บทนำ
ดวงตกนรกภูมิ
เธอ…หมายปองน้องชายฝาแฝดของเขา
แต่…กลับ ‘ได้’ เขามาแทน!
เขา…กีดกันเธอจากน้องชายฝาแฝดของตน
แต่…กลับ ‘ได้’ เธอซะเอง!
สองสัปดาห์ก่อน
ขณะยืนรอ ‘ธีรัช’ อยู่ใต้คอนโดฯ ‘กีรณา’ ก็ขมวดคิ้วเบาๆ เมื่อโทรหาคนรักแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมรับสายทั้งๆ ที่นัดกันไว้ว่าคืนนี้ทั้งสองจะทำอาหารทานด้วยกันเป็นการฉลองตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายที่เขาเพิ่งได้รับ นี่เธอโทรหาแฟนหนุ่มสองครั้งแล้ว แต่เขาก็ไม่มีวี่แววว่าจะรับสายเธอเลย
หรือว่าจะอาบน้ำอยู่
กีรณาคิดกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจใช้คีย์การ์ดที่ธีรัชเคยให้ไว้ไปสแกนประตูทางเข้าคอนโดฯ เพื่อเปิดมันเข้าไปเองทั้งๆ ที่ปกติจะรอให้เขาลงมารับแม้ว่าเขาจะให้คีย์การ์ดไว้ก็ตาม แต่เย็นนี้เธอซื้ออาหารสดเข้ามาจนเต็มไม้เต็มมือทำให้อดทนยืนรอให้เขาลงมารับไม่ไหวแล้ว
เมื่อก้าวเข้าไปในคอนโดฯ หญิงสาวก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่หมายขณะที่ในใจคิดว่าจะแสดงความยินดีกับคนรักด้วยคำพูดอย่างไรบ้าง…
ธีรัชเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย อายุมากกว่าเธอสามปี เมื่อครั้งที่เธอยังเรียนอยู่ทั้งสองคนเจอหน้ากันแบบผ่านๆ เพราะอยู่คนละรุ่น แต่แล้วก็เหมือนพรหมลิขิตชักพาให้เธอกับเขาได้กลับมาพบกันอีกครั้งในงานคืนสู่เหย้าเมื่อปีที่แล้ว และเขาก็เพียรจีบกีรณาจนเธอตัดสินใจคบกับเขาเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา
แม้จะยังไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน แต่เธอก็คาดหวังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้
หญิงสาวยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงคนรัก พอเดินมาถึงหน้าห้องเธอก็ใช้คีย์การ์ดสแกนประตูก่อนจะเปิดเข้าไป ทว่า…เพียงแค่ประตูเปิดออกรอยยิ้มบนใบหน้างดงามก็ค่อยๆ เลือนหาย
กีรณาตัวชาจนปล่อยถุงอาหารสดในมือร่วงลงพื้น ทำให้คนที่กำลังเริงรักกันบนโซฟารู้ตัวจนรีบผละออกจากกันแทบไม่ทัน และอารมณ์แห่งกามาเหมือนถูกกดสวิตช์หยุดไว้โดยฉับพลัน!
ธีรัชรีบดึงกางเกงที่กองอยู่บนข้อเท้าขึ้น ในขณะที่ฝ่ายหญิงก็รีบเลื่อนกระโปรงที่ถูกถลกขึ้นมากองไว้บนตักเพื่อเปิดทางให้เขาละเลงบทรักลงอย่างรวดเร็วก่อนที่ทั้งสองคนจะมองกีรณาหน้าตาตื่น
หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าตอนเธอใช้คีย์การ์ดสแกนหน้าประตูพวกเขาคงเริงรักกันจนไม่ได้ยินเสียงอื่นใด แต่ก็ดี…เพราะมันทำให้เธอสามารถจับได้คาหนังคาเขาว่าชายหนุ่มกำลังนอกใจเธอ!
‘กี้มาได้ไง…’
ธีรัชถามเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
‘พี่ธีนัดกี้ไว้ไม่ใช่เหรอคะ’
กีรณาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแม้ว่าเธอจะโกรธจนใบหน้าแดงก่ำและต้องกำหมัดแน่นเพื่อสะกดความเดือดดาลไว้ ผู้ชายคนนี้เพียรจีบเธอแทบตาย ทำทุกอย่างเพื่อให้เธอตกลงคบกับเขา พร่ำพูดว่ารักเธอคนเดียว สัญญาว่าจะรักและดูแลเธออย่างดี แต่แค่สามเดือน…เขาก็นอกใจเธอแล้ว
นี่ยังดีที่เธอยังไม่ใจอ่อนยอมตกเป็นของเขา ไม่อย่างนั้นเธอคงจะเจ็บใจยิ่งกว่านี้
‘นี่ขนาดนัดกี้เอาไว้พี่ยังกล้านัดผู้หญิงมาเริงรักกันในห้อง ไม่รู้ว่ากล้ามากหรือหื่นจนทำให้สมองฝ่อกันแน่นะคะ’ กีรณาเหยียดยิ้มดูแคลนก่อนจะปรายตาไปมองคู่ขาของเขา ถ้าเธอจำไม่ผิด…อีกฝ่ายน่าจะเป็นลูกน้องในแผนกของธีรัช และหล่อนก็น่าจะรู้ด้วยว่าธีรัชคบกับเธอ
รู้ว่าผู้ชายมีแฟนแล้วแต่ก็ยังมานอนกับเขาเนี่ยนะ!
กีรณาคิดในใจด้วยความกรุ่นโกรธ แต่เธอจะไม่โทษฝ่ายหญิง เพราะถ้าคนของเธอจิตใจมั่นคงและรักเธอจริงก็คงจะไม่ไปยุ่งกับผู้หญิงอื่น…เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก
‘ก็เธอให้พี่ธีไม่ได้ เขาถึงได้หาจากคนอื่นไง’
ผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าธีรัชทั้งอึ้ง ทั้งรู้สึกผิด และเกรงใจกีรณาจนพูดไม่ออกก็เลยออกโรงพูดเอง เพราะเธอแอบรักธีรัชมานานแล้ว แต่กีรณานั่นแหละที่แย่งเขาไปจากเธอ
‘อ้อ! ฉันต้องขอบคุณเธอสินะที่มาเป็นของเล่นแก้ขัดให้เขา’
กีรณากอดอกมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มหยันที่มุมปาก จากที่ตอนแรกเธอกะว่าจะไม่เล่นงานฝ่ายหญิงแล้ว แต่ในเมื่อหล่อนเสนอหน้าพูดขึ้นมาเอง กีรณาก็คงยอมไม่ได้เหมือนกัน
‘พ่อกับแม่เธอคงภูมิใจเนอะที่ลูกสาวเสนอตัวมานอนกับแฟนชาวบ้านแก้ขัด’
‘นี่เธอ!’
ฝ่ายนั้นโกรธจนตัวสั่นเมื่อถูกตอกหน้าอย่างเจ็บแสบ หล่อนง้างมือตรงเข้ามาหากีรณาหมายจะตบหน้าให้สาสมกับความปากดี ทว่า…กีรณาไวกว่าเพราะเธอกำหมัดแล้วชกเข้าหน้าฝ่ายนั้นเต็มๆ
ผัวะ! ผัวะ!
‘โอ๊ยยย!’
ทั้งคนรักทั้งมือที่สามต่างร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อเจอหมัดของกีรณาเข้าไป เธอไม่ได้ชกแค่ผู้หญิงคนนั้นแต่ยังชกธีรัชที่กำลังจะเข้ามาห้ามด้วย เพราะเธอจะไม่ปล่อยให้พวกเขารุมเธอเด็ดขาด
‘จากนี้ก็ไม่ต้องเสนอหน้ามายุ่งกับชีวิตฉันอีกนะ…ผู้ชายเฮงซวย!’
หญิงสาวก้มลงเก็บถุงอาหารสดขึ้นมาด้วยความเสียดาย แล้วเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง ปล่อยให้สองคนนั้นยืนกุมจมูกที่ถูกชกจนเลือดกำเดาไหลอยู่ในห้อง…คืนนี้อาหารสดที่ตั้งใจซื้อมาฉลองตำแหน่งใหม่ของธีรัชได้กลายเป็นอาหารอันโอชะที่เธอจะได้ฉลองความโสดให้กับตัวเองแทน!
สัปดาห์ก่อน
หลังจากที่ถูกต่อยวันนั้นธีรัชกับคู่ขาก็ไม่กล้ามายุ่งเกี่ยวกับกีรณาอีกเลย แม้หญิงสาวจะยังโกรธแต่เธอก็ขอบคุณทั้งสองคนที่ไม่ทำตัวเหมือนพวกตัวร้ายในละครที่จ้องราวีกันไม่เลิกรา พอเธอบอกเลิกแล้วก็จบกันไปจริงๆ แต่น่าแปลก…ที่เธอกลับไม่รู้สึกเสียใจหรือเสียดายธีรัช
อาจเป็นเพราะเธอยังไม่ได้หลงรักเขาอย่างจริงจัง แต่ตกลงจะคบกันเพราะเห็นแก่ที่เขาเพียรจีบเธอมานานก็ได้ และความรู้สึกที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจก็มีเพียงแค่ความโกรธเท่านั้น
ชีวิตของกีรณาเหมือนจะกลับมาเป็นปกติ แต่ความซวยก็ยังตามติดชีวิตเธอไม่เลิก หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ‘การันต์’ น้องชายคนเดียวของเธอก็มีเรื่องต่อยตีกับคู่อริจนต้องเข้าโรงพยาบาล
‘แม่มึงมา…’
‘พศิน’ เพื่อนสนิทของการันต์กระซิบบอกคนที่เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อเห็นกีรณาโผล่หน้าเข้ามาในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หน้าตาทั้งสองหนุ่มดูเกรงกลัวและหงอมาก แม้กีรณาจะเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ด้วยความที่เธอต้องดูแลการันต์มาเพียงลำพังทำให้เธอดุยิ่งกว่าแม่เสือเสียอีก
‘เอาอีกแล้วนะกันต์!’
กีรณาเดินมาหยุดข้างเตียง ไม่มีคำปลอบใจ หรือท่าทีปลอบโยนกับคนเจ็บที่ตามตัวมีรอยแผลและบนศีรษะถูกไม้ตีหัวแตกเย็บหลายเข็มจนต้องพันผ้าก๊อซเอาไว้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้องชายเกเรของเธอไปมีเรื่องมีราวกับคู่อริ แต่มันหลายครั้งจนเธอเอือมระอาที่จะพูดแล้ว
ห่วงมันก็ห่วงอยู่หรอก แต่เธอเหนื่อยใจกับน้องชายเหลือเกิน
‘พวกไอ้ ‘ฤกษ์’ มันมาหาเรื่องก่อน ผมกับไอ้กันต์พยายามเลี่ยงแล้วนะเจ้’
พศินกลัวเพื่อนจะโดนด่าก็เลยออกตัวพูดแทน เอาจริงๆ ที่การันต์ต้องเจ็บหนักก็เพราะไปช่วยพศินนี่เอง เขาเป็นคนหัวอ่อน ยอมคน และค่อนข้างขี้ขลาด พวกของฤกษ์ซึ่งเป็น ‘ขาใหญ่’ ในซอยจึงมักจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเขาอยู่บ่อยๆ จนการันต์ต้องไปช่วยเสมอทำให้ฤกษ์หมั่นไส้การันต์
ระยะหลังๆ ฤกษ์มักจะหาเรื่องพศินเพื่อให้การันต์ไปช่วย จะได้หาเรื่องต่อยตีการันต์จนเจ็บหนัก แล้วการันต์ก็ดันเป็นคนเลือดร้อน สู้คน กล้าได้กล้าเสีย และยอมเจ็บตัวดีกว่ายอมก้มหัวให้ใคร แม้จะพยายามอดทนอดกลั้นเพื่อไม่ให้มีเรื่องกับพวกของฤกษ์ แต่พอถูกเย้ยหยันเข้าก็ทนไม่ได้ทุกที
‘เพราะแกหรือเปล่าล่ะที่ทำให้มันมีข้ออ้างมาหาเรื่อง’
กีรณาตอกกลับไปอย่างรู้สถานการณ์ทำให้พศินถึงกับพูดไม่ออก…เมื่อหลายปีก่อนยาเสพติดระบาดเข้ามาในซอยหมู่บ้าน ตอนนั้นพศินกับการันต์อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พศินถูกดึงเข้าไปเป็นลูกน้องของฤกษ์จนติดยาและเกือบจะกลายเป็นพ่อค้ายาเสพติดรายย่อยไปแล้ว แถมยังจะดึงการันต์เข้าไปด้วย แต่ยังดีที่น้องชายของเธอ…แม้จะเกเรอยู่เนืองนิตย์แต่ยังไม่โง่จนหลงเข้าไปพัวพันกับยาเสพติด
หญิงสาวพอจะรู้ว่าฤกษ์อยากดึงการันต์ไปเป็นลูกน้อง เพราะการันต์เป็นคนอัธยาศัยดี มีน้ำใจกับเพื่อนและรุ่นน้องจนเป็นที่รักของกลุ่มวัยรุ่นชายในซอย อีกทั้งยังเป็นคน ‘ใจถึง’ และฉลาด
หากได้ไปเป็นลูกน้องจะช่วยงานฤกษ์ได้มาก ดังนั้นเพื่อ ‘ตัดไฟแต่ต้นลม’ กีรณาจึงแจ้งตำรวจไปจับลูกน้องของฤกษ์ตอนที่พวกมันนัดส่งยา และตำรวจเกือบจะสาวไปถึงตัวฤกษ์แล้ว ทำให้ฤกษ์โกรธมากจนถึงขั้นประกาศว่าจะจับกีรณามาทำเมียในสักวันหนึ่ง
ถึงกระนั้นเธอก็ไม่เกรงกลัวเพราะรู้ว่าฤกษ์ใหญ่แค่ในซอยเท่านั้นแหละ
‘ผมก็พยายามหาเงินไปคืนมันอยู่’
พศินบ่นอุบอิบอย่างรู้สึกผิด เพราะเคยหลงไปติดยาอยู่พักหนึ่งทำให้ติดหนี้ฤกษ์ แม้ปัจจุบันจะเลิกแล้วแต่ฝ่ายนั้นก็ยังใช้เรื่องเงินเป็นข้ออ้างในการตามราวีจนการันต์ซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็กและคอยช่วยเหลือกันมาตลอดต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
ใจจริงพศินก็อยากใช้หนี้ให้จบๆ ไป แต่ด้วยความที่ครอบครัวมีอาชีพเปิดร้านขายของชำ ฐานะค่อนข้างลำบาก และเขาก็ยังเรียนไม่จบก็เลยยังไม่มีเงินไปให้ฤกษ์ ต่อให้จะเป็นเงินแค่หลักหมื่นก็ตาม ครั้นกีรณากับการันต์จะช่วยออกเงินให้ก็ไม่มีปัญญาเช่นกัน
หลังจากบิดาและมารดาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตอนที่หญิงสาวยังเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง กีรณาก็ต้องส่งเสียตัวเองกับน้องชายเล่าเรียน และยังต้องหาเงินใช้หนี้ที่บุพการีนำบ้านไปจำนองไว้อีกต่างหาก เพราะถึงแม้พวกท่านจะทำประกันชีวิตเอาไว้แต่ก็ได้เงินไม่มากนัก
สองพี่น้องต้องช่วยกันทำงานพิเศษมาโดยตลอด เพราะพวกเขาไม่มีญาติที่ไหนมาคอยช่วยเหลือจุนเจือได้ และด้วยความที่กลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัวนี่เองที่ทำให้กีรณาดุเหมือนแม่คนที่สองของการันต์ทั้งๆ ที่อายุเพิ่งจะยี่สิบห้าปี และห่างจากการันต์แค่สามปีเท่านั้น
‘ปีนี้ก็จะเรียนจบกันแล้ว รีบหางานทำ รีบหาเงินไปคืนมันให้ได้ก็แล้วกัน มันจะได้ไม่มีข้ออ้างมาวุ่นวายกับพวกแกสองคนอีก’ กีรณาดุอย่างไม่ไว้หน้าทั้งเพื่อนสนิทของน้องชายและน้องชายของตนเอง ‘แกเองก็เหมือนกัน อย่าเปรี้ยวให้มันมากนัก รู้อยู่ว่าพวกนั้นมันหมาหมู่ เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเหอะ’
‘ผมรู้แล้วน่า’
ตอบอย่างนี้ทุกที…
กีรณาคิดในใจก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยหน่าย
‘แล้วคิดยังไงหามกันเข้าโรงพยาบาลเอกชน มันแพงไม่รู้หรือไง รอบนี้ไม่ต่ำกว่าหมื่นแน่ๆ’
‘โห! ห่วงน้องบ้างเหอะเจ้’
การันต์โวยวายเมื่อพี่สาวพูดถึงเรื่องเงิน เขาอดคิดไม่ได้ว่าที่กีรณารีบมาโรงพยาบาลคงไม่ได้เป็นห่วงเขา แต่อยากตามมาด่าที่เขาทำให้อีกฝ่ายต้องจ่ายค่ารักษาเป็นเงินนับหมื่น
‘ฉันไม่ได้บอกให้แกไปตีกับพวกนั้นสักหน่อย’
กีรณาทำตาดุใส่น้องชาย ห่วงก็ห่วงอยู่หรอก แต่เธอก็เป็นห่วงเงินในกระเป๋าด้วย เดือนนี้หญิงสาวคงได้เอาเงินเก็บเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลการันต์อีกตามเคย
‘ผมกลัวไอ้กันต์มันตายนี่เจ้ ตอนนั้นมันโดนตีจนหัวแตกเลือดอาบ ผมก็เลยรีบพามันมาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด’ พศินบอกหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ รู้สึกผิดที่ทำให้ ‘เจ้ใหญ่’ ต้องเสียเงินหมื่น
‘คราวหน้าพาเข้าโรงพยาบาลรัฐก็พอ ถ้ามันเสียเลือดจนตายก็ให้มันตายไป จะได้รู้ว่าไม่ต้องไปตีกับใครอีก’ ไม่พูดเปล่าแต่กีรณายังหยิกแขนคนเจ็บจนอีกฝ่ายร้องโอดโอย
‘เจ้! โหดร้าย! ผมเจ็บอยู่นะโว้ย’ การันต์โอดครวญ
‘เจ็บก็จำไว้ซะบ้างสิ! คราวหลังจะได้ไม่ไปมีเรื่องอีก ให้นอนโรงพยาบาลคืนเดียวพอนะ ไม่มีเงินจ่ายแล้ว’ กีรณาย้ำเรื่องเงินอีกครั้งทำให้การันต์ถึงกับกลอกตามองบน
ในใจเขาคิดไปว่า…น้องเจ็บเจียนตายแล้ว แต่เจ้แม่งยังจะงกอีก!
บ่ายวันนี้
พอการันต์ออกจากโรงพยาบาลมานอนพักฟื้นที่บ้านได้สองวันเขาก็สามารถไปเรียนและไปทำงานพิเศษได้ตามปกติ กีรณาค่อยสบายใจขึ้นและหวังว่าจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนชาวบ้านเขาสักที แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะความซวยยังตามติดชีวิตเธอราวกับกลัวว่าเธอจะสุขสบายเกินไป
ไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้นอีกจนได้!
‘คุณธรเรียกจ้ะ’
เลขาฯ สาวใหญ่ของ ‘ภพธร’ ผู้ควบตำแหน่งเจ้าของบริษัทและหัวหน้างานเดินมาตามกีรณาที่โต๊ะเพื่อให้หญิงสาวเข้าไปพบในห้องทำงานส่วนตัว ทำให้เธอขมวดคิ้วเบาๆ ด้วยความสงสัย
‘กี้ก็ส่งแผนโปรโมตสินค้าให้คุณธรแล้วนี่คะ เขาจะเรียกกี้ไปทำไมอีก’
กีรณามองหน้าเลขาฯ สาวใหญ่ด้วยความสงสัย เธอทำงานตำแหน่งประชาสัมพันธ์ในบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางแห่งนี้มาเกือบสามปีแล้วตั้งแต่เธอเรียนจบ แม้ที่นี่จะเป็นบริษัทเล็กๆ แต่ด้วยความที่เธอทำงานเก่งทำให้เจ้านายให้ค่าตอบแทนดี แม้ว่าเขาจะมีท่าทีแปลกๆ กับเธอบ้างก็ตาม
‘พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน กี้ไปถามคุณธรเอาเองเถอะ’
‘ขอบคุณที่มาบอกนะคะ’
กีรณาลุกจากโต๊ะทำงานแล้วเดินเข้าไปในห้องภพธรด้วยความสงสัย ในตอนนั้นเธอเห็นเจ้านายหนุ่มใหญ่กำลังนั่งลุกลี้ลุกลนเหมือนรอคอยการมาของเธอแทบทนไม่ไหวแล้ว
‘คุณธรมีอะไรหรือเปล่าคะ’
ร่างบางเดินไปหาเจ้านายถึงที่โต๊ะ อีกฝ่ายจึงเลื่อนเก้าอี้ออกเพื่อเปิดทางให้เธอเดินเข้ามาใกล้ๆ เขามองไปทางคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเหมือนกับว่าไฟล์งานที่เขากำลังเปิดดูพบปัญหา
‘งานที่คุณส่งมามีปัญหานะ’
‘ปัญหาอะไรคะ’
‘มาดูนี่สิ’
เจ้านายหนุ่มใหญ่บอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ด้วยความที่เป็นกังวลว่าตนเองจะทำงานพลาดกีรณาจึงไม่ทันสังเกตท่าทีแปลกๆ ของอีกฝ่าย เธอเดินเข้าไปเพื่อดูไฟล์งานในทันที แล้วตอนนั้นเอง! ภพธรก็คว้าร่างเธอลงไปนั่งบนตักเขาอย่างรวดเร็วทำให้ร่างบางถึงกับตกใจจนตัวแข็งทื่อ
‘ปล่อยนะคะ!’
กีรณาสั่งเสียงแข็งขณะพยายามลุกไปจากตักของเจ้านาย แต่อีกฝ่ายก็กอดรัดเธอเอาไว้แน่นแถมยังพยายามสูดดมกลิ่นหอมจากพวงแก้มเธออย่างหื่นกระหายเหมือนรอเวลานี้มานาน
หญิงสาวเคยสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้มองเธอด้วยสายตาแปลกๆ หลายครั้ง แต่ด้วยความที่เจ้านายก็ไม่เคยถึงเนื้อถึงตัวกับเธอมาก่อนทำให้เธอไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าลวนลามเธอ
‘ผมมองคุณมานานแล้ว คุณก็น่าจะรู้ การที่คุณไม่เคยว่าอะไรแสดงว่าคุณเองก็มีใจให้ผม’
เจ้านายหนุ่มใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงแตกพร่าอย่างหื่นกระหาย กีรณารู้สึกขยะแขยงเขาอย่างบอกไม่ถูก นี่เขาคิดจะลวนลามลูกน้องในที่ทำงานไม่พอ ยังคิดเข้าข้างตัวเองไปถึงขั้นนั้น
ตัวเขาก็มีลูกมีเมียอยู่แล้วยังจะกล้าคิดอกุศลกับเธออีกหรือ…สารเลวที่สุด!
‘อย่าปฏิเสธเลย คุณอยากได้เงินเท่าไหร่ ผมจะให้คุณ’
ภพธรพูดด้วยความหื่นกระหายเพราะอดทนเก็บความต้องการที่มีต่อกีรณาเอาไว้มานานแล้ว แรกทีเดียวเขาพยายามหักห้ามใจ แต่ยิ่งเห็นเธอทุกวันก็ยิ่งปรารถนาในตัวเธอยิ่งขึ้น
หญิงสาวเป็นผู้หญิงร่างเล็ก เธอสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร แต่เป็นคนรูปร่างเย้ายวนจนน่าใจหาย แม้ไม่เคยเห็นเนื้อตัวภายใต้เสื้อผ้า แต่เท่าที่เฝ้าสังเกตมานานทำให้เขามั่นใจว่าเนินอกเธอน่าจะใหญ่เกินตัวสาวร่างบาง เอวเล็กคอดกิ่ว แต่สะโพกผายโค้งงอนน่าสัมผัสอย่างยิ่ง
กีรณาเป็นคนผิวขาวอมชมพู หน้าตาเธอก็ถูกใจภพธรเป็นที่สุด เธอมีใบหน้าเรียวได้รูป คิ้วโก่งงาม ดวงตาสีดำกลมโตประดับด้วยแพขนตางอนยาวดูหวานซึ้ง จมูกโด่งรับกับทุกส่วนของใบหน้า และริมฝีปากอิ่มเต็มสีแดงระเรื่ออย่างเป็นธรรมชาตินั้นก็ดึงดูดสายตาเขาจนอยากกดริมฝีปากลงไปทุกครั้งที่พบเห็น เสียอย่างเดียวก็ตรงที่ฝีปากเธอเก่งกล้าขัดกับใบหน้าอ่อนหวานกับร่างบอบบางอรชรเหลือเกิน
‘ฉันไม่เคยมีใจอะไรกับคุณทั้งนั้น ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!’
กีรณาพยายามดันตัวเจ้านายตัณหากลับออกไปด้วยความรังเกียจ แต่เธอยังไม่ทันลุกไปจากตักของอีกฝ่าย ประตูหน้าห้องทำงานส่วนตัวของเขาก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรงก่อนที่ภรรยาของภพธรจะโผล่หน้าเข้ามาโดยมีพนักงานอีกหลายคนยืนชะโงกหน้าอยู่ข้างหลังด้วยความอยากรู้อยากเห็น
‘ฉันสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าทำไมพักนี้คุณเปลี่ยนไป ที่แท้คุณก็ซุกเมียน้อยไว้ที่ทำงานนี่เอง!’
ภรรยาขี้หึงปราดเข้ามาในห้องก่อนจะกระชากกีรณาออกห่างจากสามีของตนทั้งๆ ที่หญิงสาวก็ขยับออกมายืนห่างอยู่แล้ว
‘หน้าด้าน! เธอก็รู้ว่าเขามีลูกมีเมียอยู่แล้วยังจะมาเสนอตัวให้เขาอีกนะ’
‘พอแล้วคุณ’
ภพธรเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่ก็รีบห้ามไม่ให้ภรรยาโวยวายเพราะกลัวว่าพนักงานจะเอาไปนินทา แค่นี้เขาก็อับอายจะแย่อยู่แล้ว กีรณาก็ยังไม่ได้ ‘ฟัน’ ซ้ำยังจะถูกภรรยาฉีกหน้าอีก
‘นี่คุณปกป้องมันงั้นเหรอ!’
เมื่อถูกห้ามปรามผู้เป็นภรรยายิ่งโกรธจัดจนเดินเข้าไปกระชากต้นแขนกีรณาอย่างรุนแรง
‘เธอแอบกินกับผัวฉันมานานแค่ไหนแล้ว เขาถึงได้หลงเธอขนาดนี้’
‘นี่คุณ! ฉันรู้นะว่าคุณโกรธที่ถูกสามีนอกใจ แต่มีสติสักนิดเถอะ ไม่เห็นเหรอว่าฉันพยายามดิ้นรนจากสามีคุณแค่ไหน’
กีรณาดึงแขนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายด้วยความโกรธ
‘ก่อนจะกล่าวหาว่าใครเป็นเมียน้อย…ช่วยเช็กสามีของคุณก่อนด้วยนะคะว่าน่าแย่งหรือเปล่า รวยก็ไม่รวย หน้าตาก็งั้นๆ แถมยังแก่งั่กอีกต่างหาก อย่าว่าแต่จะแย่งเลย…ให้ฟรีๆ แถมข้าวอีกสองกระสอบฉันยังไม่เอา!’
คำพูดของกีรณาทำให้พนักงานที่แอบฟังอยู่ถึงกับแอบขำคิกคักไปตามๆ กัน แต่กีรณาก็ไม่คิดจะหยุดพูด เธอจะโวยวายให้เจ้านายตัณหากลับต้องอับอายจนไม่กล้าไปทำอย่างนี้กับผู้หญิงคนไหนอีกเลย เพราะเธอถูกลวนลามก็เจ็บใจพอแล้ว นี่ยังจะถูกกล่าวหาว่าเป็นเมียน้อยอีก
‘ที่สำคัญคนอย่างฉันไม่คิดจะเป็นเมียน้อยใคร ฉันหาแฟนได้ดีกว่าสามีคุณแน่ๆ ค่ะ อ้อ…แล้วแทนที่จะมากังวลว่าฉันเป็นเมียน้อยสามีคุณ ฉันว่าคุณช่วยเช็กข้อมูลให้ดีๆ ก่อนที่จะโวยวายดีกว่านะคะจะได้ไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะเท่าที่ฟังคุณพูด…สามีคุณก็คงไม่เบาหรอกใช่มั้ย’
‘ไม่ต้องมาปากดี! ฉันไล่เธอออก!’
เมื่อเถียงสู้ไม่ได้ ภรรยาของเจ้านายหื่นกามก็ชี้หน้ากีรณาเหมือนจะเฉดหัวเธอออกไปจากบริษัทให้ได้ภายในวันนี้ แน่นอนว่าคนอย่างกีรณาไม่มีทางเสียศักดิ์ศรีอยู่ต่อ เพราะเธอก็ตั้งใจว่าจะลาออกอยู่แล้ว เรื่องอะไรจะทำงานต่อไปให้หัวหน้าตัณหากลับลวนลามเอาอีก เธอไม่ได้โง่ขนาดนั้น
‘ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เพราะถึงคุณไม่ไล่…ฉันก็ตั้งใจจะลาออกอยู่แล้ว’ เธอเหยียดยิ้มที่มุมปาก ‘แต่ก่อนจะออกไปฉันขอเงินชดเชยด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่’
พูดจบกีรณาก็เดินออกมาจากห้องนั้น ฝ่ายภรรยาขี้หึงทำอะไรเธอไม่ได้ก็ตรงเข้าไปด่าทอและทุบตีสามีเพื่อระบายความโกรธจนพนักงานที่ยืนมองอยู่ต่างอับอายขายหน้าแทน…ส่วนคนที่เคยถูกลวนลามมาก่อนแต่ไม่กล้าพูดก็ถึงกับขอบคุณกีรณาในใจที่ช่วยด่าแทนทุกคนจนสาแก่ใจ!
เย็นวันนี้
พอถูกไล่ออกกีรณาก็ไม่ลังเลที่จะเก็บข้าวของออกจากที่ทำงานทันที ส่วนเรื่องเงินชดเชยค่อยกลับไปดำเนินการทีหลังซึ่งเธอมั่นใจว่าตัวเองจะต้องได้เพราะอดีตเจ้านายรู้จักเธอดีว่าหากเขาไม่ยอมจ่าย เธอจะสู้จนถึงที่สุด และอย่างน้อยๆ เขาจะถูกประจานในโลกโซเชียลจนต้องอับอาย
ในความซวยก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่เพื่อนร่วมงานต่างเข้าใจและไม่เชื่อว่าหญิงสาวจะเป็นเมียน้อยใครอย่างที่ถูกกล่าวหา…ทุกคนต่างเสียดายที่ต้องเสียเพื่อนร่วมงานอย่างเธอไป ถึงกระนั้นกีรณาก็ยังเซ็งอยู่ดี เพราะอยู่ดีๆ เธอก็กลายเป็นคนดวงซวยที่ตกงานอย่างกะทันหัน
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหางานใหม่ได้
หญิงสาวคิดด้วยความเซ็งสุดขีดขณะเปิดประตูรั้วเข้าไปในบ้าน แม้ว่าเธอจะเรียนจบมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ อีกทั้งยังมีผลการเรียนในระดับที่ดี แต่ด้วยพิษเศรษฐกิจในปัจจุบันก็ทำให้การหางานดีๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ใจหนึ่งเธอก็เสียดายงานที่บริษัทเดิม แต่อีกใจก็รู้สึกโล่งอกที่ออกจากที่นั่นมาก่อนจะถูกลวนลามไปมากกว่านี้ ยังดีที่อดีตเจ้านายวางแผนลวนลามเธอได้ไม่แนบเนียนเธอถึงรอดมาได้
‘นั่นไง มาพอดี!’
เสียงที่ดังทักทายมาจากโต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านทำให้กีรณาชะงักฝีเท้าแล้วขมวดคิ้วมองผู้ชายสองคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอ หญิงสาวจำได้ดีว่าพวกเขาเป็นคนของ ‘เถ้าแก่หวง’ ซึ่งบิดาเธอเคยเอาบ้านไปจำนองไว้ และตกลงกันไว้ว่าเธอจะต้องทยอยจ่ายทั้งเงินต้นทั้งเงินดอกทุกเดือน และเธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเดือนนี้เลยกำหนดจ่ายมาสามวันแล้ว แต่…อีกฝ่ายถึงขั้นสะเดาะกุญแจรั้วหน้าบ้านเข้ามานั่งรอในบริเวณบ้านเลยหรือ นี่ยังดีนะที่ไม่ไร้มารยาทจนถึงขั้นสะเดาะกุญแจประตูบ้านแล้วเข้าไปนั่งรอข้างในบ้าน
‘น้องกี้…เลยกำหนดจ่ายมาสามวันแล้วนะจ๊ะ เถ้าแก่เขาให้มาทวง’
ผู้ชายคนหนึ่งที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาดีบอกพลางแบมือมาหาแล้วทำหน้ากวนๆ ใส่กีรณา เธอรู้ว่าเขาถูกใจเธอ แต่ที่ไม่กล้าแสดงออกมากกว่าพูดแซวเพราะรู้ว่าเธอมันแสบแค่ไหน…เรื่องที่เธอใจกล้าจนพาตำรวจไปจับลูกน้องของฤกษ์ตอนส่งยายังตราตรึงและเล่ากันไปทั้งซอยจนถึงปัจจุบัน
‘ฉันลืมน่ะจ้ะ พอดีช่วงนี้มีเรื่องยุ่งๆ’
กีรณาแกล้งฉีกยิ้ม แม้จะไม่ชอบเวลาที่อีกฝ่ายมองด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ย แต่อย่างน้อยเวลาที่เธอจ่ายเงินช้าก็ได้เขาคอยพูดกับเถ้าแก่หวงจนเธอไม่ต้องจ่ายค่าปรับที่จ่ายเลยกำหนด
‘อย่าช้าบ่อยๆ นะจ๊ะเพราะช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี คนจ่ายช้ากันเยอะ เถ้าแก่เขาก็เลยคุมเข้ม ถ้าเป็นคนอื่นต้องเสียดอกเพิ่มทุกวันที่จ่ายช้านะ แต่เพราะเป็นน้องกี้พี่ก็เลยขอเถ้าแก่ให้’
‘ขอบคุณมากนะจ๊ะ’
กีรณาว่าพลางส่งเงินที่เพิ่งกดมาจากตู้เอทีเอ็มเป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือนนี้ให้กับอีกฝ่าย ทางนั้นรับไปนับอย่างคล่องแคล่ว เมื่อได้เงินครบตามจำนวนก็ยื่นบิลที่เขียนมาล่วงหน้าส่งให้เธอเพื่อเป็นหลักฐานการจ่ายก่อนจะเดินออกไป กีรณาจึงเดินตามไปปิดประตูรั้วและกล่าวขอบคุณซ้ำอีกครั้ง
เงินเกือบหมดกระเป๋าเลย!
หญิงสาวถอนหายใจกับตัวเอง ลับหลังคนทวงหนี้ใบหน้ายิ้มแย้มก็กลับกลายเป็นบึ้งตึงทันที เธอแทบกุมขมับเมื่อพยายามนึกหาวิธีบริหารเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ กับจำนวนเงินที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
…และทั้งหมดคือทุกเหตุการณ์ที่ทำให้ตอนนี้กีรณามานั่งอยู่ในผับ!
ปกติหญิงสาวไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบเที่ยวกลางคืนหรือดื่มเหล้าเข้าผับเลยสักนิด แต่ความเครียดที่สั่งสมบวกกับปัญหามากมายที่รุมเร้าทำให้เธออยากหาทางระบายความเครียดเหล่านั้นบ้าง เห็นใครๆ ก็ว่าสถานที่แบบนี้เป็น ‘สถานเริงรมย์’ บางทีมันอาจจะช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็ได้
ไม่เห็นจะสนุกเลย
กีรณาถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายขณะยกค็อกเทลแก้วที่สามขึ้นดื่มจนหมดด้วยความเสียดาย เธอตั้งใจว่าจะกลับบ้านแล้วเพราะนั่งต่อไปก็ไม่หายเครียดหรือผ่อนคลายสักนิด ในหัวเธอยังมีแต่เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องไปจัดการ แถมเสียงเพลงแดนซ์ที่ดังจากลำโพงรอบทิศทางก็สร้างความรำคาญให้เธออย่างมาก นี่ยังไม่รวมถึงสายตาผู้ชายหลายคนที่มองเธอด้วยความสนใจอีกต่างหาก
น่ารำคาญ…
ร่างบางบ่นกับตัวเองก่อนจะคว้ากระเป๋าคลัตช์ที่วางอยู่ข้างๆ แล้วลุกจากเก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาน์เตอร์บาร์เพื่อออกจากร้าน ทว่าในตอนนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาขวางทางเธอไว้ราวกับรอจังหวะนี้มานาน วินาทีนั้นกีรณารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอาจเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เธอยุ่งยากใจอีกแล้ว
เอาเข้าไป! อะไรมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้ ดวงฉันตกนรกภูมิหรือไง!
บทที่ 1
พรหมลิขิต
หญิงสาวถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายแต่พยายามตั้งสติเพื่อรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าให้ดี บอกตรงๆ ว่าเธอเบื่อที่จะมีเรื่องกับใครและอยากพาตัวเองออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“ขอทางด้วยนะคะ” กีรณาฝืนยิ้มเพื่อไม่ให้ดูเหวี่ยงเกินไป
“แลกกับเบอร์โทรของคุณได้มั้ยครับ” ฝ่ายนั้นบอกก่อนจะเอียงคอมองเธอพร้อมรอยยิ้มจนดูพยายามเป็นหนุ่มหล่อขี้เล่น แต่กีรณากลับมองว่ามันดูกวนประสาทเสียมากกว่า
“อย่าดีกว่าค่ะ ฉันไม่สะดวก”
“งั้นผมก็คงไม่สะดวกที่จะให้คุณเดินผ่านไปทางนี้”
ชายหนุ่มยังไม่ยอมหลบทางง่ายๆ กีรณาจึงแสดงความไม่พอใจด้วยการกลอกตามองบนใส่เขาไปครั้งหนึ่ง แล้วเธอก็ตัดสินใจหมุนตัวเดินไปอีกทางแม้ว่าทางนั้นจะมีคนแออัดกว่าก็ตาม
หมับ!
ทว่า…ผู้ชายคนนั้นกลับไม่ยอมให้หญิงสาวเดินออกไปง่ายๆ เขาเอื้อมมือมาคว้าข้อมือเธอไว้อย่างถือวิสาสะแล้วออกแรงรั้งให้เธอกลับไปยืนเผชิญหน้ากับเขาในระยะประชิด
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
ไม่พูดเปล่า แต่กีรณายังพยายามสลัดข้อมือออกจากการจับกุมของอีกฝ่าย ทว่าฝ่ายนั้นก็ไม่ยอมปล่อยเธอสักที มิหนำซ้ำยังทำท่าว่าจะกอดเธอเอาไว้อย่างอุกอาจอีกต่างหาก
“อย่าบังคับผู้หญิงที่ไม่เต็มใจสิครับ”
ขณะที่กีรณากำลังหาทางหลุดพ้นไปจากผู้ชายกักขฬะคนนี้ก็มีผู้ชายอีกคนเข้ามาช่วยเธอเอาไว้ก่อน เขาค่อยๆ ดึงมือผู้ชายคนนั้นออกไปทำให้หญิงสาวมีจังหวะที่จะขยับตัวออกมา และเธอไม่ลังเลที่จะขยับไปหลบอยู่ทางด้านหลังคนที่มาใหม่โดยอัตโนมัติ แม้จะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็ตาม
แต่การที่เขายื่นมือเข้ามาช่วยในสถานการณ์นี้ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วคุณมายุ่งอะไรด้วย”
ฝ่ายนั้นชักสีหน้าไม่พอใจ แต่พอเลื่อนสายตาไปมองทางด้านหลังคู่กรณีแล้วเห็นว่ามีผู้ชายอีกสองคนในชุดดำเหมือนบอดี้การ์ดยืนอยู่ก็ถึงกับหน้าซีดในทันที เขายืนเลิ่กลั่กอยู่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นก่อนจะยอมถอยออกไปด้วยความเจ็บใจเพราะกลัวว่าถ้ามีเรื่องกันแล้วตัวเองจะเป็นฝ่ายเจ็บหนัก
“ขอบคุณนะคะ ถ้าคุณไม่เข้ามาช่วย ฉันคงแย่แน่ๆ”
หญิงสาวขอบคุณชายหนุ่มจากใจจริง เธอเพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายเป็นหนุ่มหล่อที่รูปร่างและหน้าตาดูดีมากราวกับนายแบบที่เดินออกมาจากแม็กกาซีนหัวนอก อีกทั้งยังน่าจะเป็นลูกครึ่งไทยกับตะวันตกสักสัญชาติเพราะหน้าตาเขาเอนเอียงไปทางตะวันตกมากกว่าจะดูเป็นคนไทยเสียอีก
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”
ชายหนุ่มบอกก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้กีรณาเบาๆ เป็นเชิงขอตัว จากนั้นก็เดินออกไปหาเพื่อนที่อีกโต๊ะหนึ่งทิ้งให้เธอมองตามแผ่นหลังกว้างไปด้วยรอยยิ้มประทับใจ…หญิงสาวคิดว่าอย่างน้อยๆ ในความโชคร้าย เธอก็ยังโชคดีอยู่บ้างที่ได้เจอผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษอย่าง ‘เขาคนนี้’
“อื้อ…”
กีรณารู้สึกตัวขึ้นในตอนสายๆ ของวันต่อมา ร่างบางยังคงหลับตาและนอนอยู่บนเตียงขณะกำลังยกมือขึ้นคลึงขมับเพราะรู้สึกปวดศีรษะซึ่งเป็นผลมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปเมื่อคืนนี้จนทำให้หญิงสาวถึงขั้นต้องสาบานกับตัวเองในใจว่าต่อไปเธอจะไม่ดื่มมันอีกแล้ว
ขณะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงก็ดังขึ้น หญิงสาวสบถเบาๆ ด้วยความเซ็งเพราะเธอยังไม่พร้อมจะตื่น
ถึงกระนั้นกีรณาก็ควานมือหาโทรศัพท์มือถือทั้งที่ยังหลับตาอยู่เพื่อหยิบมันขึ้นมารับสาย…นี่ขนาดเธอดื่มไปแค่ไม่กี่แก้วยังรู้สึกมึนศีรษะและหลับยาวขนาดนี้ อีกทั้งฤทธิ์แอลกอฮอล์ยังทำให้ปวดศีรษะจนน่าหงุดหงิดด้วย ไม่รู้ว่าพวกที่ดื่มบ่อยๆ อดทนดื่มมันเข้าไปได้ยังไง
“สวัสดีค่า”
หญิงสาวรับสายโดยไม่ลืมตาดูแม้กระทั่งชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอ
“โห! นี่แกยังไม่ตื่นอีกเหรอ”
“ใครอ่ะ”
“อะไรวะ! นี่จำกันไม่ได้แล้วหรือไง”
คำพูดที่ปลายสายใช้แสดงความสนิทสนมและน้ำเสียงก็คุ้นหูมาก กีรณาใช้เวลานิ่งคิดไม่นานก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“นี่วรรณเหรอ”
“เออ! ฉันเอง ไม่ได้ติดต่อกันแค่เดือนเดียวแกจำเสียงฉันไม่ได้แล้วหรือไง”
“เดือนเดียวก็นานแล้วเหอะ แล้วที่โทรมานี่มีอะไรหรือเปล่า”
“โทรมาคุยเล่นไม่ได้หรือไง นี่เพื่อนไงงง”
“คุยได้ๆ แต่เราไม่ได้คุยโทรศัพท์กันมาเป็นเดือนแล้วนี่นา ฉันก็เลยสงสัย”
กีรณาหาวเบาๆ ขณะดันตัวเองลุกขึ้นนั่งเพราะถึงจะยังงัวเงียอยู่ก็ไม่อยากหลับต่อแล้ว อีกทั้งดูท่าทีแล้วน่าจะต้องคุยกับ ‘วรรณ’ หรือ ‘วรรณสา’ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยต่ออีกนาน
แต่…จะบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทก็คงไม่ใช่เสียทีเดียวหรอก
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนไม่ได้แนบแน่นขนาดนั้น เพียงแต่กีรณาต้องทำงานพิเศษมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายเรื่อยมาจนถึงระดับมหาวิทยาลัยทำให้เธอมีเพื่อนสนิทน้อยมาก เพราะแทบไม่ได้ไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อนๆ ส่วนวรรณสาเองก็มีปัญหาเรื่องเงินทำให้จำเป็นต้องทำงานพิเศษไม่ต่างกัน
ดังนั้นทั้งสองคนจึงเป็นพวก ‘หัวอกเดียวกัน’ เวลาทำงานกลุ่มก็เลยต้องเกาะกลุ่มกันเอาไว้ หรือเวลาไม่ได้เข้าเรียนก็จะฝากให้อีกฝ่ายเก็บเอกสารหรือถ่ายเอกสารประกอบการเรียนการสอนให้จนกลายเป็นเพื่อนที่พูดคุยกันบ่อยที่สุด ถึงกระนั้นทั้งสองคนก็ไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องส่วนตัวของกันและกัน
จะเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบ ‘พึ่งพากัน’ ก็คงไม่ผิดนัก
นับตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยมานานๆ ครั้งกีรณากับวรรณสาถึงจะติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรือแม้กระทั่งไลน์ส่วนตัว แต่ทั้งสองก็รับรู้เรื่องราวในชีวิตของกันและกันผ่านช่องทางการติดต่อในโลกออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมตามประสาคนทั่วไปในยุคสมัยนี้
“ความจริงก็มีธุระนิดหน่อยแหละ”
“ว่า?”
“ฉันเห็นแกเขียนสเตตัสลงเฟซบุ๊กเมื่อคืนนี้ไง ชีวิตมันจะซวยอะไรขนาดนั้นวะกี้”
“เออ! ซวย…ซวยมาก ซวยจนฉันงงไปเลย”
เมื่อเพื่อนถาม ‘ถูกจุด’ กีรณาก็ได้ทีระบายความเครียดที่ยังคั่งค้าง ปกติหญิงสาวเป็นพวกไม่ค่อยระบายความรู้สึกหรืออัพเดตชีวิตส่วนตัวลงในโลกโซเชียลอยู่แล้ว สองสามวันถึงจะอัพสเตตัสทีเพื่ออัพเดตให้เพื่อนรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อวานหลังจากตกงานหมาดๆ เธอก็ทนไม่ไหวจนต้องเขียนระบายลงในเฟซบุ๊ก อีกทั้งยังประกาศหางานไปในตัวว่าหากเพื่อนคนไหนมีงานแนะนำให้ติดต่อเธอมาด้วย
“แล้วแกยังตกงานอยู่หรือเปล่า”
“ก็ยังตกอยู่น่ะสิ! ในกรุงเทพฯ ตอนนี้งานดีๆ หายากยิ่งกว่าทองคำซะอีก”
กีรณาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในสภาวะที่เศรษฐกิจย่ำแย่เหมือนไร้หนทางแก้อย่างนี้บริษัทมีแต่จะหาทางปลดพนักงานออก หากไม่จำเป็นก็คงไม่รับพนักงานเพิ่ม
“งั้นแกมาทำงานกับฉันมั้ยล่ะ”
“แกมีงานให้ฉันทำเหรอ งานอะไรวะ แกกลับไปอยู่สตูลแล้วไม่ใช่หรือไง”
กีรณาถามด้วยความสงสัยและสนใจอยู่ในที หญิงสาวจำได้ว่าเมื่อสองเดือนก่อนวรรณสาก็ตกงานเหมือนกัน พอหางานทำไม่ได้ก็ตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่สตูลซึ่งเป็นบ้านเกิดและเมื่อเดือนที่แล้วเห็นว่าได้งานใหม่เป็นพนักงานต้อนรับในโรงแรมหรูแห่งหนึ่งที่เพิ่งเปิดให้บริการ
“ก็งานที่สตูลไง ฉันทำงานในโรงแรมประภาภัสสร โรงแรมเปิดใหม่ของที่นี่น่ะ เขายังต้องการพนักงานอีกหลายตำแหน่งเลยนะ ฉันเห็นว่าแกเคยทำงานด้านประชาสัมพันธ์ ตอนนี้ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์เพิ่งจะลาออกไปแต่งงาน ฉันเห็นแกบ่นว่าตกงานก็เลยอยากชวนมาทำด้วยกัน”
“แต่สตูลก็ตั้งไกลอ่ะแก”
กีรณายอมรับว่างานที่วรรณสาแนะนำมีความน่าสนใจ หากเป็นโรงแรมที่กรุงเทพฯ เธอคงไม่ลังเลใจที่จะไปสมัครงาน แต่นี่กลับอยู่ไกลถึงสตูล มันไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจงานที่ต่างจังหวัด ทว่าตั้งแต่เกิดมาเธอใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ มาตลอด การย้ายไปทำงานที่โน่นก็เท่ากับว่าต้องเริ่มปรับตัวใหม่
“มันไกลก็จริงแต่เดินทางสะดวกนะ นั่งเครื่องแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวนี้ตั๋วเครื่องบินก็ถูกแสนถูก อีกอย่างแกก็ไม่มีภาระอะไรที่กรุงเทพฯ สักหน่อย มาทำงานที่สตูลจะเป็นอะไรไป”
“ก็จริงของแก” หญิงสาวเริ่มคล้อยตาม
“เปลี่ยนบรรยากาศบ้างเผื่อชีวิตแกจะดีขึ้น ที่โรงแรมนี้เขาให้เงินเดือนสูงกว่างานที่กรุงเทพฯ ด้วย แถมอากาศดีมาก ทะเลก็สวย มีนักท่องเที่ยวแต่ไม่ถึงกับพลุกพล่าน ยังได้บรรยากาศสงบๆ แล้วทำงานที่นี่ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องที่อยู่เพราะเขามีหอพักพนักงานให้ด้วย แกมาอยู่ห้องเดียวกับฉันก็ได้”
“แกนี่สมกับเป็นพนักงานต้อนรับจริงๆ ขายงานซะจนฉันอยากจะบินไปสตูลเดี๋ยวนี้เลย” กีรณาแซวเพื่อนเพราะพอถูกอีกฝ่ายโน้มน้าวใจ เธอก็เริ่มอยากไปทำงานที่สตูลบ้างแล้ว
“ฮ่ะๆๆๆ ฉันแค่อยากให้แกมาทำงานด้วยกัน”
“แต่ที่แกพูดก็น่าสนใจ อยู่ที่นี่ฉันก็เซ็งจริงๆ นั่นแหละ แต่เดี๋ยวฉันคอนเฟิร์มอีกทีนะ ขอปรึกษาน้องชายก่อน แกก็รู้ว่าน้องชายฉันเกเรขนาดไหน ฉันไม่อยากให้มันอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว”
“กันต์มันก็จะเรียนจบแล้วไม่ใช่เหรอ มันก็คงรู้ว่าอะไรเป็นอะไรมากขึ้นแล้วมั้ง”
“เหมือนจะดีขึ้น แต่อาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งไปตีกับคู่อริ”
“แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย”
“หัวแตกเย็บหลายเข็มอยู่เหมือนกัน”
จากนั้นกีรณาก็ถือโอกาสอัพเดตชีวิต เธอเล่าถึงวีรกรรมของน้องชายตัวแสบให้อีกฝ่ายฟังเป็นการปรับทุกข์ เพราะการันต์เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอลังเลใจที่จะไปทำงานที่สตูล จริงอยู่ว่าอีกฝ่ายใกล้จะเรียนจบปริญญาตรีแล้ว น่าจะดูแลตัวเองได้ แต่การันต์ยังมีความเป็นวัยรุ่นเลือดร้อน เธอกลัวว่าถ้าฤกษ์กับพรรคพวกมาหาเรื่องบ่อยๆ เข้า การันต์จะทนไม่ไหวแล้วมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับฝ่ายนั้นอีก
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“เจ้! กินข้าว!”
ขณะกำลังเม้าท์กับวรรณสาอย่างออกรสออกชาติเสียงของการันต์ก็ดังทะลุประตูเข้ามาหลังจากที่เคาะประตูห้องดังติดๆ กันหลายครั้งเหมือนคิดว่าเธอยังนอนไม่ตื่น
“เออๆ เดี๋ยวตามลงไป” กีรณาใช้มือป้องโทรศัพท์ขณะตะโกนบอกน้องชาย จากนั้นก็กลับมาพูดกับปลายสายต่อ “แค่นี้ก่อนนะ ฉันจะคุยกับน้องชายก่อนแล้วจะโทรไปบอกอีกที”
“โอเคแก” วรรณสารับคำ
ทั้งสองบอกลากันก่อนที่กีรณาจะลงจากเตียง เธอพับผ้าห่มเอาไว้ เดินเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะออกจากห้องนอนลงไปชั้นล่างในชุดนอนแบบเสื้อเชิ้ตความยาวคลุมต้นขาด้วยความเคยชิน
บ้านของกีรณาเป็นบ้านสองชั้นขนาดกลาง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ เขตปริมณฑล และพ่อกับแม่ของเธอซื้อไว้เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วซึ่งที่ดินยังราคาไม่สูงมากเหมือนทุกวันนี้ทำให้บริเวณบ้านยังมีพื้นที่สำหรับจัดแต่งสวนหย่อมเล็กๆ นอกจากนี้ยังได้รับการดูแลรักษาอย่างดีทำให้ดูร่มรื่นน่าอยู่
“วันนี้ไปอารมณ์ดีอะไรถึงได้ตื่นมาทำอาหารเช้าให้คนอื่น”
กีรณาถามน้องชายเกเรที่ปกติในวันเสาร์แบบนี้มักจะนอนตื่นเกือบเที่ยงเพราะอีกฝ่ายทำงานพิเศษเป็นนักร้องในผับ แต่ละคืนกว่าจะหมดคิวร้องเพลงก็เกือบตีหนึ่ง กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบตีสอง บางวันมีเรียนก็แทบจะลุกไปเรียนไม่ไหว นี่ยังดีที่การันต์ยังพยายามรักษาเกรดเฉลี่ยไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจจนเธอเองยังแปลกใจว่าน้องชายทำได้ยังไงทั้งๆ ที่ความประพฤติน่าเป็นห่วงออกขนาดนี้
“สิบโมงนี่ก็ไม่เช้าแล้วนะเจ้”
การันต์กระแทกเสียงที่คำว่า ‘เจ้’ เหมือนจงใจประชด ทั้งสองไม่ได้มีเชื้อสายจีน แต่การันต์กับเพื่อนสนิทอย่างพศินจงใจเรียกกีรณาแบบนี้เพราะเหมาะกับบุคลิกของกีรณา
“แต่ปกติแกตื่นเที่ยงนี่นา”
“เมื่อคืนกลับเร็วน่ะ แล้วผมเห็นว่าเจ้ไปเมามาก็เลยทำของกินแก้แฮงก์ให้”
กีรณาทำหน้าแปลกใจเมื่อมองอาหารหลายอย่างที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ทั้งยำรสจัดจ้าน ทั้งต้มแซ่บ และยังมีส้มตำกับไก่ย่างของโปรดเธอด้วย ทว่าพอนึกอะไรบางอย่างได้ก็จ้องน้องชายอย่างไม่ไว้ใจ
“อย่าบอกนะว่าไปทำเรื่องไม่ดีมาถึงได้มาทำดีกับฉันกลบเกลื่อน”
“โห! ปากอย่างนี้อย่าแดกเลย…ยึดคืน”
ว่าแล้วการันต์ก็ทำท่าจะยกชามต้มแซ่บไปเก็บเป็นลำดับแรก แต่กีรณารีบคว้าตัดหน้าเอาไว้ก่อน เพราะนอกจากน้องชายเธอจะปากเสียแล้วยังเป็นคนพูดจริงทำจริงด้วย
“ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป ฉันถามเพราะระแวงนี่นา แกมันทำวีรกรรมไว้เยอะ”
“แล้วเมื่อคืนนี้เจ้เป็นอะไรถึงเมากลับมา ยังเฮิร์ตเรื่องไอ้พี่ธีอยู่อีกเหรอ” การันต์เปลี่ยนใจไม่ยึดกับข้าวคืน เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้แล้วหยิบจานขึ้นมาทานอาหารฝีมือตัวเอง
“เปล่าหรอก เครียดเรื่องงานเรื่องเงินนี่แหละ”
กีรณาว่าพลางเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงกันข้ามแล้วเริ่มลงมือทานอาหารซึ่งเธอมั่นใจว่าอร่อยถูกปากแน่นอน การันต์ไม่ค่อยเข้าครัวทำอาหาร แต่เป็นคนมีฝีมือ ทำอาหารน่าทาน และรสชาติเป็นเลิศ
“ผมบอกแล้วว่าสวยๆ อย่างเจ้หัดถ่ายรูปเอ็กซ์ๆ ลงเฟซบุ๊กหน่อย จะได้มีคนมาติดตามเยอะๆ แล้วรับงานรีวิวสินค้า รวยไม่รู้เรื่องเลยนะ” น้องชายตัวดีแนะนำด้วยความหวังดี
“หุบปากเลยนะ ถ้าแกจะแนะนำแบบนี้”
“แต่เจ้เป็นคนเก่ง เดี๋ยวก็หางานได้เองแหละ”
“พูดถึงเรื่องงานก็มีคนมาชวนไปทำงานใหม่แล้วแหละ แต่…มันไกลบ้าน”
“ที่ไหน”
“สตูล” เธอตอบแล้วมองน้องชายเหมือนอยากดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย “ที่นั่นมีโรงแรมหรูเปิดใหม่น่ะ เพื่อนฉันไปทำแล้วเวิร์กก็เลยโทรมาชวนฉันไปทำด้วยกัน”
“งานอะไรวะ คงไม่ใช่…”
“ไม่ใช่!”
กีรณารีบตอบก่อนที่การันต์จะพูดจบเพราะรู้ว่าการันต์คงไม่แคล้วระแวงว่าเพื่อนเธออาจชวนไปทำงาน ‘อย่างว่า’ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็น่าจะรู้ว่าเธอไม่มีทางไปทำงานแบบนั้นเด็ดขาด
“งานด้านประชาสัมพันธ์ อยู่เบื้องหลังการโปรโมตเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ก็เป็นงานฝ่ายพีอาร์เหมือนเดิมนั่นแหละ เห็นว่ามีหอพักพนักงานให้อยู่ฟรี แถมเงินเดือนก็ดีด้วย”
“แล้วเจ้อยากไปมั้ยล่ะ”
“ก็อยากอยู่ เผื่อไปทำงานที่อื่นแล้วชีวิตมันจะดีขึ้น อยู่ที่นี่ก็เบื่อบรรยากาศเดิมๆ”
“งั้นก็ไปสิ เจ้ห่วงอะไร ผัวก็ไม่มีแล้ว”
“ปากแกเนี่ยนะ ไอ้พี่ธีเป็นแค่แฟน ยังไม่ได้เลื่อนขั้นมาเป็นสามี!”
กีรณาจ้องหน้าน้องชายตัวดีเหมือนอยากเอาส้อมไปจิ้มตาอีกฝ่าย เธอไม่เข้าใจเลยว่าการันต์จะพูดดีๆ เหมือนน้องชายที่เคารพรักพี่สาวบ้างไม่ได้หรือไง ทำไมชอบใช้คำแรงๆ อยู่เรื่อย
“เออ ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ” อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “นี่อย่าบอกนะว่าที่ไม่อยากไปทำงานเพราะเป็นห่วงผม โห! ดูถูกกันมาก ผมจะเรียนจบแล้วนะ โตแล้ว ไม่ต้องมาห่วงหรอก”
“แกมันชอบก่อเรื่องนี่นา”
“ก็มีแค่เรื่องตีกันหรือเปล่า”
“นี่แกกล้าพูดว่าแค่เหรอ…ตีกันจนหามเข้าโรงพยาบาลไม่เรียกว่าแค่แล้วมั้ง”
“ไว้ผมจะระวังก็แล้วกัน ระยะหลังๆ ก็มีเรื่องน้อยลงแล้ว”
การันต์ยืนยันเพื่อให้พี่สาวสบายใจ เขารู้ว่ากีรณาเหนื่อยใจเพราะเขามามาก ระยะหลังๆ เขาถึงได้พยายามสร้างปัญหาน้อยลง และเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“เจ้ไปทำงานที่สตูลก็ดี จะได้อยู่ห่างไอ้ฤกษ์มันเอาไว้ ผมไม่ไว้ใจมัน”
“ทำไม…มันจะทำอะไรฉัน!”
กีรณาหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อพูดถึงฤกษ์…คู่อริของการันต์ที่เธอเคยตลบหลังมันมาแล้ว ถ้ามันยังคิดจะหาเรื่องเธอกับการันต์อีก เธอจะแจ้งตำรวจไปถล่มมันถึงรังเลยคอยดู
“มันเคยประกาศไว้ว่ามันจะจับเจ้ทำเมีย ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งมันอาจจะหน้ามืดบุกเข้ามาปล้ำเจ้ก็ได้” การันต์พูดทีเล่นทีจริง แต่เขาก็นึกเป็นห่วงกีรณาอยู่เหมือนกัน
ครั้นจะไปแจ้งความเอาไว้ก่อน ตำรวจก็จะบอกว่ายังไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริง ไม่สามารถเอาผิดฤกษ์ได้ แต่ถ้ารอให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริงๆ มันก็สายไปแล้วไม่ใช่หรือไง
ในเมื่อเอาผิดฤกษ์ไม่ได้ก็ให้กีรณาอยู่ห่างๆ ฝ่ายนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า
“เรื่องตั้งสามสี่ปีมาแล้ว มันคงลืมไปแล้วมั้ง ไม่เห็นว่ามันจะทำอะไรฉันได้เลย”
“ห่างๆ มันเอาไว้ก่อนก็ดี…”
การันต์พูดเสียงเข้ม ไม่มีวี่แววล้อเล่นเพราะเป็นห่วงพี่สาวจริงๆ
“ถ้าฉันไปทำงานที่สตูล แกอยู่กรุงเทพฯ คนเดียวได้แน่นะ” กีรณาถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
“เออน่า! นี่เห็นผมเป็นเด็กสามขวบเหรอวะ”
“แล้วอย่าหิ้วผู้หญิงมานอนที่บ้านนะ”
“รู้แล้วน่า เคยหิ้วมาซะที่ไหน โรงแรมใกล้ๆ ผับก็มี”
“ไอ้เลววว พูดแบบนี้จะให้ฉันไว้ใจให้แกอยู่คนเดียวได้ยังไง!”
หญิงสาวแทบจะโบกศีรษะน้องชายด้วยความหมั่นไส้ แทนที่อีกฝ่ายจะบอกให้เธอสบายใจว่าไม่มีทางหิ้วผู้หญิงมานอนด้วยสุ่มสี่สุ่มห้า แต่กลับพูดเหมือนจะพาเข้าโรงแรมแทนเสียอย่างนั้น
“ผมล้อเล่นโว้ยยย!”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.