X
    Categories: กระบี่โอบจันทราทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กระบี่โอบจันทรา บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 3 หอจื้อเฟิง

 

เจ๋อจู๋วางซางหรงลง แล้วทอดฝีเท้าเอื่อยๆ เข้าไปในลานเรือน

นางไม่ได้ตามไป เพียงยืนถือตะเกียงมองตามแผ่นหลังของเขา จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งยองๆ เก็บเศษกิ่งไม้กิ่งหนึ่งขึ้นมา แล้วก้มหน้าขีดๆ เขียนๆ บางอย่างบนพื้นหิมะ

ตะเกียงวางนิ่งอยู่บนพื้นหิมะ เปลวไฟส่องแสงลงบนพื้นหิมะทาบเงาของนางเสมือนมีชีวิต นางเงยหน้าขึ้น สัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มหันมาเอามือสองข้างไพล่หลัง ใช้ดวงตาคมกระจ่างคู่นั้นจ้องมองมาจากที่ไม่ไกลนัก

ซางหรงลุกพรวดแล้วเดินเข้าไปหาเขา จับพู่ห้อยกระบี่อ่อนพลิ้วตรงเอวเขาไว้ เหยียบรองเท้าหุ้มแข้งสีดำที่ใหญ่เกินไปมากพาเขาเดินกลับมาตรงหน้าประตูเรือน

เจ๋อจู๋หลุบตาลง เห็นถนัดตาว่าบนพื้นหิมะที่แสงตะเกียงส่องจนอร่ามเรืองมีคำสองคำที่นางเขียนไว้

 

‘เจ๋อจู๋’

 

นางมองเขา “ข้าชื่อซางหรง”

ตะเกียงถูกแขวนเดียวดายไว้ตรงชายคาอีกครั้ง แกว่งไกวไปมาอยู่นอกหน้าต่างครึ่งคืน ภายในเรือนมืดสลัว เงาของเด็กหนุ่มทาบอยู่บนกระดาษปิดหน้าต่าง เขากำลังหันหลังมาทางนาง ถอดเสื้อออกข้างหนึ่ง จนแขนขวาอันเนียนเกลี้ยงโผล่พ้นร่มผ้า

ซางหรงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงครึ่งหน้า มีแค่ดวงตาโผล่ออกมาให้เห็น ท่ามกลางแสงสลัวนางมองเห็นรอยแผลเหวอะหวะบนท่อนแขนข้างนั้นได้รางๆ

จากมุมที่นอนอยู่นางเห็นแค่ว่าเขาก้มลงเล็กน้อย จากนั้นก็เอี้ยวหน้าใช้ปากดึงจุกผ้าขวดใบจ้อยที่ไม่รู้ว่าล้วงออกมาจากที่ใดแล้วโรยผงยาลงบนแผล โลหิตผุดซึมออกมาจากแผลที่เริ่มแห้ง แล้วไหลลงไปตามท่อนแขนเป็นเส้นคดเคี้ยว

อาจเพราะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาถึงได้หันขวับมาทางนี้แบบไม่ให้ตั้งตัว

ต่อให้ในห้องมืดเพียงใด เขาก็ยังเห็นชัดอยู่ดีว่าดวงตาคู่นั้นกำลังจับจ้องเขาอยู่เงียบๆ

เหงื่อผุดซึมออกมาตามจอนผมของเด็กหนุ่ม แม้จะอยู่ใต้แสงตะเกียงสีเหลืองอุ่น ใบหน้าคมคายก็ยังซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ทว่ายังหล่อเหลาดังเดิม

นางประสานสายตากับเขาตรงๆ แต่เพียงครู่เดียวก็พลิกตัวนอนตะแคง มุดหายเข้าไปในโปง

เด็กหนุ่มจ้องด้านหลังศีรษะของนางเขม็งด้วยสายตาระแวง ทว่าไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น เพียงดึงเสื้อกลับขึ้นมาดังเดิมเงียบๆ

ตั่งไม้ไผ่ลั่นอ๊อดแอ๊ดอยู่สักพัก ถัดจากนั้นสรรพเสียงก็เงียบหาย

ซางหรงไม่ได้หันไปมอง แต่รู้ได้ว่าเขาเอนกายลงนอนแล้ว

ผ่านไปสักครู่นางก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจอีกครั้ง ทว่าไม่ได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย ซางหรงค่อยๆ พลิกตัวกลับมาอย่างระมัดระวัง มองเห็นเงาร่างเบื้องหน้ากระทบแสงที่ส่องเข้ามาจากด้านนอกกระดาษปิดหน้าต่าง

แสงนั้นเอิบอาบร่างสูงโปร่ง เขาดูเลือนรางราวขุนเขาที่อยู่ห่างไกล นิ่งงันไม่ขยับอยู่ตรงเส้นเขตแดนที่ความมืดบรรจบกับแสงสว่าง

ความง่วงงุนถ่วงเปลือกตาของซางหรงให้หนักอึ้ง แต่เพราะแอบหนีออกไปตอนกลางดึก มือเท้าของนางจึงเย็นเฉียบ หนาวสะท้านเข้าไปถึงในกระดูก แม้แต่ความง่วงก็ยังต้องพ่ายให้ความหนาวเหน็บที่เกาะกินทั่วกาย นางห่มผ้านอนหนาวอยู่บนเตียง จวบจนฟ้าเริ่มสว่างรำไรถึงค่อยผล็อยหลับไปจริงๆ

แต่หลับได้ไม่นานเสียงตั่งไม้ไผ่ลั่นอ๊อดแอ๊ดก็ทำให้นางลืมตาโพลงขึ้นมาอีก แสงอรุณอ่อนจางส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่างแล้ว ขณะที่นางยังงัวเงียก็เห็นเด็กหนุ่มตื่นเต็มตาอย่างระวังระไว ลุกขึ้นมาทั้งผ้าห่ม ท่าทางราวกับหมาป่าที่หมอบซุ่มตลอดเวลา

เขาแตะปลายนิ้วเข้ากับกระดาษปิดหน้าต่าง แต่ไม่ได้จิ้มให้ทะลุ คล้ายกำลังเงี่ยหูฟังเสียงบางอย่าง เสียงอาภรณ์บนร่างนางเสียดสีผ้าห่มเบาๆ คงเข้าหูเขา เขาจึงหันมามองแล้วยกนิ้วชี้จรดริมฝีปากเมื่อเห็นนางเผยอปากทำท่าจะพูดอะไร ใช้ดวงตาเยียบเย็นคู่นั้นจ้องนางเขม็งพลางส่ายหน้า

ซางหรงยกมือขึ้นปิดปาก ไม่กล้าส่งเสียงแม้เพียงนิด แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมครึ่งหน้า เหลือเพียงดวงตาคอยจับจ้องความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายทุกขณะจิต

เสียง ‘สวบ’ ดังขึ้นทีหนึ่ง

ซางหรงเห็นกระบี่เล่มยาวแทงทะลุกระดาษปิดหน้าต่างพุ่งตรงเข้าใส่ใบหน้าเด็กหนุ่ม นางเบิกตากว้าง แต่แล้วกลับเห็นเขาเอี้ยวหน้าหลบอย่างแคล่วคล่อง ก่อนจะใช้มือเปล่าคว้าคมกระบี่นั้นแล้วกระชากโดยแรง

เลือดสดๆ แดงฉานเต็มฝ่ามือ คนข้างนอกถูกจู่โจมด้วยกำลังภายในของเด็กหนุ่มจนศีรษะกระแทกเข้ากับหน้าต่างไม้โครมใหญ่ ลิ่มไม้แทงปักเข้าไปในคอ แววตาเลื่อนลอยไร้จุดรวมศูนย์ ขาดใจตายคาที่

ซางหรงกลั้นหายใจ ใบหน้าซีดเผือด

“อย่าออกไปนะ”

เด็กหนุ่มตวัดตามองนางพลางกำชับสั้นๆ จากนั้นก็ถือกระบี่พาร่างทะยานออกไปทางหน้าต่างที่พังอย่างแผ่วเบาดุจสายลม พลิ้วไหวไม่ต่างจากหมอกควัน

คนสิบกว่าคนยืนนิ่งอยู่บนลานเรือนเล็กแคบ เป็นเหล่านักฆ่าที่หมายใจจะสังหารขบวนเดินทางบนถนนหลวงเมืองหนานโจวเมื่อวานนั่นเอง

“ผู้คุมกฎสิบเจ็ด”

ชายเสื้อคลุมสีน้ำตาลผู้เป็นหัวหน้าพูดขึ้นด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม “ท่านฆ่าผู้คุมกฎสิบเอ็ดแล้วทิ้งศพไว้ในแม่น้ำอวี๋เหลียง กระทำการกำแหงอุกอาจเช่นนี้ ไม่กลัวประมุขหอจะลงโทษหรือไร”

“ผู้คุมกฎสิบเจ็ด! ท่านกำลังบีบให้พวกเราพบจุดจบ! ผู้คุมกฎสิบเอ็ดตายไปคนแล้ว ยังจะให้พวกเราเข้าไปอยู่ในบ่อโลหิตอีกหรือไร” ใครคนหนึ่งตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น

สมญาหอนักฆ่าอันดับหนึ่งในแผ่นดินของหอจื้อเฟิงนั้นได้มาจากภูเขาศพและทะเลเลือดที่สั่งสมมานานปี

ผู้คุมกฎมีทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน มักจะมีคนตายไปอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เคยขาดคนที่ทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อให้ได้เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

หนึ่งถึงสิบเจ็ดคือจำนวนที่อาบย้อมไปด้วยเลือด เบื้องหลังคือนักฆ่ามากมายที่ต้องพลีชีพเพราะแบกตัวเลขเหล่านี้เอาไว้ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบลำดับที่ไม่เคยถูกแทนที่เลยนั้น นอกจากลำดับสองก็คือลำดับสิบเจ็ด

ลำดับสิบเจ็ดคือเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา ซึ่งปีนี้เพิ่งอายุเพียงสิบหกปี

ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นผู้คุมกฎของหอจื้อเฟิงได้ และหอจื้อเฟิงมีกฎอยู่ว่าหากผู้คุมกฎคนใดไปตายข้างนอก คนที่ติดตามไปปฏิบัติภารกิจด้วยทั้งหมดจะต้องกลับเข้าไปอยู่ในบ่อโลหิต

บ่อโลหิตเป็นเสมือนนรกแห่งหอจื้อเฟิง ใครก็ตามที่ได้ออกมาจากที่นั่นไม่เคยคิดจะหวนกลับไปซ้ำสอง

“บ่อโลหิตก็นับเป็นจุดจบด้วยหรือ”

เด็กหนุ่มขยับมือข้างที่ถูกคมกระบี่บาด เลือดไหลลงมาตามปลายนิ้วขาวเรียว ดวงตาหยีโค้งน้อยๆ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย “หากพวกเจ้าเข้าร่วมภารกิจเมื่อวาน ถนนหลวงสายนั้นต่างหากเล่าถึงจะเป็นจุดจบของหอจื้อเฟิง”

“ผู้คุมกฎสิบเจ็ดหมายความว่าอย่างไร”

ชายเสื้อคลุมสีน้ำตาลขมวดคิ้ว

ดวงตาของเด็กหนุ่มส่องประกายเฉียบขาด “หอจื้อเฟิงไม่เคยถามตัวตนของผู้ว่าจ้าง แต่ต้องสืบดูให้รู้ว่าเป้าหมายที่จะตายเป็นใคร งานสืบตัวตนนี้ผู้ใดในหอเป็นผู้รับผิดชอบ”

“งานครานี้รับมาอย่างฉุกละหุก ผู้ว่าจ้างให้ราคาสามหมื่นตำลึงแลกกับชีวิตคนสองชีวิต ผู้คุมกฎสิบเอ็ดกลับหอมาบอกว่าเป็นคนสกุลกู้แห่งมณฑลกู่หนิงของหย่งซิง”

“เงินตั้งสามหมื่นตำลึงกับชีวิตคนแค่สองชีวิต?” เด็กหนุ่มถือกระบี่ยืนตัวตรง แขนเสื้อปลิวสะบัดในสายลม “สกุลกู้เป็นตระกูลพ่อค้าในมณฑลกู่หนิงของหย่งซิง มีค่าหัวถึงสามหมื่นตำลึงเชียวหรือ”

“ท่านตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่” ชายผู้นั้นเริ่มหมดความอดทน

เจ๋อจู๋นิ่งเงียบ ก้มหน้ามองกระบี่อ่อนในมือ คมกระบี่สะท้อนแสงวูบวาบเป็นประกายเย็นเยียบส่องกระทบนัยน์ตา เขาถอนหายใจ “พวกเจ้าช่างโง่เขลาโดยแท้

“พี่อวิ๋น ข้าว่าเขาตั้งใจจะหลอกพวกเราต่างหาก!”

นักฆ่าหนุ่มคนหนึ่งชักอดรนทนไม่ไหว “มันบาดเจ็บสาหัสมาจากแม่น้ำผิงชวน บัดนี้แผลยังไม่หาย พวกเราฆ่ามันทิ้งเสียตรงนี้เถิด! ถึงอย่างไรผู้คุมกฎสิบเอ็ดก็สนิทสนมกับประมุขหอ พวกเราชำระแค้นให้ผู้คุมกฎสิบเอ็ดเสียตรงนี้ ไม่แน่ว่าพอกลับหออาจได้รับการละเว้นโทษ ไม่ต้องกลับเข้าบ่อโลหิตก็เป็นได้!”

หอจื้อเฟิงมีธรรมเนียมให้ทำคุณไถ่โทษได้

ทุกคนคล้อยตามคำพูดนั้น สายตาทุกคู่จึงจับจ้องไปที่ร่างของเด็กหนุ่มโดยพลันและส่องประกายเหี้ยมเกรียมชวนสะท้านใจดุจนกนักล่า

ต่อให้ลมหิมะโหมแรงสักเพียงไร เสียงต่อสู้ฆ่าฟันก็ยังทะลุผ่านประตูไม้เข้ามาในเรือนอย่างชัดเจนอยู่ดี

ซางหรงคุดคู้อยู่ตรงมุมเตียงไม่กล้าขยับ ประสาทสัมผัสทุกส่วนเครียดเขม็ง กลิ่นคาวเลือดซึ่งลอยมาพร้อมกับลมหนาวที่กรูเกรียวเข้ามาจากช่องโหว่บนบานหน้าต่างเข้มคลุ้งขึ้นทุกที

ถึงกระนั้นนางก็ยังอดใจเงี่ยหูฟังไม่ได้ ข้างนอกมีเสียงคมอาวุธกระทบกัน เสียงคนร้องโหยหวน เสียงของหนักตกลงพื้น นางจำแนกเสียงอย่างตั้งใจ เสียงร้องลั่นนั้นบ้างทุ้มห้าว บ้างแหบแตก ไม่มีเสียงใดเป็นของเด็กหนุ่มคนนั้นเลย

ความเคลื่อนไหวพลันเงียบหาย ราวกับลมฝนที่โหมกระหน่ำสงบลงดื้อๆ นางอดใจไม่ไหวเงยหน้าขึ้นมองหน้าต่างที่มีรอยเลือดสาดกระเซ็นบานนั้น

เสียง ‘โครม’ พลันดังขึ้น

ซางหรงหันไปมองตามสัญชาตญาณ เห็นบานประตูล้มกระแทกพื้นพอดี สายลมเย็นเฉียบหอบเกล็ดหิมะโถมทะลักเข้ามาข้างใน ชายแปลกหน้าที่อยู่บนบานประตูกระอักเลือดทีหนึ่ง ก่อนจะหันมาเห็นนางที่อยู่บนเตียงเข้า ไม่รู้เขาคิดจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆ คือนางเห็นเขาทำท่าจะลุกเดินมาทางนี้

ซางหรงเปลือยเท้าวิ่งลงจากเตียงไปแอบ พร้อมฉวยกาน้ำชาบนเตาอั้งโล่ขึ้นมา ชาในกากำลังเดือดพล่านทีเดียว ตัวนางเองถูกลวกมือ ยังไม่ทันได้จับให้เต็มมือก็เขวี้ยงกาใส่ชายผู้นั้นก่อน

กาน้ำชาลอยไปกระแทกหน้าผากชายผู้นั้นอย่างจัง น้ำชาเดือดๆ สาดรดลงบนใบหน้าและลำตัว ร้อนลวกจนผิวแดงเห่อและร้องโหวกเหวก

ระหว่างที่ซางหรงยังเป่าฝ่ามือข้างที่ถูกลวก เสียงร้องนั้นพลันขาดช่วงไป พอนางเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นลำคอของชายผู้นั้นทะลุเป็นรูและมีเลือดพุ่งทะลัก มองเห็นสีขาวเงินเย็นเยียบส่องประกายอยู่กลางเนื้อเหวอะหวะได้รำไร ดูเหมือนจะเป็นวัตถุที่แทงทะลุลำคอ

นางแข็งทื่อไปทั้งตัว ชายผู้นั้นเบิกตาโพลงขณะล้มตึงลงกับพื้น

ขาทั้งสองข้างของนางอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ทรุดฮวบลงนั่ง นางเพิ่งเห็นศพสิบกว่าศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่นอกประตูที่พังล้มตอนนี้เอง แต่ละศพเลือดโชกจนเห็นหน้าไม่ถนัด เลือดไหลเนืองนองจนแทบย้อมพื้นหิมะบนลานเรือนให้เป็นสีแดงฉานทั้งลาน

“มานี่”

เสียงแผ่วอ่อนพลันดังขึ้นในจังหวะนั้น

ซางหรงเงยหน้าพรวดมองตามเสียง…ตรงลูกกรงระเบียงด้านขวามือของบานประตู เด็กหนุ่มยังคงผุดผ่องงดงามดุจเขาหิมะ ทว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งเปื้อนเลือด ผมสีดำสนิทหลุดร่วงลงมาปรกเคลียข้างใบหูหลายปอย นิ้วเรียวยาวเห็นข้อกระดูกชัดเจนถือกระบี่อ่อนคู่ใจ โลหิตหยดลงมาจากพู่ห้อยกระบี่สีแดงที่เปียกชุ่มหยดแล้วหยดเล่า แล้วไหลลงไปตามขั้นบันได

เขาเองก็ยืนนิ่งไม่ขยับ แม้จะถูกลมภูเขาพัดปอยผมและมีเกล็ดหิมะเกาะเต็มเสื้อผ้า

ท่ามกลางแสงสลัวรางยามรุ่งสาง เขามองจ้องเข้ามาในดวงตานางราวกับปีศาจ จนนางสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่

“เมื่อคืนเจ้าเห็นหรือไม่ว่าข้าเอายาวางไว้ที่ใด”

ความอ่อนระโหยแฝงอยู่ในเสียงแผ่วเนิบของเด็กหนุ่มที่บัดนี้ยืนพิงราวระเบียงนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

เมื่อคืนหลังทำแผลใหม่เสร็จแล้วเขาวางขวดยาไว้ข้างหมอน พอได้ยินคำถามนั้นซางหรงก็นึกออกแทบจะทันที ทว่ายังไม่ทันขยับก็พบว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มยิ่งเย็นชาขึ้น นางเลยเหมือนนกตื่นลูกธนูมากกว่าเดิม “เห็น”

นางเกาะเสาพยุงตัวขึ้นยืน แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่กล้ามองศพบนพื้น คิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่นขณะขยับขาเดินทีละก้าวสั้นๆ ไม่ให้ถูกแอ่งเลือดที่ไหลคดเคี้ยวอยู่บนพื้น ค่อยๆ พาตัวเองไปที่ตั่งไม้ไผ่

ราวกับหอยทากตัวน้อยก็ไม่ปาน

เจ๋อจู๋รู้สึกเหมือนเลือดใกล้ไหลหมดตัวเต็มที ขณะทอดตามองนางอย่างใจเย็น ขาเดินออกมานางก็ยังพยายามเลี่ยงศพกำยำบนพื้น ไม่ยอมให้เท้าเปื้อนเลือดแม้แต่นิดเดียว กว่าจะออกจากห้องได้จึงกินเวลาพักใหญ่ นางทิ้งตัวลงนั่งยองๆ ตรงหน้าเขา เปิดจุกขวดยามือไม้สั่น แล้วเทผงยาลงบนตัวเขาสะเปะสะปะ ผงยาขมเฝื่อนกระจายฟุ้ง ทำเอานางจามออกมาทีหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่

แผลบนท่อนแขนเหวอะหวะอาบเลือดแดงฉาน ซางหรงตั้งหน้าตั้งตาโรยยาลงไปจนผงยาสีขาวกลบปิดปากแผลเป็นชั้นหนาเตอะ นางถึงค่อยกล้ามองรอยแผลเต็มตา แล้วแอบพรูลมหายใจอย่างโล่งอก

พอกระชับขวดยาแน่น ฝ่ามือที่ถลอกปอกเปิกเพราะหกล้มก็โดนผงยาที่ติดอยู่บนขวดเข้า เจ็บแสบเสียจนนางต้องร้อง ‘ซี้ด’

เวลายาโดนแผลเจ็บถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ซางหรงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ทว่าสันคิ้วนูนเด่นของเขาคลายออกจากกัน ขาดแต่ไม่ได้อมยิ้มเท่านั้น ดวงตาหลุบต่ำ แพขนตาหนายาวกระเพื่อมน้อยๆ ตามแรงลม คราบเลือดบนแก้มทำให้ใบหน้าของเขาดูเย็นชาถึงขีดสุด

แผลลึกออกอย่างนั้น ไม่เจ็บหรือไรนะ

นางอดคิดไม่ได้

เขานิ่งเงียบ ดูสันโดษอย่างบอกไม่ถูก ซางหรงไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เห็นเพียงเขาผินหน้าไปมองศพที่นอนเกลื่อนพื้นหิมะ

ความว่างเปล่าไร้อารมณ์ค่อยๆ สะท้อนออกมาบนใบหน้าดวงนั้น

“ซางหรง”

เสียงของเด็กหนุ่มกังวานน่าฟัง

สายลมเสียดสีกิ่งไม้แห้งโกร๋นดังแซ่กๆ ริ้วหมอกหนาวเหน็บแผ่กำจาย หิมะกำลังตกลงมา

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็โค้งขึ้น แววตาเป็นประกายพราวระยับ

“เจ้าอยากจะ…ไปเที่ยวเล่นกับข้าหรือไม่”

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 มิ.. 68

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: