว่าองค์หญิงไม่ได้ทรงมีรอยแผลอย่างเดียวแน่นอน แต่ยังต้องมีปัญหาอื่นอีกด้วยเพคะ”
นัยน์ตาของหยางไทเฮาทอประกายวูบหนึ่ง สภาพของเจินเจินนั่นมิใช่แค่เรื่องรอยแผลบนหน้าจริงๆ
“ไทเฮา ไม่ทราบว่าพระองค์จะทรงขัดข้องหรือไม่หากหม่อมฉันจะขอเข้าเฝ้าองค์หญิงเพคะ”
“หลีซาน เจ้าทำร้ายเจินเจินเพียงนี้แล้วยังไม่พอใจหรือ ยังอยากจะหัวเราะเยาะนางอีกใช่หรือไม่”
เฉียวเจามองเจียงซือหร่านด้วยแววตาปึ่งชาน้อยๆ นางนึกในใจว่า คุณหนูเจียง เจ้าอยากเห็นข้าเคราะห์ร้ายจนทุ่มสุดตัวถึงเพียงนี้ ก็ไม่รู้ว่าบิดาเจ้ารู้เรื่องหรือไม่
“มองอะไร” สายตาผิดแปลกไปของอีกฝ่ายทำให้เจียงซือหร่านรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
เฉียวเจายิ้มบางๆ “คำกล่าวนี้ของคุณหนูเจียง ข้ารับไว้ไม่ไหวหรอกนะ ประการแรกองค์หญิงทรงมีปัญหาอะไรน่าจะไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าตั้งแต่ต้น ประการที่สองยาลบรอยแผลเป็นท่านมาขอเอง ข้าไม่รู้ว่าจะมอบให้องค์หญิง ด้วยเหตุนี้คุณหนูเจียงบอกว่าข้าทำร้ายองค์หญิง เช่นนั้นเป็นการประเมินข้าสูงไปแล้วจริงๆ ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือยาลบรอยแผลที่ข้ามอบให้คุณหนูเจียงไม่มีทางทำให้อาการรุนแรงขึ้น หากอาการขององค์หญิงแย่ลง นั่นจะต้องยังมีปัญหาอื่นอีกเป็นแน่”
นางพูดถึงตรงนี้แล้วเม้มปาก ทอดสายตามองตรงไปที่เจียงซือหร่าน “คุณหนูเจียงห้ามไม่ให้ดูอาการขององค์หญิงเป็นการยืนยัน กลับจะให้ข้ารับข้อกล่าวหานี้ ออกจะไม่สมเหตุสมผลและไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นไปบ้างหรือไม่”
“เจ้าพูดเหลวไหล…”
หยางไทเฮาโบกมือไปมาแล้วออกคำสั่ง “ไปเชิญองค์หญิงเก้ามา”
ลี่ผินซึ่งนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้างเปล่งเสียงพูดอย่างทนไม่ไหวในที่สุด “ไทเฮาเพคะ องค์หญิงเพิ่งหมดสติไปเพราะทนสะเทือนใจไม่ไหว หม่อมฉันกลัวว่านาง…”
สีหน้าของหยางไทเฮาขรึมลงเล็กน้อย “เจินเจินไม่ใช่เด็กที่อ่อนแอเช่นนั้น”
ในบรรดาหลานสาวหลายคน นางชมชอบเจินเจินมากที่สุด กระนั้นไม่ใช่เพราะว่านางมีรูปโฉมงดงามที่สุด แต่เด็กคนนี้มีความเข้มแข็งอดทนในแบบที่ผู้เป็นองค์หญิงของราชวงศ์จะขาดเสียไม่ได้
ลี่ผินไม่กล้าพูดอะไรอีก ดวงตาคู่งามที่มองตวัดไปที่ตัวเฉียวเจาฉายแววขุ่นเคืองวูบหนึ่ง
เฉียวเจาหลุบตาลงยืนนิ่งๆ ดูสง่าดุจต้นสน
ต่อจากนั้นหยางไทเฮาไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด หมุนเมล็ดเหอเถาในมือไปเรื่อยๆ
เสียงเมล็ดเหอเถาเสียดสีกันไปมาทำให้เจียงซือหร่านเริ่มกระสับกระส่ายอย่างปราศจากเหตุผล
เหตุใดไทเฮาเรียกเจินเจินมาตามคำพูดของหลีซาน หรือว่าเมื่อความวุ่นวายนี้จบลงจะเป็นนางที่เคราะห์ร้ายเช่นเคยหรือ
โอ๊ยๆๆ…จู่ๆ ข้าคิดเช่นนี้ได้อย่างไร ต้องเป็นเพราะในตำหนักร้อนเกินไปแน่!
ไม่นานนักขันทีส่งเสียงขานบอก “องค์หญิงเก้าเสด็จ…”
เฉียวเจาชำเลืองหางตามองไป เห็นองค์หญิงเจินเจินคลุมหน้าด้วยผ้าโปร่งบางสาวเท้าเข้ามา ไม่ได้พบกันเพียงไม่กี่วันนางผ่ายผอมลงไปมากราวกับจะแบกรับน้ำหนักอาภรณ์บนตัวไม่ไหวกระนั้น
พอองค์หญิงเจินเจินสบตากับเฉียวเจาก็สะดุ้งโหยงในทีแรก แววตาของนางไหวระริก จากนั้นดึงสายตาคืนมาแล้วเดินไปเบื้องหน้าหยางไทเฮา แสดงคำนับอย่างสุภาพเรียบร้อย
“ถวายพระพรเสด็จย่าเพคะ”
“เจินเจิน มานั่งตรงนี้”
องค์หญิงเจินเจินเดินไปนั่งตรงที่นั่งถัดลงมาจากไทเฮา
“เจินเจิน เจ้ารู้จักคุณหนูในอาภรณ์เรียบง่ายท่านนี้หรือไม่” หยางไทเฮาไต่ถาม
นัยน์ตาคู่งามขององค์หญิงเจินเจินที่โผล่พ้นจากผ้าโปร่งบางอ่านความรู้สึกไม่ออกเท่าไรนัก นางตอบเสียงเรียบ “รู้จักเพคะ นางคือคุณหนูหลีซาน”
“ยาที่เจ้าใช้เป็นของที่นางให้หร่านราน?”
องค์หญิงเจินเจินนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเบาๆ
หยางไทเฮากวาดตามองเฉียวเจาปราดหนึ่ง นางกล่าวเสียงขรึม “เจินเจิน ปลดผ้าคลุมหน้าออกเถอะ ให้คุณหนูหลีซานได้ดูชัดๆ”
บทที่ 347
“เสด็จย่า…” องค์หญิงเจินเจินหันมองขวับไปทางหยางไทเฮาด้วยสีหน้าตะลึงลาน กลับปะทะเข้ากับสายตานิ่งสนิทดุจผิวน้ำของอีกฝ่าย
มือที่สอดไว้ในแขนเสื้อหลวมกว้างกำเข้าหากันแน่นจนปลายเล็บอมชมพูกลายเป็นสีขาวซีด หยางไทเฮาเพ่งมองอยู่ นางยกมือขึ้นช้าๆ จับผ้าคลุมหน้า
“เจินเจิน…” เจียงซือหร่านร้องเรียกเสียงหนึ่งอย่างสุดระงับ
นางไม่เข้าใจว่าทั้งที่ไทเฮาเป็นท่านย่าแท้ๆ ของสหายรัก แต่เหตุใดถึงใจร้ายปานนี้ จะให้เจินเจินปลดผ้าคลุมหน้าลงต่อหน้าผู้คน
องค์หญิงเจินเจินไม่สนใจเสียงเรียกของเจียงซือหร่าน นางแข็งใจดึงผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นดวงหน้าในสภาพน่าอนาถจนทนดูไม่ได้
นางมองไปทางเฉียวเจานิ่งๆ ตัวสั่นเทาน้อยๆ
ขณะที่เผยใบหน้าตนต่อหน้าธารกำนัล องค์หญิงเจินเจินรู้สึกอัปยศอดสูอย่างสุดแสน ทว่านางหมดหนทางแล้ว บัดนี้นางไม่เหลืออะไรสักอย่าง หรือว่าจะยอมสูญเสียแม้แต่ความโปรดปรานของไทเฮาไปด้วย
อันที่จริงตอนนี้นางไม่กลัวตายด้วยซ้ำไป แต่ว่านางทำใจยอมรับไม่ได้…ยอมรับไม่ได้ที่ชีวิตอันสวยงามในวัยสาวต้องกลายเป็นเช่นนี้
เสด็จย่าเคยตรัสว่านางเป็นองค์หญิงของราชวงศ์ จะเชิญหมอชื่อดังทั่วหล้ามาให้ ถึงแม้หมอเทวดาหลี่ล่วงลับไป ทำให้นางสิ้นหวังมาก แต่ถ้าเกิดว่า…ถ้าเกิดว่ายังมีคนรักษาใบหน้านางให้หายดีได้เล่า
เพื่อโอกาสหนึ่งในหมื่นนั่น นางไม่มีทางยอมแพ้
“คุณหนูหลีซาน เจ้าเห็นอาการขององค์หญิงเก้าแล้วนะ” หยางไทเฮากล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย
พระโอรสของนางหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาชีวิตอมตะ เป็นฮ่องเต้ที่ไม่ใฝ่ใจในงานราชกิจมานานหลายปี พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไม่พอใจอยู่ลับหลังแต่แรก นางผู้เป็นไทเฮาจึงทำตามความพอใจเกินไปไม่ได้
อย่างไรก็ต้องหาจุดผิดอย่างจะแจ้งถึงลงโทษคนได้เพื่อมิให้ตกเป็นที่ครหา
ดีที่เจินเจินเป็นเด็กรู้ความผู้หนึ่ง
ใบหน้าขององค์หญิงเจินเจินทำให้เฉียวเจาตะลึงพรึงเพริดอย่างยิ่งยวดไปอึดใจหนึ่ง นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าใบหน้าของนางจะสาหัสอย่างนี้
“ไทเฮา หม่อมฉันเดินเข้าไปใกล้ขึ้นได้หรือไม่ เช่นนั้นถึงเห็นได้ชัดเจนเพคะ”
แววโกรธเกรี้ยวจุดวาบขึ้นในดวงตาขององค์หญิงเจินเจิน
เจียงซือหร่านผูกคิ้วนิ่วหน้า “หลีซาน เจ้าอย่าทำเกินไป!”
“เจ้าก้าวมาข้างหน้า” หยางไทเฮากล่าวเสียงขรึม นางกลับอยากดูนักว่าแม่เด็กน้อยผู้นี้จะทำอย่างไร ตอนนี้ยิ่งไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ อีกประเดี๋ยวจะต้องร้องไห้
ด้านลี่ผินลอบกำมือเป็นหมัด เล็บมือที่ตัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อยสวยงามจิกลงกลางอุ้งมือ นางรำพึงในใจ กล้าหัวเราะเยาะบุตรสาวของนางรึ นางจดบัญชีแค้นนี้ไว้แล้ว ต่อให้ไทเฮาไม่แยแสสนใจ วันหน้ามีโอกาสนางจะต้องสะสางให้สาสม
คล้ายว่าเฉียวเจารับรู้ถึงกระแสอารมณ์ที่ปรวนแปรไม่เป็นมิตรรอบด้านได้ แต่นางยังเดินไปหยุดยืนห่างองค์หญิงเจินเจินราวครึ่งจั้งอย่างเยือกเย็น เพ่งมองอีกฝ่ายโดยไม่กะพริบตา
องค์หญิงเจินเจินหลุบตาลงอย่างอดกลั้น จนกระทั่งทนไม่ไหวจริงๆ ถึงมองสบตาคนตรงหน้า นางกัดริมฝีปากไม่ขยับกายหากสายตาราวกับอยากจะกินเลือดกินเนื้อคนตรงหน้าใจจะขาด
มองเลย มอง มองเสียให้พอ ข้าขอให้เจ้าฝันร้ายตอนกลางคืน!
หยางไทเฮาเอ่ยขึ้นเสียงเอื่อยๆ “เห็นแล้วนะ?”
เฉียวเจาย่อกายคารวะ “เห็นแล้วเพคะ”
“แล้วคุณหนูหลีซานยังอยากพูดอะไรกับข้าอีกหรือไม่”
เฉียวเจากล่าวอย่างทอดถอนใจ “อันที่จริงหม่อมฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณหนูเจียงเพคะ”
“เจ้าพูด” หยางไทเฮายกถ้วยน้ำชาขึ้น
เฉียวเจาหันไปมองเจียงซือหร่าน “คุณหนูเจียง เห็นอาการขององค์หญิงแล้ว ข้าเพียงอยากบอกว่าใช้ยาไม่ถูกโรคทำร้ายคนถึงแก่ความตายได้”
“เจ้าหมายความว่าอะไร” เจียงซือหร่านสังเกตเห็นทุกคนมองมาที่ตัวนางเป็นตาเดียวกันแล้วหน้าชาวาบๆ
เฉียวเจามององค์หญิงเจินเจินอย่างสงสารเห็นใจถึงกล่าวอธิบาย “พระพักตร์ขององค์หญิงมีอาการเนื้อเน่าเพราะพิษแทรกซึมเข้าไป ความจริงแล้วที่มีน้ำเหลืองไหลจะเกิดในระยะที่พิษลามออกมาด้านนอก ตอนนี้ยังห่างจากช่วงที่ตกสะเก็ดอีกนาน เผอิญว่าคุณหนูเจียงเอายาลบรอยแผลให้องค์หญิงใช้ เท่ากับเป็นการฝืนเร่งให้จุดที่เนื้อเน่าเหล่านี้ตกสะเก็ดเร็วขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้พิษจะคั่งอยู่ใต้ผิวทั้งหมด ฤทธิ์ของพิษกับยาก็เป็นดั่งกองกำลังสองฝ่ายที่สู้รบกัน การศึกยิ่งดุเดือด สมรภูมิยิ่งแหลกลาญ…”
นางไม่กล่าวประโยคหลังต่อ ทุกคนกลับแจ่มแจ้งกันหมดแล้ว
ใบหน้าขององค์หญิงเจินเจินเผือดขาว นางมองไปทางเจียงซือหร่าน
เจียงซือหร่านแตกตื่นอยู่ในใจ นางกัดริมฝีปากกล่าวว่า “เจินเจิน นางพูดจาส่งเดชเพื่อปัดความรับผิดชอบเป็นแน่! พิษแทรกซึม กองกำลังสองฝ่ายสู้รบอะไรกัน นางมิใช่หมอสักหน่อย พูดจาเหลวไหลสิ้นดี!”
พูดจาเหลวไหลหรือไม่ คนอื่นๆ ในที่นี้ต่างคิดเห็นกันไปอีกทางหนึ่ง
หยางไทเฮาวางถ้วยน้ำชาลง ผินหน้ามององค์หญิงเจินเจินแวบหนึ่ง ค่อยเอ่ยถามเฉียวเจา “คุณหนูหลีซาน เจ้าบอกว่าใบหน้าขององค์หญิงเก้ากลายเป็นอย่างนี้เพราะพิษแทรกซึมเข้าไป จะพิสูจน์เช่นไรว่าเจ้ามิได้กล่าวเลื่อนลอยเล่า”
“ง่ายมากเพคะ หม่อมฉันขับพิษบนใบหน้าขององค์หญิงออกมาได้”
องค์หญิงเจินเจินลุกพรวดขึ้นยืน นางพูดเสียงหลง “ถ้อยคำนี้ของเจ้าเป็นความจริงหรือ”
เฉียวเจายังเยือกเย็นดุจเดิม “องค์หญิงอย่าทรงตื่นเต้น หม่อมฉันยังมีเรื่องที่ต้องบอกไว้ล่วงหน้า หลังขับพิษออกมาเพียงทำให้พระพักตร์ไม่เน่าต่ออีก ดูแล้วจะดีขึ้นกว่าขณะนี้ แต่รอยแผลที่เหลืออยู่ต้องรักษาด้วยอีกวิธีหนึ่งเพคะ”
“ขับพิษบนใบหน้าองค์หญิงเก้าออกก่อนค่อยว่ากัน” หยางไทเฮาพูดชี้ขาดทันใด
ลี่ผินไม่วางใจอย่างมาก “ไทเฮา นี่ต้องขอความเห็นจากหมอหลวงก่อนหรือไม่เพคะ”
ปล่อยให้เด็กสาวนางหนึ่งปู้ยี่ปู้ยำใบหน้าของบุตรสาวข้า จะสะเพร่าเกินไปแล้วกระมัง
ไทเฮาปรายตามองลี่ผินแล้วถามองค์หญิงเจินเจินโดยตรง “เจินเจิน เจ้าคิดอย่างไร”
องค์หญิงเจินเจินตอบอย่างเฉียบขาด “เชิญคุณหนูหลีซานรักษาให้หม่อมฉันเถอะเพคะ”
แม้แต่หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงยังอับจนหนทาง ยังจะขอความเห็นอะไรอีก ในเมื่อจะให้คนอื่นรักษา มิสู้ทำใจเด็ดให้รู้แล้วรู้รอดกันไปจะดีกว่า
เมื่อคิดถึงตรงนี้ องค์หญิงเจินเจินผงกศีรษะกับเฉียวเจาเล็กน้อย “ไหว้วานคุณหนูหลีแล้ว”
หยางไทเฮาเอ่ยเสริมขึ้น “คุณหนูหลีซานต้องการสิ่งใดก็บอกกับไหลสี่ได้เลย”
“จัดเตรียมห้องที่เงียบสงบสักหน่อยได้หรือไม่เพคะ” เฉียวเจาไต่ถามหยางไทเฮา
นางพยักหน้า “ได้ ไหลสี่ พาองค์หญิงเก้ากับคุณหนูหลีซานไปที่ห้อง”
เจียงซือหร่านหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่เชื่อว่าสตรีที่อายุน้อยกว่าตนผู้นี้จะรักษาโรคและถอนพิษเป็น นางก้าวขาเดินตามไปด้วย
เฉียวเจาเขียนรายชื่อสิ่งของที่ต้องการส่งให้ไหลสี่กงกงไปรวบรวม เมื่อหาสมุนไพรได้ครบก็ผสมตามสัดส่วน ค่อยเติมพวกน้ำผึ้งทำเป็นตัวยาเหนียวข้น หลังฝังเข็มให้องค์หญิงเจินเจินเสร็จก็เอายาทาใบหน้านางจนทั่วแล้วบอกเสียงนุ่ม “องค์หญิงบรรทมครู่หนึ่งก่อน พอตื่นบรรทมก็ล้างยาทาบนหน้าออกได้เพคะ”
“ข้า…นอนไม่หลับ…” เพราะบนใบหน้าทายาไว้ ประกอบกับจิตใจที่หวาดหวั่นว้าวุ่นในยามนี้ เสียงพูดขององค์หญิงเบาหวิว
ใบหน้านางยังมีทางรักษาได้จริงๆ หรือ
“หลับได้เพคะ” เฉียวเจายืนสองมือไปเริ่มนวดหนังศีรษะนางเบาๆ
ความง่วงงุนจู่โจมมา องค์หญิงเจินเจินหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเจาลุกขึ้น ลี่ผินที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็ลุกขึ้นยืนตาม “คุณหนูหลี องค์หญิงนาง…”
“บรรทมไปแล้ว ทางที่ดีพระสนมทรงรออยู่ข้างนอกปล่อยให้องค์หญิงได้บรรทมหลับสนิทสักครู่เพคะ” เฉียวเจาบอกเสียงเบา
“นางจะนอนไปถึงเมื่อไร”
“ราวครึ่งชั่วยามกระมังเพคะ”
ครึ่งชั่วยามต่อมาองค์หญิงเจินเจินตื่นขึ้น เฉียวเจาล้างหน้าให้นางด้วยตนเองแล้วบอกเสียงนุ่ม “กงกงโปรดหยิบคันฉ่องมาให้องค์หญิงทอดพระเนตรด้วยเจ้าค่ะ”
คันฉ่องวางอยู่เบื้องหน้า องค์หญิงเจินเจินกลับก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นเสียที
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.