X
    Categories: With Loveกลับมารักกันอีกครั้งทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน กลับมารักกันอีกครั้ง บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 4

มารู้จักกันใหม่เถอะ

แสงไฟเจิดจ้า ทิวทัศน์ยามค่ำคืนตลอดสองข้างทางดูคึกคักยิ่ง โคมไฟโบราณที่เรียงรายกันเป็นแถวเปล่งแสงสีเหลืองสลัว สาดส่องถนนกว้างขวางเรียบยาวให้สว่างไสว ทอดเงาเงียบสงัดลงบนพื้นเป็นวงๆ ตึกสูงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความมืด ทั่วทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยแสงไฟหลากหลายสีสัน แต่ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็น

เกาเหลิ่งใช้แอพฯ เรียกรถอยู่ใต้ตึกโดยปักหมุดไปที่คอนโดฯ ของสวีเยี่ยนสือ

เซี่ยงหยวนขึ้นไปนั่งที่ตำแหน่งข้างคนขับ แอบชำเลืองมองมือถือของคนขับที่ตั้งอยู่บนขาตั้ง ดูเหมือนจะอยู่คนละฝั่งกับบ้านตนเอง รู้สึกว่าเป็นคนละมุมโลกเลยทีเดียว เธอใช้นิ้วเกาปลายจมูก นึกไม่ถึงว่าผ่านไปนานหลายปีจะได้ไปเยือนบ้านเขาด้วยวิธีเช่นนี้ ในใจรู้สึกว้าวุ่นแปลกๆ

เธอไม่รู้ว่าจะต้องทักทายสวีเยี่ยนสืออย่างไร เขาไม่ตอบข้อความเธอ แต่เธอกลับวิ่งไปกินข้าวที่บ้านเขา ถ้าเธอไม่ได้ส่งข้อความ ‘ฉันเลิกชอบนายตั้งนานแล้ว’ ไปก็ดี พอส่งไปแล้วก็เหมือนเป็นการกลบเกลื่อนมากกว่า แม้เธอจะพูดจากใจจริง แต่มือถือยังคงเงียบมาจนถึงตอนนี้ เธอรู้สึกตกที่นั่งลำบากเหมือนกำลังต่อสู้กับโชคชะตาอย่างไรอย่างนั้น แถมยังขัดขืนไม่ได้ด้วย นี่ออกจะกวนใจเธออยู่บ้าง บวกกับวันนี้เธอเพิ่งกลับมาจากทะเลทราย ยังไม่ทันได้อาบน้ำอาบท่าก็มาบ้านคนอื่นทั้งที่ยังมีฝุ่นเต็มตัวอยู่แบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม

รถขับมาได้ครึ่งทางจากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กตรอกหนึ่ง เสาไฟดูเตี้ยกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่แสงไฟกลับสว่างยิ่งกว่าเดิม คนสัญจรค่อยๆ เพิ่มขึ้น ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา เซี่ยงหยวนตัดสินใจคิดหาข้ออ้าง แล้วหันกลับไปพูดกับเกาเหลิ่งและหลินชิงชิงอย่างลังเล

“จู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าคืนนี้เหมือนจะนัดเพื่อนไว้คนหนึ่ง…อีกอย่างฉันก็ไม่ได้โบนัสเหมือนคนอื่นด้วย ไม่ต้องมาฉลองก็ได้”

ฟังดูแล้วสมเหตุสมผลมาก

ในกระจกมองหลังเกาเหลิ่งกับหลินชิงชิงมองหน้ากัน แต่นึกไม่ถึงว่าหลินชิงชิงจะมีท่าทีชั่งใจแล้วพูดขึ้น “ถ้าหัวหน้าเซี่ยงไม่ไป งั้นฉันก็ไม่ไปด้วย มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น ฉันไปก็ไม่สนุกหรอก”

“อย่าทำแบบนี้สิ! เมื่อกี้เราตกลงกันซะดิบดีเลยไม่ใช่เหรอ” เกาเหลิ่งชักจะร้อนใจขึ้นมา จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมอง เขาจึงหันไปชู ‘ห้า’ นิ้วใส่เซี่ยงหยวน “เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะแบ่งเงินให้คุณห้าหยวนเป็นโบนัสประจำปี งานนี้สำคัญตรงที่พวกเราควรมีส่วนร่วม”

เซี่ยงหยวนยิ้มแล้วพูด “ฉันติดธุระจริงๆ”

เกาเหลิ่งกัดฟันแล้วกล่าวด้วยสีหน้าปวดใจ “ยี่สิบหยวน ให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

เซี่ยงหยวนกำลังปรึกษากับคนขับให้จอดรถตรงแยกหน้า ประจวบเหมาะกับที่มือถือของเกาเหลิ่งดังขึ้นพอดี เขารีบกดรับสายเหมือนคว้าฟางช่วยชีวิตไว้ได้

“ถึงไหนแล้ว” คนที่โทรมาคือโหยวจื้อ

เกาเหลิ่งมองไฟจราจรข้างหน้าแล้วบอก “ยังเหลือไฟจราจรอีกสองจุด แต่ตอนนี้ติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง หัวหน้าฉันบอกว่าไม่อยากไปแล้ว หลินชิงชิงได้ยินก็คล้อยตามไปด้วยอีกคน ทำไงดีล่ะทีนี้”

ใกล้จะเลยแยกหน้าแล้วเซี่ยงหยวนก้มหน้าดูโมเมนต์โดยไม่พูดอะไร อันที่จริงเธอก็ไม่ได้ดูอะไรหรอก แค่ฆ่าเวลาเพราะว่างจัดเท่านั้น หญิงสาวกำลังรอให้เกาเหลิ่งคุยกับพวกนั้นเสร็จ แล้วค่อยให้คนขับจอดรถ

เกาเหลิ่งคุยไปได้แป๊บเดียวก็ยื่นมือถือมาโดยไม่เว้นจังหวะให้เธอปฏิเสธ “ลูกพี่จะคุยกับคุณ”

เซี่ยงหยวนจ้องไปที่ชื่อ ‘โหยวจื้อ’ บนหน้าจอที่ยังสว่างอยู่แล้วชะงักไปชั่วอึดใจ สวีเยี่ยนสือยืมมือถือของโหยวจื้อมาใช้เหรอ เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เกาเหลิ่งเร่งเร้าเธออย่างร้อนรน

“เร็วเข้าสิ!”

“ฮัลโหล” เซี่ยงหยวนเอามือถือมาแนบข้างหู

เสียงผู้ชายทุ้มต่ำที่ดังมาจากปลายสายยังคงความเย็นชาตามแบบฉบับของเขา เขาเรียกชื่อของเธอ “เซี่ยงหยวน”

เธอนิ่งไป เสียงกังวานที่ดังมาตามสายได้สลายไอเย็นในใจเธอไปจนหมดสิ้น เพราะนี่คือเสียงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดีและไม่ได้ยินมานานแล้ว หญิงสาวเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เกือบจะนึกว่าคนที่อยู่ปลายสายยังเป็นเด็กหนุ่มผู้หยิ่งผยองคนเดิมคนนั้น

เซี่ยงหยวนหลุบตาลง ขนตาเป็นแพสั่นไหวเบาๆ มือเลื่อนโมเมนต์รัวๆ อย่างไร้จุดหมาย “นายพูดมาสิ”

เขาไม่ได้เอ่ยปากทันทีแต่เงียบไปครู่หนึ่ง

เซี่ยงหยวนเหมือนได้ยินเสียงคนถามดังขึ้นในโทรศัพท์ “นายจะไปไหนน่ะ”

เขาเหมือนกำลังเดินไปยังสถานที่เงียบๆ เซี่ยงหยวนรู้สึกได้ถึงความว้าวุ่นในใจ นิ้วที่เลื่อนโมเมนต์เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเลื่อนไปถึงสเตตัสของเมื่อสามวันที่แล้ว ขณะที่เธอกดล็อกหน้าจอด้วยความรำคาญใจ คิดจะตะโกนใส่มือถือว่าสรุปแล้วนายจะพูดหรือไม่พูด เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นมา

“ไหนบอกว่าไม่ชอบแล้วไง” สวีเยี่ยนสือหยุดเว้นจังหวะคล้ายหลุดขำออกมา “อะไรกัน ไม่กล้ามาเหรอ”

เซี่ยงหยวนรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบขยี้ คำหยอกล้อที่เธอไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินจากเขา ใจของเธอเหมือนน้ำขุ่นที่เดิมทีก็ยากที่จะกลับมาใสอยู่แล้ว ทว่าโดนเขาทุ่มหินก้อนยักษ์ลงมาอีก เธอเคยนึกว่าพอสวีเยี่ยนสือได้รับข้อความนั้นแล้วน่าจะมีปฏิกิริยามากมาย ทั้งดูถูก เย้ยหยัน เย็นชา…แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้

“นายคิดมากไปแล้ว” เซี่ยงหยวนทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง บังเอิญเห็นร้านกุ้งมังกรเล็กที่อยู่แถวนั้นเข้าพอดี เธอจึงหลุดปากพูดออกมา “ฉันอยากกินกุ้งมังกรเล็ก เกาเหลิ่งบอกว่าพวกนายกินหม้อไฟกัน ช่วงนี้ฉันร้อนใน กินของเผ็ดไม่ได้”

“โอเค แล้วจะไม่มาจริงๆ เหรอ”

เซี่ยงหยวนลังเลอีกแล้ว คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันไปถามคนขับ “ถึงไหนแล้วเหรอคะ”

คนขับชี้ไปที่แยกหน้า “เลี้ยวข้างหน้าก็ถึงแล้ว”

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าตัวเองถูกหลอก สวีเยี่ยนสือโทรมาเพื่อถ่วงเวลาชัดๆ ในเมื่อเธอมาเกือบจะถึงใต้ตึกแล้ว จะตีรถกลับไปอีกก็น่าเกลียดเกินไป มือถือของเซี่ยงหยวนยังไม่ทันวางลง เพียงพริบตาเดียวคนขับก็เหยียบคันเร่งบึ่งมาถึงใต้ตึกแล้วดึงเบรกมือ จากนั้นก็เปิดไฟในรถ ทำให้ดูเหมือนมีรังสี ‘ผู้ปิดทองหลังพระ’ ลอยอยู่กลางกระหม่อม

“ถึงแล้วครับ ช่วยคอมเมนต์ห้าดาวให้ด้วย ขอบคุณครับ”

เกาเหลิ่งกับหลินชิงชิงลงจากรถ เซี่ยงหยวนยังนั่งอยู่ในรถ เธอเห็นสวีเยี่ยนสือที่ถือโทรศัพท์ไว้ในมือเช่นเดียวกับเธอกำลังยืนอยู่ข้างแปลงดอกไม้ใต้เสาไฟสีเหลืองนวล เขาเป็นคนตัวสูงอยู่แล้ว แสงจากเสาไฟส่องลงมาทำให้เขาดูโดดเด่น ชุดออกกำลังกายสีเทาที่สวมอยู่ขับให้เขาดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม เพียงแต่ไม่ได้สวมเสื้อนอกจึงแลดูบอบบางไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนสัญจรไปมาที่ใส่เสื้อผ้าหลายชั้นจนตัวหนาเหมือนหมี

รูปร่างหน้าตาของเขาช่างโดดเด่นเกินคนปกติจริงๆ

เซี่ยงหยวนพูด “เห็นนายแล้วล่ะ”

สวีเยี่ยนสือถึงหันมามองทางนี้ เกาเหลิ่งยอบตัวลงเพราะความหนาวแล้ววิ่ง ‘ตึกๆๆ’ เข้าไปหาลูกพี่ของเขา หลินชิงชิงค่อยๆ เดินตามไป ไม่วายหันมามองว่าเซี่ยงหยวนลงจากรถหรือเปล่า

เกาเหลิ่งโผเข้าไปกอดสวีเยี่ยนสือแล้วใช้แขนขารัดเขาไว้เหมือนปลาหมึก แต่สวีเยี่ยนสือปัดออกด้วยสีหน้าเย็นชาที่แสดงถึงความรังเกียจ จากนั้นเสียงของเขาก็ดังขึ้นในมือถือของเซี่ยงหยวน

“ลงมาเถอะ ฉันจะไปซื้อกุ้งมังกรเล็ก”

เสียงนั้นปราศจากอารมณ์ ไม่อ่อนโยน และไม่ใช่การพูดขอร้องให้เธอลงจากรถด้วย ไม่ได้ต่างจากการทักทาย ‘สวัสดี’ เลย แต่กลับทำให้เซี่ยงหยวนหัวใจเต้นตึกตัก แล้วประเด็นสำคัญก็คือสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย็นเยือกราวกับว่าผู้ที่พูดประโยคนี้ไม่ใช่ผู้ชายหน้าบอกบุญไม่รับที่ยืนอยู่นอกรถคนนั้นเลย

“ได้” เธอเก็บมือถือแล้วผลักประตูรถเดินออกไป

ที่นี่เป็นชุมชนที่ค่อนข้างเก่าแล้ว เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ยังคงเป็นรุ่นเมื่อหลายปีก่อน ไม่ไกลจากที่นี่เป็นสวนสาธารณะ มีคุณป้าคุณน้าที่รวมตัวกันเตรียมเต้นแอโรบิกกลางแจ้ง ‘ที่เต้นอย่างไรก็เต้นไม่จบเพลง’ อยู่กลุ่มหนึ่ง และยังมีคนที่พาสุนัขออกมาเดินเล่น พาเด็กออกมาวิ่งเล่น ผู้คนพลุกพล่าน แม้แต่เสาไฟยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความคึกคัก

สวีเยี่ยนสือขึ้นไปกับพวกเขาแล้วหยิบเสื้อนอกมาด้วย เตรียมจะลงไปซื้อกุ้งมังกรเล็ก คนในห้องกำลังเล่นกันสนุก เกาเหลิ่งกับพวกโหยวจื้อกำลังเล่นเกมกันอยู่ กลุ่มหนึ่งเล่น ‘PUBG’ ส่วนอีกกลุ่มเล่น ‘RoV’

เกาเหลิ่งเป็นตัวถ่วงทุกรอบ พวกโหยวจื้อแทบจะโยนมือถือทิ้งแล้วรุมกระทืบเกาเหลิ่งกันทุกรอบเช่นกัน พอกระทืบเขาเสร็จก็รวมทีมเล่นกับเขาใหม่เหมือนไม่เข็ดหลาบ

หลินชิงชิงกำลังดูการ์ตูนภาษาอังกฤษเป็นเพื่อนสวีเฉิงหลี่อยู่ มีหลายประโยคที่ฟังไม่เข้าใจ แต่สวีเฉิงหลี่กลับเข้าใจทั้งหมดแถมยังบ่นพึมพำ “บทพูดของการ์ตูนเรื่องนี้ติงต๊องจัง ให้เด็กสามขวบดูใช่ไหมเนี่ย” หลินชิงชิงทำหน้าตกตะลึงเหมือนกำลังงงกับชีวิต

ส่วนซือเทียนโย่วกับจางจวิ้นกำลังด่านักแสดงในซีรี่ส์ไอดอลเรื่องโปรดของเขา “จมูกร้อยไหมของนักแสดงหญิงคนนี้สามารถไปแสดงเรื่องมังกรหยกได้สบายๆ เลย”

จางจวิ้นเป็นแฟนหนังสือของกิมย้งมาสิบปีแล้ว เกิดครึ้มใจขึ้นมาจึงนั่งคุยกับเขาอย่างจริงจัง “บทอึ้งย้งเหรอ”

ซือเทียนโย่วชูนิ้วชี้แล้วส่ายไปมา “โนๆๆ เล่นเป็นนกน่ะ”

จางจวิ้นรู้สึกว่ากิมย้งถูกดูหมิ่นจึงยัวะขึ้นมา “นั่นมันเรื่อง ‘เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี’ ต่างหาก”

ซือเทียนโย่วตอบ “อ้อ” ดูเหมือนไม่สนใจกับคำตอบเลย

สวีเยี่ยนสือลงมาจากตึก เขาแต่งกายด้วยชุดสบายๆ เป็นชุดออกกำลังกายสีเทาเรียบง่าย เสื้อกันหนาวสีขาวยาวถึงเข่า รองเท้าผ้าใบสีขาวเรียบๆ เขาสาวเท้าเดินไปที่ลานจอดรถ ขากางเกงถูกลมพัดจนแนบติดกับน่องเผยให้เห็นเรียวขาที่สวยงาม น่ามอง และแข็งแรง

เขากดกุญแจรถหนึ่งทีไฟหน้ารถก็กะพริบแล้วปลดล็อก มือของเขาเพิ่งเอื้อมไปแตะประตูรถ พอชำเลืองมองไปที่กระจกข้างก็ต้องหยุดชะงักเพราะมีใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในกระจก

สวีเยี่ยนสือไม่ได้สวมแว่นตา เขาต้องหรี่ตาเพ่งเล็กน้อยถึงจำแนกออกว่านั่นเป็นร่างของเซี่ยงหยวน จากนั้นจึงละมือจากประตูรถแล้วเหยียดตัวยืนตรง เขาเอียงศีรษะแล้วกระดิกนิ้วเรียกหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาโดยไม่ได้มองไปที่เธอ

เซี่ยงหยวนค่อยๆ เอามือซุกลงไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาว แล้วเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา

เสื้อกันหนาวของสวีเยี่ยนสือเปิดอ้าอยู่ มือหนึ่งถือกุญแจรถ อีกมือหนึ่งสอดไว้ในกระเป๋ากางเกง เขาก้มมองเธอ

“มีอะไรเหรอ”

เซี่ยงหยวนมองไปรอบๆ แต่ไม่ยอมมองไปที่เขาเลย พูดคล้ายกับเห็นอกเห็นใจผู้อื่น “ที่จริงนายไม่ต้องไปซื้อหรอก…ยุ่งยากเกินไป ฉันกินหม้อไฟก็ได้”

สวีเยี่ยนสือรอง “อ้อ” แล้วเอนร่างพิงรถ จากนั้นปรายตามองเธอ “เพราะฉะนั้นกุ้งมังกรเล็กเป็นแค่ข้ออ้างที่ไม่อยากมาสินะ”

เซี่ยงหยวนขบฟัน อยากจะตบตัวเองให้ตาย เธอนี่หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ

“ก็…ไม่ใช่หรอก”

เขาทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดพิงรถ เปลี่ยนท่าเป็นกอดอกดูสบายอารมณ์เหลือเกิน แถมยังพูดซ้ำเติมเธอต่ออย่างไม่อินังขังขอบ

“เธอพูดเองไม่ใช่เหรอว่าให้เราปล่อยวางอดีตแล้วเริ่มต้นใหม่”

…เอ๊ะ! ฉันเคยพูดแบบนี้ตอนไหนเล่า อย่ามาขี้ตู่ได้ไหม

“ฉันกลัวว่านายจะทำตัวไม่ถูก ถึงได้พูดแก้เก้อให้นาย” เซี่ยงหยวนพูดแล้วก้มมองปลายเท้า “อีกอย่างนายก็ไม่ได้ตอบฉันสักหน่อย”

“งั้นเธออยากให้ฉันตอบกลับยังไงล่ะ รู้แล้ว? อ้อ? ได้เลย?”

ก็จริง ตอบแบบนี้ก็ดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไร ข้อความแบบนี้ไม่ว่าจะตอบอย่างไรก็ดูประหลาดอยู่ดี เพราะฉะนั้นตอนนั้นเธอคงวู่วามไปหน่อยจริงๆ ไม่ควรส่งข้อความแบบนี้ไปหาเขาตั้งแต่แรก ทำให้ทั้งสองคนที่กระอักกระอ่วนอยู่แล้วยิ่งมองหน้ากันไม่ติดมากกว่าเดิม

“งั้นก็เป็นความผิดของฉันงั้นสิ”

“ไม่รู้เหมือนกัน” สวีเยี่ยนสือเบนสายตาไปมองทางอื่น จากนั้นก็ยืนตัวตรง แล้วเอื้อมมือไปจับที่ประตูรถอีกครั้ง ก่อนก้มหน้าถามเธอ “สรุปจะกินกุ้งมังกรเล็กอยู่หรือเปล่า”

“กินสิ”

สวีเยี่ยนสือโค้งมุมปากขึ้นอย่างไม่แสดงอารมณ์ แล้วเปิดประตูรถก้าวขึ้นไปนั่งตำแหน่งคนขับ เซี่ยงหยวนรีบเดินอ้อมหน้ารถแล้วมุดเข้าไปนั่งข้างคนขับด้วย จากนั้นก็คาดเข็มขัดนิรภัย นั่งตัวตรงอย่างว่าง่ายสอนง่าย ก่อนยิ้มมองเขาแล้วพูดขึ้น

“ไปด้วยกันเถอะ”

ในรถตกแต่งอย่างเรียบง่าย รถก็เป็นรุ่นธรรมดา ดูออกเลยว่าเขาไม่ค่อยมีเงินจริงๆ

สวีเยี่ยนสือขับรถตามกฎจราจร ไม่รับโทรศัพท์และไม่เล่นมือถือ เสียอย่างเดียวที่ท่าทางดูเอ้อระเหยไปหน่อย เขาเอนหลังแนบกับเบาะรถ แขนข้างหนึ่งวางไว้ที่หน้าต่าง ควบคุมพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว ขนาดจะจอดรถยังใช้มือข้างเดียวเลย เป็นนักขับมือเก๋าอย่างเห็นได้ชัด

ตอนขากลับขณะที่ทั้งสองคนนั่งรอไฟแดงอยู่ในรถเกาเหลิ่งก็โทรมาเร่ง สวีเยี่ยนสือเอนหลังนั่งทอดหุ่ย ปรายตามองปราดเดียวแต่ไม่รับสาย

“ทำไมถึงไม่รับล่ะ”

เขาดึงปกคอเสื้อกันหนาวขึ้นทีหนึ่งแล้วกลับไปจับพวงมาลัยอีกครั้ง เคาะนิ้วชี้อย่างเป็นจังหวะเหมือนแก้เซ็ง จ้องไปที่กระจกมองหลังพลางกล่าว “ใกล้จะถึงแล้ว” เสียงของเขาแหบนิดหน่อย พอพูดจบก็กระแอมครั้งหนึ่ง

เพิ่งขับพ้นไฟแดงไปเกาเหลิ่งก็โทรมาอีก

เซี่ยงหยวนจึงหยิบมือถือที่วางอยู่ตรงกล่องเก็บของที่พักแขนขึ้นมาแล้วโน้มตัวเล็กน้อย กดรับสายแล้วเอามือถือไปแนบข้างหูเขา

“รำคาญเสียงน่ะ”

สวีเยี่ยนสือไม่ได้มองไปที่เธอ สายตาเขายังคงจ้องตรงไปข้างหน้า มีเพียงนิ้วชี้ซึ่งวางไว้บนพวงมาลัยที่นิ่งไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ย “ฮัลโหล”

นิ้วมือของเซี่ยงหยวนบังเอิญแตะโดนข้างหูเขา เย็นเยือกเหมือนกับเจ้าของเลยแฮะ ขณะที่ปลายนิ้วสัมผัสโดนหูเขา ประสาทของเธอก็ตื่นตัวขึ้นมาฉับพลัน เส้นขนทั่วร่างลุกตั้งคล้ายถูกไฟช็อต สงสัยเลือดของผู้ชายคนนี้ก็คงเย็นเยือกเหมือนกัน

ทว่าใบหูของเขากลับค่อยๆ ร้อนขึ้นและทำให้ปลายนิ้วของเซี่ยงหยวนอุ่นขึ้นตามไปด้วย ลมอุ่นๆ กลุ่มหนึ่งก่อตัวขึ้นภายในรถแคบๆ อย่างประหลาด ประสาทที่ตื่นตัวเมื่อครู่นี้ผ่อนคลายลงจนอ่อนยวบ สุ้มเสียงแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินของเขาดังวนอยู่ข้างหูเธอ ชวนให้รู้สึกจักจี้ยิ่งกว่าสัมผัสกับขนนกเสียอีก

เกาเหลิ่งคล้ายกำลังถามว่าเธออยู่ที่ไหน

สวีเยี่ยนสือคุยโทรศัพท์พร้อมกับตีวงพวงมาลัยอย่างไม่ค่อยใส่ใจไปด้วย รถเลี้ยวเข้าไปในถนนเล็กสายหนึ่งที่มีผู้คนบางตา จากนั้นเขาก็พูดอย่างหมดความอดทน “อยู่กับฉัน แค่นี้ก่อนนะ” เซี่ยงหยวนจึงกดวางสายไป

หญิงสาววางมือถือไว้ที่กล่องเก็บของที่พักแขนแล้วเอ่ยถามคำถามที่กวนใจเธอมานาน “นายมาบริษัทนี้ได้ยังไง”

“บังเอิญ”

“…”

เมื่อรถเลี้ยวผ่านไปอีกหลายแยก ทัศนียภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าก็ค่อยๆ คุ้นตาขึ้น

เซี่ยงหยวนจ้องมองเขาด้วยความสงสัย “ฉันได้ยินเกาเหลิ่งพูดว่านายอยู่ที่บริษัทนี้เหมือน…ไม่ค่อยราบรื่นใช่ไหม แล้วเคยคิดจะย้ายไปอยู่บริษัทอื่นหรือเปล่า ฉันช่วยหาคน…แนะนำให้นายได้นะ”

สวีเยี่ยนสือจอดรถเสร็จพร้อมดับไฟหน้าแล้วคว้ากุญแจรถขึ้นมา ในที่สุดเขาก็หันมามองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน ก่อนกล่าวเชิงเสียดสีและคล้ายเย้ยหยันตัวเอง

“ไม่ต้องหรอก”

พูดจบเขาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วก้าวลงจากรถ เซี่ยงหยวนนั่งอยู่ในรถต่ออีกพักหนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองน่าจะพูดผิดไปแล้ว เมื่อครู่นี้ปากไวไปหน่อย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาโดนพวกเด็กเส้นรังแกก็ยังจะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาอีก แบบนี้คงทำให้เขารู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิมสินะ

ทำไมพอเจอสวีเยี่ยนสือทีไร เธอถึงทำแต่เรื่องสิ้นคิดนะ!

เซี่ยงหยวนรีบร้อนลงจากรถแล้ววิ่งไล่กวดตามเขาไป พอสวีเยี่ยนสือได้ยินเสียงปิดประตูรถที่ดังมาจากข้างหลังก็กดล็อกรถโดยไม่ได้เหลียวหลังกลับไปมอง จากนั้นสาวเท้าก้าวพรวดๆ มุ่งตรงไปยังตึกที่ตั้งอยู่ข้างหน้า

เดิมทีเซี่ยงหยวนตั้งใจจะพูดว่าไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ เธอไม่ได้คิดจะเยาะเย้ยเขาสักหน่อย แต่ที่พูดไปแบบนั้นเพราะความหวังดีต่างหาก เธอวิ่ง ‘ตึกๆๆ’ ไล่ตามไปคิดจะอธิบายให้เขาฟัง ก่อนที่เขาจะเข้าไปในตึกหญิงสาวก็ยื่นลำแขนเรียวยาวขวางเขาไว้ตรงประตูเหล็กเก่าซอมซ่อสีดำทึบอันหนักอึ้ง แล้วเรียกชื่อเขาด้วยสีหน้าระรื่น

“สวีเยี่ยนสือ?”

ชายหนุ่มทำหน้ามึนตึง ก้มหน้าเหลือบมองเธอ

จู่ๆ เซี่ยงหยวนก็นึกครึ้มอกครึ้มใจอยากจะเย้าแหย่เขาเล่น จึงหยิบอมยิ้มสองแท่งออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วถามขึ้น

“นายดูสิว่าฉันเอาอะไรจากทางตะวันตกเฉียงเหนือมาให้นาย”

สวีเยี่ยนสือเหมือนกำลังดูเธอเล่นละครลิง ทำสีหน้าเหมือนชาตินี้ไม่เคยเห็นอมยิ้มมาก่อน ให้ความร่วมมืออย่างสุดความสามารถโดยการเลิกคิ้ว ท่าทางคล้ายกำลังถามว่า ‘นี่มันของจากทางตะวันตกเฉียงเหนือซะที่ไหนเล่า ของบนดวงจันทร์เธอยังนำกลับมาได้ด้วยเหรอเนี่ย’

เธอเพิ่งพูดจบประตูเหล็กสีดำที่อยู่ข้างหลังก็ปิดลงด้วยเสียงดัง ‘เอี๊ยด’ อันหนักทุ้ม ไฟอัตโนมัติที่อยู่ข้างหลังก็ดับลงด้วย รอบด้านมืดลงทันที เหลือเพียงไฟริมทางเก่าๆ ดวงเดียวที่ส่องสว่างอยู่หน้าประตู สีเหลืองสลัวทั้งยังไม่ค่อยสว่างนักส่องไปยังผู้ชายร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า โครงหน้าของเขาเริ่มพร่ามัว แต่ดวงตากลับสว่างสุกใสดุจจันทร์เสี้ยวโค้งงอนที่อยู่ข้างหลัง

ทันใดนั้นก็มีเสียงหญิงสาวที่สดใสกังวานดังขึ้นมาจากข้างหลังเธอ “สวีเยี่ยนสือ?”

ทั้งสองคนชะงักไปพร้อมกัน สวีเยี่ยนสือเอี้ยวตัวไปมอง ขณะที่เซี่ยงหยวนก็หันกลับไปมองเช่นกัน เห็นเพียงหน้าบันไดตึกมีหญิงสาวหุ่นเซ็กซี่คนหนึ่งกำลังยืนอยู่ ผมของเธอถูกรวบไว้ที่ต้นคออย่างง่ายๆ เธอสวมเสื้อไหมพรมพอดีตัวคอต่ำและกางเกงทรงสกินนี่ เสื้อโค้ตขนแกะสีน้ำตาลอ่อนถูกพาดไว้ที่แขน ท่าทางเหมือนเพิ่งลงจากรถ ดูอ่อนเพลียแต่ก็ดูทะมัดทะแมงยิ่ง

เซี่ยงหยวนไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนจึงนึกว่าเธอเป็นลูกบ้านของที่นี่ ไม่นึกว่าหญิงสาวผู้นั้นจะเดินนวยนาดด้วยรองเท้าส้นสูงมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา เธอชำเลืองมองเซี่ยงหยวนเหมือนมีนัยแอบแฝง จากนั้นก็จ้องมองตรงๆ ด้วยสายตาเนือยๆ แล้วเตือนด้วย ‘ความหวังดี’

“น้องสาว ฉันจะบอกให้นะ ผู้ชายคนนี้เคยหย่ามาแล้ว แถมมีลูกติดอายุเจ็ดแปดขวบซะด้วย ทั้งๆ ที่อายุใกล้จะสามสิบแล้ว จนป่านนี้ก็ยังอุดอู้อยู่ในตึกเก่าๆ แบบนี้ ฉันพูดจริงๆ นะ เขาไม่มีเงินหรอก ถ้าเธอหวังในตัวเขา ฉันว่าเธอไปหาลุงหลี่ที่เป็น รปภ. ดีกว่านะ ลุงเขามีบ้านสองหลังอยู่ในตัวเมืองด้วย”

เซี่ยงหยวนงงเป็นไก่ตาแตก นี่มันเรื่องอะไรกัน สวีเยี่ยนสือเคยหย่ามาแล้วเหรอ เด็กอายุเจ็ดแปดขวบ? คงไม่ได้หมายถึงสวีเฉิงหลี่หรอกนะ

เธอเตรียมจะแย้งกลับไปว่าเด็กน้อยคนนั้นเป็นน้องชายของเขา ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามาในสมอง คนบางคนอาจบอกคนอื่นว่าลูกชายตัวเองเป็นน้องชายเพื่อให้เอื้อต่อการหาแฟนใหม่ได้ง่ายก็เป็นได้

เซี่ยงหยวนปรายตามองสวีเยี่ยนสืออย่างไม่แน่ใจ รู้สึกเห็นใจและหดหู่อย่างบอกไม่ถูก คนดีๆ แบบนี้ทำไมบทจะหย่าก็หย่าง่ายๆ แบบนี้นะ

แต่กลับถูกสวีเยี่ยนสือเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา “เธอโง่หรือเปล่า”

“หา?”

“เฉินซู รองผู้จัดการแผนกธุรกิจสินค้าติดตั้งจากโรงงาน”

การแนะนำของสวีเยี่ยนสือเรียบง่ายมาก เขาพยักพเยิดคางไปที่เซี่ยงหยวนพลางบอกเฉินซู “เซี่ยงหยวน”

แม้แต่แผนกยังขี้เกียจแนะนำ แต่เห็นได้ชัดว่าเฉินซูรู้จักเธอ จึงยื่นมือออกมาด้วยท่าทีเปิดเผยแล้วยิ้มให้เธอบางๆ

“ที่แท้ก็เป็นเธอเองเหรอ พอดีช่วงก่อนฉันไปทำงานอยู่ที่ปักกิ่ง เพิ่งกลับมาวันนี้ ฉันได้ยินพวกเขาพูดถึงเธออยู่ ว่าแต่น้องเก่งใช้ได้เลยนะ เพิ่งมาถึงก็กำราบผู้ชายพวกนี้จนอยู่หมัด”

“ก็ถือว่าพอไหวค่ะ” เซี่ยงหยวนยื่นมือออกไปอย่างถ่อมตัว ทั้งสองมีส่วนสูงพอๆ กัน เพียงแต่เฉินซูดูสูงกว่าเธอเล็กน้อยเนื่องจากสวมรองเท้าส้นสูง แต่มาดของเซี่ยงหยวนไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่ายเลย เธอยิ้มทักทายเฉินซูต่อไป “พี่ก็สวยมากเหมือนกัน”

ทั้งสามคนเดินขึ้นตึกไปพร้อมกัน

เฉินซูกับสวีเยี่ยนสือเดินอยู่ข้างหน้า เซี่ยงหยวนตามมาข้างหลังคอยฟังพวกเขาพูดคุยกัน สวีเยี่ยนสือไม่ได้วางท่าทีสูงส่งเย็นชาขณะคุยกับเฉินซู ทั้งสองดูเหมือนจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

เสียงรองเท้าส้นสูงของเฉินซูกระทบพื้นเป็นเสียงตึกๆ ดังอยู่ตรงทางเดิน เรื่องที่เธอพูดกับสวีเยี่ยนสือล้วนเป็นเรื่องจิปาถะในชีวิตประจำวันที่เซี่ยงหยวนไม่เคยได้ยินมาก่อน

“คอนโดฯ รอบเมืองจะเปิดขายสิ้นปีนี้ มีลิฟต์ในตัวด้วย ฉันมีคนรู้จักที่นั่น จะให้ฉันขอราคาพิเศษให้นายไหม”

“ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง” สวีเยี่ยนสือเอามือข้างหนึ่งสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพลางเดินขึ้นไปข้างบน

นี่ก็เป็นการใช้เส้นสายเหมือนกัน ทำไมพอฉันเป็นคนพูดขึ้นมาถึงเหมือนเหยียบโดนกับระเบิดล่ะ สวีเยี่ยนสือ นายเป็นหมาหรือเปล่า

เฉินซูพยักหน้าแล้วเดินตามไป “อะไรกัน ยังคิดจะกลับปักกิ่งอยู่เหรอ แต่ฉันช่วยถามให้นายแล้วนะ เฉินซานบอกว่าอย่างช้าที่สุดปีหน้าจะต้องจัดการย้ายนายกลับไปให้ได้ อีกอย่างฉันดูท่าทีของทางสำนักงานใหญ่แล้ว ยังไงทางนี้ก็คงอยู่ไม่ถึงสิ้นปีหน้า พอบริษัทลูกปิดตัวลงเฉินซานต้องหาเหตุผลย้ายนายกลับไปแน่ แต่ฉันคิดว่าต่อให้นายไปอยู่ที่สำนักงานใหญ่ก็คงไม่ดีไปกว่าตอนนี้สักเท่าไรหรอก ฉันได้ยินข่าวมาว่า…”

พอพูดถึงตรงนี้สวีเยี่ยนสือก็เหลือบมองเซี่ยงหยวนแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็ถามเฉินซูขึ้นมาอย่างใส่ใจ “เธอหิวน้ำหรือเปล่า”

เซี่ยงหยวนแอบด่าในใจอยู่ข้างหลัง ทำไมนายถึงไม่ถามฉันบ้างล่ะว่าหิวน้ำไหม

แต่เฉินซูกลับเข้าใจนัยที่ส่งผ่านมาทางแววตาของเขา สวีเยี่ยนสือเหมือนกำลังเตือนเธอว่า ‘อยู่ต่อหน้าเซี่ยงหยวนอย่าพูดมากเกินไป’ เพราะเซี่ยงหยวนเป็นพนักงานใหม่ที่มีกำลังใจเต็มเปี่ยมและมุ่งมั่นที่จะมาทำงาน

เฉินซูกระแอมทีหนึ่งแล้วพูด “ก็หิวนิดหน่อยนะ ช่างเถอะ ขึ้นไปก่อนค่อยว่ากัน”

พอเข้าไปในห้องแล้วเซี่ยงหยวนกลับถูกเกาเหลิ่งที่โผเข้ามาทำเอาตกใจเสียยกใหญ่ เพราะเขาตะโกนด้วยพลังปอดเต็มสูบว่า…

“ที่รักจ๋า เธอกลับมาแล้วเหรอ”

เซี่ยงหยวนนิ่งไป สวีเยี่ยนสือถือของอยู่ในมือ เมื่อเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะแล้วเดินเยื้องย่างผ่านหลังเธอไป จู่ๆ ก็คล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“อ้อ ลืมบอกไปว่าเฉินซูเป็นแฟนเกาเหลิ่ง”

เซี่ยงหยวนร้อง “อ้อ” เสียงเรียบ คิดในใจว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันเล่า

เกาเหลิ่งตื่นเต้น เกาะอยู่บนตัวเฉินซูเหมือนสุนัขโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ เฉินซูถูกเขารัดเสียจนแทบจะหายใจไม่ออก จึงตบป้าบไปที่หน้าผากเขาอย่างแรง

“นายคิดจะรัดคอฉันให้ตายจะได้เปลี่ยนแฟนใหม่ใช่ไหม ฉันนึกแล้วเชียวว่านายคิดไม่ซื่อกับอิ้งอินอินมานานแล้ว”

เกาเหลิ่งเบ้ปากมองเธออย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เธอเป็นปีศาจหรือไง ถ้าฉันชอบอิ้งอินอิน ขอให้ฉันโดนฟ้าผ่าตาย แล้วอีกอย่างคืนนี้อิ้งอินอินก็ไปเปิดห้องกับหลี่ฉือแล้ว…ฉันจะไปกินของเหลือเดนจากเขาได้เหรอ”

“พูดอย่างกับว่านายไม่เคยกินของเหลือเดนจากคนอื่น” เฉินซูมองค้อนปะหลับปะเหลือก “แล้วนางฟ้า Ashers ของนายล่ะ”

เกาเหลิ่งพูด “Ashers เป็นชื่อหมาต่างหาก”

เซี่ยงหยวนหมดคำพูด พวกผู้ชายนี่มันเฮงซวยกันหมดทุกคนจริงๆ

เฉินซูไม่สนใจเขา เธอหรี่ตาถาม “ว่าแต่หลี่ฉือไปเปิดห้องกับอิ้งอินอินจริงๆ เหรอ”

“ไม่งั้นงานเลี้ยงคืนนี้จะขาดเขาไปได้ไง ขนาดเราบอกเขาว่าลูกพี่จะเข้าครัวเอง เขายังปฏิเสธเสียงหนักแน่นว่าไม่มาเลย”

“ดูท่าฉันจะพลาดชอตเด็ดไปเยอะเลย” เฉินซูเพิ่งพูดจบก็เห็นโหยวจื้อกับเพื่อนร่วมงานสองสามคนกลับมาจากสูบบุหรี่ที่ระเบียง พอพวกเขาเห็นเธอกลับมาแล้วเส้นประสาทบนใบหน้าก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที หยิบมือถือขึ้นมาแล้วนั่งเรียงแถวบนโซฟา ดวงตาหลายคู่ซึ่งเปล่งประกายความกระหายจับจ้องไปที่เฉินซูพร้อมกัน

“พี่ซู มาเล่น RoV กันสักตาเถอะ”

แรงก์* ของเฉินซูใน RoV สูงมาก ฮีโร่แปดสิบดาว บรรดาผู้ชายในแผนกเทคโนโลยีนอกจากโหยวจื้อกับหลี่ฉือที่พอแข่งกับเธอได้แล้ว คนที่เหลือมีแต่จะถูกบดขยี้เท่านั้น

ส่วนสวีเยี่ยนสือยังเป็นปริศนาเพราะไม่เคยเห็นเขาเล่นเกมเลย

เกาเหลิ่งเป็นพวกเล่น RoV ได้ห่วยมาก ตอนแรกที่เขาไปตีสนิทกับเฉินซูก็เพราะรู้ว่าฝีมือการเล่น RoV ของเธอขั้นเทพ พอถูกบดขยี้ไปห้าร้อยรอบก็ยอมศิโรราบให้แต่โดยดี

เฉินซูกำลังว่างอยู่จึงตกปากรับคำและหันไปถามเซี่ยงหยวนที่นั่งอยู่ข้างๆ “เธอจะเล่นด้วยไหม”

เซี่ยงหยวนขานรับ “เอ่อ…” ด้วยท่าทีลังเลแล้วพูดต่อ “ไม่ได้เล่นนานแล้ว”

เฉินซูเผยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย “แล้วจะเล่นด้วยกันไหมล่ะ”

“ไม่ดีกว่า พวกคุณเล่นเถอะ ฉันลบแอพฯ ไปนานแล้ว”

เฉินซูพยักหน้าอย่างเข้าใจ ความจริงพวกโหยวจื้อเอ่ยชวนเซี่ยงหยวนแล้วรอบหนึ่ง แต่ถูกเธอปฏิเสธไปหมด เพราะทุกคนรู้ทั้งไอดีหลักและไอดีส่วนตัวของเธอ ขืนเธอร่วมเล่นด้วยไอดี Ashers สงสัยคนพวกนี้คงได้ช็อกตายกันยกแก๊ง

เกาเหลิ่งคิดว่าฝีมือของเซี่ยงหยวนน่าจะห่วยมากจึงไม่กล้าเล่นกับพวกเขา เขาจ้องไปที่จอมือถือ มองดูเฉินซูเคลื่อนย้ายตำแหน่งอย่างสบายอกสบายใจ แล้วหันไปปลอบใจเซี่ยงหยวนเหมือนคนหัวอกเดียวกัน

“เจ๊หยวน ที่จริงฝีมือห่วยก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เราเล่นเกมเพื่อความสนุกกันทั้งนั้นถูกไหมล่ะ”

ทุกคนพูดพร้อมกัน “ถุย!”

 

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ได้เวลากินข้าว

พวกโหยวจื้อปิดมือถือแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหารเหมือนยังเล่นไม่จุใจ นัดแนะกับเฉินซูว่าเดี๋ยวกินข้าวเสร็จมาเล่นกันต่อ เฉินซูยิ้มตอบว่าได้ พอดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงทุกคนก็ถามขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน

“ใครสั่งให้ซื้อกุ้งมังกรเล็กมา”

เกาเหลิ่งเป็นผู้รู้ความจริงแต่เขาไม่กล้าบอก อีกทั้งยังเป็นคนเดียวในที่นี้ที่รู้ว่าลูกพี่กับเซี่ยงหยวนเคยเป็นเพื่อนสมัยเรียนกันมาก่อน แต่เขากลัวถูกลูกพี่กระทืบจึงได้แต่นั่งลงเงียบๆ แล้วพุ้ยข้าวใส่ปากไม่ยั้ง

เซี่ยงหยวนยกมือขึ้นกล่าวเสียงอ่อย “ฉัน…เป็นคนสั่งเอง”

ทุกคนเผยสีหน้าที่ไม่แปลกใจแต่เหนือความคาดหมายออกมา

โหยวจื้อพูดเสียงจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เข้าใจอยู่หรอก เพราะลูกพี่ไม่เคยซื้ออาหารนอกฤดูกาลเลย”

“ทำไมล่ะ”

โหยวจื้อบอก “ผมขอให้ความรู้หน่อยนะ ทางที่ดีอย่าซื้ออาหารนอกฤดูกาลมากิน เพราะอาหารแบบนี้มักจะเลี้ยงในโรงเพาะ เป็นการเจริญเติบโตที่ฝืนธรรมชาติ เราควรกินอาหารตามฤดูกาลให้มากๆ เพราะดีต่อสุขภาพ คุณไม่รู้หรอกว่าพวกพ่อค้าหน้าเลือดต้องการทำให้อาหารนอกฤดูกาลดูน่าทานเลยฉีดฮอร์โมนกับยาฆ่าแมลงเข้าไปตั้งเท่าไร แต่แน่นอนว่าที่ลูกพี่ไม่ซื้อเนี่ย ผมคิดว่าคงเป็นเพราะราคาแพงมากกว่า”

ซือเทียนโย่วถอนหายใจแล้วคีบผักชีในถ้วยออก “ที่จริงอาหารทุกชนิดไม่ว่าจะถูกต้องตามฤดูกาลหรือเปล่าเราก็ควรให้ความเคารพ แต่อาหารอย่างผักชี ชาตินี้คงไม่ได้รับความเคารพจากฉันแล้วล่ะ”

ขณะที่คุยกันอยู่น้ำซุปในหม้อไฟก็เดือดปุดๆ ควันร้อนลอยฟุ้งขึ้นมา

ในห้องที่เต็มไปด้วยควันเซี่ยงหยวนเห็นสวีเยี่ยนสือถือขวดแก้วเล็กๆ เดินออกมาจากห้องครัว

เขาถอดเสื้อขนเป็ดที่สวมไว้ข้างนอกออกแล้ว ซิปของชุดออกกำลังกายเปิดอ้าไว้ ข้างในเป็นเสื้อยืดสีขาวแบบเรียบง่ายดูลำลอง ขณะเดินผ่านซือเทียนโย่วยังเอื้อมมือไปขยี้ท้ายทอยเขาแล้วทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง

“ไม่เป็นไร นายทำได้ครึ่งหนึ่งแล้ว”

พอพูดจบก็ยื่นของในมือไปตรงหน้าเซี่ยงหยวน เธอเพ่งดูดีๆ ถึงมองเห็นว่าเป็นน้ำจิ้มซีฟู้ดที่เปิดไว้แล้ว แถมยังเป็นยี่ห้อที่เธอกินบ่อยๆ อีกด้วย

เมื่อกี้นี้เขาไปซื้อของสิ่งนี้ที่มินิมาร์ตเหรอ

โหยวจื้อวางตะเกียบลง “กุ้งมังกรเล็ก น้ำจิ้มซีฟู้ด…ใช้ได้นี่นา”

จากนั้นสวีเยี่ยนสือก็เดินออกมาจากห้องครัวอีกครั้งพร้อมกับถ้วยและตะเกียบของตัวเอง รอบๆ โต๊ะมีคนนั่งล้อมจนเต็มหมดแล้ว โหยวจื้อกำลังจะขยับที่ให้เขานั่ง แต่เขากลับยกขาข้ามหลังโหยวจื้อแล้วลงไปนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นก็เอี้ยวตัวไปหยิบน้ำจิ้มเผ็ดที่วางอยู่ตรงหน้าเกาเหลิ่ง

โหยวจื้อหันกลับมาอย่างใจเย็น “โอเคครับ โชว์ว่าตัวเองขายาวอีกแล้ว”

เอาเถอะ ผมจะทำเป็นไม่รู้ว่าลูกพี่จงใจอวดก็แล้วกัน

ขณะที่เซี่ยงหยวนยื่นตะเกียบจะไปคีบกุ้งมังกรเล็ก จู่ๆ โหยวจื้อก็พูดกับเธอ “ไม่ว่ายังไงก็ขอต้อนรับคุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรานะ ถึงแม้ลูกพี่เหมือนจะบ้าไปแล้วหลังจากที่คุณเข้ามา แต่ถ้าคุณจะทำให้เขาบ้ายิ่งกว่านี้พวกเราก็ไม่ถือสาหรอกนะ” พูดถึงตรงนี้แล้วโหยวจื้อก็หันไปมองเพื่อนๆ ของตัวเอง “จะว่าไปแล้วพวกเราเหมือนไม่เคยเห็นเขามีแฟนมาก่อน เราก็เลยอยากรู้ว่าเขาจะปฏิบัติต่อแฟนตัวเองยังไง”

เซี่ยงหยวนพูด “โหยวจื้อ นายเข้าใจผิดแล้ว…ฉันกับลูกพี่ของพวกนาย…”

สวีเยี่ยนสือเพิ่งกินข้าวไปแค่สองคำก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดเสียงเรียบในขณะที่ตะเกียบยังคาอยู่ในถ้วย “ฉันกับเซี่ยงหยวนเป็นเพื่อนเรียน ม.ปลาย มาด้วยกัน ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่พวกนายคิด เพราะฉะนั้นพวกนายหุบปากแล้วกินข้าวซะ”

โหยวจื้อรีบยกถ้วยข้าวขึ้นแล้วก้มหน้าโซ้ยแหลก “ได้ๆ ถือซะว่าผมไม่ได้พูดแล้วกัน”

ซือเทียนโย่วก็ยกถ้วยขึ้นแล้วคีบเนื้อวัวชิ้นหนึ่งลงไปลวกในหม้อ “ผมก็ว่าพวกคุณดูไม่เหมือนเพิ่งรู้จักกัน ที่แท้เป็นเพื่อนสมัย ม.ปลาย กันนี่เอง มิน่าล่ะ ลูกพี่ถึงช่วยคุณตอบโต้อิ้งอินอินในแชตกลุ่ม”

ตะเกียบที่เซี่ยงหยวนถืออยู่ชะงักไป เธอทำหน้างุนงง “ตอบโต้อิ้งอินอิน?”

ทุกคนวางถ้วยและตะเกียบลงอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความตกตะลึง

“คุณไม่รู้เหรอ”

“ไม่รู้ เพราะฉันยังไม่ได้เข้ากลุ่ม”

“แล้วเกาเหลิ่งกับหลินชิงชิงล่ะ พวกเขาสองคนอยู่ในแชตกลุ่มนะ”

เกาเหลิ่งกล่าว “ใครจะว่างไปอ่านแชตล่ะ พวกนายไม่ได้แท็กเรียกฉันในกลุ่มสักหน่อย”

เหตุผลของหลินชิงชิงก็เหมือนกับเขา

เมื่อกินข้าวกันเสร็จโหยวจื้อก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เซี่ยงหยวนฟัง พอเธอฟังจบก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุสักที และได้เห็นประวัติการสนทนาดังกล่าวในมือถือของโหยวจื้อ แต่เธอกลับสงสัยขึ้นมา

“เรียกคืนข้อความคืออะไรเหรอ”

โหยวจื้อตอบ “โอนเงินเข้าวีแชตผมสองร้อยหยวนสิ แล้วผมจะส่งรูปแคปหน้าจอให้คุณดู รับรองว่าชัดแจ๋วไม่มีเซ็นเซอร์แน่นอน”

ช่วงนี้เซี่ยงหยวนกำลังขาดสภาพคล่องทางการเงิน จึงไม่ยอมจ่ายสักแดงเดียว “งั้นไม่ดูแล้ว” พูดจบก็หันหลังเดินหนีไป

โหยวจื้อส่ายศีรษะอย่างจนใจ เฮ้อ คนนี้ก็จนเหมือนกัน ลูกพี่จนขนาดนี้ ขืนมีแฟนจนๆ เพิ่มมาอีกคน อนาคตสองคนนี้จะอยู่ยังไงเนี่ย

เฉินซูใส่เสื้อไหมพรมกำลังยืนพิงราวระเบียงสูบบุหรี่อยู่ ส่วนสวีเยี่ยนสือกำลังก้มหน้ากอดอกพิงกับกรอบประตูเลื่อน

เซี่ยงหยวนจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนเธอกับสวีเยี่ยนสือก็มีความสัมพันธ์เช่นนี้ ในบรรดากลุ่มเพื่อนของเฟิงจวิ้นเขาเป็นคนที่พูดด้วยยากที่สุด ไม่ว่าจะคุยกับใครก็ทำท่าเย็นชาใส่ แต่บางครั้งเมื่อเซี่ยงหยวนขอให้เขาช่วยเขาก็รับปากเสมอ แม้ท่าทางจะดูไม่เต็มใจนัก เวลานั้นคนทั้งโรงเรียนรู้กันหมดว่าสวีเยี่ยนสือสนิทกับเฟิงจวิ้นมาก

จู่ๆ เซี่ยงหยวนก็นึกถึงสีหน้าของเขาในวันที่อยู่ในห้องประชุมขึ้นมา ตอนที่เขาพูดว่าไม่ได้ติดต่อกับเฟิงจวิ้นมานานแล้ว

เธอไม่รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับเขา เดิมทีเธอนึกว่าเขาแค่ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนในห้องเก้า แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะขาดการติดต่อกับเฟิงจวิ้นด้วย

เสียงพูดคุยเบาๆ ดังมาจากระเบียง

เฉินซูอัดบุหรี่เข้าไปทีหนึ่งแล้วแหงนหน้าพ่นควันออกมา “ฉันรู้จักบริษัทแห่งหนึ่งที่อยากดึงตัวนายไปทำงานด้วย แม้จะเป็นแค่บริษัทสตาร์ตอัพ เทียบกับบริษัทที่ก้าวหน้าอย่างเหว่ยเต๋อไม่ได้ แต่เจ้าของบริษัทชื่นชมนายมาก เขามาคุยกับฉันตั้งหลายครั้ง พอคราวนี้ฉันไปปักกิ่งเขาก็มาคุยกับฉันทั้งคืน เงื่อนไขที่เขาเสนอมาก็ดีมาก ฉันว่านายควรลองพิจารณาดู”

“เงื่อนไขอะไร” สวีเยี่ยนสือก้มหน้ามองปลายเท้า สุ้มเสียงของเขาฟังดูเย็นเยือกเป็นพิเศษในค่ำคืนอันมืดมิด

“ประกันสังคมและประกันภัยอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว แต่ตำแหน่งคือผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค รายรับต่อปีเริ่มต้นที่หกแสนหยวน บวกกับเปอร์เซ็นต์ตามแต่ละโปรเจ็กต์อีก และบ้านที่วงแหวนรอบที่สี่ของปักกิ่ง อีกหนึ่งหลัง” เฉินซูเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงพูดเสริม “อ้อ แล้วถ้านายเต็มใจ ลูกสาวเจ้าของบริษัทบอกว่าจะแต่งงานกับนายก็ได้ นายจะได้ประหยัดเวลาต่อสู้ไปอีกยี่สิบปี”

ห้องน้ำอยู่ข้างระเบียง เซี่ยงหยวนบังเอิญได้ยินบทสนทนาของทั้งสองขณะที่เดินมาเข้าห้องน้ำพอดี เธอจึงหยุดฝีเท้าลงตามสัญชาตญาณ

“เธอเติมประโยคสุดท้ายเองใช่ไหม”

สวีเยี่ยนสือเข้าใจนิสัยของเฉินซูดี ตอนนั้นเขาหันหลังให้กับเซี่ยงหยวน กอดแขนพิงกับกรอบประตูเลื่อน ก้มหน้าแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ

เฉินซูสูบบุหรี่เข้าไปอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร เธอคีบบุหรี่ไว้ที่ปลายนิ้ว พ่นควันออกมาเป็นวง แล้วใช้มือไล่ควันให้ฟุ้งกระจายออกไปพลางพูดขึ้นมา

“นายกลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร เชื่อฉันสิ ถ้านายเอาความพยายามสักหนึ่งในสิบที่มีต่อเซี่ยงหยวนไปจีบลูกสาวเจ้าของบริษัท ต่อให้คนที่แต่งงานแล้วก็ยังยินดีหย่าเพื่อนายเลย แม้แต่ป้าก็ยินดีกลับชาติไปเกิดใหม่เพื่อนาย”

สวีเยี่ยนสือก้มหน้านิ่ง โครงหน้าด้านข้างของเขาดูสะอาดเกลี้ยงเกลา แต่ท่าทางเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เฉินซูดับบุหรี่แล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย “นี่ นายกับเธอเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ เหรอ”

“อื้ม” เขาขานรับเสียงต่ำ

ทว่าเฉินซูกลับขมวดคิ้วอย่างไม่เชื่อ กวาดตามองเขาไปมาอย่างมีเลศนัย “แต่นายดูเหมือนจะเข้าใจเธอเป็นอย่างดีเลยนะ ฉันรู้จักนายมานานแล้ว แม้นายจะไม่ใช่คนขี้งก แต่อากาศหนาวขนาดนี้ยังยอมวิ่งออกไปซื้อกุ้งมังกรเล็กมาให้เธอ มันดูผิดปกติมากนะ”

สวีเยี่ยนสือไม่ตอบ จู่ๆ เกาเหลิ่งที่อยู่ในห้องรับแขกก็แหกปากตะโกนเรียก “เจ๊ซู!” จึงเป็นการตัดบทสนทนาของทั้งสองอย่างสิ้นเชิง

สายตาของเฉินซูเหลือบมองมาอย่างไม่ตั้งใจ เซี่ยงหยวนตกใจจึงหดตัวกลับเข้าไปในห้องน้ำแล้วแง้มประตูไว้

เฉินซูงึมงำขานตอบเกาเหลิ่งแล้วมองไปยังประตูห้องน้ำที่เปิดแง้มไว้ด้วยสีหน้าครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ละสายตากลับมา

“ช่างเถอะ อย่างอื่นฉันไม่พูดเยอะแล้ว แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ต้องบอกนายล่วงหน้า เฉินซานใกล้จะถูกสั่งย้ายแล้วเพราะคณะกรรมการไม่ค่อยพอใจกับผลงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของเธอ อาจจะย้ายเธอไปอยู่บริษัทลูกที่เซี่ยงไฮ้ ถ้าเธอถูกย้ายไปก่อนที่นายจะย้ายไปสำนักงานใหญ่ ฉันขอแนะนำให้นายลองพิจารณาข้อเสนอของฉันอย่างจริงจัง เพราะถ้าเฉินซานไปแล้วมันจะไม่เป็นผลดีต่อนาย”

สวีเยี่ยนสือกลับสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่ต้องหรอก ปฏิเสธแทนฉันไปเถอะ”

เฉินซูไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เธอกดเสียงให้ต่ำลงแล้วขบฟันก่อนกล่าวเสียงแข็ง “นายรู้ไหมว่าบ้านที่วงแหวนรอบที่สี่ของปักกิ่งตอนนี้ตารางเมตรละเท่าไร นายรู้หรือเปล่าว่าคนตั้งเท่าไรที่หาเช้ากินค่ำทั้งชีวิตก็อาจไม่มีปัญญาซื้อบ้านแบบนี้ได้สักหลัง แต่นายกลับปฏิเสธไปง่ายๆ แบบนี้ นายคิดอะไรอยู่กันแน่”

สวีเยี่ยนสือไม่ได้พูดอะไร

เฉินซูคล้ายกับหมดความอดทน เธอจึงถอนหายใจออกมาแรงๆ ไม่คิดจะคุยกับเขาต่อ ได้แต่พูดทิ้งท้ายเอาไว้ “ไม่รู้ว่าเฉินซานมอมยาเสน่ห์อะไรให้นายกินกันแน่” พูดจบก็เดินฉับๆ จากไปด้วยท่าทีโอหัง

เซี่ยงหยวนเดินออกมาจากห้องน้ำ ยืนพิงผนังมองแผ่นหลังของผู้ชายที่อยู่ตรงระเบียงเงียบๆ พักใหญ่ จากนั้นก็เดินไปหยิบเบียร์สองกระป๋องในห้องครัวออกมาแล้วรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาเขา

แต่เธอเพิ่งก้าวเท้าหน้าออกไปสวีเยี่ยนสือก็รับรู้แล้ว เขาหันมามองเธอทีหนึ่งแล้วเบือนหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา

เซี่ยงหยวนส่งเบียร์ให้เขากระป๋องหนึ่ง มองไปที่ดวงจันทร์แล้วถามด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “นายรู้ไหมว่าการสมปรารถนาเป็นยังไง”

สวีเยี่ยนสือรับเบียร์ไปแต่ไม่เปิด เขาวางตั้งไว้บนราวระเบียง ชำเลืองมองเธอด้วยสายตาเรียบเรื่อย “อะไรเหรอ”

เซี่ยงหยวนเปิดกระป๋องดัง ‘ป๊อก’ แล้วยกขึ้นจิบอึกหนึ่งอย่างนึกครึ้มใจ

“ก็คือคนที่นายชอบ เขาชอบนายพอดี เค้กที่อยากกินในตอนนั้นอยู่ในตู้เย็นพอดี ความต้องการในขณะนั้นได้รับการสนองทันที” พอพูดจบเธอก็เอื้อมมือไปตบไหล่เขาแรงๆ แล้วพูดอย่างจริงจัง “ชีวิตคนเราสั้นนัก ต้องรู้จักหาความสุขใส่ตัวเข้าไว้”

ทั้งสองยืนเคียงกัน ฝั่งตรงข้ามคือสวนสาธารณะ ท่ามกลางหมอกเบาบางในยามค่ำคืนทะเลสาบที่อยู่ใจกลางสวนสาธารณะเปล่งประกายสีเงินจางๆ ราวกับกระจกวาวที่ประดับแสงดาวติดอยู่บนกองหินของภูเขาจำลอง รอบๆ มีต้นสนมากมายยืนต้นเรียงรายอยู่ ผู้คนที่อยู่ใต้ต้นไม้รวมกลุ่มกันสองสามคน บางคนเดินหมาก บางคนเต้นรำ บางคนพาสุนัขมาเดินเล่น…ตึกรามเก่าใหม่ที่อยู่ไม่ไกลตั้งตระหง่านซ้อนกัน แสงไฟระยิบระยับราวกับมวลดอกไม้ตระการตายิ่ง

สวีเยี่ยนสือสอดมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋ากางเกง ส่วนอีกข้างกดกระป๋องเบียร์ไว้แล้วใช้นิ้วชี้เกี่ยวห่วงเปิดออกมา

เซี่ยงหยวนมองดูเขาโชว์สกิลเปิดกระป๋องมือเดียวด้วยความตกตะลึง แล้วได้ยินเขาถามขึ้น “เธอได้ยินหมดแล้วเหรอ”

เซี่ยงหยวนเห็นเขาถือกระป๋องเบียร์ไว้ในมือพร้อมกับพิจารณาตัวเอง จากนั้นก็รีบยกมือสาบาน “ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ ก็แค่ตอนที่มาเข้าห้องน้ำบังเอิญได้ยินนายกับเธอกำลังคุยกัน…”

สวีเยี่ยนสือยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจนัก

เซี่ยงหยวนนึกว่าจะเงียบไปอีกนาน เธอไม่กล้าเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน จึงได้แต่แสร้งทำทีเป็นชื่นชมแสงจันทร์พร้อมกับดื่มเบียร์ในมืออึกแล้วอึกเล่าอย่างว่าง่าย ทันใดนั้นก็ได้ยินประโยคเรียบๆ ดังขึ้นข้างหูตน

“งั้นก็ขออวยพรให้เธอสมปรารถนาทุกเรื่องแล้วกัน”

สุ้มเสียงที่แผ่วเบาแต่ทรงพลังคล้ายกับว่าสามารถทะลุผ่านใจคนได้ของเขาพุ่งตรงสู่กลางใจเธอ เธอตะลึงงันอยู่นานสองนานก็ยังไม่ได้สติกลับมา นี่น่าจะเป็นคำอวยพรที่ดีที่สุดเท่าที่เธอเคยได้รับมาแล้ว

ขอให้เธอสมปรารถนาทุกเรื่อง ความต้องการในขณะนั้นได้รับการสนองทันที

เธอรู้สึกแน่นหน้าอกเหมือนหายใจไม่ออกและตั้งรับไม่ค่อยทัน จึงได้แต่กัดขอบกระป๋องเบียร์แล้วอาศัยแสงจันทร์สลัวชำเลืองมองผู้ชายที่อยู่ข้างกายด้วยหางตา เสื้อออกกำลังกายของเขาที่เปิดอ้าอยู่นั้นปกคอตั้งสูงระข้างแก้มของเขาเบาๆ ดูคล้ายกับเด็กหนุ่มสะอาดสะอ้านในอดีตเป็นอย่างยิ่ง

เซี่ยงหยวนตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา “ขอบคุณนะ”

“ด้วยความยินดี” เขายกเบียร์ขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วพูดแบบไม่ใส่ใจ

แม้ตอนนี้เซี่ยงหยวนจะมีคำพูดบางอย่างที่ไม่สะดวกถาม มีความสงสัยมากมายท่วมท้นอยู่ในใจซึ่งยากที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา แต่พอลองคิดดูเธอก็กล่าวขึ้นมาเรื่องหนึ่ง

“วันนี้ต้องขอบคุณน้ำจิ้มซีฟู้ดกับกุ้งมังกรเล็กของนายด้วยนะ นึกไม่ถึงว่าผ่านมาตั้งนานแล้วนายยังจำได้อยู่”

สวีเยี่ยนสือนึกไม่ถึงว่าเธอจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง ที่จริงเขาทำไปเพราะกลัวความยุ่งยาก สำหรับเรื่องสมปรารถนาที่ว่านี้เขาเคยได้ยินจากปากของเฟิงจวิ้นมาเหมือนกัน เฟิงจวิ้นบอกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมมาอย่างดี ถ้าไม่ตามใจเธอ เธอก็จะอาละวาดเพราะที่บ้านตามใจมาตั้งแต่เด็ก สมัย ม.ปลาย เธอเป็นคนอารมณ์ร้ายมาก ถ้าไม่ได้กินของที่อยากกินก็จะบ่นอยู่พักใหญ่ บางครั้งเซี่ยงหยวนสั่งให้เฟิงจวิ้นไปซื้ออะไร แล้วเฟิงจวิ้นกำลังเล่นเกมอยู่ไม่ว่างออกไปซื้อก็จะโทรศัพท์ไปบอกสวีเยี่ยนสือที่อ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดซื้อให้แทน พอสวีเยี่ยนสือซื้อบ่อยเข้าจึงจำได้ ปรากฏว่าตอนหลังเมื่อทุกคนมีโอกาสได้นั่งกินหม้อไฟด้วยกัน เฟิงจวิ้นไม่รู้ว่าเซี่ยงหยวนชอบกินน้ำจิ้มซีฟู้ดยี่ห้ออะไร แต่สวีเยี่ยนสือกลับเป็นคนที่ปรุงน้ำจิ้มจนเรียบร้อยเสร็จสรรพแล้วนำมาวางไว้ตรงหน้าเธอ

เรื่องราวในอดีตยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ ส่วนเขาก็เหมือนยึดติดอยู่กับบทบาทเดิม ไม่เคยหลุดพ้นออกมา

สวีเยี่ยนสือหันกลับไป พิงหลังไว้กับราวระเบียง จากนั้นก็วางกระป๋องเบียร์ไว้ข้างๆ เอียงคอมองเธอแล้วกล่าวขึ้นมา

“เธออย่าคิดมาก ฉันก็แค่กลัวผู้หญิงโวยวายเท่านั้น”

“ฉันก็ไม่ได้คิดมากนี่” เซี่ยงหยวนเลียนแบบเขา พิงหลังไว้กับราวระเบียงเช่นกัน เธอหลุบตาลงแล้วยิ้มออกมาอย่างร่าเริง “ฉันไม่คิดเข้าข้างตัวเองว่านายชอบฉันอยู่หรอก ฉันรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ นายเป็นคนฉลาด แถมความจำดีเลิศ จำความเคยชินเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ได้ก็ไม่แปลก ฉันรู้ว่าเมื่อก่อนนายเป็นคนซื้อของพวกนั้นให้ฉัน เฟิงจวิ้นก็แค่อาศัยใบบุญนายเอาของมาให้ฉันเท่านั้น แต่ฉันสงสัยว่าเขาเรียกใช้นายอยู่บ่อยๆ หรือเปล่า ต่อให้มีเงินก็รังแกคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะ”

สวีเยี่ยนสือก้มหน้าหัวเราะไม่ได้รับคำ

เซี่ยงหยวนพูดขึ้นอีก “แต่เรื่องที่ป่าน่ะ…”

สวีเยี่ยนสือรีบตัดบททันทีแล้วเหลือบมองเธอ “คืนนี้เธอจะมาคิดบัญชีเก่าเหรอ”

เซี่ยงหยวนรีบปัดความผิดออกไปให้พ้นตัว “เรื่องนี้นายจะปรักปรำฉันไม่ได้นะ ฉันบอกไปแล้วว่าไม่มา แต่นายโทรมาหาฉันเอง”

“ได้ ฉันหาเรื่องเอง” สวีเยี่ยนสือยกมือยอมรับด้วยท่าทีจนใจ

พอทั้งสองพูดจบก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วหันหน้าออกจากกัน

เซี่ยงหยวนคิดดูแล้วก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “ฉันแค่คิดว่าไหนๆ ก็มาแล้ว เรามาพูดเรื่องในอดีตให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า เคลียร์ให้เรียบร้อย ต่อไปก็ตั้งใจทำงาน ฉันกับเฟิงจวิ้นเลิกกันไปตั้งนานแล้ว เราสองคนจะอยู่กันแบบเอกเทศไม่ได้เหรอ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายยังคิดว่าฉันเป็นแฟนของเฟิงจวิ้นอยู่”

สวีเยี่ยนสือถามกลับ “เธอกลายเป็นคนกระตือรือร้นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

เซี่ยงหยวนโบกมืออย่างหมดคำพูด “นายก็ถือซะว่าฉันเหมือนกับพวกนาย เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมแล้วกัน”

“เหมือนกับพวกเราเหรอ แล้วเธอต่างจากพวกเราตรงไหน”

ฉันไม่เหมือนกับพวกนายอยู่แล้ว ถ้าฉันทำธุรกิจล้มเหลวก็ยังมีทรัพย์สมบัติอีกเป็นหมื่นล้านรอให้ฉันกลับไปสืบทอดอยู่ แล้วนายมีเหมือนฉันหรือเปล่าล่ะ

แต่จะพูดแบบนี้ตรงๆ ก็ไม่ได้ เซี่ยงหยวนจึงยิ้มแล้วชูกระป๋องเบียร์ขึ้น “อย่ามาจับผิดกันได้ไหม มาๆๆ เรามาชนกันหน่อย ตกลงกันแล้วนะว่าจะไม่คิดถึงเรื่องเก่าอีก ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเคยเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เราจะเริ่มต้นใหม่กัน”

สวีเยี่ยนสือไม่ได้สนใจเธอ เหลือบมองเธอแวบหนึ่งแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง

เซี่ยงหยวนจึงเริ่มสะสางความสัมพันธ์ใหม่ขึ้นมาเอง “ขอแนะนำตัวใหม่อีกครั้งนะ สวัสดี ฉันคือหัวหน้าทีมสองของแผนกเทคโนโลยี เซี่ยงหยวน”

เธอเหมือนได้ยินเขาพูดว่า “ไร้สาระ”

ที่จริงเซี่ยงหยวนก็ไม่คิดว่าเขาจะให้ความร่วมมือ ขณะที่ตัวเองเตรียมจะดื่มเบียร์สักอึกแล้วเผ่นหนี แต่วินาทีต่อมากระป๋องเบียร์ที่เธอถืออยู่ในมือก็ถูกชนเบาๆ

หญิงสาวพลันเงยหน้าขึ้น ไม่รู้ว่าสวีเยี่ยนสือยกกระป๋องเบียร์ในมือมาชนกระป๋องเธอตั้งแต่เมื่อไร จากนั้นเขาก็บอกชื่อตัวเองสั้นๆ ด้วยท่าทีเฉื่อยชา

“สวีเยี่ยนสือ”

ไม่รู้ทำไม แต่สามพยางค์นี้ทำให้เธอใจเต้นได้มากยิ่งกว่าทุกเรื่องที่เขาทำให้เธอในช่วงที่ผ่านมา เรียกว่าหัวใจเต้นจนแทบจะทะลุออกจากอกเลยก็ว่าได้

และประโยคที่เขาพูดเมื่อครู่นี้…ขออวยพรให้เธอสมปรารถนาทุกเรื่อง

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนตุลาคม 66)

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: