บทที่ 2
คนเกลียดกันกลายเป็นเพื่อนร่วมงานกัน
ตลอดทั้งสัปดาห์เซี่ยงหยวนไม่ได้ออกจากบ้านเลย
เธอขังตัวเองไว้ในคอนโดฯ ที่หนานอวี้หยวน ไม่รับโทรศัพท์ของใคร ไม่ยอมออกไปไหน เธอกอดหมอนนั่งขัดสมาธิอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าเบื่อโลก ยัดของกินเข้าปากอย่างใจลอย เสียงต่างๆ ในห้องรับแขกผสมปนเปกันไปหมด ในโทรทัศน์กำลังฉายซีรี่ส์ไอดอลแนว ‘คุณฟังผมอธิบายสิ ฉันไม่ฟัง’ ที่ปกติเธอชอบดูที่สุด แต่ตอนนี้ซีรี่ส์ไอดอลก็ดูน่าเบื่อสำหรับเธอ สีหน้าเย็นชาของพระเอกที่เหมือนภูเขาน้ำแข็งดูคล้ายสวีเยี่ยนสืออยู่ แต่ยังหล่อสู้เขาไม่ได้
เซี่ยงหยวนเหม่อลอย หยิบเฟรนช์ฟรายส์ใส่ปากอีกหนึ่งชิ้นแถมไม่เคี้ยวด้วย เพียงแต่คาบไว้ที่ปากเหมือนคาบบุหรี่ ตามองไปที่โทรทัศน์อย่างเลื่อนลอย สติลอยไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้…
คืนนั้นหลังจากที่โวลเดอมอร์ทักทายเธอ ตอนแรกเธอก็คิดจะเปิดหมวกฮู้ดออกแล้วทักทายกลับอย่างเป็นทางการ จากนั้นค่อยอธิบายให้เขาฟังดีๆ ว่า ‘เพื่อนสวีเยี่ยนสือ อันที่จริงฉันทำไปด้วยความหวังดี นายอย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้คิดอะไรกับนาย’ หรือพูดอย่างสง่างามว่า ‘สวัสดี ไม่เจอกันนานเลยนะ สบายดีหรือเปล่า’
ในสถานการณ์แบบนั้นต่อให้สวีเยี่ยนสือปากเสียแค่ไหนก็คงไม่ถึงขนาดกับชักสีหน้าใส่เธอต่อหน้าคนขับกับเกาเหลิ่ง แล้วเธอค่อยทำทีถามเพิ่มอีกสักสองสามประโยค ระลึกถึงความหลังอย่างสนิทสนม พอลงจากรถได้ก็เดินจากไป เพราะต่อไปคงไม่มีโอกาสได้ติดต่อกันอีกแล้วถูกไหมล่ะ
แต่ปรากฏว่าตอนที่เธอเตรียมจะแก้เชือกผูกหมวกฮู้ดออก แต่เงื่อนตายเจ้ากรรมอีกสองเงื่อนดันแกะไม่ออก ไม่ว่าเธอจะดึงอย่างไร แต่ยิ่งดึงเชือกก็ยิ่งแน่นขึ้นจนแทบจะรัดคอเธอตายอยู่แล้ว เซี่ยงหยวนหยุดพักหายใจ แล้วพูดกับสวีเยี่ยนสือ
‘นายรอเดี๋ยวนะ’
รอฉันเอาหน้าออกมาให้ได้ก่อน
สวีเยี่ยนสือโค้งมุมปากขึ้นอย่างหาดูได้ยาก
จากนั้นเซี่ยงหยวนก็ออกแรงดึงสุดชีวิต ดึงซ้ายทีขวาที ขั้นตอนนี้กินเวลาอยู่อีกครึ่งนาที แต่จนแล้วจนรอดก็แก้เชือกไม่ออก เธอทั้งโมโหทั้งร้อนใจ คิดว่าคืนนี้ช่างตลกสิ้นดี หลายปีที่ผ่านมาเธอวางตัวอย่างสง่างามมานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับมาตกม้าตายเอาตอนนี้ แถมอยู่ต่อหน้าเขาเสียด้วย แค่คิดเธอก็รู้สึกทนไม่ได้แล้ว ขณะที่เตรียมจะถามคนขับว่ามีกรรไกรหรือเปล่า คนขับก็บอกเธอเสียงเรียบว่าถึงแล้ว
เซี่ยงหยวนไม่กล้าหันไปมองเขา บนศีรษะยังมีหมวกฮู้ดคลุมเอาไว้ เธอรู้สึกได้ถึงความกระอักกระอ่วน ในสมองมีประโยคคืนนี้ไม่น่าออกจากบ้านเลยวนเวียนเป็นล้านรอบ คำว่า ‘สวัสดี ลาก่อน’ ติดอยู่ที่คอหอยอย่างอึดอัดใจ
ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะอ้าปากพูด สวีเยี่ยนสือก็ดูเหมือนจะหมดความอดทนแล้ว เขายันศอกไว้ที่หน้าต่างรถ นั่งพิงเบาะมองเธอด้วยท่าทีสบายอารมณ์ แม้แต่เส้นเลือดที่หลังมือเขาก็คล้ายจะบ่งบอกถึงความเลือดเย็น เขาเอ่ยไล่เธอด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
‘ลงจากรถเถอะ’
เธอสูดลมหายใจเข้า เรียกสติกลับมาอีกครั้ง ‘ได้ ไว้มีโอกาสค่อยเจอกันใหม่นะ’
‘อืม’ พูดจบเขาก็เบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทีเฉยเมย
เซี่ยงหยวนหยิบสัมภาระได้ก็ลงจากรถ กว่าเธอจะตั้งสติได้รถก็ขับออกไปไกลแล้ว แต่เธอกลับยืนนิ่งอยู่กับที่คล้ายคนโง่ เหมือนเสาไม้ที่ถูกตอกไว้ติดกับพื้น
จันทร์เสี้ยวแขวนอยู่บนท้องฟ้าเปล่งแสงริบหรี่ลงแล้ว พระพายยามราตรีอันหนาวเหน็บพัดผ่านกลางยอดไม้ เงาร่างแบบบางโดดเดี่ยวเหมือนสุนัขไร้บ้านถูกแสงไฟสาดสะท้อนจนทอดยาว
พอหญิงสาวเดินถึงใต้ตึก สวี่ยวนก็โทรเข้ามาอีก
‘เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมเธอถึงตัดสายฉันทิ้งล่ะ’
เธอเข็นกระเป๋าเข้าไปพลางพูดเสียงเรียบ ‘ไว้ฉันกลับไปปักกิ่งแล้วฉันจะฆ่าเธอซะ’
สวี่ยวนสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่าย จึงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว ‘มี…มีอะไรเหรอ’
เซี่ยงหยวนคงจะโกรธจนเป็นบ้าไปแล้ว ถึงได้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้สวี่ยวนฟังซ้ำอย่างเป็นกลางด้วยความใจเย็นสุดๆ
ผ่านไปครู่หนึ่งสวี่ยวนจึงได้สติกลับมา เอามือปิดปากก่อนพูดอย่างเหลือเชื่อ ‘แล้วเขาก็ไล่เธอลงจากรถเหรอ ใจร้ายขนาดนี้เลยเหรอ’
เซี่ยงหยวนนิ่งเงียบ
สวี่ยวนปลอบใจเพื่อน ‘เธออย่ามัวเพ้อเจ้ออยู่คนเดียวเลย เขาอาจจะคิดแค่ว่าเจอเพื่อนสมัยเรียนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ปกติสวีเยี่ยนสือก็เย็นชากับทุกคนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ฉันจำได้ว่าคราวก่อนมีสักคนในกลุ่มแชตบอกว่าบังเอิญเจอเขา แต่เขาจากไปโดยที่ไม่ได้เพิ่มเพื่อนในวีแชตด้วยซ้ำ’
‘เขากล้าเพิ่มเพื่อนกับใครซะที่ไหนล่ะ ดูสภาพเขาในตอนนี้สิ’
‘งั้นเหรอ’ สวี่ยวนถามขึ้น ‘แล้วตอนนี้หน้าตาเขาเป็นยังไงล่ะ ขี้เหร่หรือเปล่า ฉันสนใจเรื่องนี้มากกว่า’
เซี่ยงหยวนเปิดโทรทัศน์พร้อมทั้งถือโทรศัพท์ไปด้วย นั่งกดเลือกช่องอย่างไร้จุดหมาย จากนั้นก็ฝืนมโนสำนึกพูดใส่ร้ายไป
‘ขี้เหร่ หัวล้าน แถมอ้วนด้วย’
ถ้าบอกว่าอ้วนสวี่ยวนยังพอจะเชื่ออยู่หรอก แต่บอกว่าหัวล้าน หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรสวี่ยวนก็ไม่เชื่อ ‘เธออย่าแก้แค้นเขาด้วยการว่าร้ายเขาได้ไหม ฉันจะบอกเธอให้นะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีรูปถ่ายของเขานะ คราวก่อนมีคนโพสต์ในกลุ่มแล้วฉันก็เซฟเก็บไว้ด้วย เห็นบอกว่าเจอกันตอนที่ไปร่วมงานอีเวนต์งานหนึ่ง รู้สึกว่าตอนนั้นเขาไม่ได้เป็นเซลส์ขายรถนะ แต่อาจจะเปลี่ยนงานทีหลังก็ได้ อีกอย่างทำไมฉันถึงรู้สึกว่าในรูปถ่ายเขาดูหล่อกว่าเดิมอีก ตอนนั้นสาวๆ ในกลุ่มแชตแทบจะแตกตื่นกันเลยทีเดียว บอกว่าทำไมทุกคนอ้วนขึ้นกันหมด มีแต่เขาคนเดียวที่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย ทั้งๆ ที่อายุจะสามสิบอยู่แล้ว แต่ยังให้ความรู้สึกเหมือนหนุ่มน้อยอยู่เลย หายากมากนะ’
เซี่ยงหยวนไม่ค่อยดูกลุ่มแชต จึงพูดอย่างไม่ใส่ใจ ‘งั้นเหรอ คือฟ้ามันมืดน่ะ ฉันก็เลยมองเห็นไม่ชัด เพราะฉะนั้นหน้าที่การงานของเขาถึงได้ไม่ดีไง เธอดูหัวหน้าห้อง เลขาฯ พรรค แล้วก็เจ้าชายนักบาสคนนั้นสิ คนที่ตอนนี้หน้าที่การงานดีมีคนไหนไม่หัวล้านและไม่อ้วนขึ้นบ้างล่ะ’
สวี่ยวนฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แถมยังหาคำพูดมาโต้แย้งไม่ได้ด้วย เธอเงียบไปครู่หนึ่งแล้วลองเลียบๆ เคียงๆ ถามหัวข้อนั้นขึ้นใหม่
‘นี่ คืนนั้นที่เธอสองคนอยู่ในป่า…’
‘ไม่มีอะไรแบบที่พวกเธอคิดกันหรอกนะ แต่ฉันเคยชอบเขาจริงๆ’
ไม่เห็นมีรายการไหนน่าสนุกเลย เซี่ยงหยวนกดปิดโทรทัศน์ ก่อนเอนหลังพิงโซฟาแล้วยอมรับอย่างเปิดเผย
พอสวี่ยวนได้ยินเช่นนั้นก็ของขึ้นทันที เตรียมจะด่าว่ายายผู้หญิงแพศยา แต่กลับถูกเซี่ยงหยวนตัดบทเสียก่อน
‘เรื่องมันตั้งนานแล้ว นานกว่าเฟิงจวิ้นอีก แต่ตอนนั้นสวีเยี่ยนสือปฏิเสธฉันไปแล้ว เธอก็รู้ว่าฉันไม่ใช่พวกช่างตื๊อ และไม่มีทางยอมทิ้งผืนป่าไปเพื่อต้นไม้เพียงต้นเดียวหรอกนะ ให้ฉันแอบรักใครสักคนเป็นเวลาสิบกว่าปีฉันทำไม่ได้หรอก ผู้หญิงที่น่ารักขนาดนี้ก็ต้องมีความสุขกับการใช้ชีวิตสิ พอถูกปฏิเสธฉันก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที ถึงเป็นคนอื่นฉันก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน เอาเป็นว่าฉันเลิกชอบเขาตั้งนานแล้ว’
ถ้าคนที่ชอบไม่ชอบตัวเอง แล้วเราจะต้องครองตัวโสดไปตลอดชีวิตเหรอ ไม่มีทางเสียหรอก สวี่ยวนรู้ว่าคติประจำใจของเซี่ยงหยวนคือ ‘ชีวิตสั้นนัก ต้องรู้จักหาความสุขใส่ตัว’
‘แล้วตอนนี้ล่ะ ความรู้สึกตอนได้เจอกันอีกครั้งเป็นยังไงบ้าง’
‘ก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แค่ได้รู้ว่าชีวิตเขาไม่ค่อยดี ฉันก็วางใจแล้วล่ะ’
‘แบบนี้มันไม่เหมือนท่านประธานน้อยเซี่ยงผู้สง่างามของเราเลย พูดความจริงมาซะดีๆ’
‘โอเค ฉันอยากให้เขามีชีวิตที่ดี จริงสิ สรุปแล้วพี่ชายเธอจะเปลี่ยนรถหรือเปล่า’
‘ถ้าแปะแผ่นทองเพิ่มอีกหน่อย เธอก็จะกลายเป็นพระแล้วล่ะ พระแม่ดอกบัวขาว นี่เธออยากให้เขามีชีวิตที่ดีด้วยเหรอ’ สวี่ยวนแค่นหัวเราะ จากนั้นก็วกกลับมาเตือนเซี่ยงหยวนอีกครั้ง ‘จริงสิ ได้ยินว่าปู่เธอตัดรายรับทั้งหมดของเธอ แถมไม่ให้พี่ชายเธอไปเยี่ยมด้วย ฉันก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้ ได้แต่ให้กำลังใจอยู่ทางนี้ ฉันจะถ่ายทอดคำคมในสนามการทำงานให้เธอฟังนะ ในโลกการทำงานมีคนเจ้าเล่ห์เยอะมาก แต่คนที่เธอควรเฝ้าระวังที่สุดไม่ใช่พวกสาวขี้อ่อยในบริษัทหรอกนะ เพราะปกติแล้วพวกนี้ต้องการให้ผู้ชายมาสนใจเท่านั้น แต่พวกกระต่ายน้อยใสซื่อบริสุทธิ์สวมแว่นกรอบดำและไว้ผมยาวตรง คนพวกนี้แหละที่เธอต้องระวังไว้ให้ดี เพราะสิ่งที่คนพวกนี้ต้องการไม่ใช่แค่ให้ผู้ชายมาสนใจ แต่ยังคิดจะคว้าหัวใจผู้ชายด้วย แค่นี้ก่อนนะ เจ้านายเรียกฉันแล้ว’
‘เข้าใจแล้วล่ะ’ เซี่ยงหยวนใคร่ครวญถึงสิ่งที่เพื่อนกล่าวมาแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง ‘ว่าแต่ดึกดื่นป่านนี้แล้วทำไมเธอถึงยังอยู่ที่บ้านเจ้านายอีก ในที่สุดเธอก็ถูกเสี่ยเลี้ยงแล้วเหรอ’
สวี่ยวนอดไม่ได้ที่จะด่ากลับไป ‘ไสหัวไปซะ คุยกันทางวีแชตดีกว่า ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเธอก็จะรู้เอง’
หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง เซี่ยงหยวนไปรายงานตัวที่บริษัทเหวยหลินอิเล็กทริกเทคโนโลยีตามเวลาที่นัดเอาไว้ แต่ปรากฏว่าวันนั้นทางบริษัทจัดกิจกรรมสัมมนานอกสถานที่พอดี ในออฟฟิศจึงไม่มีใครอยู่เลย ทั้งตึกโล่งวังเวงไปหมด
สาวน้อยตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เห็นว่าเธอเป็นพนักงานที่เพิ่งมารายงานตัว จึงนั่งขลุกอยู่ที่เก้าอี้ เล่นเกมสลับกับดูคลิปสั้นๆ ไม่คิดจะลุกมาทักทายเธอเลย เซี่ยงหยวนจึงไปเดินเล่นที่แผนกเทคโนโลยีคนเดียวอยู่พักหนึ่ง ระหว่างที่เดินดูนั่นนี่ก็บังเอิญเห็นใบหน้าของผู้ชายที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดีบนบอร์ดรายชื่อพนักงานประจำแผนกเทคโนโลยีเข้า
ใบหน้านั้นเคร่งขรึมเหมือนในอดีตที่เธอมักได้เห็นบ่อยๆ ในตู้โชว์ของโรงเรียน รูปถ่ายหนึ่งนิ้วในตอนนั้นเป็นใบหน้าของหนุ่มน้อยวัยใส แม้ตอนนี้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คิ้วและตาของเขาแลดูคมยิ่งกว่าเดิม แต่ยังคงความเย็นชาแบบฉบับเดิมไว้ พอจะจินตนาการได้ว่าขณะที่ถ่ายรูปอยู่ดวงตาเย็นเยียบของเขาคงจะจ้องตรงไปที่กล้องโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
สวี่ยวนพูดถูก ความรู้สึกแบบเด็กหนุ่มยังคงหลงเหลืออยู่บนตัวเขา แม้อายุใกล้จะเข้าเลขสามแล้วก็ตาม
ขณะที่เซี่ยงหยวนเห็นรูปถ่าย อารมณ์เบิกบานที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ก็หายไปจนหมดสิ้น เธอไม่คิดว่าจะได้เจอสวีเยี่ยนสือที่นี่ เพราะสำหรับเขาแล้วการอยู่ที่นี่ไม่ได้แตกต่างจากการเป็นเซลส์ขายรถเลย
แม้เขาจะไม่ค่อยเป็นมิตรต่อตนเอง แต่สิ่งที่เซี่ยงหยวนพูดกับสวี่ยวนในคืนนั้นเป็นสิ่งที่เธอคิดจริงๆ เธออยากให้เขามีชีวิตที่ดี มีงานที่ดี เพราะด้วยความสามารถระดับเขา ถ้าต้องมาอยู่ในบริษัทเล็กๆ แบบนี้ ถ้าอย่างนั้นเขาไปขายรถยังจะดีเสียกว่าเพราะอย่างน้อยก็ได้เงินเยอะ
ก่อนเธอจะมาที่นี่ได้ดูงบการเงินในปีที่ผ่านๆ มาของเหวยหลินแล้ว เงินเดือนของแผนกเทคโนโลยีต่ำที่สุดในบริษัท ตอนนั้นเธอรู้สึกว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไร แต่ปู่ของเธอยืนยันความคิดว่าฝ่ายขายควรเป็นผู้นำมากกว่า เห็นได้ชัดว่าปู่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับบุคลากรด้านเทคนิค
เพราะฉะนั้นขณะที่เซี่ยงหยวนกลั้นลมหายใจ ตั้งสมาธิค่อยๆ ไล่มองไปที่ชื่อก็เห็นเป็นตัวอักษรโรมัน ตอนแรกเธอนึกว่าเป็นชื่อภาษาอังกฤษ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เธอกวาดตาวนกลับไปดูอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจ
XUYANSHI? สวีเยี่ยนสือ?
หลายปีที่ผ่านมาอีตาคนนี้มัวแต่ทำอะไรอยู่!
เวลาบ่ายสามโมงขณะที่เซี่ยงหยวนนั่งดูเวยป๋ออยู่บนโซฟา เพราะไม่มีอะไรทำก็เลื่อนไปเจอรูปที่เกาเหลิ่งโพสต์ไว้โดยบังเอิญ
เกาเหลิ่งคือลุงเอ็ง : ลูกพี่ไม่อยากถ่ายรูปหมู่อีกตามเคย ทุกคนไม่ต้องหาหรอก วันนี้ไม่มีลูกพี่ร่วมเฟรม ใครที่อยากจะมาดูความหล่อของลูกพี่ ไว้เดี๋ยวขึ้นรถแล้วฉันจะลองหาจังหวะดูว่าจะแอบถ่ายตอนเขาหลับได้ไหม
ข้างล่างโพสต์มีคอมเมนต์อีกประมาณยี่สิบถึงสามสิบคอมเมนต์ แต่เขามียอดติดตามแค่ห้าสิบคนเท่านั้น ในจำนวนผู้ติดตามครึ่งหนึ่งกดติดตามเขาเพื่อส่องสวีเยี่ยนสือนั่นเอง
เหมียนฮวาอยากกินเนื้อ : ฮือๆๆๆ อยากดูลูกพี่พวกคุณจัง ว่าแต่พี่ชาย พวกคุณอยู่เมืองไหนกันเหรอ ฉันไปหาได้ไหม
ฉางสุ่ยจากฉางสุ่ยกรุ๊ป : พี่ชาย คุณอ้วนขึ้นอีกแล้วนะ คิดถึงลูกพี่เป็นประจำทุกค่ำคืน รูปหน้าหันข้างครั้งก่อนหล่อมากจริงๆ คุณสองคนเป็นกิ๊กกันหรือเปล่าเนี่ย
เกาเหลิ่งคือลุงเอ็งตอบฉางสุ่ยจากฉางสุ่ยกรุ๊ปกลับไปด้วยความรุนแรง เอาแต่ใจ และตรงไปตรงมามาก ไม่สนใจเลยว่าจะถูกเลิกติดตามหรือเปล่า
เกาเหลิ่งคือลุงเอ็ง : ไม่ใช่
หลังจากเซี่ยงหยวนเลื่อนดูรูปเสร็จถึงได้รู้ว่ากิจกรรมสัมมนานอกสถานที่ของพวกเขาก็คือการสร้างสัมพันธ์ภายในบริษัท หรือพูดง่ายๆ ก็คือแต่ละแผนกเดินทางไปพักผ่อนที่ชายหาดหรือเกาะที่อยู่ใกล้ๆ แล้วทำกิจกรรมย่างบาร์บีคิว เล่นวอลเลย์บอล ว่ายน้ำ หรือกินเลี้ยงกันครึ่งวัน จากนั้นก็ให้หัวหน้าของแต่ละแผนกออกมากล่าวให้กำลังใจทุกคน
เป็นวิธีที่บริษัทเซลส์ใช้กันบ่อยๆ แต่จริงๆ แล้วไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ผ่านไปครู่หนึ่งเกาเหลิ่งก็โพสต์รูปขากลับในเวยป๋ออีก…เป็นรูปที่สวีเยี่ยนสือหลับอยู่ในรถแต่มีเสื้อคลุมศีรษะเอาไว้
เกาเหลิ่งคือลุงเอ็ง : รู้สึกว่าลูกพี่รู้ตัวว่าฉันจะแอบถ่ายเขา ฉันหลุดโป๊ะไปว่าจะแอบถ่ายเขาตอนไหนเนี่ย เพราะกาแฟแก้วเมื่อกี้ไม่ได้ใส่น้ำตาล หรือเพราะฉันก้าวเท้าซ้ายก่อนตอนขึ้นรถ
คอมเมนต์ข้างล่างตอบกลับมา ‘เปิดออกสิ’ เกาเหลิ่งจึงตอบกลับไป
เกาเหลิ่งคือลุงเอ็ง : เดี๋ยวฉันได้ถูกถีบลงจากรถแน่
ยังมีคอมเมนต์พิมพ์ชื่นชมสวีเยี่ยนสืออีกว่า ‘ขนาดเอาเสื้อคลุมหัวไว้ยังดูหล่ออยู่เลย นี่เป็นพ่อเทพบุตรจากไหนนะ เขากินอะไรถึงโตมาหล่อขนาดนี้!’ เกาเหลิ่งจึงตอบกลับไปอีกครั้ง
เกาเหลิ่งคือลุงเอ็ง : คุณน้อง ใจเย็นๆ ก่อน ได้ยินว่าเขากินข้าวนะ แต่อาจจะกินอย่างอื่นด้วยก็ได้
ขณะที่เซี่ยงหยวนกำลังคิดว่าผู้ชายซื่อๆ ตรงๆ อย่างเกาเหลิ่งก็น่ารักดี ปรากฏว่าพอกดกลับไปที่โมเมนต์ในวีแชต จู่ๆ ภาพลักษณ์ของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปกะทันหัน
ไม่รู้ว่าเกาเหลิ่งเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา จึงโพสต์สเตตัสในโมเมนต์รัวๆ ถึงสามข้อความ
‘สำนักงานใหญ่สมองมีปัญหาหรือเปล่า ทำไมถึงรับพนักงานใหม่เข้ามาตอนนี้ ไม่รู้หรือไงว่าสถานการณ์ของบริษัทเป็นยังไง เงินเดือนไม่มีจะจ่ายอยู่แล้ว จะรับพนักงานใหม่เข้ามาทำซากอะไร’
ข้อความนี้แสดงเวลาไว้ว่าโพสต์เมื่อห้านาทีที่แล้ว
‘ได้ยินว่าจบสาขาวิทยุกระจายเสียงและพิธีกรด้วย จะยัดคนให้เราอย่างน้อยก็หาคนจบสาขาที่เกี่ยวข้องมาหน่อยสิ แล้วอีกอย่างประวัติส่วนตัวของคนคนนี้ตลกชะมัดเลย คว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันเต้นแอโรบิกระดับเด็กและเยาวชนครั้งที่แปด อันดับสามการแข่งขันว่ายน้ำเด็กและเยาวชนแห่งชาติ สมัยเรียนมหา’ลัยเป็นประธานสมาคมปีนเขาอะไรก็ไม่รู้…เรื่องเดียวที่ดูเกี่ยวข้องหน่อยก็คือคว้ารางวัลอันดับหนึ่งการแข่งขันตอบคำถามความรู้เรื่องจีเอ็นเอสเอสอวกาศเหว่ยเต๋อคัพระดับเด็กและเยาวชน…ระดับเด็กและเยาวชนซะด้วย?! นึกว่าตัวเองเป็นเด็กน้ำเต้า* หรือไง นี่เป็นประวัติสมัครงานนะ คิดว่าจะไปช่วยคุณปู่อยู่เหรอ นี่เป็นคำพูดจากปากของลูกพี่ไม่ใช่ฉันนะ’
บอกตามตรงเลยว่าเนื้อหาที่ปรากฏในประวัติส่วนตัวเซี่ยงหยวนแทบจะจำอะไรไม่ได้เลย นอกจากการแข่งขันตอบคำถามความรู้เหว่ยเต๋อคัพที่พอจะจำได้รางๆ ส่วนที่เหลือคืออะไรกัน หญิงสาวแอบย่องไปโทรหาปู่ของเธอในห้องน้ำ คนรับสายคือไล่เฟยไป๋ เลขาฯ ของปู่ เขาเป็นผู้ชายวัยสามสิบที่จู้จี้ขี้บ่นยิ่งกว่าปู่ของเธอเสียอีก ปลายสายดูไม่แปลกใจกับสายที่โทรเข้ามาเลย
“มีอะไรเหรอ เสี่ยวหยวนหยวน”
เซี่ยงหยวนหันหลังไปล็อกประตูห้องน้ำเอาไว้แล้วเริ่มถามหาความรับผิดชอบ “คุณเป็นคนทำประวัติส่วนตัวให้ฉันเหรอ”
ไล่เฟยไป๋หัวเราะพลางตอบ “ใช่ มีปัญหาอะไรเหรอ”
“ปัญหางั้นเหรอ” เซี่ยงหยวนโมโหจนเท้าเอว “ปู่ให้คุณแกล้งฉันใช่ไหม เขียนประวัติส่วนตัวฉันแบบนี้จะให้ฉันทำงานยังไงฮะ แล้วคนอื่นจะยอมรับฉันได้เหรอ”
อันที่จริงปู่ของเซี่ยงหยวนพนันกับหลานสาวแบบไม่เต็มใจนัก เนื่องจากบรรดากรรมการผู้ถือหุ้นยืนยันว่าจะปิดบริษัทลูกให้ได้ เพราะยอดขายของบริษัทที่ซีอานรั้งท้ายทุกปี จึงส่งผลกระทบต่อกำไรและเงินปันผลของพวกเขา หากไม่ใช่เพราะเฉินซาน ผู้อำนวยการแผนกเทคโนโลยีไม่ยอมถอย บริษัทลูกแห่งนี้คงถูกปิดไปนานแล้ว กรรมการผู้ถือหุ้นที่เหลือไม่ยอมลองตลาดเครื่องนำทางติดรถยนต์อีกแล้ว ทุกคนต่างแนะนำให้ปู่ของเธอรีบถอนตัวและผันไปทำธุรกิจทางการแพทย์แทน
ดังนั้นตอนอยู่ที่บ้านตระกูลเซี่ยงพวกเขาจึงพนันกันต่อหน้ากรรมการผู้ถือหุ้นทั้งหลาย แท้จริงแล้วปู่ของเธอไม่เต็มใจเลย แต่อีกด้านหนึ่งเขาคิดว่านี่เป็นโอกาสดีในการฝึกฝนหลานสาว เพราะตั้งแต่เด็กพวกเขาประคบประหงมเซี่ยงหยวนมาดีเกินไป หากถือโอกาสนี้กำราบความผยองของหลานสาวคนนี้ได้ล่ะก็…
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตกลงกันว่าห้ามเปิดเผยฐานะที่แท้จริงต่อบุคคลภายนอก ห้ามใช้ทรัพยากรของตระกูลเซี่ยง ห้ามนั่งตำแหน่งผู้จัดการ ส่วนตำแหน่งอื่นๆ สามารถเลือกได้ตามใจชอบ เพราะสำหรับจิ้งจอกเฒ่าพวกนั้นแล้ว ไม่ว่าจะชนะหรือล้มเหลวอีกหนึ่งปีข้างหน้าบริษัทลูกแห่งนี้จะต้องปิดตัวลงอยู่ดี และแน่นอนว่าตอนนี้เซี่ยงหยวนยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกหลอกเสียแล้ว
เซี่ยงหยวนเลือกตำแหน่งหัวหน้าทีมแผนกเทคโนโลยี ขณะนั้นเธอยังไม่รู้ว่าหัวหน้าทีมคือสวีเยี่ยนสือ ตอนที่ปู่ของเธอแจ้งไปยังเฉินซานก็ถูกบอกปัดทันที เฉินซานบอกว่า ‘หัวหน้าแผนกหยางเว่ยผิงหรือผู้จัดการหลี่หย่งเปียวสามารถเปลี่ยนได้หมด แต่เปลี่ยนหัวหน้าทีมไม่ได้’ ตอนนั้นเซี่ยงหยวนยังนึกฉงนใจ เพราะเฉินซานขึ้นชื่อเรื่องเก่งแต่เย่อหยิ่งจองหอง แล้วใครกันที่เธอให้ความสำคัญได้ถึงเพียงนี้ สุดท้ายแล้วปู่ของเธอก็ใช้วิธีแบบพบกันครึ่งทาง โดยตกลงกันให้แบ่งออกเป็นสองทีมและมีหัวหน้าทีมสองคน เฉินซานถึงได้ฝืนรับปาก
ไล่เฟยไป๋แสร้งทำทีเป็นผู้บริสุทธิ์ “คุณหนูใหญ่ครับ ผมอุตส่าห์ค้นหาใบประกาศนียบัตรในบ้านทั้งหมดกว่าจะปะติดปะต่อขึ้นมาเป็นประวัติส่วนตัวโดยย่อฉบับนี้ได้ นายท่านบอกว่าต้องเขียนตามความจริงห้ามเขียนส่งเดช ผมดูไปดูมาก็พบว่าชีวิตของคุณเหมือนจะหยุดอยู่แค่วัยเด็ก เพราะในวัยผู้ใหญ่ชีวิตของคุณนอกจากเล่นเกมแล้วก็เหลือแต่ความว่างเปล่า”
“คุณเปลี่ยนไป…”
คุณเคยบอกว่าตอนที่ฉันเล่นเกมดูมีเสน่ห์ที่สุด
ไล่เฟยไป๋พูดอย่างเลือดเย็นและไร้ความปรานี “มีธุระอะไรอีกไหมครับคุณหนูใหญ่ งานทางนี้ยุ่งมากจริงๆ”
พูดไปก็เท่านั้น เซี่ยงหยวนชิงตัดสายทิ้งก่อนด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรี
ไล่เฟยไป๋ควบคุมสีหน้าให้เรียบร้อยก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไปในห้องทำงาน
โซฟาที่ตั้งอยู่ข้างหลังประตูมีชายชราที่ดูจากใบหน้าแล้วสมัยหนุ่มน่าจะหล่อเหลาเอาการนั่งอยู่ แต่ตอนนี้ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความรำคาญเหมือนกำลังพูดว่า ‘ทำไมถึงไม่มีใครมารับช่วงดูแลบริษัทต่อจากฉันเลย ทำไมฉันถึงมีแต่ลูกหลานอกตัญญูทั้งนั้น’ เขาถือน้ำชาไว้ในมือ ขณะที่มือขวาค่อยๆ เอาฝาถ้วยชาเกลี่ยระบายความร้อนอยู่ก็ปรายตามองไปที่หน้าประตู แล้วจึงยกน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนถาม
“เซี่ยงหยวนไปรายงานตัวแล้วเหรอ”
ไล่เฟยไป๋โค้งตัวเล็กน้อยแล้วรายงาน “ใช่ครับ เธอโทรมาถามผมเรื่องประวัติส่วนตัวครับ”
ชายชราทำเสียงฮึดฮัด “เธอยังมีหน้ามาถามอีก สภาพตัวเองเป็นยังไงไม่รู้หรือไง” สงสัยเพราะกินใบชาเข้าไปเขาจึงคายออกมาแล้วบ้วนกลับไปในถ้วยชา จากนั้นก็พูดต่อ “จริงสิ เฉินซานกับสวีเยี่ยนสือคนนั้นเกี่ยวข้องเป็นอะไรกัน ทำไมถึงได้ปกป้องเขานักหนา”
“ผมให้คนไปสืบดูแล้วครับ ทั้งสองคนไม่มีความสัมพันธ์ผิดปกติอะไรกันเลย สวีเยี่ยนสือเป็นคนที่เฉินซานไปแย่งตัวมาจากเหว่ยเต๋อสมัยไปรับสมัครนักศึกษาจบใหม่ในมหาวิทยาลัย ได้ยินว่าตอนนั้นผู้ชายคนนี้เกือบจะได้เซ็นสัญญากับเหว่ยเต๋อแล้ว แต่ถูกเฉินซานชิงตัดหน้าแย่งตัวมาได้ซะก่อน”
เหว่ยเต๋อเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงแห่งเดียวในประเทศที่ทำเทคโนโลยีระบุตำแหน่งจีเอ็นเอสเอส ถือได้ว่าเหว่ยเต๋อเป็นจีพีเอสของจีน เงื่อนไขในการรับสมัครพนักงานขั้นต่ำต้องวุฒิปริญญาโทที่จบจากมหาวิทยาลัยโครงการ 211* แต่เขาสามารถเซ็นสัญญากับเหว่ยเต๋อตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี แสดงว่าตอนนั้นเด็กคนนี้มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ
ชายชราไม่ค่อยเชื่อนัก หลักๆ คือเขาไม่เชื่อเฉินซาน “เฉินซานมีความสามารถขนาดนี้เลยเหรอ”
ไล่เฟยไป๋ยักไหล่เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ช่างเถอะ บอกเฉินซานว่าอย่ายึดติดเกินไป ถึงเวลาปล่อยก็ต้องหัดรู้จักปล่อยบ้าง คนเราจะมีชีวิตอยู่ได้สักกี่ปีกันเชียว!”
พูดจบไล่เฟยไป๋ก็เห็นเขาลุกจากโซฟา แล้วทำท่าฉีกขาแบบมาตรฐานโดยการสไลด์ตัวลงไปนั่งกับพื้น ไล่เฟยไป๋ดูไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็นเลยสักนิด
“นายท่านตัวอ่อน อายุยืนหมื่นปี”
ณ เมืองลี่โจว เวลาสี่โมงเย็นทุกคนกลับถึงบริษัทตรงตามเวลา
เซี่ยงหยวนนั่งอยู่ในห้องผู้จัดการอยู่พักหนึ่ง ผู้จัดการชื่อว่าหลี่หย่งเปียว อายุราวๆ สี่สิบปี หน้าตาธรรมดา หน้าผากแคบเล็กแต่ดูฉลาด คิ้วหนาตาเข ตั้งแต่ทรงผมที่หวีด้วยน้ำมันจนมันวาวของเขาตลอดจนรองเท้าคัตชูที่ขัดจนขึ้นเงา ทั่วทั้งร่างและเส้นผมทุกเส้นล้วนบ่งบอกว่าเขาเป็นคนรู้จักเอาตัวรอด…บนหน้าผากเขียนไว้ว่า ‘รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง’
ตอนที่เฉินซานส่งประวัติส่วนตัวของเซี่ยงหยวนมาให้ หลี่หย่งเปียวก็นึกว่าเป็นเรื่องล้อเล่นจึงปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเล เพราะเดิมทีปีที่แล้วทางสำนักงานใหญ่ก็ส่งหลานสาวรองหัวหน้าสักคนมาที่นี่เหมือนกัน แต่ทำงานอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง มาสายกลับเร็วทุกวัน คอยรบกวนเพื่อนร่วมงานคนอื่นอยู่เรื่อย พอถูกหัวหน้าดุหน่อยก็ไปฟ้องสำนักงานใหญ่ ทำให้โบนัสประจำปีเมื่อปีที่แล้วของบริษัทลูกถูก ‘หัก’ แบบไม่รู้สาเหตุ หลี่หย่งเปียวเป็นคนเจนโลก จึงหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเด็กเส้นพวกนี้เสมอ แต่เฉินซานมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้มาก แม้ไม่ได้พูดออกมาชัดๆ แต่ก็ทำให้เขาพอจะรู้ว่าเด็กคนนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดาแน่นอน
เกรงว่าประวัติของเธออาจจะยิ่งใหญ่กว่ายายหลานสาวรองหัวหน้าคนนั้นเสียอีก เขาจึงได้แต่รับแม่เจ้าประคุณคนนี้ไว้ทั้งน้ำตา
แล้วตอนนี้แม่เจ้าประคุณก็กำลังเลือกนู่นเลือกนี่อยู่ในห้องทำงานของเขา ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไรอยู่ เขากำลังตัดสินใจว่าจะใช้น้ำเสียงแบบไหนพูดคำว่า ‘coffee or tea?’ ออกมาให้ดูไม่เป็นการประจบสอพลอจนเกินไป แต่พอหันกลับไปมองอีกทีก็เห็นเซี่ยงหยวนหยิบไม้เบสบอลที่เขาเสียบไว้ในแจกันหน้าประตูขึ้นมาพอดี
เขารีบพูดขึ้น “แม่เจ้า…เอ้ย เสี่ยวเซี่ยง มาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ แล้ว เด็กใหม่ก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะปรับตัว ความรุนแรงแก้ไขปัญหาไม่ได้หรอกนะ แผนกเทคโนโลยีมีแต่ผู้ชายทั้งนั้น อีกทั้งอายุยังหนุ่มๆ กันอยู่ พวกเขาไม่ยอมคุณก็เป็นเรื่องธรรมดา นอกจากสวีเยี่ยนสือแล้วพวกเขาไม่ยอมรับใครทั้งนั้น ปกติฉันเองยังถูกเจ้าพวกนั้นเมินใส่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเป็นคนคุมสลิปเงินเดือนของพวกเขา สงสัยคงโดนด่าในโมเมนต์จนยับไปนานแล้ว” หลี่หย่งเปียวพยายามระบายความอัดอั้นตันใจของตนเองกับเธอเพื่อให้หญิงสาววางดาบลงกลายเป็นพระอรหันต์ * เสีย
ที่จริงเซี่ยงหยวนเคยอ่านเจอโมเมนต์ที่เกาเหลิ่งแอบนินทาหลี่หย่งเปียวเหมือนกัน แต่สงสัยว่าสเตตัสนั้นคงบล็อกเขาไว้แค่คนเดียว
‘หัวหน้าคนอื่น แอร์เมส หลุยส์ วิตตอง รองเท้าหนังสั่งตัดพิเศษจากอิตาลี เหล่าหลี่ของเราไม่มีปัญญาใส่ เรียกว่าหัวหน้าที่ด้อยคุณภาพของแท้ แต่ยังดี ได้ยินว่าหัวหน้าหลายๆ คนเริ่มโยนรองเท้าหนังทิ้งกันแล้ว โชคดีที่เหล่าหลี่ของเรายังไม่ได้ทำแบบนั้น ร่ำรวยแล้ว’
เซี่ยงหยวนค่อยๆ เสียบไม้เบสบอลกลับเข้าที่เดิม ก่อนตบมือปัดฝุ่นอย่างไม่ใส่ใจนัก เธอหัวเราะแล้วพูด “พวกเขายอมรับสวีเยี่ยนสือก็พอแล้ว จริงสิ มีเรื่องหนึ่งอยากขอให้คุณช่วยหน่อย ฉันขอดูประวัติส่วนตัวของสวีเยี่ยนสือได้ไหมคะ”
หลี่หย่งเปียวนิ่งไปชั่วขณะ “ประวัติส่วนตัวของพนักงานถูกเก็บไว้ที่สำนักงานใหญ่ คุณจะเอาประวัติส่วนตัวเขาไปทำอะไร เยี่ยนสือไม่เหมือนคุณ เขาเรียนด้านนี้มา คุณแข่งกับเขาไปก็เท่านั้น เพราะทั้งแผนกฟังเขาแค่คนเดียว หลายๆ อย่างแม้แต่หัวหน้าแผนกเองก็ยังไม่รู้เลย”
“ก็ได้ ฉันจะไปขอกับเฉินซานแล้วกัน ไว้ว่างๆ มาเล่นเบสบอลด้วยกันนะ ผู้จัดการหลี่” เซี่ยงหยวนยิ้มให้เขาพร้อมกล่าว “พวกเขาน่าจะกลับมากันแล้วมั้ง”
หลี่หย่งเปียวคิดว่าหญิงสาวคนนี้ดูน่าเกรงขามมาก เวลาพูดก็คล้ายกับใครสักคน แต่พอคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะได้ยินว่าหลานสาวท่านประธานใหญ่มีนิสัยดื้อด้าน แล้วจะมาที่นี่ได้อย่างไร อีกทั้งเขาก็เคยเจอท่านประธานใหญ่แค่ครั้งเดียว จึงไม่รู้เลยว่าหลานสาวท่านประธานใหญ่ชื่ออะไร
นอกจากนี้เขาก็จำได้แม่นว่าชื่อเดิมของท่านประธานใหญ่คือซือถูหมิงเทียน
เซี่ยงหยวนเห็นเขาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ จึงเอื้อมมือไปโบกข้างหน้าเขาด้วยสีหน้างุนงง “ผู้จัดการหลี่?”
หลี่หย่งเปียวได้สติกลับมา สลัดความคิดเพ้อเจ้อทิ้งไปแล้วก้มหน้ามองนาฬิกา จากนั้นก็หยิบเอกสารขึ้นมาพร้อมรีบสาวเท้าเดินนำหน้าออกไป
“ใกล้เวลาแล้ว ผมจะพาคุณลงไปแนะนำให้เพื่อนร่วมงานรู้จัก”
ความจริงแล้วเกาเหลิ่งไม่ได้เห็นประวัติส่วนตัวของเซี่ยงหยวนอย่างละเอียด ที่เขารู้เรื่องว่าจะมีพนักงานใหม่เข้ามาก็เพราะเพื่อนร่วมงานแผนกบุคคลแคปประวัติการทำงานและรางวัลที่เคยได้รับซึ่งระบุในประวัติสมัครงานของเซี่ยงหยวนมาโพสต์ในแชตกลุ่ม เขาจึงไม่รู้เลยว่าพนักงานใหม่ที่ว่านี้คือผู้หญิงที่เขาเพิ่งได้เจอหน้าเมื่อหลายวันก่อน และดู ‘มีความสัมพันธ์อันคลุมเครือ’ กับลูกพี่อีกด้วย
ดังนั้นก่อนจะเริ่มประชุมอย่างเป็นทางการ เกาเหลิ่งเดินออกจากห้องน้ำแล้วบังเอิญเจอกับเซี่ยงหยวนที่เดินออกจากห้องน้ำเหมือนกัน เขาจึงจับจ้องไปที่เธออย่างมีมารยาทแวบหนึ่งด้วยความชื่นชมผู้หญิงสวย
พอกลับมาถึงแผนกเทคโนโลยีสวีเยี่ยนสือยังคงคลุมเสื้อสีดำไว้บนศีรษะ ฟุบนอนอยู่กับที่นั่งของตัวเองอย่างสบายอารมณ์ เกาเหลิ่งเห็นเช่นนี้จึงบ่นพึมพำ
“ไม่รู้ว่าจะนอนไปทำไมเยอะแยะ เอาเวลาตอนกลางคืนไปทำอะไรหมด ไอ้หนุ่มโสดเอ๊ย”
ปรากฏว่าถูกบอร์ดความแม่นยำสูงที่ลอยมากะทันหันกระแทกใส่ศีรษะเข้าอย่างจัง เกาเหลิ่งรู้สึกหัวร้อนกำลังจะระเบิดอารมณ์อยู่พอดี ทันใดนั้นก็หันไปเห็นสวีเยี่ยนสือตื่นขึ้นมา เขาดึงเสื้อออกจากศีรษะและโยนใส่โต๊ะพร้อมกับแว่นตา กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวดคลึงดั้งจมูกเพื่อเรียกสติ
“เอากลับมา”
“ได้เลยครับ”
เกาเหลิ่งไม่กล้ามีเรื่องกับสวีเยี่ยนสือ เขาเป็นคนประเภทที่เวลาอยู่ลับหลังสามารถโพสต์สเตตัสด่าเจ้านายอย่างได้อารมณ์และสะใจ แต่พอเจอหน้าเจ้านายจริงๆ ก็กลายร่างเป็นเด็กใหม่ในที่ทำงาน ปั้นหน้ายิ้มประจบสอพลอ ชูหมัดทำท่าสู้ๆ เหมือนกับบอกว่า ‘วันนี้ต้องพยายามทำงานเข้านะ ทาเคชิ’
“เมื่อกี้ฉันเห็นเด็กใหม่ที่หน้าห้องน้ำแล้ว”
สวีเยี่ยนสือไม่ค่อยสนใจนัก นำแว่นตากลับมาสวมแล้วตอบ “อ้อ” เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง
“เป็นผู้หญิงซะด้วย!”
สวีเยี่ยนสือเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ เหลือบตามองเกาเหลิ่งด้วยสีหน้าออกจะรำคาญ เหมือนกำลังพูดว่า ‘นายจะพูดจบหรือยัง พูดจบแล้วก็ไสหัวไปซะ’
“ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเธอมากเลย แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน เมื่อกี้นี้เธอยิ้มให้ฉันด้วยนะ บ้าจริงๆ ฉันไม่รู้จักเธอสักหน่อย จะยิ้มหาแป๊ะอะไร อย่านึกว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะยอมรับนะ หน้าตาเธอถือว่าสวยกว่าผู้หญิงทั่วไป แต่ฉันรำคาญเด็กเส้นพวกนี้ที่สุด ว่าแต่ฉันเคยเจอเธอที่ไหนนะ”
สวีเยี่ยนสือพูดอย่างไม่ไว้หน้า “ในวีแชตนายมีผู้หญิงตั้งหนึ่งพันแปดร้อยแปดสิบแปดคน แล้วนายมาถามฉันเนี่ยนะ”
ประกายความคิดลุกโชน! จู่ๆ เกาเหลิ่งก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขารีบหยิบมือถือออกมา “รอเดี๋ยวนะ ฉันอาจจะรู้จักผู้หญิงคนนี้จริงๆ!”
ตอนนั้นสวีเยี่ยนสือคิดจะพูด ‘นายอย่าทำตัวเหมือนกระต่ายตื่นตูมได้ไหม’
“นายยังจำผู้หญิงที่แชร์รถกับเราในคืนนั้นได้หรือเปล่า รู้สึกว่าจะเป็นเพื่อนสมัยเรียนกับนายด้วย เธอแอบชอบนายหรือว่านายแอบชอบเธอนี่แหละ เอาเป็นว่าบรรยากาศตอนนั้นกระอักกระอ่วนสุดๆ เลย แต่พอฉันเห็นสีหน้านายในตอนนั้นก็ไม่กล้าถามมาก ได้แต่เลื่อนดูโมเมนต์ของเธอ แล้วไปเห็นรูปถ่ายของเธอเข้า” เสียงของเกาเหลิ่งทั้งดังและก้องกังวาน “คนนี้คือแฟนเธอใช่ไหม ดูแก่ไปหน่อยนะ”
สวีเยี่ยนสือกวาดตามองอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่”
“นายรู้ได้ไงว่าไม่ใช่ แล้วยังจะบอกว่าไม่ได้แอบชอบเธออีก คืนนั้นพอฉันเห็นสีหน้าของนาย ฉันก็รู้แล้วว่านายจะต้องแอบชอบเธอแน่ๆ!”
“เพราะคนนี้เป็นครูประจำชั้นสมัย ม.ปลาย ของยายนั่น เจ้าโง่”
เกาเหลิ่งขานรับว่า “อ้อ” แล้วก็ดูรูปต่อไป “งั้นคนนี้ต้องใช่แน่ หน้าตาหล่อดีนะ”
“คนนี้คือพี่ชายของเธอ”
ในที่สุดเกาเหลิ่งก็ได้ทีล้อเขา จึงจ้องสวีเยี่ยนสืออย่างมีเลศนัย “รู้เยอะนะเราเนี่ย ขนาดพี่ชายเธอยังรู้จักเลย”
สวีเยี่ยนสือขี้เกียจสนใจเขาอีก จึงหัวเราะเยาะเย้ยแล้วเบือนหน้าหนี “เจ้าโง่”
“นายยิ่งด่าฉันว่าโง่ก็แสดงว่านายตื่นเต้นมาก ครั้งก่อนที่นายด่าฉันว่าโง่คือตอนไหนรู้ไหม ตอนที่นายไปสัมภาษณ์งานกับเหว่ยเต๋อ ตอนนั้นฉันรู้ว่านายเป็นเด็กปริญญาตรีเพียงคนเดียวที่มีสิทธิ์ไปสัมภาษณ์กับเหว่ยเต๋อ ฉันวิ่งไปให้กำลังใจนายที่ห้องสมุดอย่างตื่นเต้น แต่โดนนายด่าว่าเจ้าโง่ นายบอกฉันทีหลังว่าที่จริงตอนนั้นนายตื่นเต้นมาก ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรถึงได้หลุดพูดคำว่าเจ้าโง่ออกไป” เกาเหลิ่งพูดจบแบบไม่เว้นจังหวะหายใจ สุดท้ายก็ใช้นิ้วกลางดันแว่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย จ้องมองเพื่อนอย่างภาคภูมิใจเหมือนกำลังอวดฉลาด “ที่กระผมเอโดงาวะ เกาเหลิ่งพูดมาถูกหรือเปล่า”
บรรยากาศเงียบงันไปทันที จากนั้นก็มีคนเดินมาที่หน้าประตูและตะโกนว่าประชุมได้แล้ว
สวีเยี่ยนสือหยิบเสื้อขึ้นมาแล้วลุกขึ้นยืน ผลักศีรษะเกาเหลิ่งแล้วกล่าวเตือน “โมเมนต์ที่นายโพสต์เมื่อกี้นี้ได้บล็อกเธอไว้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้บล็อกนายก็อย่าเข้าประชุมเลย เพราะนายอาจไม่มีชีวิตรอดออกมาก็ได้”
พูดจบเกาเหลิ่งก็แข็งเป็นหินไปทันที ได้แต่ยืนทำหน้าเหลอหลามองดูร่างสูงชะลูดและสง่างามนั้นเอาเสื้อพาดหลังแล้วสาวเท้าก้าวเดินออกไป
เซี่ยงหยวนมาถึงก่อนเป็นคนแรก เธอนั่งอยู่ในห้องประชุมครู่หนึ่ง รอให้คนทยอยมาจนครบ
หญิงสาวมีความอดทนสูงมาก จึงนั่งเล่นเกมไขปริศนาอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ ทุกคนไม่ได้แสดงท่าทีสนิทสนมกับเธอ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความอยากรู้อยากเห็น ผู้ชายส่วนใหญ่เพียงแค่ปรายตามอง พอแน่ใจว่าเป็นสาวสวยก็หันกลับไปคุยเรื่องเกมต่อ ส่วนผู้หญิงกวาดตาพิจารณาเธอไปมาอยู่หลายหน แถมยังเม้าท์กันในแชตกลุ่มย่อยอีกด้วย
เสี่ยวหลิงแผนกข่าวสาร : มา @อาจารย์ตรวจสอบกระเป๋าแบรนด์เนม กระเป๋าชาแนลที่วางอยู่ข้างหลังเธอเป็นของแท้หรือเปล่า
อาจารย์ตรวจสอบกระเป๋าแบรนด์เนม : ของปลอม ปี 2012 ถึง 2018 ชาแนลไม่เคยออกกระเป๋ารุ่นนี้เลย
‘แล้วรองเท้าล่ะ ถ้าดูไม่ผิดละก็ นั่นมันจิมมี่ชูใช่ไหม’
‘รุ่นน่ะใช่อยู่หรอก แต่ไม่รู้ว่าเป็นของปลอมหรือเปล่า ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องรองเท้าน่ะ’
‘ซื้อรองเท้าคู่หนึ่งก็ไม่ได้ลำบากยากเย็นหรอกนะ เสี่ยวหลิงก็มีรองเท้ากุชชี่อยู่คู่หนึ่งเหมือนกัน แล้วอีกอย่างพวกลูกหลานเศรษฐีจะมาทำงานที่นี่ได้ยังไง’
‘ไม่ต้องขี้อิจฉาแบบนี้ก็ได้มั้ง เธอเพิ่งมาเอง ถ้าเกิดเป็นคนนิสัยดีจะทำยังไงล่ะ’
‘ฉันเห็นด้วยนะ’
หลี่หย่งเปียวใช้นิ้วเคาะโต๊ะแล้วใช้คางพยักพเยิดไปที่ผู้ชายสวมแว่นกรอบดำตรงหัวมุมพลางถาม “จางจวิ้น สวีเยี่ยนสือกับเกาเหลิ่งล่ะ ทำไมพวกเขาสองคนยังไม่มากันอีก”
ขณะที่จางจวิ้นกำลังอ้าปากจะตอบก็มีคนก้าวเข้ามาทางประตูแล้วพูดเสียงเรียบ “ผมมาแล้วครับ” ทำให้เซี่ยงหยวนที่นั่งตรงกับช่องลมเครื่องปรับอากาศสะดุ้งด้วยความหนาวเหน็บ แต่เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้น ยังคงก้มหน้าเล่นเกมไขปริศนาอย่างตั้งอกตั้งใจ ทว่าใจกลับลอยไปไกลแล้ว
โต๊ะประชุมเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ร่างสูงนั้นเหมือนเดินผ่านคนหลายคน เซี่ยงหยวนที่ก้มหน้าอยู่ได้ยินเพียงเสียงขยับของเก้าอี้ ลมอุ่นจากเครื่องปรับอากาศพัดเข้ามาในปกเสื้อเธอ เนื้อผ้าบางๆ สะกิดผิวกายทำให้เธอรู้สึกว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เกมไขปริศนาในมือถือหารูปทรงที่คล้ายกันไม่ได้อีกแล้ว
ที่จริงแล้วสวีเยี่ยนสือไม่ได้เย็นชาเหมือนคืนที่อยู่บนรถ ขณะที่ทุกคนพูดคุยกันบนโต๊ะประชุมเขาก็พูดแทรกขึ้นเป็นบางครั้ง พอมีผู้หญิงคุยกับเขา เขาก็จะก้มหน้ายิ้มบางๆ เวลาเขายิ้มจะโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ภาพลักษณ์ยังคงสดใสเหมือนสมัย ม.ปลาย แต่ดูเป็นกันเองมากกว่า
สายตาของทั้งสองคนสบประสานกันบางครั้งท่ามกลางเสียงพูดคุยจอแจของผู้คน แล้วก็ละออกจากกันเงียบๆ อย่างรู้กันดี
เซี่ยงหยวนกลับไปจ้องมือถืออีกครั้ง ขณะที่สวีเยี่ยนสือคุยเล่นเบาๆ กับจางจวิ้นที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียงของเขาทุ้มต่ำสลับกังวาน ทั้งยังเจืออารมณ์หยอกเย้าเล็กน้อย ลอยข้ามห้องนี้ ข้ามขุนเขาทะเลที่ขวางกั้นพวกเขาอยู่ เข้ามาในหูของเธอ
“จัดการเรียบร้อยแล้ว เหล่าเหลียงให้คนไปหามาน่ะ รอทางโรงงานแก้งานอีกที”
จางจวิ้นพูด “ลูกพี่ คราวหน้าเราต้องเลี้ยงข้าวพวกเหล่าเหลียงหรือเปล่า เพราะครั้งนี้เขาช่วยเราไว้เยอะเลย”
“ไว้ค่อยว่ากันอีกที เหล่าเหลียงไม่ชอบอะไรแบบนี้”
หลี่หย่งเปียวเคาะโต๊ะอีกครั้ง “เอาล่ะ เลิกคุยเล่นกันได้แล้ว ได้เวลาแล้วเริ่มประชุมกันเถอะ คุณช่วยจดชื่อคนขาดประชุมหน่อยนะ เดี๋ยวจะหักเคพีไอ* ของเดือนนี้”
หญิงสาวที่อยู่แผนกเลขาฯ ไม่ค่อยกล้าเขียน “แล้วให้จดชื่อคนนั้นไว้ด้วยไหมคะ ถ้าเกิดปีนี้มาหักโบนัสของเราอีกจะทำยังไงล่ะคะ”
หลี่หย่งเปียวมีสีหน้าหงุดหงิด “งั้นก็ไม่ต้องเขียน เขียนชื่อเกาเหลิ่งลงไป”
นี่มันรังแกเกาเหลิ่งที่ไม่มีเส้นสายชัดๆ
สวีเยี่ยนสือกำลังจะอ้าปากพูดก็ถูกคนขัดจังหวะ
“ช่างเถอะ ไม่ใช่ประชุมใหญ่อะไร ไม่ต้องเขียนหรอก ฉันรู้จักกับเกาเหลิ่ง” เซี่ยงหยวนวางมือถือลง ก่อนพูดพร้อมชำเลืองมองสวีเยี่ยนสือ
หลี่หย่งเปียวโบกมือ “ได้ๆ”
คนที่อยู่ในห้องประชุมต่างทำหน้าตกตะลึง พนักงานจ้องหน้ากันด้วยความงุนงง หลี่เถี่ยไกว่ ว่านอนสอนง่ายขนาดนี้เลยเหรอ ผู้หญิงคนนี้ใหญ่มาจากไหนกัน เป็นพนักงานใหม่ไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงเหมือนผู้จัดการที่สำนักงานใหญ่ส่งมามากกว่า
“ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จัก เซี่ยงหยวน เป็นหัวหน้าทีมแผนกเทคโนโลยีคนใหม่ที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมา”
จากนั้นก็มีเสียงฮือฮาดังมาจากลูกน้อง
หลี่หย่งเปียวตบโต๊ะ “เอะอะอะไรกัน ฟังผมพูดให้จบก่อน” เขาชี้ไปที่สวีเยี่ยนสือ “แผนกเทคโนโลยีแบ่งทีมกัน คุณดูแลทีมหนึ่ง เซี่ยงหยวนดูแลทีมสอง แล้วก็แบ่งคนไปหน่อย หรือว่าพวกคุณใครสมัครใจจะไปอยู่ทีมสองก็ยกมือขึ้น”
แล้วใครมันจะไปยกมือกันล่ะ
เซี่ยงหยวนกระแอมทีหนึ่งเพื่อใช้สิทธิ์ในการพูด “ไม่เป็นไร พวกคุณจะอยู่กับหัวหน้าสวีก็ได้ ฉันขอคนเดียวก็พอ ฉันสนิทกับเกาเหลิ่ง ให้เขามาอยู่ทีมฉันเถอะ”
“คุณจะเอาแค่คนเดียวเหรอ”
“เดี๋ยวฉันให้เกาเหลิ่งพาฉันไปเดินดูเพื่อให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของบริษัทก่อน”
หลี่หย่งเปียวรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ฉลาดมาก ไม่ล่วงเกินใครเลย แตกต่างจากยายหลานสาวรองหัวหน้าคนนั้นอย่างสิ้นเชิง จู่ๆ เขาก็ตั้งความหวังอยากให้เธอคนนี้สร้างผลงานอะไรให้กับบริษัทแห่งนี้
“สวีเยี่ยนสือ คุณว่าไง”
“ได้ครับ”
“โอเค งั้นก็ให้เกาเหลิ่งจัดการด้วย”
พอเลิกประชุมทุกคนก็ทยอยแยกย้ายกันไปหมด เซี่ยงหยวนยังไม่ได้ลุกไปไหน นั่งเล่นเกมไขปริศนาอยู่ที่เดิมอีกพักหนึ่ง แต่เธอคาดไม่ถึงว่าสวีเยี่ยนสือก็ยังไม่ได้ลุกไปเช่นกัน เขานั่งกางขาเอามือกอดอก หลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ ด้านหน้าเขามีสมุดบันทึกกางไว้อยู่เล่มหนึ่ง แต่สะอาดเกลี้ยงเกลายิ่งกว่าใบหน้าของเขาเสียอีกเพราะไม่ได้จดอะไรไว้ รู้สึกว่าปกติแล้วเขาเป็นคนที่ไม่จดบันทึกเลย
พอเห็นเธอหยุดเล่นสวีเยี่ยนสือจึงพูดเสียงทุ้ม “เล่นเสร็จแล้วเหรอ”
“หือ? นายยังไม่ไปอีกเหรอ”
สวีเยี่ยนสือเอื้อมแขนออกมาข้างหนึ่งแล้วปิดสมุดบันทึกที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เหลือบตาขึ้นพูด
“โมเมนต์ที่เกาเหลิ่งโพสต์ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เธอ แต่เพราะหลายปีที่ผ่านมาทางนี้โดนสำนักงานใหญ่ยัดเด็กเส้นมาเยอะเกินไป เขาก็เลยมีปฏิกิริยามากไปหน่อย”
เธอวางมือถือลงแล้วนั่งเอนหลัง รอยยิ้มของเธอเหมือนจิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์ “ทำไม กลัวฉันรังแกเกาเหลิ่งเหรอ สวีเยี่ยนสือ ในสายตานายฉันเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้นเลยเหรอ อย่างน้อยฉันก็เป็นแฟนเก่าของเพื่อนนายมาก่อนนะ ไม่ต้องหาเรื่องฉันขนาดนี้ก็ได้มั้ง”
สวีเยี่ยนสือก้มหน้ายิ้มคล้ายเย้ยหยันตัวเอง เส้นตรงที่หางตาลดต่ำลง ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ท่าทางเย็นชาจนน่าใจหาย
“ระหว่างเราสองคนถ้าไม่พูดถึงเฟิงจวิ้นก็ไม่มีเรื่องอื่นจะคุยกันแล้วใช่ไหม สรุปแล้วจะหาเรื่องคุยหรืออยากโดนตีกันแน่”
เซี่ยงหยวนมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากเขา เธอกะพริบตาพลางจ้องมองเขาด้วยความงงงวย ทางด้านสวีเยี่ยนสือทันทีที่พูดจบเขาก็นึกเสียใจขึ้นมา แต่เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เธอฟัง
“นายทะเลาะกับเฟิงจวิ้นเหรอ” เซี่ยงหยวนถามอย่างระมัดระวัง
“เปล่าหรอก” เขาเอามือสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ยังนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ เบือนหน้าเล็กน้อยเผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างที่ไร้อารมณ์ “เราไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว”
เซี่ยงหยวนห่อปากก่อนพยักหน้าทำท่าครุ่นคิด “ฉันก็เหมือนกัน หลังเรียนจบก็ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว”
เขาตอบรับ “อื้ม” นานมาแล้วตอนที่เธอเพิ่งชอบเขา ทุกครั้งที่เขาพูดว่า ‘อื้ม’ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เซี่ยงหยวนมักรู้สึกหัวใจเต้นระรัว ทุกอย่างเต็มไปด้วยฟองสีชมพูทั้งๆ ที่เป็นเพียงการสนทนาธรรมดาๆ เช่น
‘นายกินข้าวหรือยัง’
‘อื้ม’
แต่เธอกลับกระโดดโลดเต้นอยู่ในหอพักด้วยความดีใจ พร้อมกับหมุนสามร้อยหกสิบองศาอยู่กับที่อีกร้อยยี่สิบรอบราวกับว่าเขารับปากจะเก็บดาวบนฟ้ามาให้เธอ
นั่นเป็นวัยที่พวกเขาต่างสดใสและสวยงามที่สุด ตอนนั้นเขายังไม่ได้ชอบเธอ แต่ตอนนี้พวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว และแหวกว่ายอยู่ในทะเลชื่อเสียง กิเลส และลาภยศมานานหลายปี รู้จักโลกมนุษย์ที่ไม่เที่ยงและความรักที่ไม่จีรังก็ผ่านตามาจนชินชา คนโง่เท่านั้นถึงจะเชื่อในเรื่องความรัก
เซี่ยงหยวนก้มหน้าลงอีกครั้งแล้วเปิดเกมไขปริศนา ง่วนอยู่กับการทำสถิติคะแนนใหม่
บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่สวีเยี่ยนสือจะลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งของเขาสอดไว้ในกระเป๋ากางเกง ส่วนมืออีกข้างถือสมุดบันทึกไว้ เขาใช้มุมแข็งๆ ของสมุดบันทึกเคาะโต๊ะด้วยท่าทีจริงจังแล้วพูดขึ้น
“จะไปไม่ไป”
เซี่ยงหยวนตอบกลับไปด้วยความเคยชิน “เดี๋ยวก่อน ขอเล่นตานี้จบก่อน”
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงความผิดปกติจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความฉงน และพบกับสายตาที่ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดคู่นั้น
“นายรอฉันอยู่เหรอ”
สวีเยี่ยนสือหัวเราะเสียงเย็น “นึกว่าฉันเสียเวลารำลึกความหลังกับเธออยู่เหรอ”
เซี่ยงหยวนหน้าแดงด้วยความเก้อเขิน “นี่ก็…เลิกงานแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เหลืออีกสิบนาที” เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือ นิ้วชี้เคาะที่หน้าปัด “แผนกเทคโนโลยียังมีประชุมอีก”
เซี่ยงหยวนรีบปิดเกมทันที จากนั้นโยนมือถือเข้าไปในกระเป๋าพลางทัดปอยผมไว้ที่หลังหูแล้วมองเขาด้วยสายตาตำหนิ “ทำไมนายถึงไม่รีบบอกฉันล่ะ!” พูดจบก็ชิงตัดหน้าเดินนำออกไปโดยไม่รอเขา
เธอเป็นคนตัวไม่สูงนัก ส่วนสูงหนึ่งร้อยหกสิบสองเซนติเมตร แต่สัดส่วนขาของเธอดีมาก พอใส่รองเท้าส้นสูงแล้วใครไม่รู้ยังนึกว่าเธอสูงสักร้อยหกสิบแปด ทั้งนี้เพราะเธอมีขาเรียวยาวคู่นี้คอยช่วยเสริมความโดดเด่น
เซี่ยงหยวนเร่งฝีเท้าเดินออกมานอกห้องประชุม แต่เขาก็ยังไม่ตามมา พนักงานที่เดินผ่านมากล่าวทักทายเธอ หญิงสาวรู้สึกว่าควรสร้างภาพลักษณ์ที่ดีเอาไว้สักหน่อยจึงยืนอยู่หน้าประตู กระเป๋าที่กลายเป็นประเด็นร้อนมาตลอดทั้งบ่ายตอนนี้ถูกห้อยไว้ที่แขนโดยที่เจ้าของไม่ได้สนใจ เธอทำมือเป็นโทรโข่งแล้วป้องไว้ที่บริเวณปาก จากนั้นค้อมตัวลงเล็กน้อยแล้วตะโกนไปทางห้องประชุมด้วยท่าทีขี้เล่น
“สวีเยี่ยนสือ เลิกเล่นเกมได้แล้ว! เร็วๆ เข้า แผนกเทคโนโลยีมีประชุมนะ!”
ตะโกนเสร็จเธอก็ยืนพิงผนังรออยู่หน้าประตูและไม่ได้มองเข้าไปข้างในด้วย
สวีเยี่ยนสือยังนั่งอยู่ในห้องประชุม หลังได้ยินเสียงคนร้ายชิงฟ้องเสียก่อนของอีกฝ่าย เขาที่ยืนกอดอกพิงอยู่กับโต๊ะประชุมก็ก้มหน้าแล้วเผยรอยยิ้มสดใสที่หาดูได้ยากออกมา
เซี่ยงหยวนรออยู่หน้าประตูครู่หนึ่งกว่าจะเห็นคนเดินออกมา “นายทำอะไรน่ะ”
สวีเยี่ยนสือดันแว่นขึ้นแล้วเดินออกมา “กำลังคิดอยู่ว่าจะแนะนำเธอให้ทุกคนรู้จักยังไง”
เซี่ยงหยวนดึงกระเป๋าขึ้นไปสะพายที่ไหล่ สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาว แล้วเงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย
“ก็บอกไปสิว่าฉันเป็นเด็กเส้น ไหนๆ พวกนายก็เรียกฉันแบบนี้ลับหลังอยู่แล้ว”
สวีเยี่ยนสือเหลือบมองเธอแล้วพูดเปิดโปงตรงๆ “หรือเธอจะเถียงว่าไม่ใช่ล่ะ”
เซี่ยงหยวนชะงักก่อนจะจ้องกลับไปด้วยสายตาเย็นชา “นายมีเพื่อนจริงๆ เหรอ”
สวีเยี่ยนสือไม่ตอบคำถามเธอ
เซี่ยงหยวนโบกมือแล้วพูดอย่างยอมแพ้ “เมื่อกี้นี้ผู้จัดการหลี่ก็แนะนำไปแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้านายอยากจะแนะนำอีกก็บอกไปว่าฉันเป็นเพื่อนสมัยเรียน ม.ปลาย ของนายสิ” พูดจบก็รู้สึกว่าไม่เหมาะ “ช่างเถอะ นายอย่าพูดว่าเราเป็นเพื่อนสมัย ม.ปลาย กันจะดีกว่า เพราะโรงเรียนมัธยมที่หกก็ไม่ใช่โรงเรียนดีเด่อะไร เดี๋ยวจะทำให้ภาพลักษณ์ของนายเสียหมด”
“ได้”
เธอถูกรังเกียจเสียแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.