บทที่ 593
ความรู้สึกที่ตู้เฟยเสวี่ยมีต่อจูเยี่ยนเห็นได้อย่างโจ่งแจ้งเหลือเกิน หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหวปลอบหลานสาวให้สงบลงได้แล้ว นางเรียกให้ไท่หนิงโหวกับเวินซื่อรั้งอยู่ต่อโดยเฉพาะ
“เจ้ากล่าวไม่ผิด เยี่ยนเอ๋อร์อายุอานามไม่น้อยแล้วจริงๆ เรื่องแต่งงานจะชักช้าไม่ได้อีก ไม่รู้ว่าในใจเจ้าหมายตาสตรีชาติตระกูลดีที่ถึงวัยออกเรือนแล้วของเมืองหลวงคนใดไว้หรือไม่”
ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะรักเอ็นดูหลานสาวต่างสกุล แต่รู้ซึ้งดีว่านิสัยของหลานสาวผู้นี้เป็นฮูหยินของซื่อจื่อไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังต้องไว้ทุกข์ให้มารดาอีกสามปี
หลานชายของนางคงรอไม่ไหวแล้ว หากไม่รีบเร่งกำหนดเรื่องการแต่งงานของหลานชายอีก หลานสาวผู้นี้ก่อเรื่องอะไรขึ้นในระหว่างไว้ทุกข์ก็จะถูกผู้คนหัวเราะเยาะเอาได้
“หลายปีมานี้ข้าคอยสังเกตอยู่ เห็นว่าคุณหนูซูของจวนเสนาบดีกรมพิธีการเหมาะสมดีเจ้าค่ะ”
“แม่เด็กน้อยสกุลซู?” ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกคิ้วขึ้น ในหัวจดจำได้คลับคล้ายคลับคลาแล้ว “ใช่คนที่สนิทสนมกับเหยียนเอ๋อร์หรือไม่”
เวินซื่ออมยิ้มพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ”
“แม่เด็กน้อยสกุลซูเหมาะสมจริงๆ สายตาเจ้าไม่เลวเลย” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างพอใจแล้วทำน้ำเสียงเปลี่ยนไป “แต่เสนาบดีซูจวนจะได้เข้าสู่สภาขุนนางรอมร่อ เกรงว่าคงมีแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอที่สกุลซูจนหัวกระไดไม่แห้ง เจ้าต้องเร่งมือหน่อยนะ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าสบายได้ พอผ่านเดือนหนึ่งไปข้าจะไหว้วานคนไปเลียบๆ เคียงๆ ถามทางจวนเสนาบดีดูเจ้าค่ะ”
หญิงชราพยักหน้าเนิบๆ
ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงวันเกิดของเฉียวเจา
ในจวนท่านผู้บัญชาการเจียง เจียงซือหร่านกำลังบันดาลโทสะใส่บิดา
“ข้าไม่สนิทกับหลีซานสักหน่อย นางจะจัดงานฉลองวันเกิด เหตุใดต้องให้ข้าไปอวยพรนางด้วย”
“หร่านราน อย่าดื้อสิ ก่อนหน้านี้คุณหนูหลีเคยช่วยเหลือพ่อ เจ้าก็ถือเสียว่าไปขอบคุณแทนพ่อ” ยามเผชิญหน้ากับบุตรสาวที่เดือดดาลอยู่ เจียงถังไม่หลงเหลือความน่ายำเกรงของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินให้เห็นแม้สักเศษเสี้ยว
ตั้งแต่กินยาแก้พิษโอสถทิพย์ที่คุณหนูหลีปรุงขึ้น เขารู้สึกว่าร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นมากอย่างชัดเจน อาการนอนไม่หลับ เป็นตะคริว และผมร่วงเหล่านั้นก็ไม่มีแล้ว
ทว่าเขาเป็นถึงผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ส่วนคุณหนูหลีเป็นเด็กสาวที่หมั้นหมายกับกวนจวินโหว เขากับนางจะพบปะกันบ่อยๆ เป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควรอย่างเห็นได้ชัด แต่ให้บุตรสาวออกหน้าแทนจะสะดวกกว่ามาก
น่าเสียดายว่าสิ่งที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้เจียงถังคือบุตรสาวของเขากับคุณหนูหลีดูเหมือนจะไม่ถูกโฉลกกันมาแต่เกิด นอกจากจะเข้ากันไม่ได้ ยังเกิดเรื่องบาดหมางกันไม่น้อย
“ท่านพ่อโกหก นางไม่ได้มีสามเศียรหกกร จะช่วยอะไรท่านได้” เจียงซือหร่านกัดริมฝีปากแค่นเสียงเยาะ “ข้ายังนึกว่าท่านพ่อกลับเป็นปกติแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่ายังโดนหลีซานวางยาเสน่ห์ใส่จนไม่มีสติ!”
เจียงถังชักมีน้ำโหบ้างแล้ว “เจ้าลูกผู้นี้ พูดจาเหลวไหลอะไรกัน”
เขาอายุปูนนี้แล้ว นับแต่ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากล่วงลับไปก็ปราศจากความคิดจะแต่งงานใหม่ ตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงดูฟูมฟักบุตรสาวจนเติบใหญ่ บัดนี้โดนนางว่ากล่าวอย่างนี้ย่อมจะโกรธเคืองแกมกระอักกระอ่วนเหลือหลาย
“ท่านพ่อดุข้า!” เจียงซือหร่านกระทืบเท้า น้ำตาไหลพรากลงมาทันใด “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ไป ท่านเต็มอกเต็มใจนักก็ไปเองสิ!”
พอเห็นเจียงซือหร่านหันหลังจะออกวิ่งไป เจียงถังรีบถามขึ้น “หร่านราน เจ้าจะไปที่ใด”
นางไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง “ข้าจะเข้าวังไปหาเจินเจิน!”
เจียงถังเห็นบุตรสาววิ่งไปไกลแล้ว จึงถอนใจอย่างหมดปัญญา “เจ้าลูกผู้นี้…”
จวนผู้บัญชาการมีอาณาบริเวณกว้างขวาง เจียงซือหร่านกำลังมีไฟโทสะสุมอก นางวิ่งสุดฝีเท้าราวกับพายุบุแคมจนหวุดหวิดจะชนเข้ากับคนผู้หนึ่งตอนลอดผ่านซุ้มประตูวงเดือน
“ระวังหน่อย…” คนที่สวนมายื่นมือพยุงนางไว้
เจียงซือหร่านเห็นคนผู้นั้นถนัดตาก็ขมวดคิ้ว “พี่ห้า ท่านมาได้อย่างไร”
ท่านพ่อส่งตัวเจียงอู่ไปไกลถึงจยาเฟิงแล้วมิใช่หรือ ไฉนเขายังกลับมาเมืองหลวงเร็วกว่าพี่สือซานนะ อีกทั้งที่น่ารำคาญคือหลังจากเขากลับมาแล้วไม่ว่าฝนตกแดดออกก็ต้องมารายงานตัวที่เรือนนางไม่เคยขาด หรือยังคิดจะเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วย
“ข้ามาหารืองานกับท่านพ่อบุญธรรม นี่หร่านรานจะไปที่ใดหรือ” เจียงอู่นั้นหล่อเหลาไม่แพ้เจียงสืออีและเจียงหย่วนเฉา จนใจที่เขามีจมูกคล้ายจะงอยปากเหยี่ยว ทำให้ดูเป็นคนเหี้ยมเกรียมอำมหิต แม้ว่ายามนี้ได้พบกับเจียงซือหร่าน มุมปากเขาจะประดับรอยยิ้มไว้ แต่ยังคงทำให้แม่นางน้อยเห็นแล้วไม่ชมชอบ
“ข้าจะไปที่ใดยังต้องรายงานพี่ห้าด้วยหรือ”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้…”
เจียงอู่ยังกล่าวไม่จบความ นางก็ผลักเขาออกแล้ววิ่งจากไป
ดวงตาที่จับจ้องมองตามแผ่นหลังนางของเจียงอู่ทอประกายวูบหนึ่ง ก่อนเขาจะหมุนกายเดินไปทางด้านใน
เจียงซือหร่านเข้าวังได้พบกับองค์หญิงเจินเจินแล้วยังคงหัวเสีย นางพูดบ่นตลอดทาง “เจินเจิน เจ้าว่าท่านพ่อโดนคุณไสยใช่หรือไม่ ไฉนถึงให้ความสำคัญกับหลีซานนักนะ”
องค์หญิงเจินเจินเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ มาตรว่าขณะนี้จะเป็นเดือนหนึ่ง ในพระราชอุทยานกลับมีดอกไม้บานสะพรั่งไม่น้อย กระนั้นมวลบุปผาที่แข่งกันเบ่งบานอย่างสวยสดงดงามยังต้องหมดสีสันไปเมื่อเทียบกับความงามเฉิดฉายของนาง
“บางทีอาจเป็นเพราะคุณหนูหลีซานเคยช่วยเหลือท่านผู้บัญชาการใหญ่จริงๆ ก็ได้นะ” องค์หญิงเจินเจินลูบแก้มที่เนียนนุ่มทีหนึ่งโดยไม่รู้สึกตัว
ในเมื่อคุณหนูหลีซานสามารถทำให้รูปโฉมของนางกลับมาเป็นดังเดิม เช่นนั้นจะมีเรื่องที่ช่วยเหลือผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินได้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เจียงซือหร่านหยุดยืนหน้าพุ่มไม้กอหนึ่งด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจินเจิน ไฉนกระทั่งเจ้าก็ยังช่วยพูดแทนหลีซาน ข้ารู้แล้ว เพราะนางรักษาใบหน้าของเจ้าให้หายดี เจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจเลยรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับนางมากกว่าข้าใช่หรือไม่”
องค์หญิงเจินเจินไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี “ไม่ใช่นะ ข้าเพียงคาดคะเนตามเหตุและผลเท่านั้น”
เจียงซือหร่านเบะปาก “เอาเป็นว่าหากเจ้าผูกมิตรกับนาง ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว ตอนงานฉลองวันตรุษ ท่านพ่อข้าดื่มสุราไปมาก ข้าน่ะได้ยินจากปากท่านพ่อเองว่าตอนแรกเมื่อปีกลายฮ่องเต้มีพระประสงค์จะรับกวนจวินโหวเป็นราชบุตรเขย ถ้าไม่ใช่ให้เจ้าก็เป็นองค์หญิงแปด เช่นนี้หลีซานแย่งพระสวามีของเจ้าไปชัดๆ”
“หร่านรานอย่าพูดจาส่งเดช” องค์หญิงเจินเจินหน้าเปลี่ยนสีทันควัน
ตรงนี้เป็นกลางพระราชอุทยาน ถูกใครได้ยินเข้า นอกจากอับอายขายหน้าแล้วยังมีผลดีอะไร
เรื่องที่เสด็จพ่อทรงเรียกนางกับพี่หญิงแปดเข้าเฝ้านั้น ในเมื่อมิได้พูดอย่างชัดเจนก็ถือว่าผ่านไปแล้ว มีเพียงคนที่ปากไม่มีหูรูดอย่างเจียงซือหร่านถึงได้ยกขึ้นมาพูดจาส่งเดชในตอนที่กวนจวินโหวหมั้นหมายแล้ว
“ข้าพูดจาส่งเดชที่ใดกัน” ตอนเจียงซือหร่านออกจากเรือนก็คับแค้นใจอยู่ก่อน ครั้นเห็นสหายรักไม่ยืนอยู่ข้างเดียวกับตนอีก นางยิ่งขุ่นเคืองใจมากขึ้นทันใด กระทืบเท้าพลางกล่าว “ช่างเถอะ ถือว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องเอง ข้าจะกลับล่ะ”
“หร่านราน…”
ยามเจียงซือหร่านอารมณ์เสียใครก็รั้งไว้ไม่อยู่ สุดท้ายองค์หญิงเจินเจินได้แต่ถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วกลับตำหนักไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ภายในพระราชอุทยานเงียบสงบลง องค์หญิงแปดซึ่งยืนอยู่หลังพุ่มไม้ก้าวออกมาช้าๆ บนหลังฝ่ามือขาวผ่องเห็นเส้นเลือดปูดโปน ปลายเล็บนิ้วที่ตัดแต่งอย่างประณีตฉีกขาดไปสองนิ้ว
เสียทีที่นางรู้สึกซาบซึ้งใจที่หลีซานส่งยาขี้ผึ้งมาให้ทาลบรอยแผลเป็นบนหน้าผาก ที่แท้…ที่แท้คู่ครองที่นางเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อถูกหลีซานยื้อแย่งเอาไปเช่นนี้เอง! ช่างน่าหัวร่อที่นางถึงขั้นวาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้รับพระราชโองการพระราชทานสมรส
และที่น่าสิ้นหวังก็คือหากไม่ได้ยินคุณหนูเจียงเอ่ยขึ้นมาในวันนี้โดยบังเอิญ นางไม่มีวันล่วงรู้ว่าเสด็จพ่อเคยตั้งพระทัยจะให้นางอภิเษกกับกวนจวินโหว
“กวนจวินโหว…” องค์หญิงแปดพูดทวนพึมพำสามคำนี้ ตรงกลางอกนางเศร้าหมองวังเวงใจมากขึ้น
ถึงตัวนางอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในของวังหลวงก็ยังเคยได้ยินถึงความเก่งกาจและบารมีของกวนจวินโหว ภายภาคหน้าคงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะได้พบกับราชบุตรเขยที่ดีเด่นยิ่งกว่าเขาอีกแล้ว!
องค์หญิงแปดลูบหน้าผากที่เนียนเกลี้ยง เพราะไม่มีแผลเป็นแล้วจึงไม่ต้องไว้ผมม้าปกปิดอีก แต่ความรู้สึกที่ดีๆ ต่อเฉียวเจากลับสลายหายวับไปจนสิ้นในชั่วขณะนี้
บทที่ 594
เจียงซือหร่านออกจากวังหลวงแล้วเหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้า
กลุ่มเมฆหนาทึบลอยต่ำเป็นสีเขียวอมดำจางๆ ละม้ายจิตใจที่ขุ่นข้องอัดอั้นของนางในยามนี้
น่าชิงชังโดยแท้ หลีซานได้ฉลองวันเกิดอย่างสุดแสนสำราญใจ แต่กลับเป็นต้นเหตุให้นางหงุดหงิดเต็มที
เจียงซือหร่านยิ่งคิดยิ่งโกรธเคือง ก้าวขึ้นรถม้าของสกุลเจียงที่รออยู่นอกประตูวังแล้วเอ่ยสั่งสารถี “ไปเรือนของพี่สือซาน”
นับแต่หมั้นหมายกับเจียงซือหร่าน เจียงหย่วนเฉาก็ย้ายออกจากจวนท่านผู้บัญชาการเจียง เรือนที่เขาอาศัยอยู่คนเดียวไม่นับว่าใหญ่โต แต่ดีที่สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเฉกเช่นภาพของตัวเขาในสายตาผู้คน
เด็กสาวกระโดดลงจากรถม้าเดินไปที่หน้าเรือน ยามเฝ้าประตูเห็นว่าเป็นนางก็เผยรอยยิ้มอย่างนอบน้อม “คุณหนูใหญ่มาหาท่านสิบสามกระมังขอรับ”
เจียงซือหร่านพยักหน้าอย่างถือตัว ก้าวเท้าเข้าไปโดยไม่ต้องให้เขาไปรายงาน
“คุณหนูใหญ่ ท่านสิบสามไปที่ที่ว่าการขอรับ”
นางถึงหยุดฝีเท้าในเพลานี้ มุ่นคิ้วนิ่งคิดแล้วพูดพึมพำขึ้นว่า “จริงสิ ใกล้จะพ้นเดือนหนึ่ง วันหยุดพักประจำปีหมดลงแล้ว พักนี้ท่านพ่ออยู่เรือนบ่อยๆ ข้าเลยลืมไป”
เมื่อรู้ว่าเจียงหย่วนเฉาไม่อยู่ นางไม่อยากรั้งอยู่ต่อแม้แต่อึดใจเดียว บอกคำเดียวว่าจะไปที่ที่ว่าการแล้วก็ขึ้นรถม้าออกไป
รถม้าหยุดจอดตรงหน้าประตูของที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน เจียงซือหร่านวิ่งตรงดิ่งไปยังที่ปฏิบัติงานของเจียงหย่วนเฉาอย่างคุ้นเคยที่ทาง
เขาได้ยินเสียงก็วางบันทึกในมือลง เงยหน้าขึ้นมองไป “หร่านรานมาได้อย่างไร”
นางย่างเท้าข้ามธรณีประตูเข้ามา กวาดตามองกองบันทึกราชการหนาๆ บนโต๊ะทำงานปราดหนึ่งแล้วกล่าวอย่างไม่พึงใจ “พี่สือซาน ไฉนเพิ่งเข้าที่ว่าการท่านก็มีงานต้องทำมากมายถึงเพียงนี้แล้วเจ้าคะ”
เจียงหย่วนเฉายิ้มบางๆ น้ำเสียงแฝงรอยเข้าอกเข้าใจ “ก็เพราะตอนวันตรุษไม่ได้เข้าที่ว่าการ ถึงมีงานสุมเป็นกองพะเนินน่ะสิ”
“ข้าไม่สน! พี่สือซาน วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ท่านไปเดินเที่ยวข้างนอกเป็นเพื่อนข้าเถอะ”
เขาทำสีหน้าลำบากใจ “หร่านราน วันนี้พี่สือซานงานยุ่งมากจริงๆ”
“จะงานยุ่งเพียงใดก็ปลีกเวลาสักครึ่งวันไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ พี่สือซาน ท่านไม่ไปเป็นเพื่อนข้า อย่างนั้นถ้าข้าเดินเที่ยวแล้วอยากซื้อของจะทำอย่างไรเล่า”
“หรือไม่ให้เจียงเฮ่อไปเป็นเพื่อนเจ้า”
เจียงเฮ่อซึ่งยืนอยู่หน้าประตูแหงนหน้ามองฟ้า
ข้าไม่อยากไปเที่ยวตลาดเป็นเพื่อนคุณหนูเจียง ข้าขอไปขัดถังส้วมดีกว่า!
“พี่สือซาน ตกลงท่านหรือเจียงเฮ่อกันแน่ที่เป็นคู่หมั้นข้า”
เจียงเฮ่อเข่าอ่อนแทบทรุด เขาลูบอกอย่างหวาดผวา
คุณหนูเจียงเป็นคนอารมณ์ร้ายก็ช่างเถิด ไยจู่ๆ ต้องขู่คนอื่นให้ตกใจเสียขวัญเล่นด้วยเล่า
เจียงหย่วนเฉารู้จักนิสัยช่างตื๊อไร้เหตุผลของนางดี เขาได้แต่ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นไปกันเถอะ แต่พวกเราตกลงกันก่อนนะ เดินเที่ยวเป็นเพื่อนเจ้าได้ครู่เดียว วันนี้ข้ามีงานต้องสะสางมากจริงๆ”
“ได้ๆ ครู่เดียวก็ครู่เดียว” เจียงซือหร่านเอามือคล้องแขนชายหนุ่มอย่างปลื้มปีติ
ขอเพียงล่อหลอกให้พี่สือซานออกไปได้ ถึงเวลายังมิใช่นางว่าอย่างไรก็อย่างนั้นหรือ
บรรยากาศของการฉลองวันตรุษยังไม่จางหาย ผู้คนบนท้องถนนสวมใส่อาภรณ์ชุดใหม่เดินไปเดินมาด้วยฝีเท้าไม่เร็วไม่ช้า ส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าท่าทางแช่มชื่นสดใส
ร้านรวงสองข้างทางที่เรียงรายเป็นทิวแถวเพิ่งเปิดร้านไม่นาน ดูเงียบเหงาอยู่สักหน่อย แต่เจียงซือหร่านจูงเจียงหย่วนเฉาไล่เดินดูไปทีละร้านๆ อย่างตื่นเต้นคึกคัก
ขณะที่สีหน้าของชายหนุ่มฉายแววอ่อนใจมากขึ้น นางชี้ไปที่ร้านไป่เว่ยซึ่งอยู่ไม่ไกล “พี่สือซาน พวกเราไปกินเนื้อแพะตุ๋นของร้านไป่เว่ยกันเถอะเจ้าค่ะ”
เจียงหย่วนเฉาทอดสายตามองไปที่ป้ายธงของร้านไป่เว่ยแวบหนึ่ง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันน้อยๆ
วันนี้เป็นวันเกิดของคุณหนูเฉียว ไม่สิ…ควรพูดว่าเป็นวันเกิดของหลีเจา เขาส่งคนไปสืบได้ความแล้วว่ากวนจวินโหวนัดหมายนางมาฉลองที่ร้านไป่เว่ย
เมื่อคิดถึงของขวัญที่โยนลงก้นหีบ เจียงหย่วนเฉาก็หัวเราะเยาะตนเองอยู่ในใจ
นางต้องไม่รับของขวัญที่เขาเตรียมไว้ให้เป็นแน่ และตัวเขานี้นางคงไม่ยินดีจะพบด้วยเช่นกัน
ถึงแม้เขาจะไม่ออกห่างจากนางเพราะเหตุนี้ แต่ก็ไม่อยากขัดความสำราญของนางในวันนี้
“ไปที่อื่นเถอะ วันนี้ไม่อยากกินเนื้อแพะตุ๋น”
คำปฏิเสธของเขาสร้างความประหลาดใจให้เจียงซือหร่านอยู่บ้าง นางแกว่งแขนของเขาอย่างออดอ้อน “แต่ข้าอยากกินนี่นา พี่สือซาน ไปกินเป็นเพื่อนข้านะ”
เจียงหย่วนเฉาไม่โอนเอนใจอ่อน
เจียงซือหร่านจึงขัดเคืองใจแล้ว “พี่สือซาน คำของ่ายๆ แค่กินเนื้อแพะตุ๋นชามหนึ่งท่านยังไม่ยอมตามใจข้า ท่านไม่ชมชอบข้าสักนิดใช่หรือไม่”
นางอาจเข้าใจอะไรๆ ไม่มากนัก แต่ก็กระจ่างแจ้งว่าถ้าบุรุษผู้หนึ่งชมชอบหญิงสาวสักคนมาก ย่อมต้องเต็มใจทำตามคำขอของนางอย่างสุดความสามารถแน่นอน
นางเพียงอยากกินเนื้อแพะตุ๋นชามเดียวกับชายในดวงใจ พี่สือซานกลับโยกโย้บ่ายเบี่ยง…
เจียงซือหร่านยิ่งคิดยิ่งหวาดหวั่นพรั่นใจ นางกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยขึ้น “หรือจะพูดว่าพี่สือซานอยากกินเป็นเพื่อนคนอื่นเท่านั้น เช่นนั้นท่านก็ไปอยู่เป็นเพื่อนเขาเถอะ ถึงอย่างไรวันนี้ข้าต้องกินเนื้อแพะตุ๋นให้ได้!”
นางพูดตรงนี้แล้วสะบัดมือเขาทิ้งอย่างมีแง่งอนพลางก้าวขาออกเดินไปทางร้านไป่เว่ย
เจียงหย่วนเฉายืนนิ่งเงียบอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งก่อนจะโคลงศีรษะเบาๆ สาวเท้าเดินตามไป
พอเข้าสู่ร้านไป่เว่ย เจียงซือหร่านก็เอ่ยบอกกับเสี่ยวเอ้อร์ “ห้องที่หนึ่งอักษรฟ้า”
เขาทำหน้าลำบากใจ “คุณหนูเจียงขอรับ ห้องที่หนึ่งอักษรฟ้าถูกคนจับจองไว้แล้ว ข้าพาท่านไปที่ห้องส่วนตัวห้องอื่น…”
นางตัดบทเสี่ยวเอ้อร์ทันที “พวกเจ้าทำงานประสาใดกัน ข้ามาทุกครั้งล้วนนั่งในห้องที่หนึ่งอักษรฟ้า ไม่เคยชินกับที่อื่น เอาอย่างนี้เถอะ ข้าให้เงินเจ้า เจ้าไปบอกให้ลูกค้าในนั้นยกห้องให้ข้าแล้วกัน”
“นี่ไม่ได้หรอกขอรับ ในห้องที่หนึ่งอักษรฟ้าเป็นลูกค้าผู้ทรงเกียรติ…”
เจียงซือหร่านโกรธจัด “พวกเขาเป็นลูกค้าผู้ทรงเกียรติ แล้วข้าไม่ใช่หรือ”
“ล้วนเป็นลูกค้าผู้ทรงเกียรติขอรับๆ คุณหนูเจียง หนนี้เปลี่ยนไม่ได้จริงๆ ท่านก็…”
นางไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ดึงแส้ออกมาฟาดใส่เสี่ยวเอ้อร์ทีหนึ่งพลางแค่นเสียงกล่าวว่า “หลีกทาง ข้ากลับอยากดูนักว่าในห้องนั้นเป็นลูกค้าผู้ทรงเกียรติจากที่ใด”
เจียงหย่วนเฉาซึ่งไล่ตามเข้ามาเห็นเด็กสาวเดินไปทางห้องที่หนึ่งอักษรฟ้าแล้วตะโกนเรียกอย่างห้ามไม่อยู่ “หร่านราน!”
เจียงซือหร่านชะงักเท้าเล็กน้อยแล้วเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
วันนี้ต้องเป็นเพราะนางไม่ได้ดูฤกษ์ยามให้ดีตอนออกจากเรือนเป็นแน่ ไฉนถึงไม่ราบรื่นสักเรื่อง นางไม่เชื่อหรอกว่าแม้แต่เนื้อแพะตุ๋นชามเดียวก็ยังไม่ได้กินสมใจ!
“คุณหนูโปรดหยุดขอรับ” เฉินกวงเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องที่หนึ่งอักษรฟ้ากางแขนขวางหน้านางไว้
เจียงซือหร่านตวัดแส้ใส่เขา “บ่าวไพร่ผู้หนึ่งก็กล้าขวางทางข้าได้เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
เฉินกวงจับแส้ไว้กระตุกทีหนึ่งแล้วปล่อยมือทันที
เจียงซือหร่านหงายหลังล้มลงบนพื้นอย่างหมดท่า
“เจ้ากล้าลงไม้ลงมือหรือ!” นางผลักเจียงหย่วนเฉาที่ฉุดนางลุกขึ้นออกไปด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
เฉินกวงกล่าวพร้อมรอยยิ้มพราย “คุณหนูต้องดูให้ดีๆ นะขอรับ ต่อให้ข้าเป็นบ่าวไพร่ก็มิใช่บ่าวไพร่ของท่าน”
เขาก็เป็นทหารมีตำแหน่ง ยามอยู่ในค่ายทหารยังถูกเรียกขานว่า ‘แม่ทัพ’ แต่ในสายตาบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้นี้ เขากลับกลายเป็นบ่าวไพร่ไปเสียแล้ว ช่างน่าขบขันดีแท้
“บังอาจ!”
เฉินกวงยกยิ้มเอื่อยๆ “คุณหนูพูดจานุ่มนวลสักนิดได้หรือไม่ เกิดรบกวนการกินอาหารของคุณหนูสามของพวกข้าขึ้นมาจะไม่เป็นการดีนะขอรับ”
คุณหนูสาม?
เจียงซือหร่านนิ่งขึงไป นางนึกไปถึงชื่อชื่อหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ จากนั้นความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ก็เข้าเกาะกุมกลางใจ
ประตูเปิดออกดังเอี๊ยด เฉียวเจายืนอยู่หน้าห้องมองเจียงซือหร่านพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ที่แท้เป็นคุณหนูเจียงนั่นเอง”
“ที่แท้เป็นเจ้า…เป็นเจ้าอีกแล้ว!” ไฟโทสะของเจียงซือหร่านลุกโชนขึ้น นางเงื้อแส้ขึ้นตามสัญชาตญาณ
“หร่านรานหยุดนะ!” เจียงหย่วนเฉายื่นมือไปจับแส้ในมือนางไว้ เขาผงกศีรษะเล็กน้อยกับเฉียวเจา “ขออภัยด้วยคุณหนูหลี พวกข้าจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ต.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.