X
    Categories: กล่อมเกลาปราชญ์หญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กล่อมเกลาปราชญ์หญิง บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่ 2

เดือนสี่ดำเนินมาถึงช่วงปลาย แสงแดดแรงขึ้นทุกที แม้แต่ลมยังเจือไอร้อน สีสันดอกไม้ใบหญ้าด้านหลังจวนฉางอันจวินก็สดใสขึ้นเป็นลำดับ ต้นไม้ผลิใบอ่อน แตกกิ่งก้านสาขายื่นเข้ามาถึงหน้าต่าง แทบจะระหัวไหล่ตันคุยอยู่แล้ว เนื่องจากเขากำลังเกาะขอบหน้าต่างแอบมองเข้าไปข้างใน

ภายในเรือนมีโต๊ะเตี้ย เบาะสาน แขวนม่าน จุดกำยาน เผยยวนมือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งถือม้วนหนังสือไม้ไผ่ เดินกลับไปกลับมาพลางอ่านด้วยเสียงกังวาน

เด็กสาวนั่งขัดสมาธิหลังโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่ามวยผมที่รวบไว้เหนือท้ายทอยหลุดตั้งแต่เมื่อไร ผมจึงได้ร่วงตกลงมาระต้นคอ อี้เจียงสวมชุดสีขาวนั่งอยู่บนเบาะสาน ชายเสื้อคลุมยับยู่กองขยุ้ม นางเอามือซ้ายเท้าคาง หลุบตามองม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่ถือเอาไว้ในมือขวา แพขนตายาวทาบเงาจางๆ บนพวงแก้ม ใบหน้ายังซีดเซียว แต่ดวงตามีชีวิตชีวา ดูแจ่มใสกว่าแต่ก่อนมาก

หากไม่ได้เห็นเองกับตา ตันคุยก็ไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่าเด็กสาวคนนี้คือหวนเจ๋อ แต่ก่อนนางจะต้องนั่งตัวตรง ไม่รู้ว่าปล่อยตัวตามสบายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร

เขาเบนสายตากลับไปหาเผยยวนอีกครั้ง คิดอย่างไรก็แปลก เหตุใดนางถึงได้ชอบให้เจ้านี่อ่านหนังสือให้ฟังนักนะ? ทั้งยังเอาแต่อ่านเล่มเดิมซ้ำไปซ้ำมา ไม่เบื่อบ้างหรือ

หรือว่า…

ความคิดสว่างวาบขึ้นในสมองตันคุย เขายกมือกุมอกพลางโซเซถอยหลัง จวบจนชนโคนต้นไม้ถึงได้หยุด

ไม่ใช่กระมัง นางถูกใจเจ้าหนุ่มนี่อย่างนั้นหรือ!

ตันคุยรับไม่ได้ รู้สึกยากจะทำใจเหมือนต้องยกบุตรสาวที่ฟูมฟักเลี้ยงดูมากับมือตั้งแต่เล็กจนโตให้แต่งงานกับบุรุษผู้ไม่เอาไหน!

ขณะกำลังวิตกจริตอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ก็มีคนจิ้มไหล่เขาจากข้างหลัง ตันคุยหันไปมองอย่างหงุดหงิด พอเห็นฝ่ายตรงข้ามก็รีบคารวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฉางอันจวิน”

ช่วงไว้ทุกข์ของอดีตจ้าวหวังสิ้นสุดลงแล้ว แต่พระพันปียังเศร้าระทมไม่สิ้นสุด ระยะนี้จ้าวจ้งเจียวจึงต้องเข้าวังหลวงบ่อยครั้งเพื่อปลอบโยนมารดา เห็นได้ชัดว่านี่ก็เพิ่งกลับมาเมื่อครู่ เขายังอยู่ในชุดทางการอันแสนซับซ้อน รัดเกล้าทองขับเน้นใบหน้าหมดจดให้ดูสุขุมขึ้น ความเป็นเด็กลดน้อยลงมาก

คงเพราะได้ยินเสียงอ่านหนังสือจากในเรือน จ้าวจ้งเจียวจึงเอียงหัวมองเข้าไปข้างใน ก่อนจะดึงสายตากลับมายิ้มๆ “ได้ยินว่าช่วงนี้ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมักจะขลุกอยู่กับเผยยวนเสมอ”

ตันคุยพยักหน้ารับว่าเป็นเช่นนั้น

“เห็นเซินซีบอกว่าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อกำลังพยายามมัดใจเผยยวนเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง ทั้งคู่จึงตัวติดกันตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร”

หากมิใช่เพราะเคยเห็นฤทธิ์เดชตอนจ้าวจ้งเจียวเล่นงานคนอื่นแบบไม่สนใจใครมาแล้ว ตันคุยจะต้องเชื่อว่ารอยยิ้มอารีและน้ำเสียงอ่อนโยนนี้เป็นของจริงแน่ “ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยขอรับ ฉางอันจวินโปรดอย่าได้เชื่อคำพูดของคนจิตใจต่ำทราม ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมาทำงานให้ท่าน จะมีเจตนาเป็นอื่นได้อย่างไร”

“เช่นนั้นหรือ” จ้าวจ้งเจียวเบี่ยงตัว “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ประจันหน้ากันเองเถอะ ข้าขอดูอย่างเดียวพอ”

ตันคุยเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย รูปร่างสันทัด สวมเสื้อผ้าสีดำ แววตาแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน จะต้องเป็นเซินซีคนนั้นแน่นอน

“เจ้าว่าใครจิตใจต่ำทราม”

มือกระบี่หนุ่มหลุบตามองอีกฝ่าย เป็นเช่นนี้ให้เขารับมือสิบคนพร้อมกันยังได้ แต่เขาคร้านจะมีเรื่องมีราวด้วย

“ว่าอย่างไร พูดไม่ออกสินะ” เซินซีหันไปคารวะจ้าวจ้งเจียว “นายท่านปราดเปรื่อง หวนเจ๋อเพิ่งจะอายุแค่นี้ มีดีอะไรถึงได้เข้ามาอยู่ในจวน ท่านเก็บคนคนนี้ไว้ จะต้องกลายเป็นภัยในวันข้างหน้าแน่”

ฉางอันจวินขึ้นไปนั่งยองๆ บนหินก้อนใหญ่ที่อยู่อีกด้าน มือหนึ่งกระพืออกเสื้อเหมือนร้อน ขณะพยักหน้ายิ้มๆ

เซินซีเห็นเจ้านายทำทีคล้อยตามก็ยิ่งเอาใหญ่ “หากหวนเจ๋อมีความสามารถจริง เข้ามาอยู่ในจวนแล้วเหตุใดถึงไม่ตั้งใจทำงานรับใช้นายท่าน กลับเอาแต่ขลุกอยู่กับเผยยวนทั้งวัน ซีคิดว่านางมีแต่ชื่อเสียงกลวงๆ เท่านั้นเอง! ตามความเห็นของซี นายท่าน…”

“เซินซี!” เสียงตวาดพลันดังขึ้น

เจ้าของชื่อชะงัก หันไปมองก็เห็นเผยยวนกำลังเดินตรงเข้ามาหา ดวงตาถลึงกว้าง แก้มป่องด้วยความโกรธ ระหว่างเดินยังม้วนแขนเสื้อไปด้วย “ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ หากเจ้ากล้าว่าร้ายผู้ทรงภูมิหวนเจ๋ออีกแม้แต่ประโยคเดียว ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าเด็ดขาด เตรียมตัวรอได้เลย!”

เซินซีไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้มาก่อน จึงถอยหนีไปก้าวหนึ่งอย่างหวาดๆ “อะ…อะไรกัน ถึงกับกล้าต่อยกันเลยรึ!”

เผยยวนปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อฝ่ายตรงข้ามพลางตะบันหมัดใส่อย่างแรง “ต่อยแล้วมีปัญหาอะไรรึ! เจ้าถือว่าตนเองมีชาติกำเนิดสูงส่ง ดูถูกดูแคลนข้ายังพอว่า แต่นี่ถึงกับกล้าเหยียดหยามผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นว่าบัณฑิตสำนักข่งจื่อเราไม่ยอมถูกผู้อื่นรังแกง่ายๆ!”

อี้เจียงที่ตามออกมาเห็นสองคนซัดกันอุตลุดอยู่บนพื้น ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี

เซินซีเป็นลูกหลานชนชั้นสูงที่เก่งแต่ปาก ต่อยตีกับใครไม่เป็น ไม่ทันไรก็ถูกต่อยลงไปกองกับพื้นพลางร้องโหยหวน ก่นด่าเผยยวนว่าเสียแรงที่เล่าเรียนวิชาปราชญ์ สลับกับร้องขอความช่วยเหลือจากฉางอันจวินอย่างน่าเวทนา

อี้เจียงเลยเพิ่งรู้ว่าที่แท้จ้าวจ้งเจียวก็อยู่ด้วย นางเหลือบตามองไป พบว่าเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่งคนนั้นกำลังนั่งยองๆ อยู่บนก้อนหินใต้ต้นไม้

ไม่เพียงนั่งยองๆ บนก้อนหินอย่างไม่ห่วงหน้าตา ฝ่ายนั้นยังเอามือเท้าขมับมองนาง ไม่สนใจ ‘สถานการณ์ศึก’ ที่อยู่อีกด้านแม้แต่นิดเดียว

เวลานี้ใกล้เที่ยงแล้ว ร่มไม้ช่วยบดบังแสงอาทิตย์ ทว่ายังมีแสงบางส่วนเล็ดลอดลงมาตรงหน้าเฉลียง แม้อี้เจียงจะแต่งชุดบุรุษ แต่ผมหลุดรุ่ยร่าย เสื้อคลุมหลวมสบาย ดูนุ่มนวลกว่าเวลาแต่งตัวเรียบร้อยเต็มยศเป็นไหนๆ

จ้าวจ้งเจียวกวาดตามองอี้เจียงตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายรอบ ก่อนคลี่ยิ้มตรงมุมปาก “ที่แท้เจ้าก็เป็นสตรีจริงๆ”

อี้เจียงเตรียมตัวรับการโจมตีอยู่นาน นึกไม่ถึงว่าเขาจะโพล่งออกมาเช่นนี้ นางเม้มปากเล็กน้อย “ข้าก็ไม่เคยพูดว่าตนเองเป็นบุรุษ”

ฝ่ายตรงข้ามเลื่อนสายตามามองช่วงอกนางสองรอบ ก่อนจะยิ้มเป็นนัยพลางเบนสายตาไปทางอื่น

เลือดอุ่นๆ พลันฉีดขึ้นหน้าอี้เจียง หมายความว่าอย่างไร ข้ายังโตไม่เต็มที่ต่างหาก! เมื่อก่อนน่ะ…

“เอาล่ะ” จ้าวจ้งเจียวลุกขึ้น โบกมือให้ชายหนุ่มสองคนที่ต่อสู้กันอยู่บนพื้น “ผู้ทรงภูมิทั้งสองท่านพอแค่นี้เถอะ”

ตันคุยยืนกอดอกอมยิ้มมองอย่างสนุกสนานอยู่นาน พอได้ยินเช่นนั้นก็รีบเข้าไปแยกทั้งคู่

เผยยวนเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าผาก เขาหันไปคำนับจ้าวจ้งเจียวด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ยวนกับผู้ทรงภูมิหวนเจ๋ออ่านบทกวีเพื่อพูดคุยถึงวิชาความรู้ที่สาบสูญไปแล้ว แต่เซินซีกลับเอามาพูดเช่นนี้ ยวนโมโหจนควบคุมตนเองไม่อยู่จริงๆ นายท่านโปรดอภัยด้วย”

จ้าวจ้งเจียวยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าเข้าใจแล้ว ผู้ทรงภูมิอย่ากังวลไปเลย”

“นายท่านเชื่อพวกเขาง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร!” เซินซีเอามือกุมแก้มที่ปูดบวมพลางลุกขึ้นจากพื้น หัวหูเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมด

เผยยวนถลึงตาใส่เซินซีอีกครั้ง จ้าวจ้งเจียวรีบยกมือห้ามทัพ หันไปพูดกับเซินซี “ถ้าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อคิดจะมัดใจดึงคนเข้าเป็นพวกจริงอย่างที่เจ้าว่า ก็แสดงว่านางเก่ง ได้คนเช่นนี้มาใช้งาน ข้าควรดีใจถึงจะถูก”

เซินซีอึ้งไปจนพูดไม่ออก

“เอาล่ะ แยกย้ายกันเสียที ข้าอยู่ต่อไม่ไหวแล้ว ต้องรีบไปถอดไอ้ชุดนี่ออก” จ้าวจ้งเจียวยกแขนเสื้อขึ้นบังแดดเดินออกไป

เซินซีกวาดตามองสามคนที่เหลือ ไหนเลยจะกล้าอยู่ต่อ เอามือกุมแก้มวิ่งออกไปบ้าง

อี้เจียงเห็นรอยเลือดหลายรอยบนหลังมือเผยยวนก็กลั้นยิ้ม “รีบไปทายาเถอะ”

แก้มป่องของอีกฝ่ายคล้ายถูกปล่อยลมทันที ดวงตาที่มองอี้เจียงเป็นประกายวิบวับ “ผู้ทรงภูมิห่วงใยยวนถึงเพียงนี้ ยวนดีใจเหลือเกิน”

หนังตาของตันคุยกระตุกอย่างแรง เขาเดินเข้าไปใช้ฝ่ามือตบเข้าที่แผ่นหลังของชายหนุ่ม “มา ข้าจะทายาให้เจ้าเอง”

เผยยวนแทบหน้าคะมำลงไปจูบพื้น แต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวมือกระบี่ กลับเงยหน้าขึ้นยิ้มหวานมองอี้เจียงเหมือนเดิม ตันคุยเห็นแล้วต้องรีบลากอีกฝ่ายออกเดินด้วยความโมโห

อี้เจียงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในเรือน ถอนหายใจเฮือกเมื่อเห็นม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่ยังวางแผ่อยู่บนโต๊ะ

นางพยายามสุดชีวิตเพื่อจดหมายฉบับหนึ่ง แรกสุดขอให้เผยยวนคัดลอกหนังสือให้หนึ่งเล่ม จากนั้นก็ให้เขาอ่านต้นฉบับให้ฟัง ระหว่างนั้นนางก็ค่อยๆ จดจำตัวอักษรในฉบับคัดลอกตามที่เขาอ่าน

นี่เป็นวิธีโง่ๆ ที่ได้ผลยิ่ง เพราะถึงอย่างไรก็เป็นตัวอักษรจีนเหมือนกัน หลายตัวเหมือนตัวอักษรจีนในปัจจุบันมากทีเดียว ช่วงที่ผ่านมานางจำตัวอักษรได้ไม่น้อยแล้ว แต่เวลาเขียนออกจะทุลักทุเลอยู่สักหน่อย เพื่อให้เขียนคล่องมือโดยเร็ว นางต้องแอบฝึกเขียนเวลาอยู่คนเดียวตอนกลางคืน ไม่ให้ตันคุยจับได้

เฮ้อ ถ้าสมัยก่อนขยันได้เท่านี้ คงสอบติดมหาวิทยาลัยชิงหวาไปนานแล้ว

อี้เจียงมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าไม่มีใครก็รีบเอาจดหมายของกงซีอู๋ออกมาลองอ่าน

ถึงจะรู้ตัวหนังสือไม่น้อยแล้ว แต่รูปประโยคที่ยากแก่การเข้าใจก็ยังทำให้นางปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ดี สุดท้ายนางอ่านรู้เรื่องแค่ไม่กี่คำ หนึ่งในนั้นคือ ‘ฉางอันจวิน’

คนที่โยนนางเข้าคุกกลับยังเขียนจดหมายติดต่อกับนาง แค่นี้ก็ไม่ชอบมาพากลมากแล้ว นี่ยังเอ่ยถึงผู้อุปถัมภ์ของนางอีก พออี้เจียงนึกถึงความเป็นไปได้ก็ตกใจจนเหงื่อออกเต็มหลัง

ตันคุยบอกว่าจดหมายฉบับนี้เขาไปเอามาจากบ้านพักของสหายคนหนึ่งในคืนแรกที่มาพักในจวนฉางอันจวิน กงซีอู๋ฝากจดหมายให้คนอื่นช่วยส่งต่อ น่าจะยังไม่รู้ว่านางออกจากคุกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเอ่ยถึงฉางอันจวินในจดหมาย ก็หมายความว่าเขารู้ดีเรื่องที่นางมีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด

จนถึงตอนนี้อี้เจียงก็ยังไม่รู้ว่ากงซีอู๋อยู่ที่ใด ทำอะไร แต่เขากลับรู้เรื่องของนางโดยละเอียด

คนคนนี้น่ากลัวอยู่เหมือนกัน…

ไม่รู้ว่าตันคุยทายาล้ำค่าอะไรให้เผยยวนกันแน่ เขาถึงได้กลับมาอีกทีตอนฟ้ามืด เรือนของอี้เจียงไม่ได้จุดตะเกียง เขาหยุดมองตรงประตูสักพักถึงค่อยเดินเข้ามา

“แม่นาง?”

“ข้าอยู่นี่”

ร่างหนึ่งขยับอยู่ด้านหลังโต๊ะ ตันคุยรีบหาตะเกียงมาจุด แสงไฟสว่างวาบขึ้นมาส่องสะท้อนใบหน้าคมเข้มร่างกายบึกบึนของเขา

เขาจะไม่พูดเด็ดขาดว่าเมื่อครู่ตนไปข่มขู่เผยยวนมา!

“ตันคุย” อี้เจียงไม่ได้สนใจสีหน้าของตันคุยแม้แต่นิดเดียว นางนั่งตัวตรง มองเขาอย่างเคร่งเครียด “เจ้าว่า…ถ้าข้าอยากประสานรอยร้าว กงซีอู๋จะยอมรับไมตรีหรือไม่”

ชายหนุ่มชะงัก จากนั้นก็หัวเราะลั่น “แม่นางกับผู้ทรงภูมิกงซีเปรียบเสมือนเหลียนพัวกับลิ่นเซียงหรู แล้วท่านคิดว่าอย่างไรเล่า”

นางถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอก “เจ้าหมายความว่าถ้ามีโอกาสให้ไถ่โทษแบบ ‘แบกกิ่งต้นจิงขอขมา’ ความสัมพันธ์ของพวกเราก็จะกลับไปดีเช่นเดิมได้ใช่หรือไม่”

อีกฝ่ายทวนคำด้วยความฉงน “แบกกิ่งต้นจิงขอขมา? อะไรคือแบกกิ่งต้นจิงขอขมากันหรือขอรับ”

“เหลียนพัวแบกกิ่งต้นจิงขอขมาอย่างไรเล่า!”

ตันคุยส่ายหน้า “คุยไม่เคยได้ยินเรื่องเหลียนพัวแบกกิ่งต้นจิงขอขมามาก่อนเลย ใครก็รู้กันทั้งนั้นว่าความสัมพันธ์ระหว่างลิ่นเซียงหรูกับเหลียนพัวเลวร้ายมาก ไม่เคยดีต่อกันสักครั้ง แม้ความสัมพันธ์ของแม่นางกับผู้ทรงภูมิกงซีจะไม่เลวร้ายเท่าพวกเขาสองคน แต่ศิษย์สำนักกุ่ยกู่ตั้งตัวเป็นอริกันเองเสมอ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

“หา?” อี้เจียงตกตะลึงกับประเด็นสำคัญที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญนี้

แม้แต่เด็กสามขวบยังรู้จักตำนานเรื่องเหลียนพัวแบกกิ่งต้นจิงขอขมา แต่ตันคุยกลับบอกว่าไม่เคยได้ยิน นี่จะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว อี้เจียงตกใจจนลืมจดหมายของกงซีอู๋ไปโดยสิ้นเชิง

เรื่องนี้ทำให้อี้เจียงนอนหลับไม่สนิทไปตลอดทั้งคืน และตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้นด้วยขอบตาดำคล้ำ เรียกสาวใช้มาลองถามอยู่หลายคน พวกนางก็พากันส่ายหน้ากันหมด

ยังไม่ถึงเวลาหรือไรนะ อี้เจียงครุ่นคิด ถ้าอย่างไรหาโอกาสไปถามเผยยวนดีกว่า

 

ตอนบ่ายลมพัดผ่านสวนที่เต็มไปด้วยแมกไม้ดังแซกซ่า อี้เจียงเดินออกไปถึงหน้าประตู เห็นตันคุยกำลังฝึกกระบี่อยู่ก็ยืนมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น น่าเสียดายที่พออีกฝ่ายเห็นนางเข้าก็หยุดฝึก

“เหตุใดแม่นางถึงไม่พักผ่อนสักหน่อยเล่า”

อี้เจียงไม่ชอบนอนกลางวัน จึงส่ายหน้า “ข้าจะไปหาเผยยวน”

ตันคุยตวัดกระบี่พลางถือแนบไปข้างหลัง แล้วก้าวยาวเข้ามาหา “แม่นางอย่าไปนะ!”

นางชะงัก “เพราะเหตุใดเล่า”

“เอ่อ…ข้าหมายความว่าประเดี๋ยวข้าไปตามเขามาที่นี่ให้ แม่นางไม่ต้องไปเองหรอก”

อี้เจียงพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน รบกวนด้วย”

ตันคุยก้าวเร็วๆ ออกไปโดยไม่พูดไม่จา

อี้เจียงกลับเข้าไปนั่งรอในเรือนพลางเตรียมแต่งคำพูดเอาไว้ในใจ อีกประเดี๋ยวจะได้ถามหาคำตอบที่ตนเองต้องการได้โดยไม่มีพิรุธ

ตันคุยกลับมาในเวลาไม่นาน แล้วยืนส่ายหน้าให้อี้เจียงอยู่ตรงหน้าประตู “เผยยวนกำลังยุ่งขอรับ ไม่มีเวลามาหาแม่นาง ข้าว่าไว้คราวหน้าดีกว่า”

อี้เจียงนึกในใจว่า…มิน่าเล่า วันนี้ถึงได้ไม่โผล่มาเลย ปกติเปิดประตูออกไปก็เห็นแล้ว ออกจะขยันมากกว่าใคร

พอถึงเวลาอาหารเย็น อี้เจียงก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก จึงจะไปหาเผยยวน แต่เพิ่งเดินออกจากเรือนก็ถูกตันคุยดักไว้อีกครั้ง

“แม่นางนั่งรอเถอะ ข้าจะไปเชิญเผยยวนมาให้”

อี้เจียงเลยต้องนั่งรอ ปรากฏว่าตันคุยกลับมารายงานเช่นเดิม “เผยยวนยุ่งมากเลยขอรับ แม่นางคงต้องรอต่อไป”

นางอ่อนอกอ่อนใจ เจ้านั่นกำลังยุ่งอะไรของเขากันนะ

หลังจากนั้นเผยยวนก็ไม่โผล่มาให้เห็นหลายวันติดกัน จนอี้เจียงค่อยๆ ลืมปัญหาข้อนี้ไปจากสมอง แต่ละวันนางจะตั้งใจฝึกคัดตัวหนังสือที่อ่านออกแล้ว ลายมือจึงไม่น่าเกลียดเหมือนเดิมอีก

อากาศแปรปรวนง่าย คืนนั้นลมแรง ฝนตกลงมาห่าใหญ่

อี้เจียงนอนหลับไม่สนิท ไม่รู้ว่าเริ่มคล้อยหลับตั้งแต่เมื่อไร ทันใดนั้นเสียงตบประตูดังลั่นก็ทำให้นางสะดุ้งตื่นแล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง ได้ยินตันคุยตะโกนเรียกอยู่ข้างนอก “แม่นาง! ฉางอันจวินเรียกให้ไปพบด่วนขอรับ!”

นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวจ้งเจียวเรียกอี้เจียงไปพบ นางตบแก้มไล่ความง่วงงุน ปั้นหน้าแสดงท่าทีสูงส่งเยือกเย็นเตรียมตัวรับศึก ก่อนจะเปิดประตูเดินตามตันคุยออกไป

ข้างนอกมืดสนิท ตันคุยยืนอยู่ตรงหน้าประตู กางร่มบังโคมไฟที่ถืออยู่ในมือ หัวไหล่เขาเปียกฝนไปกว่าครึ่ง

อี้เจียงเดินกระย่องกระแย่งตามตันคุยไปยังเรือนด้านหน้า ชุดยาวกรุยกรายนี่ช่างลำบากชีวิตจริงๆ ต้องเดินไปพลางต่อสู้กับชายเสื้อคลุมไปพลางตลอดทาง กว่าจะถึงที่หมายก็เปียกซ่กตั้งแต่รองเท้าขึ้นมาจนถึงหน้าแข้ง

ห้องโถงจุดไฟสว่างไสว ตั้งโต๊ะเรียงกันเป็นสองแถว มีจานอาหารที่กินเหลือวางอยู่บนโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเลิกงานเลี้ยงไปหมาดๆ

จ้าวจ้งเจียวนั่งเอนร่างอยู่หลังโต๊ะด้านบน ปล่อยผมยาวสยาย ท่อนบนห่มเสื้อคลุมสีขาวพิสุทธิ์ ในมือถือตะเกียบข้างหนึ่งหมุนไปเรื่อยๆ อย่างใจลอย คงสำรวมขึ้นบ้างจากที่ถูกพระพันปีสั่งสอนมาเมื่อครั้งก่อน จึงไม่ได้สวมชุดสีแดงสด แต่มองดูดีๆ ก็ยังเป็นชุดสตรีเช่นเดิม

เพิ่งจะอายุเท่านี้ก็เอาแต่สนุกอยู่ในงานเลี้ยงทุกคืน สมแล้วที่เป็นเชื้อพระวงศ์ อี้เจียงวิจารณ์อยู่ในใจ ขณะคำนับเขาอย่างเคร่งขรึม

จ้าวจ้งเจียวเหลือบตามอง ยังไม่ทันพูดอะไรก็ถอนหายใจเฮือก

อี้เจียงเพิ่งเคยเห็นจ้าวจ้งเจียวเป็นเช่นนี้ครั้งแรก จึงถามด้วยความสงสัย “ดูเหมือนนายท่านจะมีเรื่องกลุ้มใจ?”

ตะเกียบในมือจ้าวจ้งเจียวถูกโยนใส่กาบนโต๊ะเสียงดังแกร๊ง “แคว้นฉินบุกตีแคว้นจ้าว ผู้ทรงภูมิมีความเห็นเช่นไร”

อี้เจียงแทบรักษาท่าทางอันสูงส่งเยือกเย็นเอาไว้ไม่อยู่ พอเขาอ้าปากพูดก็ถามคำถามที่ยากเพียงนี้ จะกลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว

จ้าวจ้งเจียวในอาภรณ์สตรีนั่งหน้าอมทุกข์หลุบตาลงต่ำ อี้เจียงเห็นแล้วยังนึกเวทนา “แคว้นฉินไม่เพียงจะโจมตีเมืองสามเมืองของแคว้นจ้าว ยังคุมตัวผิงหยวนจวินอาของข้าเอาไว้ด้วย ตอนนี้ในราชสำนักกำลังหาวิธีรับมืออยู่ เสด็จพี่ห่วงแต่จะรักษาสันติอย่างเดียว ไม่มีความคิดอื่น ข้าควรต้องช่วยเสด็จแม่แบ่งเบาปัญหาถึงจะถูก”

อี้เจียงนึกในใจว่า…มิน่าเล่า จนป่านนี้ผิงหยวนจวินก็ยังไม่ติดต่อมาไถ่ถามข้าเลย ที่แท้ก็ถูกเชิญไปดื่มชาที่แคว้นฉินนี่เอง

จ้าวจ้งเจียวรออยู่นานแต่ไม่เห็นอีกฝ่ายตอบก็หงุดหงิดอยู่ในใจ ดวงตาคมกริบราวกับใบมีดจึงเหลือบมองนางอีกครั้ง “ผู้ทรงภูมิไม่มีวิธีรับมือดีๆ บ้างหรือ”

อี้เจียงลอบกลืนน้ำลายลงคอ แล้วบังคับตนเองให้เยือกเย็นเข้าไว้ “สองแคว้นเปิดศึกกันเป็นเรื่องใหญ่ หวนเจ๋อไม่กล้าออกความเห็นสุ่มสี่สุ่มห้า นายท่านโปรดอภัยด้วย”

สีหน้าของจ้าวจ้งเจียวผ่อนคลายขึ้น ก่อนจะแค่นเสียงหึขึ้นจมูก “ถึงอย่างไรผิงหยวนจวินก็เป็นเจ้านายเก่าของผู้ทรงภูมิ ผู้ทรงภูมิจะนิ่งดูดายไม่ช่วยเขาไม่ได้นะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว” เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาตามแผ่นหลังของอี้เจียง

ตอนที่เดินออกจากห้องโถงใหญ่ ฟ้าเริ่มสว่างเล็กน้อย แต่ฝนยังตกกระหน่ำเหมือนเดิม ดอกไม้ใบหญ้าล้วนคอตก ลู่กลีบลู่ใบอย่างยอมสยบ น้ำฝนกระฉอกเป็นแอ่งเล็กๆ ไปทั่วทางเดินโรยกรวด

อี้เจียงกางร่มเดินตามตันคุยกลับเรือนอย่างหงอยเหงาซึมกะทือมาตลอดทาง พอถึงส่วนหลังของจวนก็ได้ยินเสียงเผยยวนอยู่ใกล้ๆ นางถึงค่อยเงยหน้าขึ้น

ตันคุยที่เดินนำหันขวับ รีบกางแขนกันไม่ให้อี้เจียงเดินต่อ “แม่นางระวังด้วย พวกเราเดินอ้อมไปด้านข้างดีกว่า”

ท่าทางเขาเหมือนประกาศว่า ‘ข้างหน้าเป็นเขตอันตราย ใครไม่ใช่ทหารรีบหนีไปให้ไกล’ อี้เจียงเห็นแล้วรู้สึกแปลกๆ “อยู่ดีๆ จะเดินอ้อมด้วยเหตุใดกัน ข้าได้ยินเสียงเผยยวนด้วย กำลังอยากเจอตัวเขาอยู่พอดี”

มือกระบี่หนุ่มเข้ามาขวางนางไว้อีกครั้ง “ทางอ้อมใกล้กว่าขอรับ”

ระหว่างที่พูดกันอยู่นั้น เผยยวนก็เดินมาพอดี เห็นอี้เจียงจึงรีบปรี่เข้ามาหา แม้แต่ร่มยังโยนทิ้งอย่างไม่สนใจ “ผู้ทรงภูมิ ในที่สุดก็ได้เจอท่านเสียที!”

นางชูร่มให้สูงขึ้นเพื่อกันฝนให้เขาด้วย “ข้าควรเป็นคนพูดประโยคนั้นมากกว่า ช่วงนี้เจ้าเอาแต่ยุ่งทำอะไรอยู่”

“ยวนไม่ยุ่งเลยสักนิด แต่จนใจที่…” เขาตวัดตามองตันคุยที่ยืนอยู่อีกด้าน พูดอย่างไม่พอใจ “แต่จนใจที่ท่านตันคุยคอยมาขวาง ไม่ให้ยวนพบผู้ทรงภูมิ”

อี้เจียงเหลือบมองมือกระบี่ “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน”

“เป็นเช่นนี้จริงๆ ขอรับ!” เผยยวนยืดอก จ้องหน้าตันคุยตรงๆ “ความปรารถนาของยวนมีแค่ได้พูดคุยกับผู้ทรงภูมิเรื่องสำคัญของแผ่นดินเท่านั้น เหตุใดท่านตันคุยต้องคอยขัดขวางตลอดด้วย”

ชายหนุ่มอีกคนแค่นจมูกเสียงดังหึ “พูดคุยน่ะเมื่อไรก็พูดคุยได้ ไม่เห็นต้องคอยตามติดแม่นางทั้งวันสักนิด”

เผยยวนกระทืบเท้าด้วยความโมโห “นั่นเป็นการถกกันเรื่องวิชาความรู้ที่สาบสูญไปแล้วต่างหาก!”

น้ำโคลนบนพื้นกระเซ็นออกมาจากใต้เท้าเผยยวน อี้เจียงรีบห้าม “เอาล่ะๆ ข้าว่าตันคุยคงเข้าใจผิดมากกว่า ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดคุยกับข้า…” นางหมุนตัวทำท่าจะเดินออกไป แล้วพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงดึงแขนเสื้อเผยยวน “ถ้าจะพูดคุยก็ทำกันตอนนี้เลยดีกว่า”

“จริงหรือ!” เผยยวนก้มลงมองแขนเสื้อที่ถูกอี้เจียงดึงไว้ ท่าทางตื่นเต้นจนแทบควบคุมตนเองไม่อยู่ “ดีขอรับๆๆ!”

ตันคุยได้แต่ยืนหางตากระตุกริกๆ อยู่คนเดียวโดยไม่มีใครสนใจ รู้สึกหดหู่สิ้นหวังอย่างยากจะบรรยาย

อี้เจียงพาเผยยวนไปที่เรือน ทั้งยังเชิญเขานั่งทันทีโดยไม่สนใจว่าควรไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

แต่เผยยวนพิถีพิถันกว่าอี้เจียงมาก แรกสุดเขาจัดแจงจุดกำยานด้วยตนเอง เทเครื่องหอมสำหรับชงชาตรงหัวโต๊ะ จากนั้นก็จัดแขนเสื้อให้เรียบร้อย นั่งลงตรงข้ามอี้เจียงถึงค่อยเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าผู้ทรงภูมิจะเริ่มพูดคุยจากตรงที่ใดดี”

นางทำทีเป็นเปรยขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจ “พอดีข้าได้ยินว่าแคว้นฉินบุกแคว้นจ้าว เจ้ามีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร”

เผยยวนตบเข่าฉาด “ยวนเองก็เพิ่งทราบเช่นกัน เมื่อครู่ก็ตั้งใจจะมาคุยเรื่องนี้กับผู้ทรงภูมินี่แหละ”

“ถ้าอย่างนั้นก็พอดีเลย ข้าอยากฟังความเห็นของเจ้า” จะได้เก็บเอาไว้อ้างอิง อี้เจียงเสริมอยู่ในใจ

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ท่าทางเคร่งเครียดจริงจัง ทำเอาอี้เจียงรู้สึกไม่ชินชอบกล เพราะปกติเห็นแต่ท่าทางตื่นเต้นระริกระรี้ของเจ้าตัว

“มหาอำมาตย์ฟั่นจวีของแคว้นฉินมีความแค้นกับมหาอำมาตย์เว่ยฉีของแคว้นเว่ย ที่ฉินตีจ้าวในครั้งนี้น่าจะเป็นเพราะผิงหยวนจวินให้การอุปการะเว่ยฉี ขอเพียงส่งหัวของเว่ยฉีไปให้แคว้นฉิน ทั้งผิงหยวนจวินและแคว้นจ้าวก็จะรอดพ้นปัญหาครั้งนี้ไปได้ แต่วิญญูชนต้องประพฤติตัวมีคุณธรรม การส่งหัวของเว่ยฉีไปให้แคว้นฉินเท่ากับสูญเสียคุณสมบัติของวิญญูชน”

อี้เจียงฟังเข้าใจ ว่าไปก็น่าขัน แคว้นฉินโจมตีแคว้นจ้าวโดยอ้างว่าแก้แค้นแทนมหาอำมาตย์ของตน แค่นี้ก็ไร้คุณธรรมแล้ว มีแต่บัณฑิตสำนักข่งจื่อนั่นแหละที่คิดถึงคำนี้ “ตามความเห็นของเจ้า ควรจะรับมือเช่นไร”

เผยยวนส่ายหน้า “ทัพฉินเหี้ยมหาญดุดันราวกับเสือร้าย ยกทัพมาคราวนี้ถ้าไม่ได้ผลประโยชน์คงไม่ยอมกลับไปแน่”

นางเอามือเท้าคาง เท่ากับว่าไม่มีทางออกที่ไร้ข้อเสียน่ะสิ น่ากลัดกลุ้มเหลือเกิน

ฝ่ายตรงข้ามสังเกตสีหน้าอี้เจียง จึงพูดขึ้นอย่างตรึกตรอง “ผู้ทรงภูมิมีความเห็นอย่างไรก็ชี้แนะยวนบ้างสิขอรับ”

อี้เจียงทำหน้าเคร่ง “ความเห็นน่ะ…มีอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ซับซ้อนเกินไป อธิบายลำบาก เอาไว้วันหลังพวกเราค่อยมาคุยกันโดยละเอียดดีกว่า”

เผยยวนห่อเหี่ยวทันที ตอบกลับไปอย่างหงอยเหงา “สุดท้ายผู้ทรงภูมิก็ยังไม่ยอมคุยกับยวนอย่างสนิทสนมอยู่ดี เฮ้อ…”

นางรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่นะ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน ข้ารับปากเจ้าแล้ว จะกลับคำทีหลังได้อย่างไรเล่า”

ได้ยินเช่นนี้ พลังชีวิตของชายหนุ่มจึงค่อยฟื้นคืนมาอีกครั้ง เผยยวนเทชาใส่ถ้วย ใช้สองมือประคองไปตรงหน้านาง “ผู้ทรงภูมิกล่าวเช่นนี้ยวนก็สบายใจ ยวนยังมีอีกเรื่องอยากขอร้อง ไม่ทราบว่าผู้ทรงภูมิจะรับปากได้หรือไม่”

ชาที่นี่รสชาติแปลกพิลึกจนอี้เจียงดื่มไม่ลง นางแสร้งทำท่ายกถ้วยชาขึ้นแตะริมฝีปากแค่นิดเดียวก็วาง “เรื่องอะไรล่ะ ลองว่ามาสิ”

เผยยวนอมยิ้ม ดวงตาเป็นประกายวาววับภายใต้แสงเทียน “ยวนหวังว่าสักวันผู้ทรงภูมิจะช่วยแนะนำยวนให้รู้จักกับผู้ทรงภูมิกงซี ศิษย์พี่ของท่าน”

อี้เจียงชะงัก คิดไม่ถึงว่าเผยยวนจะพูดถึงคนคนนี้

สายตาที่อีกฝ่ายมองอี้เจียงค่อยๆ เลื่อนลอยขึ้นทีละน้อย “ตอนนั้นยวนโชคดีได้เจอผู้ทรงภูมิกงซีครั้งหนึ่ง ยังจำความสง่างามของท่านได้ติดตาไม่รู้ลืม สำนักกุ่ยกู่มีศิษย์ที่โดดเด่นเก่งกาจอย่างผู้ทรงภูมิกงซี ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อก็เช่นกัน ดังนั้นความเคารพนับถือที่ยวนมีต่อผู้ทรงภูมิจึงมาจากใจจริง”

อีกฝ่ายเอ่ยชมนางแท้ๆ แต่อี้เจียงกลับสบถอยู่ในใจจนสิงสาราสัตว์นับพันตัวออกมาวิ่งพล่าน

อะไรกัน ที่แท้เจ้านี่ก็ไม่ได้คลั่งไคล้ข้า แต่คลั่งไคล้กงซีอู๋!

แต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์อันสูงส่งเยือกเย็น นางจึงได้แต่รับคำว่าอืมด้วยสีหน้าราบเรียบ “ให้ข้าได้เจอศิษย์พี่ก่อนแล้วกัน เรื่องแค่นี้ไม่ยากหรอก ไม่ยาก…”

 

ฝนตกติดต่อกันอยู่หลายวันถึงจะยอมหยุด ไอร้อนกลับมาพร้อมแสงแดดอีกครั้ง

ช่วงนี้อี้เจียงอารมณ์ขุ่นมัวตลอด ประการแรกคือวันนั้นนางใช้แผนถ่วงเวลากับจ้าวจ้งเจียว ไม่รู้ว่าเขาจะเร่งให้นางคิดวิธีรับมืออีกเมื่อไร ประการที่สองเป็นเพราะระยะนี้เผยยวนชอบเอาแต่พูดถึงกงซีอู๋กับนางอย่างไม่คิดจะยั้งปาก

คิดแล้วก็สงสารตนเองเหลือเกิน สาวกที่มีความคลั่งไคล้สูงเพียงนี้ แต่กลับไม่ได้ชอบนาง

วันนี้ ‘สาวก’ ก็มา ‘ถกวิชาความรู้ที่สาบสูญ’ แต่เช้าอีกแล้ว อ่านหนังสือไปได้สักพัก เผยยวนก็มองออกไปนอกหน้าต่าง คงเพราะไม่เห็นตันคุย จึงยิ้มกริ่มพลางล้วงม้วนหนังสือไม้ไผ่ออกจากอกเสื้อ “ผู้ทรงภูมิ ยวนมีอะไรอยากให้ท่านดู”

อี้เจียงเงยหน้าขึ้นจากฉบับสำเนาที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือแน่นขนัด “อะไรหรือ”

อีกฝ่ายใช้สองมือประคองม้วนหนังสือไม้ไผ่มาให้ “นี่เป็นข้อเขียนที่ยวนตั้งอกตั้งใจเขียนขึ้น อยากขอให้ผู้ทรงภูมิช่วยชี้แนะ”

นางคลี่ออกมาอ่าน ตัวหนังสือบางตัวไม่คุ้นเคยก็ต้องใช้การคาดเดาเข้าช่วย จึงอ่านได้ช้า แต่ในสายตาเผยยวน เขากลับมองว่านางตั้งใจอ่านข้อเขียนของตนอย่างจริงจัง จึงทั้งตื่นเต้นทั้งตื้นตันอย่างยิ่ง

การฝึกจำตัวอักษรอย่างเร่งรัดในช่วงที่ผ่านมาพอจะเห็นผลอยู่บ้าง อี้เจียงจึงอ่านรู้เรื่องคร่าวๆ แต่นึกค้านอยู่ในใจ

เผยยวนเป็นบัณฑิตสำนักข่งจื่อ จึงใช้คุณธรรมจรรยามองทุกสิ่งทุกอย่าง นี่เป็นยุคจั้นกั๋ว คุณธรรมและจรรยาไม่มีทางสำคัญไปกว่าการขยายดินแดน ในสายตานาง มุมมองของเขาออกจะล้าหลังและโง่เขลานิดๆ เสียด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าหากอยู่ในฐานะอี้เจียง นางสามารถแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา แต่ตอนนี้นางคือหวนเจ๋อ จะพูดตามใจชอบไปทุกเรื่องไม่ได้ ดังนั้นหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยแค่ “ข้าคิดว่ามีเหตุผลดี เจ้าน่าจะเอาไปให้นายท่านอ่านนะ”

เผยยวนตาเป็นประกาย ใบหน้าแดงเรื่อ “ถ้ากระทั่งผู้ทรงภูมิยังกล่าวเช่นนี้ ยวนก็จะเอาไปให้นายท่านอ่าน” พูดจบก็วิ่งตึงตังออกไป

อี้เจียงลูบจมูก ในเมื่อจ้าวจ้งเจียวเก็บเผยยวนไว้ในจวนก็แสดงว่าต้องชื่นชมมุมมองของเขา น่าจะอ่านแล้วชอบกระมัง

อยู่ๆ หัวของตันคุยก็โผล่มาตรงหน้าต่าง เกยคางไว้บนกรอบไม้ มองร่างเผยยวนที่วิ่งไปทางประตูเรือนพลางพูดฉุนๆ “ในที่สุดเจ้านี่ก็ไปได้เสียที”

“…”

น่าเสียดายที่ตันคุยดีใจเร็วเกินไป เพียงครู่เดียวเผยยวนก็วิ่งกลับมา ทั้งยังร้องเรียกอี้เจียงอยู่ตรงหน้าประตู “ผู้ทรงภูมิ ผู้ทรงภูมิ มานี่เร็วเข้า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

อี้เจียงกังวลเป็นทุนเดิม พอได้ยินดังนั้นก็ใจเต้นแรง รีบลุกพรวดขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น!” อย่าบอกนะว่าแคว้นฉินบุกมาถึงหน้าบ้านเร็วเพียงนี้?

เผยยวนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาดึงแขนเสื้ออี้เจียง “ผู้ทรงภูมิตามยวนไปก็จะทราบเอง เร็วเข้า!”

นางเลยปล่อยให้อีกฝ่ายลากออกจากเรือน

ตันคุยที่อยู่หลังบานหน้าต่างเผยสีหน้าเหลืออด รีบตามออกไปบ้าง

เผยยวนลากอี้เจียงวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทาง จนถึงลานหน้าห้องโถงใหญ่จึงหยุด บ่าวไพร่คุกเข่าอยู่บนพื้นเป็นแถบ รอบตัวเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงสะอื้นเบาๆ

อี้เจียงพาร่างเล็กบางของตนเบียดขึ้นไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก พอเห็นภาพที่เกิดขึ้น นางก็ต้องรีบเอามือปิดปากกลั้นเสียงร้อง

ข้ารับใช้คนหนึ่งนอนตะแคงอยู่บนพื้น เอามือกุมแขนที่เหลือครึ่งท่อนสะอึกสะอื้นด้วยลมหายใจรวยริน บนพื้นเจิ่งนองไปด้วยเลือด ถัดออกไปคือแขนครึ่งท่อนที่ถูกฟันขาด นางค่อยๆ ไล่สายตาตามแอ่งเลือดขึ้นไปถึงปลายกระบี่ จนเห็นจ้าวจ้งเจียวผู้กำลังเดือดดาลในชุดทางการเต็มยศและรัดเกล้าทอง

“ผู้ทรงภูมิ” เผยยวนสะกิดนางเบาๆ “รีบห้ามนายท่านเร็วเข้า ถ้าท่านพูด นายท่านต้องยอมฟังแน่”

สมองของอี้เจียงเต็มไปด้วยแอ่งเลือดสีแดงฉาน ฝ่ามือมีแต่เหงื่อ นางจะรู้หรือว่าควรพูดอะไร แต่ข้ารับใช้คนนั้นท่าทางร่อแร่เต็มทีแล้ว คนอื่นก็ไม่เข้าไปห้ามปราม นางทนมองต่อไปไม่ไหว ต้องแข็งใจแสร้งทำท่าเยือกเย็นถามขึ้นว่า “นายท่าน…เหตุใดถึงได้โมโหเพียงนี้”

จ้าวจ้งเจียวเหลือบตามองมา อี้เจียงทำท่าจะถอยหนีโดยไม่รู้ตัว โชคดีเผยยวนยืนอยู่ข้างหลังติดกัน นางจึงไม่เสียกิริยา

“รบกวนผู้ทรงภูมิจนได้” ฝ่ายตรงข้ามแค่นเสียงหัวเราะ “ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้สึกเกะกะลูกตา เลยคว้ากระบี่มาฟันข้ารับใช้คนหนึ่ง ผู้ทรงภูมิอย่าใส่ใจไปเลย”

“…” อี้เจียงพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่นางมองว่าไร้เหตุผลกลับเป็นเรื่องปกติของที่นี่

เผยยวนทนไม่ไหว ก้าวออกมาประสานมือคำนับ “นายท่านโปรดอย่าได้โมโห ในเมื่อลงโทษไปแล้ว ครั้งนี้ก็ปล่อยเขาไปเถอะขอรับ”

“ผู้ทรงภูมิทั้งสองขอร้องด้วยตนเอง ข้าย่อมเห็นแก่พวกท่านอยู่แล้ว” จ้าวจ้งเจียวโยนกระบี่ทิ้งแล้วโบกมือ ข้ารับใช้คนนั้นถูกหามออกไปในที่สุด

คนอื่นๆ เห็นเช่นนั้นก็พากันแยกย้าย ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้

จ้าวจ้งเจียวยังคงหน้าตาบูดบึ้งราวกับทั่วทั้งตัวอัดแน่นด้วยไฟโทสะ เขาเดินกลับไปกลับมา ก่อนจะเหลือบมองอี้เจียง “ตอนนั้นผู้ทรงภูมิบอกว่าไม่กล้าออกความเห็นส่งเดชเรื่องสองแคว้นเปิดศึกกัน ข้าเพิ่งรู้เหตุผลวันนี้”

นางรู้สึกเหมือนหัวใจถูกถ่วงไว้ด้วยหินก้อนใหญ่ เขารู้แล้วหรือว่าที่จริงข้าไม่มีความสามารถ

ปรากฏว่าสิ่งที่จ้าวจ้งเจียวพูดก็คือ “เจ้ารู้แต่แรกแล้วสินะว่าแคว้นจ้าวต้องขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉี?”

หินที่ถ่วงหัวใจไว้พลันร่วงลงไปบนพื้น อี้เจียงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่านหลักแหลมยิ่งนัก”

“หลักแหลม?” จ้าวจ้งเจียวใช้เท้าเหยียบกระบี่ ขณะแค่นเสียงขึ้นจมูก “ช่างเถอะ ผู้ทรงภูมิตามข้ามาแล้วกัน”

แน่นอนว่าอี้เจียงไม่อยากตามไป แต่เห็นกระบี่ที่อยู่ใต้เท้าเขาแล้วก็มีแต่ต้องฝืนใจสถานเดียว

จ้าวจ้งเจียวเดินนำออกจากจวนก่อน เผยยวนดึงอี้เจียงเอาไว้แล้วกระซิบเตือนเบาๆ “ยวนเพิ่งเคยเห็นนายท่านโมโหเช่นนี้เป็นครั้งแรก ผู้ทรงภูมิต้องระวังตัวด้วยนะ”

ตันคุยฟังแล้วเป็นห่วง อยากจะตามไปด้วย แต่พอเดินออกจากประตูก็ถูกจ้าวจ้งเจียวขวางไว้ เขาจึงได้แต่มองตามจนอี้เจียงขึ้นรถม้าไป แล้วลากเผยยวนไปสั่งสอนด้วยความโมโห “ถ้าแม่นางเป็นอะไรไปแม้แต่นิดเดียว ข้าจะเอาเรื่องเจ้า!”

ฝ่ายเผยยวนมีใบหน้าเหลอหลา “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”

“ก็คนที่ลากแม่นางเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้คือเจ้ามิใช่หรือ!”

เผยยวนเถียงไม่ออก

หลังอยู่ในจวนฉางอันจวินมานาน อี้เจียงก็เพิ่งได้ออกมาข้างนอกเป็นครั้งแรก รถม้าแล่นเร็ว จึงกระเทือนเป็นพิเศษ นางไม่กล้าทิ้งน้ำหนักนั่งตามปกติ เพราะกลัวกระดูกก้นกบจะแยกเสียก่อน เหลือบมองไปพบว่าจ้าวจ้งเจียวนั่งได้นิ่งยิ่งนัก

จ้าวจ้งเจียวในใจอี้เจียงอย่างมากก็แค่เจ้าเล่ห์กว่าเด็กหนุ่มทั่วไปเล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็ดูอ่อนโยนดี แม้ว่าความอ่อนโยนของเขาจะทำให้นางใจคอไม่ดีเสมอก็ตาม แต่นางเพิ่งเคยเห็นเขาเดือดดาลเช่นวันนี้เป็นครั้งแรก

ว่าไปแล้วการขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉีก็เท่ากับเป็นทางออกไม่ใช่หรือ เหตุใดเขาต้องโมโหด้วยนะ อี้เจียงใคร่ครวญอยู่ในใจอย่างอกสั่นขวัญแขวน

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดรถม้าก็จอด ยุติการเดินทางอันแสนทรมานของอี้เจียงลงเสียที นางลากสองขาแข็งทื่อกระโดดลงจากรถแล้วเงยหน้าขึ้นมอง เบื้องหน้าคือประตูเมืองยิ่งใหญ่อลังการ มีทหารยามรักษาการณ์โดยรอบ

“ไปเถอะ” จ้าวจ้งเจียวเดินนำไปก่อน

เมื่อผ่านประตูเข้าไปก็ได้พบกับทางเดินยาวเหยียด ตรงกลางเปิดโล่ง รอบด้านรายล้อมด้วยหอคอยกำแพงสูง ด้านหน้ามีประตูเมืองอีกชั้น เมื่อผ่านประตูชั้นนี้เข้าไป อี้เจียงก็ต้องตะลึงงัน…ลานกว้างขยายยาวขึ้น ทหารสวมชุดเกราะสีดำถือขวานศึกยืนเรียงเป็นสองแถว ทางเดินยาวเหยียด ข้างหน้าคือบันไดหินแกะสลักสามขั้นทอดขึ้นสู่ตำหนักอันยิ่งใหญ่

ที่แท้ประตูเมื่อครู่ไม่ใช่ประตูเมือง แต่เป็นประตูวังหลวง!

จ้าวจ้งเจียวไม่พูดอะไรเลยตลอดทาง เขาเอาแต่เดินนำนางไปเรื่อยๆ นางกำนัลในอาภรณ์งดงามที่เดินผ่าน ขันทีสองสามคน หรือแม้แต่ขุนนางที่แต่งตัวเต็มยศ ล้วนแต่พากันหยุดคำนับเขากันทุกคน แต่เขาไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว

จากทางเดินหลักเลี้ยวไปตามเฉลียงยาวก็มองเห็นประตูตำหนักอยู่ข้างหน้า ข้าราชบริพารในชุดสีขาวปรี่ออกมารับแล้วคำนับจ้าวจ้งเจียว “คารวะฉางอันจวิน ฉางอันจวินมาเข้าเฝ้าพระพันปีหรือพ่ะย่ะค่ะ”

จ้าวจ้งเจียวแค่นเสียงหึ “ไม่เข้าเฝ้าพระพันปีจะให้เข้าเฝ้าเจ้าอย่างนั้นหรือ”

ฝ่ายตรงข้ามยิ้ม “นั่นสินะพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ตอนนี้พระพันปีทรงกำลังให้ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายเข้าเฝ้า”

“ชู่หลงมาแล้ว?” จ้าวจ้งเจียวขยุ้มชายแขนเสื้อด้วยความโมโห “ไฉนข้าจะไม่รู้ว่าตาแก่นั่นคิดพูดอะไรบ้าง”

ข้าราชบริพารตกใจจนไม่กล้าส่งเสียง เพียงถอยออกไปอย่างระมัดระวัง

อี้เจียงรู้สึกคุ้นชื่อ ‘ชู่หลง’ เป็นอย่างยิ่ง คิดอยู่นานก็นึกออกว่าแต่ก่อนเคยเรียนเรื่อง ‘ชู่หลงเกลี้ยกล่อมพระพันปีจ้าว’ จึงบรรลุว่าอะไรเป็นอะไรทันที

แคว้นฉินยกทัพตีแคว้นจ้าว แคว้นจ้าวขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉี แคว้นฉียื่นเงื่อนไขว่าจะส่งกองทัพมาช่วยรบฉินก็ต่อเมื่อพระพันปีจ้าวยอมส่งบุตรชายคนสุดท้องไปเป็นตัวประกันที่แคว้นฉี พระพันปีจ้าวไม่ยอม กระทั่งชู่หลงมาพูดเกลี้ยกล่อมจนสำเร็จ

ตัวประกันคนนั้นก็คือฉางอันจวินมิใช่หรือ!

สักพัก ชายชราคนหนึ่งก็เดินออกจากตำหนัก ผมเป็นสีขาวโพลนทั้งหัว ถือไม้เท้าเดินเชื่องช้า ข้าราชบริพารประคองเจ้าตัวมาส่งตรงทางออก พอเห็นจ้าวจ้งเจียว ชายชราก็หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ก่อนคำนับเขาอย่างงกๆ เงิ่นๆ

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างไร้พิษภัย “ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายคงมาเกลี้ยกล่อมให้เสด็จแม่ส่งข้าไปแคว้นฉีสินะ”

ชู่หลงถอนหายใจพลางส่ายหน้า “ข้าพยายามจนสุดความสามารถแล้ว แต่พระพันปีทรงไม่ยอมถอยแม้แต่นิดเดียว เห็นทีต้องปล่อยไปตามนี้นั่นแหละ”

อี้เจียงขมวดคิ้ว หมายความว่าอย่างไร ชู่หลงเกลี้ยกล่อมพระพันปีจ้าวได้มิใช่หรือ เหตุใดถึงบอกว่าไม่สำเร็จเล่า ข้าเรียนไม่สูงนะ อย่ามาหลอกกันสิ!

แต่ชายชราตรงหน้าดูไม่เหมือนกำลังพูดโกหก

นางนึกถึงเรื่อง ‘แบกกิ่งต้นจิงขอขมา’ ขึ้นมาได้ พอจะเข้าใจอะไรเลาๆ

ดูเหมือนประวัติศาสตร์ที่นี่จะไม่เหมือนประวัติศาสตร์ที่นางรู้จักเสียทีเดียว…

จ้าวจ้งเจียวได้ยินชู่หลงบอกเช่นนั้นก็ทำท่าผยองนิดๆ เขาปัดแขนเสื้อหมุนตัวส่งสัญญาณให้อี้เจียงตามมา

นางก้าวเดินพลางเหลียวมองแผ่นหลังของชู่หลง อยากจะเข้าไปจับไหล่อีกฝ่ายเขย่าแรงๆ แล้วถามว่าท่านลุง ท่านได้พูดแบบที่หนังสือเรียนเขียนไว้หรือไม่ ตอนเกลี้ยกล่อมพระพันปีท่านไม่ได้ตั้งใจเต็มที่ใช่หรือไม่!

น่าเสียดายที่อี้เจียงเดินเข้าไปในตำหนักเรียบร้อยแล้ว

ภายในตำหนักประดับประดาด้วยเครื่องสำริด แขวนม่านยาวจรดพื้น พระพันปีจ้าวนอนอยู่บนเตียง สวมเสื้อคลุมยาวสีดำดูสุขุมสง่างาม ทว่าถูกควันกำยานที่ลอยเป็นสายบดบังจนเห็นหน้าไม่ชัด

ช่วงที่ผ่านมาอี้เจียงได้พูดคุยเรื่องหลักมารยาทของสำนักข่งจื่อกับเผยยวน ได้เรียนรู้อะไรมามากมาย การแสดงความเคารพจึงไม่เป็นปัญหา แต่จ้าวจ้งเจียวไม่ให้โอกาสนางได้คำนับด้วยซ้ำ พอเขาเข้ามาในห้องก็ปรี่เข้าไปคุกเข่าตรงหน้าเตียงพระพันปีทันที

“เสด็จแม่ดีที่สุดเลย ไม่ทรงส่งลูกไปเป็นตัวประกันที่แคว้นฉีจริงๆ”

เสียงของพระพันปีจ้าวแผ่วเบาและเนิบช้า “แต่หากเป็นเช่นนี้ก็ช่วยแคว้นจ้าวไม่ได้”

จ้าวจ้งเจียวรีบกุมมือพระพันปีจ้าวไว้ “เสด็จแม่ตรัสอะไรเช่นนั้น พี่หญิงทรงเป็นถึงมเหสีแคว้นเยียน เหตุใดไม่ทรงขอความช่วยเหลือจากแคว้นเยียนเล่า แคว้นเยียนไม่มีทางเรียกร้องให้ลูกไปเป็นตัวประกันหรอก ไยต้องยอมก้มหัวให้แคว้นฉีกัน”

พระพันปีส่ายหน้า “พี่สาวเจ้าเป็นมเหสีแคว้นเยียน แต่คนที่มีอำนาจตัดสินใจในแคว้นเยียนไม่ใช่พี่สาวเจ้า เยียนหวังไม่อยากช่วย พันธมิตรที่แคว้นจ้าวเหลืออยู่ก็มีแต่แคว้นฉีเท่านั้น ถึงข้าจะปฏิเสธชู่หลงไปแล้ว แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี”

จ้าวจ้งเจียวเม้มปากแน่น ค่อยๆ ก้มหน้าลงซบตักมารดาราวกับเป็นลูกแกะแสนเชื่อง “เสด็จแม่จะทรงส่งลูกไปจริงๆ หรือ”

“ลูกแม่…” พระพันปีชันตัวขึ้นเล็กน้อย แล้วชะโงกตัวออกมา เผยให้เห็นใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉม

พระพันปียังสาวอยู่มาก ดูน่าจะอายุแค่สามสิบกว่าเท่านั้น ใบหน้าหมดจดงดงาม แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสามีเพิ่งตายจากไปหรือไม่ ถึงได้ดูซีดเซียวเปราะบางเหลือเกิน นางหลุบตามองกระหม่อมบุตรชายพลางตบไหล่เขาเบาๆ แม้น้ำเสียงจะเศร้าสร้อย ทว่าท่าทางแน่วแน่มั่นคง ไม่สะท้อนความรู้สึกในใจให้เห็น

อี้เจียงกำลังมองนางเพลินๆ ในฐานะบุคคลในประวัติศาสตร์ แต่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็เหลือบตาขึ้นมา ทำให้ประสานสายตากันตรงๆ นางเลยนึกขึ้นมาได้ว่าตามกฎห้ามมองตามใจชอบ จึงรีบก้มหน้าอย่างรวดเร็ว

“ท่านนี้คงจะเป็นผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อที่อยู่ในจวนเจ้ากระมัง”

จ้าวจ้งเจียวตอบว่า “อืม” อย่างใจลอย ไม่หันมามองนางด้วยซ้ำ

พระพันปีตบหลังบุตรชายให้ลุกขึ้น “เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องอยากคุยกับผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อตามลำพัง”

เด็กหนุ่มลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ ตอนที่หมุนตัวเดินผ่านอี้เจียงยังเหลือบมองนางด้วยสายตาคมกริบทีหนึ่ง

แน่นอนว่าอี้เจียงเข้าใจดีว่าเขาขู่ให้นางช่วยพูดแทน มิเช่นนั้นคงไม่พานางมาด้วย

พระพันปีสั่งให้คนม้วนม่านขึ้นไป แล้วกวักมือเรียกอี้เจียง “เชิญผู้ทรงภูมิเข้ามาคุยกันตรงนี้”

อี้เจียงเดินเข้าไปหาช้าๆ

“ผู้ทรงภูมิอ่อนเยาว์กว่าที่ข้าคิดไว้มาก ตอนอายุเท่าเจ้า ข้ายังไม่ได้แต่งงานมาอยู่แคว้นจ้าวด้วยซ้ำ”

อี้เจียงกำลังว้าวุ่นใจ จึงได้แต่ตอบไปว่า “เพคะ”

พระพันปีถอนหายใจ “เจ้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรชายข้า ผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่กลับวางใจปล่อยออกมาเผชิญโลกอันสับสนวุ่นวาย แต่ข้ากลับทำใจส่งบุตรชายไปแคว้นฉีไม่ลง ความคิดอ่านของข้าไม่อาจเทียบกับปราชญ์ได้เลยจริงๆ”

อี้เจียงเอ่ยถามออกไปอย่างอดใจไม่อยู่ “พระพันปีทรงปฏิเสธข้อเสนอแนะของชู่…ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายจริงๆ หรือเพคะ”

พระพันปีแค่นยิ้มพลางพยักหน้า “สติปัญญาของขุนนางก็เหมือนภาษีของราษฎรนั่นแหละ บางครั้งจำเป็นต้องบังคับกันถึงจะมีให้ แต่ถ้าปีใดผลผลิตไม่ดี รีดเค้นเช่นไรก็ไม่มีจ่าย แคว้นจ้าวเวลานี้อยู่ในวิกฤตเป็นตาย ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าพวกเขาคิดหาทางออกไม่ได้อีกแล้วจริงๆ ข้าก็ยังอยากประวิงเวลาเพื่อบุตรชายตนเอง แต่อันที่จริงข้าได้ตัดสินใจแต่แรกแล้ว”

อี้เจียงไม่คิดเลยว่าคนที่ตัดสินใจส่งฉางอันจวินไปแคว้นฉีจะเป็นตัวพระพันปีเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับชู่หลงเลยสักนิด เรียกว่าเป็นคนละคนกับพระพันปีจ้าวที่หนังสือเรียนเขียนไว้ว่าดีแต่ปกป้องบุตรชายอย่างไม่สนใจเหตุผลใดๆ โดยสิ้นเชิง

พระพันปียิ้มให้อี้เจียงอย่างอ่อนโยน “วันนี้ต่อให้ผู้ทรงภูมิไม่มา ข้าก็ยังจะเชิญเจ้ามาพบกันสักครั้งอยู่ดี ข้ารู้ว่าผู้ทรงภูมิมาจากสำนักกุ่ยกู่ แต่ข้าไม่ได้อยากฟังเจ้าพูดถึงการปกครองแผ่นดิน และไม่ได้อยากให้เจ้าช่วยคิดวิธีรับมือกับแคว้นฉิน ข้าแค่อยากให้ผู้ทรงภูมิตามจ้งเจียวไปแคว้นฉีด้วย”

อี้เจียงผงะ “เกรงว่าหวนเจ๋อจะรับหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ไม่ไหว”

ฝ่ายตรงข้ามยกมือปราม “ผู้ทรงภูมิอย่าได้ถ่อมตัวไปเลย คนทั้งใต้หล้ารู้กันทั่วว่าเจ้ากับกงซีอู๋เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ข้าเคยได้ยินธรรมเนียมสำนักกุ่ยกู่มาบ้าง ได้เจ้าไปอยู่แคว้นฉีเป็นเพื่อนจ้งเจียว ข้าจะได้เบาใจ”

“…” อี้เจียงฉงนงงงวยกับคำพูดของพระพันปี

แต่พระพันปีไม่มีท่าทีว่าจะอธิบาย ราวกับกลัวว่าอี้เจียงจะไม่ยอมไป จึงสัญญาว่าต่อไปจะมอบเงินทองและที่ดินดีๆ ให้ จากนั้นก็เรียกนางกำนัลให้พานางไปส่งที่หน้าตำหนัก โดยไม่รอฟังคำตอบจากนาง

ดังนั้นคำพูดของพระพันปีไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำสั่ง

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจ้าวจ้งเจียวจะอารมณ์เสียเพียงใด อี้เจียงกลับถึงจวนก็เอาแต่หลบอยู่ในเรือนตนเอง ขนาดอยู่ห่างกันตั้งไกลยังได้ยินเสียงเด็กหนุ่มทำลายข้าวของ พวกบ่าวไพร่ต่างพากันกลัวจนไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะเกรงว่าตนเองจะแขนขาดหรือขาด้วน คืนนั้นทั่วทั้งจวนฉางอันจวินจึงมีแต่ความระส่ำระสาย

จวบจนกลางดึก โทสะของจ้าวจ้งเจียวจึงพอสงบลงบ้างแล้ว ไม่มีเสียงขว้างปาข้าวของดังมาให้ได้ยินอีก อี้เจียงเตรียมตัวเข้านอน สาวใช้ก็วิ่งเข้ามาบอกเสียก่อนว่าฉางอันจวินเรียกนางไปพบ

นางเดินไปที่ห้องโถงใหญ่อย่างอกสั่นขวัญแขวน แล้วพบว่าเผยยวนกับตันคุยก็อยู่ด้วย เซินซีที่เอาแต่หลบหน้านางมาตั้งแต่วันนั้นก็อยู่เช่นกัน แก้มข้างหนึ่งยังบวมโย้ไม่หาย

จ้าวจ้งเจียวนั่งอยู่ที่โต๊ะ ยังคงใส่ชุดทางการชุดเดิมตั้งแต่กลับออกจากวังหลวง เขากวาดตามองคนทั้งสี่พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ทั้งสี่ท่านอยู่ในจวนของข้ามาได้ระยะหนึ่งแล้ว ฉางอันจวินคนนี้จะได้ใช้ชีวิตสบายๆ อีกแค่ไม่กี่วันก็ต้องไปเป็นตัวประกันที่แคว้นฉี นอกจากผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ ท่านอื่นอยากอยู่ต่อหรือจากไปก็เชิญเลือกได้ตามใจ จ้งเจียวจะไม่บังคับฝืนใจแน่นอน”

ทั้งสามคนหันไปมองหน้ากัน ตันคุยตกใจกว่าใคร คอยส่งสายตามาให้อี้เจียงไม่หยุด เหมือนอยากถามว่าเหตุใดนางถึงถูกกันออกไปแค่คนเดียว

จ้าวจ้งเจียวคงเพลียแล้วถึงได้โบกมือ “ทุกท่านกลับไปคิดให้ดี อยากไปก็ไปได้ทุกเมื่อ ไม่อยากไปก็เตรียมตัวเก็บสัมภาระแล้วกัน”

ทั้งสี่คำนับแล้วเดินออกมา เซินซีจ้ำอ้าวเร็วกว่าทุกคน พอออกจากห้องโถงได้ก็หายวับไปในความมืดทันที

ส่วนอี้เจียงต่อให้อยากวิ่งก็วิ่งไม่ได้ เพราะถูกตันคุยกับเผยยวนจับตัวมาซักไซ้ จนความง่วงเสี้ยวเล็กๆ ที่มีกระเจิงหายไปหมด

ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับถึงเรือนได้ แต่นางก็หลับไม่ลงเสียแล้ว นางนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงพลางคิดถึงคำพูดของพระพันปีจ้าว

เหตุใดพระพันปีถึงได้พูดถึงกงซีอู๋ เท่าที่ฟัง เนื่องจากนางกับกงซีอู๋เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน และพระพันปีก็รู้ธรรมเนียมสำนักกุ่ยกู่ ดังนั้นจึงส่งนางไปแคว้นฉี

ธรรมเนียมสำนักกุ่ยกู่คืออะไร ศิษย์สำนักเดียวกันห้ำหั่นกันเอง?

ดังนั้นเจตนาของพระพันปีก็คือ…นางกับกงซีอู๋จะต่อสู้กัน ถึงได้ส่งนางไป? หรือพูดอีกนัยหนึ่ง พระพันปีต้องการใช้นางคอยงัดข้อกับกงซีอู๋ ไม่ให้ฉางอันจวินลำบาก?

แสดงว่ากงซีอู๋อยู่ที่แคว้นฉี?

สมองของอี้เจียงกระจ่างชัดขึ้นมา นางลุกขึ้นนั่ง จุดตะเกียง แล้วค้นจดหมายของกงซีอู๋ออกมาอ่าน

ไม่ได้อ่านมาหลายวัน จดหมายฉบับนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเพิ่งเคยอ่าน อี้เจียงไปนั่งเบื้องหน้าตะเกียง ค่อยๆ อ่านทีละคำด้วยความปลาบปลื้ม

ไม่คิดเลยว่าเนื้อความในจดหมายจะเป็นเช่นนี้ กงซีอู๋เขียนบอกนางอย่างชัดเจนว่าผิงหยวนจวินถูกเชิญตัวไปแคว้นฉินแล้ว แคว้นจ้าวจะตกอยู่ในอันตราย และต้องขอความช่วยเหลือจากแคว้นพันธมิตร ซึ่งจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากแคว้นฉี แคว้นฉีในเวลานี้อยู่ใต้การปกครองของสตรี ความคิดความอ่านละเอียดหยุมหยิมและขี้กังวล ไม่กล้าได้กล้าเสีย จะต้องขอตัวประกันแน่ และฉางอันจวินก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ฉางอันจวินคนนี้ไม่ใช่เจ้านายที่ดีอะไร หากนางไม่มีแผนรับมือแต่แรก ก็ควรตีตัวจากมาเสีย

อี้เจียงเอามือเท้าคางที่แทบตกลงมาเพราะอ้าปากค้างด้วยความอึ้งงัน หากต้องสู้กับคนเช่นนี้ นางควรรีบวางอาวุธยอมแพ้เสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า

 

พอฟ้าสาง คนในจวนฉางอันจวินก็หายไปคนหนึ่ง

เซินซีที่ประกาศตัวว่าจงรักภักดีต่อเจ้านายที่สุดเลือกปีนกำแพงหนีไปตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืน ตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงา

ตอนที่เผยยวนนำเรื่องนี้มาบอกให้อี้เจียงรู้ นางกำลังยกชารสชาติแย่ขึ้นจรดปากเพื่อกันไม่ให้ตนเองสัปหงก

เผยยวนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ใช้ม้วนหนังสือไม้ไผ่เคาะโต๊ะโดยแรงแล้วรำพึงรำพันว่า… “ใจคนยากแท้หยั่งถึง ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเราจะไร้มโนธรรมได้เพียงนี้” จากนั้นก็ทบทวนตนเองเป็นการใหญ่ที่แต่ก่อนเห็นเซินซีเป็นสหายและยอมอ่อนข้อให้โดยตลอด

ในเวลาต่อมาตันคุยก็เดินเข้ามาบอกให้เก็บสัมภาระ

“เร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ” อี้เจียงประหลาดใจ

มือกระบี่พยักหน้า ท่าทางไม่แจ่มใสนัก “แคว้นจ้าวกำลังต้องการทัพหนุน ย่อมต้องส่งตัวประกันไปให้โดยเร็ว รถม้าจากวังหลวงจอดอยู่หน้าประตูจวนแล้วขอรับ”

เผยยวนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่โอ้เอ้ รีบลุกขึ้นเอ่ยลาทันที “ข้าทอดทิ้งนายท่านไม่ได้ จะติดตามรับใช้จนถึงที่สุด ขอตัวไปเก็บสัมภาระก่อน”

อี้เจียงค้นม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่ใช้เขียนบันทึกประจำวันออกมาเก็บใส่ห่อสัมภาระด้วยกันกับเสื้อผ้า ซึ่งได้มาแค่ห่อเล็กๆ เท่านั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมาอีก ยิ่งเงินทองกับที่ดินดีๆ ที่เป็นเช่นภาพลวงตานั้นยิ่งไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้มาครอง นางกวาดตามองรอบเรือน รู้สึกไม่อยากจากไปเลยจริงๆ

ยิ่งคิดว่ากงซีอู๋อาจรอตนอยู่ที่แคว้นฉี นางยิ่งว้าวุ่นไม่เป็นสุข

ตันคุยเองก็กลับเรือนไปเก็บสัมภาระ สักพักก็กลับมาอีกครั้งเพื่อเรียกอี้เจียงให้ออกเดินทาง แต่พบว่านางไม่อยู่ในเรือน เขาเดินหารอบเรือนหนึ่งรอบถึงเห็นว่านางขึ้นไปนั่งยองๆ อยู่บนต้นไม้ที่ปลูกชิดกำแพง มีห่อสัมภาระสะพายหลัง มือหนึ่งจับขอบกำแพง ชะโงกตัวออกไปข้างนอกแล้วกว่าครึ่ง เขารีบร้องถาม “แม่นางกำลังทำอะไรอยู่”

อี้เจียงหมุนคอมามองอย่างไม่เต็มใจนัก แต่น้ำเสียงยังสูงส่งเยือกเย็นเหมือนปกติ “เอ่อ…ข้ารู้สึกว่าข้าไปแคว้นฉีด้วยก็ทำอะไรไม่ได้ เดิมทีข้าก็แค่มาอยู่ที่นี่ตามคำสั่งของผิงหยวนจวิน ตอนนี้ผิงหยวนจวินอยู่ในแคว้นฉิน ส่วนฉางอันจวินต้องไปแคว้นฉี แผนนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้แล้วล่ะ”

ตันคุยเบิกตากว้างแล้วเขย่งเท้าไปดึงแขนอี้เจียงเอาไว้ “แม่นางพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านรับปากผิงหยวนจวินไว้แล้วนะ!”

นางขมวดคิ้ว “ไม่ได้ทำสัญญากันสักหน่อย รับปากด้วยคำพูดก็นับด้วยหรือ”

โทสะกรุ่นๆ เริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาตันคุย “วิญญูชนต้องรู้จักทดแทนคุณ รักษาสัจจะ พูดคำใดคำนั้น ผิงหยวนจวินช่วยแม่นางออกมา แม่นางจะเสียสัตย์ได้หรือ”

อี้เจียงเถียงไม่ออก พอลองคิดดูโดยละเอียดก็รู้สึกผิดนิดๆ

นางตัดสินเอาเองว่าคนโบราณโง่เขลา ไม่รู้จักยืดหยุ่น แต่ลืมไปว่านี่เป็นคุณธรรมล้ำค่าที่หายากที่สุด คุณธรรมข้อนี้ถูกลบเลือนไปกับกาลเวลานับพันปี ในขณะที่นางกลับเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“เจ้าพูดถูก เมื่อครู่ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น”

ตันคุยถอนหายใจ “คุยรู้อยู่แล้วว่าแม่นางต้องไม่ใช่คนเช่นนั้น”

อี้เจียงที่ถูกเขาประคองลงมาอย่างระมัดระวังยิ้มได้เหยเกยิ่งกว่าตอนร้องไห้ “แน่นอนอยู่แล้ว”

 

ทหารทำหน้าที่เปิดทาง ราษฎรออกมามุงดูทั้งสองฝั่ง สายลมอบอุ่นแต่ก็เจือไอเย็นอยู่บ้างเล็กน้อย เมืองหานตันให้บรรยากาศที่ผิดแปลกและคุ้นเคยในเวลาเดียวกัน

พระพันปีจ้าวคงจะสงสารบุตรชาย ขบวนรถม้าอารักขาจึงยิ่งใหญ่ทรงเกียรติ มีขุนนางส่งเสด็จเชิญจ้าวจ้งเจียวออกจากจวน วันนี้เขาสวมชุดแขนกว้างสีเข้ม ก้าวขึ้นรถโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว อี้เจียงที่มองอยู่ไกลๆ รู้สึกสงสารเล็กน้อย ถึงอย่างไรเจ้าตัวก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง

ตันคุยกับเผยยวนนั่งเบียดกันในรถม้าคันข้างหลัง จวบจนอี้เจียงขึ้นรถแล้ว ทั้งสองถึงได้ยอมสงบปากสงบคำ ไม่ต่อล้อต่อเถียงกันอีก

ออกเดินทางยามเฉิน ตอนรถแล่นออกจากประตูเมือง ดวงอาทิตย์กำลังลอยเด่นอยู่บนฟ้าพอดี รถคันหน้าพลันหยุดแล่น รถที่อี้เจียงนั่งอยู่จึงต้องหยุดตาม นางโผล่หน้าออกไป เห็นจ้าวจ้งเจียวชะโงกตัวออกจากรถมองไปยังที่สูงทางด้านหลัง จากนั้นก็ดึงสายตากลับมาด้วยสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก

ขบวนรถแล่นต่อ นางมองตามสายตาเมื่อครู่ของเขาด้วยความอยากรู้ ขุนนางกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนประตูเมือง ตรงกลางสุดมีบุรุษคนหนึ่งยืนต้านลมยกแขนประสานกัน ใส่ชุดสีดำ สวมมาลาห้อยมุกบนศีรษะ เสื้อแขนกว้างปลิวสะบัดตามลม ดูลักษณะก็รู้ว่าต้องเป็นจ้าวหวังตัน

ท่าทางจ้าวหวังตันจะเป็นห่วงน้องชายคนนี้อยู่มาก เสียดายที่จ้าวจ้งเจียวเมินใส่

 

ด้านตะวันออกของแคว้นฉีติดทะเล ด้านเหนือมีเขาสูง พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ ราษฎรมีชีวิตผาสุก หลังออกเดินทางมาหลายวัน ขบวนรถม้าก็มาถึงเมืองหลินจือ โดยได้รับการทักทายจากแสงแดดที่แรงจ้าและลมภูเขาซึ่งเจือไอเย็น

เอาเข้าจริง เนื่องจากก่อนหน้านี้นอนไม่พอ เวลาที่อยู่บนรถม้าอี้เจียงจึงนั่งสัปหงกเสียส่วนใหญ่ แต่นางก็ต้องพยายามถ่างตาเพื่อรักษาท่าทีอันเยือกเย็นสูงส่งของตนเอง จึงสะลึมสะลือมาตลอดทาง ไม่ได้สังเกตทิวทัศน์รอบตัวสักเท่าไร

เมืองหานตันส่งตัวประกันมาให้ ชาวบ้านร้านตลาดจึงพากันออกมาดู ทั้งยังเดินตามขบวนรถม้าจนแน่นถนน อี้เจียงขยี้ตา เกาะประตูรถมองออกไปข้างนอก พบว่าคนที่นี่แต่งตัวเรียบง่ายกว่าชาวเมืองหานตันมากนัก มิน่าเล่า พวกเขาถึงได้แห่ออกมาดูคนแคว้นจ้าวกันอย่างครึกครื้น ก็ที่นั่นเป็นศูนย์กลางการประทินโฉมและการแต่งกายนี่

จวบจนมาถึงโรงเตี๊ยมจุดพักม้า ชาวบ้านที่เดินตามจึงค่อยสลายตัวไป

อี้เจียงนั่งโคลงเคลงอยู่บนรถม้ามานานเต็มที อยากกระโดดลงตั้งนานแล้ว พอกวาดตามองไปรอบตัวก็รู้สึกเอะใจ เพราะดูเหมือนแคว้นฉีจะไม่ได้ส่งคนมารับ

ตลอดทางจ้าวจ้งเจียวไม่ได้คุยกับใครทั้งนั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาอารมณ์ไม่ดี มาถึงที่หมายยังเจอเช่นนี้ แม้แต่ขุนนางส่งเสด็จยังเริ่มหน้าบึ้ง อี้เจียงมองเด็กหนุ่มลงจากรถอย่างอกสั่นขวัญผวา ราวกับทุกย่างก้าวของเขากระทืบลงบนใจนาง

จ้าวจ้งเจียวเดินเข้าไปในห้องโถงเองด้วยสีหน้าขมึงทึง

ขุนนางส่งเสด็จรีบตามเข้าไปพลางบอกอย่างหัวเสีย “ฉางอันจวินอย่าโมโหไป ข้าจะไปเอาเรื่องกับราชสำนักฉีเดี๋ยวนี้แหละ!”

จ้าวจ้งเจียวหยุดเดินแล้วหันขวับกลับมา “พวกเรามาขอความช่วยเหลือจากเขา ยังจะกล้าไปเอาเรื่องเขาอีกรึ ไปเร่งให้พวกเขารีบส่งกองทัพออกไปดีกว่ากระมัง”

ขุนนางส่งเสด็จกระอักกระอ่วนจนพูดไม่ออก

อี้เจียงเดินตามเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง กลัวจะเผลอไปสะกิดอารมณ์เทพผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังเดือดดาลคนนี้เข้า

คนทั้งขบวนเหนื่อยล้าจากการเดินทาง อุตส่าห์มาถึงที่พักแล้วทั้งที แต่ในจุดพักม้ากลับไม่มีใครมาดูแลหุงหาอาหารให้ ขุนนางส่งเสด็จยิ่งไม่พอใจหนัก สุดท้ายอาหารที่อีกฝ่ายยกมาให้ก็เป็นอาหารพื้นๆ ที่ทำแบบขอไปที อี้เจียงกินเข้าไปคำแรกยังคายทิ้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโทสะของจ้าวจ้งเจียวคงใกล้ระเบิดเต็มที

เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น แต่ล้มโต๊ะต่อหน้าคนทั้งห้อง คล้ายตบหน้าคนที่ดูแลจุดพักม้าของแคว้นฉีอย่างแรง

ขุนนางส่งเสด็จเหงื่อตก ขณะที่สาละวนเตรียมอาหารให้ฉางอันจวินใหม่ ระหว่างนั้นก็มีข้ารับใช้สวมเสื้อชายสั้นสีเทาสองคนเดินเข้ามาในจุดพักม้า บอกว่าถือคำสั่งของมหาอำมาตย์แคว้นฉีมาเชิญฉางอันจวินไปพบที่จวน

อี้เจียงที่ได้ยินเสียงโผล่หน้าออกมาดูจากในห้อง เห็นใบหน้าขมึงทึงของจ้าวจ้งเจียวเข้าพอดี

เขายืนอยู่กลางห้องโถง แค่นยิ้มอย่างเดือดดาล “พวกเจ้าไม่ส่งขุนนางมาต้อนรับข้า ตอนนี้ยังจะให้ข้าไปพบมหาอำมาตย์ของพวกเจ้าด้วยตนเอง? นี่น่ะหรือมารยาทของแคว้นใหญ่ ฉีหวังเป็นท่านลุงของข้า ไม่เรียกข้าไปเข้าเฝ้าในวังหลวง แต่กลับให้ไปพบมหาอำมาตย์ก่อน นี่น่ะหรือลำดับความสูงศักดิ์ของเจ้าแคว้นกับขุนนาง”

ข้ารับใช้สองคนนั้นถูกย้อนถามก็อับจนด้วยคำพูด ต่างหันไปสบตากัน แล้วย้ำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่านี่เป็นคำสั่งของมหาอำมาตย์ พวกเขาไม่มีสิทธิ์ถาม มีหน้าที่ทำตามคำสั่งอย่างเดียว

แม้แต่ข้ารับใช้ยังกล้าดูถูก ตั้งแต่เล็กจนโตจ้าวจ้งเจียวไม่เคยถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้มาก่อน มือที่ไพล่เอาไว้ข้างหลังกำแน่น พยายามข่มอารมณ์อยู่นานถึงจะระงับโทสะเอาไว้ได้

อี้เจียงเองก็รู้สึกหดหู่ใจ องค์ชายที่ใครต่อใครพากันเอาอกเอาใจพลันร่วงตกสวรรค์ภายในชั่วข้ามคืน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นออกจะรุนแรงเกินไปสักหน่อยแล้ว

ผ่านไปพักใหญ่ จ้าวจ้งเจียวถึงได้คลายกำปั้นออก แล้วบอกข้ารับใช้ว่า “ข้าเพิ่งมาถึงแคว้นฉี รู้สึกไม่ค่อยสบาย ครั้งนี้จะให้หวนเจ๋อซึ่งเป็นคนของข้าไปแทนก่อน”

อี้เจียงเพิ่งจะชมอยู่ในใจว่าดีที่เขาเห็นแก่บ้านเมืองไม่อาละวาด นึกไม่ถึงว่าพอเขาเอ่ยปากก็เอานางไปขายเสียนี่ นางรีบหลบกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

จ้าวจ้งเจียวหันมามองทางนี้พอดี อาการหนีหน้าของอี้เจียงเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ เพลิงโทสะที่ถูกสะกดเอาไว้ลุกโชติช่วงขึ้นมาเต็มกำลัง “ทำไม ตอนนี้แม้แต่ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อก็กล้าไม่เห็นคำสั่งของข้าอยู่ในสายตาแล้วรึ!”

อี้เจียงยกมือนวดขมับ เปิดประตูเดินลิ่วๆ ออกมา “คำสั่งของนายท่าน หวนเจ๋อไม่กล้าฝ่าฝืน”

“เรียกนายท่านได้ไม่เลวนี่!” หัวใจของจ้าวจ้งเจียวเต็มไปด้วยความเดือดดาลที่ไร้ทางระบาย เห็นสีหน้าท่าทางนางก็ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม “ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวน ผู้ทรงภูมิเคยทำประโยชน์อะไรให้ข้าซึ่งเป็นนายสักนิดบ้างหรือไม่ ข้าพยายามส่งเสริมเจ้าเต็มที่ จนปัจจุบันต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ผู้ทรงภูมิเคยทำอะไรเพื่อข้าบ้างหรือ!”

อี้เจียงนิ่งอึ้ง แม้ว่าพูดเช่นนี้จะไม่ยุติธรรมกับนาง แต่ก็เป็นความจริงที่นางปฏิบัติหน้าที่ของเหมินเค่อบกพร่อง เพราะความสามารถมีอยู่จำกัด ยิ่งกว่านั้นคือนางปล่อยตนเองไหลไปตามเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ถึงตอนนี้จะได้รู้แล้วว่าประวัติศาสตร์ดำเนินไปคนละเรื่องกับที่นางรู้มาโดยสิ้นเชิง

“ถ้าไม่ติดว่าเสด็จแม่ทรงสั่ง เกรงว่าป่านนี้ผู้ทรงภูมิคงจะหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้วสินะ” พูดๆ ไปจ้าวจ้งเจียวก็ชักกระบี่ที่ห้อยเอวออกมาอย่างเดือดดาล ทำเอาข้ารับใช้สองคนนั้นถอยกรูดไปข้างหลังอย่างแตกตื่น

อี้เจียงเห็นเงากระบี่สะบัดวูบตรงหน้าก็หรี่ตาถอยหนีโดยไม่รู้ตัว แต่สะดุดชายเสื้อตนเองจนล้มลงไปกับพื้น พอเงยหน้าขึ้นอีกทีก็ต้องขนหัวลุก เมื่อเห็นปลายกระบี่จ่ออยู่ตรงหว่างคิ้ว

ห้องโถงเต็มไปด้วยผู้คน ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อโดนกระบี่จ่อนั่งหมดท่าอยู่บนพื้น ชื่อเสียงคงป่นปี้ย่อยยับหมดแล้ว นางพลันเข้าใจความรู้สึกของจ้าวจ้งเจียวขึ้นมา เขาคงอยากให้นางตกต่ำไปด้วยกันกับเขา แต่ถึงจะเข้าใจอย่างไรก็ขออย่าให้เขาพลาดฟันกระบี่ลงมาจริงๆ แล้วกัน!

ตันคุยที่วิ่งออกมาตามเสียงก็ร้อนใจดั่งไฟลน อดไม่ได้ที่จะชักกระบี่ออกมาทำท่าจะเข้าไปขวาง แต่เผยยวนรีบรั้งเขาไว้อย่างว่องไวพลางหันไปพูดกับจ้าวจ้งเจียวอย่างเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “นายท่านโปรดอย่าได้เกรี้ยวกราด​ อย่าให้โทสะเข้าครอบงำจนพลั้งมือทำร้ายคนมีความสามารถเลยขอรับ”

“หึ!” จ้าวจ้งเจียวแค่นยิ้ม

อี้เจียงชินกับอารมณ์แปรปรวนของจ้าวจ้งเจียวแล้ว จึงไม่ถึงกับลนลาน หลังตั้งสติได้นางก็เอ่ยขึ้นว่า “นายท่านเอาแต่โทษว่าหวนเจ๋อไม่พยายามช่วยท่านให้รอดพ้นปัญหา ความจริงแล้วเป็นเพราะหวนเจ๋อมองการณ์ไกลต่างหาก สถานการณ์ในตอนนี้เป็นผลดีต่อตัวนายท่านเอง”

ฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร”

นางกวาดตาไปโดยรอบราวกับจะถามว่า…ท่านคงไม่คิดจะให้ข้าพูดตรงนี้หรอกกระมัง

จ้าวจ้งเจียวเองก็เข้าใจว่าตอนนี้มีคนอื่นอยู่ด้วย เห็นสีหน้าเยือกเย็นของนางก็พอจะคล้อยตามอยู่บ้าง แต่ไม่มีทีท่าว่าจะชักกระบี่ในมือกลับไป

ขุนนางส่งเสด็จสังเกตสีหน้าฉางอันจวิน แล้วไล่คนแคว้นฉีที่ยืนมุงโดยรอบออกไปพลางเข้ามาไกล่เกลี่ยสถานการณ์

ข้ารับใช้แคว้นฉีสองคนนั้นยังชะเง้อคอมองไม่ยอมออกไป จ้าวจ้งเจียวหน้าบึ้ง แน่นอนว่าคำปลอบโยนย่อมไม่เข้าหู

ร่างเล็กบางของอี้เจียงอ่อนแอเหลือเกิน แค่นั่งอยู่ในท่าเดิมไม่ทันไรขาทั้งสองข้างก็เริ่มเป็นเหน็บ แผ่นหลังชื้นไปด้วยเหงื่อ

ตันคุยเห็นเช่นนั้นจึงไม่ยอมทนอีกต่อไป เขาผลักเผยยวนออกจากตัว ชักกระบี่ก้าวเข้าไปขวางหน้าจ้าวจ้งเจียว แต่เพิ่งจะเดินเข้ามา เสียงเคร้งก็ดังขึ้นข้างล่าง กระบี่เล่มหนึ่งปักเฉียงบนพื้นตรงปลายเท้าเขา ยังคงสั่นไปมานิดๆ นอกจากจะหยุดฝีเท้าเขาได้ในทันที ยังตรึงชายเสื้อคลุมยาวกรุยกรายของจ้าวจ้งเจียวเอาไว้กับพื้น

จ้าวจ้งเจียวสะดุ้งเฮือก ดึงกระบี่ในมือกลับมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

อี้เจียงที่ลำคอแห้งผากไปหมดหันมอง ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูห้องโถง รูปร่างสูงโปร่ง ใส่ชุดขาว ครอบรัดเกล้าหยก ใบหน้าซูบตอบ ดวงตาเป็นประกายลึกล้ำ

พวกแคว้นฉีในที่นั้นพากันค้อมศีรษะคำนับ ถึงแม้อี้เจียงจะไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่ก็ถอนสายตาออกจากร่างนั้นไม่ได้เลย

ตอนพูดคุยเรื่องบทกวีด้วยกัน เผยยวนเคยวิเคราะห์คำว่า ‘งาม’ ให้นางฟังว่า ‘รูปร่างหน้าตางดงาม ผิวกายผุดผ่องนวลเนียน ถือเป็นความงามชั้นต้น บุคลิกผ่าเผย อากัปกิริยาสง่างาม ถือเป็นความงามชั้นกลาง และความนิ่งสงบเยือกเย็น ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ไยดีต่อทุกสิ่ง ราวกับมีสายน้ำไหลรินอยู่ในใจ เป็นความงามชั้นสูง’

ตอนนั้นนางถามขันๆ ‘ชั้นต้นกับชั้นกลางยังบรรยายคนอยู่หรอกนะ แต่ชั้นสูงน่าจะมีแต่เทพเท่านั้นกระมัง’

เผยยวนตอบด้วยท่าทางขึงขัง ‘ไม่นะขอรับ มีคนที่มีความงามชั้นสูงอยู่จริงๆ เช่นผู้ทรงภูมิกงซี’

อี้เจียงรู้สึกเหมือนถูกทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง และตอนนี้การทำร้ายดังกล่าวก็เปลี่ยนเป็นความจริงให้เห็นตรงหน้า แต่ก่อนเผยยวนพูดถึงกงซีอู๋ให้นางฟังอยู่หลายครั้ง หาถ้อยคำมาสรรเสริญเยินยอได้ร้อยแปดพันเก้า นางฟังแล้วก็ลืม แต่ตอนนี้คำชมทุกคำพลันผุดขึ้นมาในสมองอย่างแจ่มชัด

“ศิษย์พี่…” เขาคงเป็นเพียงคนเดียวที่นางรู้ว่าเป็นใครโดยไม่ต้องขอคำยืนยัน

“กงซีอู๋ เสนาบดีแคว้นฉี มาที่นี่เพื่อต้อนรับฉางอันจวินโดยเฉพาะ” คนผู้นั้นค้อมตัวคารวะ ก่อนจะเหลือบตามาทางนางเล็กน้อย “ศิษย์น้อง”

เผยยวนเข่าอ่อน หมดสติล้มพับไปตรงนั้น

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: