X
    Categories: กระบี่โอบจันทราทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กระบี่โอบจันทรา บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 1 ฆ่าข้าที

 

ผืนนภากระจ่างใส ลมรำเพย ทุ่งหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา

บนถนนหลวงสายกว้างอยู่ในพื้นที่เมืองหนานโจว ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวผ่านช่องเขาอย่างเชื่องช้า ได้ยินเสียงเกือกม้าย่ำหิมะดังแซ่กๆ

หิมะที่ตกหนักยังนำความเคร่งเครียดมาสู่ใบหน้า ชายวัยกลางคนจ้องเขม็งไปยังป่าทึบที่แสงตะวันส่องลงมาไม่ถึง มือคลายออกจากสายบังเหียนที่เดิมกำไว้แน่น เอื้อมไปหาดาบเล่มยาวที่ห้อยอยู่ตรงเอวแทน

ชายเสื้อคลุมสีดำสนิทไหวพะเยิบตามแรงลม เผยให้เห็นลวดลายกระเรียนสีน้ำเงินเข้มข้างใต้

‘ฟิ้ว’

เสียงคมศรแหวกอากาศจู่โจมพลันดังขึ้น ดาบยาวตวัดฉับ เพียงเท่านั้นลูกธนูก็หักเป็นสองท่อน

ชายวัยกลางคนเหลือบมองไฟที่ดับมอดตรงหัวลูกธนู หว่างคิ้วพลันกระตุก พอหันไปทางชายป่าก็เห็นลูกธนูติดไฟมากมายพุ่งออกมาพร้อมกัน แม้ทางนี้จะเคลื่อนไหวรับมือได้อย่างว่องไว ก็ยังไม่วายมีลูกธนูเล็ดลอดไปปักประปรายตามรถม้า เปลวเพลิงลุกลามอย่างรวดเร็ว

แสงไฟโชติช่วงส่องสะท้อนดวงหน้าขาวซีดของชายชราร่างเตี้ยข้างรถม้า ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงแหลมสูงกว่าปกติด้วยอารามตระหนก “ถวายอารักขา! รีบถวายอารักขาเร็วเข้า!”

เสียงอึกทึกในชายป่าดังขึ้นกว่าเก่า ไม่ทันไรร่างของคนหลายคนก็กระโจนออกมา ในมือชูกระบี่เล่มยาวเงื้อง่า พอลงมาอยู่บนพื้นก็ฟันฉับเข้ากลางกะโหลกองครักษ์ชุดน้ำเงินไปหลายคน

กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปโดยรอบ เสียงดาบปะทะกระบี่ดังไม่ขาดหู ชายวัยกลางคนที่ถือดาบเล่มยาวพลิกตัวลงจากหลังอาชา พอหันไปเห็นองครักษ์ชุดน้ำเงินคนหนึ่งเปิดประตูรถม้าแล้วประคองผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ข้างในออกมา เขาก็ล้วงอะไรบางอย่างออกจากอกเสื้อ พร้อมกับที่เสียงกึกก้องดังสะเทือนแก้วหู พลุสัญญาณสวยสดงดงามก็ระเบิดตัวขึ้นกลางฟ้า

“อย่าขยับ”

คนกลุ่มหนึ่งในชายป่าถือกระบี่เตรียมจะกระโจนลงไปสมทบ ทว่าผู้เป็นหัวหน้าพลันถูกใครบางคนกดแขนลง

“เจ๋อจู๋ เจ้าคิดจะทำอะไร”

ชายหนุ่มผู้สวมผ้าคลุมหน้าเผยให้เห็นเพียงดวงตามุ่นคิ้วน้อยๆ ขณะมองมือของเด็กหนุ่มที่อยู่บนท่อนแขนตนพลางถามเสียงขุ่น

“ถอนตัวจากเรื่องสกปรกตอนนี้ยังทันการณ์นะ” เด็กหนุ่มผู้นั้นมีน้ำเสียงกังวานใสและดวงหน้าขาวเนียนไร้สิ่งบดบัง

“ข้าไม่มีเวลามาฟังเจ้าพูดเหลวไหลหรอก” แววตาชายหนุ่มฟ้องว่าใกล้หมดความอดทนอยู่รอมร่อ เขาปัดมืออีกฝ่ายออก แล้วหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องสิบกว่าคนข้างหลัง

รอยยิ้มบนใบหน้าเด็กหนุ่มชุดดำเลือนหาย ขณะดึงกระบี่อ่อนออกจากเอว ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ตอบสนองก็เห็นแสงสะท้อนยาววาบผ่านหน้า คมกระบี่เย็นเยียบจ่อพาดลำคอในพริบตา เขาเหยียดแผ่นหลังตรงแหน็วพลางเค้นเสียงลอดไรฟัน “เจ๋อ…จู๋”

สายลมพัดผ่านแนวป่า แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมารำไรตกกระทบคมกระบี่เข้าพอดี สะท้อนเป็นริ้วแสงมากแฉก

“พี่สิบเอ็ด ภรรยาที่ท่านซ่อนไว้ในเมืองหนานโจวตายมาสามปีแล้วสินะ”

ชายหนุ่มหน้าผิดสีทันทีที่ได้ฟัง ใบหน้าหันขวับไปโดยไม่สนใจกระบี่บางเฉียบที่จ่อพาดคอ จึงถูกบาดเป็นแผลตื้นเลือดไหลซิบทันตา “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

เด็กหนุ่มยืนท่ามกลางแสงตะวันที่ส่องลอดร่มไม้ลงมาเป็นดวงๆ นัยน์ตานิ่งสงบดุจน้ำลึก ไร้ซึ่งระลอกคลื่น

“หรือว่าเป็นเจ้า?!”

ชายหนุ่มนัยน์ตาแดงฉาน ไม่ไยดีงานจ้างเปื้อนเลือดที่ดำเนินอยู่ด้านล่างอีกต่อไป เขากำกระบี่ในมือแน่น ขณะได้ยินฝ่ายตรงข้ามหัวเราะเบาๆ “พี่สิบเอ็ด รู้หรือไม่เล่าว่าบัดนี้กระดูกของนางฝังอยู่ที่ใด”

เสียงระเบิดพลันกึกก้องขึ้นในโสต เขาถือกระบี่โจนเข้าใส่เด็กหนุ่มนามเจ๋อจู๋ ทว่าฝ่ายตรงข้ามพาร่างทะยานหายเข้าไปในป่าดุจขี่วายุ เบาหวิวพลิ้วละล่องราวกับปีศาจ

“แล้ว…พวกเรายังต้องลงไปอยู่หรือไม่”

สิบกว่าคนที่ยังซุ่มอยู่ตรงชายป่าเห็นร่างของทั้งคู่หายตามกันไปในแมกไม้ต่อหน้าต่อตา ใครคนหนึ่งจึงเอ่ยถามอย่างลังเล

“ในเมื่อผู้สูงศักดิ์ทั้งสองไปกันหมด พวกเราก็สลายตัวเถิด”

คนอื่นใคร่ครวญเงียบๆ อยู่สักพักก่อนตกลงใจตามนั้น

ชายป่าตรงเชิงเขาสงบลงโดยสิ้นเชิง ทว่าข้างใต้หน้าผานั่น หิมะที่สะสมตัวบนถนนหลวงเป็นชั้นหนาถูกโลหิตเดือดคลั่งย้อมจนแดงฉานและเริ่มละลาย นักรบไร้นามกว่าพันคนรุกไล่กระชั้นขึ้นทุกที ทว่าพลุสัญญาณที่จุดขึ้นฟ้าก่อนหน้านี้หาได้ไร้นามเหมือนกันไม่ ทหารหลวงที่ถูกวางกำลังไว้ล่วงหน้าในพื้นที่แถบนี้รีบรุดมาอย่างรวดเร็ว เข้าผนึกกำลังกับองครักษ์ชุดน้ำเงินสังหารกลุ่มคนไม่รู้ที่มาเหล่านี้จนสิ้น

“กระหม่อมมีโทษที่ทำให้ฝ่าบาททรงต้องตกพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

ชายวัยกลางคนถอดเสื้อคลุมสีดำทิ้ง เผยให้เห็นชุดลายกระเรียนเหินเมฆาสีน้ำเงินเข้มอันเป็นชุดที่ราชองครักษ์หลิงเซียวผู้อารักขาฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแห่งต้าเยียนเท่านั้นจะสวมใส่ได้

และบุรุษผู้นี้ก็คือผู้บัญชาการกองราชองครักษ์หลิงเซียว…เฮ่อจ้งถิง

แม้ใบหน้าจะเปื้อนเลือด ทว่าเจ้าตัวก็ไม่เช็ดออก ได้แต่ประสานมือคำนับ คุกเข่าลงตรงหน้าผู้สูงศักดิ์ในเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีแดงอมม่วง

“พวกกบฏหนีกระเซอะกระเซิงมาถึงที่นี่ วันนี้ยังมาซุ่มโจมตี พวกมันรู้ได้อย่างไรว่าเราจะไปอารามหยวนเจวี๋ย” ฮ่องเต้ฉุนเซิ่งยังมวยผมเรียบกริบไม่ยุ่งเหยิง มีผู้ชราค้อมตัวคอยช่วยพยุงอยู่ข้างๆ ทอดตามองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นหิมะ

“กระหม่อมจะตามสืบให้กระจ่างพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่อจ้งถิงค้อมศีรษะตอบกลับไปเช่นนั้น

“ดีที่ขุนนางเฮ่อเตรียมการรับมือล่วงหน้า รีบลุกขึ้นเถิด” รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าโอรสสวรรค์ ทว่าเพิ่งจะโบกมือพูดจบ จู่ๆ นางกำนัลหลายคนก็วิ่งหน้าตาตื่นมาจากข้างหลังด้วยใบหน้าซีดเผือด

“ฝ่าบาท องค์หญิง…องค์หญิงทรงหายตัวไปเพคะ!”

นางกำนัลคนหนึ่งร้องบอกเสียงสั่น

รอยยิ้มในนัยน์ตาฮ่องเต้ฉุนเซิ่งอันตรธานหายขณะจ้องมองนางกำนัลที่รายงาน

นางกำนัลตัวสั่นงันงก ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าชีวิต ได้แต่พยายามสะกดเสียงให้นิ่งขณะกล่าวต่อไปว่า “ธนูไฟถูกยิงตกใส่รถม้าที่ประทับ ทำให้ม้าตื่นตกใจจนรถพลิกคว่ำ หม่อมฉันรีบวิ่งไปแหวกม่านหน้าต่างรถ แต่ก็ไม่เห็นองค์หญิงประทับอยู่ข้างในแล้วเพคะ!”

“ขุนนางเฮ่อ!”

ฮ่องเต้ฉุนเซิ่งลูบไล้แหวนหยกวงเขื่องที่สวมอยู่ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย

“พ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่อจ้งถิงขานรับทันที

“ครานี้พวกกบฏเอาชีวิตเราไม่สำเร็จ ทว่าจับตัวองค์หญิงแห่งต้าเยียนไปได้ สมควรตายยิ่งนัก” ความร้อนรนที่ยากจะปกปิดสะท้อนอยู่ในน้ำเสียงเจ้าแผ่นดิน “เจ้าจงหาตัวหมิงเยวี่ยให้เจอ นางจะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด”

“น้อมรับพระราชบัญชา!”

ทุ่งหญ้าแห้งผืนกว้างจรดขอบฟ้าถูกทับไว้ใต้หิมะ นอกจากลมหนาวสะท้านที่พัดอู้เสียดแทรกมาตามแมกไม้ ป่าเขาละแวกนี้ก็แทบไร้สรรพเสียงอื่น

ทันใดนั้นเสียงสวบสาบก็ลอยแว่วออกมาจากในกอหญ้า

หลังกลิ้งตัวลงมาจากเนินเขาริมถนนหลวงซางหรงลากกิ่งไม้วิ่งมาตลอดทาง จนสุดท้ายเข้ามาในป่าทึบแถบนี้ พอได้ยินเสียงฝีเท้าม้าอยู่ไกลๆ ก็เข้าไปหมอบนิ่งในพงหญ้า พรางตัวในหิมะ ไม่กล้าขยับอยู่เป็นนาน

เสียงคนใกล้เข้ามา ก่อนจะผ่านเลยไป จวบจนเสียงม้าร้องค่อยๆ ห่างออกไปทีละน้อย นางถึงลุกขึ้นมานั่งกลางพงหญ้า

หิมะเกล็ดใสปานผลึกแก้วที่เกาะอยู่เต็มตัวร่วงกราวลงมาตามความเคลื่อนไหวอันปุบปับ นางหนาวจนหน้าขาวซีด ปลายจมูกเล็กๆ แดงก่ำ เกล็ดหิมะที่ทำท่าจะละลายเกาะพราวอยู่บนขนตางอนยาว ดูขาวโพลนราวกับน้ำค้างแข็ง พอสูดหายใจเฮือกใหญ่สายลมหนาวสะท้านก็ฉวยโอกาสแทรกเข้าไปในลำคอ จนนางต้องไออย่างห้ามไม่อยู่

ทว่าไอได้ไม่กี่ครั้งซางหรงก็พยายามกลั้นไว้ สองเท้าเย็นเฉียบจนแข็งทื่อ นางยักแย่ยักยันลุกขึ้นยืน คว้ากิ่งไม้ข้างตัวออกเดินโขยกเขยกต่อ ระหว่างนั้นยังลากกิ่งไม้กลบรอยเท้าที่ตัวเองทิ้งไว้บนพื้นหิมะข้างหลังไปด้วย

สุดแนวป่าทึบมีหาดกรวดน้ำตื้น ทว่าเวลานี้จมอยู่ใต้หิมะ ผิวแม่น้ำก็จับตัวเป็นน้ำแข็ง ลมหายใจของนางกลายเป็นไอขาว ร่างทั้งร่างเหน็บหนาวจนแทบไร้ความรู้สึก

ถัดจากสีขาวยังคงมีแต่สีขาว นางหยุดยืนอยู่กับที่ ไม่ว่ามองไปทางใดก็ล้วนเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุด

รองเท้าปักพื้นบางเปียกหิมะจนชุ่มนานแล้ว เท้าทั้งสองข้างของซางหรงไม่เหลือความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ริมฝีปากแห้งผาก อ่อนล้าเต็มที แต่แล้วทันใดนั้นนางก็เงยหน้าพรวดอย่างระแวดระวังเมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง

แขนเสื้อคลุมสีดำสะบัดโบกตามแรงลมอยู่เบื้องหน้าไกลๆ กระบี่อ่อนในมือพุ่งพลิ้ว วาดแสงวาบประหนึ่งดาวตก คนผู้นั้นเบี่ยงตัวหลบอาวุธลับที่คนไล่ตามหลังซัดใส่อย่างง่ายดาย ก่อนจะทิ้งตัวลงบนผืนน้ำแข็ง

แม่น้ำแผ่ไอเย็นเป็นหมอกหนา ซางหรงที่ดูอยู่ห่างๆ เห็นร่างสองร่างรุกไล่กันไปมาอยู่บนนั้นได้เพียงเลือนราง คมอาวุธกระทบกันเป็นเสียงกังวานกระจ่างใส ทว่ายามนี้โสตสัมผัสของนางได้ยินไม่แจ่มชัด

ลมหิมะทวีกำลังแรงขึ้น หิมะปุยใหญ่ดุจขนห่านป่าตกลงมา ม่านหมอกถูกลมพัดให้เบาบางลง เสียงผิวน้ำแข็งลั่นเปรี๊ยะดังมาไม่ไกล บัดนี้บนแม่น้ำเหลือเพียงคนคนเดียวยืนถือกระบี่ แผ่นน้ำแข็งแบนเรียบแตกทะลุเป็นหลุมขนาดใหญ่

มือหนึ่งถือกระบี่ยาวอาบเลือด อีกมือดึงน้ำเต้าหยกใบเล็กๆ แกะสลักอย่างประณีตที่ห้อยอยู่ตรงเอว ผู้ที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

หมอกเย็นเยือกลอยอ้อยอิ่งเป็นสาย มองไปทางใดก็เห็นแต่หิมะขาวโพลน บนบ่าของเขาเต็มไปด้วยเกล็ดขาว แขนเสื้อดำเข้มดุจน้ำหมึก เข็มขัดเตี๋ยเซี่ย* ทำจากหนังขับเน้นช่วงเอวสอบ แม้แต่ประกายที่ส่องออกมาจากหัวเข็มขัดทองคำยังเย็นเยียบ

เขาใช้ปากดึงจุกไม้ออกง่ายๆ ปรายตามองนางแวบหนึ่งแล้วเดินผ่าน สุราเย็นๆ ไหลวาบผ่านลำคอ แพขนตาดกหนาช้อนขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็หยุดนิ่งแล้วผินหน้ามองมา

ปลายนิ้วงอกระชับเข้ากับด้ามกระบี่ จิตสังหารแผ่ออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง แต่พอเห็นสายตาที่จ้องเขม็งของนาง เขาก็หลุบตามองน้ำเต้าสุราที่ตนเองถืออยู่

“กระหายมากหรือ” เขาถาม

ซางหรงพยักหน้า จ้องน้ำเต้าสุราใบเล็กของอีกฝ่ายตาเป๋ง

ดวงตาของเด็กหนุ่มหยีโค้ง หันปลายกระบี่เปื้อนเลือดชี้พื้นหิมะขาวพิสุทธิ์ “ดื่มสักจิบปะไร”

ซางหรงเห็นกับตาว่าเลือดที่ติดอยู่บนคมกระบี่ของเขาไหลหยดลงพื้นหิมะ แล้วแผ่ขยายออกเป็นดวงแดงฉาน นางส่ายหน้าหนักแน่น “สกปรก”

ครั้นนางเอ่ยเช่นนั้น เขากลับทำเหมือนได้ยินเรื่องขบขัน “แต่เจ้าไม่รังเกียจว่าข้าสกปรก?”

พริบตาต่อมาเขาก็ยื่นน้ำเต้าสุราไปตรงหน้านาง กรอกสุราร้อนแรงใส่ปากนางโดยไม่รอการตอบสนอง แล้วยังสมใจเมื่อได้เห็นนางสำลักจนหน้าแดงก่ำ

เขาหัวเราะ…อย่างยโสและร้ายกาจ

สุราร้อนแรงแผดเผาลำคอลงไปเป็นทางราวกับลูกไฟ ซางหรงสำลักจนตาแดง น้ำอุ่นเอ่อคลอหน่วยจนเห็นรอยยิ้มโอหังของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ถนัดนัก

หลังขยับข้อนิ้วที่หนาวจนแข็งของตัวเองสองสามที นางก็ปลดเครื่องประดับทุกชิ้นบนตัวลงมาลวกๆ แล้วยัดทั้งหมดใส่มือฝ่ายตรงข้าม

เด็กหนุ่มชะงัก หลุบตามองเครื่องประดับมีค่าที่มาอยู่บนฝ่ามือตัวเองอย่างกะทันหัน ก่อนจะเหลือบตาขึ้นพิจารณาดรุณีตรงหน้าอีกครั้ง กระโปรงงามหรูเนื้อเนียนนุ่มลวดลายวิจิตรเปียกหิมะจนยับยู่ยี่ ปลายจมูกแดงก่ำด้วยความหนาว นัยน์ตาดำขลับ ตาขาวเป็นสีแดงจางๆ เพราะสำลักสุรา ผิวหน้าขาวผ่องเนียนละเอียด จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสารไม่พอ เพราะความสูงส่งในสายเลือดที่ปล่อยวางไม่ได้ยังสะท้อนออกมาจากข้างใน

“แค่สุราหนึ่งจิบ ไม่มีค่าคู่ควรกับข้าวของเจ้าหรอก”

เขาเตือนสติ ท่าทีดูสนใจนางขึ้นมาเล็กน้อย

“ข้ารู้”

ซางหรงพยักหน้า เด็กหนุ่มตัวสูงเหลือใจ สูงจนนางต้องแหงนคอมอง “ข้าอยากขอให้เจ้าช่วย”

“ช่วยอะไร”

เขาปัดหิมะออกจากบ่าพลางถามเสียงต่ำราบเรียบ ลุ่มลึกยากจะคาดเดาความคิด

หิมะปุยใหญ่ปลิวว่อนเต็มฟ้า สายหมอกเย็นเฉียบลอยอ้อยอิ่ง ซางหรงหนาวจนประสาทสัมผัสแทบไม่ทำงาน ชายแขนเสื้อยับย่นปลิวพลิ้วในสายลมดุจริ้วเมฆ เกล็ดหิมะร่วงผ่านดวงหน้าซีดเผือด ขณะนางตอบกลับไปอย่างจริงจัง

“ช่วยฆ่าข้าที”

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: