บทนำ
ยามใดที่มีคนไทยได้ดีไปโกอินเตอร์อยู่ในวงการต่างๆ ทั่วโลก คนไทยทั้งหลายจะภาคภูมิใจในตัวบุคคลเหล่านั้นเป็นพิเศษ เช่น ดาราคนนี้ได้ไปเล่นหนังที่ประเทศจีน เด็กหนุ่มคนนั้นได้ไปเป็นเด็กฝึกที่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลี นักแสดงมากความสามารถได้มีโอกาสไปเป็นหนึ่งในนักแสดงละครเวทีของบรอดเวย์ แค่คิดก็ทั้งน่าภูมิใจและอดที่จะเอาใจช่วยคนไทยด้วยกันไม่ได้ แต่สำหรับ ‘เอ็มมานูเอล ธนิษฐ์ กฤติกร โคลม’ นั้น ดูเหมือนว่าคนไทยทั้งหลายจะอยากสาปแช่งและไม่อยากจะรับรู้เลยว่านักร้องหนุ่มคนนี้มีสายเลือดความเป็นไทยอยู่ในตัวจากผู้เป็นแม่ ต่อให้ชื่อเสียงของวง ‘สตาร์ส แทรป’ (Stars’ Trap) วงบอยแบนด์สัญชาติอเมริกันจะดังเป็นพลุแตกแค่ไหน แต่ความขยันฉาวและขยันสร้างเรื่องก็ทำให้ชายหนุ่มลูกเสี้ยวอเมริกัน ฝรั่งเศส และไทยคนนี้ไม่เป็นที่ชื่นชมเท่าไหร่นัก
ก็ไม่มีอะไรมาก จุดเริ่มต้นความย่ำแย่มันเริ่มมาจากที่เจ้าตัวด่านักข่าวไปแบบแสบจนถึงทรวง ทำให้ภาพลักษณ์ของเอ็มมานูเอลนั้นติดลบไปสักพักใหญ่เลยทีเดียว แต่ไม่นานเรื่องนี้ก็ซาลงไปเพราะตอนนั้นเอ็มมานูเอลยังเป็นวัยรุ่นอารมณ์แปรปรวนอยู่ ทว่าทำตัวดีได้ไม่กี่ปีนักร้องหนุ่มก็ก่อเรื่องใหม่อีกครั้ง โดยการไปเมาแล้วมีเรื่องกับคนในงานปาร์ตี้ของไฮโซสาวชื่อดังคนหนึ่ง ลำบากต้นสังกัดต้องตามล้างตามเช็ดปัญหากันจนหัวหมุน แล้วยังต้องจ่ายค่าเสียหายและค่าชดเชยอีกไม่หวาดไม่ไหว สองปีต่อมาก็มีเรื่องฉาวที่ดังระดับโลกอีกครั้งเมื่อหนุ่มเสเพลเจ้าเสน่ห์มีเรื่องกับนักแสดงหนุ่มใหญ่ชื่อดัง เพราะนักร้องหนุ่มดันทะลึ่งไปนัวเนียกับนักแสดงสาวคนหนึ่งที่กำลังคบหาอยู่กับนักแสดงหนุ่มใหญ่คนดังกล่าว
ถึงแม้เรื่องจะเกิดจากความเมาในงานปาร์ตี้หลังงานประกาศรับรางวัลประจำปีที่เป็นงานปิดก็ตาม แต่สุดท้ายข่าวก็รั่วออกไปจนได้และทำให้เรื่องฉาวนี้ถูกขยี้เละเทะกันสนุกสนานอยู่นานมาก กว่านักข่าวและสังคมจะเลิกโจมตีเอ็มมานูเอลก็ตอนที่นักแสดงสาวรายนั้นหาเรื่องใส่ตัวเองด้วยการนอกใจนักแสดงหนุ่มใหญ่ซ้ำสองไปกับนักการเมืองผู้มีอิทธิพลและมีลูกเมียแล้ว ความฉาวที่ขยี้ประเด็นกันมาเป็นปีเลยเทไปอยู่ที่ฝ่ายหญิงโดยปริยาย ดารา นักร้อง หรือนางแบบสาวคนอื่นๆ ในวงการที่เคยถูกนักแสดงหญิงคนนี้แย่งคนรักไปต่างก็แห่กันออกมาแฉเพราะต้องการเหยียบย่ำหล่อนให้ตกต่ำมากกว่าเดิม
ว่าไปแล้ว ถ้าหากว่าเอ็มมานูเอล โคลมไม่มีฝีมือพอและฐานแฟนคลับไม่เหนียวแน่นจริงล่ะก็ วงสตาร์ส แทรปที่ค่ายเพลง IN อุตส่าห์ปลุกปั้นกันมาหลายปีคงจบเห่ไม่เป็นท่าตั้งนานแล้ว
หมอนี่มีดี แต่เหมือนมีแม่เหล็กดูดความวายป่วงเข้าหาตัวอยู่ร่ำไป
จะตัดหางปล่อยวัดไปเสียแต่แรกก็ทำได้แต่ทำไม่ลงเพราะวงนี้เป็นบ่อเงินบ่อทองของบริษัท แต่อะไรๆ ก็มีจุดเดือดของมันเองทั้งนั้น ซึ่งครั้งนี้มันเกินจะทน
ปีนี้เอ็มมานูเอลทำเรื่องอีกครั้ง นั่นคือไปอยู่ในผับที่มีการเล่นยากันเกิดขึ้น!
ภาพของชายหนุ่มที่มีสภาพเมามาย หน้าโทรม ถูกคุมตัวไปสถานีตำรวจทำให้ภาพลักษณ์ทั้งหลายแหล่ที่แย่อยู่แล้วยิ่งตกต่ำลงไปอีก ต่อให้ผลตรวจปัสสาวะของชายหนุ่มจะไม่ออกมาเป็นสีม่วงก็ตาม แต่มันก็ต้องมีบทลงโทษกันบ้าง เพราะสังคมกำลังรอให้ทางค่ายเพลงทำอะไรกับศิลปินในสังกัดคนนี้สักที เนื่องจาก IN ได้ปล่อยปละละเลยเรื่องนี้มานานเกินไปแล้ว ยิ่งแฟนคลับวงนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กสาววัยรุ่นด้วยก็ยิ่งปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้ แบบอย่างที่ดีของเยาวชนต้องไม่ใช่แบบนี้
เพราะเหตุนี้ห้องประชุมเล็กจึงถูกใช้งานอย่างเร่งด่วนเพราะบอร์ดบริหารต้องมาร่วมกันพิจารณาและหาทางออกให้กับไอ้ตัวปัญหาจอมฉาวโฉ่ของพวกเขาที่ไปทำงามหน้าเอาไว้
“พวกนั้นถึงไหนแล้ว” ‘มาร์ค โบนส์’ ซีอีโอของค่ายเพลง IN หันไปถามเลขาฯ ชายวัยกลางคนของเขาที่นั่งอยู่ทางขวามืออย่างหงุดหงิด
‘พวกนั้น’ ที่มาร์คหมายถึงก็คือพวกสตาร์ส แทรป บอยแบนด์บ่อเงินบ่อทองของค่ายเพลงนั่นเอง เขานัดพวกนั้นมาฟังการประชุมครั้งนี้ด้วย เนื่องจากต้องการให้สมาชิกทั้งหมดมารับฟังการตัดสินบทลงโทษของเอ็มมานูเอลซึ่งจะมีผลกระทบต่อกิจกรรมและตารางงานทั้งหมดของวง
“รถตู้เข้ามาในบริษัทแล้วล่ะครับ”
ไม่ทันที่มาร์คจะตอบอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เนื่องจากห้องทุกห้องในตึกนี้ถูกสร้างและออกแบบให้เป็นห้องกระจกทั้งสี่ด้านอยู่แล้ว เลยทำให้สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมได้จากทั้งข้างนอกและข้างใน และสมาชิกทั้งสี่ของสตาร์ส แทรปก็มาถึงด้านหน้าห้องประชุมเล็กแล้ว
ซึ่งไอ้ตัวปัญหาที่ยืนรั้งท้ายก็มาประชุมในสภาพที่โทรมสุดขีดตามคาด
ธีโอ ฟรานซิส แบรดลีย์ และเอ็มมานูเอลเดินเข้ามาและจับจองที่นั่งอีกฝั่งของโต๊ะประชุมตัวยาวที่ยังว่างอยู่ทั้งแถบอย่างรวดเร็ว
“ไงโคลม สภาพอย่างกับซอมบี้เลยนะ” มาร์คทักปนเหน็บแนมชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผู้มีผมยาวรุงรังสีดำหยักศกเป็นลอนที่ดูเปียกและมันเพราะไม่ได้สระมาหลายวันเป็นคนแรก
เอ็มมานูเอลเหลือบตามอง ‘บอส’ หรือก็คือคนที่ปลุกปั้นเขาและเพื่อนๆ มาจนประสบความสำเร็จในทุกวันนี้อย่างเฉื่อยชา ดวงตาคมสีน้ำตาลช็อกโกแลตดูโทรมและแดงช้ำ เบ้าตาก็ดำคล้ำไม่ต่างจากหมีแพนด้า ทั้งยังลึกโหลนิดๆ จากการอดนอนเพราะปาร์ตี้และสูบบุหรี่จัด
“เข้าใจไหมว่าวันนี้ฉันเรียกพวกนายมาทำไม” มาร์คทำเป็นไม่สนใจสายตาประหนึ่งฆาตกรโรคจิตของเอ็มมานูเอลแล้วเริ่มพูดเรื่องที่นัดกันมาคุยในวันนี้ทันที
“เรื่องที่เอ็มไปก่อเอาไว้ครับ” ‘ธีโอ พาร์สัน’ ที่เปรียบเสมือนหัวหน้าวงตอบ
“หึ…เดี๋ยวนะ” เอ็มมานูเอลแทรกขึ้นมาด้วยเสียงเนิบนาบกวนประสาท “ก่อเรื่อง? ฉันก่อเรื่องอะไร ไอ้พวกเด็กเวรนั่นต่างหากที่ก่อเรื่อง ฉันไม่มีเอี่ยวด้วย ผลตรวจฉี่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าฉันไม่ได้เล่นยากับพวกมัน”
“ฉันกับบอร์ดบริหารปรึกษากันแล้วเรื่องบทลงโทษ ฉันจะให้เอ็มมานูเอลพักงานเจ็ดเดือน พวกนายที่เหลือยังทำงานต่อไปได้ ฉันไม่มีปัญหาเรื่องนั้น” มาร์คชี้แจงอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา ไม่ได้สนใจว่าหนุ่มลูกเสี้ยวจะว่ายังไง
แต่ลึกๆ มาร์คก็ต้องยอมรับว่าไอ้ตัวปัญหานี่ยังมีดีอยู่บ้าง ถึงมันจะขยันฉาวแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีความคิดที่จะเล่นยาแบบที่คนอื่นๆ ทำกัน ทว่าอย่างไรเสียครั้งนี้เขาจะปล่อยปัญหาไปตามเรื่องเหมือนทุกครั้งไม่ได้
“เจ็ดเดือนเหรอครับ?” ‘ฟรานซิส รอย’ ผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์และอายุน้อยที่สุดถามพลางหันไปมองเพื่อนร่วมวงที่ต้องรับบทลงโทษนี้อย่างเป็นห่วง
เจ็ดเดือนไม่ใช่เวลาน้อยๆ เลย
“เจ็ดเดือนไม่นานขนาดนั้นหรอกฟราน” ‘แบรดลีย์ บริงตัน’ ว่าก่อนจะหันไปหามาร์ค “แต่แฟนคลับคงไม่ชอบนักถ้าเราสามคนยังทำงานต่อขณะที่เอ็มถูกพักงานแบบนี้”
“พวกนายก็คิดหาคำตอบโลกสวยที่แสดงถึงมิตรภาพของพวกนายไปสิ วัยรุ่นน่ะลืมง่ายจะตาย” มาร์คว่าอย่างไม่อินังขังขอบใดๆ
“เหอะ…”
มาร์คตวัดตาไปทางเอ็มมานูเอล “อย่ามาทำเสียงแบบนั้นนะโคลม! นี่ถือเป็นบทลงโทษที่นายสมควรจะได้รับมาตั้งนานแล้ว!”
ชายหนุ่มหน้าโทรมยิ้มหยันพลางหัวเราะในลำคอ “เพราะกลัวโดนนักข่าวประณามมากกว่าล่ะมั้ง เพิ่งจะอยากสร้างภาพหรือไง เมื่อก่อนเห็นเห็นแก่เงินลูกเดียว”
“เอ็ม!” ธีโอปรามเพื่อนเสียงเข้ม
“เอาเป็นว่าตามนี้แล้วกัน ฉันเองก็มีงานเยอะแยะต้องทำ ไม่อยากมานั่งเสียเวลากับปัญหาเดิมๆ ซ้ำซาก” ผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดกล่าวตัดจบห้วนๆ แล้วตั้งใจจะเดินออกไปจากห้องประชุมให้เร็วที่สุดถ้าหากเสียงแหบพร่าของตัวต้นเรื่องจะไม่ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เออ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
“หมายความว่าไง” มาร์คหยุดเดินพร้อมกับย้อนถามด้วยสีหน้าไม่วางใจ ด้วยเพราะน้ำเสียงกวนประสาทแบบนั้นพร้อมกับหน้าตาอ้อนหมัดอ้อนเท้าของเอ็มมานูเอลนั้นทำให้หนุ่มใหญ่รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ แต่เอ็มมานูเอลไม่คิดจะตอบคำถามนั้น สิ่งที่ประธานค่ายเพลงได้รับกลับมามีแค่รอยยิ้มเนือยๆ อย่างไม่อินังขังขอบใดๆ ทั้งสิ้น
บทที่ 1
กลับกฤติกร
‘เอ็ม พ่อโกรธมาก แม่ว่าต่อให้ลูกถ่อสังขารมาถึงหน้าบ้าน พ่อก็ไม่เปิดประตูให้ลูกเข้าบ้านแน่ๆ เอาอย่างนี้นะ คุณยายบ่นหาลูกกับแม่มาหลายครั้งแล้ว ลูกบินไปอยู่กับคุณตาคุณยายที่ไทยดีกว่า รายนั้นต่อให้โกรธที่ลูกทำเรื่องเยอะเอาไว้แค่ไหนแต่ก็ไม่ไล่ลูกออกจากบ้านหรอก ไว้แม่คุยกับพ่อให้ใจเย็นเรื่องลูกก่อนแล้วลูกค่อยบินกลับอเมริกานะ’
นี่คือคำพูดของ ‘ละอองดาว’ แม่บังเกิดเกล้าของเอ็มมานูเอลที่พูดกับลูกชายคนเดียวของหล่อนหลังจากเห็นข่าวพักงานถูกแพร่ออกไป โดยปกติเอ็มมานูเอลกับพ่อของเขา ‘อองตวน โคลม’ ก็มีความสัมพันธ์ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอยู่แล้ว เพราะคนเป็นพ่อไม่ชอบใจที่ลูกชายเลือกจะยึดอาชีพนักร้องนักดนตรีแทนที่จะมาช่วยทำงานบริษัทของครอบครัว ยิ่งเส้นทางชีวิตที่ลูกชายเลือกเละเทะไม่เบาในไม่กี่ปีหลังมานี้ ก็ทำให้พ่อลูกเข้าหน้ากันไม่ติดไปกันใหญ่ ครั้งนี้จะเรียกว่าตัดหางปล่อยวัดเลยก็ได้เพราะอองตวนถึงขนาดลั่นวาจาไม่ขอต้อนรับลูกชายกลับบ้านแบบนี้
ด้วยเหตุนี้เอ็มมานูเอลจึงตีตั๋วเครื่องบินชั้นบิสิเนสคลาสมายังประเทศบ้านเกิดของมารดาอย่างไม่มีทางเลือก
รถแท็กซี่สีเขียวเหลืองจอดลงที่รั้วไม้ระแนงบานใหญ่ มีป้ายประดับตัวอักษรไทยตวัดหางอ่อนช้อยที่ชายหนุ่มผู้โดยสารจำได้ว่ามันคือนามสกุล ‘กฤติกร’ นามสกุลเก่าของมารดาก่อนที่จะแต่งงานไปกับหนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน-ฝรั่งเศสแล้วไปตั้งรกรากอยู่ที่นิวยอร์กด้วยกัน
เอ็มมานูเอลจ่ายเงินให้โชเฟอร์เสร็จก็คว้าเป้ใบใหญ่ลงจากรถ เขาไม่ได้ขนของมามากมายเพราะไม่ชอบบ้าหอบฟางโดยเฉพาะกับการเดินทางที่ต้องเปลี่ยนเครื่องหลายเที่ยวกว่าจะมาถึงประเทศไทยแบบนี้ ชายหนุ่มขนมาแต่เสื้อผ้าสามสี่ชุดและของใช้จำเป็นเท่านั้น โดยตั้งใจว่าถ้าขาดเหลืออะไรค่อยไปหาซื้อเอาเมื่อเดินทางไปถึง
นิ้วเรียวยาวมีรอยไหม้นิดหน่อยเนื่องจากสูบบุหรี่เป็นประจำกดลงไปบนออดข้างประตูรั้วไม้ ไม่ช้าก็มีร่างอวบท้วมเดินอุ้ยอ้ายมาเปิดประตูให้ หล่อนเป็นหญิงมีอายุผมสีดำแซมสีดอกเลามัดเป็นมวยเรียบร้อย สวมเสื้อคอบัวสีครีมและกระโปรงทรงแปลกๆ ที่น่าจะเป็นผ้าของไทยสีน้ำเงินเข้มยาวคลุมหน้าแข้ง
“คุณเอ็มมานูเอลใช่ไหมคะ” หล่อนพูดเป็นภาษาไทยช้าๆ ชัดๆ
ชายหนุ่มพยักหน้าเนือยๆ เพราะง่วงและเจ็ตแล็กอย่างมาก เขาอยู่อเมริกามายี่สิบกว่าปี แต่ก็พอจะฟังภาษาไทยออกและพูดประโยคง่ายๆ ได้บ้างเพราะต้องใช้คุยกับแม่เป็นประจำ แต่ก็ไม่คล่องเท่าภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสที่มีโอกาสได้ใช้บ่อยกว่า
หญิงรับใช้เชิญให้เอ็มมานูเอลเข้าบ้านก่อนจะเดินนำไปตามทางที่ปูด้วยหินกรวดสีขาวทอดยาวไปยังบ้านเรือนไทยประยุกต์หลังงามที่ไม่ต่างจากในความทรงจำของเขาเท่าไหร่นัก มีเพียงตัวเรือนถูกต่อเติมขยายออกไปมากขึ้นกับมีห้องติดกระจกดูทันสมัยเพิ่มเข้ามา ทว่าก็ไม่ขัดตากับความงามอย่างไทยที่มีแต่เดิมอยู่แล้ว
“เชิญค่ะ คุณท่านรอคุณอยู่”
ชายหนุ่มเห็นหล่อนถอดรองเท้าแตะออกจึงถอดตามบ้าง สมองเริ่มทบทวนธรรมเนียมของคนไทยและจำได้ว่าคนไทยไม่สวมรองเท้าเข้าบ้านกัน เขาเตะรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังไปไว้ข้างๆ บันไดทางขึ้นแล้วเดินตามร่างท้วมนั่นไป กลางบ้านนั้นยังคงเปิดโล่งรับสายลมเย็นฉ่ำที่พัดมา มีศาลาพร้อมกับพื้นยกสูงขึ้นไว้เป็นที่สำหรับนั่งพักผ่อนอยู่กลางเรือน บนเบาะหนานุ่มตรงศาลานั้นมีร่างผอมบางของหญิงชราและร่างสันทัดของชายชราที่เขาจำได้ดีว่าเป็นใคร
‘กันต์’ และ ‘นภา กฤติกร’ คุณตาและคุณยายของเขานั่นเอง
“คุณท่านคะ คุณเอ็มมานูเอลมาถึงแล้วค่ะ”
สิ้นเสียงรายงาน นภาก็ละมือจากงานร้อยมาลัยตรงหน้ามามองหน้าหลานชายที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ไม่ไกล ดวงตาสีดำของหญิงชราสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มือบางเหี่ยวย่นวางเข็มร้อยมาลัยลงบนพานข้างตัวก่อนจะกวักมือเรียกหลานชายคนเดียวของนาง “ตาเอ็ม มาหาตากับยายมาลูก”
‘ตาเอ็ม’ ค่อยๆ เดินก้มศีรษะไปหาก่อนจะนั่งขัดสมาธิข้างๆ กายของหญิงชราที่ตัวเล็กกว่าเขามาก
“สวัสดีฮะ…” ชายหนุ่มเอ่ยสวัสดีเฉยๆ ก่อนที่จะนิ่งไปแล้วทักทายใหม่ด้วยการยกมือสองข้างขึ้นประกบกันที่ระหว่างอกเมื่อเห็นสายตาเข้มๆ ของผู้เป็นตาจ้องมา เขาก้มศีรษะลงไปด้วยเพื่อจะไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองตามประเพณีไทยได้อย่างถูกต้องมากขึ้น แต่ท่าทางคงตลกและเก้กังเต็มที เพราะนภาถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไหว้พระเถอะลูก เดินทางเหนื่อยไหม”
สมองล้าๆ ของเอ็มมานูเอลเค้นประโยคภาษาไทยออกมาโต้ตอบคนเป็นยาย
“เหนื่อยครับ อยากนอน”
แม้คำตอบจะดูห้วนแต่เห็นท่าทีครุ่นคิดแบบนั้นของหลานชายแล้ว คนเป็นตากับยายก็รู้ได้ทันทีว่าหลานคนนี้พูดไทยไม่คล่องเสียแล้ว แต่ก็ยังดีที่พอฟังออกว่าพวกตนถามว่าอะไร
“โทรมไปนะ ฉันเห็นข่าวแกหมดแล้ว แม่แกก็โทรมาบอกพวกฉันคร่าวๆ แล้วด้วย แกก็อยู่นี่ไปให้สบายใจเถอะ” เสียงแหบแต่เข้มด้วยนิสัยจริงจังดุดันของกันต์เอ่ย
หลานชายพยักหน้ารับคำแต่ไม่ได้คุยอะไรตอบเพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือเข้าหาผู้ใหญ่อย่างไร ต่อให้คิดถึงกันแค่ไหนแต่เอ็มมานูเอลก็ห่างเหินจากครอบครัวทางฝั่งแม่มานานมากแล้ว ทำให้เหมือนมีช่องว่างระหว่างกันจนพานทำตัวไม่ถูก แต่ที่แห่งนี้ก็เป็นที่เดียวที่ชายหนุ่มรู้สึกว่าต้อนรับเขาจริงๆ เอ็มมานูเอลรู้ดีว่าตากับยายยังรักเขาอยู่โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เพราะอย่างนี้แม่ถึงแนะนำให้เขาหลบมาพักผ่อนที่นี่ซึ่งตัวเขาก็ไม่ปฏิเสธ
เพราะลึกๆ แล้วเขาเองก็คิดถึงตากับยายที่เมืองไทยมากเหมือนกัน
“แม่เนื่อง พาหลานฉันไปห้องเขาไป ยายจัดห้องใหม่ไว้ให้แล้ว ไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะนะ เดี๋ยวตอนเย็นมาทานข้าวด้วยกัน” หญิงชราสั่งกับแม่บ้านที่เป็นคนพาเอ็มมานูเอลเข้ามา หล่อนลุกขึ้นเดินนำชายหนุ่มลูกเสี้ยวไปทางเรือนที่ต่อเติมใหม่ทางฝั่งขวา แต่ทั้งสองคนก็ต้องหยุดฝีเท้าไปเมื่อมีเสียงเรียกจากด้านหลังมารั้งพวกเขาเอาไว้
“ป้าเนื่องคะ เห็นปุยฝ้ายไหม”
เอ็มมานูเอลหันหลังกลับไปมองตามเสียงนั้น เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวหน้าใส ผมดำยาวตรง ผิวสีงาช้างในเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นกับกระโปรงพลีตสีดำแปลกตา คิ้วเข้มหนาสีดำของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เพราะในสมองของเขานั้นรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับเด็กสาวคนนี้อย่างบอกไม่ถูก
“อ้าวคุณเต็ม! นังปุยฝ้ายช่วยนังแจ๋วอยู่ในครัวค่ะ”
เด็กที่ชื่อ ‘เต็ม’ พยักหน้ารับรู้ก่อนจะเบนสายตามาทางเอ็มมานูเอล เธอชะงักไปนิดหน่อยเมื่อเห็นหน้าเขาชัดๆ ท่าทางอย่างนั้นเอ็มมานูเอลเห็นแล้วก็รู้ตัวทันทีเลยว่าเธอจำหน้าเขาได้ เดี๋ยวคงได้เอาไปโพนทะนาบนเฟซบุ๊กไม่ก็ทวิตเตอร์แน่ๆ คิดแล้วชายหนุ่มก็กลอกตาสีน้ำตาลของตัวเองอย่างเบื่อหน่าย
“เต็ม! มาหาปู่หน่อยมา!” เสียงดังแหบห้าวของกันต์ร้องเรียกเด็กสาวอย่างคุ้นเคยกันดีจนคนเป็นหลานชายแท้ๆ ยังอดหันไปมองผู้เป็นตาไม่ได้
ร่างเล็กเหมือนเด็กมัธยมต้นเดินเข้าไปหาชายชราที่แทนตัวเองว่า ‘ปู่’ กับเธออย่างนอบน้อม ทุกกิริยาของสามคนบนศาลานั้นอยู่ในสายตาของเอ็มมานูเอลทั้งหมด เด็กสาวนั่งลงบนเบาะที่ชายหนุ่มเพิ่งนั่งไปเมื่อครู่ ก่อนจะไหว้ผู้อาวุโสทั้งสอง ส่วนกันต์และนภาก็รับไหว้อย่างยิ้มแย้ม ทักทาย ลูบศีรษะเด็กคนนั้นอย่างรักใคร่เอ็นดู
“คุณเอ็มคะ” ‘แม่เนื่อง’ เรียกชายหนุ่มพร้อมกับแตะมือเหี่ยวย่นลงบนแขนของเขาไปด้วย
“What?” เขาหันไปพร้อมกับถามเป็นภาษาอังกฤษตามความเคยชิน
ถึงจะไม่รู้ภาษาเมืองนอกเมืองนา แต่แม่เนื่องก็ยิ้มแป้นอ่อนโยนกลับมาแล้วพูดตอบชายหนุ่มเป็นภาษาไทย “ยังอยากไปห้องคุณอยู่ไหมคะ”
“เอ่อ…ไป…ไปฮะ” เอ็มมานูเอลตอบตะกุกตะกัก ก่อนจะตัดสินใจถามแม่เนื่องที่เดินนำหน้าเขาอยู่ว่า “เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอครับ”
“เธอชื่อเต็มเดือนค่ะ เป็นหลานสาวของเพื่อนสนิทคุณท่าน”
คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มพอใจเท่าไหร่ เขาอยากรู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงดูสนิทสนมกับตายายของเขานัก เพราะจากคำตอบของแม่เนื่อง หล่อนก็ไม่ได้เป็นหลานแท้ๆ เหมือนเขาเสียหน่อย
ก็แค่หลานของเพื่อน…
ห้องของเอ็มมานูเอลเป็นห้องที่ติดกระจกใสไว้รอบด้านทำให้มองเห็นเข้าไปภายในห้องได้อย่างชัดเจน มืออวบเหี่ยวย่นของแม่เนื่องไขกุญแจพร้อมกับเชิญให้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องได้เดินเข้าไป หล่อนชี้บอกตำแหน่งสวิตช์ไฟและรีโมตเครื่องปรับอากาศให้ชายหนุ่มรู้คร่าวๆ ก่อนจะเอ่ยขอตัวเพื่อที่หลานชายของเจ้าของบ้านจะได้พักผ่อนตามลำพัง
“ถ้าหากคุณเอ็มสงสัยเรื่องคุณเต็ม ไว้รอถามคุณท่านเย็นนี้ก็ได้ค่ะ คุณเต็มอาจจะอยู่ทานมื้อเย็นวันนี้ก็ได้”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมมากขึ้น เสี้ยวหน้าคมเป็นเหลี่ยมมุมชัดเจนหันไปหาแม่เนื่อง “แล้วทำไมคุณถึงบอกผมตอนนี้ไม่ได้”
“เรื่องของเจ้านายป้าพูดไม่ได้ค่ะ คุณเอ็มรอฟังจากปากคุณท่านเองดีกว่า”
อะไรเนี่ย?!
บ้านนี้มีความลับเยอะตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เอ็มมานูเอลหลับเป็นตายหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดเต็มทีแล้ว พอดีกับที่แม่เนื่องมาเคาะประตูห้องเขาเพื่อเรียกไปทานข้าวเย็น ชายหนุ่มเริ่มประมวลความทรงจำและจำได้ว่าตอนนี้ เขาอยู่บ้านของตากับยายในประเทศไทยเพื่อพักร้อนและสงบสติอารมณ์ตามที่แม่แนะนำ
ชายหนุ่มยันตัวขึ้นมาจากเตียงนอนอย่างงัวเงีย ก่อนจะเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำเพื่อให้ตาสว่างมากขึ้น อาการเจ็ตแล็กยังไม่หายไปนักแต่ก็ถือว่าโอเคขึ้นกว่าตอนลงจากเครื่องใหม่ๆ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนมาก มือขาวแข็งแรงลูบน้ำเย็นไปตามลำคอ พลันนึกถึงใบหน้าเรียบๆ ของเด็กคนนั้นขึ้นมาได้
ชื่ออะไรนะ…เท็น…เทม…
เทมส์เหรอ เทมส์แบบแม่น้ำเทมส์น่ะเหรอ
แต่เอ็มมานูเอลรู้สึกว่าแม่เนื่องไม่ได้ออกเสียงชื่อเด็กนั่นแบบนั้นนี่นา
แล้วทำไมเขาต้องไปติดใจสงสัยอะไรมากมายด้วย ก็แค่คนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยพบกัน แปลกชะมัด…ในสมองลึกๆ ของเอ็มมานูเอลนั้นกลับรู้สึกคุ้นหน้าเด็กคนนั้นอยู่ไม่น้อยเลย เหมือนเคยเจอกันมาก่อน แต่ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพานจะปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น
ทว่าพอร่างสูงชะลูดเกือบแตะร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของเอ็มมานูเอลเดินตรงไปยังศาลากลางเรือน เขากลับไม่เห็นร่างผอมบางของเด็กนั่นเลย ทั้งที่นึกว่าเธออาจจะอยู่กินมื้อเย็นด้วยแท้ๆ ชายหนุ่มลงไปถึงห้องรับประทานอาหารที่ใต้ถุนเรือนก็ยังไร้วี่แววของเด็กคนนั้น เอ็มมานูเอลเห็นแค่ตากับยายของเขาเท่านั้น บนโต๊ะมีสำรับอาหารมากมายที่จัดวางเอาไว้อย่างแน่นเอี้ยดจนน่ากลัวว่าจะทานไม่หมด
“ยายเตรียมของชอบเราไว้ทั้งนั้นเลยนะตาเอ็ม ไม่รู้เรายังจำได้หรือเปล่า” นภาว่าก่อนจะตักกุ้งตัวโตในต้มยำกุ้งสีสันน่ารับประทานให้หลานชายเพียงคนเดียวอย่างเอาใจ
เอ็มมานูเอลพอจะจำได้ว่าอาหารไทยแต่ละอย่างบนโต๊ะนี้เขาล้วนชอบทานทั้งนั้น บางอย่างอาจจำรสชาติไม่ได้มากนักแต่ก็พอคุ้นหน้าตามันอยู่บ้าง มือใหญ่เรียวยาวใช้ช้อนกดตัดหัวกุ้งแม่น้ำออก มันกุ้งสีส้มอมแดงไหลทะลักออกมาส่งกลิ่นหอมมันน่าทาน ชายหนุ่มแกะเปลือกตามตัวกุ้งออกอย่างเก้ๆ กังๆ และไม่ยอมให้ใครช่วยแกะเด็ดขาด ถึงจะแกะเองอยู่นานแต่สุดท้ายเขาก็ได้ทานเนื้อกุ้งอวบๆ ร้อนๆ สมใจ
“เสียดายยายเต็มไม่อยู่กินมื้อเย็นกับเรานะแม่ฟ้า” กันต์ชวนคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศบนโต๊ะเงียบเกินไป
เอาอีกแล้ว ชื่อนี้อีกแล้ว
“ใครเหรอ…ครับ” ชายหนุ่มลูกเสี้ยวเอ่ยถามออกไปและเกือบจะลืมใส่หางเสียงอีกตามเคย
“ก็เต็มเดือนไงจ๊ะตาเอ็ม” นภาตอบคำถามพลางมองใบหน้ารกครึ้มของหลานชายนิ่งนาน แต่สิ่งที่หญิงชราได้กลับมามีเพียงแค่ความเงียบและสีหน้าที่ฉงนงงงวยมากกว่าเดิมของเอ็มมานูเอล
“คงจะจำไม่ได้จริงๆ สินะ” หญิงชรารำพึงออกมากับตัวเอง น้ำเสียงคล้ายกับว่าผิดหวัง จนทำให้เอ็มมานูเอลต้องพูดแก้ตัวออกไป
“ยาย ไม่ใช่ความผิดผมเสียหน่อยที่จำใครที่นี่ไม่ได้เลย ครั้งสุดท้ายที่ผมมาประเทศไทยก็ตอนผมสัก…สิบเอ็ดขวบได้มั้ง” พอพูดจบชายหนุ่มก็อดประทับใจตัวเองไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ลืมภาษาบ้านเกิดของแม่ไปซะทีเดียว แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอก ปกติเจอกับละอองดาวผู้เป็นแม่ทีไร แม่ก็มักพูดไทยกับเอ็มมานูเอลเสมอ บางทีภาษาไทยมันคงฝังลึกอยู่ในสมองของเขามานานแล้ว แต่แค่ไม่ค่อยได้มีโอกาสแงะออกมาใช้เท่านั้นเอง
“สิบเอ็ดขวบแกก็ตัวโตเป็นหนุ่มแล้วนะ แต่เอาเถอะ ถ้าแกจำไม่ได้ ฉันก็จะแนะนำให้แกรู้จักใหม่อีกครั้ง เด็กนั่นน่ะชื่อเต็มเดือน เป็นหลานสาวของเพื่อนสนิทฉันเอง” กันต์เป็นคนตอบคำถามของเอ็มมานูเอลในที่สุดเมื่อเห็นว่าคนเป็นหลานชายจำอะไรไม่ได้จริงๆ
“แล้ว…เขาเกี่ยวอะไรกับบ้านเราเหรอครับ”
“ก็แค่ฉันกับปู่ของยายเต็มสนิทกันมาก ก็ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ นั่นแหละ”
“แต่ตาดูสนิทกับเด็กคนนั้นมากเลยนะ อย่างกับเป็นหลานแท้ๆ อย่างนั้นแหละ”
“ทำไม อิจฉารึ!” ชายชราที่ดูหนุ่มกว่าอายุจริงถามเสียงกลั้วหัวเราะ
เอาล่ะสิ ไอ้หลานตัวโตวัยเบญจเพสมันน้อยใจตากับยายที่สนใจเด็กอายุสิบเก้ามากกว่ามันที่เป็นหลานแท้ๆ
“ไม่! ก็ไม่ใช่ญาติ เลยสงสัยว่าสนิทอะไรขนาดนั้น” ชายหนุ่มแก้มร้อนวูบ รู้สึกขายขี้หน้านิดๆ ที่ทำตัวเหมือนเด็กขี้อิจฉา
“ตากับยายเอ็นดูยายเต็มมากก็เพราะปู่ของแกชอบเอาแกมาฝากไว้ให้บ้านเราดูแลตั้งแต่เด็กน่ะจ้ะ” นภาตอบยิ้มๆ ก่อนที่สีหน้าของหญิงชราจะฉายแววเศร้าสร้อยขึ้นมาแทนเมื่อพูดประโยคต่อไป “จริงๆ แล้วปู่ของยายเต็มเพิ่งจะเสียไปไม่นานด้วย นี่ก็เพิ่งจะผ่านวันเผามาได้อาทิตย์เดียวเอง”
“เด็กคนนั้นไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้วหรือครับ” เขาถามต่ออย่างสงสัยใคร่รู้
“มีสิ ฉันแค่เอ็นดูยายเต็มเพราะเหตุผลหลายๆ อย่างน่ะ” กันต์ตอบเสียงเรียบ
“เช่น?”
กันต์ยิ้มอ่อนๆ ให้หลานชายก่อนจะตอบออกไปว่า “ก็เช่นว่าฉันหมายตัวยายเต็มไว้ให้แต่งงานกับแกไงไอ้หลานชาย”
ติดตามตอนต่อไปได้วันที่ 29 พ.ค. 62
Comments
comments