X
    Categories: ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลาทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 7 – 8

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 7

เมิ่งถังมองฝูงชนข้างกายที่เดินขวักไขว่กันอย่างไม่ขาดสาย ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อได้สติกลับคืนมาก็รู้สึกว่าศิษย์พี่ช่างตามใจเด็กน้อยอย่างนางยิ่งนัก นางเองก็มีความรู้สึกถูกคุ้มครองอย่างหนึ่ง

ช่างทำให้คนตื่นเต้นอย่างแท้จริง

เมิ่งถังเดิมก็มีนิสัยชอบสนุก เวลานี้ด้วยความตื่นเต้นก็ดึงแขนเสื้อของมู่หวาฮุย จะไปยังจุดที่คึกคักที่สุดกลับถูกมู่หวาฮุยเรียกเอาไว้ “ช้าก่อน”

เมิ่งถังหยุดลงแล้วหันหน้ากลับมา “ศิษย์พี่ มีอะไรหรือ”

แสงโคมสองข้างถนนสายยาวสว่างไสว ส่องสะท้อนดวงตารูปเมล็ดซิ่งที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มคู่นั้นของนาง ชั่วขณะนั้นคล้ายมีแสงดวงดาวแตกกระจายวิบวับอยู่ภายใน

มู่หวาฮุยยกมือขึ้นหยิบของอย่างหนึ่งออกมาจากเส้นผมของนาง

เป็นกลีบดอกไห่ถังกลีบหนึ่ง

ความจริงก่อนหน้านี้ตอนเมิ่งถังเดินออกมาจากป่าต้นไห่ถัง มู่หวาฮุยก็สังเกตเห็นว่ามีกลีบดอกไห่ถังติดผมนางอยู่กลีบหนึ่งแล้ว เดิมคิดจะหยิบออก แต่เขาไม่เคยชินต่อการแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้อื่น ภายหลังก็คิดว่าตอนขี่กระบี่อยู่บนท้องฟ้ากลีบดอกไม้ก็คงจะปลิวหายตามลมไป คิดไม่ถึงว่าเขาเก็บกระบี่ลงถึงพื้นดินแล้วกลับพบว่ากลีบดอกไม้ยังคงติดอยู่บนเส้นผมของเมิ่งถัง

ในใจครุ่นคิดลังเลอยู่นาน ในที่สุดยังคงยื่นมือไปช่วยหยิบออกให้นาง

มองเส้นผมยาวสลวยของเมิ่งถังที่กลับมาราบเรียบไม่มีอะไรติดอยู่แล้ว ความรู้สึกไม่สบายในหัวใจของมู่หวาฮุยในที่สุดก็สงบลง

โรคเจ้าระเบียบของเขานับว่าใช้ได้เลย

เมิ่งถังยื่นมือไปรับกลีบดอกไม้ กล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ร้องเร่งเขา “ศิษย์พี่ ไป ทางด้านโน้นดูคึกคักยิ่ง เราไปดูกัน”

พวกเขาเดินผ่านฝูงชนอย่างว่องไว รอจนเข้ามาใกล้ก็เห็นภูเขาโคมแก้วหลากสีสันขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง สว่างไสวโชติช่วงพร่างพราวละลานตา รอบบริเวณยังมีการแสดงกายกรรมต่างๆ รวมทั้งการแสดงเชิดสิงโต คึกคักสนุกสนานเป็นที่สุด

เมิ่งถังอยู่สำนักหมิงหวาตลอดครึ่งปีมานี้ นอกจากไปกระโจมห้องเรียน เวลาที่เหลือก็ฝึกฝนวิชากับมู่หวาฮุย วันเวลาเรียกได้ว่าผ่านไปอย่างสงบเงียบจืดชืดยิ่งนัก เวลานี้เมิ่งถังได้มาเห็นงานเทศกาลที่คึกคักสนุกสนานเช่นนี้ ทั่วร่างก็พลอยคึกคักฮึกเหิมขึ้นมาราวกับฉีดเลือดไก่*

ไม่ว่าการแสดงอะไรก็ต้องขอเข้าไปดูใกล้ๆ สักแวบหนึ่ง เห็นการแสดงอะไรที่ยอดเยี่ยมโดดเด่นเป็นต้องตบมือร้องว่าดีตามคนที่อยู่รอบด้านไปด้วย เห็นข้าวของอะไรน่าสนุก หรือของกินอร่อยอะไรก็ต้องซื้อมา

อย่างไรเสียหินวิเศษก็มีมากพอ แหวนเก็บทรัพย์ก็ยังมีพื้นที่ว่างอีกมาก ไม่ว่าจะซื้อของมากเท่าใดก็ยังยัดเข้าไปได้ ไม่ต้องถือเอง เป็นของดีงามที่จำเป็นต้องมียามออกมาเที่ยวเล่น

เดินเที่ยวมาถึงข้างแผงขายโคมดอกบัวแห่งหนึ่ง ได้ยินเจ้าของแผงบอกด้านหน้าห่างออกไปไม่ไกลก็คือแม่น้ำลั่ว สามารถซื้อโคมดอกบัวไปอธิษฐานที่ริมแม่น้ำ จากนั้นก็ปล่อยโคมดอกบัวให้ลอยไปตามสายน้ำในแม่น้ำลั่วได้ เช่นนี้ความปรารถนาที่อธิษฐานไว้ก็จะเป็นจริง เมิ่งถังรีบควักหินวิเศษซื้อโคมดอกบัวมาสองดวง

หมุนตัวมายื่นโคมดวงหนึ่งให้มู่หวาฮุย เมิ่งถังใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“ศิษย์พี่ เราไปลอยโคมดอกบัวกัน”

มู่หวาฮุยแม้จะรับโคมมาถืออยู่ในมือกลับบอก “ข้าไม่เชื่อในสิ่งนี้”

ถ้าเพียงทำเท่านี้ก็สามารถทำให้ความมุ่งมาดปรารถนาของตนเป็นจริงได้ ในโลกนี้คงไม่มีคนเสียใจผิดหวังแล้ว

“ข้าก็ไม่เชื่อสิ่งนี้ แต่ในเมื่อทุกคนต่างก็ทำเช่นนี้ เราก็ทำเช่นนี้ด้วยแล้วกัน”

เห็นมู่หวาฮุยยังยืนเฉยไม่ขยับ เมิ่งถังจำต้องไปดึงแขนเสื้อเขา “ไปเถิด ศิษย์พี่ เราต้องรู้จักหาความสนุกให้ตัวเองบ้างนะ”

ครึ่งปีกว่ามานี้นางก็มองออกแล้ว อย่าเห็นว่ายามอยู่ต่อหน้าผู้คน ใบหน้าของมู่หวาฮุยจะดูอ่อนโยนมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ ความจริงแล้วในกระดูกของเขาก็เป็นคนเงียบเหงาคนหนึ่ง ปกตินอกจากฝึกฝนวรยุทธ์แล้วก็ไม่มีอย่างอื่นให้ทำอีก แต่ละวันก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกวัน

ชีวิตที่จืดชืดเช่นนี้น่าเบื่อเพียงใด ในเมื่อนางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเฝ้าปกป้องเขา เช่นนั้นก็ควรทำให้ชีวิตของเขามีสีสันขึ้นมา

ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลากมู่หวาฮุยให้เดินไปข้างหน้า พอเดินมาตามทางที่เจ้าของแผงชี้ให้เมื่อครู่ ไม่นานเมิ่งถังก็หาแม่น้ำลั่วพบ

บนผิวน้ำมีโคมดอกบัวลอยอยู่จำนวนมาก ริมฝั่งยังมีผู้คนไม่น้อยกำลังเตรียมเอาโคมดอกบัวในมือลงไปลอยในน้ำ

โคมดอกบัวในมือเมิ่งถังยังไม่ได้จุดไฟให้สว่าง เห็นคนที่อยู่ด้านข้างมีที่จุดไฟ กำลังจะไปขอยืม มู่หวาฮุยก็เรียกนางไว้ เห็นเขายกมือขึ้นมาประกบนิ้วท่องอาคม ไส้เทียนของโคมดอกบัวในมือเมิ่งถังก็ลุกสว่างขึ้นทันที ภาพเบื้องหน้าเมิ่งถังก็พลอยสว่างตามไปด้วย

อาคมนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง จึงอ้อนวอนมู่หวาฮุย “ศิษย์พี่ ข้าจะฝึกอาคมนี้ กลับไปแล้วท่านสอนข้าได้หรือไม่”

มู่หวาฮุยกลับดูเหมือนไม่ยินดีจะสอนอาคมนี้ให้นาง

“นี่เป็นเพียงอาคมอาคมๆ ไม่สูงส่งอะไร ฝึกไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเจ้าต้องการโคมไฟ กลับไปแล้วข้าจะมอบโคมแก้วชีเป่า* สลักอาคมให้เจ้าดวงหนึ่ง เมื่ออยู่ในที่มืดจะส่องแสงสว่างขึ้นมาเอง”

เขายังหวังให้นางทุ่มเทจิตใจไปกับการฝึกฝนวรยุทธ์มากกว่า

โคมแก้วชีเป่าฟังดูเป็นของดี เมิ่งถังย่อมคล้อยตามความคิดเห็นที่ดีดุจสายน้ำที่ไหลจากที่สูงลงที่ต่ำแสดงกิริยา ‘น้อมรับ’ ไว้

แต่นางยังคงอยากฝึกฝนอาคมธรรมดาๆ นี้ เพราะหลังจากฝึกเป็นแล้ว คิดจะย่างปลาเอย ย่างปีกไก่เอย เหล่านี้ล้วนไม่ต้องลำบากลำบนใช้ที่จุดไฟแล้ว

สุดท้ายมู่หวาฮุยก็ขัดไม่ได้ต่อการขอร้องแล้วขอร้องอีกของนาง ยอมรับปากจนได้

เมิ่งถังบรรลุความปรารถนาแล้วก็ประคองโคมดอกบัวขึ้นมาด้วยความพออกพอใจ หลับตาทั้งสองเริ่มอธิษฐาน

มู่หวาฮุยมองนาง

คิ้วเรียวงาม ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง จมูกเชิดรั้น ริมฝีปากแดงดุจผลอิงเถา* ภายใต้แสงเทียนนวลตาที่ส่องสะท้อนผิวพรรณดูละเอียดเกลี้ยงเกลาขาวใสดุจกระเบื้องเคลือบ

คล้ายว่าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลาที่เขานึกถึงเมิ่งถังในสมองก็จะมีใบหน้าของนางปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน ยังมีอากัปกิริยายามแย้มยิ้ม มุ่นหัวคิ้ว รวมทั้งลักษณะท่าทางไร้เหตุผลและประจบออดอ้อนเหล่านั้น

ทั้งที่แต่ก่อนทุกครั้งยามเขานึกถึงศิษย์น้องผู้นี้ ในสมองจะนึกรูปร่างหน้าตาของนางไม่ออกแม้แต่น้อย

เมิ่งถังอธิษฐานเสร็จแล้ว โน้มตัวเอาโคมดอกบัวในมือวางลงไปในแม่น้ำลั่ว

จากนั้นก็เร่งรัดมู่หวาฮุย “ศิษย์พี่ ท่านรีบจุดโคมให้สว่าง แล้วอธิษฐานเถิด”

แม้มู่หวาฮุยจะรู้สึกว่านี่เป็นการกระทำแบบเด็กๆ แต่เมื่อมองสบดวงตาที่เปล่งประกายแวววาวคู่นั้นของเมิ่งถังแล้ว เขายังคงส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง

จุดโคมสว่างแล้ว เขาก็หลับตาทั้งสองลง

เมิ่งถังฉวยโอกาสนี้มองประเมินเขาอย่างกระตือรือร้น

ตอนเห็นมู่หวาฮุยครั้งแรก นางก็ส่งเสียงกรีดร้องอยู่ในใจ รู้สึกว่ามู่หวาฮุยหล่อเหลาสุภาพอ่อนโยนยิ่งกว่าที่ตนนึกภาพไว้ ยามนี้มองดูแล้วไม่ต่างอะไรกับหยกงามชิ้นหนึ่ง ท่ามกลางแสงเทียนสว่างไสวแวววาว ดูสุภาพอ่อนโยนละมุนละไม ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกสูงส่งเหนือผู้คน มีความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงเกินอย่างหนึ่ง

เคลิบเคลิ้มอยู่กับรูปโฉมของมู่หวาฮุยจนเกินไป ตอนอีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาเมิ่งถังยังคงมองจ้องเขาอย่างโง่งม

“อะไร บนใบหน้าของข้ามีอันใดไม่เหมาะสมหรือ” มู่หวาฮุยถามเมิ่งถังด้วยความสงสัย

ใบหน้าของท่านไหนเลยยังจะมีอันใดไม่เหมาะสม ต้องบอกว่าเหมาะสมเกินไปแล้ว! ทุกจุดล้วนเหมาะเจาะเหมาะสม!

เมิ่งถังเก็บสายตาลุ่มหลงของตนกลับมา ตอบอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “ไม่มี ข้ากำลังคิดว่าศิษย์พี่อธิษฐานสิ่งใดอยู่”

มู่หวาฮุยยิ้มน้อยๆ และไม่ได้ซักไซ้ต่อ ก้มตัววางโคมดอกบัวลงในแม่น้ำลั่ว

แสงเทียนนวลตาส่องสว่างผิวน้ำผืนเล็กที่อยู่รอบๆ เมื่อลมพัดมาระลอกคลื่นพลิ้วไหว โคมดอกบัวค่อยๆ ลอยห่างออกไป

เมิ่งถังอยากรู้มากว่ามู่หวาฮุยอธิษฐานว่าอะไร แต่ไม่ว่านางจะถามอย่างไร มู่หวาฮุยก็ได้แต่ยิ้มไม่พูด สุดท้ายยังย้อนถามนาง “เจ้าล่ะ อธิษฐานอะไร”

“ข้าหรือ”

เมิ่งถังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ จึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าหวังว่าชั่วชีวิตนี้ของศิษย์พี่จะสงบสุขราบรื่น ยิ้มแย้มเบิกบานไร้กังวล และหวังว่าต่อไปภายหน้าตนจะฝึกฝนวรยุทธ์ได้อย่างเหนื่อยน้อยได้ผลมาก แข็งแกร่งขึ้นมาได้โดยเร็ว” เช่นนี้ต่อไปจึงจะสามารถเฝ้าปกป้องท่านได้ดียิ่งขึ้น

มู่หวาฮุยตะลึงงันไปเล็กน้อย

เขาคิดไม่ถึงในความมุ่งมาดปรารถนาของเมิ่งถังถึงกับมีเขาอยู่ อีกทั้งยังเรียงลำดับเขาให้อยู่หน้าตัวนางเองอีกด้วย พลันนึกไปถึงแม่นมขึ้นมา

ในความทรงจำของเขาแม่นมอ่อนโยนมีเมตตา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ให้ความสำคัญกับเขาเป็นอันดับแรก เป็นความอบอุ่นเพียงอย่างเดียวในวัยเด็กที่อ้างว้างเดียวดายของเขา แต่ภายหลังแม่นมกลับเสียชีวิตอย่างมีลับลมคมในยิ่ง

เบื้องหน้าพลันปรากฏภาพที่ทุกครั้งเมื่อนึกถึงก็จะทำให้ส่วนลึกของจิตวิญญาณเขาต้องสั่นสะท้าน

เขาในวัยเด็กผลักประตูห้องที่ปิดสนิทให้เปิดออก เห็นเงาร่างของแม่นมอยู่ด้านหลังฉากบังลมผ้าโปร่งบางสีขาว

ร้องเรียกแม่นมออกไปคำหนึ่ง เขาก้าวข้ามธรณีประตู รอจนเขาเดินอ้อมฉากบังลมไปก็ได้เห็นภาพที่ทำให้เขาต้องตื่นตระหนกหวาดผวา

แม่นมของเขานอนหงายอยู่บนเตียงใบหน้าซีดเขียว มือข้างหนึ่งห้อยตกลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่กลับมีหนูรูปร่างใหญ่โตหลายตัวเกาะอยู่บนใบหน้าบนแขนของแม่นมกำลังกัดแทะเนื้อหนังของนาง

กระทั่งเขาใช้มือที่สั่นเทาทั้งสองข้างออกแรงที่มีอยู่ทั้งหมดผลักฉากบังลมให้ล้มลงไป เสียงฉากบังลมกระแทกพื้นทำให้หนูเหล่านั้นตกใจ พวกมันถึงได้ส่งเสียงจี๊ดๆ ลากหางเรียวยาววิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปคนละทิศคนละทาง

ทว่าใบหน้าทั้งของแม่นม แขน มือ เท้าที่อยู่ด้านนอกได้ถูกกัดแทะจนเห็นกระดูกขาวโพลนแล้ว…

เมิ่งถังกำลังมองโคมดอกบัวที่กะพริบวิบวับอยู่บนผิวน้ำ หางตาพลันสังเกตเห็นมู่หวาฮุยก้มหน้าค้อมเอว ไหล่ทั้งสองสั่นเล็กน้อย คล้ายกำลังข่มกลั้นต่อความเจ็บปวดทรมานอย่างมาก

เมิ่งถังตกใจ รีบยื่นมือไปประคองเขา ถามไม่ขาดปาก “ศิษย์พี่ ท่านเป็นอันใดไป”

ช่วงที่ผ่านมามู่หวาฮุยศิษย์พี่ผู้นี้ ในสายตาของนางไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่เป็น ภูเขาไท่ซาน* ถล่มลงมาตรงหน้าก็สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ยังคงมีรอยยิ้มอบอุ่นอยู่บนใบหน้า แต่ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน นี่จึงทำให้เมิ่งถังตกใจอย่างแท้จริง แม้แต่เสียงยังสั่นโดยไม่รู้ตัว

ดีที่ไม่นานมู่หวาฮุยก็ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้

“ข้าไม่เป็นไร” เขาเงยหน้าขึ้น มุมปากแฝงรอยยิ้มจางๆ กลับไปเป็นศิษย์พี่ที่สุขุมเยือกเย็นเช่นปกติผู้นั้นแล้ว

เมิ่งถังเห็นชัดว่าไม่เชื่อ

คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เมิ่งถังเป็นคนที่อ่านเนื้อหาในหนังสือนิยายในส่วนที่เกี่ยวกับมู่หวาฮุยมาอย่างละเอียด ไหนเลยจะไม่รู้ว่าภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสงบนิ่งของมู่หวาฮุยมีเงาดำที่น่ากลัวในวัยเด็กอยู่มากเพียงใด

เมื่อครู่ศิษย์พี่คงนึกถึงเรื่องไม่ดีในอดีตเหล่านั้นกระมัง

เมิ่งถังกังวลว่าจะถูกมู่หวาฮุยมองเห็นพิรุธในตัวนาง ชั่วขณะนั้นไม่รู้ควรปลอบใจอย่างไร จำต้องพูดเรื่องอื่นเรื่องโน้นนิดเรื่องนี้หน่อยไป เพื่อเบนความสนใจของมู่หวาฮุยไปจากเดิม

แล้วชี้ไปยังผู้คนบนฝั่งที่มาลอยโคม เริ่มพูดจาไปเรื่อยเปื่อยอย่างจริงจัง

“ศิษย์พี่ ท่านดูท่านตากับท่านยายคู่นั้นช่างรักใคร่กันดียิ่ง มาถึงวัยนี้แล้วยังจับจูงมือกันมาลอยโคมด้วยกันได้ ยังมีสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้น อุ้มบุตรสาวของพวกเขามาลอยโคมในแม่น้ำ แม่หนูน้อยหน้าตาหน้าเอ็นดูเสียจริง หนุ่มสาวคู่หนึ่งทางด้านนั้น ศิษย์พี่ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าเดาว่าพวกเขาสองคนยังไม่ได้แต่งงานกัน ทั้งสองคนกระทั่งมองอีกฝ่ายแวบหนึ่งก็ยังหน้าแดงต้องเบือนหน้าหนี ยังมีสองคนทางด้านโน้น…”

เมิ่งถังพูดต่อไปไม่ได้แล้ว

เพราะนางพบว่าสองคนนั้นคือหลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ย

ให้ตายสิ! อวิ๋นชูเยวี่ยที่เจอหน้ากันที่กระโจมห้องเรียนทุกวัน บางครั้งเจอหลิงซิงเหยาบ้างก็แล้วไปเถอะ เหตุใดตอนนี้มาถึงแดนมนุษย์แล้วก็ยังเจอสองคนนี้อีก

บทที่ 8

ครึ่งปีกว่ามานี้เมิ่งถังแม้จะพูดได้ว่าต้องเจออวิ๋นชูเยวี่ยทุกวัน แต่ก็หาได้คุ้นเคยกับนาง อันที่จริงไม่เพียงแต่อวิ๋นชูเยวี่ย ศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ ที่กระโจมห้องเรียน นางก็ไม่คุ้นเคย

แม้ครั้งก่อนนางจะแสดงอำนาจ ข่มขวัญติงเล่อเซวียนกับศิษย์น้องซุน หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าข่มเหงระรานนางเช่นเมื่อก่อนที่เคยข่มเหงระรานเจ้าของร่างเดิมอีก แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันเลือกที่จะปฏิบัติต่อนางอย่างเฉยเมยเย็นชา

การแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมก็คือตอนอยู่ที่กระโจมห้องเรียน ไม่มีใครพูดจากับนาง ตอนไปเล่นก็ไม่ชวนนาง ทำราวกับนางล่องหนไม่มีอยู่จริง

พวกเขาเข้าใจว่าเมิ่งถังจะทนไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเมิ่งถังหาได้แยแสสนใจ

ทุกวันไปเข้าเรียนตามเวลา พอถึงเวลาเลิกเรียนก็เก็บข้าวของของตนสาวเท้าจากไป ไม่ได้มองพวกเขาแม้แต่แวบเดียว

สองวันก่อนเมิ่งถังตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้สำเร็จ ต่อไปก็ไม่ต้องไปเข้าเรียนที่กระโจมห้องเรียนอีก สามารถฝึกฝนด้วยตนเอง ยิ่งไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขาแล้ว

ส่วนอวิ๋นชูเยวี่ย เมิ่งถังก็ได้ยินมาว่าไม่กี่วันก่อนนางก็เพิ่งตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้ พูดถึงเรื่องนี้แม้แต่เมิ่งถังยังต้องทอดถอนใจรัศมีของนางเอกช่างแข็งแกร่งเสียจริง

เดิมทีสติปัญญาของอวิ๋นชูเยวี่ยก็นับว่าใช้ได้ แต่แฟนคลับของนางเอกผู้อ่อนแอเปราะบางจะปล่อยให้นางต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการฝึกฝนวรยุทธ์ได้อย่างไร ดังนั้นหลายวันก่อนตอนนางหลงเข้าไปในลำธารเล็กระหว่างภูเขา จู่ๆ ก็มีผลไม้ลูกกลมๆ กลิ่นหอมแตะจมูกผลหนึ่งร่วงลงมาจากเหนือศีรษะนาง

อวิ๋นชูเยวี่ยจะอย่างไรก็เป็นบุตรสาวเจ้าเมืองชื่อเซียวย่อมมีความรู้อยู่บ้าง ในเวลานั้นก็มองออกว่าผลไม้นี้ก็คือหลิวหมิงกั่วที่หาได้ยากยิ่ง มีสรรพคุณในการช่วยเพิ่มพูนพลังวัตรอย่างมาก จึงรีบเก็บขึ้นมากิน จากนั้นก็โคจรพลังลมปราณไปหนึ่งรอบต้าโจวเทียน* เป็นเหตุให้ตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้เช่นนี้เอง

พูดได้เพียงว่าเอาสินค้ามาเปรียบเทียบกันก็ต้องโยนทิ้ง คนเปรียบคนก็ต้องตาย** นางตื่นเช้านอนดึก ไม่กินไม่นอน มุมานะฝึกฝนอยู่ครึ่งปีถึงได้กล้อมแกล้มตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้ อวิ๋นชูเยวี่ยเดินอยู่ดีๆ ก็ถูกผลไม้เซียนหล่นใส่ศีรษะ บรรลุขั้นนี้ไปได้อย่างง่ายดาย

ทั้งน่าโมโหและน่าเศร้าใจ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่อิจฉาโชควาสนาของผู้อื่นอยู่เงียบๆ

อวิ๋นชูเยวี่ยก็เห็นเมิ่งถังกับมู่หวาฮุยแล้ว หลังจากชะงักไปชั่วขณะ นางก็หันหน้าไปพูดอะไรกับหลิงซิงเหยา

หลิงซิงเหยาย่นหัวคิ้ว มองมาทางพวกนางด้วยสายตาเมินเฉยแวบหนึ่ง สุดท้ายยังคงหมุนตัวเดินมาทางนี้พร้อมกับอวิ๋นชูเยวี่ย

เมิ่งถังแม้จะไม่ได้ยินว่าอวิ๋นชูเยวี่ยพูดอะไร แต่พอจะคาดเดาได้

จะต้องเพราะอวิ๋นชูเยวี่ยเห็นนางกับมู่หวาฮุยจึงคิดจะเข้ามากล่าวทักทายพวกตน แต่หลิงซิงเหยาความสามารถสูงส่งเหนือผู้คนไม่อยากมา ทว่าในที่สุดก็ไม่อาจต้านทานคำพูดนุ่มนวลอ่อนโยนของคนงามได้ จึงเดินมาอย่างไม่เต็มใจ

เมิ่งถังอยากจะกลอกตาสบประมาทใส่หลิงซิงเหยายิ่งนัก

ทำราวกับมีใครไปขอร้องให้ท่านมาทักทายพวกเราเช่นนั้น

เมิ่งถังดึงชายแขนเสื้อมู่หวาฮุยเบาๆ พลางกระซิบบอก “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่หลิงกับศิษย์น้องอวิ๋นอยู่ทางด้านนั้น”

รีบดูสิว่าอวิ๋นชูเยวี่ยกับหลิงซิงเหยาใกล้ชิดสนิทสนมกันเพียงใด!

รีบรู้ให้เร็วหน่อยคนที่อวิ๋นชูเยวี่ยชอบมีเพียงหลิงซิงเหยาคนเดียว!

รีบเข้าใจให้เร็วหน่อยความรักที่ท่านมีต่ออวิ๋นชูเยวี่ยนั้นเป็นความรักที่สิ้นหวัง!

รีบรั้งบังเหียนม้าเมื่อถึงหน้าผา***! เช่นนี้ภายหน้าท่านก็จะไม่ความคิดความหวังพังทลาย คิดแต่จะแสวงหาความตายแล้ว!

มู่หวาฮุยไม่รู้ว่าในใจของเมิ่งถังเขียนคำบรรยายไว้เต็มหน้ากระดาษแล้ว มองนางแวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวหันหน้าไป

หลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ยเดินตรงมาทางพวกเขาแล้ว

สองคนนี้ คนหนึ่งสวมชุดดำ คนหนึ่งสวมชุดสีชมพู คนหนึ่งเคร่งขรึมเย็นชา คนหนึ่งงามเพริศพริ้ง รูปโฉมล้วนเลิศล้ำ ส่วนสูงแตกต่างอย่างพอเหมาะ ดูแล้วเหมาะสมกันอย่างยิ่ง

“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่เมิ่ง” ในมือของอวิ๋นชูเยวี่ยหิ้วโคมกระต่ายที่งดงามอยู่ดวงหนึ่ง แย้มยิ้มอ่อนหวาน “พวกท่านสองคนเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้” น้ำเสียงบริสุทธิ์และไร้เดียงสาดุจแม่หนูน้อย

“ศิษย์น้องหลิง ศิษย์น้องอวิ๋น” มู่หวาฮุยผงกศีรษะน้อยๆ ให้นาง น้ำเสียงแม้จะนุ่มนวล แต่กลับไม่สนิทสนม “ข้ากับศิษย์น้องมาชมโคมไฟ”

พูดตามศักดิ์ฐานะ ในสำนักหมิงหวานอกจากเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสผู้นำสังกัดยอดเขาแต่ละแห่งแล้ว มู่หวาฮุยนับว่ามีความอาวุโสที่สุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีชื่อเสียงในแดนบำเพ็ญเซียนมานาน ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่อวิ๋นชูเยวี่ยเห็นเขาก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเคารพเลื่อมใสขึ้นมาในใจหลายส่วน

เวลานี้ถึงกับได้พูดจากับเขาในระยะใกล้เช่นนี้…ริ้วแดงที่สองข้างแก้มยิ่งชัดเจนขึ้น

เมิ่งถังยืนอยู่ข้างหลังมู่หวาฮุย นางเพิ่งยื่นมือไปหยิบขนมที่ทำจากแป้งกระจับออกมาชิ้นหนึ่ง เวลานี้กำลังกินไปมองอวิ๋นชูเยวี่ยพูดคุยกับมู่หวาฮุยด้วยใบหน้าแดงระเรื่อไป อีกทั้งมองท่าทางของหลิงซิงเหยาที่สองมือไพล่หลัง เม้มปากไม่พูดอะไร แววตาหม่นขรึม

ภาพที่เห็นทั้งหมดนี้เมิ่งถังแสดงท่าทีว่าเข้าใจ

ก่อนหน้าที่ชาติกำเนิดที่แท้จริงของมู่หวาฮุยจะเปิดเผยออกมา ชนรุ่นหลังในแดนบำเพ็ญเซียน หรือคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกันกับเขา เมื่อเห็นเขามีคนใดบ้างไม่เกิดความเคารพเลื่อมใสขึ้นในใจ อวิ๋นชูเยวี่ยมีสภาพจิตใจที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นเด็กหญิงตัวเล็กๆ มีความเคารพเลื่อมใสมาก มีท่าทีเช่นนี้ยามอยู่ต่อหน้ามู่หวาฮุยถือเป็นเรื่องปกติ

ส่วนหลิงซิงเหยา…

ตัดเรื่องความรู้สึกรบกวนในใจที่ว่าเมื่อฟ้าส่งข้าจิวยี่มาเกิดแล้ว เหตุไฉนจึงส่งจูเก่อเลี่ยงมาเกิดด้วย* ออกไปแล้ว ย่อมต้องมีความไม่สบายใจที่เห็นสตรีที่ตนรัก ถึงกับมีท่าทีขวยเขินเอียงอายหน้าแดง พูดจาด้วยน้ำเสียงเลื่อมใสศรัทธาต่อหน้าบุรุษอื่น โดยเฉพาะยังเป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมเลิศล้ำยิ่งกว่าตน

ทว่าหลิงซิงเหยารู้สึกไม่สบายใจ เมิ่งถังกลับสบายใจแล้ว

ฮึ ใครใช้ให้ครั้งก่อนตอนเจอข้าบนท้องถนน ท่านใช้สายตาเหมือนมองอึสุนัขมองข้า

สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องเพิ่งจะปรากฏออกมาก็เห็นหลิงซิงเหยาคนผู้นี้ไม่รู้หันหน้ามาตั้งแต่เมื่อใด สายตากำลังมองมาที่นาง

คิ้วเรียวยาวขมวดมุ่น ท่าทางเบื่อหน่ายรำคาญ

เมิ่งถังเลิกคิ้ว มองตอบเขาด้วยสายตาเช่นมองอึสุนัข

จากนั้นก็เห็นคิ้วเรียวยาวคู่นั้นของหลิงซิงเหยายิ่งขมวดแน่น นางยกมือเอาขนมแป้งกระจับที่เหลืออยู่ในมือยัดเข้าปาก ใบหน้ายิ้มกริ่ม

เจ้าหนู ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก!

มองออกว่าอวิ๋นชูเยวี่ยอยากจะยืนอยู่ที่นี่พูดคุยกับมู่หวาฮุยต่อ แต่ความไม่ชอบใจของหลิงซิงเหยาก็เปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน สุดท้ายอวิ๋นชูเยวี่ยก็พะวงถึงหลิงซิงเหยา จำต้องเอ่ยปากบอกมู่หวาฮุยว่าจะไปเดินเที่ยวเล่นที่ด้านหน้ากับศิษย์พี่หลิงต่อ

มู่หวาฮุยยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า รอพวกเขาสองคนหมุนตัวเดินจากไปแล้ว เขาก็หันหน้ามามองเมิ่งถัง

เมิ่งถังเพิ่งชิมขนมแป้งกระจับหมด ตอนนี้หยิบขนมอบรูปดอกบัวชิ้นหนึ่งออกมากิน เห็นมู่หวาฮุยมองนางก็รีบกลืนขนมรูปดอกบัวในปากลงไป

รีบร้อนกลืนเกินไปจึงติดคอแล้ว

รสชาติของการกินอาหารติดคอช่างทรมาน ดวงหน้างามของเมิ่งถังแดงก่ำ ยกมือขึ้นกำหมัดทุบหน้าอกตนเองไปหลายที แต่ความรู้สึกอัดแน่นไม่สบายขุมนั้นยังคงอยู่ ทั้งยังควบคุมไม่อยู่สะอึกขึ้นมา

มู่หวาฮุยก็ยอมนางแล้วจริงๆ

เห็นอยู่ว่าโตปานนี้แล้วกลับยังเหมือนเด็กเล็กๆ กินขนมก็ยังติดคอได้ ข้างกายไม่มีน้ำไม่มีน้ำชา ได้แต่ยกมือขึ้นตบหลังนางเบาๆ ตบไปไม่กี่ทีก็ถามนาง “รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”

เมิ่งถังสั่นศีรษะ มู่หวาฮุยก็ตบหลังอีกหลายที นางจึงค่อยๆ หายสะอึก

ถ้าเปลี่ยนเป็นสตรีอื่น เวลานี้เกรงว่าคงจะอายมาก แต่เมิ่งถังกลับเห็นว่าไม่มีอะไรต้องอาย

หลังจากคลุกคลีอยู่ด้วยกันมาครึ่งปี นางก็เห็นมู่หวาฮุยเป็นดั่งพี่ชายไปนานแล้ว อยู่ต่อหน้าพี่ชายของตนจะทำเรื่องน่าอายเพียงใดก็ไม่นับว่าขายหน้า ยิ่งไม่ต้องอับอาย

ครั้นแล้วนางก็ยิ้มแป้นพลางกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณศิษย์พี่”

เพียงแต่นางเห็นมู่หวาฮุยเป็นพี่ชาย มู่หวาฮุยกลับประจักษ์ชัดว่าไม่ได้เห็นนางเป็นน้องสาว

มู่หวาฮุยคงจะ…อาจจะ…หรือน่าจะเห็นนางเป็นบุตรสาว

สายตากวาดมองเศษขนมอบที่ร่วงหล่นอยู่บนตัวเสื้อด้านหน้าของเมิ่งถังไปมาหลายครั้ง ในที่สุดมู่หวาฮุยก็อดรนทนไม่ไหว ยกมือขึ้นประกบนิ้วท่องอาคมทำความสะอาดเสื้อ จากนั้นก็บ่นนาง “ตอนกินขนมก็ไม่ระวังเศษขนมอย่าให้หล่นใส่เสื้อผ้า ยังมีมุมปากด้านขวาของเจ้าที่มีเศษขนมติดอยู่ เช็ดออกเอง” ด้วยน้ำเสียงอับจนปัญญา

เมิ่งถังถูกเขาบ่นว่าก็ยังคงยิ้มแย้ม ไม่เก็บมาใส่ใจ “ทราบแล้ว”

ทางหนึ่งก็ยกแขนขึ้นเช็ดเศษขนมที่มุมปากส่งๆ ทางหนึ่งก็ครุ่นคิด เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าโรคเจ้าระเบียบของศิษย์พี่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้น

กำลังจะเอ่ยปากหยอกเย้าสักหลายคำกลับเห็นมู่หวาฮุยจู่ๆ ก็ย่นหัวคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึม

“กลิ่นอายมาร!” ไม่ทันได้อธิบายกับเมิ่งถัง เขาก็เรียกกระบี่อู๋จี๋มา กุมแขนเมิ่งถังดึงนางขึ้นไปบนกระบี่

กระบี่อู๋จี๋จิตใจเชื่อมโยงถึงกันกับเขามานานแล้ว มู่หวาฮุยเกิดความคิดขึ้นในใจ กระบี่เลี้ยวโค้งบนอากาศ จากนั้นก็พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ออกจากเมืองเหิงหยางมาถึงชานเมืองบริเวณนอกป่าสนแห่งหนึ่ง

บนท้องฟ้าหิมะยังไม่หยุดตก รอบด้านปกคลุมไปด้วยสีเงิน ภายใต้แสงหิมะบางเบาเห็นได้ว่าบนพื้นหิมะเบื้องล่างมีรอยเท้ายุ่งเหยิงและคราบโลหิตสดสีแดงหลายรอย เห็นชัดว่าที่นี่เพิ่งเกิดการต่อสู้กัน เกรงว่าจะน่าสังเวชใจอย่างยิ่ง

มู่หวาฮุยหัวคิ้วนัยน์ตาสงบนิ่ง

“ประเดี๋ยวคอยตามข้า อย่าเที่ยวเดินส่งเดช”

หลังจากสั่งกำชับเมิ่งถังเรียบร้อย เขาก็ขี่กระบี่เข้าไปในป่า

หลังจากเมิ่งถังทะลุมิติมาก็อยู่ในสำนักหมิงหวามาตลอดไม่เคยลงจากเขา และไม่เคยผ่านการทดสอบการฝึกฝนเลยสักครั้ง แต่บัดนี้ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ยังไม่รู้ ในใจของนางถึงกับไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย

นางรู้ว่าเป็นเพราะมีมู่หวาฮุยอยู่ที่นี่! มีศิษย์พี่อยู่ก็มีความรู้สึกปลอดภัย!

ยืนอยู่ข้างหลังมู่หวาฮุย ขี่กระบี่ด้วยกันต่อไปอีกระยะหนึ่งก็เห็นในเงาไม้มีเงาร่างคนแวบผ่านไปมาเป็นระยะ ผู้บำเพ็ญเซียนสายตาดีกว่าคนธรรมดา ถึงพลังวัตรของเมิ่งถังเพิ่งจะผ่านขั้นสร้างฐานก็มองเห็นไอสีดำที่อบอวลอยู่รอบบริเวณ

อีกทั้งพวกนางยิ่งขี่กระบี่ลึกเข้าไป ไอดำรอบบริเวณก็ยิ่งเข้มข้น

ครู่หนึ่งกระบี่อู๋จี๋ก็เลี้ยวโค้ง เบื้องหน้าพลันปรากฏเนินเขาแห่งหนึ่งขึ้นมา

ที่ราบบนเนินเขามีป่าไม้ที่เขียวชอุ่มเป็นพุ่มพฤกษ์อยู่ผืนหนึ่ง ทว่ายามนี้มีต้นไม้จำนวนมากเหมือนไหม้เกรียมล้มระเนระนาดอยู่บนพื้น ที่ยังไม่ล้มลงมา ลำต้นกิ่งใบก็ถูกไอดำกัดกร่อนจนกลายเป็นสีดำเกรียมไปหมด

มู่หวาฮุยมองไอดำรอบบริเวณที่หนาข้นดุจดินเลนในห้วยหนอง คิ้วเรียวยาวชวนมองคู่นั้นขยับเข้าหากัน

จากนั้นเขาก็เอียงศีรษะมา ยกมือขวาขึ้น นิ้วมือเรียวยาววาดยันต์ชำระใจขึ้นมาในอากาศแล้วซัดเข้าไปที่หว่างคิ้วของเมิ่งถัง

เพราะไอมารที่เข้มข้นเมื่อครู่ ปราณวิเศษในร่างเมิ่งถังจึงพลุ่งพล่านไปทั่วมือเท้าทั้งสี่รวมทั้งกระดูกทั้งหมด ส่งผลให้สติสัมปชัญญะของนางออกจะไม่มั่นคง เมื่ออาคมชำระใจเข้าสู่ร่างพลันเหมือนมีสายลมเย็นพัดผ่าน เมฆดำเต็มท้องฟ้าสลายไปหมด เผยท้องฟ้าแจ่มใสที่อยู่ด้านหลังออกมา

เห็นแววตาของนางกลับมาใสกระจ่างดังเดิม มู่หวาฮุยมือหนึ่งกุมกระบี่อู๋จี๋ มือหนึ่งโอบเอวบางของเมิ่งถังไว้เบาๆ เหินทะยานไปทางเนินเขาอย่างนุ่มนวลดุจใบไม้ร่วงหล่น

บนเนินเขาเป็นจุดที่ไอดำเข้มข้นที่สุด ประหนึ่งถ้ำที่ดำมืด เพียงพอที่จะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบด้าน แต่ในไอดำเข้มข้นนั่นเห็นชัดว่ามีเงาร่างคนหลายสายกำลังต่อสู้กันอยู่ บางครั้งมีประกายกระบี่วาบขึ้น ปราณวิเศษที่ปรากฏดูปกติน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเช่นกัน

สหายร่วมบำเพ็ญเซียนมีภัยย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย อีกทั้งพวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเดิมก็แบกรับหน้าที่ในการขจัดมารผดุงคุณธรรม ไหนเลยจะมีเหตุผลที่เจอมารอสูรก็หมุนตัวจากไป

 

* ฉีดเลือดไก่ เป็นสำนวน หมายถึงคึกคักกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที มีที่มาจากในช่วงปี ค.ศ. 1980 ในประเทศจีนมีวิธีการดูแลสุขภาพด้วยการฉีดเลือดไก่ โดยเอาเลือดจากไก่ตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีมาฉีดให้คน คนที่ฉีดเลือดไก่จะหน้าแดง คึกคักกระฉับกระเฉง แต่ความจริงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกหลักวิทยาศาสตร์และมีอันตราย ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเป็นอาการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมของร่างกายและมีอันตรายอย่างมาก ภายหลังได้เลิกไป แต่คำพูดนี้ยังใช้กันอยู่

* ชีเป่า หมายถึงเจ็ดสิ่งล้ำค่า ได้แก่ ทอง เงิน อำพัน ปะการัง หอย โมรา และไพฑูรย์ ชาวจีนมีความเชื่อว่าการได้มาซึ่งสิ่งล้ำค่าทั้งเจ็ดนี้จะนำความสงบสุขมาสู่ผู้คน

* ผลอิงเถา คือเชอรี่

* เขาไท่ซาน เป็นหนึ่งในห้าขุนเขาสำคัญของจีน ตั้งอยู่ในมณฑลซานตง เป็นขุนเขาที่ยิ่งใหญ่และงดงาม

* การโคจรพลังลมปราณ แบ่งเป็นเสี่ยวโจวเทียนกับต้าโจวเทียน เสี่ยวโจวเทียนจะเริ่มจากจุดตันเถียนที่อยู่บริเวณใต้สะดือไปยังเส้นลมปราณเยิ่นม่ายและตูม่าย ส่วนต้าโจวเทียนจะเริ่มจากจุดตันเถียนไปยังเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดและเส้นลมปราณหลักทั้งสิบสองเส้นหมุนเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย

** เอาสินค้ามาเปรียบเทียบกันก็ต้องโยนทิ้ง คนเปรียบคนก็ต้องตาย เป็นสำนวน หมายถึงให้พอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่หลับหูหลับตาเปรียบเทียบกับผู้อื่น เอาสิ่งของมาเปรียบเทียบกันสิ่งของที่ด้อยกว่าย่อมต้องโยนทิ้ง คนเปรียบเทียบกัน คนที่ยากจนลำบากยากแค้นย่อมยากจะมีชีวิตอยู่ได้

*** รั้งบังเหียนม้าเมื่อถึงหน้าผา หมายถึงได้สติกลับตัวทันเมื่อเผชิญอันตราย เช่นเดียวกับการดึงบังเหียนหยุดม้าตรงริมขอบผาชันได้ทันท่วงที

* ฟ้าส่งข้าจิวยี่มาเกิดแล้ว เหตุไฉนจึงส่งจูเก่อเลี่ยงมาเกิดด้วย เป็นคำพูดตัดพ้อสวรรค์ก่อนตายของจิวยี่ในเรื่องสามก๊ก จิวยี่เป็นผู้มีความรู้แตกฉานทั้งการทหารและศิลปะแขนงต่างๆ เป็นคู่ปรับของจูเก่อเลี่ยงหรือขงเบ้ง แต่มักพ่ายแพ้ให้กับขงเบ้งอยู่ตลอดจึงมีความริษยาและแค้นใจ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: