บทที่ 2 ผู้หญิงในอุดมคติ
ทันทีที่เห็นแพรภัทรเดินเข้ามาในห้องอาหารเช้าของโรงแรมพร้อมกับอรณี รัญชน์รวิชญ์ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อเดินออกไปทันที ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะไม่แสดงอาการอย่างชัดเจนเกินไปว่าจงใจหลบเลี่ยงแพรภัทร แต่พอเห็นเธอเข้า รัญชน์รวิชญ์ก็ลืมตัวจนแทบจะลนลานทุกทีไป ตอนนี้นอกจากจะเป็นเพราะความรังเกียจข้อความที่ ‘Pearlypare’ ยังคงส่งมาให้เรื่อยๆ มากขึ้นทุกทีแล้ว เขายังอึดอัดเพราะสายตาเยาะๆ ที่มองเขาเหมือนรู้ทันไปเสียทุกอย่างแต่ไม่พูดอะไรออกมาตรงๆ ของแพรภัทรด้วย ซึ่งมันทำให้เขากลายเป็นฝ่ายที่ต้องรู้สึกผิดอย่างประหลาดที่ไปรังเกียจเธอ ทั้งที่คนผิดจริงๆ คือเธอเองแท้ๆ!
“จะไปเดินเล่นรึเปล่าครับ พี่ไปด้วยคน” ‘ปัทม์’ ซึ่งเป็นครีเอทีฟของรายการเดินเข้ามาทักทายเขาอย่างสนิทสนม เนื่องจากรัญชน์รวิชญ์เป็นคนไม่ถือตัว วางตัวดี และมีความเป็นกันเองในแบบที่ทำให้ทุกคนในกองถ่ายไม่รู้สึกเกร็งเวลาอยู่ด้วย “เมื่อคืนเป็นไงบ้าง หลับสบายดีไหม”
“ดีมากครับพี่ ยิ่งฝนตกยิ่งหลับลึกทั้งคืน” เขาตอบด้วยสุ้มเสียงสดใส ถ้าเป็นปกติรัญชน์รวิชญ์คงอยากไปเดินเล่นคนเดียวเงียบๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศริมทะเลยามเช้า แต่ตอนนี้เขากำลังอยากได้เพื่อนคุยอยู่พอดี หรือจะเรียกให้ถูกคืออยากได้คนนินทาแพรภัทรเป็นเพื่อนมากกว่า เพราะเขาเริ่มอึดอัดมากเสียจนอยากจะระบายออกมา “แล้ววันนี้เราจะไปไหนกันบ้างนะครับ ในสคริปต์บอกว่านั่งเรือเที่ยวเกาะ”
“น้องแทนจะพาเที่ยวเกาะ แล้วไปถ่ายทำกันบนจุดชมวิว แวะเล่นน้ำ พายเรือคายัค ไปกินข้าวบนเรือนแพชาวบ้าน ไปเดินเล่นที่สันหลังมังกร แล้วเย็นๆ ก็ขึ้นบกไปถ่ายกันต่อตรงสะพานข้ามกาลเวลาตรงอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา แต่ดูแล้ววันนี้ฟ้าค่อนข้างครึ้ม ไม่รู้ฝนจะตกรึเปล่า ถ้าคลื่นแรงคงแย่หน่อย เพราะต้องนั่งเรือกันทั้งวัน พี่ยิ่งเมาเรือง่ายอยู่ด้วย” ปัทม์พูดพลางแหงนหน้ามองฟ้า ‘น้องแทน’ หรือ ‘แทนไท’ คือเด็กหนุ่มผู้เป็นไกด์ท้องถิ่นที่มาช่วยดูแลตลอดทริปนี้ของรายการรักษ์ตะลอน เขาเป็นแกนนำเยาวชนในพื้นที่ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของงานวิจัยเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในจังหวัดสตูล
“จริงๆ งานลุยๆ แบบนี้ไม่ต้องแต่งหน้าก็ได้ ผมขอไม่แต่งได้ไหมวันนี้”
“ทำไมล่ะครับ หรือแพรแต่งไม่ถูกใจ”
“ก็ไม่เชิง”
“พี่ว่าเขาก็แต่งดีนี่นา พี่รักษ์ยังชมเลย ที่สำคัญแพรเขาตั้งใจทำงานมากด้วยทั้งที่ไม่มีค่าแรง”
“…”
“แต่ถ้าคุณรันไม่ชอบเดี๋ยวพี่บอกพี่รักษ์ให้ก็ได้”
“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ จริงๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ให้เขาทำหน้าที่ตัวเองไปก็แล้วกัน” รัญชน์รวิชญ์บอกปัดแล้วชวนเปลี่ยนเรื่องคุย แม้จะยังอดกังวลเรื่องแพรภัทรไม่ได้แต่ก็ต้องพยายามทำใจ…
ปกติแล้วเวลาถ่ายทำรายการท่องเที่ยวอย่าง ‘รักษ์ตะลอน’ ผู้ดำเนินรายการไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าทำผมหนักมากนัก รัญชน์รวิชญ์จึงโล่งอกที่ไม่ต้องลำบากใจในการทำงานกับแพรภัทรมากเกินไป แต่ถึงจะใช้เวลากับเธอไม่นานและไม่ได้ใกล้ชิดอะไรนัก เธอก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดแทบตายอยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ ที่เขาต้องมานั่งประจันหน้ากับเธอเพียงลำพังเพื่อให้เธอแต่งหน้าให้ตรงบริเวณท่าเรือระหว่างที่รอลงเรือ สาเหตุที่ต้องรอเวลาเป็นเพราะขณะนี้ฝนกำลังตกหนัก
“คุณกลั้นหายใจทำไมคะ” แพรภัทรหลุดปากถามออกมาอย่างลืมตัวเพราะความอดรนทนไม่ไหว หลังจากทนมองอาการเกร็งผิดปกติของรัญชน์รวิชญ์มาได้สักพัก ทว่าเธอก็ใช้น้ำเสียงที่ค่อนข้างสงบราบเรียบและใจเย็นอย่างที่สุด
“กลั้นใจอะไร เปล่านี่”
“คุณกลั้นหายใจจริงๆ” เธอยืนยันเสียงแข็งนิดๆ
“แล้วคุณมามีปัญหาอะไรกับระบบการหายใจของผม” เขาย้อนถามอย่างฉุนๆ นึกเถียงในใจว่าเธอปรักปรำเขาอย่างไม่เป็นความจริง เพราะเขาไม่ได้กลั้นหายใจเลยสักนิด ไม่อย่างนั้นจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเธอชัดเจนขนาดนี้ได้ยังไง แล้วกลิ่นหอมๆ ของเธอก็ยังทำให้เขาเผลอสูดหายใจลึกไปตั้งหลายครั้งอย่างไม่ตั้งใจด้วยซ้ำ ตอนนี้ก็ด้วย…
“ก็คงเพราะเป็นห่วงคุณล่ะมั้ง” หญิงสาวประชดเบาๆ “คนเราควรหายใจลึกๆ ช้าๆ ยาวๆ แต่ไม่ใช่กลั้นหายใจนานๆ แบบที่คุณทำ คุณเป็นคนชอบทะเลทำไมไม่ลองศึกษาวิธีการหายใจของสัตว์ทะเลอย่างเต่าดูล่ะคะ จะได้อายุยืนเหมือนเต่า”
“…”
“แต่ยังไงก็แล้วแต่ ถ้าไม่นับความหล่อที่ทำให้แต่งหน้าคุณได้ไม่ยากแล้ว สภาพผิวคุณนี่มันช่างเลิศเลอเพอร์เฟ็กต์มากเลยนะคะ โกลด์…แบบว่าเนียนละเอียดสวยผุดผ่องน่าสัมผัสจริงๆ” พูดไปพูดมาเธอก็ปรับอารมณ์เปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉย โดยไม่สนใจว่าผู้ชายที่โดนเธอชื่นชมความงามจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไรบ้าง “ผิวดูแข็งแรงไม่แพ้ง่าย ไม่เหมือนฉันที่แพ้ง่ายมาก คุณก็ดูหน้าตาฉันสิ ฉันแต่งหน้าให้ตัวเองไม่ได้เพราะมักจะแพ้เครื่องสำอาง แต่ที่แต่งหน้าเก่งก็เพราะเป็นคนมีทักษะทางศิลปะค่อนข้างสูง ฉันวาดรูปเก่งน่ะ ว่าแต่…ปกติคุณใช้สกินแคร์ยี่ห้ออะไรหรือคะ หรือใช้บริการคลินิกดูแลผิวที่ไหนบ้าง”
“ใช้หลายอย่าง เข้าคลินิกหลายที่ แล้วแต่สะดวก”
“ช่างดีงามอะไรอย่างนี้” เธอยังมองเขาอย่างชื่นชมแม้จะรู้ตัวว่าโดนรำคาญ
“ดีตรงไหน”
“ก็ดีตรงที่…นอกจากจะเบ้าดีหน้าเด้งดึ๋งเพราะสุขภาพผิวที่ดีเป็นทุนเดิมแล้ว ก็ยังมีตังค์ซื้อครีมแพงๆ มาโบกได้ไม่อั้น เข้าคลินิกเสริมความงามได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง น่าอิจฉาสุดๆ ไปเลย ถ้าฉันทำได้อย่างคุณบ้างก็คงจะสวยใสแบบไร้ที่ติอย่างนี้เหมือนกัน เมื่อก่อนฉันเคยเข้าใจว่าการจะมีออร่าเปล่งปลั่งได้ขนาดนี้คือต้องเป็นคนผิวขาวเจิดจ้าวิ้งๆ แต่ดูสิเนี่ย…ทั้งที่ผิวฉันขาวกว่าคุณตั้งเยอะ แถมยังเลือกกินแต่อาหารดีมีประโยชน์เป็นประจำ แต่กลับดูซีดเซียวหม่นหมองสุดๆ เมื่อเทียบกับผิวสีน้ำผึ้งเรืองลออของคุณ ดูสิคะ…มีออร่าวิบวับอย่างน่าอิจฉา ขนาดโดนแดดเผาก็ยังสวยเปล่งปลั่ง”
“คุณมัวพูดมากนี่ใกล้จะเสร็จรึยัง ผมบอกแล้วว่าอย่าแต่งเยอะ” เขาถามเสียงกระด้างอย่างอดทนอดกลั้น นอกจากท่าทีชื่นชมอย่างเปิดเผยจริงใจของเธอจะทำให้รัญชน์รวิชญ์ยิ่งไม่ไว้วางใจและรู้สึกกลัวเธอมากขึ้นแล้ว สายตาพิศวาสขาดใจของเธอยังทำให้เขาอึดอัดขัดเคืองอย่างหนักหน่วงด้วย ถึงกลิ่นหอมละมุนของเธอจะทำให้เขาเคลิ้มไปหลายต่อหลายวูบ แต่ไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะอยากอยู่ใกล้ๆ เธอเพียงเพราะแค่กลิ่นอันน่าหลงใหลนี้แน่นอน
ซึ่งปฏิกิริยาในแง่ลบทั้งหมดนั้นของรัญชน์รวิชญ์ก็ทำเอาคนที่เพิ่งรำพึงรำพันถึงเขาอย่างปลื้มปริ่มต้องชะงักกึก รู้สึกสะอึกเบาๆ แต่ก็ยังฝืนทำดีมีมารยาทต่อเขาด้วยความอดทนเป็นเลิศต่อไป เคยมีคนให้นิยามรัญชน์รวิชญ์ไว้ว่าเป็นผู้ชายสุภาพอ่อนโยนที่ดื้อรั้นและกวนตีนที่สุดคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เธอเองก็นึกภาพไม่ค่อยออก เพราะเท่าที่เห็นภาพลักษณ์ของเขาผ่านสื่อมันก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น จนกระทั่งได้มาใกล้ชิดกับเขาในทริปนี้… แต่อย่างหนึ่งที่เธอเพิ่งมารู้ซึ้งก็คือ เขาไม่ได้สุภาพอ่อนโยนกับทุกคน โดยเฉพาะกับเธอ…
“นี่ก็ไม่ได้แต่งเยอะเลยค่ะ ใกล้จะเรียบร้อยแล้วเนี่ย อีกนิดเดียวเอง ที่ฉันพยายามชวนคุยไปด้วยก็เพื่อคุณจะได้ไม่อึดอัดเกินไป เห็นคุณเกร็งจนแข็งทื่อแล้วมันอดเป็นห่วงไม่ได้ คุณช่วยเข้าใจความหวังดีของฉันสักนิดหนึ่งได้ไหม อย่าหาเรื่องต่อต้านไปเสียทุกอย่าง”
จริงๆ แล้วที่เธอพยายามชวนคุยจนเขารำคาญนี่ก็เพื่อที่ว่าตัวเองจะได้ไม่อึดอัดตายไปเสียก่อน แล้วใจหนึ่งก็แอบหวังว่าหากเธอพยายามคุยด้วยความเป็นมิตร มันอาจจะช่วยลดความไม่พอใจของเขาลงได้บ้าง เขาจะได้ยอมทำตัวปกติกับเธอเสียที แต่ไปๆ มาๆ ดันกลายเป็นว่ามันเหมือนเธอไปชวนเขาทะเลาะเพื่อระบายความเก็บกดไปเสียแล้ว
แล้วหญิงสาวก็ได้รู้ว่าความพยายามของตนไม่เป็นผลดีเลยสักนิด เพราะผลลัพธ์ที่ได้ดูเหมือนจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับที่เธอคาดการณ์ไว้ เนื่องจากตอนลงเรือเธอพบว่ารัญชน์รวิชญ์ทำท่าจะไม่ยอมนั่งติดกับเธอ ทั้งที่สถานการณ์บังคับให้เธอต้องลงเรือเป็นลำดับถัดมาต่อจากเขา…
“อย่าบอกว่าคุณกำลังพยายามจะย้ายที่นั่ง” เธอเอ่ยออกไปด้วยเสียงที่กดให้เบาที่สุดจนได้ยินกันแค่สองคน ขณะที่คนอื่นๆ กำลังวุ่นวายกับการลงเรือและสวมเสื้อชูชีพ
“อื้อ”
“แล้วจะย้ายทำไมให้ยุ่งยาก การนั่งข้างฉันมันเป็นยังไงไม่ทราบ ฉันไม่เคยกัดใคร ตัวก็ออกจะหอมชื่นใจซะขนาดนี้!” เธอแทบจะกัดฟันพูดอย่างเหลืออด
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ชายหนุ่มทำคิ้วขมวดพร้อมกับกล่าวเสียงงึมงำอย่างอึดอัดใจ ตอนที่เธอเอ่ยถึงกลิ่นหอมสดชื่นของตัวเอง เขารู้สึกสะอึกเบาๆ ราวกับโดนจับได้ว่าตัวเองแอบดมกลิ่นเธอหลายครั้ง…
“งั้นก็นั่งตรงนี้นี่แหละ ห้ามย้าย ถ้านั่งๆ ไปแล้วทนไม่ไหวจริงๆ ค่อยย้ายทีหลัง!”
“น้อยๆ หน่อยยายแพร เธอมีสิทธิ์อะไรไปเหวี่ยงรัน เดี๋ยวพี่ก็ไล่ลงเรือแล้วปลดกลางอากาศซะเลยนี่!” อรณีที่ตามลงมานั่งอยู่แถวหลังเอื้อมมือมาสะกิดปรามน้องสาวดุๆ แพรภัทรจึงยอมสงบปากสงบคำแต่โดยดี แม้หน้าจะยังบึ้งตึงขณะพยายามเก็บอาการ ส่วนรัญชน์รวิชญ์ก็ทำใจและเลิกคิดเรื่องย้ายที่นั่งในที่สุด
ขณะที่แทนไทผู้เป็นไกด์กำลังแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังจากที่นั่งของเขาตรงหัวเรือ ซึ่งระหว่างนี้ก็มีการบันทึกเทปถ่ายทำไปด้วยโดยมีรักษ์เป็นผู้ดำเนินรายการที่ร่วมพูดคุยกับแทนไทอย่างออกรส รัญชน์รวิชญ์ก็จับสังเกตได้ถึงความซีดเผือดของสีหน้าแพรภัทร
“คุณเมาเรือเหรอ หน้าซีดเชียว” เนื่องจากตอนนี้คลื่นค่อนข้างสูง เรือหางยาวซึ่งเป็นเรือนำเที่ยวที่กำลังจะพาทุกคนไปยังจุดชมวิวบนเกาะเบื้องหน้าจึงโต้คลื่นจนโคลงเคลง
“ไม่ได้เมา แต่กลัว”
“คลื่นแค่นี้ไม่น่ากลัวซะหน่อย ท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง ฝนหายไปหมดแล้วด้วย”
“จริงเหรอ แต่ฉันแอบเห็นไกด์มองตากับเด็กท้ายเรือด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนจะส่งซิกกันตลอดเวลา คุณไม่เคยฟังข่าวเรือหางยาวนำเที่ยวไม่สนคำเตือนพานักท่องเที่ยวฝ่าคลื่นลมออกไปล่มกลางทะเลเหรอ มีให้เห็นออกบ่อย”
“แต่นี่คลื่นมันก็ไม่ได้แรงจนอันตรายขนาดนั้น ไม่ต้องกังวลหรอก ที่สำคัญเวลาอยู่กลางทะเลแบบนี้คุณควรคิดบวกไว้นะ”
“งั้นคุณก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ ฉันจะสวดมนต์แล้วบนขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองความปลอดภัย”
“บนอีกละ” เขาพูดพลางถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ก็ถ้าไม่บนจะให้ฉันทำอะไร พอแล้วนะ คุณไม่ต้องชวนคุยแล้ว” ว่าแล้วเธอก็หลับตาลง
ชายหนุ่มมองอย่างอ่อนใจก่อนจะละสายตาจากเธอไปมองทัศนียภาพอันงดงามของธรรมชาติเบื้องหน้าแทน เขารักคลื่นลมและแสงแดดท่ามกลางท้องฟ้าและท้องทะเล จึงไม่เข้าใจคนที่หวาดกลัวธรรมชาติจนเลือกที่จะหลับตาเพื่อหลีกหนีความงดงามเหล่านี้อย่างแพรภัทรเลยสักนิดเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้รัญชน์รวิชญ์ยิ่งมั่นใจว่าแพรภัทรคือผู้หญิงในแบบที่ไม่ตรงใจเขาที่สุดก็คือ ตอนที่เรือไปจอดเทียบเรือนแพของชาวบ้านเพื่อหยุดพักทานอาหาร ซึ่งจุดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งในโลเกชั่นสำคัญในการถ่ายทำรายการ แล้วหลังจากทานข้าวเสร็จแพรภัทรก็เอาแต่บ่นปวดฉี่ไม่หยุด แต่ให้ตายยังไงเธอก็ไม่ยอมไปเข้าห้องน้ำเพราะไม่ไว้ใจเรื่องความสะอาด ไม่ว่าใครจะบอกอะไรเธอก็ยืนกรานปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าจะอดทนไว้แล้วกลับไปเข้าบนฝั่ง
“ห้องน้ำก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นะ ไปเข้าให้เรียบร้อยเถอะ อีกตั้งนานกว่าจะกลับขึ้นฝั่ง” อรณีพูดขึ้นมาอีกด้วยความเป็นห่วงน้องสาว หลังจากทุกคนเลิกสนใจแพรภัทรไปแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูคิดว่าพอทนได้”
“แล้วทำไมต้องทน ห้องน้ำก็อยู่ตรงนี้เอง” รัญชน์รวิชญ์พูดขึ้นมาเหมือนทนรำคาญไม่ไหว
“นั่นสิ เข้าๆ ไปเถอะแพร ขนาดคุณหนูไฮโซอย่างรันยังรับได้เลย โลโซอย่างเธออย่าเรื่องมาก”
แพรภัทรทำหน้าบูด “เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่เกี่ยวกับไฮโซโลโซหรือรวยจน หนูคอตื้น* มาตั้งแต่เด็กพี่อรก็รู้”
“คุณนี่มันขี้เหยียดชะมัด” รัญชน์รวิชญ์ใช้คำพูดตอกย้ำเธออีกแรง “เรื่องมากแล้วยังจะมาทำท่ารังเกียจบ้านคนอื่นเขาหน้าตาเฉย”
พอโดนคนปากร้ายตำหนิเข้าอย่างจัง คนขี้เหยียดก็หน้าตึง แต่ก็ไม่สามารถหาคำพูดอะไรมาตอบโต้เขาได้
“ไปเข้าซะให้เรียบร้อยเถอะ ถ้ากลัวตกน้ำ ผมจะเดินไปส่ง”
“ไปสิแพร รันอุตส่าห์มีน้ำใจขนาดนี้ ถ้าเธออั้นไว้จนไตวายขึ้นมาพี่จะตีซ้ำนะ”
“ยิ่งกว่าไตวายคือผมกลัวเขาแอบปล่อยลงน้ำตอนที่เราลงทะเลกับเขา”
“จะบ้าเหรอ ใครจะทำแบบนั้น ถ้าไม่ไว้ใจ ฉันจะไม่ลงน้ำจนกว่าจะขึ้นฝั่งเลยก็ได้”
“แต่เดี๋ยวเราต้องลงเรือลุยน้ำไปเดินเล่นตรงสันหลังมังกร” รัญชน์รวิชญ์หมายถึงจุดท่องเที่ยวที่เป็นสันหาดทรายคล้ายทะเลแหวก แต่แนวหาดของทะเลแหวกที่นี่ไม่ได้เป็นทราย แต่เป็นเปลือกหอยที่ถูกคลื่นซัดมาทับถมกันเป็นแนวยาวกว่าสี่กิโลเมตร
“ฉันจะรออยู่บนเรือ”
“แต่เขาว่ากันว่าถ้าใครได้ไปยืนบนสันเกล็ดมังกรที่นี่ จะได้รับพลังพิเศษจากทะเล ทำให้เข้มแข็งขึ้นทั้งจิตใจและร่างกาย”
เนื่องจากโดยพื้นฐานแล้วแพรภัทรเป็นคนที่มีความเชื่อในเรื่องทำนองนี้เป็นทุนเดิม เธอจึงนิ่วหน้าด้วยความลังเลทันที
“ลุกขึ้นเร็ว ผมจะเดินไปส่งที่ห้องน้ำ”
“รันเขาอุตส่าห์เสนอตัวช่วยขนาดนี้แล้วก็อย่าเล่นตัวเลยแพร ชาตินี้จะได้รับน้ำใจจากผู้ชายดีๆ แบบนี้อีกรึเปล่ายังไม่รู้ ในเมื่อโชคดีมีโอกาสก็คว้าไว้เถอะ” ปูนส่งเสียงเชียร์ขำๆ แล้วทุกคนก็เริ่มหันมาสนใจเรื่องของเธอมากขึ้นจนแพรภัทรพูดอะไรไม่ออก
ด้วยความที่รัญชน์รวิชญ์เป็นคนอัธยาศัยดี มีน้ำใจ และชอบช่วยเหลือทุกคนเป็นปกติอยู่แล้ว การที่เขาเอื้อเฟื้อแพรภัทรในกรณีนี้จึงไม่มีความพิเศษจนเป็นที่ผิดสังเกตของใครทั้งสิ้น แต่ถ้าหากเธอปฏิเสธน้ำใจที่เขาอุตส่าห์หยิบยื่นให้ล่ะก็ เธอจะดูแย่ขึ้นมาทันที และในทางกลับกันเขาก็จะยิ่งดูดีมีภาพลักษณ์สูงส่งกว่าเดิม
เมื่อต้องยอมรับว่าบารมีคนเรามันไม่เท่ากัน แพรภัทรจึงจำใจลุกไปเข้าห้องน้ำบนเรือนแพลอยทะเลอย่างกล้ำกลืนฝืนทนเป็นที่สุด
ในตอนค่ำ ‘อิษฎา’ ลูกพี่ลูกน้องของรัญชน์รวิชญ์ซึ่งเดินทางมาทำธุระในจังหวัดสตูล ได้มาร่วมปาร์ตี้บาร์บีคิวที่โรงแรมกับกองถ่ายรายการรักษ์ตะลอนด้วย โดยงานนี้มีผู้ร่วมสังสรรค์ที่เป็นทั้งทีมงานกองถ่าย เจ้าหน้าที่จาก สกว. และแทนไท ที่มาร่วมพูดคุยกันถึงแนวทางและแผนรณรงค์เรื่องการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การลดขยะทางทะเล และสถานการณ์การท่องเที่ยวในจังหวัดสตูล
แม่ของอิษฎาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของแม่รัญชน์รวิชญ์ แม้ทั้งสองหนุ่มจะไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันถึงขั้นเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมาเพราะไม่ได้โตมาด้วยกัน แต่ก็เป็นเหมือนเพื่อนที่รู้จักกันมานาน อิษฎาอ่อนกว่ารัญชน์รวิชญ์สองปี แต่ดูภายนอกเหมือนแก่กว่าเพราะไม่ใช่คนที่รู้จักดูแลตัวเองมากนัก เขามีความเป็นผู้ชายเซอร์ๆ ที่ไม่ค่อยสนใจภาพลักษณ์ภายนอกสักเท่าไหร่มากกว่า
“แล้วนายมาทำธุระอะไรที่สตูล” รัญชน์รวิชญ์ถามแล้วยกเครื่องดื่มขึ้นจิบ เขากับอิษฎาแยกมานั่งคุยกันอย่างเป็นส่วนตัวตรงโต๊ะที่ตั้งอยู่ห่างจากคนอื่นพอสมควร
“หลักๆ ก็มาเที่ยวแหละพี่ มากะทันหันด้วย รู้ว่าพี่รันอยู่นี่ก็เลยโทรหา จะได้มาขอค้างด้วย ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม”
“ถ้าจะงกขนาดนั้นทำไมไม่มาตั้งแต่สองวันก่อน พรุ่งนี้ฉันจะกลับแล้ว”
“ก็ผมเพิ่งรู้เมื่อวานว่าพี่รันมาทำงาน ป้ายุกับป้าแววบอกตอนผมแวะไปหา แม่ให้เอาของกินไปฝาก”
“แล้วจะอยู่เที่ยวกี่วัน นี่ถ้าพรุ่งนี้ไม่ต้องรีบกลับไปทำงานฉันคงจะอยู่ต่อด้วย”
“ผมลางานมาอาทิตย์หนึ่ง แต่ยังไม่รู้ว่าจะอยู่นี่กี่วัน ผมเป็นคนมีแผนอะไรเสียที่ไหน ก็แล้วแต่อารมณ์”
รัญชน์รวิชญ์มองคนพูดด้วยความอิจฉานิดๆ อิษฎาเป็นพวกสุขนิยมอย่างแท้จริง อีกทั้งยังไม่มีความกดดันเพราะความคาดหวังจากครอบครัว พอกลับมาจากเมืองนอกเขาก็ไปทำงานอยู่ในฝ่ายอาร์ตประจำสตูดิโอผลิตผลงานแอนิเมชั่นแห่งหนึ่ง ความสุขของเขาคือการเล่นเกม สะสมของเล่น เล่นของเล่น อ่านหนังสือ อ่านการ์ตูน และดูหนัง ดูแล้วแทบจะไม่มีความเครียดในการใช้ชีวิต
แม้อิษฎาจะเป็นคนไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวนักในสายตาของคนในครอบครัวหรือคนรอบข้าง เพราะความที่ชอบใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอย่างไร้ความกระตือรือร้นและขาดเป้าหมายที่ชัดเจน เลือกทำแต่สิ่งที่ชอบโดยยึดเอาความสุขเป็นที่ตั้งและไม่สนใจแรงกดดันใดๆ แต่ลึกๆ แล้วสำหรับรัญชน์รวิชญ์…อิษฎาเป็นคนในแบบที่เขาอยากจะเป็นแต่ไม่กล้าพอ
รัญชน์รวิชญ์รู้สึกไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมคนที่มีต้นทุนชีวิตสูงและเพียบพร้อมมาตั้งแต่เด็กอย่างอิษฎา ถึงไม่ใช้สิ่งที่มีให้เป็นประโยชน์และไม่คิดจะไขว่คว้าหาความสำเร็จอะไรเลย ทำไมจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตเสพสุขเรียบง่ายไปวันๆ โดยไม่เคยขวนขวายเพื่อการเติบโตและเหนือกว่า ทั้งที่คนเรามีแค่ชีวิตเดียว ในเมื่อมีโอกาสมากกว่าคนอื่นแล้วก็ควรใช้มันให้เต็มที่ ที่สำคัญอิษฎาเป็นคนที่เหมือนจะไม่มีความอยากเอาชนะหรือต้องการแข่งขันอะไรกับใครเลย
ในขณะที่รัญชน์รวิชญ์…แม้ภายนอกเขาจะดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ไร้แรงกดดัน สดใส ไม่เรื่องมาก และแสนดีไปเสียทุกเรื่อง แต่เขาจะทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ มีเป้าหมายที่ชัดเจน และใช้โอกาสที่มีอย่างเต็มที่เสมอเพื่อไม่ให้ตัวเองด้อยกว่าใคร กระทั่งกับคนในครอบครัวเขาก็ไม่อยากจะแพ้ใครทั้งนั้น เขาจึงกลายเป็นหลานรักอันดับหนึ่งของทั้งคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายและบรรดาคุณลุงคุณป้าทั้งหลาย แต่สำหรับอิษฎา พอมีใครบ่นใครถามเกี่ยวกับเรื่องอนาคตอีกฝ่ายก็มักจะตอบแบบไม่คิดอะไรว่าขี้เกียจวุ่นวายและชอบชีวิตสบายๆ อย่างนี้มากกว่า
บางคนอาจจะคิดว่าอายุยี่สิบเจ็ดปีของอิษฎายังนับว่าเด็กเกินกว่าจะต้องรีบโต แต่ในความคิดของรัญชน์รวิชญ์…ถือว่าเป็นวัยที่สมควรเริ่มต้นวางรากฐานที่มั่นคงเพื่ออนาคตได้แล้ว ยิ่งเริ่มต้นเร็วมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีเวลาล้มลุกคลุกคลานและลุกขึ้นได้เร็วเท่านั้น ทั้งยังมีประสบการณ์หลากหลาย และมีโอกาสประสบความสำเร็จมากตามไปด้วย ไม่ใช่ปล่อยโอกาสและต้นทุนชีวิตที่มีอยู่ทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ แล้วคิดแต่จะมีความสุขเรื่อยๆ ไปวันๆ
ทว่าทั้งที่ตัวเองเป็นพวกไฮเปอร์ที่มีแนวคิดแบบนี้ฝังหัว แต่รัญชน์รวิชญ์ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดลึกๆ แล้วเขากลับยังรู้สึกอิจฉาชีวิตอันแสนเรื่อยเปื่อยของอิษฎาอยู่ดี…
“แล้วทำไมเราต้องออกมานั่งห่างไกลจากคนอื่นเขาขนาดนี้ด้วยล่ะพี่รัน เพราะอะไรไม่ไปนั่งคุยเฮฮาปาร์ตี้กับชาวบ้านสนุกๆ”
“นายเห็นผู้หญิงผมยาวมัดหางม้าที่กำลังเดินเข้ามานั่นไหมล่ะ”
อิษฎาหรี่ตาเพ่งมองไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายชี้ชวน ก่อนจะพยักหน้ารับทั้งที่เห็นผู้หญิงคนนั้นไม่ชัด “ครับ ทำไมอ่ะ”
“ฉันไม่อยากไปรวมกลุ่มจนผู้หญิงคนนั้นเข้ามาวุ่นวายด้วย”
“หมายความว่าไงครับ เขาไม่ใช่ทีมงานหรอกเหรอ”
“เขาเป็นทีมงาน แต่ฉันสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นแฟนคลับโรคจิตที่ชอบส่งข้อความมาก่อกวนฉันบ่อยๆ” รัญชน์รวิชญ์บอกแล้วหยิบมือถือออกมาเปิดแชตจาก ‘Pearlypare’ ให้อิษฎาดูพร้อมกับเล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ พออีกฝ่ายไล่อ่านข้อความจนครบแล้วจึงส่งมือถือคืนพร้อมกับมองเขาด้วยสีหน้าตื่นๆ
“แล้วพี่รู้ได้ไงว่า ‘Pearlypare’ คือทีมงานคนนี้”
“ก็สังเกตจากอะไรหลายๆ อย่าง เช่นพวกข้าวของส่วนตัวที่ติดมากับรูปของ ‘Pearlypare’ กับข้าวของที่ฉันเห็นแพรภัทรใช้ ถ้านายลองสังเกตแบบจับผิดให้ดีๆ ก็จะเห็นเอง”
หลังจากนั้นอิษฎาก็พยายามเขม้นมองไปยังผู้ต้องสงสัยของรัญชน์รวิชญ์อย่างจริงจังมากขึ้น “ทำไมหน้าคุ้นๆ เหมือนผมเคยเจอ”
“แพรภัทรน่ะเหรอ”
“เขาชื่ออะไรนะพี่รัน”
“แพรภัทร ชื่อเล่นว่าแพร”
อิษฎาได้ยินแล้วก็พลันเบิกตากว้างพร้อมกับหลุดเสียงอุทานออกมาอย่างตกใจ “เป็นคนที่ผมรู้จักจริงด้วย แต่ทำไมเขาถึงมาเป็นทีมงานรักษ์ตะลอนได้ เขาทำหน้าที่อะไรในกองหรือครับ”
รัญชน์รวิชญ์นิ่วหน้ามองน้องชายอย่างเหลือเชื่อ “นายรู้จักเขาจริงเหรอ เขาเป็นช่างแต่งหน้า แล้วไปรู้จักได้ไง”
“ผมเคยจ้างพี่แพรทำงานให้อยู่ชิ้นหนึ่ง เขาเป็นโมเดลเลอร์แล้วก็ทำพวกอาร์ตทอยส์ เป็นฟรีแลนซ์ที่มีสตูดิโอของตัวเองอยู่ที่บ้าน เขาเก่งมากเลยด้วยนะครับ แล้วจะมาเป็นแฟนคลับโรคจิตของพี่รันได้ไง ไม่จริงอ่ะ แนวนี้ไม่ใช่สายถนัดของเขาเลย”
“นี่นายรู้จักเขาจริงเหรอ แน่ใจนะว่าคนเดียวกัน”
“ค่อนข้างแน่ใจ”
“งั้นนายลองไปทักเขาดูหน่อยไหม เพื่อความชัวร์”
อิษฎาฟังแล้วถึงกับสั่นหน้าหวือ “ไม่ได้หรอกครับ เขาเกลียดผมจะตาย!”
“อ้าว”
“เรื่องมันมีอยู่ว่าช่วงที่ไปจ้างเขาทำงานให้ เพื่อนผมคนหนึ่งเกิดไปปิ๊งเขาเข้า แล้วก็เลยตามจีบอยู่พักหนึ่ง พอตกลงเป็นแฟนกันได้ไม่กี่วันพี่แพรก็จับได้ว่าเพื่อนผมมีแฟนอยู่ก่อนแล้ว สรุปว่าคบซ้อน แต่แทนที่พี่แพรจะโกรธเพื่อนผม เขาดันมาลงที่ผมแทน หาว่าผมรู้เห็นเป็นใจให้เพื่อนไปหลอกเขา แทนที่ผมจะบอกความจริงเขาและรีบห้ามเพื่อนตั้งแต่แรก แต่ดันปล่อยให้เพื่อนจีบเขาจนติด ทำให้เขาเสียความรู้สึกเอามากๆ นี่ถ้าขืนผมเดินเข้าไปทักตอนนี้ล่ะก็ เขาอาจจะเอาก้ามปูแทงตาบอดสองข้าง”
“เขาหายโกรธแล้วมั้ง”
“น่าจะยังหรอกครับ อาจจะไม่หายเลยทั้งชาติ เดือนก่อนผมเอางานไปเสนอเขายังไม่รับทำให้เลย ทั้งที่ได้ราคาดีมากแท้ๆ ขนาดว่าเขาเป็นคนงกแล้วก็เค็มจะตาย ถึงเขาจะปฏิเสธกลับมาดีๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีคิวทำให้ แต่ผมดูออกว่าจริงๆ คือพอเขาเกลียดใครไปแล้วก็จะไม่ยอมแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวเด็ดขาด”
รัญชน์รวิชญ์ฟังอิษฎาเล่าแล้วมองแพรภัทรด้วยความสงสัย “ฟังที่นายพูดมาแล้วก็เหมือนเขาจะเป็นคนปกติทั่วไปนี่นา ไม่น่าจะเป็นแฟนคลับโรคจิตได้เลย”
“ผมว่าพี่รันเข้าใจผิดมากกว่า ไม่น่าจะใช่หรอก ถึงพี่แพรจะไม่ใช่ผู้หญิงแสนดีมีคุณสมบัติเลิศเลอเพอร์เฟ็กต์ แต่ก็ไม่น่าใช่พวกจิตผิดปกติ”
“แต่หลักฐานหลายๆ อย่างมันชี้ชัดเหลือเกินว่าเขาคือ ‘Pearlypare’ จริงๆ”
“บังเอิญมากกว่ามังครับ”
แล้วระหว่างนั้นเอง แพรภัทรก็สังเกตเห็นอิษฎาเข้าจนได้ และเห็นได้ชัดว่าเธอยังจำได้แม่นว่าเขาเป็นใคร แวบแรกเธอดูตกใจเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ไม่ได้พยายามหลบสายตาเขา ทว่าเลือกที่จะมองมาครู่เดียวแล้วเมินไปทางอื่นโดยไม่คิดจะทักทาย ปฏิกิริยาของเธอทำให้อิษฎาต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เขาอาจไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ก็ไม่เคยทำตัวเลวจนมีใครสักคนโกรธเกลียดอย่างชัดเจนแบบนี้มาก่อน ยิ่งเป็นความผิดที่แก้ตัวไม่ได้สักคำด้วยแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกแย่เมื่อต้องมาเจอคู่กรณีเก่าอย่างไม่คาดฝัน
“ตกลงว่าเขามาเป็นทีมงานกองนี้ได้ยังไงครับ”
“ได้ยินว่าเขามาสตูลเพื่อแก้บนอะไรสักอย่าง ก็เลยรับทำงานนี้ไว้เพื่อจะได้ประหยัดค่าเดินทางกับค่าที่พัก พี่สาวเขาเป็นโปรดิวเซอร์รายการ”
“จริงดิ! ผมก็มาแก้บนเหมือนกัน”
“สายไอทีอย่างนายเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วย?” รัญชน์รวิชญ์ทำท่าประหลาดใจ “นายดูไม่เหมือนพวกชอบทางไสยศาสตร์เลยนะ ถ้าลักษณะอย่างแพรภัทรก็ว่าไปอย่าง”
“พี่รันนี่เข้าข่ายอคติแล้วนะครับนี่ ใครๆ เขาก็ต้องการที่พึ่งทางใจกันทั้งนั้นแหละ ผมพึ่งไสยศาสตร์บ้างเป็นครั้งคราวเพื่อความอุ่นใจ”
“แล้วนายไปบนอะไรไว้”
“เรื่องงานน่ะครับ”
“แปลว่าเดี๋ยวนี้นายจริงจังกับการทำงานจนถึงขั้นขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วเหรอเนี่ย” รัญชน์รวิชญ์มองอีกฝ่ายยิ้มๆ ด้วยสายตาชื่นชมยินดีในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมแค่ขอพรให้โปรเจ็กต์หนังเรื่องใหม่ของออฟฟิศหานายทุนได้ไวๆ เพราะขี้เกียจทำแต่พวกงานโฆษณาหรือเป็นเอาต์ซอร์ซให้สตูฯ ต่างประเทศแล้ว มันน่าเบื่อ แล้วพอตอนนี้คำขอมันเกิดสัมฤทธิผลขึ้นมาก็เลยต้องรีบกลับมาแก้บน”
“แล้วนี่จะไม่เข้าไปทักทายแพรภัทรจริงเหรอ”
“โอ๊ยยย ไม่เอาหรอกครับ พี่ไม่เห็นสายตาที่เขามองผมเมื่อกี้นี้รึไง เขายังเกลียดผมเข้าไส้อยู่เลย เท่าที่รู้คือปกติพี่แพรเขาเป็นคนใจดีมาก แต่อย่าให้ได้เกลียดใครเข้าก็แล้วกัน ถ้าเราโดนเขาเกลียดแล้วต่อให้บังเอิญไปนอนชักใกล้ตายอยู่หน้าบ้านเขาแล้วในบ้านมีหมอนั่งกินข้าวอยู่สิบคน…เขาก็จะไม่ช่วยเรียกหมอออกมาดูอาการเราเลยสักคน”
“เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้นเลย!?”
“ก็ไม่เชิงนะครับ แค่ว่า…พอเกลียดแล้วเขาจะไม่ยอมยุ่งด้วยเท่านั้น ตอนแรกเขาดีกับผมมาก คุยกันถูกคอทุกเรื่อง ทำงานให้ก็แทบไม่เอากำไร คิดแล้วก็เสียดายมิตรภาพดีๆ ของเราเหมือนกัน แต่ผมก็ผิดจริงๆ ที่เอาแต่เฉยแล้วมองเพื่อนทำร้ายเขาโดยไม่ห้าม เขาคงเสียความรู้สึกจริงๆ ถึงได้โกรธผมมากกว่าไอ้เพื่อนคนนั้น”
รัญชน์รวิชญ์มองตามสายตาอิษฎาไปที่แพรภัทรเงียบๆ อีกครั้ง
“แต่ถ้าผมอยากให้เขายอมยกโทษให้จริงๆ ล่ะก็ ผมอาจจะต้องหาอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาพอใจสุดๆ ไปแลก…”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.