X
    Categories: กระบี่โอบจันทราทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กระบี่โอบจันทรา บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 2 ผีเสื้อทอง

 

เจ๋อจู๋นึกว่าตัวเองหูฝาด ความตกตะลึงสะท้อนออกมาทางสีหน้า

“หายากนะ…เจ้าซื้อตัวข้า” เขาโยนเครื่องประดับในมือเล่น ดวงตากระจ่างใสวาบขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา ส่องประกายพราวระยับ “ฆ่าเจ้า?”

“อืม”

คำว่า ‘ซื้อตัวข้า’ ที่อีกฝ่ายเหมือนจะเอ่ยออกมาอย่างไร้เจตนานั้นแฝงความหมายคลุมเครือจนซางหรงวางตัวไม่ถูก นางรีบเบนสายตาไปทางอื่นอย่างลนลาน แต่กลับไปปะกับมือที่ถือกระบี่ของอีกฝ่ายเข้า

ปลายนิ้วขาวเรียวยาว หลังมือห่อหุ้มด้วยผิวหนังบางๆ มองเห็นเส้นเลือดกับกระดูก ดูงดงามและทรงพลัง

“การมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องยากยิ่งบนโลกใบนี้ แต่รนหาที่ตายช่างง่ายดายนัก” ปอยผมสีดำสนิทระข้างแก้มเขาเบาๆ ท่ามกลางสายลมหนาวสะท้าน นัยน์ตาคู่นั้นกระจ่างใสไร้ความรู้สึก “ไยต้องพึ่งมือคนอื่น”

เขาคืนเครื่องประดับทุกชิ้นใส่มือนาง ก่อนจะเก็บกระบี่อ่อนเปื้อนโลหิตพันรอบเอวสอบ “ของพวกนี้…เก็บไว้ฝังร่วมกับศพตัวเองเถิด”

เสียงพูดสงบราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ซึ่งความเฉยชาสุดหัวใจ

เด็กหนุ่มเดินผ่านข้างกายซางหรงไป นางหันไปมองอย่างมึนชา ท่ามกลางหิมะเวิ้งว้าง ร่างสูงเพรียวเหยียดตรงของเขาดูราวกับต้นสนหรือไม่ก็ต้นไผ่

ไอหมอกพร่าพราง หิมะโปรยปราย

เพิ่งจะดื่มสุราอีกจิบ ฝีเท้าของเด็กหนุ่มก็พลันหยุดชะงัก แล้วหันไปมองด้วยสีหน้าว่างเปล่า เสียงย่ำหิมะดังเข้ามาใกล้ แม่นางน้อยมอมแมมแต่ยังมอมแมมไม่มากพอคนนั้นกำลังยกชายกระโปรงวิ่งเหยาะๆ มาทางนี้

จิตสังหารของเขาอุตส่าห์ลดเลือนลงแล้ว ทว่านางกลับไม่รู้สำนึก

ต่อเมื่อใบกระบี่บางเฉียบครูดสีหัวเข็มขัดทองคำดัง ‘ชิ้ง’ ซางหรงถึงค่อยหยุดยืนตรงหน้าอีกฝ่าย โดยมีกระบี่อ่อนจ่อลำคออย่างแม่นยำ

ไอเย็นเฉียบที่แผ่ออกมาจากโลหะทำให้นางสะท้านวาบ แพขนตาสั่นระริก ขณะจ้องมองเขา ริมฝีปากไร้สีเลือดเม้มเข้าหากัน ท่าทางลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังยื่นของที่กอบไว้ในมือไปตรงหน้าเขาอยู่ดี

นางตั้งใจจะตายอย่างแท้จริง

เด็กหนุ่มใช้สายตาสงบนิ่งมองคนตรงหน้าหลับตาลง จากนั้นจึงเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจระคนนึกสนุกอยู่ในที

ซางหรงกลั้นหายใจ หัวใจเต้นรัวแรงอยู่ในทรวงอก แต่แล้วกระบี่อ่อนที่พาดจ่อลำคอกลับถูกดึงออกห่าง นางลืมตาขึ้น แล้วหันไปมองแม่น้ำที่กลายเป็นแผ่นน้ำแข็งตามปลายกระบี่โดยไม่รู้ตัว

“หากไม่รังเกียจว่าเมื่อครู่เพิ่งมีคนตกลงไปตายแล้วคนหนึ่งก็กระโดดลงไปได้เลย”

ใต้หลุมน้ำแข็งขนาดใหญ่นั่นเป็นที่ฝังร่างคนที่เพิ่งถูกเขาฆ่าตายไปหมาดๆ

นางมองหลุมบนผืนน้ำแข็ง ก่อนจะหันกลับมามองเขาอีกครั้ง ละล้าละลังอยู่สักพักก็ตอบเบาๆ “เห็นเขาว่ากันว่าจมน้ำตายทรมานนัก ข้าอยากตายโดยไม่ต้องทรมานถึงเพียงนั้น”

“เจ้าจะเอาอย่างไรอีก”

เจ๋อจู๋เช็ดคมกระบี่บนพื้นหิมะสองสามที เกล็ดหิมะเย็นเฉียบพลิ้วตกลงมาละลายบนเปลือกตาเขา

“จะประเสริฐสุด…หากเจ้าช่วยสร้างสุสานให้ข้าด้วย” นางถ่ายทอดความต้องการหลังตายของตัวเองออกมาจริงๆ

เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นอีกครั้ง แล้วถอนหายใจอย่างเสียดาย “การจ้างวานทำนองนี้น่ะ หากไปจ้างพี่สิบเอ็ดของข้าเขาจะต้องชอบใจอย่างแน่นอน”

“พี่สิบเอ็ดของเจ้าอยู่ที่ใด”

นางเหลียวมองไปรอบตัว

เจ๋อจู๋แค่นหัวเราะ ซางหรงถูกปลายนิ้วเย็นเฉียบของเขาบีบปลายคางไว้ แล้วจับหันไปมองผิวแม่น้ำใต้ไอหมอก

“สายไปแล้ว”

เสียงเนิบนาบของเขาดังเข้าหู

ซางหรงพลันตระหนักว่าที่แท้ ‘พี่สิบเอ็ด’ ผู้นั้นได้จบชีวิตลงแล้วด้วยมือของเด็กหนุ่มผู้นี้

เจ๋อจู๋ปล่อยมือจากนาง เช็ดท้องนิ้วลวกๆ สองทีแล้วเก็บกระบี่อ่อนอีกครั้ง ก่อนออกเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าเบาหวิวแคล่วคล่อง ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวสายตาก็หลุบลงมองมือเล็กที่หนาวจนข้อนิ้วแดงก่ำ

พู่ห้อยกระบี่สีแดงชาดของเขาเล่นลมอยู่ในมือนาง โบกสะบัดพลิ้วล่องดุจปุยเมฆ

ประหลาดแท้

นางไม่รู้หรอกว่าพู่ห้อยกระบี่ที่นางรวบรวมความกล้าคว้าจับไว้ตอนนี้อาบเลือดคนมาแล้วมากน้อยเท่าไร ทั้งไม่รู้และไม่กลัว นางจับพู่ไว้แน่นขณะแหงนหน้ามองเขาเงียบๆ ไม่เอ่ยคำ ทั้งที่ร้องขอความตายแต่กลับทำเหมือนคนใกล้จมน้ำคว้าเกาะเส้นฟาง

สายลมหนาวพัดหวีดหวิวจนซางหรงปวดรูหูยิ่งกว่าเก่า สุราร้อนแรงจิบนั้นเริ่มออกฤทธิ์เงียบๆ ศีรษะปวดร้าว ใบหน้าของเด็กหนุ่มตรงหน้ากลายเป็นภาพเลือนรางสามภาพซ้อนกัน

จากนั้นนางก็ล้มพับไปอย่างไม่มีเค้าลางใดๆ ทั้งสิ้น

พู่ห้อยกระบี่สีแดงที่ถูกทึ้งขาดนอนนิ่งอยู่ระหว่างนิ้วมือดรุณีน้อย หิมะปุยใหญ่เหมือนขนห่านตกลงมาพร่างพรมบนร่างนางราวกับกำลังเริงระบำ ก่อนสติจะขาดหาย ดวงตาหรี่ปรือของนางเห็นเพียงชายแขนเสื้อเนื้อบางสะบัดพลิ้วของร่างที่หมุนตัวเดินจากไป

 

ซางหรงรู้สึกร้อนจนตื่น

นางจ้องมองผ้าห่มสีมอซออย่างงุนงง ผ้ามีด้วยกันทั้งหมดสามชั้น ห่มร่างนางไว้อย่างแน่นหนา ภายในเรือนจุดเตาถ่าน ไอร้อนผ่าวอังให้นางเหงื่อแตกโซมทั้งตัวขณะนอนหลับ

เมื่อเลิกผ้าห่มลุกขึ้นจากเตียง ซางหรงกวาดตาพิจารณาเรือนที่ไม่นับว่าใหญ่หลังนี้ ภายในตกแต่งอย่างสมถะเรียบง่าย ปลายจมูกยังได้กลิ่นชื้นที่ถูกเตาถ่านรมจนแห้ง

ตั่งไม้ไผ่ที่ตั้งริมหน้าต่างมีโต๊ะเล็กวางอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีเตาอั้งโล่จุดถ่านแดงฉาน ตั้งหม้อกระเบื้องต้มยาที่กำลังเดือดคลั่ก ส่งควันขาวพวยพุ่ง กลิ่นสมุนไพรขมๆ ลอยไปทั่ว

…‘แอ๊ด’

ซางหรงหันขวับไปมองตามสัญชาตญาณเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ลมหิมะข้างนอกทะลักพรูเข้ามาในเรือน พัดพาให้ชายเสื้อคลุมสีน้ำเงินหม่นของเด็กหนุ่มคนนั้นพลิ้วพะเยิบ เขาขัดดาลประตูอย่างว่องไว แล้วหมุนตัวมาปรายตามองนางแค่แวบเดียว ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่ตั่งไม้ไผ่อย่างไม่สนใจ

ยาในหม้อถูกเทใส่ชาม แลเห็นควันลอยพลุ่งออกจากปากชามโขมง จากนั้นดวงตาคมปลาบของเขาก็เหลือบขึ้น “มากินยา”

ซางหรงมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติกลับมามองยาน้ำสีดำมะเมื่อมที่วางอยู่ใกล้มือเขา นางเม้มปาก มิได้ก้าวออกไป

“เจ้าคงยังไม่รู้ว่าข้าฆ่าคนด้วยวิธีใด” เจ๋อจู๋จิบชาร้อนอย่างแช่มช้า “หากไม่อยากตายในสภาพศพพิกลพิการผิดปกติก็ควรจะทำตามที่ข้าบอก”

ซางหรงเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางจ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างอันเย็นชาของฝ่ายตรงข้ามอยู่ครู่หนึ่งก่อนลุกเดินเข้าไปเงียบๆ ด้วยฝีเท้าเบากริบ ตอนทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามเขานางก็ยังไม่ลืมจัดชายกระโปรงยับยู่ยี่ของตนให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยใช้ช้อนตักยาขึ้นมาอย่างว่าง่าย ด้วยความที่ยาร้อนจัดนางเลยถูกลวกไปทีหนึ่ง แล้วเหลือบตาขึ้นแอบมองคนตรงหน้า

เด็กหนุ่มจ้องมองนางด้วยสีหน้าเฉยชา

นางก้มหน้าโดยไม่พูดอะไร

สายลมโหมกระหน่ำอยู่ข้างนอก เกล็ดหิมะกระทบบานหน้าต่างเบาๆ จนแทบไม่ได้ยิน มีเพียงเสียงลมครางอู้ เจ๋อจู๋นั่งเท้าคางด้วยมือข้างเดียว ส่งสายตาหน่ายเนือยมองนางพองแก้มเป่ายา ก่อนจะย่นจมูกจิบทีละคำเล็กๆ

อากาศภายในเรือนตอนนี้อุ่นอวล พวงแก้มดรุณีน้อยเริ่มมีเลือดฝาด แลเห็นเป็นสีแดงซ่านอยู่ใต้ผิวขาวเนียนละเอียด นัยน์ตาดำขลับเป็นประกายแวววาว กลีบปากเป็นสีแดงสด

ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากโข เจ๋อจู๋คิดเช่นนั้นอย่างใจลอย

เขาล้วงอะไรต่อมิอะไรในแขนเสื้อออกมาวางบนโต๊ะ เสียงกระทบกันเป็นกังวานใสดึงความสนใจให้ซางหรงเหลือบตาขึ้นมอง

ทุกชิ้นเป็นเครื่องประดับของนาง นางมองผ่านๆ แค่ปราดเดียวก็รู้ว่าปิ่นมุกประดับผีเสื้อทองหายไป

“ผีเสื้อทองตัวนั้นของเจ้า…”

ซางหรงเห็นปลายนิ้วขาวผ่องของเขางอเข้าเล็กน้อยแล้วเคาะโต๊ะเล็กเบาๆ “กลายเป็นเรือนหลังนี้”

นางยังไม่ทันเอ่ยวาจา ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็หยีโค้งด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “คนที่ฆ่าครานี้สร้างความยุ่งยากนิดหน่อย ข้าจำต้องหาที่ซ่อนตัวจนกว่าเรื่องจะเงียบ แต่วางใจเถิด เดี๋ยวอีกสักสองวันข้าก็ไถ่ผีเสื้อทองตัวนั้นมาคืนเจ้าได้แล้ว” เจ๋อจู๋จิบชาอีกหนึ่งจิบ

เมื่อม่านราตรีโรยตัว บนเขาก็มืดสนิท มีเพียงตะเกียงใต้ชายคาแกว่งไกวส่องแสงสว่างในค่ำคืนที่หิมะหยุดตกลงมาแล้ว

ซางหรงที่นอนบนเตียงแอบชะโงกตัว อาศัยแสงจากนอกหน้าต่างมองเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนตั่งไม้ไผ่

ลมหายใจของเขาแผ่วแสนแผ่ว ขนาดพยายามตะแคงหูฟังเงียบๆ ยังแทบไม่ได้ยิน นางบอกไม่ได้ว่าตัวเองรออยู่นานเท่าไร จวบจนความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้ามาช้าๆ นางก็พลันเบิกตากว้างพร้อมส่ายศีรษะ

เขาน่าจะหลับแล้วกระมัง

ซางหรงเลิกผ้าห่มและค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งอย่างเงียบเสียง ท่ามกลางแสงสลัวนางจ้องมองรองเท้าผ้าปักที่วางอยู่ข้างเตียง พื้นรองเท้าบางนิดเดียว จึงถูกเสียดสีจนขาดตั้งแต่ตอนนางวิ่งหนี

ในราตรีไร้หิมะ ประตูเรือนถูกเปิดออกเบาๆ ก่อนจะปิดลงดังเดิมอย่างแผ่วเบาพอกัน

ทว่าราตรีนี้ยังคงเป็นค่ำคืนเหมันต์ที่หนาวเหน็บแทบขาดใจอยู่ดี

ซางหรงที่ห่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินหม่นเป่าลมหายใจร้อนๆ ออกมาทีหนึ่ง ปลดตะเกียงลงจากชายคา แล้ววิ่งไปทางสุดปลายป่าเขาอันมืดมิดอย่างไร้จุดหมาย

แสงสีอบอุ่นของตะเกียงส่องกระทบหิมะเย็นเฉียบ สะท้อนกลับมาเป็นเลื่อมพรายแวววาว ป่าเขาแห่งนี้ทั้งใหญ่และลึกกว่าที่นางจินตนาการไว้มากนัก

รอบตัวเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่เป็นลำหนาต้นแล้วต้นเล่า กิ่งก้านที่ถูกหิมะเกาะพาดซ้อนกันดูราวกับงูเลื้อยบดบังผืนฟ้ากว้างใหญ่ แสงจากข้างบนจึงลอดลงมาได้เพียงรำไร

ซางหรงล้มลงเพราะสะดุดกิ่งไม้ที่ซ่อนอยู่ใต้หิมะ ตะเกียงที่ถือกระเด็นตกลงพื้น แล้วค่อยๆ ลุกโชนขึ้นตรงหน้านาง แนวเพลิงขยายขนาดกว้างขึ้น ก่อนจะมอดลงช้าๆ

จวบจนแสงตะเกียงเสี้ยวสุดท้ายดับลงเพราะเปียกหิมะ รอบตัวก็มืดสนิท ซางหรงลุกขึ้นมานั่ง ควานคลำพลางกระถดเข้าไปพิงโคนไม้ต้นหนึ่งแล้วห่อตัวคุดคู้

ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงแซ่กๆ ดังแว่วมาแต่ไกล

นางเงยหน้าขึ้น เห็นใครคนหนึ่งถือตะเกียงท่ามกลางหิมะขาวโพลนเดินห่มแสงดาวมาทางนี้

คนผู้นั้นสวมเสื้อตัวในสีขาวพิสุทธิ์ แขนกว้างพลิ้วพะเยิบ ผูกทับด้วยเสื้อคลุมกันลมบุขอบด้วยขนกระต่าย ชายเสื้อสะบัดน้อยๆ ตามย่างก้าว ตะเกียงที่อยู่ในมือส่องสะท้อนดวงตาพราวระยับราวกับทะเลดาวของเจ้าตัว พอคนผู้นั้นเดินมาจนใกล้ ซางหรงถึงเพิ่งเห็นว่าเขาเปลือยเท้าย่ำหิมะ

นางมองเท้าของเขาอย่างอึ้งงัน ส่วนเขามองรองเท้าหุ้มแข้งสีดำที่นางสวมอยู่ เป็นรองเท้าบุรุษที่เห็นได้ชัดว่าใหญ่กว่าเท้านางมาก สวมแล้วดูน่าขบขัน

“ข้าทิ้งกำไลไว้ให้วงหนึ่งแล้วนี่”

นางละล่ำละลักอย่างร้อนรนนิดๆ ไม่กล้าสบประสานสายตาที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มคู่นั้นเลย

“ข้าบอกหรือว่าอยากได้”

เขาแค่นหัวเราะ

ซางหรงเม้มปากไม่ตอบคำ ทว่าตะเกียงในมือเด็กหนุ่มเคลื่อนเข้ามาหาใบหน้านาง แสงสว่างที่พลันสาดเข้ามาใกล้ทำให้นางต้องหลับตา

น้ำอุ่นที่เอ่อคลอดวงตาเจียนหยดลงมาเต็มทีได้ไหลกลิ้งลงมาตามแก้มพอดี ก่อนถูกแสงตะเกียงส่องกระทบเป็นประกายแวววาวราวกับผลึกแก้ว

ซางหรงรู้สึกอาย แพขนตางอนยาวไหวระริก ขณะเบือนหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็คู้เข้าไปแอบในเงามืดใต้ร่มไม้ที่แสงตะเกียงส่องเข้าไปไม่ถึง

“ร้องไห้ด้วยเหตุใด”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มราบเรียบไร้ความขุ่นมัว เขาพลันโน้มตัวลง ใช้ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นพิจารณานาง

ซางหรงแอบจนไม่มีที่ให้แอบ จังหวะที่เงยหน้าขึ้นปลายนิ้วของฝ่ายตรงข้ามพลันปัดผ่านพวงแก้ม เบาแสนเบาประหนึ่งไล้ด้วยขนนก

นางมองเขาอย่างตะลึงงัน

เด็กหนุ่มถอดเสื้อคลุมกันลมบนตัวโยนลงบนร่างนางด้วยท่าทางไม่ยี่หระ “ห่มเสีย”

ซางหรงดึงเสื้อคลุมกันลมที่ตกลงมาคลุมศีรษะลงอย่างประหลาดใจ ในตอนนั้นเอง…ท่ามกลางแสงตะเกียงและหิมะขาวเด็กหนุ่มได้หมุนตัวหันหลังมาทางนางเรียบร้อยแล้ว

นางมองแผ่นหลังตรงหน้า ไออุ่นอวลของเขาตกค้างอยู่ในเสื้อคลุมกันลมขนกระต่ายอันอ่อนนุ่ม

 

แสงตะเกียงส่องสะท้อนชายแขนเสื้อตัวในของเจ๋อจู๋ เขาเปลือยเท้าย่ำหิมะ แบกแม่นางน้อยคนหนึ่งเดินไปตามป่าเขาอันวิเวก

“ข้าจะคืนรองเท้าให้”

ซางหรงใช้สองมือโอบกระชับรอบคอเขา ตะเกียงแกว่งไกว เงาที่ทาทาบบนพื้นหิมะพลอยเต้นไหวตาม นางเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ไม่ต้อง”

อีกฝ่ายตอบกลับมาเพียงสองคำสั้นๆ

ซางหรงจึงเงียบไป แล้วก้มหน้ามองเงาของทั้งคู่อีกครั้ง ปอยผมเย็นเฉียบของอีกฝ่ายปัดไล้ผิวแก้มเบาๆ นางเหลือบตาขึ้นจ้องมองใบหูเขา

“ข้าขอทราบนามเจ้าได้หรือไม่”

นางโพล่งถามขึ้นมา

“เจ๋อจู๋”

เสียงตอบเยียบเย็นกระจ่างชัด

เจ๋อจู๋?

นางทวนนามนั้นในใจทีหนึ่งแล้วถามต่อ “แผ่นดินนี้มีแซ่ ‘เจ๋อ’ ด้วยหรือ”

“ไม่มี”

เด็กหนุ่มพลันหยุดเดิน จากนั้นก็เอี้ยวหน้ามองคนที่เกาะอยู่บนบ่า ดวงตาคมหยีโค้ง กระเปาะตาล่างได้รูปสวยมีไฝเม็ดเล็กๆ อยู่เม็ดหนึ่ง

นางได้ยินเขาเอ่ยว่า

“แผ่นดินนี้มีคนไร้ชื่อแซ่อยู่มากมาย ข้าคือหนึ่งในนั้น”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: