บทที่ 595
เจียงซือหร่านเบิกตากว้าง “พี่สือซาน ท่านปกป้องนางอีกแล้วนะ”
เจียงหย่วนเฉาเจียนจะรักษารอยยิ้มตรงมุมปากไว้ไม่อยู่แล้วพลางกล่าวทอดถอนใจ “หร่านราน วางแส้ลง พวกเรากลับกันเถอะ”
เขาไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าเด็กสาวคิดอะไรอยู่ นางมองจากตรงที่ใดว่านี่เป็นการปกป้องกันแน่
ต่อหน้าคนมากมายเฉกนี้ เขาจะปกป้องนางได้อย่างไร
สำหรับนางแล้วเกรงว่านั่นจะมิใช่ความโชคดี แต่เป็นการกวนใจกระมัง
แววอ่อนใจในดวงตาเขากลับทิ่มแทงความรู้สึกที่เฉียบไวของเจียงซือหร่าน “เพราะอะไรพบกับหลีซานแล้วข้าต้องกลับไป ข้าต่ำต้อยกว่านางหรือ”
สุ้มเสียงเฉยเมยของเฉียวเจาดังขึ้น “ท่านทั้งสองอย่าทะเลาะกันตรงหน้าประตูห้องส่วนตัวที่พวกข้าจับจองไว้ได้หรือไม่”
เจียงซือหร่านแค่นหัวเราะทันที นางยกสองมือกอดอกมองหน้าเฉียวเจา “เจ้าจับจองห้องที่หนึ่งอักษรฟ้าไว้แล้ววิเศษนักหรือ ข้าว่านะหลีซาน เจ้าชมชอบแย่งชิงของของผู้อื่นใช่หรือไม่ ทั้งบิดาข้า ทั้งพี่สือซาน แม้กระทั่งกวนจวินโหวก็ด้วย!”
สุ้มเสียงปึ่งชาของชายหนุ่มดังลอยมาจากด้านหลัง “เอ๊ะ ไฉนข้าไม่รู้ว่าคู่หมั้นของข้าแย่งชิงของอะไรจากคุณหนูเจียง”
เจียงซือหร่านหมุนกายขวับ
เซ่าหมิงยวนสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้ามายื่นมือกุมมือเฉียวเจาไว้ เขามองไปทางเจียงหย่วนเฉา “หากข้าจำได้ไม่ผิด ตอนนี้น่าจะยังเป็นเวลาปฏิบัติราชการอยู่กระมัง ใต้เท้าเจียงก็นึกครึ้มใจพาคู่หมั้นมาหอสุราด้วยหรือ”
เจียงหย่วนเฉายิ้มบางๆ “คงไม่ผ่อนคลายสบายใจเท่าท่านโหว”
เซ่าหมิงยวนมองเขานิ่งๆ พูดด้วยน้ำเสียงแฝงรอยตักเตือน “หากใต้เท้าเจียงควบคุมคู่หมั้นของตนเองไม่ได้ คราวหน้าข้าจะไปพูดคุยกับท่านผู้บัญชาการเจียงเอง”
เจียงหย่วนเฉาเพียงยิ้มไม่พูดอะไรอีก
เซ่าหมิงยวนเพิ่งหันไปมองเจียงซือหร่านตอนนี้ ในดวงตาเขาไร้รอยกระเพื่อมไหวใดๆ “ข้าอยากขอคำชี้แนะจากคุณหนูเจียงสักหน่อย ไม่ทราบว่าคู่หมั้นของข้าแย่งชิงสิ่งใดจากท่าน หากแย่งมาจริงๆ ข้าจะได้คืนให้แทนนาง”
เจียงซือหร่านกัดริมฝีปากไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ในสถานการณ์เช่นนี้จะให้นางพูดว่าหลีซานแย่งความสนใจของพี่สือซาน แย่งความห่วงใยของท่านพ่อ และแย่งพระสวามีของเจินเจินไปอย่างนั้นหรือ
พอเห็นนางไม่กล่าววาจา เซ่าหมิงยวนหัวเราะเบาๆ “ถ้าคู่หมั้นของข้ามิได้แย่งชิงสิ่งของของคุณหนูเจียง เช่นนั้นข้าหวังว่าท่านจะขอขมานางด้วย”
“ท่านจะให้ข้าขอขมาหลีซาน?” เจียงซือหร่านมองเจียงหย่วนเฉาแวบหนึ่งโดยพลัน
เจียงหย่วนเฉาอาจไม่สบอารมณ์เป็นอันมากที่คนบางคนเรียก ‘คู่หมั้นของข้า’ ไม่หยุดปาก แต่เขาก็นิ่งเงียบเป็นเชิงเห็นพ้องกับเรื่องที่เจียงซือหร่านสมควรขอขมา
ไม่ว่าอย่างไรน้องสาวบุญธรรมสมควรแก้นิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจตนได้แล้ว
“พี่สือซาน ท่านเห็นว่าข้าควรจะขอขมานางเหมือนกันหรือ” ถ้อยคำของเซ่าหมิงยวนไม่มีอำนาจใดๆ ต่อเจียงซือหร่าน แต่ท่าทางนิ่งเงียบยอมรับของเจียงหย่วนเฉากลับทำให้นางเจ็บหัวใจแปลบปลาบ
“หร่านราน วันนี้เจ้าวู่วามไปบ้าง คำบางคำไม่พึงพูดจาส่งเดช”
“ข้าไม่ได้พูดจาส่งเดช” เจียงซือหร่านถอยหลังครึ่งก้าว นางกัดริมฝีปากสุดแรง “เหตุใดคนอื่นถึงปกป้องคู่หมั้นของตนเองอย่างหมดจิตหมดใจ แต่พี่สือซานกลับไปเข้าข้างคนที่ข้าเกลียดชัง”
“หร่านราน นี่มิใช่ปัญหาว่าปกป้องหรือไม่…”
นางถอยกรูดๆ แววโกรธแค้นระคนเจ็บช้ำฉายชัดในดวงตา “ข้าไม่อยากได้ยินคำอธิบายพวกนี้ พี่สือซาน ข้าไม่สนใจท่านอีกต่อไปแล้ว”
เด็กสาวพูดจบแล้วถลึงตาใส่เฉียวเจาอย่างดุดันก่อนจะหันหลังวิ่งผลุนผลันออกไป
เมื่อเจียงซือหร่านไปแล้ว สีหน้าของเจียงหย่วนเฉาก็ยิ่งจับความรู้สึกใดๆ ไม่ออก เขาค้อมศีรษะเล็กน้อยให้เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจา “ขออภัยด้วย ไม่รบกวนความสำราญของท่านทั้งสองแล้ว”
เฉียวเจามีสีหน้าเรียบเฉย นางมองดูเขาย่ำเท้าลงบันไดแล้วเดินตัดผ่านโถงร้านออกนอกประตูไปโดยไม่เหลียวหลังก็รู้สึกโล่งอกน้อยๆ
บัดนี้พอนางเห็นคนผู้นั้นก็จะรู้สึกต่อต้านเขาตามสัญชาตญาณ หวังว่าวันหน้าเขากับนางจะข้องแวะกันน้อยลงเรื่อยๆ
“เจาเจา พวกเราเข้าไปเถอะ” เซ่าหมิงยวนจูงนางเข้าห้องพลางพูดเอื่อยๆ “อย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาขัดอารมณ์เลย”
“อื้อ” เฉียวเจาขานตอบในลำคอคำหนึ่ง
เจียงหย่วนเฉาก้าวออกจากหอสุราก็ไม่เห็นวี่แววของเจียงซือหร่านแล้ว
เมื่อนึกถึงว่ามีองครักษ์จินหลินคอยอารักขาเจียงซือหร่านอยู่ในที่ลับ และในที่ว่าการยังมีงานอีกมากต้องสะสาง เขาก็หยุดยืนชั่วอึดใจก่อนจะหันหลังเดินไปทางที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน
หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาจากฟ้าปกคลุมทั่วพื้นถนนศิลาเขียวไว้ชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว พอตกเย็นท้องฟ้าขมุกขมัวมืดสลัวลง หิมะก็กองทับถมกันสูงเป็นคืบแล้ว
ในจวนสกุลเจียงเจียงถังยืนอยู่ใต้ระเบียงทางเดินหน้าโถง แลมองปุยหิมะที่ตกพรำๆ ด้วยความกระวนกระวายใจอย่างไร้สาเหตุ
“ไปถามซิว่าคุณหนูใหญ่ยังไม่กลับมาจากวังหลวงอีกหรือ”
ไม่นานนักองครักษ์จินหลินผู้หนึ่งก็เข้ามารายงาน “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ คุณหนูใหญ่ออกจากวังหลวงตั้งนานแล้ว จากนั้นไปชักชวนท่านสิบสามที่ที่ว่าการออกไปเดินเที่ยวด้วยกันขอรับ”
พอได้ยินว่าบุตรสาวไปเดินเที่ยวกับเจียงหย่วนเฉา ใบหน้าของเจียงถังก็แต้มด้วยรอยยิ้ม “ข้าถึงว่าไฉนหักใจกลับมาไม่ได้ แต่เป็นเวลาเย็นมากแล้ว อีกทั้งมีหิมะตก เจ้าไปตามหาพวกคุณหนูใหญ่เถอะ”
องครักษ์จินหลินออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง
เจียงถังไม่อยากกลับเข้าเรือน เขายืนอยู่ข้างเสาระเบียงมองดูต้นไม้ใบหญ้าที่โดนหิมะบดบังโฉมหน้าเดิมเอาไว้อย่างเหม่อลอย
เขายืนเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วยามโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหน้าไป
ครั้นเห็นเจียงหย่วนเฉาเดินมากับองครักษ์จินหลินหลายคน เจียงถังย่นหัวคิ้วเข้าหากันน้อยๆ “สือซาน ไฉนหร่านรานไม่ได้กลับมาพร้อมเจ้า”
“ท่านพ่อบุญธรรม ข้ากับหร่านรานแยกกันที่ร้านไป่เว่ยตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วขอรับ”
“แยกกัน? แล้วเจ้าไปที่ใด”
“หลังจากพวกข้าแยกกัน ข้าก็กลับไปที่ที่ว่าการขอรับ”
สีหน้าของเจียงถังขรึมลง “ก็แสดงว่าตลอดบ่ายนี้หร่านรานอยู่คนเดียว?”
ตอนเจ้าเด็กผู้นั้นออกจากเรือนกำลังโกรธเขาอยู่ สือซานยังไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนอีก ดูทีว่านางคงจะอารมณ์ไม่ดีมากขึ้น
“ยังยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด รีบไปตามหาคุณหนูใหญ่สิ”
“ขอรับ” พวกองครักษ์จินหลินลอบมองเจียงหย่วนเฉาก่อนจะรับคำสั่งออกไป
เจียงถังเลิกหางคิ้วขึ้น “สือซาน ข้ารู้ว่าในที่ว่าการมีงานรอให้เจ้าสะสางอยู่เป็นกองพะเนิน แต่วันนี้หร่านรานอารมณ์ไม่ดีอยู่แต่แรก หรือว่าเจ้าดูไม่ออก”
เจียงสือซานยิ้มฝืดๆ “เป็นข้าสะเพร่าเองขอรับ”
อารมณ์น้องสาวบุญธรรมผู้นี้ของเขาก็เป็นเหมือนท้องฟ้าเดือนหก อยากจะมืดครึ้มก็มืดครึ้ม อยากจะสดใสก็สดใส หากต้องคอยเอาอกเอาใจนางทุกเวลา เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นแล้ว
“เจ้าเด็กผู้นั้นทิฐิแรง เวลานี้ยังไม่กลับมา เห็นทีว่าคงงอนโกรธจนไปอยู่ที่อื่นหลายวันอีกตามเคย” เจียงถังกล่าวทอดถอนใจ
ตั้งแต่เล็กจนโตบุตรสาวของเขาผู้นี้หนีออกจากเรือนจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ดีที่ข้างกายนางมีองครักษ์จินหลินฝีมือดีติดตามอยู่เสมอ เขากลับไม่ต้องกังวลใจเรื่องความปลอดภัย เพียงทว่า…
เจียงถังกวาดตามองชายหนุ่มปราดหนึ่งอย่างไม่ใคร่พอใจนัก ความรู้สึกที่สือซานมีต่อหร่านรานดูเหมือนจะเป็นความรักฉันพี่น้องมากกว่าความรักฉันหนุ่มสาว…
ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่องครักษ์จินหลินผู้หนึ่งก็ลุกลนวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเผือด “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ พบ…พบคุณหนูใหญ่แล้วขอรับ”
ถ้อยคำนี้ฟังดูไม่ค่อยปกติ แววตาของเจียงหย่วนเฉาไหววูบหนึ่ง
เจียงถังใจหายวาบอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาตวาดดุลั่น “ยังเหลือความเป็นองครักษ์จินหลินอยู่สักนิดหรือไม่ แล้วคุณหนูใหญ่อยู่ที่ใดเล่า!”
หรือว่าหร่านรานก่อเรื่องขึ้นอีกแล้ว
องครักษ์จินหลินเข่าอ่อนยวบ ก้มหน้างุด “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ท่านไปดูเองดีกว่าขอรับ…”
ภายในตรอกเปลี่ยวร้างสายหนึ่งห่างจากร้านไป่เว่ยไปสองถนนมีหิมะทับถมกันสูงเลยน่อง แต่ตรงสุดปลายกำแพงกลับสุมเป็นกองนูนขึ้นเล็กน้อยเหมือนเนินเขาเตี้ยๆ เจียงถังเพ่งสายตามองไปที่จุดนั้นแล้วแม้แต่เท้าก็ก้าวไม่ออก
บทที่ 596
เจียงซือหร่านตายแล้ว
ตายในตรอกเล็กเปลี่ยวร้างซึ่งแม้จะห่างจากถนนที่คึกคักเฟื่องฟูไปไม่ไกล แต่กลับมีคนผ่านเข้าออกน้อยนักสายหนึ่ง
เด็กสาวในสภาพตายตาไม่หลับนั่งพิงหมิ่นๆ อยู่ตรงเชิงกำแพงมีหิมะกลบทับร่างกายบางส่วนไว้ ใบหน้าที่โผล่ออกมาขาวซีดปราศจากสีเลือด นัยน์ตาเบิกค้างอย่างตกใจกลัวแกมคาดไม่ถึง
ห่างไปไม่ไกลมีศพของชายหนุ่มสองคนนอนอยู่บนพื้น เป็นองครักษ์จินหลินที่อารักขานางในที่ลับ
“ท่านพ่อบุญธรรม…” เจียงหย่วนเฉาปริปากอย่างยากลำบาก เขายื่นมือไปประคองเจียงถัง
เจียงถังผลักเขาออก “ไสหัวไป!”
เจียงหย่วนเฉาถูกผลักไปด้านข้าง
เจียงถังเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง รองเท้าทรงสูงสีดำเหยียบลงบนหิมะจนบังเกิดเสียงดังสวบๆ
เขาพลันเร่งฝีเท้าถลันเข้าไปข้างๆ เจียงซือหร่าน
“หร่านรานๆ ไฉนเจ้าไม่เชื่อฟังเช่นนี้ อยู่ตรงนี้ก็นอนหลับแล้วหรือ” เจียงถังราวกับเป็นคนชราไม้ใกล้ฝั่ง ยื่นมือที่สั่นระริกไปประคองแก้มที่แข็งทื่อไปนานแล้วของบุตรสาว พูดคะยั้นคะยอเสียงพึมพำ “ลุกขึ้นเร็วเข้า ตรงนี้หนาว พ่อพาเจ้ากลับเรือน…”
เจียงถังพูดไม่ทันจบ เขาก็เบือนหน้าไปอีกทางแล้วกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
“ท่านผู้บัญชาการใหญ่” องครักษ์จินหลินพากันรุดมาที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเปล่งเสียงพร้อมกันด้วยความตกตะลึง
เจียงถังเพ่งมองเลือดสีแดงฉานบนหิมะโดยไม่ขยับกาย
องครักษ์จินหลินกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครกล้าอ้าปากพูดคำใดอีก
ท่านผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเขามีบุตรสาวคนนี้เพียงคนเดียว เลี้ยงดูนางเสมือนไข่มุกในอุ้งมือมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนผมขาวส่งดวงวิญญาณคนผมดำ
ที่สำคัญคือกององครักษ์จินหลินอันทรงเกียรติของพวกเขาไม่อาจคุ้มครองแม้กระทั่งบุตรสาวของท่านผู้บัญชาการใหญ่ให้ปลอดภัยได้ เมื่อข่าวแพร่ออกไป พวกเขาทุกคนคงสู้หน้าใครมิได้แล้ว!
ในดวงตาขององครักษ์จินหลินแต่ละคนแฝงไว้ด้วยไฟโทสะ พวกเขากำมือเป็นหมัดบังเกิดเสียงดังกร๊อบๆ
“ท่านพ่อบุญธรรม…” เจียงอู่ซึ่งรุดมาถึงส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง
ส่วนเจียงสืออียืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ
เจียงถังไม่แยแส เขาก้มตัวลงอุ้มศพของเจียงซือหร่านขึ้น
“ท่านผู้บัญชาการใหญ่…” เหล่าองครักษ์จินหลินล้อมวงเข้าไป
เจียงถังไม่กล่าวคำใด อุ้มศพบุตรสาวออกเดินไปก้าวหนึ่ง แต่ก้าวที่สองกลับซวนเซจะล้มลง
ฝ่ามือหลายคู่ยื่นมาหาพร้อมกัน แต่ถูกเจียงถังปัดออกไปหมด “อย่าแตะต้องหร่านรานของข้า!”
เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าวด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง ทิ้งรอยเท้าจมลึกอยู่บนพื้นหิมะ น้ำตาไหลลงมาเป็นทางจากดวงตาที่แดงก่ำดุจสายเลือด
เจียงหย่วนเฉาสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เอาศพของพวกเขาไป”
ท้องฟ้ามืดมิดแล้ว หิมะที่ทับถมอยู่ตามกระเบื้องชายคาและพื้นถนนสะท้อนแสงไฟเป็นประกายสีขาวโพลน ท้องถนนเงียบเชียบวังเวง มีคนผ่านไปผ่านมาบางตาเป็นครั้งคราว พอเห็นองครักษ์จินหลินเต็มพรืดเป็นโขยงก็ตกใจแทบขวัญกระเจิง พากันหลบไปไกลๆ ทันที
เหล่าองครักษ์จินหลินที่เดินตามหลังเจียงถังเงียบๆ เริ่มรู้สึกผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ
ทิศทางที่ท่านผู้บัญชาการใหญ่มุ่งหน้าไปมิใช่จวนสกุลเจียง แล้วก็ไม่ใช่ที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน แต่เป็น…
องครักษ์จินหลินทั้งหลายแอบสบตากันไปมาอย่างฉงนใจแล้วพากันมองไปทางเจียงหย่วนเฉา
ตั้งแต่เจียงหย่วนเฉากับเจียงซือหร่านหมั้นหมายกัน ท่านสิบสามก็เป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดรองจากท่านผู้บัญชาการใหญ่คนเดียวในกององครักษ์จินหลิน
เจียงหย่วนเฉาคิดอ่านได้เฉียบไว เห็นทิศทางที่เจียงถังเดินไปประกอบกับสีหน้าในขณะนี้ของเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาจะไปที่ใด
“ท่านพ่อบุญธรรม ท่านจะไปที่สำนักแพทย์หลวงหรือขอรับ”
ถ้อยคำนี้ดังขึ้นเหล่าองครักษ์จินหลินหน้าเปลี่ยนสีไปทันใด
ท่านผู้บัญชาการใหญ่สูญเสียบุตรสาวอันเป็นที่รัก ส่งผลให้เขาโศกเศร้าเสียใจจนเกินไปถึงขั้นไม่ยอมรับว่านางตายไปแล้วใช่หรือไม่ นี่คือจะอุ้มคุณหนูเจียงไปรักษาที่สำนักแพทย์หลวงหรือ
หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าจะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งราชสำนัก โดยเฉพาะคนของกองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวา จะยกข้ออ้างว่าท่านผู้บัญชาการใหญ่สติเลอะเลือนเพื่อฉวยโอกาสยึดอำนาจไปหรือไม่
แต่ว่าในเวลาอย่างนี้พวกองครักษ์จินหลินไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดังต่อหน้าเจียงถัง นับประสาอะไรกับออกปากห้ามปราม จึงทำได้เพียงมองเจียงหย่วนเฉาอย่างคาดหวัง
เจียงหย่วนเฉายืนขวางหน้าเจียงถัง “ท่านพ่อบุญธรรม พวกเรากลับเรือนเถอะ หร่านรานเป็นอย่างนี้ ต้องหาคนมาช่วยแต่งตัวนางให้เรียบร้อย ท่านเห็นว่าอย่างไรขอรับ”
เจียงถังกลอกตาไปมา แววตาถึงเริ่มรับรู้สิ่งรอบข้างในที่สุด “กลับเรือน?”
“ใช่ขอรับ อากาศหนาวถึงเพียงนี้ พวกเราพาหร่านรานกลับเรือนเถอะ”
เจียงถังเดือดดาลอย่างหนักก่อนจะยื่นมือไปตบหน้าเขา “กลับเรือนอะไรกัน! หร่านรานล้มป่วยแล้ว ยังต้องขอให้หมอหลวงรักษาให้นะ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเชิญหมอหลวงมาได้นะขอรับ” แก้มข้างหนึ่งของเจียงหย่วนเฉาบวมเจ่อทันทีเพราะโดนเจียงถังตบหน้าสุดแรง มุมปากมีคราบเลือดติดอยู่ แต่เขาไม่แม้แต่จะเช็ด ยังพูดเกลี้ยกล่อมเสียงนุ่มต่อ
“ท่านพ่อบุญธรรม เชิญหมอหลวงมาที่จวนจะสะดวกกว่ามิใช่หรือขอรับ” เจียงอู่ช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง
เจียงสืออีเป็นคนไม่ช่างพูดมาตั้งแต่เกิด ชั่วขณะนี้เขาหลุบตาลงคิดอะไรอยู่ก็สุดรู้
“ไม่ได้ หมอหลวงคนเดียวจะพอได้อย่างไร พวกเจ้าไสหัวไปให้หมด!” เจียงถังตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว เขาอุ้มศพของเจียงซือหร่านสาวเท้าเดินเร็วขึ้น
แขนข้างหนึ่งของเจียงซือหร่านห้อยตกลงแกว่งไปแกว่งมาตามจังหวะการเดินของเจียงถัง
เจียงหย่วนเฉาเบนสายตาออกแล้วตามไปเงียบๆ
เพลานี้พวกหมอหลวงออกจากที่ว่าการแล้ว เหลือเพียงคนที่อยู่เฝ้าเวรไม่กี่คนกำลังนั่งล้อมวงดื่มชาพูดคุยสัพเพเหระกัน พอเห็นองครักษ์จินหลินบุกเข้ามาทั้งโขยงก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
เจียงถังวางตัวบุตรสาวลงแล้วขยุ้มคอเสื้อของหมอหลวงผู้หนึ่ง “หัวหน้าแพทย์หลวงอยู่ที่ใด?”
“ท่านผู้บัญชาการเจียง?” หมอหลวงงงงันไป “ก่อนใกล้หมดเวลาราชการทางวังหลวงนำความมาบอกว่าไทเฮาไม่ค่อยสบายพระวรกาย หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่จึงเข้าวังไปแล้ว”
“สืออี เจ้าไปเฝ้าอยู่ที่นอกประตูวัง พอหัวหน้าแพทย์หลวงหลี่ออกมาก็พาเขามาที่นี่” เจียงถังออกคำสั่งทันที
ทั้งที่คำพูดและการกระทำของเจียงถังในเวลานี้เหลวไหลอย่างมาก เจียงสืออีกลับออกไปปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เจียงถังลากตัวหมอหลวงมาตรงหน้าศพของเจียงซือหร่าน “พวกเจ้าดูอาการให้บุตรสาวข้าก่อน”
พวกหมอหลวงมองแวบเดียวก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
“ยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด! รีบรักษาบุตรสาวข้าสิ” เจียงถังแผดเสียงดังลั่น
หมอหลวงผู้นั้นกล่าวด้วยใบหน้าซีดเผือด “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ บุตร…บุตรสาวของท่านจากไปแล้ว…อ่า…”
เสียงสุดท้ายของหมอหลวงที่เอ่ยปากขึ้นกลายเป็นเสียงร้องโหยหวน เจียงถังบีบคอเขาแน่นๆ แล้วออกแรงบีบมากขึ้นทุกทีๆ
“ท่านพ่อบุญธรรม ใจเย็นสักนิด…”
เจียงถังมองเจียงหย่วนเฉาด้วยสายตาปึ่งชา จากนั้นบีบมือแรงขึ้นก็ได้ยินเสียงดังเปาะ หมอหลวงเคราะห์ร้ายผู้นั้นก็คอหักไปแล้ว ศีรษะของเขาห้อยตกลง ไม่อาจเปล่งเสียงพูดได้อีกต่อไป
หมอหลวงคนอื่นๆ ตกใจจนปัสสาวะรดกางเกงไปแล้ว
หมู่องครักษ์จินหลินยิ่งเงียบเชียบมากขึ้น
ไม่ว่าขุนนางตำแหน่งสูงเพียงใด พวกเขาเคยเล่นงานมาแล้วทั้งนั้น อีกทั้งเคยประสบพบเจอเหตุการณ์ต่างๆ มานับไม่ถ้วน ทว่าบุกเข้าสำนักแพทย์หลวงแล้วบีบคอหมอหลวงที่ไร้ความผิดผู้หนึ่งตายกลับเป็นคราครั้งแรก
“ดูอาการให้บุตรสาวข้า!” เจียงถังมองไปทางหมอหลวงที่เหลืออยู่
หนนี้ไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าเจียงซือหร่านตายแล้วอีก พวกเขาล้อมรอบศพของนางฝืนข่มความหวาดกลัวแสร้งทำท่าตรวจอาการ
“ท่านพ่อบุญธรรม หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่มาแล้วขอรับ” เจียงสืออีพาหัวหน้าแพทย์หลวงหลี่เดินเข้ามา
หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่กลับมิได้ต่อว่าต่อขานอะไร ถึงอย่างไรเจียงถังมีความสำคัญในใจฮ่องเต้มิใช่สามัญ หมอหลวงเล็กๆ อย่างพวกเขาล่วงเกินไม่ได้
พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเจียงถัง หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่พูดปลอบยิ้มๆ “ท่านผู้บัญชาการใหญ่อย่าได้ร้อนใจ ข้าขอดูอาการของบุตรสาวท่านก่อนค่อยว่ากัน”
เขามองปราดเดียวก็เห็นเจียงซือหร่านนอนอยู่บนเก้าอี้ยาว รอยยิ้มบนใบหน้านิ่งค้างไปฉับพลัน เขาสูดลมหายใจดังเฮือกก่อนเอ่ยขึ้น “บุตรสาวของท่านตายแล้ว”
คำว่า ‘ตาย’ ยั่วโทสะของเจียงถังทันควัน
พอเห็นหัวหน้าแพทย์หลวงหลี่โดนเจียงถังบีบคอแบบเดียวกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทุกประการ พวกหมอหลวงทนไม่ไหวอีกต่อไป ทรุดฮวบลงกองกับพื้นไปตามๆ กัน
เจียงหย่วนเฉาตัดสินใจสับสันมือใส่บิดาบุญธรรมจากทางด้านหลังอย่างฉับไวเด็ดขาด เจียงถังก็ตาเหลือกหมดสติไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ต.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.