บทที่ 9
ตัวของมู่หวาฮุยยังอยู่กลางอากาศก็เห็นสถานการณ์การต่อสู้ที่ด้านล่างอย่างชัดเจนแล้ว
เขารวบรวมปราณวิเศษไว้ที่กระบี่ วาดผ่านอากาศจากบนลงล่าง มารอสูรสามตนที่มีพลังวัตรสูงสุดถูกฟาดใส่ทันที หมอกโลหิตสีแดงเข้มแตกกระจายออกมา มู่หวาฮุยโอบร่างเมิ่งถังลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวลดุจปุยหิมะ
ปราณวิเศษของมู่หวาฮุยยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม เมื่อครู่ตอนพาเมิ่งถังขี่กระบี่เข้ามาถึงกับไม่มีมนุษย์และไม่มีมารสังเกตเห็น จู่ๆ เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ มนุษย์และมารที่กำลังต่อสู้กันอยู่ต่างตะลึงงัน พากันหยุดใช้อาวุธในมือ หันหน้ามองมา
ก็เห็นบุรุษหล่อเหลาสง่างามดุจหยกผู้หนึ่งกับหญิงสาวงามเพริศพริ้งอรชรผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาราวกับตกมาจากฟากฟ้า ในมือบุรุษผู้นั้นกุมกระบี่ยาวไอกระบี่เย็นยะเยือกยังคงอยู่คล้ายว่าพริบตาถัดมาก็จะกวัดแกว่งมาที่พวกเขา…
บุรุษผู้นี้เป็นใครกัน ถึงกับแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ กระบี่เดียวก็สังหารมารอสูรไปสามตน ทั้งยังเป็นผู้ที่มีพลังมารขั้นสูงสุดในหมู่มารเหล่านี้
เหล่ามารที่เหลืออยู่ในใจล้วนเกิดความหวาดกลัว กระทั่งมีสองตนที่ถอยหลังไปเงียบๆ
ส่วนหลายคนที่สวมชุดสีครามต่างมีสีหน้าดีใจ
เดิมคิดว่าถูกเหล่ามารโอบล้อมโจมตี พวกตนคงต้องสิ้นชื่ออยู่ที่นี่แน่แล้ว คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีคนลงจากฟากฟ้ามาช่วยเหลือ แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่กระบี่พร้อมปราณวิเศษเมื่อครู่ก่อนบริสุทธิ์เพียงนั้นจะต้องเป็นศิษย์สำนักบำเพ็ญเซียนที่ใดสักแห่งเป็นแน่ มีคนผู้นี้อยู่คิดว่าวันนี้ชีวิตของพวกตนคงไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว
กระทั่งเป็นไปได้ว่าพวกตนคงไม่ต้องลงมือแล้ว
เพราะเพียงกระบี่เดียวเมื่อครู่ของคนผู้นี้ก็จัดการมารอสูรสามตนที่ร้ายกาจที่สุดไปได้ มารที่เหลืออยู่เหล่านี้ แม้จะมีจำนวนมาก แต่เกรงว่าเขากวัดแกว่งกระบี่ไม่กี่ครั้งก็คงจัดการได้ทั้งหมด
เหนือความคาดหมายหลังจากลงสู่พื้นแล้ว มู่หวาฮุยกลับไม่มีท่าทีจะลงมืออีก หากแต่พลิกฝ่ามือโยนกระบี่อู๋จี๋ให้เมิ่งถัง มือข้างหนึ่งไพล่หลังเหมือนไม่มีอะไร
“ศิษย์น้อง มารอสูรที่เหลือมอบให้เจ้า”
การคลุกคลีอยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำมาครึ่งปีเพียงพอให้เมิ่งถังเข้าใจมู่หวาฮุยแล้ว
คิดดูแล้วเมื่อครู่ที่พอมาถึงก็จัดการมารอสูรสามตนที่ลำดับขั้นร้ายกาจที่สุดไปในกระบี่เดียว แต่เหลือมารอื่นๆ ไว้ คงเพราะต้องการจะทิ้งมารอสูรกลุ่มนี้ให้นางได้ทดสอบฝีมือ
อย่าเห็นว่าเวลานี้เมิ่งถังผ่านขั้นสร้างฐานแล้ว มู่หวาฮุยเองก็ทดสอบฝีมือนางอยู่เสมอ แต่นางยังไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ที่แท้จริงแม้แต่น้อย บัดนี้จู่ๆ ได้รับโอกาสเช่นนี้ นางกลับไม่ค่อยกลัว แต่ยังคงมีความลังเลเล็กน้อย
ศิษย์พี่ไม่รู้ แต่นางรู้อย่างกระจ่างแจ้ง บิดาผู้ให้กำเนิดของศิษย์พี่เป็นอดีตรัชทายาทเผ่ามาร อีกทั้งศิษย์พี่ยังเป็นเผ่าพันธุ์มารโดยกำเนิด ทว่าถูกมารดาผู้ให้กำเนิดผนึกกระดูกมารเอาไว้ เรื่องนี้จึงไม่มีผู้ใดรู้มาก่อน
มารอสูรที่อยู่เบื้องหน้าเหล่านี้ พูดขึ้นมาแล้วความจริงก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับศิษย์พี่…
ในชั่วขณะที่นางลังเลอยู่นั่นเอง จู่ๆ ก็มีมารตนหนึ่งหมุนตัวจะหลบหนี ศิษย์หญิงอายุน้อยที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งเห็นแล้ว รีบขยับกระบี่เข้าไปขวาง
กลับถูกมารตนนั้นใช้ลูกตุ้มดาวตกในมือที่หนักเกินร้อยชั่ง โจมตีเข้าที่หน้าอกอย่างแม่นยำ
ศิษย์หญิงผู้นั้นร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างของนางปลิวไปกระแทกกับผาหินที่อยู่ด้านข้างราวกับว่าวกระดาษที่ขาดลอยในทันที
เมิ่งถังเห็นแล้ว ความลังเลในใจก็ไม่มีอีก
นางรู้สิ่งมีชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน ไม่ว่ามนุษย์หรือมารล้วนแบ่งเป็นดีชั่ว แต่มารรูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้เห็นชัดว่าล้วนยังไม่เปิดปัญญา รู้จักแต่เข่นฆ่าสังหารอย่างเหี้ยมโหด
ไม่มีใครมีสิทธิ์ช่วงชิงชีวิตผู้อื่นโดยไม่มีสาเหตุ ในเมื่อเป็นเช่นนี้มารเหล่านี้ย่อมสมควรตาย
นางรับกระบี่มากุมไว้ในมือ จากนั้นสูดลมหายใจเข้าแล้วทะยานขึ้น โผลงไปที่กลางฝูงมารด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วว่องไวขึ้นดุจกระต่ายลงดั่งเหยี่ยวโฉบ
มู่หวาฮุยเดิมทียังห่วงว่าเมิ่งถังทำศึกจริงเป็นครั้งแรกจะรู้สึกกลัว สายตาไล่ตามนางไปตลอดเวลา
คิดไม่ถึงว่าใบหน้าของศิษย์น้องดูแล้วไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ขณะเคลื่อนไหวขยับมือขึ้นลง ท่วงท่าคล่องแคล่วสง่างามยิ่ง กวัดแกว่งกระบี่อู๋จี๋เป็นประกายสว่างสดใสดุจหิมะ ประกายกระบี่วาดผ่านไปทางใด เหล่ามารอสูรต่างไม่อาจต้านได้
รอจนร่างใหญ่โตมหึมาของมารอสูรตัวสุดท้ายล้มตึงลงกับพื้น เมิ่งถังถือกระบี่ยืนอยู่กับที่ ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า เมื่อครู่ตลอดเวลาในใจของนางไม่มีความหวาดกลัวจริง เพราะนางรู้มีมู่หวาฮุยอยู่ เขาไม่มีทางปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับนาง
แต่จะอย่างไรนี่ก็เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตครั้งแรกของนาง ถึงพวกนี้จะเป็นเพียงมารอสูรชั้นต่ำก็ตาม…
ขณะงงงวยทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นจากไกลเข้ามาใกล้
ในสายตาที่หลุบต่ำเห็นชายเสื้อสีขาวแถบหนึ่ง หยกประดับสีเขียวเข้มผูกอยู่กับเส้นไหมฟั่นเกลียวที่ห้อยอยู่ตรงช่วงเอว
มือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อกระชับด้ามกระบี่ นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ
ไอมารดำมืดที่อยู่บริเวณรอบๆ สลายไปแล้ว ประกายหิมะสีขาวเพียงพอที่จะส่องสว่างทั่วบริเวณ
มู่หวาฮุยเห็นใบหน้าน้อยๆ ของเมิ่งถังซีดเผือด หน้าผากมีเหงื่อเย็นซึมออกมา แก้มขวายังมีโลหิตสีแดงอมดำหยดหนึ่งกระเซ็นมาติดอยู่
มู่หวาฮุยแม้จะรักสะอาด แต่ยังคงยื่นชายแขนเสื้อมาเช็ดโลหิตหยดนั้นออกไป
“เจ้าทำได้ดีมาก” เอ่ยพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะเมิ่งถังเบาๆ มู่หวาฮุยปลอบขวัญนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนนิ่งไปชั่วขณะ แล้วถามนาง “อยากได้อะไรเป็นรางวัล”
แต่ก่อนมู่หวาฮุยไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่อศิษย์น้องที่อายุน้อยกว่าตนมากคนนี้อย่างไร ต่อมาเห็นบิดามารดาคู่หนึ่งในแดนมนุษย์เอาอกเอาใจลูกของตน ร้องไห้แล้วก็ซื้อของขวัญให้ ทำดีก็ให้รางวัล ลูกก็ดีอกดีใจ
เขาก็รู้สึกว่าปฏิบัติต่อศิษย์น้องเช่นนี้ดีมาก
เพียงแต่เมื่อก่อนไม่ว่าเขาให้ของขวัญอะไรแก่ศิษย์น้อง ศิษย์น้องก็เอาแต่เฉยเมย ท่าทางเศร้าสร้อยไม่มีความสุข แต่พักหลังมานี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ต่อให้เขาเพียงมอบใบไม้ใบหนึ่งที่เก็บมาจากข้างทางให้ศิษย์น้อง ศิษย์น้องก็จะรับไปด้วยความดีอกดีใจ จากนั้นก็แย้มยิ้มจนนัยน์ตาเป็นรูปโค้งพลางขอบคุณเขา
ทุกครั้งในเวลาเช่นนั้น มู่หวาฮุยก็จะรู้สึกอ่อนละมุนในใจ ด้วยเหตุนี้ระยะหลังมานี้เขาจึงชอบที่จะมอบของขวัญให้เมิ่งถังอย่างมาก
แต่เมื่อครู่เมิ่งถังทำได้ดีมากจริงๆ สมควรได้รับรางวัล นอกจากนี้เห็นชัดว่านางดูจะได้รับความตื่นตระหนกแล้ว
บนร่างของมู่หวาฮุยมีกลิ่นอายชวนพิสมัยอย่างหนึ่ง คล้ายกลิ่นสนหิมะในค่ำคืนที่มีหิมะ เย็นสดชื่นแต่ไม่หนาวยะเยือก เมิ่งถังชอบมาก
เวลานี้มู่หวาฮุยก็ยืนอยู่เบื้องหน้านาง มือของเขาวางอยู่บนเส้นผมของนาง กลิ่นคาวโลหิตทั่วบริเวณคล้ายถูกกลิ่นอายบนร่างของเขาทำให้จางไป ร่างที่ตึงเครียดแข็งขึงของนางก็คล้ายค่อยๆ ผ่อนคลายตามไปด้วย
“รางวัล” นางมองมู่หวาฮุย เอียงศีรษะน้อยๆ น้ำเสียงดูลังเล
“ใช่ รางวัล” เสียงของมู่หวาฮุยยิ่งนุ่มนวลมากขึ้น ในดวงตาดำสนิทลึกล้ำคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนละมุนละไม “ครั้งนี้ไม่ว่าเจ้าอยากได้สิ่งใดเป็นรางวัล ศิษย์พี่ก็จะไปหามาให้เจ้า”
นับวันศิษย์พี่ยิ่งดีต่อนางมากขึ้น
ทว่าในแหวนเก็บทรัพย์ของนางมีของขวัญที่ศิษย์พี่มอบให้มากมายแล้ว ไม่ว่าอะไรก็มี พูดได้ว่าเวลานี้สิ่งใดนางก็ไม่ขาดแคลน
ถ้าจะบอกว่ามีของอะไรที่นางอยากได้เป็นพิเศษ…
เมิ่งถังเงยหน้า ใบหน้าน้อยๆ ที่ยังคงซีดขาวเต็มไปด้วยความจริงจัง
“ศิษย์พี่ ครั้งนี้ข้าไม่อยากได้รางวัล ข้าต้องการคำมั่นสัญญาจากท่าน ท่านจะรับปากข้าได้หรือไม่”
มู่หวาฮุยไม่เคยเห็นนางมีสีหน้าเช่นนี้มาก่อน ในใจอดรู้สึกประหวั่นไม่ได้
“คำมั่นสัญญาอันใด”
เมิ่งถังกำลังจะเอ่ยปาก พลันได้ยินเสียงแหวกอากาศดังขึ้น มองตามเสียงไปก็เห็นคนสองคนกำลังขี่กระบี่เร่งรุดมาทางด้านนี้
หลังจากเห็นชัดว่าคนทั้งสองคือใคร เมิ่งถังก็ไม่รู้ควรพูดว่าช่างบังเอิญ หรือควรจะบอกว่าเป็นวิญญาณที่ตามติดไม่เลิกดี
เพราะคนสองคนที่มาก็คือหลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ยที่นางไม่อยากพบเจอ
หลิงซิงเหยายังคงวางท่าหยิ่งผยอง หน้าตาเหมือนคนทั้งโลกติดค้างเงินเขาอยู่เช่นนั้น ส่วนอวิ๋นชูเยวี่ยหลังจากลงสู่พื้นเห็นสภาพการต่อสู้นองโลหิตบนพื้นเต็มไปด้วยร่างที่แขนขาด ขาขาด ไร้ศีรษะ ใบหน้างามก็ถอดสีทันที ก้มเอวลงโก่งคอขย้อน ย่อมไม่มีอะไรออกมา หลังจากหายจากอาการคลื่นไส้ นางก็เอ่ยถามด้วยใบหน้าซีดขาว เสียงสั่น “ศิษย์…ศิษย์พี่ใหญ่ นี่…นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใด…เหตุใดจึงมีโลหิตเต็มพื้นไปหมด”
พลันเห็นในมือเมิ่งถังยังกุมกระบี่อู๋จี๋อยู่ บนตัวกระบี่ที่ขาวดุจหิมะยังมีคราบโลหิตสีแดงฉานติดอยู่
กระทั่งยังมีคราบโลหิตที่ยังไม่แห้งหยดหนึ่งไหลลงมาตามปลายกระบี่และหยดลงพื้น
“ศิษย์พี่เมิ่ง นี่ เหล่านี้ท่านล้วนเป็นคนสังหารหรือ”
พูดจบนางก็ยกมือขึ้นอุดปาก สองตาเบิกกว้าง ถอยหลังไปสองก้าว มองเมิ่งถังด้วยสีหน้าหวาดผวา
เมิ่งถังคิด เข้าใจได้ ตั้งแต่เล็กนางก็ถูกคนประคับประคองไว้ในฝ่ามือเลี้ยงดูอย่างพะเน้าพะนอจนเติบใหญ่ ไม่เคยเห็นภาพที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตเช่นนี้ ไม่อาจยอมรับได้ในเวลาอันสั้น รู้สึกหวาดกลัวก็เป็นเรื่องปกติ แต่ขอร้องล่ะ เจ้าอย่าได้ใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับข้าจะได้หรือไม่ อีกอย่างอย่าใช้สายตาเช่นนั้นมองข้า
ทำเอาข้าเหมือนเป็นจอมวิปริตที่สังหารคนอย่างบ้าคลั่งเช่นนั้น
เมิ่งถังไม่สนใจนาง และไม่ได้อธิบายอะไรกับอีกฝ่าย จะเข้าใจผิดก็เข้าใจผิดเถิด นางไม่ใส่ใจ
นางก้มหน้า ยกมือสะบัดกระบี่อู๋จี๋ สะบัดให้คราบโลหิตที่ติดอยู่บนตัวกระบี่หลุดออกไป
ครั้นนึกได้ว่ามู่หวาฮุยรักสะอาด จึงย่อตัวลงคว้าหิมะที่สะอาดบนพื้นขึ้นมากำหนึ่งแล้วเช็ดไปที่ตัวกระบี่หลายครั้ง
กระบี่อู๋จี๋ที่เมื่อครู่ถูกบังคับให้ต้องเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตของมารอสูร มาบัดนี้ยังมาถูกหิมะที่เย็นยะเยือกเช็ดถูไปมาอีก…
นายท่านออกจะเกินไปแล้ว!
มันเป็นกระบี่คู่กายของนายท่านชัดๆ ปกติเวลาขี่กระบี่เหาะไปมาชอบพาเมิ่งถังไปด้วย ให้นางยืนอยู่บนตัวกระบี่ของตนก็แล้วไปเถิด เมื่อครู่เพราะเหตุใดนายท่านจึงโยนมันให้เมิ่งถังใช้อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แต่มันถูกนายท่านควบคุมไว้ คิดจะทักท้วงก็ทำไม่ได้
ประเด็นสำคัญก็คือให้เมิ่งถังใช้แล้วก็ใช้ไป แต่ช่วงเวลาหลายปีที่มันอยู่กับมู่หวาฮุยมา มู่หวาฮุยจะกรอกปราณวิเศษไว้บนตัวกระบี่ของมัน จากนั้นเพียงกวัดแกว่งก็จะมีไอกระบี่ คมกระบี่ มันไม่เคยต้องสัมผัสศัตรูในระยะใกล้เลย
แต่เมื่อครู่…
ดูเหมือนจนถึงตอนนี้มันก็ยังรู้สึกได้ถึงความเหนียวหนืดตอนที่ตัวของมันแทงเข้าไปในเนื้อ
ไม่ได้ คราวหน้าถ้านายท่านยังเอามันให้เมิ่งถังยืมสังหารศัตรูอีก มันจะต้องประท้วงไม่ทำตามเด็ดขาด
เมิ่งถังเช็ดล้างกระบี่อู๋จี๋อย่างละเอียดจนสะอาด จากนั้นก็ส่งคืนให้มู่หวาฮุย
มู่หวาฮุยกับอู๋จี๋จิตใจเชื่อมโยงถึงกัน มีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจมันคิดเช่นไร
หลุบตาลงกวาดมองอู๋จี๋แวบหนึ่ง พลันเกิดพลังคุกคามขึ้น
อู๋จี๋ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันที จากนั้นก็เริ่มประนีประนอมอ่อนข้อให้เงียบๆ
อืม หาไม่คราวหน้าถ้านายท่านเอามันให้เมิ่งถังยืมสังหารศัตรูอีกก็เชื่อฟังแต่โดยดีเถิด
เพียงหวังว่าเมิ่งถังจะพลังวัตรเพิ่มพูนโดยเร็ว สามารถสร้างไอกระบี่ คมกระบี่เช่นนายท่านได้จึงจะดี
บทที่ 10
มู่หวาฮุยยื่นมือมารับกระบี่อู๋จี๋ ตอนเผชิญหน้ากับอวิ๋นชูเยวี่ย เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไร เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ที่แท้แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น
ดังนั้นจึงเพียงผงกศีรษะให้หลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ย เอ่ยทักทายว่า ‘ศิษย์น้องหลิง ศิษย์น้องอวิ๋น’
ยามนี้ผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติหลายคนนั้นได้เดินมาทางมู่หวาฮุยกับเมิ่งถังแล้ว คนที่เดินนำหน้าเป็นหญิงสาวสวมเสื้อผ้าแพรบางสีคราม
หลังการต่อสู้อย่างทรหด แขนเสื้อและชายกระโปรงของหญิงสาวผู้นี้ฉีกขาดหลายส่วน เส้นผมของนางยุ่งเหยิง หน้าผากก็มีคราบโลหิต แต่ยังคงมองออกถึงองคาพยพทั้งห้าที่หมดจดงดงามของนาง กลิ่นอายทั่วร่างก็ดูละมุนละไมสุภาพนุ่มนวลยิ่ง
นางค้อมตัวคารวะมู่หวาฮุยกับเมิ่งถังอย่างเต็มรูปแบบ แล้วบอกให้ทราบถึงวงศ์ตระกูลของตน
“ข้าน้อยโจวอิ้งเสวี่ย ขอบคุณคุณชายและแม่นางที่ให้ความช่วยเหลือ บุญคุณอันใหญ่หลวงชั่วชีวิตไม่มีวันลืมเลือน ขอบังอาจถามนามอันสูงส่งของผู้มีพระคุณทั้งสอง มาจากสำนักใดหรือ ข้าน้อยจะได้จดจารไว้ในใจ ระลึกถึงทุกวันคืน”
เมิ่งถังได้ยินชื่อสกุลของนางก็อดมองดูอีกฝ่ายอย่างละเอียดไม่ได้
เส้นทางความรักชายหญิงในหนังสือนิยาย นางอ่านแล้วเบื่อมาก กระทั่งรู้สึกเหนือความคาดหมาย ความเข้าใจผิดเรื่องหนึ่งต่อด้วยความเข้าใจผิดอีกเรื่องหนึ่ง แง่งอนเรื่องนี้ต่อด้วยแง่งอนเรื่องนั้น ด้วยเหตุนี้ตรงส่วนที่เกี่ยวกับเส้นทางความรักชายหญิงนางจึงอ่านข้ามไปหมด
แต่เรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการที่นางจะรู้ว่าในหนังสือมีตัวประกอบหญิงที่ชื่อโจวอิ้งเสวี่ยอยู่คนหนึ่ง
ความจริงแล้วโจวอิ้งเสวี่ยผู้นี้มีฐานะใกล้เคียงกับอวิ๋นชูเยวี่ย เป็นบุตรสาวของเจ้าเมืองเหิงหยาง
กระทั่งสาเหตุที่นางมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อหลิงซิงเหยาก็ใกล้เคียงกับอวิ๋นชูเยวี่ยคือเพราะหลิงซิงเหยาเป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม
แต่จุดจบของทั้งสองคนกลับต่างกันมาก
คนหนึ่งได้แต่งงานกับชายคนรัก อยู่อย่างมีความสุขไปชั่วชีวิต คนหนึ่งกลับได้แต่แอบชอบหลิงซิงเหยามาโดยตลอด ภายหลังอวิ๋นชูเยวี่ยถูกจับตัวไป โจวอิ้งเสวี่ยไม่อาจทนเห็นหลิงซิงเหยาร้อนใจเป็นทุกข์ได้ ถึงกับตัดสินใจใช้ชีวิตของตนไปแลกกับชีวิตของอวิ๋นชูเยวี่ย ต้องพบกับจุดจบที่วิญญาณแตกดับ ไม่อาจกลับมาเกิดใหม่ได้อีก
เมิ่งถังมองโจวอิ้งเสวี่ย มองมู่หวาฮุย แล้วนึกถึงเจ้าของร่างเดิมของตน
อืม ดียิ่ง จุดจบของพวกเขาสามคน ตัวประกอบที่ล้วนวิญญาณแตกสลาย ยามนี้มารวมกันพร้อมหน้าแล้ว เมื่อคิดเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจโจวอิ้งเสวี่ยในฐานะผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน
“พี่โจว ยินดีที่ได้รู้จัก” เมิ่งถังยิ้มอ่อนหวาน “ข้าชื่อเมิ่งถัง นี่คือศิษย์พี่ของข้า มู่หวาฮุย”
สำนักใดก็ไม่ต้องบอกแล้ว บรรพบุรุษของเจ้าเมืองเหิงหยางคนปัจจุบันก็เป็นศิษย์สำนักบำเพ็ญเซียน มีความเกี่ยวพันกับแดนบำเพ็ญเซียนอยู่บ้าง ในฐานะบุตรสาวเจ้าเมืองเป็นไปไม่ได้ที่โจวอิ้งเสวี่ยจะไม่เคยได้ยินชื่อของมู่หวาฮุย
ถ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ไม่เป็นไร สิบก้าวสังหารหนึ่งคน ในระยะพันหลี่* ไม่มีใครต้านทานได้ เสร็จเรื่องตวัดชายแขนเสื้อจากไป ปิดบังชื่อและฐานะ เท่านี้ก็ให้นางมีโอกาสได้แสร้งทำตนดูดีต่อหน้าผู้คนแล้ว
ส่วนหลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ย โดยเฉพาะหลิงซิงเหยา เมิ่งถังไม่คิดจะแนะนำต่อโจวอิ้งเสวี่ย
โจวอิ้งเสวี่ยเป็นบุตรสาวเจ้าเมือง เดิมก็ใช้ชีวิตของตนอยู่ดีๆ ด้วยรูปโฉมและอุปนิสัยของนาง วันหน้าย่อมได้แต่งสามีที่เหมาะสมคู่ควรกัน รักใคร่ปรองดอง อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไปตลอดชีวิต แต่เพราะมาหลงรักหลิงซิงเหยา สุดท้ายถึงกับมีจุดจบที่น่าเวทนาเช่นนั้น
ดังนั้นโจวอิ้งเสวี่ยยังคงอย่ารู้จักหลิงซิงเหยาจะดีกว่า
ไม่ผิดจากที่คิดโจวอิ้งเสวี่ยเคยได้ยินชื่อมู่หวาฮุยมาก่อน รีบคารวะอีกครั้ง
“ที่แท้ก็เป็นลูกศิษย์ผู้เก่งกล้าทั้งสองของท่านเจ้าสำนักเมิ่งแห่งสำนักหมิงหวา! นามของท่านทั้งสองดังก้องหูดุจเสียงฟ้าร้อง วันนี้ได้พบนับเป็นบุญวาสนาที่อิ้งเสวี่ยสั่งสมมาสามชาติ”
เมิ่งถังใจคิด ลูกศิษย์ผู้เก่งกล้าของท่านเจ้าสำนักคือศิษย์พี่ ที่ดังก้องหูท่านดุจเสียงฟ้าร้องก็คือศิษย์พี่ ข้าเป็นเพียงช่ายจี** วันนี้เพียงเพราะอาศัยบารมีของศิษย์พี่ถึงได้ถูกท่านมองอย่างยกย่อง
แต่โจวอิ้งเสวี่ยหาได้คิดเช่นนั้นไม่
เมื่อครู่กระบี่เดียวของมู่หวาฮุยสะท้านสะเทือนจิตใจนางจริง ทำให้นางประหลาดใจ แต่เมิ่งถังเคลื่อนไหวกระโดดขึ้นลงสังหารมารอสูรที่เหลือทั้งหมดก็เป็นความจริง
ในใจทั้งซาบซึ้งและเลื่อมใสศรัทธาพวกเขาทั้งสองคน จึงบอกถึงฐานะความเป็นมาของตนอย่างละเอียด แล้วเรียกกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังนางเข้ามาคารวะมู่หวาฮุยกับเมิ่งถัง
กับหลิงซิงเหยาและอวิ๋นชูเยวี่ย แม้เมื่อครู่เมิ่งถังจะเอ่ยถึงบอกว่าสองท่านนี้ก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักหมิงหวาของนาง แต่จะอย่างไรทั้งสองคนก็มาช้าแล้ว ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้เมื่อครู่ช่วยชีวิตพวกนางไว้ ด้วยเหตุนี้แม้โจวอิ้งเสวี่ยจะพูดจาเกรงอกเกรงใจพวกเขาสองคน แต่ไม่ว่าอย่างไรย่อมเทียบไม่ได้กับมู่หวาฮุยและเมิ่งถัง
ตามคำอธิบายของโจวอิ้งเสวี่ย มู่หวาฮุยกับเมิ่งถังจึงได้รู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ
ที่แท้บรรพบุรุษของสกุลโจวมีบรรพชนท่านหนึ่งได้เข้าเป็นศิษย์สำนักบำเพ็ญเซียนแห่งหนึ่ง ยังฝึกฝนจนเป็นผู้ฝึกวิชาหลอมโอสถที่ฝีมือร้ายกาจยิ่ง
วันหนึ่งเซียนท่านนี้บังเอิญไปได้หญ้าวิเศษที่เคยแต่ได้ยินคนเล่าลือสืบต่อกันมาต้นหนึ่ง และนำมาผสมกับบุปผาวิเศษ หญ้าวิเศษล้ำค่าต่างๆ เข้าไปหลอมออกมาเป็นยาวิเศษห้าเม็ด
ยาวิเศษนี้มีความยอดเยี่ยมมหัศจรรย์ยิ่ง ผู้ฝึกวิชาส่วนใหญ่มักเจอปัญหาคอขวด* เมื่อผ่านไปได้พลังวัตรก็จะก้าวรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง ผ่านไม่ได้ก็จะเกิดความเสื่อมห้าอย่างของเทพเซียน** และเป็นเช่นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปที่ค่อยๆ เดินเข้าหาความตาย
กล่าวกันว่ายาวิเศษนี้สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนทะลวงผ่านปัญหาคอขวดไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญเซียน ของเล่นชิ้นนี้เปรียบกับพวกโสมเอยหลิงจือเอยยังล้ำค่ากว่ามาก
เวลาผ่านไปนับพันปี ยาวิเศษห้าเม็ดนี้บ้างก็ถูกมอบให้ผู้อื่น บ้างก็ถูกขาย บ้างก็ถูกคนในสกุลโจวใช้ไป ถึงตอนนี้ก็เหลืออยู่เพียงเม็ดเดียวแล้ว
สกุลโจวย่อมเห็นยาวิเศษเม็ดสุดท้ายเม็ดนี้เป็นสิ่งล้ำค่า ไม่เพียงมีคนเฝ้ายามที่นอกห้องลับจำนวนมาก พวกเขายังเปลี่ยนห้องลับที่เก็บยาวิเศษอยู่เสมอ
คิดไม่ถึงว่าคืนนี้ถึงกับมีคนมาขโมย เห็นว่าขโมยไม่สำเร็จถึงกับแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งยังช่วงชิงไปได้สำเร็จ
นี่จะได้อย่างไร เจ้าเมืองสั่งคนให้รีบตามสกัดและสังหารผู้มาช่วงชิง โจวอิ้งเสวี่ยพาคนไล่ตามมาตลอดทางจนถึงที่นี่ก็เจอมารอสูรกลุ่มนี้เข้า พวกนางสู้ไม่ได้ บาดเจ็บล้มตายไปหลายสิบคน ถ้าไม่ใช่มู่หวาฮุยกับเมิ่งถังเร่งรุดมาถึง เกรงว่าพวกนางหลายคนที่เหลืออยู่คงต้องตายอยู่ที่นี่
“ดังนั้นความจริงแล้วพวกที่ขโมยยาวิเศษเม็ดนั้นไปไม่ใช่มารอสูรเหล่านี้” เมิ่งถังถามแทรกขึ้น
“ใช่” โจวอิ้งเสวี่ยพยักหน้า “แต่พวกที่ขโมยยาวิเศษต้องเป็นคนของเผ่ามารแน่นอน” น้ำเสียงยืนยันหนักแน่น
เมิ่งถังก็คิดเช่นนั้น
มีมารเข้าเมืองเหิงหยางไปขโมยช่วงชิงยาวิเศษ หลังจากประสบผลสำเร็จก็ถอนกำลัง โจวอิ้งเสวี่ยพาคนไล่ตามมา ฝ่ายตรงข้ามรำคาญไม่อยากพิรี้พิไรกับนาง จึงปล่อยมารอสูรชั้นต่ำที่ยังไม่เปิดปัญญาเหล่านี้ให้รับมือพวกนาง ถ้าฝ่ายตรงข้ามจากไปแล้วก็แล้วไป แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังไม่จากไป ยังอยู่บริเวณใกล้เคียงล่ะก็…
จะอย่างไรก็เป็นมารที่สามารถเข้าเมืองเหิงหยางได้ราวกับเป็นสถานที่ไร้ผู้คน อาคมย่อมต้องสูงส่งยิ่งกระมัง อีกทั้งก็ไม่รู้ฝ่ายตรงข้ามที่แท้แล้วมากันจำนวนมากน้อยเท่าใด
“ศิษย์พี่” เมิ่งถังหันมามองมู่หวาฮุย
แม้นางจะยังไม่ได้พูดสิ่งที่คาดเดาอยู่ในใจออกมา แต่มู่หวาฮุยกลับเข้าใจคำพูดที่นางยังพูดไม่จบ
เขาตอบรับอืมเบาๆ คำหนึ่ง แสดงท่าทีว่าเขาเข้าใจความหมายของนาง จากนั้นมู่หวาฮุยพลันยื่นมือมา ดึงเมิ่งถังไปอยู่ข้างหลังตน นี่เป็นท่าทางในการปกป้องคุ้มครองอย่างหนึ่ง
ในใจเมิ่งถังรู้สึกชื่นมื่น รีบยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเชื่อฟัง หางตาเหลือบไปเห็นหลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ย
เห็นชัดว่าหลิงซิงเหยาก็ฟังเข้าใจความหมายในคำพูดเมื่อครู่ของนาง เวลานี้ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมเยียบเย็น กระทั่งเรียกกระบี่ที่ตนใช้อยู่ทุกวันมากุมกระชับไว้ในมือ
ความจริงแล้วศิษย์ในสำนักผู้นี้ที่เข้ามาเป็นศิษย์สำนักหมิงหวาชุดเดียวกันกับเจ้าของร่างเดิม แม้จะบอกว่าเขามีสติปัญญาเหนือผู้อื่น พลังวัตรเพิ่มพูนรวดเร็ว เวลานี้กำลังพุ่งเข้าสู่ขั้นจินตันแล้ว แต่น่าเสียดายยิ่ง สุสานหมื่นกระบี่สิบปีจึงจะเปิดหนึ่งครั้ง ดังนั้นจนถึงตอนนี้หลิงซิงเหยาจึงยังไม่มีกระบี่คู่กายของตน ปกติที่ใช้อยู่ยังคงเป็นกระบี่ธรรมดาทั่วไป
ส่วนอวิ๋นชูเยวี่ยนางเอกผู้อ่อนแอบอบบางมีแฟนคลับคอยทะนุถนอม โอกาสทุกอย่างจะทยอยร่วงมาใส่ศีรษะเอง ไม่ต้องให้นางสิ้นเปลืองสมองแม้แต่น้อย ดังนั้นทำตัวอ่อนหวานใสซื่อโง่งมไปก็พอแล้ว
นางไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเมิ่งถัง ยังคงมีท่าทีตกใจจนหวาดหวั่นขวัญผวา เห็นแล้วน่าสงสาร ทำให้คนรู้สึกเห็นอกเห็นใจ หลิงซิงเหยาเห็นแล้วสงสารนางยิ่ง เบี่ยงตัวให้นางอยู่ข้างหลังตนก็เป็นท่าทางในการปกป้องคุ้มครอง
ดีมาก เมิ่งถังแอบคิด ประเดี๋ยวหากมีภัยอะไรจริง ต่างปกป้องคนที่ตนใส่ใจให้ดีก็พอ จากนั้นจึงเรียกกระบี่ของตนมากุมไว้ในมือเงียบๆ เตรียมพร้อมระแวดระวังไปทั้งร่าง
หิมะยังไม่หยุดตก ไม่รู้เป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจหรือไม่ เมิ่งถังรู้สึกว่าหิมะตกครานี้ดูจะแรงขึ้น ลมที่พัดมาจากที่ไกลก็ทำให้นางรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาในใจโดยไม่มีสาเหตุ
ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย นางเหลียวมองไปรอบด้าน สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในสายตายังคงมีเพียงเงาไม้ดำทะมึนไปทั้งแถบ
กลับกันมู่หวาฮุยสองตาหลุบลงเล็กน้อย ปล่อยจิตออกไป สัมผัสรับรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบด้าน
ในพริบตาเดียวอากาศคล้ายเกาะตัวแข็งขึ้นมา ทุกคนในที่นั้นนอกจากหลิงซิงเหยา ล้วนมองมาที่มู่หวาฮุย พลังวัตรของเขาสูงที่สุด คืนนี้ทุกคนจะมีชีวิตเดินออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับเขาแล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เห็นมือขวาที่กุมกระบี่อู๋จี๋ของมู่หวาฮุยจู่ๆ ก็ยกขึ้น วาดขวางไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
แล้วทุกคนในที่นั้นก็เห็นประกายกระบี่สว่างวาบดุจประกายหิมะสายหนึ่งพุ่งไปทางด้านหน้า พอไปถึงครึ่งทางประกายกระบี่ถึงกับแยกออกเป็นแสงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับตาข่ายฟ้าดิน แผ่คลุมพื้นที่ด้านหน้าไว้ทั้งหมด
หลังจากนิ่งเงียบงงงันด้วยความตื่นตระหนกไปชั่วขณะ ทุกคนในที่นั้นก็เกิดความคิดขึ้นมาในใจ
เมิ่งถังลิงโลดด้วยความดีใจ ศิษย์พี่ร้ายกาจยิ่ง ไม่เสียทีที่เป็นคนที่ข้าตัดสินใจจะเฝ้าปกป้องจริงๆ
หลิงซิงเหยามีความรู้สึกหลากหลายคละเคล้ากัน มู่หวาฮุยฝึกฝนถึงขั้นนี้แล้วหรือ หลังจากกลับไปเขาจะต้องมุมานะเพียรพยายามเป็นเท่าทวีคูณ จะได้อยู่เหนือมู่หวาฮุยในเร็ววัน
โจวอิ้งเสวี่ยดั่งกวางน้อยวิ่งพุ่งชนไปทั่ว ศิษย์พี่มู่ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์คนโตของสำนักหมิงหวา ไม่เพียงรูปโฉมหล่อเหลางดงามดุจเทพเซียนในแดนมนุษย์แล้ว กำลังความสามารถยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
อวิ๋นชูเยวี่ยยังคงตะลึงงัน แต่ก่อนเหตุใดนางจึงไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ถึงกับร้ายกาจเพียงนี้…
ท่ามกลางความคิดที่แตกต่างกัน ประกายกระบี่สีขาวได้ตกลงสู่พื้นแล้ว นกจำนวนนับไม่ถ้วนในป่าแตกตื่น รวมถึงคนของเผ่ามารที่ลอบซ่อนตัวอยู่ข้างใน
เมื่อเปรียบกับมารอสูรชั้นต่ำเมื่อครู่แล้ว คนของเผ่ามารเหล่านี้ในเวลานี้ จึงจะเรียกได้ว่ามีกำลังความสามารถที่ทำให้คนตื่นตะลึง
ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะเหตุใดพวกเขาจึงสามารถเข้าเมืองเหิงหยางได้ราวกับเป็นสถานที่ไร้ผู้คน ไม่เพียงขโมยยาวิเศษมาได้ ยังล่าถอยออกมาได้โดยปลอดภัย
แต่เสียดายคนที่พวกเขาพบเจอเข้าในตอนนี้คือมู่หวาฮุย
มู่หวาฮุยเห็นชัดว่าเกิดมาเพื่อเป็นผู้ฝึกวิชากระบี่ ถึงแม้ตอนนี้ลำดับขั้นของเขาจะยังไม่ทะลวงผ่านขั้นหยวนอิงไปได้ แต่ก็มีระดับการต่อสู้ที่ผู้บำเพ็ญเซียนในขั้นหยวนอิงพึงมี
ตอนเมิ่งถังถือกระบี่เข้าต่อกรกับมารหน้าดำของเผ่ามารได้หันหน้ามามองก็เห็นมู่หวาฮุยกำลังรับมือศัตรูหนึ่งต่อห้ากลับยังคงมีท่าทางดุจเดินเล่นในลานเรือน กระทั่งยังมีเวลากวัดแกว่งกระบี่มาสังหารมารตนหนึ่งที่กำลังจะลอบจู่โจมเมิ่งถังจากทางด้านหลัง
ทั้งยังสั่งกำชับนาง “ตั้งใจรับมือศัตรู”
เมิ่งถังร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง กระชับกระบี่ยาวในมือ กลับเข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้ง
ก็นับว่ากำลังความสามารถที่แท้จริงปะทุออกมา หลังจากผ่านการประมือไปสิบกว่าเพลงกระบี่ นางถึงกับสังหารมารหน้าดำผู้นี้ได้แล้ว
เห็นโจวอิ้งเสวี่ยกำลังรับมือซ้ายขวาใกล้จะต้านไม่ไหว เมิ่งถังไม่มัวมาคำนึงถึงคราบโลหิตบนร่าง รีบวิ่งเข้าไปช่วย ระหว่างทางเอียงหน้าไปเล็กน้อย
พลันเห็นหลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ยที่อยู่ด้านข้าง
* หลี่ เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เท่ากับความยาว 15 อิ่น เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
** ช่ายจี (菜鸡) แปลว่าไก่ผัก แผลงมาจากคำว่าช่ายเหนี่ยว (菜鸟) ที่แปลว่านกผัก เป็นคำสแลงในการเล่นเกม หมายถึงมือใหม่ที่ยังขาดทักษะ ขาดประสบการณ์ ไก่ผักคงต้องการจะบอกว่าแย่ยิ่งกว่านกผัก
* คอขวด หมายถึงอุปสรรคที่ทำให้ไปต่อไม่ได้
** ความเสื่อมห้าอย่างของเทพเซียน หมายถึงผู้เป็นเทพเซียนจะหมดอายุขัยจะมีความเสื่อมเกิดขึ้นห้าอย่าง ได้แก่ 1. เสื้อผ้าจากที่เคยสะอาดตลอดเวลาก็จะเริ่มสกปรก 2. ดอกไม้บนศีรษะจะเหี่ยวแห้ง หมายถึงเครื่องประดับบนศีรษะจะหมองมัว 3. จากที่เคยไม่มีเหงื่อก็เริ่มมีเหงื่อออกใต้วงแขน 4. ร่างกายเริ่มสกปรกมีกลิ่นเหม็น 5. รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่มีความสุข
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.