(7)
งานของฉันรุดหน้าไปเรื่อยๆ ตามกำหนดเวลาที่ได้วางไว้ ส่วนเรื่องการประสานงานกับกินรีนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร ฉันใช้วิธีส่งอีเมลพูดคุยกับคุณณัฐเป็นระยะ ส่วนใหญ่เป็นการขอข้อมูลเบื้องต้นของนิมมานนท์กับกินรีเพื่อนำมาใช้ในการประชาสัมพันธ์ตราสินค้า และทุกครั้งที่มีจดหมายจากคุณณัฐ เขาจะส่งดอกไม้ดอกเดิมที่เคยส่งมากับจดหมายฉบับแรกมาด้วย แต่สีจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อเดาว่าฉันชอบสีอะไร ฉันว่ามันเป็นเรื่องตลกและช่วยลดความเครียดในการทำงานได้ด้วย ตอนนี้มีดอกไม้อยู่หกดอกแล้ว แต่ยังไม่มีสีม่วงเลย ส่วนงานปาร์ตี้ก็กำลังใกล้เข้ามา งานนี้ฉันไม่ได้ไปในฐานะตัวแทนของเอคโค่แต่ไปในฐานะเพื่อนของบรรณาธิการด้านแฟชั่น…ดังนั้นก็สนุกได้เต็มที่
แล้ววันเสาร์ก็มาถึง เย็นนี้ฉันต้องไปงานปาร์ตี้กับเจ๊ แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากมายนัก ตอนบ่ายโมงเจ๊โทรมาบอกว่าจะเข้ามาหาฉันที่คอนโดฯ หลังจากดูแลความเรียบร้อยของงานที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว หลังบ่ายสองโมงเล็กน้อยเจ๊ก็มาถึงพร้อมลูกน้องอีกสองคนในขณะที่ฉันกำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์
“อาบน้ำรึยังจ๊ะสาวน้อย”
“อาบแล้ว…เมื่อเช้า”
“ไม่ใช่ เจ๊หมายถึงอาบน้ำก่อนจะแต่งตัวไปงานต่างหาก” เจ๊ทำหน้าประหลาด
“อะไรเจ๊ นี่มันกี่โมง แล้วเจ๊ให้ลูกน้องขนอะไรมาตั้งเยอะตั้งแยะ”
ฉันเหลือบไปเห็นกระเป๋าผ้า หีบเหล็ก ถุงพลาสติกขนาดใหญ่มากมาย
“เอาวางไว้หน้าทีวีนี่เลยจ้ะ” เจ๊หันไปพูดกับลูกน้องของเธอ ก่อนหันมาถลึงตาใส่ฉัน “นางสาวเมษินี กรุณาไปอาบน้ำและสระผมเดี๋ยวนี้ค่ะ เพราะลูกน้องของเจ๊ก็ต้องกลับไปแต่งตัวเหมือนกัน เรามีเวลาไม่มาก ดังนั้นกรุณาทำตามคำสั่งเดี๋ยวนี้ ปฏิบัติ!”
เจ๊พูดอย่างขึงขังจนฉันต้องรีบวิ่งแจ้นเข้าไปในห้องน้ำทันที ฉันอาบน้ำไปก็สงสัยไปว่าทำไมต้องแต่งตัวกันเร็วขนาดนี้ กว่างานจะเริ่มก็เกือบทุ่ม แต่ด้วยความเกรงใจ (ไม่ใช่เกรงกลัวนะ) เลยต้องทำตามคำสั่งของเจ๊อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องขัดถูอะไรมากเพราะในเวลาห้าชั่วโมงที่ผ่านมา นี่เป็นการอาบน้ำครั้งที่สองของวันแล้ว
ฉันอยู่ในชุดชั้นในและมีเสื้อคลุมอาบน้ำสีเทาทับอีกชั้นหนึ่ง เมื่อเปิดประตูออกจากห้องน้ำก็ต้องตกตะลึงกับชุดงานกลางคืนมากมายที่แผ่หลาอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง มันมีเกือบทุกสี บางชุดก็มีกากเพชรติดแวววาวทั่วตัว บางชุดก็เหมือนเศษผ้าที่นำมามัดติดกันไว้ เจ๊โผล่เข้ามาแล้วสั่งการให้ลูกน้องผู้หญิงเข้ามาในห้องนอนของฉัน
“เอาล่ะ เจ๊จะให้บัวลองชุดที่บัวชอบนะ พยายามลองหลายๆ ชุด แล้วทุกชุดต้องเรียกเจ๊เข้ามาดูด้วย ให้เจี๊ยบเขาช่วยนะ”
ฉันยิ้มให้เจี๊ยบแล้วทักทายเธออย่างเป็นทางการเพราะยังไม่มีโอกาสพูดอะไรยาวๆ เลยตั้งแต่เจ๊ตะลุยเข้ามาในห้อง เมื่อสั่งการเสร็จเจ๊ก็ออกไป ฉันหยิบชุดสีขาวผ้าพลิ้วเบาบางขึ้นมาแล้วหันไปมองหน้าเจี๊ยบ
“ลองเลยค่ะ ถอดเสื้อคลุมออกเลย ไม่ต้องอาย เจี๊ยบก็มีเหมือนกับคุณนั่นแหละ”
เธอไม่พูดเฉยๆ แต่เข้ามาทึ้งเสื้อคลุมออกจากตัวฉันด้วย โอ้ ช่างเหมือนกับเจ้านายของเธอเหลือเกิน เจี๊ยบเป็นมืออาชีพมาก เธอไม่ได้แสดงท่าทางตกใจกับรูปร่างของฉันเลย กลับบอกว่าผู้หญิงทุกคนจะมีสไตล์ของตัวเอง ดังนั้นจึงมีเสื้อผ้าที่เหมาะกับตัวเองแตกต่างกัน
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงฉันก็รู้สึกว่าได้ลองเสื้อผ้ามากที่สุดในชีวิต บางชุดฉันถูกใจมากแต่เจ๊ไม่เห็นด้วย บอกว่าเรียบไปบ้าง ไม่โดดเด่นไปบ้าง จนฉันเริ่มสงสัยว่าตกลงงานนี้ฉันเป็นเจ้าภาพหรือเปล่า ในที่สุดเจ๊ น้องเจี๊ยบ และฉันก็มีความเห็นตรงกันสักที เราเลือกชุดสีแดงเลือดนก ตอนแรกฉันคัดค้านเพราะไม่อยากใส่ชุดที่ดูโป๊และสีที่เด่นเกินไป แต่เจ๊บอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของงานกลางคืน จะฉูดฉาดบ้างก็ดูไม่น่าเกลียดอะไร จากนั้นเจ๊ก็ถือชุดที่เลือกแล้วออกไปนอกห้อง
“อ้าว นี่เจ๊จะเอาชุดไปไหนล่ะ” ฉันถามเจี๊ยบงงๆ
“สงสัยเอาไปให้พี่อู๋ดู จะได้เลือกรองเท้ากับกระเป๋าให้เข้าชุดกันค่ะ”
ระหว่างที่เจี๊ยบคุยกับฉัน เธอก็ลงมือเก็บเสื้อผ้าชุดที่เราไม่ใช้เข้ากระเป๋าใบใหญ่
“โอเคจ้ะ เจ๊ให้อู๋ดูชุดแล้ว ต่อไปบัวก็เปลี่ยนได้เลย ใส่ชุดชั้นในที่เจ๊ซื้อให้ตอนวันเกิดนะ แบบสปอร์ตไม่เอา มันไม่เซ็กซี่ เสร็จแล้วหนูออกไปที่ห้องรับแขก จะได้เริ่มแต่งหน้าทำผม” เจ๊ออกไปจากห้องอีกครั้ง
แล้วจะมีใครเห็นความเซ็กซี่ของฉันไหมเนี่ย ฉันอยากประท้วงแต่ทำไม่ทัน จึงก้มหน้าเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดชั้นในสีแดงซีทรูขึ้นมา ฉันไม่ได้ใส่มันเลยตั้งแต่เจ๊ซื้อให้ แต่วันนี้ลองดูก็ได้ เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ๊สู้อุตส่าห์เสกให้นางซินก้นครัวกลายเป็นเจ้าหญิง
ฉันเปลี่ยนชุดชั้นในที่ใส่ไว้ในตอนแรกเป็นชุดที่เจ๊ซื้อให้ รู้สึกว่ามันนุ่มสบายกว่าที่คิด เอ๊ะ! แล้วเจ๊มารู้ไซส์ฉันได้ยังไง จากนั้นจึงใส่ชุดสีแดงเลือดนกอีกครั้ง มันเป็นชุดเข้ารูปไม่มีแขนที่มีความยาวแค่เข่า ชายกระโปรงไม่ได้เย็บเก็บให้เรียบแต่ทำเหมือนกระโปรงที่ถูกทึ้งให้ขาดเป็นริ้ว เผยให้เห็นช่วงขาของฉันได้อย่างชัดเจน คอเสื้อเป็นรูปตัววีคว้านลึกจนเกือบเห็นร่องอก ส่วนด้านหลังก็เป็นรูปตัววีเช่นเดียวกัน เนื้อผ้ามันวาวและนุ่มลื่น ช่วยเน้นผิวพรรณของฉันให้ดูนวลเนียนยิ่งขึ้น เมื่ออยู่ในชุดนี้แล้วทำให้ฉันรู้สึกเบาสบาย นอกจากชุดชั้นในที่ช่วยปรับปรุงรูปร่างแล้ว น้องเจี๊ยบยังหาอุปกรณ์เสริมความงามจากภายในสู่ภายนอกให้ด้วย นั่นคือฟองน้ำสำหรับยัดหน้าอกคัพ A ให้ดูอวบอึ๋มขึ้นมา หันไปมองกระจกแล้วก็รู้สึกทึ่งกับภาพที่เห็น…ฉันกลายเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่ดูเหมือนลูกเชอรี่สีแดงน่ากิน
“เสร็จแล้วค่ะเจ๊” น้องเจี๊ยบจูงฉันออกไปรายงานตัวข้างนอกห้อง
“ว้าว สวยมากจ้ะ คบกันมาสามปี เจ๊ยังไม่เคยเห็นบัวแต่งตัวอย่างนี้เลย ไม่ใช่แค่น่ารักนะ แต่สวยเลยล่ะ มานั่งตรงนี้ เดี๋ยวให้อู๋แต่งหน้าก่อนแล้วให้เจี๊ยบทำผมให้”
ฉันสวัสดีพี่อู๋ซึ่งเป็นสาวประเภทสอง เธอวางเครื่องประดับ รองเท้า และกระเป๋าถือใบเล็กไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอกำลังรื้อเครื่องสำอางออกจากหีบเหล็ก ใช้เวลาแต่งหน้าให้ฉันไม่นานนัก จากนั้นน้องเจี๊ยบก็เข้ามายีผมแล้วเกล้าแบบหลวมๆ ให้ ดูไปแล้วทั้งสองคนเหมือนเป็นหุ่นยนต์ที่เจ๊ได้ตั้งโปรแกรมไว้
ในที่สุดฉันก็พร้อมที่จะไปเดินบนพรมแดงในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ประจำปีนี้ คิดว่าถ้าชีวิตนี้ไม่ได้แต่งงาน วันนี้คงเป็นวันที่ฉันสวยที่สุดอย่างแน่นอน เมื่อช่างแต่งหน้าและช่างทำผมเสร็จสิ้นหน้าที่ของตัวเองก็ลากลับโรงแรมเพื่อเตรียมตัวไปร่วมงานบ้าง ส่วนเจ๊กี้ก็ขออาบน้ำที่ห้องฉันเลย เมื่อเวลาใกล้หกโมงเย็น คุณนิรุตต์ผู้งามสง่าก็อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีทองมันวาวทับด้วยเสื้อสูทและกางเกงสีน้ำตาลอ่อนสไตล์เอลวิส เพรสลี่ย์ เจ๊ดูหล่อเหลาอย่างไม่น่าเชื่อ วันนี้ฉันจึงได้ควงหนุ่มรูปงาม (ที่ไม่ได้พิสมัยในตัวผู้หญิง) ออกงานกลางคืนที่แสนจะหรูหรา
“พร้อมรึยังสาวน้อย ไหนดูซิ” เจ๊จับฉันยืนขึ้นแล้วมองฉันในชุดสีแดงทั้งตัว
“หนูชอบรองเท้าคู่นี้จัง น่ารักดี”
มันเป็นรองเท้าส้นสูงแบบเปลือยเท้าที่มีเชือกยาวจนต้องพันขึ้นมาบนขา ถึงจะใส่ยากแต่ก็คุ้มค่าที่เสียเวลาใส่มัน
“หนูใส่สีนี้ขึ้นนะ ผิวสวยเข้ากับสร้อยไข่มุก”
นี่ไม่ใช่การเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวแต่เป็นคำพูดของพี่ที่ชื่นชมน้องสาวของตัวเองอย่างจริงใจ ฉันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในทันที
“ขอบคุณค่ะ เจ๊ก็ดูดีมากเลย”
เจ๊ยิ้มแล้วทำท่าเลียนแบบเอลวิส “พร้อมรึยัง”
“พร้อมแล้วค่ะ ลุยเลย”
ฉันติดรถซีอาร์วีสีแดงของเจ๊มางาน ซึ่งเจ๊สัญญาว่าจะขับรถมาส่งฉันเมื่องานจบ แต่ยังสงสัยอยู่ว่าใครจะมาส่งใครกันแน่ เพราะเจ๊ต้องดื่มแอลกอฮอล์ในงานคืนนี้แน่นอน คาดว่าฉันคงต้องขับรถไปส่งเจ๊ที่บ้านแล้วขับรถของเจ๊กลับคอนโดฯ ด้วยตัวเอง
เมื่อมาถึงหน้าโรงแรม ฉันเห็นคนทำงานวิ่งไปวิ่งมาอยู่หน้างานเต็มไปหมด ทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงแรมและคนที่แต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่าซึ่งคาดว่าจะเป็นคนของนิตยสาร เจ๊เข้าไปพูดคุยกับลูกน้องอีกสองสามคนแล้วกลับมาบอกฉันว่าแขกเริ่มทยอยมากันแล้ว
“หนูต้องการเพื่อนไหม เพราะช่วงแรกเจ๊ต้องไปคอยรับแขกหน้างาน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูอยู่คนเดียวได้ ดูทุกคนกำลังยุ่ง ขอเข้าห้องน้ำก่อนแล้วจะเข้าไปรอในงานเลย เจ๊ไม่ต้องห่วงหนูหรอก แล้วเจอกันในงานนะคะ”
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องโถงของโรงแรมก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศที่จัดไว้อย่างเรียบหรูสวยงาม โทนสีของงานเป็นสีทองและแดง ของตกแต่งส่วนใหญ่เป็นผ้ากับดอกไม้ เจ๊มองเห็นฉันก่อนจึงเดินเข้ามาลากไปทำความรู้จักกับเจ้าของนิตยสาร หลังจากทักทายพร้อมกับแสดงความยินดีกับเจ้าของงานแล้ว เจ๊ก็พาฉันไปรู้จักคนโน้นคนนี้จนจำชื่อได้ไม่หมด ส่วนใหญ่จะเป็นสไตลิสต์ นางแบบนายแบบ และเพื่อนร่วมงานของเจ๊ เมื่อคนเหล่านั้นรู้ว่าฉันมาจากเอคโค่ ก็พากันขอแลกนามบัตรเพราะอยากจะร่วมงานกับบริษัทโฆษณาบ้าง
หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมงฉันก็เริ่มชินกับสถานที่และผู้คน ส่วนใหญ่เรื่องที่คุยกันก็ไม่พ้นเรื่องการแต่งตัว อาหารการกิน การเดินทางท่องเที่ยว และกิจกรรมยามว่าง ทำให้ฉันได้ข้อมูลที่ต้องการมาพอสมควร เจ๊พยายามเปลี่ยนวงสนทนาโดยมีฉันตามไปด้วย เมื่อมาถึงกลุ่มสนทนากลุ่มหนึ่ง ฉันสังเกตว่ามีคนที่ตัวเองรู้จัก
“สวัสดีครับ ผมจำได้ว่าคุณมาจากเอคโค่” ชายรูปร่างท้วมคนหนึ่งทักทายฉัน
“สวัสดีค่ะคุณเสกสรร ดิฉันเมษินีค่ะ ดิฉันก็จำคุณได้เช่นกัน ผู้บริหารใหญ่จากเดอะ ช้อยส์”
“ช่วงนี้งานเป็นยังไงบ้างครับ ได้ข่าวว่ามีโปรเจ็กต์ใหญ่เข้ามาด้วย”
“ข่าวของเดอะ ช้อยส์เนี่ยเร็วจริงๆ นะคะ ทั้งที่เรายังไม่ได้ให้ข่าวอย่างเป็นทางการเลย”
“ก็ผมมันคนกว้างขวาง” แล้วเขาก็หัวเราะในลำคอ
ฉันเข้าใจว่าเดอะ ช้อยส์คงได้ข่าวเรื่องที่เอคโค่จะทำโฆษณาให้กินรีแล้ว มันอาจจะเป็นโปรเจ็กต์ที่เดอะ ช้อยส์เคยหมายตาไว้ก็ได้ ฉันรู้สึกไม่ชอบอีตาคนนี้เลย นอกจากจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญของเอคโค่แล้ว ยังเป็นหนุ่มเจ้าสำราญแห่งวงการธุรกิจอีกด้วย วันนี้ก็ควงสาวสวยอกอึ๋มมางาน ฉันไม่อยากคุยกับเขานานเกินไปจึงสะกิดให้เจ๊ถอยออกมา แล้วไปหาเครื่องดื่มที่บาร์เล็กๆ ข้างเวที ฉันเลือกดื่มมะนาวโซดาแทนเครื่องดื่มที่เจ๊อยากเลือกให้ เพราะจากประสบการณ์ของฉันมันเตือนว่าอย่าไว้ใจปริมาณแอลกอฮอล์ที่เจ๊บอกเด็ดขาด
เราเดินถือเครื่องดื่มมาจนเกือบถึงซุ้มอาหารที่จัดแบบค็อกเทลไว้ตามมุมต่างๆ ของห้อง เจ๊กี้ก็อุทานขึ้นมาว่าเจอคนรู้จัก พร้อมกับบอกให้ฉันยืนอยู่กับที่แล้วจะเดินกลับมาหา ตอนที่เจ๊เดินนำหน้าใครคนหนึ่งเข้ามานั้น ฉันมองเห็นเขาไม่ชัด อาจเป็นเพราะแสงไฟในห้องไม่สว่างนัก แต่เมื่อเจ๊เดินมาถึงตัว ฉันก็ได้เห็นคุณณัฐยิ้มเผล่ตามหลังเจ๊กี้มา
“ดูซิ เจ๊เจอใคร”
ฉันตกใจที่เจอเขาแบบไม่ทันตั้งตัว วันนี้เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีม่วงปลดกระดุมด้านบนสองเม็ด ทับด้วยสูทสีดำแบบไม่มีปก และกางเกงสแล็กส์สีดำ แถมมีผ้าเช็ดหน้าสีม่วงเสียบไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทอีกด้วย ส่วนผมที่มักเห็นเป็นรองทรงสั้น วันนี้ด้านหน้ากลับถูกทาเจลให้ชี้โด่ชี้เด่ขึ้นมา ดูท่าทางเขาต้องการจะลดอายุเพื่อมางานนี้โดยเฉพาะ
“สวัสดีครับคุณเมษินี”
เขาทักทายอย่างร่าเริงและยิ้มเหมือนเด็กๆ ที่ได้ของที่ถูกใจ
“สวัสดีค่ะคุณณัฐ ดิฉันส่งร่างงานฉบับใหม่ให้คุณเมื่อเช้านี้แล้วนะคะ”
“วันนี้ไม่พูดเรื่องงานหนึ่งวัน คืนนี้ผมมาพักผ่อนครับ คุณสวยจัง”
เขาเอ่ยปากชมง่ายๆ อย่างเป็นธรรมชาติแล้วไล่สายตาอบอุ่นมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ตอนนี้ฉันรู้สึกดีใจและนึกขอบคุณเจ๊กี้ที่ทุ่มเทเนรมิตให้นางสาวเมษินีเป็นเหมือนเจ้าหญิงในคืนนี้ หัวใจของฉันเต้นแรงเหมือนกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งในฟิตเนส รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเจ๊เอาข้อศอกกระทุ้งฉันเบาๆ
“ขอบคุณค่ะ คุณก็แปลกตาไปนะคะ เสื้อเชิ้ตสีสวยมาก”
ฉันว่ามันสวยจริงๆ นะ ฉันเป็นโรคลำเอียงกับทุกสิ่งที่เป็นสีม่วง
เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจจนเห็นฟันขาวเรียงกันอย่างสวยงาม “ผมรู้แล้ว คุณต้องชอบสีม่วงแน่เลย แล้วคนใส่หล่อไหมครับ”
ฉันตกใจเล็กน้อยที่เห็นเขามีท่าทีสบายๆ แล้วยังพูดเล่นกับฉันด้วย สงสัยวันนี้คงอยากมาพักสมองจริงๆ
“หล่อค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ต้องเดินไปรอบห้องกับพี่กี้ค่ะ จะได้รู้ว่าตัวเองหล่อขนาดไหน”
เขาทำหน้าเหลอหลาแล้วหันไปทางเจ๊กี้ “ทำไมครับ”
“ก็จะมีคนชมว่าคู่ของผมคืนนี้หล่อมากน่ะสิฮะ”
เจ๊กี้กับฉันหัวเราะพร้อมกัน ส่วนคุณณัฐคงรู้สึกอายเพราะเพิ่งเข้าใจความหมาย จึงเปลี่ยนเรื่องพูดก่อน
“คุณนิรุตต์ครับ งานจะเริ่มอย่างเป็นทางการกี่โมงครับ”
“เรียกกี้ก็ได้ฮะ เราเจอกันหลายครั้งถือว่ารู้จักกันแล้ว” เจ๊ยิ้มอย่างน่าหมั่นไส้แล้วยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดู “อีกประมาณสิบห้านาทีข้างหน้านี้แหละฮะ ถ้าอย่างนั้นผมฝากยายบัวไว้กับคุณณัฐก่อนแล้วกัน ขอตัวไปคุยกับบอสแป๊บนึง”
แล้วเจ๊ก็หันมาบอกฉันว่าจะรีบกลับมา ฉันอยากถามเหลือเกินว่าเจ๊รู้มาก่อนหน้าหรือเปล่าว่าคุณณัฐจะมาร่วมงานนี้ด้วย อันที่จริงฉันอยากดึงตัวเจ๊ไว้เพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับคุณณัฐ นึกออกก็แค่เรื่องงานเท่านั้น
“คุณเมษินีมีเครื่องดื่มแล้วเหรอครับ ผมยังไม่มีเลย ไปที่บาร์เป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม” เขาชวนคุยขึ้นมาก่อน
“ได้ค่ะ คุณเรียกดิฉันว่าบัวก็ได้” ฉันอนุญาต
“ขอบคุณครับคุณบัว”
เขายิ้มแบบทำให้ใจฉันละลายอีกครั้ง แล้วผายมือให้ฉันเดินนำหน้าไปก่อน
เมื่อเรามาถึงบาร์ เขาก็สั่งเครื่องดื่มของตัวเองมาหนึ่งแก้ว แล้วเราก็เลือกมายืนมุมที่มีแซนด์วิชชิ้นเล็กวางอยู่ เขาหยิบจานขึ้นมา
“คุณบัวชอบทานอะไรครับ” เขาทำท่าเหมือนจะตักให้
“ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณณัฐตามสบายเลย ดิฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ” ฉันเกรงใจที่อยู่ๆ ลูกค้าจะมาบริการ
“ไม่ได้ครับ ผมทำให้ ก็คุณบัวถือแก้วมือหนึ่งแล้วยังถือกระเป๋าอีกมืออย่างนี้จะตักยังไงครับ”
เออ จริงด้วย…ลืมคิดไป
ฉันจึงต้องยอมตามข้อเสนอ เขาตักแซนด์วิชให้ฉันสองชิ้น ของตัวเองอีกสองชิ้น แล้วเราก็เดินมาหยุดที่โต๊ะตัวสูงตัวหนึ่งที่ยังว่างอยู่ เขาวางจานและเครื่องดื่มลง จากนั้นก็เดินไปหยิบส้อมเล็กๆ มาสองอัน ตอนแรกฉันยังอายที่ต้องทานแซนด์วิชในจานใบเดียวกับเขา แต่ถ้าไม่ทานก็ดูจะเสียมารยาทมากเพราะเขาอุตส่าห์ตักมาบริการถึงที่ เมื่อเราเริ่มทานแซนด์วิชชิ้นที่สอง รายการบนเวทีก็เริ่มขึ้นพอดี คนทยอยเบียดเข้ามาบริเวณหน้าเวทีกันเยอะขึ้น มีคนกระแทกฉันจนเซ คุณณัฐเอามือมาจับที่ข้อศอกของฉันไว้ทันก่อนที่ฉันจะล้มคว่ำลงไป
“เจ็บไหมครับ มายืนด้านในดีกว่า”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันสลับที่ยืนกับคุณณัฐ
มีคนในวงการบันเทิงจำนวนมากที่มางานในคืนนี้ ช่างภาพจากโทรทัศน์และนิตยสารฉบับต่างๆ ก็มาทำข่าวกันแทบทุกสำนัก เจ้าของนิตยสารขึ้นไปกล่าวขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงาน รวมถึงสปอนเซอร์ที่สนับสนุนหนังสืออยู่ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งบริษัทที่ให้การสนับสนุนรายใหญ่หนึ่งในนั้นคือบริษัทนิมมานนท์ ฉันรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินข้อมูลใหม่ๆ นี้จึงหันไปมองหน้าคุณณัฐ
“อะไรครับ” เขาทำหน้าตาบ้องแบ๊ว
“บริษัทของคุณสนับสนุนนิตยสารด้วยเหรอคะ”
“ครับ เรียกว่าช่วยเหลือกันดีกว่า เราทำธุรกิจขายสินค้าก็ต้องมีสื่อไว้โฆษณาบ้าง แล้วนิมมานนท์เองก็ขายสินค้าหลายประเภท บางชนิดคนอาจจะนึกไม่ถึงว่าเป็นของเรา หรือบางธุรกิจเราแค่เข้าไปเป็นหุ้นส่วนเล็กๆ ก็มีครับ”
“แล้วคุณดูแลธุรกิจอะไรบ้างคะ”
“ผมคิดว่าคืนนี้เราจะไม่คุยกันเรื่องงานซะอีก” เขาทำหน้าเบ้เหมือนเด็กที่ไม่อยากทานผัก
“ขอโทษค่ะ ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ดิฉันแค่สงสัยว่าในเมื่อนิมมานนท์กว้างขวางในวงการสื่อสารมวลชน ทำไมจึงเลือกให้เอคโค่ที่เป็นบริษัทเล็กๆ ทำประชาสัมพันธ์ให้เท่านั้นเองค่ะ” ฉันรู้สึกผิดที่ไปรบกวนเขา
“ผมเล่าให้ฟังคร่าวๆ ก็ได้ ตอนนี้ผมดูแลโครงการกินรีอย่างเดียวครับ ก่อนจะเข้ามาทำงานกับนิมมานนท์ ผมมีสัญญากับบริษัทว่าต้องทำโครงการกินรีให้ประสบความสำเร็จให้ได้ แล้วคุณสินธรซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของนิมมานนท์ท่านก็ได้แนะนำให้ผมรู้จักกับคุณอาจอง เราก็เลยได้คุยกันว่าถ้าเอคโค่เข้ามารับผิดชอบโครงการนี้ให้เราได้ เราก็จะยินดีมากเท่านั้นเองครับ อีกอย่างเอคโค่ถึงจะเป็นบริษัทเล็ก แต่ก็มีคนที่มีความสามารถมากไม่ใช่เหรอครับ”
เขาสบตาฉันแล้วยิ้มเล็กน้อย ฉันจึงพยักหน้ารับ ตลอดเวลาที่เราคุยกัน ฉันมัวแต่สนใจเรื่องราวที่เขาเล่าให้ฟังจนไม่ได้สังเกตเลยว่าเราสองคนอยู่ใกล้ชิดกันมาก แล้วเขาก็ต้องก้มมากระซิบที่ข้างหูฉันตลอดเวลาเพราะเสียงบนเวทีดังกลบเสียงคุยของเราจนหมด เมื่อรู้สึกตัวฉันก็ไม่สามารถถอยหนีไปไหนได้ ผู้คนจำนวนมากเบียดเสียดเข้ามาทุกทิศทุกทางจนเราต้องยืนในพื้นที่แคบๆ ฉันรู้สึกร้อนวูบวาบที่แผ่นหลังเพราะเขายืนซ้อนด้านหลังอยู่ ฉันพยายามยืนบนรองเท้าส้นสูงของตัวเองอย่างมั่นคงเพื่อไม่ให้เซไปชนกับแผงอกของเขา
ในที่สุดการแสดงบนเวทีก็สิ้นสุดลง พิธีกรในงานกล่าวเชิญชวนให้ทุกคนออกมาเต้นรำ แล้วดนตรีก็บรรเลงเพลงจังหวะสนุกสนานขึ้น ผู้คนเริ่มทยอยกันไปที่ฟลอร์เต้นรำ จึงทำให้บริเวณรอบๆ ตัวเรามีผู้คนบางตาลง ฉันค่อยๆ ขยับตัวออกมาจากช่องว่างเล็กๆ ระหว่างโต๊ะกับตัวคุณณัฐได้สำเร็จ ไม่นานเจ๊กี้ก็เดินหาเราจนพบ
“เป็นไง สนุกไหมบัว”
“สนุกค่ะ”
“แล้วคุณณัฐล่ะฮะ”
“สนุกมากครับ คนเยอะอย่างนี้น่าภูมิใจนะครับ”
เจ๊กี้ยิ้มแป้น “ไม่ออกไปเต้นรำกันหน่อยเหรอฮะ”
“ผมว่าจะชวนคุณบัวอยู่เหมือนกัน” คุณณัฐหันมามองหน้าฉันเหมือนจะหาคำตอบ
“เอ่อ…ก็ได้ค่ะ” ฉันไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
แล้วคุณณัฐก็โค้งศีรษะให้ ฉันจึงถอนสายบัวกลับไปบ้างแล้วเราก็หัวเราะให้กัน เจ๊ก็พลอยหัวเราะไปด้วย คุณณัฐยื่นมือออกมา ฉันจึงวางมือลงบนมือของเขา รู้สึกว่ามือของเขาใหญ่โตและแข็งแรงมาก สัมผัสนี้ทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงปลายเท้า เจ๊ขอตัวออกไปหาคู่เต้นของตัวเองบ้าง คุณณัฐดึงมือฉันไปที่ฟลอร์เต้นรำ เมื่อเราก้าวขึ้นไปดนตรีก็จบลงพอดี เราปรบมือให้กับนักดนตรีพร้อมคนอื่นๆ และหัวเราะให้กัน จากนั้นดนตรีท่วงทำนองอ่อนหวานก็ดังขึ้นแทน
ทุกคนหันหน้าเข้าหาคู่ของตัวเองอีกครั้ง บางคนซบลงที่บ่าของคู่เต้นรำ บางคนก็โอบกอดกัน คุณณัฐมองตาฉันแล้วเลิกคิ้วเหมือนจะถามครั้งสุดท้ายว่าจะเปลี่ยนใจหรือไม่ ฉันพยักหน้าให้น้อยๆ แล้วเอามือซ้ายวางไว้บนบ่าของเขา ส่วนกระเป๋าที่ถืออยู่ในมือขวานั้นเขาดึงมันออกไปแล้วเหน็บไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านในของสูทแทน แล้วจึงกุมมือขวาของฉันไว้ เอามืออีกข้างโอบฉันไว้อย่างสุภาพ เรารักษาระยะห่างระหว่างกันไว้ได้อย่างดี ฉันได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟของเขาแล้วจินตนาการก็เตลิดเปิดเปิงไปในทันที ฉันอยากรู้ว่ากล้ามเนื้ออกและหัวไหล่ที่อยู่ใต้เนื้อผ้านี้จะแข็งแรงและสวยงามเพียงใด ตลอดเวลาที่ล่วงเกินคุณณัฐทางความคิดอยู่นั้นฉันไม่กล้าสบตาเขาเลย เพราะกลัวถูกจับได้ว่าฉันประทุษร้ายเขาทางความคิดอยู่ แม้คืนนี้ฉันจะใส่รองเท้าส้นสูง แต่เมื่อยืนเทียบกับเขาแล้วสายตาของฉันก็อยู่แค่ระดับไหล่ของเขาเท่านั้น
“ผมเต้นรำเก่งไหมครับ” เขาทำลายความเงียบระหว่างเรา
“เก่งค่ะ อย่างน้อยคุณก็ยังไม่ได้เหยียบเท้าดิฉัน” ฉันเงยหน้าคุยกับเขาครั้งแรกตั้งแต่เราเริ่มเต้นรำกัน
“นั่นถือว่าเป็นคำชมสำหรับผม” เขาหัวเราะเบาๆ “คืนนี้คุณชลธรไม่มาหรือครับ”
“ไม่มาค่ะ ฉันมาในฐานะที่เป็นเพื่อนกับพี่กี้ค่ะ ไม่ได้มาในนามบริษัท” สงสัยจัง ทำไมคุณณัฐจึงถามถึงยายน้ำนะ “คุณณัฐจะฝากความคิดถึงไปถึงน้ำรึเปล่าคะ เดี๋ยววันจันทร์บัวจะบอกให้” ฉันรู้สึกว่าหางเสียงตัวเองสะบัดนิดหน่อย
“คุณพูดแทนตัวเองว่า ‘บัว’ แล้วน่ารักจัง”
ฉันเขินอายจนลืมไปแล้วว่าเมื่อสักครู่เราคุยเรื่องอะไรกัน แล้วระหว่างที่เรากำลังเต้นรำในเพลงที่สองนั้นก็มีคู่เต้นรำคู่หนึ่งประชิดเข้ามาใกล้จนเกือบจะชนกับเรา คุณณัฐจึงดึงตัวฉันเข้าไปใกล้กับเขามากขึ้น หัวใจฉันเริ่มเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง มือเริ่มชื้นเหงื่อ ฉันกลัวว่าเขาจะรู้ว่าฉันตื่นเต้นจนเกินไป
เมื่อเพลงที่สองจบลง เราก็เดินลงจากฟลอร์แล้วไปหาเครื่องดื่มแก้วใหม่ ระหว่างที่กำลังดื่มอยู่นั้นเจ๊กี้ก็เดินเข้ามาหาเราอีกครั้งด้วยท่าทีเร่งรีบ
“เอ้อ คุณณัฐฮะ จะเป็นการรบกวนไหม ถ้าคืนนี้ผมจะฝากยายบัวกลับคอนโดฯ ไปด้วย”
ฉันตกใจที่ได้ยินเจ๊พูดอย่างนั้น
“ทำไมล่ะคะ” ฉันถามขึ้น
“ก็จู่ๆ หัวหน้าเขาก็อยากประชุมหลังเลิกงานขึ้นมา คงจะสรุปเรื่องงานคืนนี้น่ะสิ ไม่รู้จะเสร็จดึกแค่ไหน เจ๊ไม่อยากให้หนูรอนาน”
“ไม่เป็นไร หนูรอได้ค่ะ อย่ารบกวนคุณณัฐเลย” ฉันไม่อยากอยู่ในรถกับเขาสองคนนี่นา
“ไม่รบกวนและไม่ลำบากอะไรเลยครับ ก็เราอยู่คอนโดฯ เดียวกันอยู่แล้ว เดี๋ยวผมรับผิดชอบส่งคุณบัวให้ถึงห้องโดยสวัสดิภาพเองครับ คุณกี้ไม่ต้องเป็นห่วง เสร็จแล้วผมจะโทรศัพท์มารายงานด้วยครับ” ทั้งสองคนหันไปคุยกัน
“หนูไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ” ฉันไม่พอใจที่พวกเขาทำกับฉันเหมือนเป็นเด็กที่ต้องคอยดูแลตลอดเวลา
“ขอบคุณฮะคุณณัฐ” แต่ไม่มีใครสนใจฟังฉัน “ก่อนกลับมาบอกเจ๊ก่อนนะบัว เจ๊จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
แหม…ทีฝากฉันไว้กับผู้ชายคนอื่นไม่เห็นจะคิดห่วงใยฉันเลย
“ค่ะ” ฉันรับคำ แล้วเจ๊ก็หายไปอีกครั้ง
เราไม่ได้ออกไปเต้นรำอีกแต่เลือกที่จะหาของว่างทานแทน เราเดินไปซุ้มโน้นซุ้มนี้จนครบ ระหว่างที่เราเดินไปมาในห้องโถงนั้น คุณณัฐก็แวะทักทายกับคนโน้นคนนี้ที่เขารู้จักหรือพูดคุยกับคนที่จำเขาได้ ฉันรู้สึกว่าเขาเริ่มเบื่อที่ต้องทักทายกับผู้คนและต้องยืนยิ้มให้ช่างภาพถ่ายรูปด้วย แล้วจู่ๆ นายเสกสรรก็เดินเข้ามาหาเราพร้อมแนะนำตัวกับคุณณัฐเสร็จสรรพเหมือนเป็นการท้าทายฉันทางอ้อม
“คุณเมษินีนี่ดูแลลูกค้าของบริษัทดีเหลือเกินนะครับ”
ฉันเกลียดรอยยิ้มกรุ้มกริ่มนี่จริงๆ และไม่อยากต่อล้อต่อเถียงเพราะอยู่ต่อหน้าคุณณัฐ จึงได้แต่ยิ้มรักษามารยาท
“หากคุณณัฐต้องการใช้บริการของเดอะ ช้อยส์เมื่อไรก็ติดต่อผมมาได้นะครับ ยินดีเสมอเลย” แล้วเขาก็ส่งนามบัตรให้ชายหนุ่ม
“ขอบคุณครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีแผนจะเปลี่ยนเอเจนซี่นะครับ คุณเสกสรรคงต้องรออีกนาน”
“ของอย่างนี้มันไม่แน่หรอกครับ เอาเป็นว่าผมจะรอคอยด้วยใจที่จดจ่อแล้วกัน ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ตาอ้วนเสกสรรเดินออกไป ฉันรู้สึกโกรธที่เขาพูดเหมือนจะแย่งลูกค้าของเอคโค่ไปต่อหน้าต่อตา ฉันคิดว่าต้องเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้พี่อี๊ดฟังให้ได้ ส่วนคุณณัฐไม่ได้พูดอะไร เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“จะกลับกันรึยังครับ นี่ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว”
“กลับก็ดีค่ะ”
ฉันหมดสนุกตั้งแต่เจอตาเสกสรรอีกครั้ง เราตามหาเจ๊กี้แล้วบอกลา จากนั้นก็ออกมาจากงาน เมื่อมาถึงรถ เขาเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ฉันขึ้นก่อน แล้วเดินไปนั่งประจำที่ของตัวเอง
“ขอโทษนะคะที่ต้องรบกวนให้คุณไปส่ง”
“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ห้องคุณอยู่ห่างจากห้องผมแค่สองชั้นเอง” เขาหัวเราะเบาๆ
“คุณอยู่ชั้นบนสุดเลยเหรอคะ”
“ครับ ห้องนั้นวิวสวยมาก”
เป็นที่รู้กันว่าชั้นสิบสองเป็นห้องสูทที่กว้างขวางและหรูหรามาก ห้องนั้นยังว่างอยู่ในขณะที่ฉันมาเลือกจองห้อง แต่ฉันก็ไม่สามารถซื้อได้เพราะราคามันแพงเกินไป และการอยู่ห้องใหญ่ๆ คนเดียวฉันว่ามันเหงามากกว่าจะมีความสุข ฉันไม่กล้าถามว่าเขาอยู่คนเดียวหรือเปล่า จึงได้แต่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
“ยังไม่หายโกรธเหรอครับ เงียบเชียว”
“คะ?” ฉันไม่เข้าใจคำถามของเขา
“ก็คุณเสกสรรไง ผมว่าคุณต้องโกรธเขาแน่”
“อ๋อ หายโกรธแล้วค่ะ แต่แค้นแทน” ฉันกัดฟันพูดแล้วหันไปสบตากับเขา
“อูย น่ากลัวจัง” เขาทำเสียงล้อ
ฉันหัวเราะกับน้ำเสียงนั้น “ล้อเล่นค่ะ เลิกคิดไปแล้ว เขาเป็นคนที่กวนประสาทอย่างนี้แหละค่ะ เอคโค่มีปัญหากับเขาพอสมควร หวังว่าคุณคงไม่เปลี่ยนใจไปหาเดอะ ช้อยส์ตามที่เขาบอกจริงๆ หรอกนะคะ”
ฉันมองเขาเพื่อรอคำตอบในขณะที่เขากำลังเพ่งสมาธิไปที่ท้องถนน
“ผมยืนยันตามที่บอกกับคุณเสกสรรครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันรู้สึกมั่นใจว่าอย่างน้อยโปรเจ็กต์กินรีจะสำเร็จในมือของเอคโค่แน่นอน แล้วรถออดี้สีดำก็ขับเข้ามาในลานจอดรถของคอนโดฯ ตอนเที่ยงคืนพอดี เราขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกัน เขายืนยันว่าจะไปส่งฉันถึงหน้าประตูห้องตามที่บอกเจ๊กี้ไว้ แล้วเขาก็เดินตามฉันมาจนถึงหน้าห้องจริงๆ
“ถึงห้องดิฉันแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” ฉันหันหลังมาบอกเขา
“เดี๋ยวก่อนครับ”
“มีอะไรคะ”
ใจเต้นตูมตาม คิดเพ้อเจ้อไปว่าถ้าเขาขอเข้าไปในห้องฉันจะทำยังไงดีนะ
“ผมต้องโทรรายงานคุณกี้ก่อน”
แล้วเขาก็ยื่นโทรศัพท์มือถือออกมาให้ฉันกดไปหาเจ๊ ฉันถอนหายใจ บอกไม่ถูกว่าโล่งใจหรือเสียดายอะไรกันแน่ ในขณะที่รอสายอยู่นั้น เขาก็ไปยืนพิงกำแพงห้องของฉันอยู่
“เจ๊ขา หนูมาถึงคอนโดฯ แล้วนะคะ” เจ๊ถามว่าฉันใช้โทรศัพท์ของใคร “ของคุณณัฐค่ะ อยู่ตรงนี้ เจ๊จะคุยไหม”
ฉันยื่นมือถือไปให้เขา
“ครับ ผมมาส่งน้องสาวคุณกี้เรียบร้อยแล้วนะครับ ครับ สวัสดีครับ” แล้วเขาก็กดวางสาย
“เอ่อ…ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” ฉันเบี่ยงตัวเพื่อจะเข้าห้อง แต่เขากลับยกแขนขึ้นมากั้นตัวฉันไว้
“เดี๋ยวครับคุณบัว คุณจะเข้าห้องยังไงถ้าไม่มีกุญแจ”
เขายื่นกระเป๋าถือที่อยู่ในเสื้อสูทมาให้ ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังไม่มีกุญแจเข้าห้อง
“อุ๊ย จริงด้วย ขอบคุณค่ะ”
“หลับฝันดีครับ”
ฉันกล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วหยิบกุญแจห้องขึ้นมาไขก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง เมื่อหันกลับมาอีกครั้งก็เห็นเขาเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วยืนยิ้มมองมาที่ฉันอยู่หน้าห้อง ใจฉันสั่นเพราะรอยยิ้มของเขาอีกแล้ว
ในที่สุดประตูก็ปิดลง อาการใจสั่นโดยไม่มีกาเฟอีนในร่างกายยังมีอยู่ ฉันเปิดไฟในห้องแล้วเดินอย่างล่องลอยมายังโซฟาในห้องรับแขก ค่อยๆ แกะเชือกรองเท้า แล้วก็ยังนึกถึงรอยยิ้มของเขา
…ฉันท่าจะบ้าไปแล้ว อยากคุยกับเจ๊จัง แต่เจ๊คงยุ่ง เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่า…
จากนั้นฉันก็เดินเข้าห้องน้ำ นึกขึ้นมาได้ว่ามีนามบัตรหลายใบที่ได้มาจากงาน บางคนอาจจะมีประโยชน์สำหรับงานของฉัน จึงไปหยิบกระเป๋าถือที่วางไว้บนโซฟาเข้ามาในห้องนอน เมื่อเปิดกระเป๋าดูก็เห็นผ้าเช็ดหน้าสีม่วงพับอยู่ในกระเป๋าด้วย จำได้ว่ามันเป็นของคุณณัฐ
เอ…แล้วนี่มันหมายความว่ายังไงนะ เจ้าชายสมัยนี้เขาทิ้งผ้าเช็ดหน้าไว้ให้ดูต่างหน้ารึไง…
นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่นะ ฉันไม่แน่ใจ แต่ที่มั่นใจได้คือคืนนี้ฉันคงนอนหลับฝันดีแน่ๆ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤศจิกายน 64)
Comments
comments
No tags for this post.