บทที่ 583
พอได้ยินเจียงหย่วนเฉาเอ่ยถึงเฉียวเจา เจียงซือหร่านขมวดคิ้วทันทีโดยไม่รู้ตัว แต่ยังคงเอ่ยตอบ “ใช่เจ้าค่ะ กวนจวินโหวหมั้นหมายกับคุณหนูสามสกุลหลีเป็นเรื่องใหญ่ในเมืองหลวงระยะนี้เลยนะเจ้าคะ น่าเสียดายพี่สือซานเพิ่งกลับมาเลยไม่ทันเหตุการณ์ครึกครื้นนี้”
เจียงซือหร่านรู้สึกไม่วายว่าเขามีท่าทีกับหลีซานต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าได้ยินว่าหลีซานหมั้นหมายแล้วจะมีท่าทีเช่นไรนะ
คนสุขุมลุ่มลึกเฉกเจียงหย่วนเฉาย่อมไม่มีทางปล่อยให้แม่นางน้อยผู้หนึ่งจับพิรุธได้ เขาหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนกล่าวยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ”
เจียงซือหร่านระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งทันควัน นางแกว่งแขนชายหนุ่มไปมา “พี่สือซาน พวกเรารีบกลับเรือนกลับเถอะ”
“ได้ พวกเรากลับเรือนกัน” เจียงหย่วนเฉาทอดสายตามองเซ่าหมิงยวนที่ห่างไปไกลแล้วแวบหนึ่ง เขาลอบกำมือเป็นหมัดพลางดึงสายตากลับมาเพ่งมองพื้น
พื้นถนนศิลาเขียวกลายสภาพเป็นดินโคลนเฉอะแฉะเพราะหิมะตก น้ำโคลนกระเด็นเปื้อนรองเท้าสีดำพื้นสีขาวเป็นจุดๆ ละม้ายจิตใจของเขาในยามนี้
นางหมั้นหมายแล้ว!
ยามดึกดื่นที่เขาข่มตานอนไม่หลับมาไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืน เฝ้าครุ่นคิดวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงถ้อยคำที่นางกล่าวในวันนั้น คาดเดาว่านางอาจจะเป็นใครบางคน แล้วก็ปฏิเสธความคิดเพ้อฝันที่พิสดารพันลึกของตนทั้งที่อยากจะเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น ทว่านางกลับหมั้นหมายแล้ว
เจียงหย่วนเฉาพลันรู้สึกคล้ายโพรงอกแตกกะเทาะเป็นรู ลมหนาวหอบปุยหิมะพัดกรูเข้าไปในนั้นทำให้เขาเจ็บร้าวจนอยากงอตัวลง กระนั้นกลางถนนที่มีคนสัญจรไปมา เขาจำต้องเหยียดหลังตรงเดินหน้าต่อไป
ข้าต้องไปพบนางให้ได้!
ต้องไปพบนาง!
“มาแล้วๆ ท่านเขยสามมาแล้ว” บ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่นอกจวนวิ่งทะยานเข้าไปรายงาน
ประตูใหญ่ของจวนสกุลหลีเปิดอ้าออกทันที
หลีกวงซูลุกขึ้นยืนคิดจะออกไปต้อนรับ แต่หลีกวงเหวินเอ่ยห้ามไว้ “บุตรเขยมาเยือนเพื่ออวยพรวันตรุษ มีอย่างที่ใดกันเป็นผู้อาวุโสออกไปต้อนรับที่หน้าประตู”
ริมฝีปากของหลีกวงซูสั่นระริก พี่ใหญ่เจอบุญหล่นทับอะไรกันแน่ถึงมีบุตรเขยอย่างนี้ได้!
เซ่าหมิงยวนยังไม่ทันเข้ามาก็มีบ่าวรับใช้อีกคนหนึ่งวิ่งฉิวเข้ามารายงาน “ฮูหยินผู้เฒ่า ของขวัญที่ท่านเขยสามนำมาวางในลานเรือนไม่พอแล้วขอรับ”
เพิ่งสิ้นเสียงรายงานชายหนุ่มพลันย่างเท้าเข้ามาพร้อมกับผู้ดูแล
วันนี้เขาสวมเสื้อคลุมยาวพอดีตัวสีแดงเข้มกับผ้าคลุมสีดำสนิททับไว้ด้านนอก เรือนกายสูง ขาเพรียวยาว นัยน์ตาดุจดวงดาราส่องแสง เห็นแล้วชวนให้เจริญตาเจริญใจ
องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างรับผ้าคลุมสีดำที่เขาถอดออกแล้วถอยออกไป
เซ่าหมิงยวนแสดงคารวะต่อเหล่าผู้อาวุโสอย่างมีมารยาท
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเม้มปากอย่างพึงใจ “ท่านเขยรีบนั่งลงเถอะ เจ้าเด็กผู้นี้ แค่มาก็พอแล้ว จะนำของขวัญมาตั้งมากตั้งมายอย่างนี้ไปด้วยเหตุใดกัน”
เซ่าหมิงยวนโน้มกายไปข้างหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทางเคารพอ่อนน้อม เขายกยิ้มพลางกล่าวเสียงนุ่ม “เป็นเพียงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของหลานเขย ท่านไม่รังเกียจก็ดีแล้วขอรับ”
หลีกวงซูมองดูอยู่ด้านข้าง สายตาของเขาไหววูบหนึ่ง
หลังจากกลับมาหลายวันนี้เขาสบจังหวะไปเยี่ยมเยียนสหายเก่าสืบถามเรื่องต่างๆ มาได้ไม่น้อย ยิ่งได้ฟังเรื่องหมั้นหมายของหลานสาวก็ยิ่งฉงนฉงาย
ครั้นได้เห็นในวันนี้อย่างน้อยก็ยืนยันได้จากท่าทีของกวนจวินโหวแล้วว่าให้ความสำคัญกับการแต่งงานนี้มาก
หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเขาคงต้องเปลี่ยนท่าทีต่อพี่ใหญ่แล้วสินะ
เซ่าหมิงยวนตวัดหางตาผ่านมือที่เคาะเท้าแขนเก้าอี้เบาๆ ของหลีกวงซูแล้วเหยียดมุมปากขึ้น
เจาเจาไม่ชมชอบท่านอารองที่พาอนุโฉมงามพร้อมบุตรชายวัยเยาว์กลับมาจากหลิ่งหนานผู้นี้ เช่นนั้นเขาก็รู้สึกไม่ชมชอบเหมือนกันเป็นธรรมดา
เมื่อคิดถึงเฉียวเจา ในใจชายหนุ่มก็ชักตื่นเต้นคึกคัก
ไม่รู้ว่าเจาเจาเย็บเสื้อตัวในของข้าเสร็จแล้วหรือยังนะ
“นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเขยฉลองวันตรุษในเมืองหลวงในรอบหลายปีมานี้กระมัง” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเอ่ยถาม
“ขอรับ ปีก่อนๆ ล้วนฉลองที่แดนเหนือ ปีนี้ได้ฉลองวันตรุษในจวนตนเองยังคงไม่คุ้นเคยอยู่สักหน่อย”
“ท่านเขยมิได้ฉลองวันตรุษในจวนจิ้งอันโหวหรือ” เหอซื่อกล่าวแทรกขึ้น
เซ่าหมิงยวนหุบยิ้มเล็กน้อย “ท่านแม่ของข้าถือศีลปฏิบัติธรรมไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ข้าก็เลยฉลองในจวนของตนเอง จะได้ไม่ทำให้พี่สะใภ้ต้องวุ่นวายขอรับ”
“ฉลองวันตรุษคนเดียวเงียบเหงาเพียงใด อีกอย่างงานฉลองวันตรุษมีเรื่องสัพเพเหระมากที่สุด พวกบุรุษจะรู้เรื่องที่ใดกัน” เหอซื่อเป็นคนตรงไปตรงมา สายตาที่มองไปทางว่าที่บุตรเขยแฝงไว้ด้วยความเห็นใจหลายส่วน
สำหรับสายตาอย่างนี้ชายหนุ่มยอมรับไว้ด้วยความเต็มใจ เขากล่าวผสมโรงขึ้นว่า “เงียบเหงาพอดูขอรับ ซ้ำยังตกๆ หล่นๆ ไม่น้อยเพราะไร้ประสบการณ์ ข้าเองก็รู้สึกว่าขาดแม่เหย้าแม่เรือนไม่ได้เช่นกันขอรับ”
เหอซื่อพยักหน้าหงึกหงัก “ก็นั่นน่ะสิ ขาดแม่เหย้าแม่เรือนได้ที่ใดกัน”
หลีกวงเหวินส่งเสียงไอดังๆ ทีหนึ่ง เขาชำเลืองมองภรรยาด้วยสายตาแฝงนัยโจ่งแจ้งมากว่า
เจ้าโง่งมใช่หรือไม่ ว่าที่ประมุขหญิงของจวนกวนจวินโหวก็คือบุตรสาวของเรา เจ้าเห็นใจเจ้าหนุ่มนี่ถึงเพียงนี้ อยากจะให้บุตรสาวของเราออกเรือนไปตอนนี้รึ
เมื่อคิดไปเช่นนี้หลีกวงเหวินพลันเห็นคนบางคนขัดหูขัดตาแล้ว
บุตรสาวเขาเพิ่งอายุสิบสี่ เจ้าหนุ่มผู้นี้ก็รอไม่ไหวแล้วหรือ
เหอซื่อกลับไม่เข้าใจความหมายของสามี นางถามอย่างห่วงใย “ท่านพี่ ท่านร้อนในหรือเจ้าคะ”
หลีกวงเหวินอึ้งงัน “…” อย่าห้ามข้า ข้าจะหย่าขาดกับสตรีเบาปัญญาผู้นี้!
ด้านหลีกวงซูลอบอิจฉาริษยาสุดจะเปรียบ
พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่เป็นพวกปากอย่างใจอย่างจริงๆ เห็นอยู่ทนโท่ว่ากวนจวินโหวอยากตบแต่งหลานเจาเข้าเรือนเร็วๆ สองคนนี้ยังจะไว้ท่าอีก
แม้นจะพูดว่าพอคนสองครอบครัวหมั้นหมายกันก็นับเป็นญาติกันได้แล้ว แต่เรื่องถอนหมั้นในภายหลังใช่ว่าจะไม่มี เพื่อมิให้ยืดเยื้อจนเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง ให้หลานเจาออกเรือนไปโดยไวถึงเป็นเรื่องสำคัญ!
หลีกวงซูอดมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่ได้
พี่ใหญ่อาจจะสติสตังไม่ปกติ แต่ท่านแม่มิได้เลอะเลือน หาไม่แล้วคงไม่ส่งสาวใช้สองคนมาจับตาดูเรื่องในเรือนเขาโดยเฉพาะ ทุกครั้งที่เขากับปิงเหนียงร่วมหอกันก็จะยกน้ำแกงป้องกันตั้งครรภ์มาแล้วเฝ้าดูปิงเหนียงดื่มลงไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเห็นบุตรชายคนรองส่งสายตามาก็เหยียดยิ้มไม่ปริปาก
หลีกวงเหวินกระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนเอ่ยขึ้น “คำโบราณว่าไว้ดี พี่ชายคนโตเปรียบดั่งบิดา พี่สะใภ้ใหญ่เป็นเช่นมารดา จวนของท่านเขยไม่มีคนดูแลความเรียบร้อย ปีหน้าก็ไปฉลองวันตรุษที่จวนจิ้งอันโหวดังเดิมเถอะ กลับเรือนตนเอง ผู้ใดจะติงว่าวุ่นวายเล่า”
เซ่าหมิงยวนยิ้มรับพลางคิดคำนึงในใจ ดูทีว่าวันหน้าค่อยเชิญท่านพ่อตาดื่มสุรากันจะดีกว่า
สีหน้าของหลีกวงซูบึ้งตึงไปหมด พี่ชายคนโตเปรียบดั่งบิดาอะไรกัน นี่พี่ใหญ่จะพูดให้ข้าฟังกระมัง
“ในสวนของเรามีต้นล่าเหมยต้นหนึ่งกำลังออกดอกสะพรั่ง ท่านโหวไปชมดูเถอะ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนคนเฒ่าคนแก่อย่างพวกข้าหรอก” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบอกอย่างยิ้มแย้ม
นี่คืออนุญาตให้เขาไปพบเฉียวเจาได้
ชายหญิงที่หมั้นหมายกันแล้ว ในช่วงก่อนเข้าพิธีมงคลสามารถพบหน้ากันได้อย่างถูกต้องเปิดเผย พวกผู้อาวุโสก็ยินดีสนับสนุนให้บุตรชายบุตรสาวได้บ่มเพาะความรักกันก่อนแต่งงาน
รอกระทั่งเซ่าหมิงยวนออกไปแล้ว หลีกวงซูก็เอ่ยปากขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ “ท่านแม่ ข้าจำได้ว่าหลานเจาเกิดตอนต้นปีกระมัง”
“ใช่ หลานเจาเกิดเดือนหนึ่ง”
“นี่ก็ถูกแล้ว อันที่จริงผ่านปีนี้ไปหลานเจาก็มิใช่เด็กๆ แล้ว แม้จะยังไม่ปักปิ่น ทว่าภายในจวนกวนจวินโหวไม่มีคนปกครองดูแล ให้นางออกเรือนไปที่นั่นเร็วขึ้นก็มีเหตุผลสมควรนะขอรับ”
เหอซื่อได้ยินแล้วไม่ชอบใจ นางเบะปากกล่าวว่า “พูดอะไรกัน เจาเจาอยู่เรือนไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ให้รีบออกเรือนไปรับภาระ ข้าหักใจไม่ได้หรอกนะ”
สีหน้าของหลีกวงซูแปรเปลี่ยนไปมา
รับภาระอะไรกัน? ได้เป็นถึงประมุขหญิงจวนโหว ไม่รู้ว่าสตรีตั้งมากเท่าไรที่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิตอยากมีอำนาจปกครองดูแลเรือนนะ!
หญิงชราปรายตามองบุตรชายคนรองอย่างเฉยเมย “เจ้าจงจำคำกล่าวนี้ไว้ เร่งรัดคนซื้อหาใช่การค้าขายไม่*”
นายท่านรองสกุลหลีโดนสามรุมหนึ่งจนพ่ายยับได้แต่กลืนเลือดอย่างเงียบๆ
บทที่ 584
พื้นที่ของจวนสกุลหลีไม่ใหญ่นัก มีเพียงสวนดอกไม้ด้านหลังเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนมองปราดเดียวก็เห็นเด็กสาวนั่งอยู่ในศาลาของสวนดอกไม้
นางหันหลังให้เขา อาจเพราะเป็นเทศกาลวันตรุษ นางจึงมิได้แต่งกายด้วยชุดเรียบๆ เช่นที่ผ่านมา แต่เปลี่ยนไปสวมเสื้อบุนวมตัวสั้นปักลายคทาหรูอี้สีเหลืองนวล คู่กับกระโปรงร้อยจีบสีแดงชาด งดงามสดใสเฉิดฉายชวนให้ใจสั่นหวั่นไหว
พอได้ยินเสียงฝีเท้าเฉียวเจาหมุนกายมา
เซ่าหมิงยวนสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไปนั่งลงอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะหิน คว้ามือของนางมากุมไว้ให้ไออุ่นตามความเคยชิน “รอนานแล้วกระมัง”
เฉียวเจาเอียงคอมองเขา “รอนานอะไรกัน ข้าชมดอกไม้อยู่นะ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราชมดอกไม้ด้วยกัน”
กิ่งล่าเหมยไม่ไกลนักไหวโอนเอนตามแรงลม
ชายหนุ่มพินิจดูครู่หนึ่งแล้วใคร่ครวญหาคำพูดก่อนเอ่ยขึ้น “เอ่อ…ดอกล่าเหมยกิ่งนี้ผลิบานได้งามจริงๆ”
เฉียวเจาหัวเราะพรืด “พอแล้ว ขืนท่านฝืนพูดต่อไป ดอกล่าเหมยยังต้องกระดากอายแล้ว”
อาณาบริเวณของจวนตะวันตกก็มีอยู่เท่านี้ ในเมืองหลวงซึ่งที่ดินแพงลิบประหนึ่งทองคำยังมีสวนดอกไม้ขนาดย่อมๆ ได้ก็ไม่ง่ายดายแล้ว
“หลายวันมานี้เจ้าสบายดีกระมัง” เซ่าหมิงยวนมองนางอย่างไม่ละสายตา
เขามักรู้สึกเสมอว่าเวลาที่ไม่ได้พบหน้ากันนั้นช่างยืดยาวปานนั้น แต่หยั่งท่าทีของท่านพ่อตาแล้ว ปีนี้หมายจะแต่งเจาเจาเข้าเรือนยังต้องทุ่มความพยายามมากยิ่งขึ้น
“เป็นวันตรุษย่อมต้องดีอยู่แล้ว”
ผู้บงการสังหารชาวสกุลเฉียวได้รับโทษทัณฑ์ตามอาญาบ้านเมืองแล้ว แผลไฟไหม้บนใบหน้าของพี่ชายมีความหวังที่จะรักษาให้หายได้ ญาติพี่น้องสกุลหลีให้ความรักเอ็นดูต่อนางอย่างมาก อีกทั้งเรื่องการแต่งงานก็เป็นที่แน่นอนแล้ว นี่คงจะเป็นช่วงเวลาที่จิตใจของนางผ่อนคลายมากที่สุดนับแต่ฟื้นคืนชีพเป็นต้นมา
“ท่านเล่า งานฉลองวันตรุษยุ่งมากใช่หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “พอไหว ฉลองคนเดียวไม่พิถีพิถันอะไรนัก เพียงเงียบเหงาไปบ้าง”
“คนเดียว?” เฉียวเจาอึ้งงันไปเล็กน้อย นางมองเขาด้วยสายตาแฝงความงุนงงหลายส่วน
เขายิ้มอย่างเปิดเผย “ใช่ คนเดียว”
ความคิดในหัวของเฉียวเจาแล่นกลับไปกลับมาหลายตลบ สุดท้ายนางเค้นเสียงพูดออกมาได้คำเดียว “ฮูหยินท่านโหว…”
เซ่าหมิงยวนกระชับมือกุมมือนางแน่นขึ้น กล่าวกลั้วเสียงหัวร่อเบาๆ “ฮูหยินท่านโหวของข้าอยู่ตรงนี้มิใช่หรือ”
“ท่านก็รู้ว่าข้าหมายถึงฮูหยินของจิ้งอันโหว”
บุรุษฝั่งตรงข้ามคล้ายคิดถึงปัญหานี้ไว้แต่แรก เขาได้ยินวาจานี้แล้วก็นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “นางมิใช่มารดาแท้ๆ ของข้า”
แพขนตาของเฉียวเจาสั่นระริก หากในใจกลับบังเกิดความคิดว่า เป็นเช่นนี้ดังคาด
สุ้มเสียงเรียบเฉยของชายหนุ่มดังขึ้นริมใบหู “ท่านพ่อบอกว่าข้าคือบุตรชายของอนุลับๆ ซึ่งอายุเท่ากับบุตรชายคนรองของท่านแม่ใหญ่พอดี แต่เขาป่วยตายไปหลังจากคลอดออกมาได้ไม่นาน ท่านพ่อเลยอุ้มข้ากลับจวนแล้วเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ในฐานะบุตรชายคนรองของท่านแม่ใหญ่…”
“นี่แสดงว่าฮูหยินท่านโหวทราบแล้ว?”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าพลางเอ่ย “อื้อ”
เฉียวเจานิ่งเงียบไปชั่วครู่ หากเป็นเช่นนี้ข้อกังขาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ชวนให้หายใจไม่ออกเมื่อครั้งอยู่ในจวนจิ้งอันโหวก็ได้คำตอบแล้ว
“เจาเจา”
“หือ?”
“เจ้าดูแคลนชาติกำเนิดของข้าหรือไม่”
เฉียวเจาอึ้งงันไปทันใด
ชายหนุ่มจับมือของเด็กสาวไว้ เขาตีหน้าเศร้าอย่างน่าสงสาร “ในสายตาผู้คนใต้หล้า บุตรชายของอนุลับๆ ยังเทียบมิได้กับบุตรชายที่เกิดจากสาวใช้ห้องข้าง ไม่มีศักดิ์ฐานะใดๆ แม้สักนิด ข้ารู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรกับเจ้า”
มุมปากของเฉียวเจาสั่นระริก ถ้ามิใช่สีหน้าทุกข์ใจของคนบางคนไม่เหมือนแสร้งทำ นางต้องกลอกตาขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่แล้ว
ไม่มีศักดิ์ฐานะใดๆ แม้สักนิดคืออะไรกัน นั่นหมายถึงบุตรชายของอนุลับๆ โดยทั่วไป กวนจวินโหวผู้ทรงเกียรติต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ด้วยหรือ
“ท่านอย่าคิดเหลวไหล…”
ชายหนุ่มก้มหน้าเอาแก้มถูกับอุ้งมือของนาง “แต่ถ้าเรื่องเล่าลือออกไปเล่า ท่านพ่อตาเป็นวิญญูชนที่อยู่ในกรอบประเพณีอันดีงาม น่าจะรังเกียจผู้มีชาติกำเนิดเช่นข้านี้มากที่สุด ถึงเวลาจะไม่ให้เจ้าออกเรือนกับข้ากระมัง”
อื้อ ถ้าเจาเจาเกิดใจอ่อนขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจผนึกกำลังสองทางพิชิตใจท่านพ่อตาได้
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า เรื่องการแต่งงานของพวกเราก็ตกลงแน่นอนไปแล้ว”
“ในสายตาของท่านพ่อตา คนที่หมั้นหมายกับเจ้าคือคุณชายรองเชื้อสายภรรยาเอกของจวนจิ้งอันโหว ไม่ใช่บุตรชายของอนุลับๆ ที่ไม่รู้ฐานะมารดาบังเกิดเกล้าของตนผู้หนึ่ง”
เฉียวเจาอ้าปากออก “ถิงเฉวียน ท่านอย่ากังวลใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้เลย”
แม่ทัพหนุ่มถูหน้าอย่างกลัดกลุ้ม “มันสุดปัญญาที่ข้าจะไม่กังวลใจ จะอย่างไรท่านพ่อตาก็เป็นคนซื่อสัตย์เถรตรงเฉกนี้ เจาเจา เจ้าว่าข้าซูบลงอีกใช่หรือไม่”
เฉียวเจาอดพิศดูบุรุษเบื้องหน้าอย่างละเอียดไม่ได้
อืม สีหน้ายังพอไหว แต่ดูเหมือนร่างกายจะผ่ายผอมกว่าตอนพบหน้ากันเมื่อหลายวันก่อนจริงๆ
ฝ่ายเซ่าหมิงยวนพยักหน้ากับตนเอง
อื้อ ดูท่าวันนี้สวมอาภรณ์ด้านในน้อยลงชั้นหนึ่งได้ผลไม่เลวเลย
เฉียวเจายกมือขึ้นจับคอเสื้อเขาให้เข้าที่แล้วกล่าวเสียงนุ่ม “วันๆ ท่านก็อย่าเอาแต่คิดฟุ้งซ่านเลย เห็นทีว่าจู่ๆ ฮูหยินท่านโหวหันหน้าเข้าทางธรรมไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก เพราะท่านโหวพูดเปิดอกกับนางแล้วได้ผลลัพธ์ที่เห็นพ้องต้องกันกระมัง ดังนั้นท่านโหวต้องเป็นคนแรกที่ไม่อยากให้ความลับนี้เปิดเผยออกไป”
“เจาเจา…” ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มวางทาบหลังมือของเด็กสาว “เจ้าแต่งเข้าจวนข้าโดยไวเถอะ มีเพียงเจ้าออกเรือนมาเร็วๆ ข้าถึงสบายใจได้”
“เรื่องวันงานมงคลมิใช่ต้องหารือกับท่านพ่อท่านแม่ข้าหรือ”
“ข้าเห็นท่านพ่อตาท่านแม่ยายล้วนรักใคร่เจ้ามาก พวกท่านต้องรับฟังความเห็นของเจ้าเป็นแน่”
มือของเด็กสาวที่อยู่บนคอเสื้อเซ่าหมิงยวนชะงักไป นางเอานิ้วชี้จิ้มๆ หัวไหล่เขา กล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ผอมลง?”
เซ่าหมิงยวนกะพริบตาปริบๆ
“ผอมลงจริงๆ หรือ” เฉียวเจาใช้ปลายนิ้วสองนิ้วหนีบเสื้อตัวนอกของเขาแล้วดึงขึ้น
สารภาพได้ลดหย่อนผ่อนโทษ!
ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นในหัวแม่ทัพหนุ่มอย่างถูกจังหวะในชั่วพริบตานี้เอง เขาไอเบาๆ ทีหนึ่งก่อนกล่าว “อาจจะเป็นเสื้อบางลง”
เฮอะ กวนจวินโหวผู้สุขุมทะนงตนในอดีตผู้นั้นหายไปที่ใดแล้ว
เฉียวเจาปรายตามองเขา “ท่านหัดใช้ประโยชน์จากความเห็นอกเห็นใจของข้าแล้วหรือ”
คนบางคนที่โดนจับโกหกได้คาหนังคาเขาทำหน้าตาเจียมเนื้อเจียมตนเหมือนสุนัขตัวโตกระทำความผิด “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องสงสารข้า”
“ใครสงสารท่านกัน อย่ามาเข้าข้างตนเอง!” เฉียวเจาปัดมือชายหนุ่มออก
หากมิใช่คนบางคนทำหางโผล่เร็วเกินไป เมื่อครู่นางยังหวุดหวิดจะหลงเชื่อไปแล้ว
เซ่าหมิงยวนทำหน้าหนาคว้ามือนางมาจับไว้อีกครั้ง นัยน์ตาสีดำสนิททอประกายหวานซึ้ง เขาอมยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นคุณหนูสามก็เห็นแก่คนแซ่เซ่าที่เข้าข้างตนเองสักหน่อย ออกเรือนมาเร็วๆ เถอะนะ”
ดวงตาของอีกฝ่ายแจ่มกระจ่างเหลือเกินจนเฉียวเจาลืมคำพูดไปชั่วขณะ
ห่างไปไม่ไกลนักหลีเจี่ยวหยุดยืนมองมาทางศาลาโดยไม่กะพริบตา
“คุณหนู…” ซิ่งเอ๋อร์เอ่ยเร่งอย่างขลาดๆ
หลีเจี่ยวชายตามองสาวใช้แวบหนึ่ง แต่กลับเดินตรงไปที่ศาลา ปั้นหน้ายิ้มแย้มก่อนเปล่งเสียงเรียก “น้องเจา”
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนหันไปมอง
หลีเจี่ยวย่อเข่าคำนับชายหนุ่ม “คารวะท่านโหวเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนหุบยิ้มก่อนผงกศีรษะอย่างไว้ตัว
หลีเจี่ยวกัดริมฝีปากอย่างสุดระงับ
เมื่อครู่นางเห็นหลีซานกับกวนจวินโหวพลอดรักชัดๆ ชายหนุ่มท่าทางเฉยเมยถือตนในความทรงจำของนางมีรอยยิ้มบนใบหน้าประหนึ่งสายลมวสันต์เดือนสาม เห็นแล้วชวนให้จิตใจอ่อนละมุนไปด้วย เหตุใดพอนางกล่าวทักทายอย่างสุภาพมีมารยาท เขากลับวางสีหน้าเย็นชาเล่า หลีซานมีอะไรดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
“พี่เจี่ยวจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาไต่ถามเสียงเรียบ
เพราะเซ่าหมิงยวนอยู่ด้วย หลีเจี่ยวถึงเผยรอยยิ้มนุ่มนวล “อื้อ ข้าจะไปอวยพรวันตรุษท่านตาท่านยาย”
“อ้อ” เฉียวเจาพยักหน้าแล้วไม่กล่าวคำใด
หลีเจี่ยวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งทว่าไม่มีคนสนใจ นางรู้สึกกระอักกระอ่วนจึงยอบกายเล็กน้อยแสดงคารวะต่อเซ่าหมิงยวนแล้วพาสาวใช้ออกเดินไป
ไม่นานนักมีสาวใช้อีกคนหนึ่งมาเชิญเซ่าหมิงยวนไปดื่มสุราที่เรือนหน้า เขาจำต้องลุกขึ้นยืน “เจาเจา ถ้าอย่างนั้นข้าออกไปก่อนนะ”
เฉียวเจาพยักหน้า นางเห็นเขากำลังจะไปก็ดึงแขนเสื้อเขาแล้วบอกเสียงค่อย “เสื้อตัวในเย็บเสร็จแล้ว ประเดี๋ยวให้คนเอาไปให้ ท่านลองสวมดูว่าพอดีตัวหรือไม่”
เสื้อตัวในเย็บเสร็จแล้ว!
เซ่าหมิงยวนพลันรู้สึกว่าเดินไม่ค่อยตรงทางเสียแล้ว
เขายังนึกว่าหากได้สวมภายในเดือนหนึ่งก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไม่คิดว่านี่เพิ่งเดือนหนึ่งวันที่สอง เจาเจาก็เย็บเสื้อตัวในให้เขาเสร็จแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเจาเจาของเขาเรียนรู้อะไรๆ ได้รวดเร็ว แน่นอนว่าที่สำคัญคือมันบ่งบอกว่าเจาเจาใส่ใจเขาเป็นที่สุด
เฉียวเจามองตามแผ่นหลังของเขาด้วยท่าทางครุ่นคิด
เหตุไฉนท่าเดินของคนบางคนถึงแปลกพิกลเช่นนี้นะ
* ‘เร่งรัดคนซื้อหาใช่การค้าขายไม่’ เป็นสำนวนจีน หมายถึงจะทำเรื่องอะไรต้องรอจังหวะที่เหมาะสม จะเร่งรัดไม่ได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ต.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.