บทนำ
ฟองจันทร์มองออกไปด้านนอกหน้าต่างเครื่องบินด้วยสายตาพรั่นพรึง สายฟ้าฟาดเป็นเส้นแสงแปลบปลาบราวกับจะฉีกผืนฟ้าสีขมุกขมัวเป็นชิ้น เธอเห็นความเป็นไปที่เบื้องนอกได้ชัดเจนแม้บานกระจกจะถูกรบกวนด้วยฝนเม็ดใหญ่ตลอดเวลา…อากาศภายในเคบินเครื่องบินค่อนข้างเย็น ทว่ามือเรียวสองข้างของเธอนั้นเย็นกว่า และการเอามันมาเกาะเกี่ยวกุมกันไว้แน่นหนาก็ไม่ได้ช่วยให้อุ่นขึ้นเลย
เครื่องบินลำโตสั่น หญิงสาวค่อนข้างแน่ใจว่ามันเหวี่ยงตัวไปมาน้อยๆ ด้วย นั่นทำให้สติของเธอพลอยทำท่าจะแตกตัวกระจัดกระจาย เธอเลยผินหน้ากลับแล้วหลับตาลง ตามด้วยการสูดลมหายใจลึกก่อนจะนึกท่อง
“โรตี ชาชัก มะตะบะ แกงเหลือง เอ็นหอยผัดฉ่า…”
เสียงท่องยาวยืดของเธอฉุดให้บุรุษที่นั่งอยู่ข้างๆ ลืมตาขึ้นและหันมามอง ตอนแรกเขานึกว่าหูฝาด แต่ฟังไปฟังมาที่เธอกำลังท่องล้วนเป็นเมนูอาหารจริงๆ
คนอะไรนั่งท่องชื่อเมนูอาหารบนเครื่องบิน
คิ้วของปาลย่นเข้าหากัน แต่ก่อนที่เขาจะดึงสายตากลับก็เหลือบเห็นสองมือที่เกาะกันแน่นบนตักของเธอเสียก่อน เขาชั่งใจนิดหนึ่งแล้วตัดสินใจเปิดปากถามตอนเธอท่องถึงบักกุ๊ดเต๋
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“คะ?” ฟองจันทร์ลืมตาขึ้นแล้วหันไปทำหน้าเหลอหลาใส่คนถาม
“ผมได้ยินคุณท่องชื่ออาหาร”
“ฉันท่อง…เอ๊ะ ฉันพูดออกไปด้วยเหรอ” หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วของเธอยิ่งดูโตเข้าไปใหญ่…เมื่อกี้เธอนึกว่าท่องอยู่ในใจเสียอีก!
“คุณกลัวเครื่องบินหรือเปล่า” ปาลถาม ครั้นเห็นสายตาที่มองมาเขาก็พยักพเยิดไปยังมือบนตักของเธอเป็นเชิงบอกว่าเขาเดาจากภาษากาย
“เอ้อ ปกติก็ไม่กลัวหรอกค่ะ แต่ถ้าเป็นตอนไม่ปกติแบบนี้…คือมีพายุ เครื่องตกหลุมอากาศแบบรู้สึกได้ฉันก็จะหลอนหน่อยๆ” ฟองจันทร์อธิบาย
“แล้ววิธีแก้ของคุณคือนั่งท่องเมนูอาหารเหรอ”
“คือฉันแค่พยายามหาอะไรเบี่ยงเบนความสนใจตัวเองอ่ะค่ะ” เธอยิ้มแห้ง “พอดีฉันกำลังจะไปเจอเพื่อน ตอนคุยกันก่อนหน้านี้เพื่อนส่งเมนูอาหารมายั่วฉันเต็มไปหมด ฉันก็เลยคิดว่าห้ามตายก่อนได้ไปกินอาหารพวกนั้น”
คำอธิบายของหญิงสาวเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง ปาลจ้องใบหน้าที่ดูเหมือนแทบจะไร้เครื่องสำอาง ก่อนที่มุมปากของเขาจะยกเป็นรอยยิ้มด้วยความขบขัน
“ก็เป็นวิธีที่ดีนะ”
“เอ่อ ถ้าเมื่อกี้รบกวนคุณฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันนึกว่าท่องอยู่ในใจ”
“ไม่เป็นไร คุณทำให้ผมได้ไอเดียเยอะเลยว่าต้องไม่พลาดกินอะไรบ้าง”
ฟองจันทร์หัวเราะแหะๆ ขณะที่ชายหนุ่มพยักพเยิดไปยังนอกหน้าต่างเครื่องบิน
“เหมือนเราจะผ่านพายุมาแล้วนะ”
หญิงสาวหันมองตาม ท้องฟ้าด้านนอกสว่างมากขึ้นแล้ว แม้จะยังมีฝนแต่ก็เป็นสัญญาณว่าสภาพอากาศดีขึ้นแล้วตามที่เขาบอก
“น่าจะใกล้ถึงสนามบินแล้วด้วย ดีจัง” เธอหันกลับไปส่งยิ้มกว้างให้เขา “เอ่อ ขอบคุณนะคะที่ชวนฉันคุย ฉันลืมกลัวเลย”
ปาลพยักหน้ารับจากนั้นเขาก็หันกลับไป ฟองจันทร์เลยนิ่งเสีย แม้ความจริงจะคุยกับเขาได้อีกตามประสาคนชอบผูกมิตร แต่ในเมื่อเขาไม่ได้มีทีท่าอยากคุยอีกเธอก็ไม่ควรรบกวนเขา แค่เขามีน้ำใจไถ่ถามคนแปลกหน้าอย่างเธอก็ถือว่าดีมากแล้ว
เรียกเขาว่าคุณใจดีไปก่อนแล้วกัน เอาไว้ถ้าโชคชะตาฟ้าลิขิตให้ได้เจอกันอีกสักหนแล้วค่อยถามชื่อเขาก็ไม่สาย
เครื่องบินแลนดิ้งที่ท่าอากาศยานหาดใหญ่อย่างปลอดภัย ฝนยังคงโปรยปรายอยู่ และเพราะไม่มีสะพานเทียบเครื่องบินทอดเชื่อมระหว่างเครื่องบินกับอาคารผู้โดยสาร ดังนั้นแม้ฝนไม่หนาเม็ดแต่ก็ทำให้ผู้โดยสารทุกคนต่างรีบเดินเข้าอาคารรวมถึงผู้ชายใจดีที่นั่งข้างฟองจันทร์ด้วย เขาเดินเร็วมาก เธอเห็นเขาสาวเท้ายาวๆ แป๊บเดียวก็หายไปจากสายตาแล้ว
ครั้นเข้าไปในอาคารก็เจอสายพานลำเลียงกระเป๋า ร่างเล็กในชุดเสื้อผ้าฝ้ายกระโปรงยาวสไตล์โบฮีเมียนหยุดยืนรอกระเป๋าเดินทาง เธอไม่เห็นชายหนุ่มคนนั้นแล้ว บางทีเขาอาจจะไม่มีสัมภาระมากมาย ส่วนใหญ่ถ้าเดินทางแค่คืนสองคืนก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระเป๋าเดินทางแบบต้องโหลดใต้เครื่อง แต่สำหรับครั้งนี้เธอมีกระเป๋าเดินทางเพราะคิดว่าน่าจะมาอยู่นาน ดังนั้นเลยคิดว่าขนของมาเผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย
กระเป๋าเดินทางของเธอเคลื่อนมาตามสายพานอย่างรวดเร็ว แต่แค่เธอเอื้อมไปหยิบมันมาตั้งบนพื้นก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงสายฟ้าฟาดเปรี้ยง ดวงหน้ารูปหัวใจที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมหนาสีน้ำตาลคาราเมลถักเป็นเปียหันขวับออกไปทางด้านนอกอาคาร คนอื่นๆ ในบริเวณนั้นก็ล้วนทำแบบเดียวกัน แม้จะมองไม่เห็นอะไรเพราะมีผนังทึบขวางอยู่ก็ตาม
อย่าบอกนะว่าพายุไล่ตามมา
ฟองจันทร์ถอนหายใจก่อนจะลากกระเป๋าออกจากบริเวณนั้นเพื่อไปเจอเพื่อนสนิทตามที่นัดกันไว้ ตอนแรกเธอกลัวหาฐานิตไม่เจอ แต่อีกฝ่ายบอกว่าสนามบินนี้เล็กนิดเดียว อย่างไรก็ต้องเจอกันแน่ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเธอสังเกตเห็นร่างท้วมของเพื่อนยืนกดมือถืออยู่แถวหน้าร้านอาหารร้านหนึ่งอย่างง่ายดาย
“นิต”
เจ้าของชื่อเงยหน้าตามเสียงเรียก จากนั้นก็ฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นเจ้าของเสียง
“มาถึงเสียทีนะแก ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เปลี่ยนสีผมซะด้วย”
“ได้ข่าวว่าเราเพิ่งเจอกันตอนงานเลี้ยงรุ่นเมื่อสองเดือนก่อน” ฟองจันทร์ชี้ให้เห็นความจริง
“เออว่ะ” ฐานิตทำท่านึกขึ้นได้แล้วหัวเราะ “แต่ตอนนั้นแกยังหัวดำอยู่เลย ฉันเลยรู้สึกเหมือนมันนานๆ”
“แกเลี้ยงหลานจนลืมวันลืมคืนมากกว่า”
“อันนี้ก็น่าจะจริงเหมือนกัน เลี้ยงเด็กเล็กนี่สุดจะเหนื่อยเลยว่ะ ฉันไม่กล้ามีลูกแล้วเนี่ย”
“แล้วทุกวันนี้แกไม่กล้ามีผู้ด้วยป่ะ” ฟองจันทร์เย้า
“สวยหรูดูแพงเกินไปต้องทำใจว่ะ ไม่มีผู้ชายกล้าเข้ามาจีบ จะไปจีบผู้ชายก่อนก็เกรงจะไม่งาม” ฐานิตหัวเราะร่วน “แกหิวไหม ถ้ายังก็รอไปกินข้าวที่บ้านพี่สาวฉันทีเดียว ขับรถไปก็สักชั่วโมง”
“ไปเลยดีกว่า เมื่อกี้ฉันได้ยินฟ้าผ่าเปรี้ยง…เครื่องบินที่ฉันนั่งมาก็ฝ่าพายุมาเลย สงสัยมันตามมาที่นี่อีกมั้ง”
“แถวนี้ฝนตกบ่อยอยู่ ช่วงนี้นี่ตกหนักลมแรงเป็นพิเศษเลย” เพื่อนร่างท้วมพยักหน้าหงึกหงัก
สองสาวเพื่อนรักซึ่งคบหาสนิทสนมกันมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามหาวิทยาลัยเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ฟองจันทร์เล่าถึงเหตุการณ์บนเครื่องบินให้เพื่อนฟัง ครั้นเดินมาถึงประตูทางออกจากอาคาร เธอก็สังเกตเห็นร่างสูงที่กำลังพาดพิงถึง เขากำลังจะเปิดประตูรถเอสยูวีคันหนึ่ง
“สมเป็นแกจริงๆ ว่ะ นั่งท่องเมนูอาหารเนี่ย” ฐานิตปลงกับเพื่อนสายกินของตัวเอง
“เฮ้ย นั่นไงแก ผู้ชายคนนั้น” ฟองจันทร์ร้องขึ้นมาเกือบจะพร้อมกับที่เพื่อนพูด
“ที่กำลังขึ้นรถนั่นน่ะเหรอ…หน้าตาดีนี่หว่า” อีกฝ่ายมองตาม “แหม น่าเสียดายที่แกไม่ขอคอนแทกต์เขาไว้ แกนี่ไม่เป็นงานเลย ถ้ามีคอนแทกต์ถึงแกไม่สนเดี๋ยวฉันจีบเองก็ได้”
“ฉันตั้งใจไว้ว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้งจะถาม เกิดมีวันนั้นจริงๆ แกก็ช่วยจีบเขาอย่างที่ปากดีไว้ด้วยแล้วกัน” ฟองจันทร์ยิ้มขำๆ รู้ประวัติเพื่อนดีว่าเป็นพวกเก่งหลังไมค์ พอไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ชายที่อยากจีบทีไรตัวแข็งเป็นหินอย่างกับเจอหน้าเมดูซ่าทุกที
“ยังกับจะเจอกันง่ายๆ” สาวร่างท้วมส่ายหน้าไปมาแล้วกางร่มพาเพื่อนเดินออกจากชายคาอาคารเพื่อไปยังลานจอดรถกลางแจ้ง
“อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นนั่นแหละ แกดูอย่างพี่นันท์ของแกสิ ทำงานอยู่ตั้งภาคเหนือยังอุตส่าห์มาเจอสามีคนใต้”
“แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับทุกคน ในไทยคงไม่มีประชากรขึ้นคานเยอะขนาดนี้หรอก” ฐานิตกลอกตา ก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้ “เออ พูดถึงเรื่องนี้…แกมาสตูลคราวนี้ฉันมีที่เด็ดๆ จะพาแกไป”
“ที่เด็ดๆ อะไร” ฟองจันทร์เลิกคิ้ว
“เอาน่า เดี๋ยวก็รู้เอง”
ท่าทีมีลับลมคมในของเพื่อนทำให้ฟองจันทร์นึกขำ แต่เธอก็ไม่ได้พยายามซักไซ้ต่อเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็ได้รู้อยู่ดี…หลังจากเก็บกระเป๋าเดินทางเข้าช่องเก็บของหลังรถเก๋งคันเล็กแล้วเธอก็เดินไปขึ้นนั่งบนเบาะข้างคนขับ
“เอาล่ะ Let’s go.” ฐานิตประกาศแล้วเหยียบคันเร่งพารถออกจากช่องจอด
ฟองจันทร์เอนหน้าเข้าไปใกล้กระจกหน้าต่าง ดวงตาเหลือบขึ้นมองเมฆฝนที่ปกคลุมผืนฟ้าแวบหนึ่งก่อนจะหันมาสนใจสิ่งรอบตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้เดินทางไปจังหวัดสตูล…ขอให้เป็นทริปที่ดีด้วยเถอะ
บทที่ 1 คำอธิษฐานกะทันหัน
“นั่นโรงแรมสร้างใหม่เหรอแก ดูหรูใช่เล่นเลยนะ” ฟองจันทร์ที่นั่งมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถไปเรื่อยส่งเสียงถามเมื่อสังเกตเห็นแนวรั้วยาวใหม่เอี่ยม บริเวณใกล้ทางเข้าออกซึ่งเปิดโล่งมีป้ายชื่อที่ยังมีพลาสติกคลุมทำให้อ่านได้ไม่สะดวกนัก
“อืม” ฐานิตส่งเสียงรับ “เห็นว่าโรงแรมนี้มีปัญหาตอนก่อสร้างด้วยนะ คนในพื้นที่ไม่อยากให้สร้างหรือไงนี่แหละ เจ้าของคงทุนหนาแบ็กดีจริงๆ มั้งถึงมาสร้างจนได้”
“เจ้าของเป็นคนนอกพื้นที่ด้วยเหรอ…ฉันว่ากล้าดีนะที่มาสร้างโรงแรมหรูๆ ในจังหวัดที่เป็นเมืองรองแบบนี้” ฟองจันทร์นึกทบทวนว่าทำไมเมื่อวานไม่ยักสังเกตเห็นโรงแรมนี้ แล้วก็ได้ข้อสรุปว่าน่าจะเป็นเพราะฝนตกค่อนข้างหนัก
“เขาก็คงศึกษามาดีแล้วมั้ง ใช้เงินลงทุนขนาดนี้” เจ้าของร่างท้วมบอก “ว่าไป ไหนๆ วันนี้ก็ว่างแล้วฉันพาแกไปที่เด็ดๆ ที่ฉันบอกไว้ตอนอยู่สนามบินดีกว่า”
“แล้วไม่ต้องกลับบ้านไปช่วยพี่นันท์เลี้ยงหลานเหรอ”
“ไม่อ่ะ วันนี้พี่เขยฉันอยู่บ้านไง เดี๋ยวก็ช่วยพี่นันท์เองแหละ”
ฟองจันทร์ฟังแล้วพยักหน้าหงึกๆ…ครอบครัวของเพื่อนเป็นคนเหนือ ฐานิตลงมาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ เลยได้รู้จักเธอ ส่วนฐิตานันท์ผู้เป็นพี่สาวนั้นอาศัยและทำงานในละแวกภาคเหนือตลอด จนกระทั่งได้พบกับพิทักษ์ซึ่งเป็นชาวสตูลที่เดินทางขึ้นไปทำธุระแถบภาคเหนือ หลังจากคบหากันระยะหนึ่งทั้งสองก็ตกลงใจแต่งงานกัน นอกจากฐิตานันท์ต้องจากบ้านมาไกลแล้วยังต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามด้วย
ฐิตานันท์เพิ่งคลอดเมื่อเดือนก่อนนี่เอง พิทักษ์ทำงานเป็นไกด์นำเที่ยวในพื้นที่ บางครั้งก็ต้องออกจากบ้านแบบข้ามวันข้ามคืน ช่วงนี้ฐานิตว่างงานอยู่ พอเห็นว่าพี่สาวเลี้ยงลูกคนเดียวเหนื่อยแถมอยู่ไกลบ้าน เลยหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่ที่สตูลตั้งแต่หลานเพิ่งอายุไม่กี่วัน หนำซ้ำยังชวนให้เธอมาเยี่ยมยิกๆ
ฟองจันทร์ทำงานเป็นนักเขียนและบล็อกเกอร์อิสระ ส่วนใหญ่จะรับเขียนบทความและทำรีวิวต่างๆ มีทั้งแบบที่คิดคอนเทนต์เองซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแนวอาหารที่เธอถนัด กับแบบที่ลูกค้ากำหนดหัวข้อมาให้เขียนตาม โดยเธอจะมีลูกค้าประจำอยู่สามสี่เจ้า รวมถึงทำเพจของตัวเองด้วย แต่ช่วงหลังมานี้มีปัญหาหลายอย่าง เธอเลยทั้งเบื่อและเหนื่อย เมื่อหาเวลาได้เลยตกลงใจลงใต้มาสตูลตามคำชวนของเพื่อน นอกจากจะได้เที่ยวแบบมีที่พักฟรีแล้วยังน่าจะเป็นโอกาสให้ได้เก็บวัตถุดิบใหม่ๆ สำหรับงานเขียนด้วย
บ้านของครอบครัวพิทักษ์เป็นบ้านโบราณมีใต้ถุน พอเขาแต่งงานก็มาสร้างบ้านแยกอีกหลังเป็นบ้านสมัยใหม่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน บ้านมีสองห้องนอน ฟองจันทร์เลยมาอาศัยด้วยได้ค่อนข้างสะดวกเพราะสามารถนอนกับฐานิตได้
เมื่อวานตอนมาถึงพิทักษ์ไปร่วมงานประชุมที่พัทลุง เธอเลยเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรกเมื่อสายนี้เอง ทว่าก็ได้คุยกันไม่กี่คำเพราะเพื่อนต้องเอาพัสดุไปส่งไปรษณีย์แทนพี่สาวซึ่งเปิดร้านขายของออนไลน์หารายได้พิเศษ แต่เท่าที่คุยกันชายหนุ่มก็ดูเป็นมิตรและมีน้ำใจดี มะหรือแม่ของพิทักษ์ก็ใจดีเหมือนกัน แถมทำอาหารอร่อยสุดยอดจนเธอยังคิดว่าต้องขอสูตรอาหารกลับไปกรุงเทพฯ ด้วย
ฟองจันทร์หวังเอาไว้ว่าทริปสตูลนี้จะเป็นทริปที่ดี อย่างน้อยตอนนี้มันก็เริ่มต้นดีแล้ว…ขอให้มันดีไปตลอดรอดฝั่งด้วยเถอะ
“หือ นี่บ่อน้ำเหรอ” ฟองจันทร์เดินไปชะโงกดูตรงขอบปากปล่องวงกลมซึ่งก่อด้วยอิฐอยู่บนแท่นวงกลมอีกชั้น
สถานที่ที่ฐานิตพามานั้นต้องขับรถไกลพอสมควร แม้ถนนที่ใช้เดินทางมาจะมีสภาพดีและมีรถวิ่งไปมาตลอด แต่สองข้างทางก็มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า บางช่วงสัญญาณโทรศัพท์มือถือขาดหายด้วยซ้ำ ปลายทางเป็นชุมชนหนึ่ง เพื่อนชี้มือชี้ไม้ให้ดูว่าข้างหน้าเป็นท่าเรือ แล้วอีกฝ่ายก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นเล็กกว่า จากนั้นก็พาเธอลงเดินจนมาถึงจุดที่มีปากปล่องวงกลมหลายปล่อง
“ช่าย มีเจ็ดบ่อ เขาถึงเรียกหมู่บ้านตรงนี้ว่าบ้านบ่อเจ็ดลูกไง”
“แล้วแกพาฉันมาดูบ่อน้ำเนี่ยนะ” ฟองจันทร์ขมวดคิ้ว
“ที่นี่ดังนะแก แบบว่าเป็นหนึ่งในตำนานของสตูลเลย” ฐานิตยกแขนขึ้นกอดอก “จริงๆ ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องตำนานละเอียดเท่าไหร่ เท่าที่ได้ยินมามีหลายตำนาน อันที่พี่เขยฉันเล่าให้ฟังก็ประมาณว่ามีพ่อชาวเลคนนึงขุดบ่อน้ำใช้ ทีนี้พอมีลูกเพิ่มก็มีน้ำใช้ไม่พอเลยขุดบ่อต่อมาเรื่อยๆ ตามจำนวนลูกจนถึงบ่อที่เจ็ด แต่ประเด็นสำคัญก็คือว่ากันว่าบ่อน้ำนี้ศักดิ์สิทธิ์มากแก”
“ศักดิ์สิทธิ์?” คิ้วที่ขมวดอยู่ของฟองจันทร์คลายตัวแล้วยกขึ้นสูงแทน
“คือเขาให้อธิษฐานแล้วเอาน้ำในบ่อมาพรมๆ ตามหัวตามตัว บ่อที่อยู่ข้างแกนี่แหละ ถ้าสำเร็จก็ให้มาแก้บน แถวนี้มีบริการแก้บนทางไกลด้วยนะ แบบว่าโทรมาสั่งแล้วโอนเงินมา ชาวบ้านก็จะจัดการให้ สะดวกสุดๆ”
“แล้วที่พาฉันมาก็คือจะให้ฉันอธิษฐานงี้เหรอ…แกก็รู้ว่าปกติฉันเป็นพวกไม่มีดวงไม่มีโชค อยากได้อะไรต้องลงมือทำเองทั้งนั้น”
“ลองดูอีกสักหนก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่นา พักนี้แกก็เหนื่อยๆ กับหลายเรื่อง ลองขอดูสักเรื่องจะเป็นไรไป”
ฟองจันทร์ผินหน้าไปมองบ่อน้ำที่ใหญ่ที่สุดอีกครั้งอย่างชั่งใจ เธอไม่เชื่อเรื่องพวกนี้แต่ก็ไม่เคยคิดลบหลู่
“แล้วแกอธิษฐานอะไรไปอ่ะ”
“เปล่า ฉันยังไม่เคยอธิษฐาน” ฐานิตบอกหน้าตาเฉย
“อ้าว แล้วแกพาฉันมาเนี่ยนะ” สาวร่างเล็กที่ยังคงถักเปียเหมือนเมื่อวานร้อง
“ฉันยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะอธิษฐานอะไร ใจนึงก็อยากถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง อีกใจก็อยากได้กงยู” สาวร่างท้วมเอ่ยถึงพระเอกเกาหลีผู้โด่งดัง เธอไม่เคยปิดบังว่าเป็นแฟนคลับตัวยงของเขา
“ถ้าแกได้กงยู แกจะรวยกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง” ฟองจันทร์ชี้ให้เห็นความจริง
“มันก็ใช่ แต่แกก็ต้องรับมือกับแฟนคลับมหาศาลของเขาด้วยไง พวกติ่งโรคจิตอีก แล้วฉันก็ออกจะบอบบางขนาดนี้ แกคิดว่าฉันจะรับมือไหวเหรอ”
คนตัวเล็กกว่ามองเพื่อนที่เคลมตัวเองว่าบอบบางแล้วกลอกตามองบน ซึ่งคนต้นเหตุก็เห็นแต่ไม่นำพา
“ฉันต้องเลือกให้ดีๆ ก่อนอธิษฐานสิ อีกอย่างยังไงฉันก็อยู่ที่นี่นานกว่าแก จะมาอธิษฐานเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วบังหมัดก็บอกว่าลูกค้าของเขาที่มาเที่ยวก็อธิษฐานสำเร็จกันนะ ยังโทรมาให้เขาช่วยติดต่อเรื่องแก้บนเลย” ฐานิตอ้างถึงพี่เขย “น่า ไหนๆ ฉันก็ขับรถพาแกมาถึงนี่แล้ว ลองสักหน่อยไม่เสียหายนี่ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ในเมื่อแกก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วด้วย มาๆ เดี๋ยวฉันตักน้ำให้”
ผู้เป็นเพื่อนก้าวเข้ามาจัดแจงโยนถังซึ่งดัดแปลงจากแกลลอนพลาสติกใส่นมลงไปในบ่อ ขณะที่ปากก็พูดไปด้วย
“ถังนี้เขาเจาะรูไว้ พอฉันตักขึ้นมาน้ำจะไหลออกมา แกก็เอามือรองน้ำมาพรมๆ ตัว แต่ตอนนี้แกอธิษฐานก่อน เร็วๆ ตั้งใจด้วย”
ฟองจันทร์ไม่ทันตั้งตัว แต่เธอก็หลับตาแล้วยกมือขึ้นประนมอธิษฐานตามแรงกดดัน…เธอยังไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าอยากจะขอเรื่องอะไร ดังนั้นเลยเอาเรื่องแรกที่โผล่ขึ้นมาในใจ
ขอให้มีคนมาช่วยกำจัดพี่อู๋ออกไปจากชีวิตฟองจันทร์ด้วยเถอะ หญิงสาวอธิษฐาน แต่แล้วก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ…เอ๊ะ จริงๆ ควรบอกว่าขอให้พี่อู๋ออกไปจากชีวิตมากกว่ารึเปล่า
“ไอ้ฟอง อธิษฐานเสร็จแล้วใช่ป่ะ มารองน้ำเร็วๆ”
เสียงเพื่อนที่เร่งยิกๆ ทำให้ฟองจันทร์ต้องลืมตาขึ้นก่อนจะได้คิดเรื่องการแก้คำอธิษฐาน แล้วเธอก็เห็นว่าน้ำกำลังไหลออกมาจากถังดัดแปลงที่เพื่อนยกขึ้นมาวางตรงขอบบ่อจริงๆ เธอเลยใช้สองมือรองน้ำแล้วเอามาประพรมเรือนผมกับเนื้อตัวพอเป็นพิธี
“แบบนี้ป่ะ”
“แม่น” ฐานิตพยักหน้า “แล้วแกอธิษฐานเรื่องอะไร…เออๆ ไม่ต้องบอก เดี๋ยวไม่ขลัง เดี๋ยวถ้าสำเร็จค่อยบอกแล้วกัน”
ฟองจันทร์มองหน้าเพื่อนก่อนจะนึกถึงคำอธิษฐานของตัวเองเมื่อครู่ แล้วก็ปัดมันทิ้งไปแบบปลงๆ…ถึงจะแปลกๆ ไปหน่อยแต่ก็เอาเหอะ หลักใหญ่ใจความยังอยู่ดี แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาได้เธอก็จะยอมกลับมาแก้บนถึงสตูลเลยทีเดียว
ฟองจันทร์นั่งเล่นมือถืออยู่บนเตียง ขณะที่ฐานิตเพิ่งอาบน้ำเสร็จและกำลังเดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ฝ่ายหลังสังเกตเห็นเพื่อนเงยหน้าจากมือถือขึ้นมาทำหน้าเมื่อยแล้วเอื้อมเอามันไปวางบนโต๊ะหัวเตียง เธอเลยออกปากถาม
“อีตาพี่อู๋เหรอ”
“อือ”
“นี่แกแค่มิ้วต์ไว้ใช่ไหม ทำไมไม่บล็อกไปเลยล่ะ แกนี่ก็ทนรำคาญอยู่ได้”
“ถ้าบล็อกฉันก็จะไม่ได้อ่านข้อความของเขาเลย พอเขาเอาไปบอกพ่อแม่ฉันก็ตายหยังเขียดน่ะสิ” ฟองจันทร์ถอนหายใจเฮือก
‘พี่อู๋’ ที่พูดถึงคืออรรณพ ลูกชายของเพื่อนสนิทจวงจันทร์แม่ของเธอ หญิงสาวรู้จักอีกฝ่ายมาตั้งแต่สมัยยังใช้คำนำหน้าเป็นเด็กหญิง เขาอายุมากกว่าเธอห้าปี และเธอกับเขาก็สนิทสนมเป็นพี่ชายน้องสาวกันมาตลอดจนช่วงหลังมานี้ถึงเริ่มแปลกๆ
เรื่องเริ่มจากเมื่อสองสามปีก่อนอรรณพเลิกกับแฟนที่คบกันมาหลายปีเพราะจับได้ว่าฝ่ายหญิงมีคนอื่น เขาเฮิร์ตหนักทีเดียว ฟองจันทร์เห็นแล้วก็สงสาร พอดีตอนนั้นเธอเพิ่งเรียนจบไม่นานเลยค่อนข้างว่างเพราะเรื่องงานยังไม่ลงตัว เธอเลยคอยให้กำลังใจเขา ทั้งชวนคุยชวนเที่ยวเล่น ทั้งหมดนี้ทำด้วยความหวังดีล้วนๆ ใครจะไปนึกว่าอยู่ดีๆ เขาจะหันกลับมาชอบเธอเสียอย่างนั้น
ช่วงแรกก็ไม่มีสัญญาณอะไร หญิงสาวเลยทำตัวสนิทสนมกับอรรณพต่อมาเรื่อยๆ กระทั่งเมื่อปีกลายเขาก็เริ่มแสดงออก ตอนแรกเธอไม่ทันได้คิดอะไรเพราะสนิทกันเป็นทุนเดิม แม้จะสังเกตว่าพ่อแม่เริ่มพูดจาชื่นชมชายหนุ่มบ่อยขึ้น แต่ก็ยังคิดว่าเป็นเพราะพวกท่านเห็นเธอโสดมาหลายปีตั้งแต่เลิกกับแฟนก่อนเรียนจบ แถมอรรณพก็เป็นลูกเพื่อนสนิทแม่ซึ่งอยู่ในสายตาพวกท่าน จนจู่ๆ เขาก็ออกปากขอคบกับเธอ ฟองจันทร์ช็อกสุดๆ และเธอก็รีบอธิบายไปว่าไม่ได้ชอบเขาในแง่นั้น
เรื่องควรจะจบแค่นั้น มันก็ไม่แปลกถ้าหลังจากเธอเคลียร์ตัวเองแล้วชายหนุ่มจะถอยห่างออกไป ทว่าเรื่องกลับกลายเป็นตรงข้าม เขาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และบอกว่าในเมื่อเธอไม่มีใครก็จะขอจีบเธอ เพราะเขาแน่ใจแล้วว่ารักเธอจริงๆ…ตั้งแต่นั้นสถานการณ์ระหว่างเธอกับเขาก็เต็มไปด้วยความอิหลักอิเหลื่อ อย่างน้อยก็ในฝั่งของฟองจันทร์ เธอทำงานที่บ้านเป็นหลัก ขณะที่เขาเข้านอกออกในบ้านเธอได้สะดวก แถมพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็สนับสนุน ไม่ว่าเธอจะพยายามแสดงจุดยืนอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจเอาเสียเลย
หญิงสาวอยากจะตัดขาดเขาแบบใจร้าย แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะใจอ่อน ทว่าติดที่ครอบครัวนี่เอง ก่อนหน้านี้เธอเคยลองทำตัวแย่ๆ กับเขาไปหนหนึ่ง ปรากฏว่าผลสะท้อนกลับจากพ่อแม่ของเธอรุนแรงมาก สุดท้ายเธอก็ได้แต่ปล่อยให้เรื่องคาราคาซังมาถึงตอนนี้ เพราะไม่อย่างนั้นนอกจากกำจัดอรรณพได้แล้วเธอคงต้องแตกหักกับพ่อแม่ด้วย
เรื่องลูกชายเพื่อนแม่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ฟองจันทร์หนีมาสตูล แต่เธอก็พยายามหลบหน้าหลบตาเขาตั้งแต่ก่อนจะมาแล้ว ซึ่งมันก็สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง เมื่อก่อนเธอกับเขาแชตคุยกันบ่อย ตอนนี้เธอก็แกล้งปล่อยเบลอไม่เปิดอ่าน ผ่านไปสักสัปดาห์จึงอ่านสักหนแล้วตอบกลับสักประโยค เธอทำแบบนี้มาหลายเดือนแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมย่อท้อหรือรับรู้ถึงความเฉยชาของเธอเสียที
ช่างน่าเหนื่อยใจเหลือเกิน
“พูดก็พูดเหอะนะ ฉันว่าแกต้องย้ายออกจากบ้านว่ะ แบบว่าประท้วงเงียบอ่ะ ให้ที่บ้านแกรู้ว่าแกอึดอัด” ฐานิตส่งเสียงจากหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง มือไล้ครีมไปทั่วใบหน้า “เผลอๆ จะได้โบนัสเป็นการที่พ่อแม่แกบังคับให้ไอ้วาดไปทำงานแทนด้วย จะได้เลิกทำตัวเป็นคุณหนูเสียที”
“ฉันจะทำงั้นได้ไง” ฟองจันทร์ถอนหายใจอีกเฮือก
นอกจากเรื่องอรรณพแล้ว บ้านเธอก็ยังมีปัญหาหนี้สินจากการกู้เงินเกินตัว พ่อแม่ของเธอเป็นข้าราชการทำให้กู้หนี้ยืมสินค่อนข้างง่าย และมันก็เป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่เธอยังเรียนไม่จบ เธอต้องเริ่มทำงานพิเศษกึ่งๆ จะส่งตัวเองเรียนตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย พอเริ่มทำงานเธอก็ใช้เงินจุนเจือพ่อแม่และขอกึ่งบังคับให้พวกท่านเลิกสร้างหนี้ก้อนใหม่ ที่ผ่านมาถึงจะแทบไม่มีเงินเก็บ ไม่ได้ใช้เงินที่หามาตามต้องการ แถมต้องติดแหง็กอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ แต่เธอก็คิดว่าอดทนช่วยที่บ้านตั้งแต่ตอนนี้น่าจะดีกว่าไปหาซื้อบ้านซึ่งแพงขึ้นทุกวันเองในอนาคต
อย่างไรก็ตามประเด็นในครอบครัวของเธอไม่ใช่แค่เรื่องหนี้ แต่มีเรื่องวาดจันทร์ผู้เป็นน้องสาวของฟองจันทร์ด้วย น้องมีอายุน้อยกว่าเธอสี่ปี ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นปีที่สาม…และเป็นลูกรักของพ่อกับแม่
อันที่จริงคนมักจะพูดกันเสมอว่าพ่อแม่มักจะห่วงและเอาใจใส่ลูกคนเล็กมากกว่า แต่สำหรับครอบครัวเธอนั้นเหมือนจะเหนือกว่านั้นอีกระดับ นอกจากพ่อแม่จะสั่งสอนเธอให้ดูแลน้องและเสียสละให้น้องแล้ว พ่อแม่ยังสปอยล์วาดจันทร์ ให้ทุกอย่างที่น้องต้องการโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องพยายามอะไรเลย ในขณะที่ฟองจันทร์ต้องดิ้นรนหาเองมาตลอด ทุกวันนี้เธอต้องทำงานส่งน้องเรียนโดยที่เจ้าตัวนั่งๆ นอนๆ อยู่บ้าน แถมยังมีเงินค่าขนมใช้ช็อปปิ้งสบายมือ เธอเองพยายามคุยกับแม่แล้วว่าอย่างน้อยควรให้น้องช่วยประหยัด แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แถมบางครั้งยังทะเลาะกันด้วย
ฟองจันทร์ไม่ได้เกลียดน้องสาว รักมากด้วย ทว่าก็มีบางครั้งที่เธอนึกอิจฉาอีกฝ่ายและน้อยใจพ่อแม่ เพียงแต่เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ในเมื่อเธอเคยพยายามเปิดอกคุยแล้วก็ไม่เคยเป็นผล
“ทำไมแกจะทำไม่ได้ ที่แกไม่อยากทำเพราะแกเป็นเด็กดีเกินไปเท่านั้นแหละ รายได้ต่อเดือนของแกพอเอาไปเช่าห้องอยู่ใช้ชีวิตเองได้ ยังไงแกก็ไม่ใช่พวกฟุ่มเฟือย แล้วระหว่างนี้ก็เลิกช่วยทางบ้านไปก่อน” ฐานิตชี้ให้เห็นความจริง “ฉันไม่ได้บอกให้แกอกตัญญูนะเว้ย ขอแค่สักพัก อาจจะไม่กี่เดือนเท่านั้นแหละ ให้ที่บ้านแกรับรู้ว่าแกไม่โอเคกับสิ่งที่เป็นอยู่จริงๆ อย่างน้อยก็ให้พ่อแม่ยอมเลิกพยายามจับคู่แก แล้วแกค่อยกลับไปอยู่บ้าน”
“หรือไม่แม่ก็คงโกรธมากจนไม่ให้ฉันกลับเข้าบ้านอีก แกก็รู้ว่าแม่พี่อู๋เนี่ยเพื่อนสนิทแม่ฉันนะ คราวก่อนฉันยังเกือบตาย” สาวร่างเล็กพูดหงอยๆ “ส่วนเรื่องวาดแกก็รู้ว่ายังไงพ่อแม่ก็ไม่มีทางให้วาดทำงานหรอก พวกท่านบอกว่าฉันเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยถึงเกรดไม่ดี แล้วเผลอๆ จะไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายค่าเทอม สุดท้ายก็ตกมาเป็นภาระของฉันอีกอยู่ดี”
“แล้วแกจะทนอยู่ในสภาพนี้ได้อีกนานแค่ไหน ถามหน่อย มันกระทบกับงานของแกแล้วด้วยเนี่ย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ วันนึงเดี๋ยวแกก็ไม่มีปัญญาหาเงินมาช่วยเหลือที่บ้านอยู่ดีแหละ” สาวร่างท้วมยังไม่ยอมราข้อ และเรื่องนี้ฟองจันทร์ก็เถียงไม่ได้เสียด้วย
เพราะความเครียดทำให้ช่วงหลังมานี้เธอทำงานได้น้อยลงกว่าเดิม มันค่อยๆ ลดลงทีละน้อยมาพักหนึ่งแล้ว จนกระทั่งมาเห็นผลอย่างชัดเจนในช่วงเดือนสองเดือนมานี้ นี่ก็เป็นอีกปัญหาที่ทำให้เธอต้องหิ้วกระเป๋ามาหาเพื่อน โดยหวังว่าการได้เปลี่ยนบรรยากาศจะทำให้หายเครียด อีกทั้งน่าจะได้มาเจออะไรใหม่ๆ สำหรับเอาไว้เป็นวัตถุดิบให้งานเขียนด้วย
ฐานิตเหลือบมองเพื่อนสนิท เธอทราบว่าอีกฝ่ายรู้ดีว่าปัญหาคืออะไร เพียงแต่คำว่ากตัญญูซึ่งโดนสั่งสอนฝังหัวมาแต่อ้อนแต่ออกมันค้ำคออยู่ ถ้าก้าวข้ามไปไม่ได้ก็จะต้องติดอยู่ในวังวนนี้ต่อไป แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่จะไปตัดสินเพื่อน เธอทำได้แค่ให้คำแนะนำ และไม่ว่าเพื่อนตัดสินใจอย่างไรเธอก็จะอยู่เคียงข้างให้กำลังใจเหมือนที่เคยทำมาตลอดต่อไป
“เอาล่ะ ไม่งั้นก็มีอีกทาง แกรีบหาแฟนซะ”
“แกก็พูดเหมือนหาผู้ชายดีๆ ได้ตามเซเว่น” ฟองจันทร์พึมพำ
“ก็ไม่แน่ แกลองเดินเข้าเซเว่นอาจจะเจอก็ได้ แบบว่ากำลังจะหยิบขนมปังชิ้นเดียวกันอะไรงี้” ฐานิตไหวไหล่ “ที่ผ่านมาแกอยู่บ้าน ออกข้างนอกก็คือไปอีเวนต์ ไปรีวิวอาหารแค่นั้น โอกาสเจอคนก็น้อย ตอนนี้แกออกมาแล้วก็ถือโอกาสมองหาสิ ถ้าเปลี่ยนศาสนาแบบพี่นันท์ไม่ไหวก็เหล่ๆ นักท่องเที่ยวแทนก็ได้”
สาวร่างเล็กถอนหายใจกลับไปแทนการพูดโต้ตอบ…อันที่จริงเธอก็เคยคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน เคยคิดถึงขนาดจะให้เพื่อนสนิทที่เป็นเกย์แอ๊บแมนมาช่วยแสดงละครด้วยซ้ำ แต่มันก็จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาหลายอย่าง ได้ไม่คุ้มเสียทั้งกับตัวเธอและเพื่อน ดังนั้นเธอจึงพับโครงการไป
“ปวดหัว นอนดีกว่า” ฟองจันทร์แก้ปัญหาด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด เธอเลื่อนตัวลงนอนและดึงผ้าห่มคลุมตัวทันทีที่พูดจบ
“แกนี่ตลอดเลย” ฐานิตบ่น แต่ก็ไม่แปลกใจเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนสนิททำแบบนี้
“น่าแก นี่ฉันเพิ่งมาสตูลเป็นวันที่สองเอง ยังมีเวลาให้หาผู้อีกเยอะ ระหว่างนี้ฉันก็จะคิดไปด้วยว่าถ้าหาไม่ได้จะทำไง”
“เออๆ ขอให้ตัดสินใจได้ก่อนกลับจริงๆ เหอะ ไม่งั้นถ้ากลับไปแล้วยังมีปัญหาเหมือนเดิมฉันจะด่าแกซ้ำ”
“ใจร้าย” ฟองจันทร์ประท้วงแบบไม่จริงจังนัก เพราะรู้ว่าสุดท้ายเพื่อนก็จะไม่ทำแบบนั้น
ฐานิตเหลือบมองคนบนเตียงและพบว่าเพื่อนหลับตาซุกผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว เธอส่ายหน้าไปมาเบาๆ แล้วหันไปหยิบครีมกระปุกสุดท้ายเพื่อจบขั้นตอนการบำรุงหน้า
เชื่อเถอะ สุดท้ายฟองจันทร์ก็ไม่ย้ายออกจากบ้านหรอก เด็กดีเสียขนาดนี้ เหอะๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.