บทที่ 14
อวิ๋นอี่ผงะอึ้งไปเล็กน้อย “เข้าไป?” นางกลัวว่าตนเองจะเข้าใจความหมายผิดเพี้ยนไป จึงจงใจมองไปทางร้านเซียนเฉวียนที่เพลิงลุกไหม้แวบหนึ่งเป็นพิเศษ “พระชายา…เข้าไปตอนนี้ก็อันตรายนะเจ้าคะ ท่านไปก็ทำอันใดไม่ได้ อีกอย่าง ไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นกับนายท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ข้าต้องเข้าไปดูให้ได้”
“ขออภัยที่บ่าวไม่อาจปฏิบัติตามคำสั่ง นายท่านบอกว่า…”
“ในเมื่อสามีส่งเจ้ามาคุ้มครองข้า เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนของข้า” หมิงถานพูดตัดบทอย่างรวดเร็วฉับไว “ข้าเองก็จำได้ว่าสามีเคยบอกว่าหน่วยองครักษ์จินอวิ๋นไม่รับใช้สองนาย ตกลงยามนี้ใครเป็นเจ้านายของเจ้า เจ้าฟังคำสั่งใครกันแน่”
อวิ๋นอี่ฟังจนมึนงงไป สัญชาตญาณบอกว่ามีบางอย่างแปลกพิกล แต่นางก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าแปลกตรงที่ใด
หมิงถานมองไปรอบด้านอีกครั้ง เอ่ยเพิ่มเสียงดังขึ้นกว่าเดิมว่า “ยังมีองครักษ์ลับอีกสองคนมิใช่หรือ คนเล่า ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นกับท่านอ๋อง ปกป้องข้าไปจะมีประโยชน์อันใด!”
รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงระลอกคลื่นในน้ำขยับไหวแผ่วเบา
อวิ๋นอี่กำลังถูกคำพูดของหมิงถานทำให้สับสนงุนงง ไม่มีใครคาดคิดว่าหมิงถานกลับฉวยโอกาสตอนที่นางไม่ทันระวัง ยกชายกระโปรงขึ้นมาวิ่งจ้ำอ้าวไปยังเรือเล็กที่จอดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลำนั้น
นางกัดริมฝีปาก ออกแรงแกะเชือกให้คลายออก อีกทั้งยังหยิบไม้พายออกมาอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ทำท่าทางเหมือนจะพายเรือออกไปด้วยตนเอง
อวิ๋นอี่เห็นดังนั้นก็รีบทะยานร่างขึ้นไปบนเรือ แย่งไม้พายมาจากในมือของหมิงถาน
หมิงถานรู้ว่าตนเองคงพายไปไม่ไหวเป็นแน่ จึงเจตนาวางแผนหลอกอวิ๋นอี่ขึ้นเรือ
ครั้นเห็นอวิ๋นอี่ขึ้นมาบนเรือแล้ว ขอบตาของหมิงถานบทจะแดงก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันที สุ้มเสียงพลันอ่อนลงเช่นกัน กล่าวเสียงแผ่วเบา ทั้งยังดึงชายเสื้อของอวิ๋นอี่เอาไว้แน่น “อวิ๋นอี่คนดี พาข้าไปเถิด ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรแน่นอน”
อวิ๋นอี่ “…”
ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่นางเห็นพระชายาของตนเองร้อนใจถึงเพียงนี้ ร้อนใจจนหยาดน้ำตาก็อาจจะหยดแหมะลงมาได้ในเสี้ยวพริบตาราวกับเด็กน้อยที่อดได้ลูกอม
ไม่รู้เพราะเหตุใด ก้นบึ้งหัวใจที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกมานานปีของอวิ๋นอี่กลับเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมขึ้นมาเบาๆ
นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เป่าปากส่งสัญญาณขึ้น
องครักษ์ลับที่คอยเฝ้าอยู่ในมุมมืดมาตลอดปรากฏตัวขึ้นในที่สุด ทะยานแตะผิวน้ำอย่างเงียบเชียบ โผลอยขึ้นเรือลำน้อย
อวิ๋นอี่เอ่ยกำชับว่า “พระชายา ท่านห้ามเข้าใกล้เรือสำราญเด็ดขาด ต้องอยู่แต่บนเรือนี้เท่านั้นนะเจ้าคะ”
ขอแค่อวิ๋นอี่ยอมพานางไป ยามนี้จะให้นางทำอันใดก็ได้ทั้งสิ้น นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟังว่าง่าย เอ่ยรับรองอย่างสัตย์ซื่อจริงใจ “ข้าจะอยู่แต่บนเรือเท่านั้น จะไม่เอาตนเองไปเสี่ยงอันตรายแน่นอน”
ขอให้เป็นเช่นนั้นก็แล้วกัน
อวิ๋นอี่ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่
ไม่นานนักเรือลำน้อยก็พายออกมาจนถึงกลางแม่น้ำ
ห่างออกไปไม่ไกล เปลวเพลิงได้ลุกลามไปยังเรือสำราญลำอื่นๆ แล้ว ส่วนเพลิงที่ร้านเซียนเฉวียนกลับมอดดับไปแล้วกว่าครึ่ง เรือสำราญถูกเผาไหม้จนบ้างก็จมบ้างก็พังถล่ม มีเสาคานและซากศพที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมไม่น้อยลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ กลิ่นต่างๆ ผสมปนเปคละคลุ้ง ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
กองทหารดับเพลิง กองกำลังป้องกันเมือง รวมไปถึงทหารของที่ว่าการเมืองกำลังทำการค้นหาอยู่บนซากเรือที่มีควันดำลอยพวยพุ่งออกมาเหล่านั้น เมื่อเจอศพถูกเพลิงไหม้ก็จะแบกขึ้นฝั่งทีละศพๆ
“พวกเจ้ารีบไปหาดูเร็วเข้า” หมิงถานรีบหันไปทางเงาร่างดำมืดสองสายที่อยู่ท้ายเรือ
เงาร่างดำมืดสองสายนั้นเชื่อฟังคำสั่งยิ่งนัก พวกเขาพยักหน้าเล็กน้อย แตะเท้าลงบนผิวน้ำอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะทะยานร่างไปยังซากเรือสำราญ
เรือสำราญของร้านเซียนเฉวียนล้วนสร้างขึ้นอย่างโอ่อ่าหรูหราเป็นอย่างมาก ลำที่เตี้ยที่สุดยังมีถึงสองชั้น ส่วนลำที่สูงที่สุดมีเกือบห้าชั้น ถึงแม้จะถูกไฟไหม้จนจมไปไม่น้อย แต่การเสาะหาบนเรือสำราญที่เหลืออยู่ก็ยังต้องใช้เวลามากพอสมควร
ผ่านไปครึ่งเค่อแล้วยังไม่เห็นคนกลับมา หมิงถานก็เริ่มจะทนรอไม่ไหว ข่าวลือและจินตนาการเกี่ยวกับสกุลซู่ที่อยู่ในสมองของนางถูกขยายใหญ่ให้เกินจริงอย่างไร้ที่สิ้นสุด ภาพยามที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับสามีก่อนหน้านี้ก็ซ้อนทับร้อยเรียงเข้าด้วยกัน
นางหันกลับไป เริ่มเอ่ยต่ออวิ๋นอี่ “เพลิงตรงร้านเซียนเฉวียนมอดไปเกือบหมดแล้ว พวกเราเองก็ไปช่วยหาคนเถิด”
“พระชายา ท่านรับปากบ่าวแล้วว่าจะไม่ลงจากเรือ จะไม่เอาตัวไปเสี่ยงอันตราย”
“เพลิงมอดไปเกือบหมดแล้ว ไม่อันตรายหรอก” ตอนนี้อยู่ห่างจากร้านเซียนเฉวียนไม่มากนัก นางจึงเอ่ยพลิกลิ้นทันทีว่า “ถ้าเจ้าไม่ให้ข้าไป ข้าก็จะว่ายไปเอง”
อวิ๋นอี่ “…”
คำรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะเมื่อครึ่งเค่อก่อนนางหลงเชื่อเสียเปล่าจริงๆ
แต่ในเมื่อหมิงถานทั้งตอแย พลิกลิ้นก็พลิกแล้ว อวิ๋นอี่จนปัญญา จึงทำได้เพียงต้องคุ้มครองหมิงถาน ให้นางได้ขึ้นไปบนเรือสำราญสมดังใจปรารถนา
ถึงแม้เพลิงไหม้จะหยุดลงแล้ว แต่ควันหนาแน่นบนเรือยังคงแสบตาแสบจมูก หมิงถานใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำปิดปากปิดจมูกเอาไว้ ออกตามหาคนบนเรือสำราญที่ยังไม่มีใครเข้ามาตรวจสอบพลางตะโกนเรียกว่า “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง! สามี!”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะแสบตาจากควันคละคลุ้งหรือเพราะร้อนรนกระวนกระวายใจกันแน่ หางตาของนางจึงมีหยาดน้ำตาเล็ดออกมา
อวิ๋นอี่คอยติดตามอยู่ไม่ห่างกายหมิงถาน ออกตามหาทีละห้องๆ เป็นเพื่อนนาง
เรือลำนี้ไม่เพียงแต่สร้างขึ้นไปหลายชั้น แต่ยังมีห้องเครื่องที่เชื่อมต่อลงไปยังใต้ท้องเรืออีกด้วย หมิงถานคิดว่าถ้าหากจะติดแหง็กออกมาไม่ได้ก็เป็นไปได้มากที่สุดที่จะติดอยู่ในห้องเครื่องที่ท้องเรือ ดังนั้นหลังนางค้นหาข้างบนเสร็จ หมิงถานก็ยังยืนกรานจะลงไปหาในห้องเครื่องอีก
ทว่ายามนี้ที่ห้องเครื่องใต้ท้องเรือนั้นเดือดจัดราวกับหม้อนึ่ง ร้อนระอุจนแสบผิว หมิงถานปีนขึ้นปีนลงไปแค่รอบเดียว แต่ทั่วทั้งร่างกลับสกปรกมอมแมมจนดูไม่ได้
ถึงแม้จะหาตัวเจียงซวี่กับซูจิ่งหรานไม่เจอ แต่กลับบังเอิญพบสตรีที่ถูกมัดเอาไว้แน่นลมหายใจรวยรินผู้หนึ่งในห้องเครื่องอย่างเหนือความคาดหมาย ดังนั้นหมิงถานกับอวิ๋นอี่จึงร่วมแรงกันช่วยเหลือนางออกมา
“หาไม่เจอหรือ” เจียงซวี่ยืนอยู่กลางดงต้นกกริมฝั่งแม่น้ำ เอ่ยถามขึ้นประโยคหนึ่ง
ผู้มาเยือนส่ายศีรษะ “ไม่เจอขอรับ จุยอิ่งกำลังไปตรวจสอบศพสตรีอยู่ขอรับ”
เจียงซวี่มิได้เอ่ยตอบอีก แต่เขาก็ตั้งใจว่าจะไม่มัวมาเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ในขณะนี้เองจู่ๆ ก็มีเงาร่างสายหนึ่งทะยานลงมาหยุดลงกลางดงต้นกก ประสานมือคารวะพร้อมกับเอ่ยรายงานเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋อง พระชายาอยู่ที่ร้านเซียนเฉวียนขอรับ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” เจียงซวี่อึ้งงันไปเล็กน้อย
“พระชายาขึ้นไปที่ร้านเซียนเฉวียนเพื่อตามหาท่านขอรับ”
ก้นบึ้งในหัวใจของเขาชะงักงันไปในบัดดล
แสงราตรีหม่นมัวหนาทึบ ไม่มีผู้ใดมองเห็นสีหน้าบนใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน รู้เพียงแต่ว่าเกิดความเงียบสงัดอย่างน่าประหลาดขึ้นมาระลอกหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเคลื่อนกายพุ่งปรี่ออกไปทันที
หลังจากช่วยสตรีคนหนึ่งที่ถูกจับมัดไว้ที่ห้องเครื่องใต้ท้องเรือออกมาได้แล้ว หมิงถานก็ยิ่งเชื่อมั่นในความคิดที่ว่าจะต้องเสาะหาตามห้องเครื่องใต้ท้องเรือลำอื่นๆ ต่อไป แต่ว่าเดิมทีเรี่ยวแรงนางก็ไม่สู้ดีอยู่แล้ว หลังจากสาละวนค้นหาอยู่พักใหญ่ มวยผมของนางก็ยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง เหงื่อเปียกชุ่มราวกับสายฝน บนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นสกปรก เหนื่อยล้าหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปแล้ว
นางไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองกำลังยึดมั่นสิ่งใดกันแน่ ทั้งที่รู้ดีว่าตอนนี้เพลิงมอดดับไปหมดแล้วแต่ก็ยังหาไม่เจอ ด้วยความสามารถของเขาแล้วคงจะหนีรอดพ้นอันตรายไปได้ตั้งนานแล้ว ทว่าหากยังไม่ได้รับข่าวคราวของเขานานเท่าไร นางก็ไม่อาจวางใจได้นานเท่านั้น
นางคิดจะไปหาที่เรือสำราญลำอื่นที่ยังไม่ได้ค้นหา
ระหว่างเรือสำราญแต่ละลำมีสะพานไม้แคบๆ แผ่นเดียวเชื่อมต่อกันอยู่ พอเห็นว่าหมิงถานจะขึ้นไปบนสะพาน อวิ๋นอี่ก็รีบวางสตรีที่ช่วยออกมาได้ลงแล้วรีบไล่ตามไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่
“แกร๊ก…”
สะพานแผ่นไม้นี้ดูแวบแรกเหมือนจะสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย แต่ว่าอีกด้านหนึ่งกลับถูกไหม้เกรียมไปแล้ว หมิงถานเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว ฝั่งตรงข้ามก็มีทีท่าว่าจะถล่มลงมา นางเผลอตื่นตระหนกไปเล็กน้อย ร่างกายจึงพลันโงนเงนขึ้นมา ท่าทางคล้ายกับจะคะมำไปด้านหน้า
อวิ๋นอี่กำลังจะยื่นมือออกไปคว้าร่างหมิงถานเอาไว้ แต่ทันใดนั้นพลันมีคนผู้หนึ่งลอยทะยานเข้ามาภายใต้ม่านราตรี ชิงรวบเอวบางแน่งน้อยของหมิงถานเอาไว้ก่อนอวิ๋นอี่หนึ่งก้าว หมุนตัวกลางอากาศหนึ่งตลบ เคลื่อนที่โดยใช้ปลายเท้าแตะผิวน้ำ ทะยานร่างลงบนเรือสำราญได้อย่างมั่นคง
เมื่อเห็นผู้มาเยือน หมิงถานก็ฉงนงุนงงไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่า “สะ…สามี?”
สีหน้านางตะลึงอึ้งงัน สุ้มเสียงแหบแห้งเพราะสำลักควัน
“วิ่งมาถึงที่นี่ เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”
เจียงซวี่หลุบนัยน์ตาลงมองนาง เอ่ยถามเสียงเบา
หมิงถานมีถ้อยคำอยากจะพูดมากมาย ทว่าดวงตากลับไม่กล้ากะพริบแม้แต่ครึ่งพริบตา เอาแต่พิศมองอ้อยอิ่งอยู่บนใบหน้าของเขา พินิจพิจารณาเค้าโครงเครื่องหน้าของเขาอย่างละเอียดลออ
พักใหญ่ผ่านไป หัวใจของนางซึ่งกระดอนขึ้นมาอยู่ที่ลำคอตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ค่อยๆ กลับไปอยู่ที่เดิมอย่างเชื่องช้า
“สามีไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
พูดจบนางก็รู้สึกว่าเส้นประสาทในหัวสมองที่ตึงเครียดมาตลอดได้หย่อนคลายลงเสียที ร่างกายลอยล่องเบาหวิว เบื้องหน้าก็พร่าเลือนไปอย่างไม่มีสาเหตุ ก่อนจะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปนางเหลือความคิดแค่เพียงอย่างเดียวว่า น่าอายเหลือเกิน ข้าถึงกับเป็นลมหมดสติไปเพราะเรื่องแค่นี้เหมือนกับฮูหยินท่านเจ้าเมืองไม่มีผิด!
“…พระชายาบอกว่าหากบ่าวไม่ยอมให้นางไป นางก็จะว่ายน้ำไปเอง แน่นอนว่าบ่าวจะฟาดพระชายาให้สลบไปเลยก็ได้ แต่บ่าวเห็นว่าพระชายาเป็นห่วงนายท่านมากจริงๆ จึงสงสารหักใจทำเช่นนั้นไม่ลง เป็นความบกพร่องของบ่าวเอง บ่าวน้อมรับโทษเจ้าค่ะ”
เมื่อกลับมาถึงที่ว่าการเมือง อวิ๋นอี่ก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ออกมาอย่างละเอียดยิบ
“สงสาร?” เจียงซวี่เหลือบมองนาง
“บ่าวมาจากหน่วยองครักษ์จินอวิ๋น จริงอยู่ที่ไม่ควรสงสาร ทว่าพอได้อยู่ข้างกายพระชายามาเป็นเวลานาน บ่าวเพิ่งได้เห็นพระชายาร้อนรนจนเสียอาการเช่นวันนี้เป็นครั้งแรก พระชายาไม่ทราบว่านายท่านจะทำอันใด เพียงแค่กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับนายท่าน อยากจะไปช่วยนายท่านเท่านั้น ขอนายท่านอย่าตำหนิพระชายาเลยเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้ากำลังโทษข้าติ้งเป่ยอ๋องอยู่หรือ”
“บ่าวมิกล้า”
อวิ๋นอี่คุกเข่าลงกับพื้น ทว่าแผ่นหลังกลับเหยียดตรงยิ่ง
เจียงซวี่เองก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ เขานิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ทันใดนั้นก็เปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าหาตัวคนที่ข้าติ้งเป่ยอ๋องต้องการพบ ครั้งนี้จะถือว่าแล้วกันไป แต่ต่อไปหากเจ้าปล่อยปละให้พระชายาเข้าไปเสี่ยงอันตรายอีกครั้ง เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวให้ข้าผู้นี้เห็นอีก ไสหัวไปเสีย”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากอวิ๋นอี่ถอยกลับออกไป เจียงซวี่ก็ยืนเงียบๆ อยู่ที่ห้องชั้นนอกพักใหญ่ แสงราตรีนอกเรือนมืดทะมึน มีเสียงสกุณาเสียงจักจั่นขานร้องเป็นครั้งคราว เขายกเท้าขึ้นก้าวเดินไปยังห้องชั้นใน
ห้องชั้นในเงียบสนิทไร้สรรพเสียง ทุกสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในสายตาล้วนมีแต่ความหรูหราอวดร่ำอวดรวยที่ยามปกตินางมักจะรังเกียจว่าไม่น่าภิรมย์ แต่โชคดีที่ผ้าปูที่นอนและกำยานหอมสงบจิตล้วนเป็นของที่หมิงถานพกติดตัวมาเอง อาจจะด้วยสาเหตุนี้ ในเวลานี้นางถึงได้นอนหลับสบายเพียงนี้
เจียงซวี่นั่งลงตรงขอบเตียง มองรอยแผลไฟลวกเล็กๆ บนมือของนางแวบหนึ่ง ต่อมาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าหมาดที่พาดอยู่ตรงขอบอ่างล้างหน้าขึ้นมา เช็ดฝุ่นสกปรกที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าของนางออก
จริงๆ แล้วที่เขาตอบรับคำเชื้อเชิญของเจ้าเมืองมุ่งหน้าไปยังร้านเซียนเฉวียนในค่ำคืนนี้ก็เพราะว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับหลักฐานที่โจวเป่าผิงได้เหลือทิ้งเอาไว้
เขาได้สั่งให้องครักษ์ลับแฝงตัวเข้าไปในหลิงโจวตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนหน้านี้แล้วเพื่อตรวจสอบคดีการตายอย่างกะทันหันของโจวเป่าผิง ทั้งยังได้ข้อสรุปมาอีกด้วย
เนื่องจากโจวเป่าผิงได้หลักฐานการปั่นราคาการซื้อขายสินค้าและแจ้งจังกอบเท็จของกองการค้าทางทะเลในหลิงโจวมาถึงได้ถูกคนฆ่าปิดปากอย่างไม่มีข้อสงสัย ซ้ำร้ายยังถูกป้ายสีด้วยสาเหตุการตายที่น่าเกลียดอย่างการเที่ยวหญิงคณิกา เสพสำราญอย่างไร้ขอบเขตเช่นนี้อีก
ทว่าการที่โจวเป่าผิงสามารถขึ้นมาเป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้ใจให้ความสำคัญได้ก็แสดงว่าเขาเป็นคนฉลาดเฉลียวมีไหวพริบปฏิภาณมาก เมื่อรู้ว่าตนเองยากจะเอาตัวรอดได้ เขาจึงแอบเก็บซ่อนหลักฐานเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
ในช่วงระหว่างที่เขารับตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการกองการค้าทางทะเลที่หลิงโจว เขามักจะไปไหนมาไหนเพียงลำพัง คบค้าสมาคมกับผู้อื่นน้อยครั้งยิ่ง แน่นอนว่าในอาณาเขตของสกุลซู่เช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าผูกมิตรกับเขาเช่นกัน
องครักษ์ลับแฝงตัวเข้ามาสืบสวนอยู่ในหลิงโจวหลายวันก็พบว่าสิ่งเดียวที่เรียกได้ว่าเป็นงานอดิเรกของเขาก็คือการไปฟังดนตรีหาความสำราญที่เรือสำราญหนึ่งร้อยแปดสิบลำบนแม่น้ำหลิงอวี่ เขาแวะไปเยือนหลายร้าน แต่ว่าร้านที่เขาไปบ่อยที่สุดก็คือร้านมู่ชุนซึ่งมีชื่อเสียงทัดเทียมกับร้านเซียนเฉวียน
ทว่าหญิงสาวสองสามนางในร้านมู่ชุนที่โจวเป่าผิงเรียกตัวบ่อยๆ กลับกลายเป็นหลักฐานและสิ่งเสริมความน่าเชื่อถือให้แก่สาเหตุการตายอันเหลวไหลไร้สาระอย่างการเที่ยวหญิงคณิกา เสพสำราญอย่างไม่บันยะบันยังของเขา
จากการตรวจสอบขององครักษ์ลับ กองการค้าทางทะเลคงจะกุมตัวโจวเป่าผิงเอาไว้ทันทีที่รู้ว่าเขาได้หลักฐานมาอยู่ในมือ ไม่รู้ว่าเขาต้องประสบชะตากรรมเช่นไรบ้าง แต่อย่างไรโจวเป่าผิงก็ไม่ยอมปริปาก กองการค้าทางทะเลเห็นว่าล้วงความลับจากปากเขาไม่ได้จึงจัดการกับเขาเสีย หลังจากนั้นสืบสาวไปตามคนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเขาในยามปกติ จนไปเจอพวกหญิงสาวจากร้านมู่ชุน
หญิงสาวเหล่านั้นไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดเลยแม้แต่กระผีกริ้น พวกนางกล่าวว่าปกติใต้เท้าโจวเรียกตัวพวกนางมาก็เพื่อฟังดนตรีบรรเลงคลายเครียดเท่านั้น ไม่เคยเล่าเรื่องของตนเองให้ฟังเลยสักครั้ง
แต่ในฐานะคนที่พบปะกับโจวเป่าผิงค่อนข้างมาก กองการค้าทางทะเลย่อมไม่มีทางปล่อยพวกนางไปง่ายๆ แน่นอน หลังจากทรมานให้รับสารภาพไม่ได้ผลก็สังหารพวกนางทิ้งทันที จากนั้นนำศพไปกองรวมกับโจวเป่าผิง สร้างสถานการณ์ปลอมๆ ว่าเขาเที่ยวหญิงคณิกาจนตายกะทันหัน
พอถึงตรงนี้ก็ไม่มีเบาะแสของหลักฐานที่โจวเป่าผิงเก็บซ่อนเอาไว้อีก องครักษ์ลับสืบเสาะอยู่หลายวันก็ยังไม่พบเงื่อนงำ สกุลซู่เองก็ยังไม่มีความคืบหน้าเช่นเดียวกัน
จนกระทั่งพวกเจียงซวี่เดินทางเข้าสู่หลิงโจว อยู่ๆ ก็มีคนแอบติดต่อองครักษ์ลับอย่างลับๆ บอกว่าใต้เท้าโจวได้มอบของให้ตนเองเก็บรักษาไว้ แต่นางได้รับการไหว้วานจากใต้เท้าโจวว่าจะต้องมอบให้คนที่ฮ่องเต้ส่งมาด้วยมือของตนเองเท่านั้น
คนที่ติดต่อกับองครักษ์ลับอย่างลับๆ ก็คือสาวใช้เล็กๆ ที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาในร้านมู่ชุนคนหนึ่ง มีนามว่าชิวเยวี่ย
ในปีที่เกิดปัญหาข้าวของแพงผู้คนอดอยาก โจวเป่าผิงได้เมตตาช่วยชีวิตนางเอาไว้ นางจึงทำงานให้โจวเป่าผิงด้วยความจงรักภักดีมาตลอด
สามเดือนก่อนหน้าที่โจวเป่าผิงจะถูกโยกย้ายไปรับตำแหน่งที่กองการค้าทางทะเลในผิงโจว นางก็ได้เดินทางมาที่หลิงโจวเพียงลำพัง หางานเป็นสาวใช้คอยหุงหาอาหารอยู่ที่ร้านมู่ชุนเป็นการล่วงหน้า
ชิวเยวี่ยมีใบหน้าธรรมดาไม่มีความน่าสนใจ เห็นผ่านตาก็สามารถลืมเลือนได้ทันที ปกตินางเอาแต่ตั้งอกตั้งใจทำงานไม่พูดไม่หือไม่อือ ไร้ตัวตนเป็นที่สุด
ยามโจวเป่าผิงมาที่ร้านมู่ชุนเพื่อเรียกหญิงคณิกาเข้าไปขับร้องบรรเลงเพลง ชิวเยวี่ยก็ได้ปรนนิบัติยกน้ำชาเข้าไปในห้องหลายครั้ง แต่เพราะนางไร้ตัวตนมากเกินไป ไม่ว่าสกุลซู่หรือองครักษ์ลับ ตอนสืบเรื่องราวต่างก็มองข้ามนางไปทั้งสิ้น
แต่เพราะเกิดเรื่องโจวเป่าผิงขึ้น สูญเสียหญิงคณิกาดาวเด่นไปหลายคนติดๆ กันรวดเดียว กอปรกับกองการค้าทางทะเลมักจะมาสืบหาตัวคนแทบไม่เว้นแต่ละวัน ระยะนี้กิจการของร้านมู่ชุนจึงย่ำแย่ยิ่ง ทำให้ต้องส่งตัวสาวใช้กลุ่มใหญ่ซึ่งชิวเยวี่ยก็รวมอยู่ในนั้นด้วยออกไป
ชิวเยวี่ยจดจำคำสั่งเสียของผู้เป็นนายเอาไว้ในใจเสมอมา ต้องรอจนกว่าที่คนของฮ่องเต้ส่งมาปรากฏตัวขึ้นถึงจะมอบหลักฐานให้ได้ เพื่อป้องกันมิให้ถูกใครสังเกตเห็นว่านางมีพฤติกรรมน่าสงสัย นางจึงมิได้เคลื่อนไหวบุ่มบ่าม แต่กลับหางานทำในร้านเซียนเฉวียนเหมือนกับสาวใช้ส่วนใหญ่คนอื่นๆ
วันนี้เจียงซวี่ตอบรับคำเชิญไปยังร้านเซียนเฉวียนก็เพื่อไปพบแม่นางชิวเยวี่ยผู้นี้ด้วยตนเอง
แต่ว่าคงเป็นเพราะการที่ชิวเยวี่ยเป็นฝ่ายติดต่อองครักษ์ลับก่อนในคราวนี้เผยพิรุธออกไป คืนนี้หลังจากเจียงซวี่เข้ามาในร้านเซียนเฉวียนแล้ว เขายังไม่ทันได้พบหน้านาง สกุลซู่ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติเสียก่อน จึงส่งคนมาหมายจะจับตัวนางไป
ทว่าบนเรือมีองครักษ์ลับอยู่ไม่น้อย ผู้มาเยือนจับตัวชิวเยวี่ยไปแต่กลับไม่สามารถพานางออกไปได้อย่างราบรื่น ด้วยอารามรีบร้อนจึงจับนางโยนลงในห้องเครื่อง หลังจากนั้นก็ราดน้ำมันจุดไฟเผาบริเวณโดยรอบ
ฤดูนี้อากาศแห้งติดไฟง่าย กอปรกับลมบนผิวแม่น้ำพัดพาให้เพลิงลุกลามกระจายไปได้ง่ายดายที่สุด บีบให้พวกเจียงซวี่ต้องหนีออกมาจากเรือสำราญก่อนชั่วคราว
ผู้มาเยือนคงคิดว่าถ้าหากเพลิงมอดดับแล้วชิวเยวี่ยยังไม่ถูกไฟคลอกตาย พวกเขาค่อยมาจับตัวไปอีกครั้งก็จะเป็นการดีที่สุด แต่หากคนตายไปแล้ว เกรงว่าพวกเจียงซวี่เองก็คงยากจะหาหลักฐานเจอเช่นกัน
การกระทำเช่นนี้ประสบผลสำเร็จจริงๆ พอร้านเซียนเฉวียนเกิดเพลิงไหม้ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เจียงซวี่กับซูจิ่งหรานก็ไม่มีหนทางอื่น จำเป็นต้องล่าถอยกลับมาก่อนชั่วคราว
องครักษ์ได้จับตัวผู้มาเยือนเอาไว้ในขณะที่เขาคิดจะฉวยจังหวะโกลาหลวุ่นวายหนีออกจากเรือสำราญไป แต่ว่าผู้มาเยือนล้วนเป็นหน่วยพลีชีพ เจียงซวี่ยังไม่ทันได้ซักไซ้ไล่ถามคนพวกนั้นก็กัดยาพิษฆ่าตัวตายไปเสียก่อน สิ่งเดียวที่สามารถมั่นใจได้ในตอนนั้นก็คือ พวกเขายังไม่ทันได้พาตัวชิวเยวี่ยไปด้วย
เมื่อเห็นว่าเพลิงบนเรือมอดดับสนิทแล้วแต่ก็ยังหาตัวชิวเยวี่ยไม่พบ ทีแรกเจียงซวี่ก็ไม่คิดจะรั้งตัวอยู่อีกต่อไป แต่นึกไม่ถึงว่ากลับเกิดเรื่องหมิงถานแทรกขึ้นมา…ชายาตัวน้อยของเขาถึงกับขึ้นไปบนเรือสำราญด้วยตนเองเพื่อจะไปช่วยเหลือเขา
จริงๆ แล้วในยามที่เกิดเพลิงไหม้ ในสมองของเขาก็มีเสี้ยวพริบตาหนึ่งที่คิดว่าละครกลางแม่น้ำของหลิงโจวเป็นที่เลื่องชื่อยิ่ง คืนนี้ฮูหยินท่านเจ้าเมืองอาจจะเชิญพระชายาของเขาไปร่วมรับชม เช่นนั้นนางอาจจะเห็นก็ได้ว่ามีเพลิงไหม้บนเรือสำราญที่อยู่ห่างไกลออกไป
แต่ว่าเขาก็คิดเช่นนี้เพียงแค่เสี้ยวพริบตาเดียวเท่านั้น เห็นแล้วอย่างไรเล่า รู้แล้วอย่างไรเล่า แต่ไรมานางก็ฉลาดเฉลียวมีไหวพริบอยู่ไม่น้อย คงไม่ถึงขั้นคิดว่าเขาจะตกที่นั่งลำบากเพราะเรื่องแค่นี้
ดังนั้นตอนเขาได้ยินองครักษ์ลับมารายงานว่าพระชายาขึ้นไปบนเรือสำราญเพื่อไปช่วยเขา เขาจึงตกตะลึงอึ้งงันไปชั่วขณะ หลังจากได้สติกลับคืนมา เสี้ยวพริบตาหนึ่งเขารู้สึกว่าช่างเหลวไหลไร้สาระ อีกเสี้ยวพริบตาก็มีความตื้นตันใจอย่างยากจะพรรณนาออกมาเป็นถ้อยคำได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.