บทที่ 5
เมิ่งถังได้ยินเสียงก็หันหน้าไป แล้วจึงเห็นว่าที่ใต้ต้นสนในลานด้านนอกประตู ไม่รู้มีคนผู้หนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด คนผู้นั้นสวมชุดเรียบง่ายสีดำอีกา เอวคาดสายรัดเอวสีเดียวกัน แต่ใบหน้าของเขากลับดูซีดขาว แม้นอกห้องแสงอาทิตย์จะอบอุ่น คนผู้นี้กลับยังคงทำให้คนรู้สึกถึงความเย็นเยือก
เมิ่งถังรู้ได้ทันที เขาก็คือหลิงซิงเหยา นางนึกถึงคำบรรยายเกี่ยวกับหลิงซิงเหยาในหนังสือนิยาย
‘ทั้งร่างดูเฉยเมย ถึงจะอยู่ท่ามกลางโลกมนุษย์ที่คึกคัก รอบตัวมีฝูงชนจอแจพลุกพล่านก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขาแม้แต่น้อย’
ช่วงท้ายยังบรรยายถึงความในใจของเขา
‘ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ นอกจากอวิ๋นชูเยวี่ยแล้ว เขาล้วนไม่เอามาใส่ใจ’
จะพูดอย่างไรดี ตอนเมิ่งถังอ่านมาถึงตรงนี้ก็แอบร้องขอความเป็นธรรมแทนบิดามารดาบุญธรรมและอาจารย์ของเขา
คิดไม่ถึงว่าบิดามารดาบุญธรรมที่ลำบากลำบนเลี้ยงดูท่านมา สุดท้ายทั้งคู่ยังเสียสละชีวิตเพื่อช่วยชีวิตท่าน อาจารย์ของท่านทุ่มเทกายใจอบรมสั่งสอนท่านจนมีความสามารถ ภายหลังก่อนตายยังถ่ายทอดพลังวัตรทั้งหมดของตนให้กับท่าน ท่านกลับไม่มีพวกเขาอยู่ในใจ
นี่ไม่ใช่หมาป่าตาขาว* แล้วจะเป็นอะไรได้
ดังนั้นแม้เมิ่งถังจะเป็นคนที่ชื่นชอบคนที่รูปร่างหน้าตาคนหนึ่ง ครั้งนี้ตอนเห็นหลิงซิงเหยา นางยังคงเบือนหน้าไปด้วยสีหน้าเฉยเมย
พระเอกที่จิตใจแห้งแล้งเย็นชา ไม่เคยรู้ว่าการสำนึกในบุญคุณคือสิ่งใด โทษดินโทษฟ้า วันยังค่ำเอาแต่รู้สึกว่าโชคชะตาไม่ยุติธรรม คนทั้งโลกล้วนติดค้างเขา อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะทำลายล้างโลกให้พินาศย่อยยับ นางอยู่ให้ห่างจากเขาจะดีกว่า
ในโลกนี้มีคนมากน้อยเท่าไรที่โชคชะตาระหกระเหินต้องผ่านความทุกข์ยากต่างๆ นานา แต่พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างเปี่ยมไปด้วยความหวังและมีจิตใจที่ดีงาม ไม่เคยโทษฟ้าดินโทษผู้อื่น พาลพาโลไปทั่วเพียงเพราะตนมีชีวิตที่ยากลำบาก
มู่หวาฮุยก็คือคนที่เป็นเช่นนี้คนหนึ่ง โลกจุมพิตข้าด้วยความเจ็บปวด ข้าจะตอบแทนด้วยเสียงเพลง** ด้วยเหตุนี้สุดท้ายเมื่อรู้จุดจบของเขา เมิ่งถังจึงได้ปวดใจมากเพียงนั้น
เมิ่งถังหันหน้ากลับมาก็เห็นขอบตาทั้งสองของอวิ๋นชูเยวี่ยยิ่งแดงขึ้น อีกทั้งหยดน้ำในดวงตาก็มาเกาะกลุ่มรวมกันราวกับพริบตาถัดมาก็จะหยาดหยดลงมาแล้ว
เมิ่งถังคิด มารดามันเถอะ ช่างเสแสร้งยิ่งนัก เมิ่งถังรู้สึกขนลุกชันไปทั้งร่าง
หญิงงามมีน้ำตาขังคลอ หลิงซิงเหยาย่อมปวดใจ สายตาที่มองอวิ๋นชูเยวี่ยละมุนละไมขึ้นไม่น้อย
ทว่าตอนสายตาของเขาเบนมาที่เมิ่งถังก็ยังคงเฉียบขาดเย็นชาดังเดิม
เมิ่งถังไม่สะทกสะท้าน กระทั่งคร้านจะมองเขา นั่งลงบนเก้าอี้จัดกระดาษพู่กันของตนไป
แม้หลิงซิงเหยากับเมิ่งถังจะเข้าเป็นศิษย์สำนักหมิงหวาในเวลาเดียวกัน แต่เขาบรรลุขั้นสร้างฐานอย่างสมบูรณ์แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ขั้นสร้างตัน ไม่ต้องมาเข้าห้องเรียนใหญ่นานแล้ว ตอนนี้ที่เขามาที่นี่ เพราะวิชาถัดไปเป็นวิชาหลอมโอสถ ผู้สอนคือศิษย์พี่ท่านหนึ่งแห่งยอดเขาปี้อวิ๋นของพวกนาง แต่ศิษย์พี่ท่านนี้มีธุระกะทันหันมาไม่ได้ จึงให้หลิงซิงเหยามาแจ้งให้ทราบ ให้พวกนางศึกษาด้วยตนเอง
ที่เรียกว่าศึกษาด้วยตนเอง นั่นก็คือตามสบาย
เมิ่งถังใช้ความเร็วสูงสุดเก็บข้าวของของตนไว้ในแหวนเก็บทรัพย์ แล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที
เมื่อคืนนางเรียบเรียงความทรงจำของตนเองดูแล้ว พบว่าสำนักหมิงหวาเป็นสำนักใหญ่ ดังนั้นพวกนางที่เป็นศิษย์ในสำนักล้วนต้องฝึกวิชากระบี่ หลอมโอสถ อาวุธ ค่ายกล ดนตรีเหล่านี้ทั้งหมด
เมิ่งถังรู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะไร้สาระ เพราะในความเห็นของนางจะมีสักกี่คนที่จะมีความสามารถรอบด้าน เชี่ยวชาญในทุกสิ่ง ไม่สู้เลือกสักอย่างสองอย่างที่ตนเชี่ยวชาญหรือมีความสนใจ แล้วทุ่มเทกำลังศึกษาจริงจัง เป็นผู้มีความสามารถในด้านใดด้านหนึ่งก็นับว่าไม่เลวแล้ว
เมิ่งถังเลือกเป้าหมายของตนได้อย่างรวดเร็ว นั่นก็คือนางจะเป็นผู้ฝึกวิชากระบี่!
เพราะผู้ฝึกวิชากระบี่ต่อสู้ได้ร้ายกาจ ซ้ำยังข้ามขั้นท้ารบได้ มีอานุภาพน่าเกรงขามยิ่ง
ผู้ฝึกวิชาหลอมโอสถไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการพิจารณาของนางเลย ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินว่าอาจารย์วิชาหลอมโอสถมาไม่ได้ นางจึงหมุนตัวจะจากไปทันที
นางจะไปหามู่หวาฮุยเพื่อฝึกกระบี่
ช่างบังเอิญยิ่งนัก พอออกจากประตูลานนางก็เห็นมู่หวาฮุย จึงรีบวิ่งไปเรียกเขา “ศิษย์พี่”
มู่หวาฮุยได้ยินเสียงก็หันหน้ามา แล้วก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเมิ่งถัง
มู่หวาฮุยงงงันเล็กน้อย
หลายปีที่ผ่านมาศิษย์น้องผู้นี้ของเขาใบหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งเวลาเจอเขาก็จะก้มหน้าก้มตา ทว่านับแต่เมื่อวานนี้ เวลาศิษย์น้องมองคนกลับเงยหน้า และรู้จักยิ้มแล้ว
ยามแย้มยิ้มคิ้วของนางจะโค้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้คนเห็นแล้วอารมณ์ดีตามไปด้วย
มู่หวาฮุยยิ้มน้อยๆ พยักหน้า เรียกศิษย์น้องออกมาคำหนึ่ง แล้วถามนาง “อีกประเดี๋ยวจะเป็นวิชาหลอมโอสถ ศิษย์น้องจะไปที่ใดหรือ”
นี่เขาเข้าใจว่านางจะหนีเรียนหรือ
เมิ่งถังชี้แจงต้นสายปลายเหตุ จากนั้นก็เอ่ยถาม “ศิษย์พี่ตอนนี้ท่านว่างหรือไม่ ข้าอยากจะฝึกกระบี่กับท่าน”
แม้มู่หวาฮุยจะเป็นศิษย์รุ่นที่สองของสำนักหมิงหวาเช่นเดียวกันกับเมิ่งถัง แต่พลังวัตรของเขากลับร้ายกาจที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นที่สอง กระทั่งยังมีฝีมือเหนือกว่าผู้อาวุโสของบางยอดเขา ทั่วทั้งแดนบำเพ็ญเซียนเมื่อเอ่ยถึงเขาขึ้นมา ไม่ว่าใครล้วนต้องกล่าวชมเชย
แต่คนที่มีพลังวัตรดีเช่นนี้ สุดท้ายเมื่อรู้ถึงความเป็นมาที่แท้จริงของตนกลับยินยอมให้ร่างแหลกสลายไป เมิ่งถังคิดแล้วก็รู้สึกเสียใจ สายตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความปวดใจและเสียดาย
ตอนแรกที่เมิ่งถังบอกจะฝึกกระบี่กับเขา มู่หวาฮุยก็ประหลาดใจแล้ว เวลานี้ไม่รู้เพราะเขาตาฝาดไปหรือไม่ มักรู้สึกว่าสายตาของเมิ่งถังที่มองเขาคล้ายมารดาเห็นบุตรที่ได้รับบาดเจ็บของตนเช่นนั้น…
มู่หวาฮุยอดหัวเราะไม่ได้ รู้สึกว่าตนจะต้องคิดมากไปเป็นแน่
“ได้” เขาผงกศีรษะน้อยๆ หางตาเหลือบไปเห็นหลิงซิงเหยากำลังเดินออกมาจากในห้องเรียน
ในใจกระจ่างขึ้นมาทันที มิน่าเมื่อครู่ศิษย์น้องถึงได้เดินออกมาจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ที่แท้ก็เพราะศิษย์น้องหลิงอยู่ที่นี่
สำนักหมิงหวามีทั้งหมดสิบสองยอดเขา ในสำนักมีศิษย์นับพัน มู่หวาฮุยกับหลิงซิงเหยาไม่ได้อยู่สังกัดยอดเขาเดียวกัน ช่วงเวลาที่เข้าสำนักของคนทั้งสองก็ต่างกัน ปกติอยู่ร่วมกันน้อยมาก ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคย
แต่เมื่อวานหลังจากได้รู้ว่าศิษย์น้องไม่เพียงชอบหลิงซิงเหยาผู้นี้ กระทั่งยังไปสารภาพความในใจกับเขาและถูกปฏิเสธมา ยามนี้มู่หวาฮุยจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะใส่ใจและมองเขาอย่างพินิจพิจารณา
ชายหนุ่มคิ้วรูปดาบ นัยน์ตาเป็นประกายดุจดวงดาว รูปร่างหน้าตาพูดได้ว่าหล่อเหลา เพียงแต่บุคลิกเคร่งขรึมเย็นชาไปสักหน่อย หัวคิ้วดวงตามีประกายดุดันอย่างชัดเจน
ที่แท้ศิษย์น้องก็ชอบคนเช่นนี้
แม้เมื่อวานนางจะพูดต่อหน้าเขาว่านางคิดตกแล้ว ต่อไปจะไม่ชอบหลิงซิงเหยาอีก แต่เรื่องของความรักไหนเลยบอกตัดก็ตัดได้ คิดว่าตอนนั้นศิษย์น้องเพียงอวดเก่งไปเท่านั้น หาไม่แล้วเมื่อครู่เหตุใดพอเห็นหลิงซิงเหยานางจึงหลบออกมา
เห็นชัดว่ายังวางไม่ลง พอเห็นหลิงซิงเหยาก็จะนึกถึงเรื่องที่สารภาพความในใจแล้วถูกปฏิเสธ ด้านหนึ่งก็เศร้าโศกเสียใจ อีกด้านหนึ่งเกรงว่าคงจะอับอาย ถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์น้องของตน ไม่อาจทนเห็นนางอึดอัดลำบากใจกลืนไม่เข้าคายไม่ออกต่อหน้าหลิงซิงเหยา ครั้นแล้วมู่หวาฮุยจึงขี่กระบี่พาเมิ่งถังกลับยอดเขาปี้อวิ๋น
หลิงซิงเหยาที่อยู่ด้านหลังมองตามเงาหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปของพวกเขา ประกายในดวงตาขุ่นมัว
แต่หาใช่เพราะเมิ่งถัง หากแต่เป็นเพราะมู่หวาฮุย
เห็นอยู่ว่าอายุอยู่ในวัยเดียวกันกับเขา อีกทั้งตามที่ท่านอาจารย์กล่าว มู่หวาฮุยผู้นี้แม้สติปัญญาจะเหนือผู้อื่น แต่กลับเปรียบไม่ได้กับเทียนหลิงเกิน* ของเขา
เวลานี้พลังวัตรของมู่หวาฮุยกลับสูงกว่าเขามาก พอเอ่ยถึงมู่หวาฮุยทั้งแดนบำเพ็ญเซียนเป็นต้องสรรเสริญว่าเป็นผู้ปราดเปรื่องที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ส่วนเขาแม้ทุกอย่างจะเหนือผู้อื่นเช่นกัน แต่มีมู่หวาฮุยผู้โดดเด่นอยู่ข้างหน้า ยามคนอื่นพูดถึงเขาขึ้นมาก็เพียงบอก ‘อ้อ เป็นศิษย์น้องของมู่หวาฮุย’
หลิงซิงเหยาค่อยๆ กำหมัดแน่น
เขาจะต้องเหนือกว่ามู่หวาฮุยให้ได้ ต่อไปภายหน้าต้องให้ทุกคนพอพูดถึงมู่หวาฮุยก็บอก ‘อ้อ ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ของหลิงซิงเหยา’
แม้เมิ่งถังจะไม่กลัวความสูง แต่ขี่กระบี่อยู่บนท้องฟ้าสูงเป็นครั้งแรก ความรู้สึกยังคงน่าหวาดผวา
ตอนแรกนางยังพอแข็งใจยืนอยู่ข้างหลังมู่หวาฮุย ภายหลังก็ค่อยๆ พัฒนาเป็นจับชายแขนเสื้อเขาไว้ และกอดแขนเขาไว้โดยไม่รู้ตัว ซ้ำยังหลับตาแน่น รอจนทั้งสองลงสู่พื้น มู่หวาฮุยเก็บกระบี่ยาวเสร็จแล้ว เมิ่งถังก็ยังไม่หายหวั่นหวาด ยังคงหลับตาทั้งสองข้าง กอดแขนเขาไว้แน่น เพียงเห็นก็รู้ว่ากลัวมาก
มู่หวาฮุยอดหัวเราะไม่ได้
หลายปีมานี้ศิษย์น้องเอาแต่เฉยเมยไม่เคยแสดงออกทางสีหน้า บางครั้งเขายังเข้าใจว่าศิษย์น้องเป็นคนที่ทำมาจากก้อนหิน คิดไม่ถึงว่าเวลานี้นางกลับรู้จักกลัวแล้ว ดูเหมือนเขาลงจากเขาไปและกลับมาครั้งนี้ ศิษย์น้องก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
สายตากวาดผ่านไฝสีดำจางๆ ที่แก้มขวาบริเวณใกล้หูของเมิ่งถังอีกครั้ง มู่หวาฮุยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ศิษย์น้อง ถึงแล้ว”
เมิ่งถังได้ยินก็ลืมตาทั้งสองขึ้นอย่างระมัดระวัง สิ่งแรกที่ทำก็คือก้มหน้า
ดีมากที่ใต้ฝ่าเท้าก็คือพื้นดิน ไม่ใช่ความเวิ้งว้างที่สูงเกินหมื่นจั้ง* อีกต่อไป แต่เหตุใดในใจจึงยังคงรู้สึกไม่มั่นคง ร่างยังโงนเงนอยู่
มองสบดวงตาที่มีรอยยิ้มแฝงอยู่จางๆ ของมู่หวาฮุย เมิ่งถังก็ระบายลมหายใจออกมาช้าๆ ปล่อยมือทั้งสองที่กอดแขนมู่หวาฮุยอยู่ “ขอบคุณศิษย์พี่”
มู่หวาฮุยมองนางยิ้มๆ “กลัวการขี่กระบี่หรือ”
เมิ่งถังพลังวัตรยังไม่พอ ถึงตอนนี้ยังขี่กระบี่ไม่เป็น นางกระทั่งกระบี่คู่กายก็ยังไม่มี ดีที่บนยอดเขาทุกแห่งของสำนักหมิงหวาล้วนมีลานเคลื่อนย้าย นางอยากไปที่ใดก็สามารถใช้ลานเคลื่อนย้ายเหล่านี้ได้โดยตรง
มู่หวาฮุยรู้สึกว่าตนสะเพร่าแล้ว ศิษย์น้องไม่เคยขี่กระบี่ไปมาบนท้องฟ้ามาก่อน เมื่อครู่เขาควรใช้ลานเคลื่อนย้าย
“กลัว” เมิ่งถังพยักหน้ายอมรับตามตรง แต่หลังจากนั้นนางก็มีสีหน้าแน่วแน่มั่นคง “แต่อีกไม่นานข้าก็ไม่กลัวแล้ว เพราะข้าจะฝึกขี่กระบี่ให้เป็นในไม่ช้า”
มองท่าทางเชื่อมั่นในตัวเองเช่นนี้ของนาง รอยยิ้มมุมปากของมู่หวาฮุยก็กว้างขึ้น
มีเพียงพลังวัตรผ่านขั้นสร้างฐานแล้วจึงจะขี่กระบี่ได้ ความหมายในคำพูดนี้ของศิษย์น้องก็คืออีกไม่นานนางก็จะบรรลุขั้นสร้างฐานแล้ว
แม้มู่หวาฮุยจะรู้ว่าสติปัญญาของเมิ่งถังนั้นธรรมดาสามัญ หลายปีมานี้ในด้านการฝึกฝนนางก็ไม่ได้พยายามเต็มที่นัก แต่อย่างไรการที่นางต้องการแสวงหาความก้าวหน้านั้นย่อมเป็นเรื่องดี เขาที่เป็นศิษย์พี่ผู้นี้ย่อมต้องให้ความร่วมมือ
ก็ไม่รู้ว่านี่ใช่เพราะศิษย์น้องเกิดฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างฉับพลันหรือไม่ หรืออาจเพราะนางเพิ่งเสียใจจากความรัก จึงอยากแข็งแกร่งขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าหลิงซิงเหยา หรือต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของตน เพื่อจะได้ลืมความเจ็บปวดเสียใจนั่น…
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดที่จู่ๆ ก็ทำให้นางเกิดสนใจการฝึกฝนขึ้นมา มู่หวาฮุยก็ยังคงสอนนางอย่างสุดความสามารถ
เมิ่งถังฝึกฝนอย่างตั้งอกตั้งใจและขยันหมั่นเพียร บ่อยครั้งที่มู่หวาฮุยบอกวันนี้ฝึกฝนเพียงเท่านี้ กลับไปพักผ่อนได้ เมิ่งถังกลับยังคงฝึกฝนไม่หยุด กระทั่งบางครั้งตอนกลางคืนมู่หวาฮุยนอนไม่หลับ คลุมเสื้อออกมาเดินเล่นก็ยังเห็นเมิ่งถังร่ายรำกระบี่อยู่ในป่ากระบี่ท่ามกลางแสงจันทร์
สาเหตุเพราะเมิ่งถังจำได้ชัดเจน ตามเนื้อเรื่องเดิมในหนังสือนิยาย ศิษย์สำนักหมิงหวาที่อยู่ในขั้นสร้างฐานขึ้นไปสามารถเข้าสุสานหมื่นกระบี่เลือกกระบี่หนึ่งเล่มและผูกพันธสัญญาต่อกัน ทุกสิบปีสุสานหมื่นกระบี่จะเปิดครั้งหนึ่ง นับเวลาดูแล้ว เดือนสามปีหน้าก็ห่างจากการเปิดสุสานครั้งก่อนสิบปีพอดี
อวิ๋นชูเยวี่ยก็ได้กระบี่ฉานเสวี่ย กระบี่เซียนชั้นหนึ่งจากสุสานหมื่นกระบี่ในครั้งนี้ ภายหลังนางก็ใช้กระบี่ฉานเสวี่ยเล่มนี้แทงเข้าไปที่ดวงจิตของมู่หวาฮุย
ดังนั้นเป้าหมายในตอนนี้ของเมิ่งถังก็คือต้องบรรลุขั้นสร้างฐานให้เร็วที่สุด ให้ทันสุสานหมื่นกระบี่เปิดในเดือนสามปีหน้า จึงจะเข้าสุสานพร้อมอวิ๋นชูเยวี่ยได้
นางจะต้องเอากระบี่ฉานเสวี่ยมาก่อนอวิ๋นเยวี่ยชูให้ได้ เช่นนี้วันหน้ามู่หวาฮุยจึงจะไม่ตายภายใต้กระบี่ฉานเสวี่ยของอวิ๋นชูเยวี่ย
บทที่ 6
บริเวณใกล้เคียงเรือนน้อยอวิ๋นถัง ซึ่งเป็นที่พักของเมิ่งถังนั้นมีป่าต้นไห่ถัง* อยู่ผืนหนึ่ง
มู่หวาฮุยไม่รู้ว่าป่าต้นไห่ถังผืนนี้ใครเป็นผู้ปลูกไว้ รู้เพียงปีนั้นเขาเข้ามาเป็นศิษย์สำนักหมิงหวา ตอนติดตามอาจารย์ขึ้นมาที่ยอดเขาปี้อวิ๋น ป่าต้นไห่ถังผืนนี้ก็มีอยู่แล้ว และดูเหมือนอาจารย์จะชอบดอกไห่ถังมาก มู่หวาฮุยเคยเห็นเขายืนเหม่ออยู่ใต้ต้นไห่ถังที่นี่หลายครั้ง
นอกจากนี้อาจารย์ยังไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าไปในป่าต้นไห่ถังผืนนี้ รวมถึงเขาด้วย
กระทั่งปีนั้นอาจารย์ลงจากเขาไปท่องเที่ยว ตอนกลับมาได้พาแม่หนูน้อยคนหนึ่งกลับมาด้วย ไม่เพียงให้นางพำนักอยู่ที่เรือนน้อยอวิ๋นถัง แม้แต่ป่าต้นไห่ถังผืนนี้ก็ให้นางเข้าออกได้อย่างอิสระ
แต่มู่หวาฮุยยังคงไม่อาจเข้าป่าต้นไห่ถัง เพราะที่แห่งนี้ถูกอาจารย์วางค่ายกลอาคมไว้ อาจารย์ไม่ได้ให้อำนาจในการเข้าออกแก่เขา ด้วยเหตุนี้ยามนี้มู่หวาฮุยจึงได้แต่ยืนอยู่ด้านนอก มองเมิ่งถังที่นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ใต้ต้นไห่ถังต้นหนึ่ง
ความจริงเวลานี้เป็นช่วงที่หนาวที่สุดของฤดูหนาว เห็นอยู่ว่ารอบด้านมีหิมะปลิวปราย แต่เพราะป่าต้นไห่ถังแห่งนี้มีค่ายกลอาคมคุ้มครองอยู่ จึงอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปีสี่ฤดู ดอกไห่ถังผลิบานตลอดเวลา
ฉับพลันนั้นเมิ่งถังที่อยู่ใต้ต้นไม้ก็ลืมตาขึ้น หยิบกระบี่ยาวที่ข้างตัวยืนขึ้นมา เงาร่างอรชรเริ่มฝึกกระบี่วาดกระบี่ไปถึงที่ใด ดอกไห่ถังก็ร่วงพรูลงมา สายลมพัดผ่าน แลละม้ายคล้ายมีหิมะตกลงมาเป็นดอกไห่ถัง
ร่างอยู่ภายใต้หิมะสีขาว เบื้องหน้ากลับเป็นหิมะไห่ถังสีชมพู แม้มู่หวาฮุยจะเคยผ่านดินแดนลี้ลับมาหลายครั้ง แต่ภาพที่เห็นอยู่ในเวลานี้ยังคงทำให้เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจและสุนทรีย์
ตอนนี้เมิ่งถังเองก็เห็นมู่หวาฮุยแล้ว จึงร้องเรียกศิษย์พี่ออกมาด้วยความดีใจ นางเก็บกระบี่ยาว สาวเท้าเร็วๆ มาที่ด้านหน้า
พอออกจากป่าต้นไห่ถัง ลมหนาวเจือเกล็ดหิมะเย็นเฉียบพัดโหมเข้าปะทะบนใบหน้า เมิ่งถังอดตัวสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ พลันรีบหยิบเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บทรัพย์ แหงนหน้าขึ้นยิ้มกริ่มพลางเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ ท่านตั้งใจมาหาข้าถึงที่ มีเรื่องอันใดหรือ”
โดยปกตินางจะเป็นฝ่ายไปหามู่หวาฮุยยังที่พักของเขาเพื่อขอให้ช่วยสอนวรยุทธ์ น้อยครั้งยิ่งที่มู่หวาฮุยจะเป็นฝ่ายมาเยือนที่พักของนาง คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาถึงกับมาที่นี่
ความดีใจของนางเปล่งประกายแวววับอยู่บนหัวคิ้ว หางตา มุมปากมู่หวาฮุยอดมีรอยยิ้มซ่อนแฝงอยู่จางๆ ไม่ได้
“เมื่อเดือนที่แล้วเจ้าเคยพูดว่าถ้าเดือนนี้เจ้าสามารถตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้สำเร็จก็ให้ข้าอนุญาตเจ้าลงจากเขาไปชมโคมไฟในเทศกาลหยวนเซียว*”
เมิ่งถังพูดเช่นนั้นจริง แต่นี่เป็นคำพูดปลุกใจตนเอง หลังจากที่นางมุมานะฝึกฝนมาครึ่งปีกว่า กระทั่งเห็นว่าใกล้ถึงกำหนดเปิดสุสานหมื่นกระบี่แล้ว และนางยังไม่อาจตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้ ตอนนั้นนางจึงเพียงพูดไปเรื่อยเปื่อย คิดไม่ถึงว่ามู่หวาฮุยถึงกับยังจำได้
เมิ่งถังในใจรู้สึกดีใจ ดวงตาทั้งสองเป็นประกายแวววาว “แล้วอย่างไรหรือ”
มองท่าทางราวกับเด็กเล็กๆ ของนาง เสียงของมู่หวาฮุยพลันเปลี่ยนเป็นละมุนละไมขึ้น
“วันนี้เป็นวันเทศกาลหยวนเซียวพอดี” เขายื่นป้ายคำสั่งป้ายหนึ่งมาให้ “ถือป้ายนี้ไว้ เจ้าก็ผ่านค่ายกลใหญ่คุ้มครองภูเขาได้”
แม้สำนักหมิงหวาจะเหมือนแดนมนุษย์ที่หนึ่งปีมีสี่ฤดู แต่ผู้บำเพ็ญเซียนไม่เพียงบำเพ็ญกาย ยังต้องบำเพ็ญใจ เหล่าผู้อาวุโสทุกท่านหรือศิษย์พี่ทั้งหลายที่ฝึกฝนจนพลังวัตรถึงระดับหนึ่งแล้ว ในใจมักจะตระหนักรู้และกักตน ไม่ก็ขอลงจากเขาไปหาประสบการณ์ ด้วยเหตุนี้แม้สำนักหมิงหวาจะมีคนนับพัน แต่ปกติแล้วเงียบเหงายิ่ง ไม่คึกคักแม้แต่น้อย อย่างเทศกาลต่างๆ ของแดนมนุษย์บนภูเขาก็ไม่เคยฉลอง กระทั่งไม่มีใครเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
ระยะหลังมานี้เมิ่งถังก็มุ่งมั่นอยู่กับการฝึกฝนวรยุทธ์ ดังนั้นนางจึงไม่รู้เลยว่าวันนี้คือเทศกาลหยวนเซียว
ครั้นพอรู้ดังนั้น มือจึงยื่นไปรับป้ายคำสั่งมาด้วยความลิงโลดทันที ทั้งเอ่ยชวนมู่หวาฮุยอย่างตื่นเต้นดีใจ “ศิษย์พี่ ท่านลงเขากับข้าไปชมโคมไฟด้วยกันเถิด”
“ข้าไม่ชอบคนมาก เสียงดังวุ่นวาย เจ้าไปเถิด”
ยังยื่นแผ่นหยกมาให้อีกแผ่นหนึ่ง “นี่เป็นแผ่นหยกถ่ายทอดเสียง ถ้าเจ้ามีเรื่องอันใดก็ส่งคำพูดถึงข้าได้ตลอดเวลา”
จากนั้นยังมีหินวิเศษอีกหนึ่งห่อใหญ่ที่เติมไว้ด้วยปราณวิเศษของเขา ยันต์หุ่นกระบอกที่สามารถต้านทานการโจมตีถึงชีวิตในช่วงคับขันจากผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังวัตรตั้งแต่ขั้นหยวนอิงลงมาได้ กระบี่พลังเทพเล่มหนึ่งของเขา ยาลูกกลอนหลายขวด รวมถึงของอื่นๆ มากมายที่เมิ่งถังเรียกชื่อไม่ถูก สุดท้ายยังสั่งกำชับนางว่าอย่าห่วงเที่ยวเล่นมากเกินไป ต้องรีบไปรีบกลับ
เมิ่งถังเกิดภาพลวงตาอย่างหนึ่ง นี่มู่หวาฮุยเลี้ยงดูนางดั่งบุตรสาวไปเสียแล้ว
เมิ่งถังออกจะสับสนว้าวุ่นเล็กน้อย
หลังจากเอาสิ่งของเหล่านี้เก็บเข้าแหวนเก็บทรัพย์ของตนแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นมู่หวาฮุยเดินไปข้างหน้าได้ระยะหนึ่งแล้ว อันที่จริงลมและหิมะในเวลานี้ไม่นับว่ารุนแรง แต่มองเงาด้านหลังของมู่หวาฮุย เมิ่งถังกลับรู้สึกว่าเขาดูโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่ง
ทั้งคิดไปถึงเรื่องต่างๆ ที่เขาเคยพบเจอมาในวัยเด็กที่เขียนไว้ในหนังสือนิยาย เมิ่งถังพลันแสบจมูกขึ้นมา สาวเท้าออกวิ่งไปข้างหน้า
ผู้ฝึกวรยุทธ์หูตาเฉียบไว มู่หวาฮุยย่อมได้ยินเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นจากด้านหลัง จึงหยุดเท้าหันหน้ากลับไป เพียงมองมาก็เห็นเมิ่งถังที่กำลังวิ่งตรงมาที่เขา
“ศิษย์พี่”
เมิ่งถังหยุดลงตรงหน้ามู่หวาฮุย ตอนเอ่ยปากพูดลมหายใจยังติดขัดเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรเสียตอนนี้ท่านก็ว่างอยู่ ไม่สู้ลงจากเขาไปชมโคมไฟด้วยกันกับข้าเถิด”
ไม่รอให้มู่หวาฮุยเอ่ยปฏิเสธ เมิ่งถังก็รีบกล่าวต่อ “ศิษย์พี่ ท่านดูสิ แม้สองวันก่อนข้าจะตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้แล้ว แต่ลำดับขั้นของข้ายังไม่มั่นคง วันนี้เป็นเทศกาลหยวนเซียว แดนมนุษย์จะต้องคึกคักยิ่ง ไม่แน่อาจจะมีภูตมารปีศาจจากที่ต่างๆ ออกมาชมโคมไฟ เกิดข้าไปพบเจอพวกมันเข้า ด้วยพลังวัตรของข้าในยามนี้ เกรงว่ายังไม่พอยัดซอกฟันของพวกมันด้วยซ้ำ อีกทั้งสุสานหมื่นกระบี่ยังไม่เปิด กระทั่งกระบี่คู่กายข้าก็ยังไม่มี หรือว่าจะต้องขี่กระบี่ยาวที่ใช้ในการฝึกฝนเล่มนี้จริง ถ้าเป็นเช่นนั้นเกรงว่าข้ายังเหาะไปไม่ถึงตีนเขาฟ้าก็สว่างแล้ว ยังจะชมโคมไฟอันใดได้อีกเล่า”
นางพูดพลางยื่นมือมายุดชายแขนเสื้อของมู่หวาฮุย เอาน้ำเสียงออดอ้อนในอดีตของตนออกมาใช้ “ดังนั้นศิษย์พี่ ท่านลงไปชมโคมไฟด้วยกันกับข้า ดีหรือไม่”
เมิ่งถังตั้งแต่เล็กที่บ้านก็เลี้ยงดูด้วยความตามใจมาจนเติบใหญ่ ตั้งแต่เล็กจนโตขอเพียงนางประจบออดอ้อนเช่นนี้ ไม่มีผู้ใหญ่คนใดสามารถปฏิเสธนางได้
ทว่าไม้นี้จะใช้ได้ผลกับมู่หวาฮุยหรือไม่ ความจริงแล้วในใจของเมิ่งถังก็ไม่มั่นใจนัก ครั้นแล้วในสายตาของนางที่มองมู่หวาฮุยจึงเจือไปด้วยความตื่นเต้นและกังวลใจจางๆ
มู่หวาฮุยหลุบตาลงมองนาง
ดวงตาทั้งสองของศิษย์น้องงดงามชวนมองยิ่ง ประหนึ่งสายธารเล็กที่ไหลรินกลางซอกเขาในฤดูใบไม้ร่วง ใสสะอาดสงบนิ่ง ยามแย้มยิ้มทำให้คนนึกถึงประกายแวววาวของระลอกคลื่นบนผิวน้ำภายใต้แสงอาทิตย์
ในดวงตางามคู่นี้เวลานี้เพียงสะท้อนภาพของเขา…
มู่หวาฮุยเอียงศีรษะเล็กน้อย สายตาจับนิ่งอยู่ที่นิ้วมือของนางที่ยุดชายแขนเสื้อตนไว้
นิ้วมือของศิษย์น้องขาวนวลเนียนเรียวเล็กราวหยกสลัก ข้อมือที่โผล่ออกมาช่วงหนึ่งก็ขาวผ่องดุจหิมะ
ช่วงหลังมานี้นิสัยของศิษย์น้องนับวันยิ่งทำให้เขาคาดเดาไม่ถูก เดิมเข้าใจว่าที่นางบอกต่อไปจะตั้งใจฝึกฝนอย่างจริงจังเป็นเพียงคำพูดด้วยอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น คิดไม่ถึงว่านางถึงกับทำได้แล้วจริงๆ
เดิมเข้าใจว่าที่นางพูดอย่างมั่นเหมาะจริงจังว่าก่อนเดือนสามปีนี้จะต้องตีฝ่าขั้นสร้างฐานให้ได้เป็นเพียงการหลับหูหลับตาเชื่อมั่นของนาง คิดไม่ถึงว่านางถึงกับทำได้จริง
แน่นอนว่ามู่หวาฮุยเองก็รู้ว่าช่วงที่ผ่านมาเมิ่งถังมุมานะทุ่มเทมากเพียงใด หลังมือยังคงละเอียดเกลี้ยงเกลา แต่ฝ่ามือที่อ่อนนุ่มกลับถูกเสียดสีจนเกิดผิวหนังด้านหนาขึ้นมาหลายจุด
ค่ำคืนขณะคนอื่นกำลังพักผ่อน นางก็นั่งสมาธิฝึกกระบี่
ตอนเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียอย่างยิ่งก็อมหญ้าอวี้ชิงที่ช่วยทำให้สดชื่นไว้ในปากชิ้นหนึ่ง แล้วกัดฟันฝึกต่อไป กระทั่งร่างกายนางมีบาดแผลก็ยังไม่ยอมหยุดพักแม้ชั่วครู่
มีอยู่ครั้งหนึ่งมู่หวาฮุยทนไม่ไหว ถามนางว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ จึงมุมานะบากบั่นฝึกฝน
ยังจำได้ดีตอนนั้นเมิ่งถังยิ้ม ทางหนึ่งยื่นมือไปรับใบไม้ใบหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมา ทางหนึ่งก็ตอบด้วยน้ำเสียงเบิกบานมีชีวิตชีวา ‘เพราะข้ามีคนที่อยากจะปกป้องน่ะสิ’
คนที่นางอยากจะปกป้องคือผู้ใดกัน
มู่หวาฮุยไม่รู้และไม่ได้ถามต่อ ทว่าในฐานะศิษย์พี่ เขายังคงชื่นชมศิษย์น้องที่แข็งแกร่งอดทน ยอมหลั่งโลหิตก็ไม่หลั่งน้ำตาอย่างมาก แต่ศิษย์น้องที่แข็งแกร่งอดทนเช่นนี้ เวลานี้กลับทำเสียงอ่อนหวานออดอ้อนเขาอยู่
มู่หวาฮุยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดภายใต้สายตาที่มองมาอย่างเฝ้ารอคอยขึ้นทุกทีของเมิ่งถัง เขาก็พยักหน้า “ได้”
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่านางประจบออดอ้อน แต่เขายังคงไม่อาจปฏิเสธได้
ความตื่นเต้นและความกระวนกระวายที่อยู่ในใจพลันสลายไป เมิ่งถังแทบอยากจะโห่ร้องออกมา
มองแสงตะวันเริ่มจะใกล้ค่ำแล้ว นางรีบเร่งรัด “ศิษย์พี่ ไป…ไป เราลงจากเขาไปชมโคมไฟกัน”
ในเมื่อมีมู่หวาฮุยไปด้วย ย่อมไม่ต้องให้นางขี่กระบี่ เพียงยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างหลังเขาก็พอแล้ว
กระบี่คู่กายมู่หวาฮุยมีชื่อว่าอู๋จี๋ก็ได้มาจากสุสานหมื่นกระบี่เช่นกัน
กระบี่เล่มนี้ภายนอกดูเรียบง่ายไม่หรูหรา กระทั่งคล้ายยังไม่ได้ลับคมเช่นนี้ แต่ถ้ามู่หวาฮุยถ่ายทอดปราณวิเศษเข้าไปในกระบี่ ตัวกระบี่ก็จะมีประกายกระบี่วาบขึ้น ตอนนั้นมู่หวาฮุยก็ใช้กระบี่อู๋จี๋เล่มนี้ตัดท้องฟ้าและสายน้ำในกระบี่เดียว ร้ายกาจยิ่งอย่างแท้จริง
นับแต่นั้นมากระบี่อู๋จี๋ก็กลายเป็นอาวุธวิเศษยอดเยี่ยมเลิศล้ำที่ทุกคนในแดนบำเพ็ญเซียนต่างเล่าลือกัน อีกทั้งกระบี่อู๋จี๋ได้เกิดจิตวิญญาณขึ้นแล้ว ตอนแรกเพราะความอยากรู้ เมิ่งถังอดใจไม่อยู่อยากจะดู อยากจะลูบคลำ แต่กระบี่อู๋จี๋ก็ต่อต้าน ไม่ยอมให้นางแตะต้อง
แต่เมิ่งถังนั้นแข็งแกร่งอดทน นางอดทนยิ่ง เป้าหมายที่นางกำหนดไว้แล้วย่อมต้องไปให้ถึง ดังนั้นกระบี่อู๋จี๋ยิ่งหลบเลี่ยงนางก็ยิ่งต้องแตะต้อง สุดท้ายคิดว่ากระบี่อู๋จี๋ก็คงหลบจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยใจแล้ว ได้แต่นอนราบปล่อยให้นาง ‘ย่ำยี’
เมิ่งถังยังชอบมันมาก ครั้นแล้วครั้งนี้เห็นมู่หวาฮุยเรียกมันออกมา นางจึงยื่นนิ้วไปดีดตัวกระบี่เบาๆ ยิ้มแย้มพลางกล่าวทักทาย “อู๋จี๋ เจอกันอีกแล้ว”
กระบี่อู๋จี๋…ข้าไม่ได้อยากจะเจอกับท่านสักเท่าไร ขอบคุณ
แต่ยังคงยอมรับชะตากรรมให้เมิ่งถังยืนอยู่บนตัวกระบี่ของตน ปฏิบัติตามคำสั่งของมู่หวาฮุยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหาะไป
เดิมเมิ่งถังคิดว่าไปชมโคมไฟที่เมืองเล็กๆ สักแห่งที่ตีนเขา ซึมซับบรรยากาศสักหน่อยก็พอ เพราะความเร็วในการขี่กระบี่ของนางช้ามาก แต่ความเร็วในการขี่กระบี่ของมู่หวาฮุยเร็วมาก ดังนั้นเมิ่งถังจึงขอให้เขาพาตนไปชมโคมไฟในเมืองที่ใหญ่สักหน่อย แม้ทุกแห่งล้วนมีโคมไฟ แต่แน่นอนสถานที่ยิ่งใหญ่โคมไฟก็ต้องยิ่งมาก และยิ่งคึกคัก
คิดไม่ถึงว่ามู่หวาฮุยได้ยินนางพูดเช่นนี้ ถึงกับพานางขี่กระบี่ตรงไปยังเมืองเหิงหยางที่เจริญที่สุดในแถบนี้
* หมาป่าตาขาว เป็นสำนวน หมายถึงคนที่ชั่วร้าย ไร้คุณธรรม ไร้มนุษยธรรม ยังหมายถึงคนที่อกตัญญู มีแต่ตาขาวจึงตาบอดมองอะไรไม่เห็น
** ‘โลกจุมพิตข้าด้วยความเจ็บปวด ข้าจะตอบแทนด้วยเสียงเพลง’ เป็นคำพูดของรพินทรนาถ ฐากูร นักคิดนักปรัชญาชาวอินเดีย หมายความว่าแม้โลกได้นำพาความเจ็บปวด ความทุกข์มาให้เรา อย่างไรก็ตามเราควรมีทัศนคติในแง่บวก เห็นความลำบากเหล่านี้เป็นประสบการณ์ ยังคงรักโลก โลกยังคงสวยงาม
* หลิงเกิน หมายถึงพื้นฐานพรสวรรค์ในฝึกฝนบำเพ็ญเซียน แบ่งเป็นมู่หลิงเกิน สุ่ยหลิงเกิน หั่วหลิงเกิน ถู่หลิงเกิน เฟิงหลิงเกิน เทียนหลิงเกิน แต่กล่าวกันว่าผู้ที่มีเทียนหลิงเกินสมบูรณ์เพียงอย่างเดียวการฝึกฝนบำเพ็ญเซียนจะก้าวรุดหน้าได้เร็วกว่าผู้ที่มีหลิงเกินอื่นหลายอย่างในตัว
* จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร
* ต้นไห่ถัง (Chinese Flowering Crapapple) เป็นพืชตระกูลแอปเปิ้ล ดอกสีขาวหรือสีชมพูอ่อน ผลกลมสีเหลืองไปจนถึงสีแดง รสเปรี้ยวอมหวาน
* เทศกาลหยวนเซียว ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนอ้ายตามจันทรคติจีน ซึ่งเป็นคืนแรกของปีที่พระจันทร์เต็มดวง คนในครอบครัวจึงมาชมจันทร์กันพร้อมหน้า กินขนมบัวลอยซึ่งแสดงถึงความกลมเกลียว ภายหลังจัดเป็นงานฉลองยิ่งใหญ่ต่อเนื่องจากเทศกาลตรุษจีน มีประเพณีประดับโคมไฟ จึงเรียกอีกชื่อว่าเทศกาลโคมไฟ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.