บทที่ 5 Hideaway by Paul
ฟองจันทร์เพิ่งได้รู้ว่าโรงแรมห้าดาวมีชื่อว่า ‘ประภาภัสสร’ มันเป็นเครือโรงแรมดังทีเดียวและยังเป็นนามสกุลของนักธุรกิจใหญ่ด้วย…ปาลพาเธอเดินผ่านเหล่าคนงานก่อสร้างที่เดินกันขวักไขว่ไปทางหาดซึ่งอยู่ด้านหลัง จนพบกับอาคารหลังเล็กสไตล์โมเดิร์นที่มีไม้และกระจกเป็นองค์ประกอบหลัก มันตั้งอยู่ชิดติดหาด แยกจากโรงแรมเป็นเอกเทศแม้จะตั้งอยู่ในระยะที่ไม่ไกลกันก็ตาม
“นี่ร้านอาหารของคุณเหรอคะ” หญิงสาวถามตาโต
“ใช่ คุณว่าเป็นไงบ้างล่ะ” เขาถามยิ้มๆ
“มันดูไม่เหมือนร้านอาหารเลย เหมือนบ้านเก๋ๆ มากกว่า”
“บอกแล้วว่ามันเป็นร้านอาหารแปลกๆ” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะแล้วเดินนำเข้าไปในบ้านกระจก
ฟองจันทร์ก้าวตามเขาไป ด้านในไม่มีคนงานอยู่ ทว่าหลายอย่างก็บ่งชี้ว่าการตกแต่งภายในยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และที่ยิ่งไปกว่านั้น…
“ตรงนี้คือร้านอาหารของคุณเหรอคะ ร้านคุณจะมีกี่โต๊ะเนี่ย”
“เท่าที่คุยกับอินทีเรียไว้ก็คือข้างในสี่ ข้างนอกสาม แต่ช่วงกลางวันคงเปิดแค่ข้างในน่ะแหละ ข้างนอกน่าจะร้อนเกินไป ฤดูฝนก็ต้องระวังเหมือนกัน” ปาลพยักพเยิดไประเบียงด้านหน้าซึ่งปูพื้นด้วยไม้ยื่นออกไปชิดติดหาดโดยมีหลังคากระจกคลุม เหนือขึ้นไปมีกิ่งก้านต้นไม้ใหญ่ซึ่งพอจะช่วยปกป้องเฉลียงด้านนอกจากแสงแดดแรงกล้าได้บ้าง
“นี่คุณจะเปิดร้านแบบอินดี้หรือรวยแล้วขาดทุนก็ได้อะไรแบบนี้เหรอ”
คำถามของฟองจันทร์ทำให้เขาหัวเราะออกมาอีกจนได้ แล้วเขาก็ผลักประตูเดินนำเข้าไปสู่ครัว
“จะว่างั้นก็ได้มั้ง เพราะผมมีร้านอาหารหลักอยู่ที่สิงคโปร์แล้วไง ผมทำที่นี่เพราะอยากทำ”
“ครัวคุณกว้างกว่าพื้นที่ร้านอาหารข้างนอกอีกอ่ะ” หญิงสาวยังไม่ทันได้ใคร่ครวญเกี่ยวกับคำตอบที่ได้จากเขาเต็มที่ เธอก็ต้องหันเหมาสนใจความจริงใหม่ที่เพิ่งค้นพบอย่างช่วยไม่ได้
“ครัวเป็นพื้นที่ที่สำคัญที่สุดไง” เขาบอกแล้วยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “อีกแป๊บพวกทีมติดตั้งอุปกรณ์ครัวน่าจะมาแล้วล่ะ”
พูดไม่ทันขาดคำโทรศัพท์ของปาลก็ส่งเสียงร้อง เป็นกรณ์ที่โทรมาประสานงานแจ้งเรื่องพนักงานจากบริษัทอุปกรณ์เครื่องครัวมาถึงแล้ว เขาผลักประตูหลังครัวออกไปด้านนอกเพื่อรอผู้มาใหม่ เธอเลยตามออกไปด้วยและได้เห็นป้ายหนึ่งวางพิงผนังอาคารด้านนอก ยังไม่ได้ติดตั้ง ป้ายเขียนไว้ว่า ‘Hideaway by Paul’
“นี่ชื่อร้านคุณใช่ไหมคะ แปลว่าที่หลบภัยประมาณนั้นใช่ไหม”
“ใช่ แต่ผมตั้งใจจะให้มันแปลว่าที่ซ่อนมากกว่านะ” ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะเหลือบไปเห็นพนักงานในชุดฟอร์มสีเทาสองคนเดินมา เขาเลยก้าวออกไปรับ
ฟองจันทร์มองกลุ่มบุรุษยืนคุยกันก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปมองป้ายชื่อร้านอย่างสนใจ โดยปกติถ้าชื่อของเชฟไม่ดึงดูดก็คงไม่มีใครเอามาห้อยท้ายชื่อร้านอาหารแบบนี้ เธอเองเดาไว้แต่แรกแล้วว่าปาลน่าจะไม่ธรรมดานัก แต่ไม่แน่เขาอาจจะดังกว่าที่เธอคิดไว้ก็ได้
อุปกรณ์ครัวของปาลอลังการกว่าที่ฟองจันทร์คิดเอาไว้มาก เธอยืนดูพนักงานขนเครื่องไม้เครื่องมือที่มองปราดก็รู้ว่าเป็นของมืออาชีพมีราคาแพงเข้ามาในครัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพียงไม่นานพื้นที่ในห้องครัวก็คับแคบไปถนัดตา เหลือแค่ทางเดินแคบๆ พอให้เดินเบี่ยงตัวสวนกันได้เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าแม้พื้นที่จะเล็กจิ๋วแต่เขาก็ตั้งใจจะทำที่นี่ให้เป็นร้านอาหารระดับภัตตาคารจริงๆ
หญิงสาวดูอยู่ห่างๆ ไม่เข้าไปวุ่นวายเพราะเกรงจะทำอะไรเสียหายและไม่อยากเกะกะพนักงานซึ่งยกพลกันมาไกลจากกรุงเทพฯ ปาลกลัวเธอจะเบื่อเลยถามว่าเธออยากกลับก่อนไหม เนื่องจากถึงอุปกรณ์ส่วนใหญ่จะเป็นแบบลอยตัวแต่ก็คงต้องใช้เวลาทั้งวันเพื่อทดลองทุกอย่างให้เรียบร้อยสมบูรณ์ แต่เธอก็ยืนยันว่าจะอยู่ ซึ่งก็เป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ
ใช่ว่าคนเราจะได้เห็นเครื่องครัวระดับนี้ทุกวัน ไม่นับที่ไปเดินดูตามโชว์รูมหรือในรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการทำอาหาร
“คุณหิวหรือยัง”
ปาลเดินย้อนกลับไปยังส่วนห้องอาหารเมื่อสังเกตเห็นนาฬิกาบอกว่าเวลาล่วงเลยเที่ยงวันมาเกินครึ่งชั่วโมงแล้ว ฟองจันทร์นั่งอยู่บนพื้นโดยมีลังกระดาษที่ขอมาจากพนักงานติดตั้งอุปกรณ์ครัวปูรองต่างเสื่อ และเธอก็กำลังสนอกสนใจกล่องเครื่องครัวขนาดเล็กที่ยังไม่ถูกแกะเนื่องจากต้องรอติดตั้งอุปกรณ์ชิ้นใหญ่ให้เสร็จก่อน
“ยังค่ะ ก็เพิ่งกินขนมไป” หญิงสาวหันไปคุยกับคนที่ทรุดตัวลงนั่งยอง
เมื่อช่วงสายขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกันเธอก็ขอกุญแจรถจากเขาเพื่อไปซื้อน้ำ นอกจากมีเครื่องดื่มมาแจกทุกคนแล้วเธอก็หิ้วเค้กมะพร้าวอ่อนเข้ามาด้วย
“อีกไม่นานพวกเขาก็น่าจะไปพักกันแล้วล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถึงพวกพนักงานที่ยังง่วนอยู่ในครัว “คุณคิดไว้หรือยังว่ามื้อเที่ยงอยากกินอะไร”
“ยัง ฉันว่าจะให้คุณเลือกบ้าง เมื่อวานคุณให้ฉันเลือกแล้วไง”
“คุณเลือกเถอะ คุณมีลิสต์ของที่อยากกินตั้งเยอะนี่ ผมเดาว่าตอนนี้คุณก็น่าจะยังกินได้ไม่ครบนะ” ปาลพาดพิงถึงรายชื่อที่เธอนั่งท่องตอนเครื่องบินฝ่าพายุ
“แหม” ฟองจันทร์เกือบตวัดสายตาค้อน “งั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นกันไหม ฉันได้ยินว่าร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้ๆ นี้มีเมนูข้าวน่องวัวตุ๋นด้วย ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง”
“คุณก็รู้แล้วนี่นาว่ามื้อเที่ยงอยากกินอะไร” เขายิ้มกระเซ้า “งั้นรอผมอีกสักพักนะ เดี๋ยวเราไปกินกัน”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก…คิดถูกที่เมื่อคืนลองหาข้อมูลก่อนจริงๆ ว่าแถวนี้มีร้านอาหารอะไรน่าไปลองบ้าง
“คุณเมื่อยแขนไหม”
อยู่ดีๆ ปาลก็ถามขึ้นมาทำเอาเธองง
“เมื่อย? วันนี้ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ จะเมื่อยได้ไง”
“วันนี้ไม่ได้ทำแต่เมื่อวานคุณทำ คุณไปช่วยผมกวนไส้ทำขนมไง ถ้าปวดเมื่อยก็น่าจะออกอาการวันนี้”
“อ๋อ…นิดหน่อยค่ะ แต่สบายมาก” ฟองจันทร์ฉีกยิ้มส่งไปพร้อมคำตอบ เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะใส่ใจถามเรื่องนี้
ชายหนุ่มมองรอยยิ้มบนดวงหน้าเล็กที่วันนี้ล้อมกรอบด้วยเรือนผมยาวที่เธอปล่อยสยายโดยมีผ้าสีสดใสโพกศีรษะเอาไว้…ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็ยิ้มเสมอจริงๆ
“เครื่องที่คุณเอามือพาดอยู่นั่นคือ Pacojet เป็นเครื่องปั่นที่สุดยอดมาก เอาไว้ทำพวกไอศกรีมหรือซอร์เบต์อะไรประมาณนั้น เมื่อกี้ผมเห็นคุณลองเปิดกล่องดู ถ้าอยากเอาออกมาก็ได้นะ อย่าทำตกจนพังพอ”
“เครื่องปั่นเหรอ ฉันนึกว่าเครื่องชงกาแฟอะไรประมาณนั้นเสียอีก” ฟองจันทร์ทำหน้าเหลอหลา
ปาลหัวเราะกับความเข้าใจผิดของเธอ ก่อนที่เขาจะหยัดตัวยืนและเดินย้อนกลับไปในครัว ปล่อยให้เธอนั่งมองกล่องกระดาษข้างตัวมึนๆ แล้วเธอก็ตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ช ตั้งใจจะหาคลิปดูว่าเครื่องปั่นที่หน้าตาผิดแผกแปลกจากเครื่องปั่นทั่วไปนี้ทำงานอย่างไร เธอเจอคลิปอย่างรวดเร็ว นั่งดูคลิปจนจบแล้วเธอก็สังเกตว่าที่ใต้คลิปมีลิงก์ต่อไปยังร้านออนไลน์ เธอจึงลองกดเข้าไปดู ครั้นเห็นราคาของเครื่องปั่นที่เธอใช้เป็นที่วางแขนก็อ้าปากหวอ รีบดึงแขนออกแทบไม่ทันแม้เธอจะแค่วางแขนบนกล่องไม่ใช่บนตัวเครื่องตรงๆ ก็ตาม
เครื่องปั่นบ้าอะไรเนี่ยราคาตั้งหกหลัก! แล้วเขาก็ยังอุตส่าห์จะให้เธอเอาออกมาดูเล่นอีก…ไม่มีทาง ยังไงเธอก็ไม่มีแตะต้องมันเด็ดขาดเลย!
ฟองจันทร์มองร่างสูงที่กำลังยืนกอดอกคุยกับพนักงานในชุดฟอร์มจากเฉลียงของร้านอาหาร บ่ายนี้มีเมฆมาก เธอเลยออกมายืนเล่นรับลมชมวิว แต่ด้วยความที่ผนังเป็นกระจกตลอดแนวจึงสามารถมองเข้าไปด้านในร้านได้อย่างง่ายดาย
การติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องครัวใกล้เสร็จแล้ว โชคดีที่อุปกรณ์ส่วนใหญ่เป็นแบบลอยตัวจึงไม่ต้องใช้เวลาในการติดตั้งนานนัก แต่ก็ใช่ว่าไม่มีปัญหาเลย นั่นทำให้เธอเห็นอีกมุมของปาล จากที่ปกติใจดีและสุภาพกับเธอ พอเป็นเรื่องงานเขาก็สามารถจริงจังและเด็ดขาดได้จนแทบเป็นคนละคนทีเดียว
ปาลเป็นผู้ชายที่ดูดีและเขาก็น่าสนใจอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เขาใจดี ใส่ใจ เท่าที่คุยกันเขาไม่ใช่ผู้ชายทึ่มทื่อแน่ๆ…และเธอก็สงสัยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ความจริงบ่ายนี้เขาพาเธอไปส่งที่บ้านของฐิตานันท์ก็ได้ เพราะที่นี่ก็ไม่มีอะไรใหม่และเขาก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากเธอด้วย แต่ตอนนั่งกินมื้อเที่ยงด้วยกันเขาก็ถามขึ้นมา
‘บ่ายนี้คุณมีแพลนอะไรหรือเปล่า’
‘ไม่มีค่ะ’ หญิงสาวส่ายหน้า
‘งั้นคุณก็อยู่กับผมต่อได้ใช่ไหม’
และนั่นก็เป็นเหตุผลให้ฟองจันทร์กลับมานั่งเล่นในเขตโรงแรมประภาภัสสรอีกหน รวมถึงเป็นเหตุผลให้เธอชักสงสัยด้วยว่าเขาอาจไม่ได้แค่ต้องการเพื่อน แต่กระนั้นเธอก็ยังไม่อยากตีความปักใจไปในทางใดทางหนึ่ง เพราะตอนเจอกันแรกสุดเขาก็ไม่ได้มีทีท่าอยากทำความรู้จักกับเธอสักนิด และเธอก็ไม่คิดว่าการที่ตนเองขี่จักรยานจนเกือบโดนรถเขาชนจะสร้างความประทับใจใดๆ ต่อเขาด้วย
เอาเถอะ เดี๋ยวก็รู้เองแหละมั้ง เพราะดูท่าทางแล้วก็เป็นไปได้ว่าเธอกับเขาจะต้องเจอกันอีกพักหนึ่ง อย่างน้อยก็จนกว่าเขาหรือเธอจะกลับออกจากสตูล เธอไม่รังเกียจที่จะทำความรู้จักกับเขา ก็อย่างที่บอกว่าเขาน่าสนใจดี เพียงแต่เธอยังรู้จักเขาน้อยเกินกว่าจะบอกอะไรชัดเจนกว่านี้เหมือนกัน
โทรศัพท์ในกระเป๋าถักใบจิ๋วที่เธอสะพายพาดเฉียงติดตัวส่งเสียงร้องและสั่นฟ้องว่ามีคนโทรเข้ามา เธอเลยรูดซิปกระเป๋าหยิบมันออกมาดู แล้วก็พบชื่อ ‘แม่’
ฟองจันทร์นิ่งไปนิดหนึ่ง ถึงจะอาศัยอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่มาทั้งชีวิต แต่เธอกับแม่ก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันมากนัก ขนาดเธอมาสตูลก็แค่ส่งข้อความไปบอกว่ามาถึงโดยสวัสดิภาพ ไม่ได้บอกกล่าวอะไรมากกว่านั้นเพราะก่อนหน้านี้หญิงสาวเคยรายงานตัวทุกวันตอนไปเที่ยวแล้วแม่ตอบกลับมาว่าไปเที่ยวคนเดียวก็ไม่ต้องมาเผื่อแผ่คนอื่น ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่เคยรายงานตัวถี่ยิบอีก ซึ่งท่านก็ไม่เคยถาม ครั้งนี้ก็เช่นกัน
นี่ไม่รู้ว่าจวงจันทร์โทรมาทำไม หวังว่าที่กรุงเทพฯ คงไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น
“ฮัลโหล”
“เงียบไปเลยนะ ที่สตูลเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ก็ดี ฟองกลัวแม่รำคาญเลยไม่ได้ส่งรูปส่งข่าวไป” สาวร่างเล็กยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าจวงจันทร์ใส่ใจอยากรู้ความเป็นไปของเธอเหมือนกัน
“แล้วจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ นี่ไปจะอาทิตย์นึงแล้วนี่”
“ก็…คงอีกพัก” ฟองจันทร์พูดไม่เต็มปากนัก
ตอนแรกเธอคิดว่ามาอยู่ที่สตูลสักสัปดาห์แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะเอาอย่างไรต่อ แต่วันนี้เธอก็ยังไม่มีแผนอะไรเลยทั้งที่พรุ่งนี้เธอก็จะเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ครบสัปดาห์แล้ว…ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอเพลิดเพลินอยู่กับปาลนี่เอง
“ทำงานได้มากขึ้นบ้างไหมล่ะ”
“ก็ดี” หญิงสาวพึมพำ
“ก็ดี” จวงจันทร์พูดคำเดียวกัน แต่ท่านมีประโยคอื่นต่อ “วาดเพิ่งทำมือถือตก จอร้าว ไปถามศูนย์จะซ่อมจอก็แพง แม่ว่าซื้อใหม่ให้วาดเลยดีกว่า”
ฟองจันทร์อึ้งไปอึดใจ เดาได้ทันทีว่าแม่ต้องการอะไร ทว่าเธอก็ยังรวบรวมกำลังใจถามออกไปอยู่ดี
“แม่จะให้ฟองซื้อมือถือให้วาดเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ฟองก็รู้นี่ว่าพ่อแม่ต้องใช้เงินเดือนจ่ายอะไรบ้าง แล้วฟองก็ขอให้พ่อแม่รับปากเองว่าจะไม่ซื้อของพวกนี้อีก ดังนั้นมันก็ต้องใช้เงินฟองน่ะแหละ” แม่ส่งเสียงกลับมา
“ฟองไม่มีเงิน” คนเป็นลูกสาวโพล่งออกไปทันที
“อะไร ลูกก็ทำงานได้แล้วนี่”
“มันไม่ใช่ว่าฟองส่งงานไปแล้วจะได้เงินเลย แม่ลืมแล้วเหรอ มันต้องมีขั้นตอนการตรวจงาน เบิกจ่าย แล้วช่วงนี้งานที่ฟองทำก็เป็นงานเล็กๆ น้อยๆ ต่อให้ได้เงินมามันก็ไม่ได้มากมาย”
“มือถือมันซื้อผ่อนได้นี่” จวงจันทร์ชี้ให้เห็นความจริง
“ใช่ แต่แม่ลืมแล้วเหรอว่าการที่คิดว่าผ่อนได้มันทำให้พ่อแม่ลำบากขนาดไหน มือถือจอร้าวก็ยังใช้ได้ไม่ใช่เหรอ ก็ให้วาดใช้ไปก่อนสิ เมื่อก่อนมือถือฟองจอร้าวก็ใช้ต่ออีกเป็นปีๆ กว่าจะได้เปลี่ยน ตอนนี้ฟองไม่มีเงินจริงๆ” ฟองจันทร์พยายามบังคับน้ำเสียงให้หนักแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“งั้นฟองคิดว่าจะซื้อมือถือให้น้องได้เมื่อไหร่ล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าวาดรีบก็ให้ทำงานพิเศษเก็บเงินสิ วาดมีเงินสักครึ่ง ฟองออกให้สักครึ่ง อย่างนั้นเร็วกว่าแน่ๆ” เธอตอบกลับแบบแทบไม่เว้นพักหายใจ “แม่ ฟองต้องไปแล้วล่ะ ยังไงแม่ก็ลองไปคุยกับวาดดูแล้วกัน แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันใหม่อีกที แค่นี้นะ”
พอพูดจบฟองจันทร์ก็รีบดึงมือถือออกจากข้างแก้มมาตัดสาย จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ…เธอไม่เก่งเรื่องโต้เถียงขัดใจแม่เท่าไหร่ ดังนั้นก็ต้องใช้วิธีปฏิเสธแล้วตัดบทก่อนจะโดนเกลี้ยกล่อมหรือกระทั่งโดนด่า
หญิงสาวมองเครื่องมือสื่อสารในมือตัวเอง ก่อนที่เธอจะทรุดตัวลงนั่งตรงบันไดที่ทอดจากเฉลียงสู่หาด ท่อนแขนวางพาดไปหาเข่า ดวงหน้าเล็กก้มลงต่ำพร้อมกับระบายลมหายใจยาวยืด
เธอนึกว่าแม่เป็นห่วง แต่ความจริงแล้วก็ไม่ต่างจากที่เป็นมาก่อนหน้านี้เท่าไหร่ จะว่าชินก็คงใช่ ทว่าเธอก็ยังคาดหวัง…และผิดหวังอีกครั้ง
ปาลเดินออกจากครัวมายังห้องอาหารด้านหน้าและพบว่าฟองจันทร์ออกไปอยู่ที่เฉลียงด้านนอก ตอนแรกเขาจะตามออกไป แต่สังเกตเห็นเสียก่อนว่าเธอคุยโทรศัพท์อยู่ เขาเลยนิ่งเสียแล้วยืนมองเธอเงียบๆ จวบจนเธอวางสายและเขาสังเกตเห็นว่าคนตัวเล็กมีท่าทีผิดปกติ เธอดูเหนื่อยล้าและทดท้อ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจก้าวออกไป
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
หญิงสาวสะดุ้งน้อยๆ เธอหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นเขาก็นิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะถาม
“คุยงานเสร็จแล้วเหรอคะ”
“งานในครัวก็ใกล้เสร็จแล้วด้วย” เขาพยักหน้ารับ “ขอนั่งด้วยได้ไหม”
“นี่ร้านอาหารของคุณเองนะ” ฟองจันทร์ตอบกลั้วหัวเราะ
“แล้วตกลงคุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งข้างเธอตรงบันได
“อยู่ดีๆ ก็มีเรื่องปวดหัวลอยมาหาค่ะ” ใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลคาราเมลหันออกไปมองทะเลอีกครั้ง “แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันไม่ใช่เรื่องใหม่เท่าไหร่ ฉันแค่เซ็งๆ นิดหน่อย”
ฟองจันทร์มีปัญหา แต่เธอไม่เล่า ซึ่งก็ไม่แปลกในเมื่อเธอกับเขาเพิ่งรู้จักกันเท่านั้น…และจู่ๆ หญิงสาวก็เปรยขึ้นมาก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร
“แต่อย่างน้อยวันนี้ฉันก็มีทะเลอยู่ตรงหน้า เซ็งอยู่ที่ทะเลดีกว่าเซ็งอยู่บนรถเมล์ที่ติดแหง็กอยู่บนถนนในกรุงเทพฯ เยอะ”
ปาลหันมองร่างเล็ก ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมา ดูเหมือนเธอจะมีความสามารถในการมองหาสิ่งพิเศษที่อยู่รอบตัวได้เสมอ ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหน และไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม
“ลงไปเดินเล่นบนหาดกันไหม”
คำชวนของชายหนุ่มทำให้ฟองจันทร์แปลกใจ เธอหันไปมองเขา
“ได้เหรอคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
“ตอนแรกฉันก็อยากลองลงไปเดินเหมือนกันแหละ แต่เห็นมันเป็นหาดของโรงแรม ฉันเลยคิดว่าไม่ควรลงไปเดินโดนพลการ”
“แค่เดินไม่มีปัญหาหรอก มาเถอะ” ปาลลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำลงจากบันไดไปสู่หาดทราย
หญิงสาวลุกตามไป…สตูลไม่ใช่จังหวัดที่มีหาดทรายสวยเป็นจุดเด่น มันเป็นทางผ่านไปยังเกาะต่างๆ ที่มีหาดทรายสวยกว่า แต่สำหรับคนไม่คิดมากอย่างเธอแล้วอย่างไรหาดทรายก็คือหาดทราย การได้เดินบนหาดโดยมีคลื่นซัดอยู่ใกล้ๆ ให้ความรู้สึกดีเสมอ ไม่ว่ามันจะสวยมากน้อยแค่ไหนก็ตาม
“ระวังตรงนี้ด้วย เหมือนจะเป็นเศษแก้ว” ชายหนุ่มซึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้าก้าวหนึ่งชี้ให้เพื่อนร่วมทางระวังการย่ำเท้าลงบนผืนทรายสีเข้ม
“ขยะเยอะเหมือนกันนะคะ ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นที่ส่วนบุคคลแล้วจะไม่มีขยะ…หรือว่าพวกคนงานทิ้ง” ฟองจันทร์เบี่ยงเส้นทางการเดินเล็กน้อยตามการชี้นำของเขา ลำพังสีเข้มของหาดทรายนั้นไม่แย่ แต่พอมีขยะก็ทำให้มันดูไม่สบายตาเท่าไหร่
“ส่วนใหญ่น่าจะเป็นขยะที่คลื่นซัดเข้ามามากกว่า ต้องคอยเก็บกันตลอด…ผมเคยทำงานในโรงแรมติดทะเลช่วงสั้นๆ และเดาว่าหาดที่ไหนก็น่าจะคล้ายๆ กันนะ”
“แย่เนาะ”
“เย็นนี้คุณต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านเพื่อนหรือเปล่า” เชฟหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง
“ฉันไม่ได้นัดกับนิตไว้ แต่ก็คิดว่าควรกลับไปนะคะ เมื่อวานฉันออกไปกับคุณทั้งวัน แล้ววันนี้ก็ด้วย” ฟองจันทร์เหลือบมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลา นึกสงสัยว่าเขาตั้งใจจะรั้งเธอไว้ต่ออีกหรือหลังจากที่วันนี้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาทั้งวันแล้ว
“นั่นสิ แล้วพรุ่งนี้คุณมีแผนอะไรหรือยัง” ชายหนุ่มถามต่อ “ผมคุยกับบังหมัดไว้ พรุ่งนี้ผมจะไปจับหอยจับปลา คุณสนใจไปด้วยกันไหม”
“จับหอยจับปลา” เธอทวนคำอย่างงุนงง “แบบว่าลงเรือไปจับจริงๆ เลยเหรอคะ”
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ…เมื่อวันก่อนบังหมัดเล่าให้ผมฟังเรื่องสัตว์น้ำตามฤดูกาลของที่นี่ ที่บอกว่ามีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวไปจับสัตว์น้ำด้วยน่ะ ผมเลยคิดว่าไหนๆ มาแล้วก็น่าลอง คงสนุกดี จะได้ลองกินเมนูอาหารที่ทำสดๆ ของคนแถวนี้ แล้วก็เผื่อจะได้เอาสัตว์น้ำที่จับได้มาลองทำกินเองด้วย”
“อ๋อ ฟังน่าสนุกดีเหมือนกัน” ฟองจันทร์พึมพำ เพิ่งนึกขึ้นได้
“งั้นพรุ่งนี้ไปด้วยกันนะ” มุมปากของปาลยกเป็นรอยยิ้ม
หญิงสาวมองรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลา หวนกลับมาสงสัยอีกรอบว่าเขาแค่หาเพื่อนเที่ยวเล่นหรือมีอะไรมากกว่านั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่ากิจกรรมที่เขาสรรหามานั้นน่าสนใจจริงๆ ขนาดวันนี้มานั่งดูการติดตั้งอุปกรณ์ในห้องครัวเฉยๆ เธอก็ไม่เบื่อ ค่อนข้างตื่นตาตื่นใจด้วยซ้ำเพราะได้เห็นอะไรแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่สำคัญอย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องเสียเงินสักบาทด้วย
“ตรงนี้สุดเขตโรงแรมแล้วล่ะมั้ง เราหยุดแค่นี้ดีกว่า” ชายหนุ่มหยุดยืนเหลื่อมกับแนวรั้วบนที่ดินด้านบนเล็กน้อยจากนั้นเขาก็หันกลับไปมองร้านอาหาร “ดูใช้ได้เลยนะ ว่าไหม”
“ร้านอาหารคุณเก๋มากเลย” ฟองจันทร์ชมอย่างจริงใจ “แต่คุณคงไม่ได้มาอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ จะส่งเชฟมาประจำแทนใช่ไหม”
“อืม ผมตั้งใจว่าจะมาอยู่ที่นี่ปีละเดือน ผมจะลงมาทำอาหารเอง และเมนูอาหารช่วงนั้นก็จะแตกต่างจากช่วงปกติ ถ้าเป็นไปได้แต่ละปีก็จะไม่เหมือนกันด้วย…ผมว่ามันก็ท้าทายดีที่จะใช้เวลาช่วงที่ไม่ได้อยู่ที่นี่คิดค้นเมนูใหม่ๆ” เขาเล่าถึงแผนการที่วางไว้ “แต่ในช่วงเวลาปกติผมก็ตั้งใจจะแวะมาดูที่นี่บ้างน่ะแหละ มีเที่ยวบินจากสิงคโปร์ตรงมาลงหาดใหญ่ก็ถือว่าเดินทางไม่ลำบาก”
คำตอบจากปาลเป็นเหมือนตัวต่อจิ๊กซอว์ที่หญิงสาวมองหา เธอเห็นแล้วว่าข้าวของในครัวทั้งหมดเป็นเครื่องมือสำหรับเชฟมืออาชีพ เธอคิดว่าอุปกรณ์ชิ้นอื่นคงมีราคาไม่ต่างจากเจ้าเครื่องปั่นนั่น เขาต้องการครัวที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ขณะเดียวกันมันก็ชัดเจนว่าเขาไม่ได้วางแผนจะมาอยู่ที่นี่จริงจังด้วยเช่นกัน
“เป็นคอนเซ็ปต์ร้านที่เก๋ดีนะ คุณตั้งใจว่าจะให้…อืม ใช้คำว่าแฟนคลับได้มั้ง คุณจะให้แฟนคลับของคุณตามมาที่นี่เหรอ”
“ผมไม่ได้เป็นเชฟที่โด่งดังมีแฟนคลับเยอะแยะหรอก” ชายหนุ่มหันไปส่งยิ้มให้สาวร่างเล็ก “แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองมีสถานะทางการเงินมั่นคงมากพอที่จะลองทำอะไรที่อยากทำ โดยที่ไม่ต้องแคร์มากว่ามันจะกำไรหรือขาดทุน”
“ดีจัง” ฟองจันทร์อดนึกถึงตัวเองไม่ได้ เธอเต็มใจรับภาระทางบ้านก็จริง แต่ก็มีหลายครั้งที่เธอแอบคิดว่ามันคงดีไม่น้อยเลยถ้าสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ตามที่ใจต้องการ
ยิ่งนึกถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ครั้งล่าสุดหัวใจหญิงสาวก็ยิ่งห่อเหี่ยว เธอระบายลมหายใจเบาๆ แล้วสาวเท้ากลับไปทางร้านอาหาร พยายามกอบกู้อารมณ์ของตัวเองให้กลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง…มันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป เพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ต่อให้เธอเป็นพวกร่าเริงสดใสมองโลกในแง่ดีอย่างไรมันก็ต้องมีช่วงเวลาที่เธอจิตตกบ้างอยู่ดี
เรื่องธรรมดาจะตาย…
“คุณสนใจเป็นหนูทดลองไหม”
จู่ๆ ปาลก็เปรยถามขึ้นมา และมันก็ทำให้หญิงสาวต้องหันขวับกลับไปด้วยไม่แน่ใจว่าฟังผิดหรือเปล่า
“คะ?”
“ตอนนี้ครัวพร้อมแล้ว หลังจากนี้อุปกรณ์อื่นๆ จะตามมาถึงร้านอาหารจะยังไม่เปิด แต่ผมก็ต้องลองเปิดครัวก่อนกลับ…คุณอยากเป็นหนูทดลองสำหรับครัวใหม่เอี่ยมของผมไหมล่ะ”
“แน่สิคะ” ฟองจันทร์ร้องออกมาทันที “คุณจะทำอาหารให้ฉันกินจริงๆ เหรอ”
“จริงสิ จะเป็นเกียรติมากถ้าผมได้ทำอาหารจานแรกของ Hideaway ให้คุณกิน” ปาลยิ้ม
“แหม ฉันสิคะที่ต้องพูดประโยคนั้น ฉันจะได้เป็นลูกค้าคนแรกของร้านเลยนะ…เอ๊ะ แต่จะใช้คำนี้ได้หรือเปล่า ถ้าเป็นลูกค้าก็ต้องจ่ายเงินสิ”
“คุณเป็นแขกของเจ้าของร้าน ได้รับสิทธิ์เป็นลูกค้ากินฟรีไง”
“โอเคค่ะ จะเป็นลูกค้าหรือไม่เป็นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของร้านเนาะ ถ้าเจ้าของร้านบอกว่าเป็นก็คือเป็น” เธอทุบกำปั้นลงบนฝ่ามืออีกข้างตัวเอง ดวงตาทอประกายสดใสอีกครั้ง
สองหนุ่มสาวเดินมาถึงร้านอาหารอีกครั้ง เขาปล่อยให้เธอก้าวขึ้นบันไดไปก่อน แต่พอเธอถึงบันไดขั้นบนสุดเขาก็ส่งเสียงถาม
“เรารอดูพระอาทิตย์ตกกันได้ไหม”
ฟองจันทร์หันกลับไปมองร่างสูง ก่อนจะเหลือบมองออกไปยังทะเล ยามนี้แผ่นฟ้าถูกย้อมด้วยสีชมพูส้ม ฉาบด้วยปุยเมฆเป็นหย่อม พิจารณาจากความสูงของดวงอาทิตย์แล้วน่าจะอีกพักใหญ่กว่ามันจะคล้อยต่ำลงไปทักทายผืนน้ำ ซึ่งนั่นแปลว่าต้องรอ…แต่เธอก็ยังพยักหน้ารับ
“ก็ได้ค่ะ ฉันไม่ได้รีบไปไหนอยู่แล้ว”
ปาลยิ้ม ก่อนที่เขาจะเหลือบไปเห็นการเคลื่อนไหวของพนักงานภายในร้านอาหารผ่านทางผนังกระจก
“งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปดูข้างในแป๊บนึงนะ ท่าทางคงเสร็จกันแล้ว”
หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งตรงบันไดขั้นสุดท้าย ปล่อยให้ร่างสูงเดินกลับเข้าไปภายในอาคาร เธอนั่งเท้าคางมองสีสันอันงดงามของผืนฟ้า ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดถึงคำที่เขาเลือกใช้ในประโยคคำถามเมื่อครู่…เขาถามว่า ‘ได้ไหม’ ไม่ใช่ ‘ดีไหม’ มันเหมือนเขากำลังขออนุญาตเธอมากกว่าเชิญชวน
สำหรับคนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการเรียบเรียงถ้อยคำอย่างเธอ มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะสะดุดหู…ก็ลองเปลี่ยนประโยคสักนิด แล้วเปรียบเทียบระหว่าง ‘อยู่กับผมต่อได้ไหม’ กับ ‘อยู่กับผมต่อดีไหม’ ดูสิ ให้ความรู้สึกต่างกันเห็นๆ
แต่เราอาจจะคิดมากไปก็ได้ ฟองจันทร์ยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วคลึงขมับทั้งสองข้างเพื่อไล่ความคิดเพ้อเจ้อทิ้งไป
“คุณปวดหัวเหรอ”
เสียงถามลอยมาก่อน แล้ววินาทีถัดมาร่างสูงก็ทรุดตัวลงนั่งข้างเธอ
“เปล่าค่ะ แค่ทำพิธีไล่ความคิดที่ไม่จำเป็นทิ้งไป”
“ด้วยการทำท่าแบบอิกคิวซังเนี่ยเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามขันๆ
“มีท่าประกอบมันรู้สึกเหมือนฉันลงมือไล่มันไปจริงๆ ไงคะ” เธออธิบายกลั้วหัวเราะ “พวกพนักงานกลับไปแล้วเหรอคะ”
“อืม งานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้จากนั้นก็นิ่งไป ปาลเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีกสองหนุ่มสาวนั่งฟังเสียงคลื่นมองพระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงไปหาผืนน้ำกันเงียบๆ พักหนึ่ง จนกระทั่งชายหนุ่มเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง
“ผมพยายามนั่งนึกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้นั่งดูพระอาทิตย์ตกดินแบบนี้คือเมื่อไหร่ นึกไม่ออกเลย มันนานมากแล้วจริงๆ”
“ของฉันน่าจะเป็นทริปเที่ยวครั้งที่แล้ว น่าจะสักครึ่งปีก่อน” ฟองจันทร์ทำท่านึก “แปลกเนาะ ตอนอยู่บ้านไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกกัน ต้องมาดูไกลบ้าน”
พูดยังไม่ทันขาดคำ น้ำหยดหนึ่งก็ตกลงบนกลางหน้าผากของหญิงสาว ตามด้วยน้ำหยดอื่นๆ
“ฝนตกนี่นา”
พอสิ้นเสียงร่างสูงก็ผุดลุกขึ้น มือใหญ่ดึงเธอให้ยืนด้วย แล้วเขาก็กึ่งจูงกึ่งลากฟองจันทร์ให้เข้าไปอยู่ใต้ชายคาเฉลียงเต็มตัว…ฝนโปรยลงมาเป็นสายอย่างรวดเร็วแม้ไม่หนาเม็ด ขณะเดียวกันท้องฟ้าก็ยังเป็นสีสดสว่าง
“แหม จะดูพระอาทิตย์ตกเสียหน่อย อยู่ดีๆ ฝนก็ตกซะงั้น” เธอบ่นงึมงำ
“คงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับแถวนี้” ปาลออกความเห็น “ไม่รู้ฝนจะตกหนักขึ้นหรือเปล่า ยังไงผมไปส่งคุณกลับบ้านก่อนดีกว่า แล้วเราค่อยมาดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันใหม่”
ประโยคสุดท้ายทำให้หญิงสาวต้องเหลือบมองร่างสูง แต่เธอก็ตัดสินใจจะไม่ออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วเดินนำไปเปิดประตูเข้าสู่ร้านอาหารเพื่อทะลุออกไปสู่ทางเดินของโรงแรม ก่อนที่เธอจะนึกขึ้นได้
“เอ๊า ฉันทิ้งร่มเอาไว้ในรถคุณซะงั้นเลย”
เมื่อเช้าตอนเขาไปรับที่บ้านของฐิตานันท์ เธอกำลังเก็บร่มพับซึ่งเพื่อนเอาไปใช้ตอนเดินข้ามไปยังบ้านแม่ของพิทักษ์และกางตากเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ครั้นขึ้นรถเธอก็สอดมันไว้ตรงซอกระหว่างเบาะแถวตัวล็อกเข็มขัดนิรภัย ไม่ได้เอาใส่กระเป๋าสะพาย แล้วก็ลืมไปเลย
“อยู่ตรงข้างเบาะของคุณใช่ไหม คุณรอนี่นะ เดี๋ยวผมไปเอาร่มมาให้”
“เดี๋ยวค่ะ แบบนั้นคุณก็เปียกสิ…ไม่ต้องหรอก ฉันไปพร้อมกับคุณแหละ ฝนปรอยๆ เอง” ฟองจันทร์เผลอคว้าท่อนแขนแข็งแรงหมับ
“ผมชวนคุณมา ถ้าผมดูแลคุณได้ไม่ดีแล้วผมจะกล้าชวนคุณมาอีกได้ไง” ปาลหันไปยิ้มให้เธอ จากนั้นเขาก็เปิดประตูแล้ววิ่งฝ่าสายฝนออกไปยังรถที่จอดไว้ในลานด้านหน้า
หญิงสาวได้แต่ยืนมองเขาเคลื่อนห่างออกไป ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับร่มของเธอ…ร่มคันไม่ใหญ่ เธอเลยขยับไปเดินตัวชิดติดกับร่างสูง เธอพึมพำขอบคุณพร้อมกับลอบสังเกตเขาไปด้วย แม้ฝนจะไม่ได้หนาเม็ดมากแต่เนื้อตัวของเขาก็เปียกพอสมควร หัวใจเต้นตึกตักอย่างช่วยไม่ได้
ผู้ชายอะไร…ทำไมเป็นสุภาพบุรุษได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้
ติดตามต่อไปในเล่ม…
Comments
comments
No tags for this post.