บทที่ 4
ทว่ากลับพบว่าเป็นแค่ยันต์คุ้มกายตามปกติใบหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจึงชำเลืองมองเยี่ยหมัวมัวคราหนึ่ง
เดิมทีเยี่ยหมัวมัวกำลังรอดูบุตรสาวสกุลเจินเสียหน้าด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก
ต้องรู้ว่าหญิงสาวในห้องหอที่ยังไม่ได้แต่งงานผู้หนึ่ง หากถูกคนพบว่าพกยันต์ขอบุตรติดตัวเอาไว้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร นึกไม่ถึงว่าที่ค้นออกมากลับมีแค่ยันต์คุ้มกายใบหนึ่ง เมื่อเห็นซ่งฮูหยินมองมา เยี่ยหมัวมัวก็พยายามส่งสายตาสุดชีวิต ลอบบอกว่าบุตรสาวสกุลเจินจะต้องเก็บไปแล้วเป็นแน่ ไม่ได้พกติดตัวไว้เท่านั้น
ซ่งฮูหยินจับจุดอ่อนของเจินจยาฝูไม่ได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงเอ่ยชื่นชมไปหลายประโยค เก็บเหอเปาให้เรียบร้อยแล้วยื่นส่งคืนให้เจินจยาฝู
เจินจยาฝูรับมาแล้วใส่ของลงไปราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เมิ่งซื่อที่อยู่ด้านข้างผ่อนลมหายใจออกมา ลอบร้องในใจว่า…โชคดียิ่ง ก่อนรีบหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาพลางยิ้มเอ่ย “บุตรสาวข้าไม่ค่อยรู้ความ โชคดีที่ฮูหยินเมตตา ต้องการรับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรม ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลข้ารู้สึกซาบซึ้งใจ ก่อนออกเดินทางได้กำชับให้ข้าพกของฝากท้องถิ่นบางอย่างมา ไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย ถือเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เมื่อครู่ได้เรียกให้บ่าวรับใช้ยกสิ่งของเข้ามาแล้ว สิ่งนี้คือรายการสิ่งของ ฮูหยินลองดูเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อสืบข่าวมาได้ว่าซ่งฮูหยินเป็นคนเห็นแก่ผลประโยชน์ จึงเตรียมของขวัญจำนวนมากมาเพื่อประจบเอาใจโดยเฉพาะ ปากเอ่ยว่าเป็นของฝากท้องถิ่น แต่ความจริงสิ่งที่เขียนอยู่บนรายการทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งของราคาแพง หลายอย่างในนั้นยิ่งเป็นสมบัติชั้นเลิศ
ซ่งฮูหยินรับมามองดูคราหนึ่ง ในใจถึงได้รู้สึกพอใจขึ้นมาบ้าง คิดว่าสกุลเจินยังนับว่ามีความคิดอ่านอยู่ เมื่อได้รับผลประโยชน์ดีๆ สีหน้าก็พลอยดูดีขึ้นบ้างแล้ว
เมิ่งซื่อสังเกตสีหน้าอีกฝ่ายอยู่ด้านข้าง รับรู้ว่าซ่งฮูหยินน่าจะพอใจแล้วถึงได้ลอบผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะนึกถึงเฉวียนเกอเอ๋อร์ขึ้นมาได้ ในเมื่อนางมาถึงที่นี่แล้ว หากไม่ถามถึงเฉวียนเกอเอ๋อร์สักคำคงดูไม่เหมาะสมอยู่บ้าง จึงยิ้มเอ่ย “เมื่อครู่นี้ไปเยี่ยมญาติที่สกุลเผย เดิมยังคิดว่าจะได้พบเฉวียนเกอเอ๋อร์เสียอีก กลับได้ยินว่าเขาอยู่กับทางฮูหยิน ตอนนี้เฉวียนเกอเอ๋อร์น่าจะโตขึ้นไม่น้อยแล้วกระมัง ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลข้าตั้งใจไปขอแม่กุญแจทองคำมงคลมาให้เฉวียนเกอเอ๋อร์โดยเฉพาะ ทั้งให้ภิกษุที่มีชื่อเสียงปลุกเสกให้ เพื่อจะได้ช่วยปกป้องคุ้มครองเด็กๆ ให้ร่ำรวยมั่งคั่งและมีอายุยืนยาว” เอ่ยจบก็นำของออกมา
ซ่งฮูหยินเองก็ตระหนักว่าเรื่องงานแต่งของสกุลเผยกับสกุลเจินได้พูดคุยกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ซ้ำก่อนหน้านี้ตนเองยังเห็นด้วยและยังรับอีกฝ่ายเป็นบุตรสาวบุญธรรม มาวันนี้ต่อให้นางไม่พอใจหญิงสาวสกุลเจินเพียงใดก็ไม่อาจหาข้ออ้างมาขัดขวางได้อีก มิสู้เรียกเฉวียนเกอเอ๋อร์ออกมา อาศัยโอกาสนี้ทำให้หญิงสาวสกุลเจินได้รู้จักหนักเบา รอนางแต่งเข้ามาแล้ว ตนเองค่อยหาเหตุผลส่งหมัวมัวที่เชื่อถือได้เข้าไปจับตามองไว้ คาดว่านางคงเล่นลูกไม้อะไรออกมาไม่ได้มากนัก
ซ่งฮูหยินตัดสินใจได้แล้วจึงเอ่ยรับคำ “ลำบากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจ้าแล้ว เช่นนั้นข้าจะให้คนไปพาตัวเด็กมาจะได้เจอกัน”
เมิ่งซื่อย่อมเอ่ยว่าดี ซ่งฮูหยินจึงสั่งการลงไป
เพียงไม่นานทางเดินข้างนอกก็มีเสียงหัวเราะสดใสของเด็กดังมา ได้เห็นสาวใช้อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีผู้หนึ่งมือและขาวางอยู่บนพื้น บนหลังมีเด็กชายอายุสี่ห้าขวบนั่งอยู่ กำลังคลานเข้ามาในนี้
เด็กผู้นั้นก็คือเฉวียนเกอเอ๋อร์ เดิมทีเกิดมาก็นับว่ารูปโฉมสะอาดสะอ้าน แต่เพราะกินมากไปรูปร่างจึงอวบอ้วน น้ำหนักตัวเกินไปบ้าง เขานั่งอยู่บนหลังสาวใช้ผู้นั้น รอบข้างมีสาวใช้หลายคนตามมา คอยประคองเขาเอาไว้เพื่อระวังไม่ให้ตกลงมา สาวใช้บนพื้นผู้นั้นคลานจนเหนื่อยหอบ เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ในมือเฉวียนเกอเอ๋อร์ถือกิ่งหลิวกิ่งหนึ่งโบกสะบัดไปมาส่งเดช ปากส่งเสียงดังคล้ายกำลังขี่ม้า “ไปๆ!”
เฉวียนเกอเอ๋อร์ขี่คนเข้ามาทั้งอย่างนี้
เจินจยาฝูมองเขา มุมปากประดับรอยยิ้มน้อยๆ ทว่าแววตากลับเย็นชายิ่ง
เมื่อชาติก่อนหลังนางแต่งเข้าสกุลเผยได้ไม่นานก็ตั้งครรภ์ ตอนที่อายุครรภ์ห้าเดือน มีวันหนึ่งนางเหยียบเมล็ดถั่วเขียวเข้า ลื่นไถลลงพื้นอย่างแรง ส่งผลให้เลือดไหลไม่หยุด เสียลูกไป ต้องพักฟื้นตัวอยู่นานถึงลงจากเตียงได้ กระนั้นร่างกายก็ไม่แข็งแรงเหมือนก่อน ภายหลังไม่ว่ากับเผยซิวจื่อหรือว่าเซียวอิ้นถังนางก็ไม่เคยตั้งครรภ์อีก
เมล็ดถั่วเขียวเหล่านั้นก็เป็นฝีมือของเด็กคนนี้ที่สาดมาใต้เท้านาง เจินจยาฝูจำได้ว่าตอนนั้นเผยซิวจื่อโมโหอย่างมาก อยากจับตัวเขาไปแขวนแล้วฟาด ทว่าถูกซินฮูหยินขวางเอาไว้ วันต่อมาหลังซ่งฮูหยินรู้ข่าวยังมาก่อความวุ่นวายที่จวนหนหนึ่ง บอกเด็กยังเล็กไม่รู้ประสา ดีไม่ดียังถูกผู้อื่นใส่ความ ภายหลังเรื่องนี้ก็ผ่านไปโดยไม่มีบทสรุป
ตอนนี้เมื่อมาคิดดู การที่ชาติก่อนไม่มีลูกคอยเหนี่ยวรั้ง สำหรับนางแล้วก็นับเป็นโชคดีในคราวเคราะห์เช่นกัน ถึงอย่างนั้นเด็กที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรเจินจยาฝูก็ไม่อาจเกิดความรู้สึกผูกพันขึ้นมาได้
เมิ่งซื่อมองดูภาพตรงหน้านี้อย่างตกตะลึง คนสกุลซ่งกลับเหมือนคุ้นเคยดี ซ่งฮูหยินหัวเราะขึ้นมา ในแววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ ต่อว่าคำหนึ่งว่า “ซุกซน” ก่อนสั่งให้คนอุ้มเด็กน้อยมาหา
เฉวียนเกอเอ๋อร์ชอบขี่คน ทั้งยังเลือกสาวใช้ที่หน้าตาดีมาขี่ แต่ยามเขาอยู่สกุลเผยกลับไม่กล้าละเล่นเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้เคยถูกคนนำไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกซินฮูหยินไปหา นับจากนั้นซินฮูหยินก็ไม่อนุญาตให้เฉวียนเกอเอ๋อร์ขี่คนอีก แต่ทางสกุลซ่งด้านนี้กลับไม่ห้ามปราม ส่งผลให้เฉวียนเกอเอ๋อร์ชอบมาวิ่งเล่นที่นี่มากกว่า
เยี่ยหมัวมัวรีบเดินเข้าไปอุ้มเฉวียนเกอเอ๋อร์ขึ้นมา ซ่งฮูหยินรับตัวหลานชายมานั่งอยู่บนตักตนเอง เด็กน้อยบิดตัวไปมาคล้ายต้องการลงไป นางโอบเขาเอาไว้ เหลือบสายตาขึ้นมองเจินจยาฝูพลางเอ่ย “ข้ามีบุตรสาวคนเดียว นางเปรียบเสมือนเลือดเนื้อหัวใจของข้า แต่บัดนี้นางไม่อยู่แล้ว เฉวียนเกอเอ๋อร์จึงไม่ต่างอะไรกับหลานชายสายตรงของข้า คนอย่างข้าแบ่งแยกบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน ผู้ใดปฏิบัติต่อเฉวียนเกอเอ๋อร์ดีก็เท่ากับปฏิบัติต่อข้าดี…”
นางชะงักไปเล็กน้อย หรี่ตาลง ก่อนเน้นเสียงหนักขึ้น “ผู้ใดกล้าคิดเล่นงานเขา ต่อให้เป็นแค่ขนเส้นเดียว หากข้ารับรู้ก็อย่าได้คิดว่าข้าจะปล่อยไปเป็นอันขาด”
เมิ่งซื่อฟังแล้วสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
เจินจยาฝูผงกศีรษะ “ท่านแม่บุญธรรมกล่าวได้ถูกต้องที่สุดเจ้าค่ะ”
ซ่งฮูหยินไม่มั่นใจว่าเจินจยาฝูฟังเข้าใจจริงๆ หรือไม่ ในตอนที่จับจ้องอีกฝ่าย เด็กบนตักนางก็มองเจินจยาฝูด้วยเช่นกัน พลันไถลตัวลงมา มุดผ่านวงแขนนางออกไป วิ่งไปตรงหน้าเจินจยาฝู เชิดหน้าขึ้นพร้อมเท้าเอวเอ่ยสั่ง “เจ้าหมอบลง! ข้าจะขี่ม้า!”
เจินจยาฝูเดินไปทางเด็กคนนั้น หยุดยืนอยู่หน้าเขา ยิ้มแย้มก้มตัวลงเอ่ย “ขี่ม้าไม่ได้ แต่ว่าข้าสามารถอุ้มเจ้าเล่นได้”
เฉวียนเกอเอ๋อร์ล้มตัวลงพื้นทันที ทางหนึ่งถีบขาปัดป่ายไปมา อีกทางร้องโวยวาย “ไม่เอาอุ้ม! ข้าจะขี่ม้า! จะขี่ม้า!”
เมิ่งซื่อสีหน้าไม่น่ามอง
ซ่งฮูหยินรีบส่งสายตาไปให้เยี่ยหมัวมัว เยี่ยหมัวมัวเดินเข้ามาอุ้มเฉวียนเกอเอ๋อร์พร้อมเอ่ยเอาใจ “พวกเราไปข้างนอก ไปข้างนอกแล้วค่อยเล่นขี่ม้ากันเจ้าค่ะ”
เฉวียนเกอเอ๋อร์พ่นน้ำลายใส่นาง กำหมัดชกนางไม่หยุดพร้อมร้องตะโกน “ข้าจะขี่เดี๋ยวนี้!”
เจินจยาฝูยืนอยู่ตรงนั้น มองดูเด็กน้อยที่ดิ้นอยู่ในอ้อมแขนเยี่ยหมัวมัวอย่างเย็นชา มุมปากยังคงมีรอยยิ้มบางๆ
หนนี้ใบหน้าของซ่งฮูหยินก็เริ่มประคองไว้ไม่อยู่แล้ว หลังกระแอมกระไอออกมาหนหนึ่ง สาวใช้หลายคนก็เข้าไปช่วยเยี่ยหมัวมัวจนมือไม้วุ่นวาย ยกตัวเฉวียนเกอเอ๋อร์ที่ร้องไห้โวยวายออกไปทันที
เสียงร้องไห้ค่อยๆ เงียบหายไป ที่สุดแล้วภายในห้องก็กลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง
ซ่งฮูหยินยิ้มเจื่อน “ปกติเด็กคนนี้ไม่เป็นเช่นนี้ วันนี้ออกจะเกเรไปบ้าง”
เมิ่งซื่อฝืนยิ้มรับ นั่งอยู่ต่ออีกสักพักถึงได้ลุกขึ้นยืนกล่าวลา ซ่งฮูหยินเดินออกมาส่งเป็นมารยาทไม่กี่ก้าวก็เรียกให้คนมาส่งพวกเมิ่งซื่อถึงนอกประตูแทนตนเอง
เยี่ยหมัวมัวปลอบเฉวียนเกอเอ๋อร์เสร็จแล้วก็กลับมาเอ่ย “ฮูหยิน ท่านเห็นกับตาตนเองแล้วใช่หรือไม่ ท่านดูนางสิ เกิดมามีรูปโฉมประดุจนางจิ้งจอก บุรุษใดจะไม่ตกหลุมพรางได้บ้าง วันนี้ตัวนางยังไม่ทันมาถึง ซื่อจื่อก็วิ่งไปรับที่ท่าเรือด้วยตนเองแล้ว ฮูหยิน ท่านไม่ได้เห็น ยามนั้นดวงตาที่เขามองนางไม่กะพริบเลยสักนิด ไฉนเลยจะยังจดจำความดีของมารดาเฉวียนเกอเอ๋อร์ได้อีก คำโบราณกล่าวไว้…เมื่อมีแม่เลี้ยงย่อมมีพ่อเลี้ยง รอนางคลอดออกมาเองสักคนแล้ว เกรงว่าเฉวียนเกอเอ๋อร์จะไม่เหลือแม้แต่บิดา! ฮูหยินอย่าได้ถูกนางหลอกเป็นอันขาด หญิงสาวผู้นี้ตีสองหน้า บ่าวร่วมพักร่วมเดินทางกับนางมานาน กระจ่างชัดดียิ่งกว่าอะไร”
ซ่งฮูหยินคิดถึงบุตรสาวที่ตายจากไป ทั้งปวดใจทั้งจนปัญญา ขมวดคิ้วเอ่ย “ข้าพอใจในตัวบุตรสาวสกุลเจินเสียที่ใดเล่า เพียงแต่ก่อนหน้านี้รับปากไปแล้ว ทั้งยังเชื่อคำพูดเจ้า รับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรม เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วจะให้ข้าเปิดปากพูดเช่นไรอีก”
เยี่ยหมัวมัวสำนึกผิด ตบปากตนเองแรงๆ ไปหนหนึ่ง ในตอนนั้นเองก็ได้เห็นสาวใช้ที่เมื่อครู่เดินออกไปแล้วผู้หนึ่งรีบวิ่งลนลานกลับเข้ามา ใบหน้าเยี่ยหมัวมัวพลันเคร่งขรึม เอ่ยต่อว่า “ทำตัวแตกตื่นให้ฮูหยินตกอกตกใจ คอยดู ข้าจะเอาเข็มมาแทงปากเจ้าเสีย!”
สาวใช้โบกมือไม่หยุด ตะโกนเอ่ย “คุณชายเจ้าค่ะ! คุณชายอาการไม่ค่อยดีแล้ว!”
ซ่งฮูหยินตกใจ “เกิดอะไรขึ้น!”
สาวใช้รีบเล่า “เมื่อครู่นี้เจ้าค่ะ พวกเราพาคุณชายไปเล่นในลาน จู่ๆ คุณชายก็ร้องว่าบนตัวมีแมลงปีนป่าย เกาไปทั่วทุกที่ บ่าวเห็นคุณ…คุณชายใบหน้าประหนึ่งแป้งหมัก เพียงพริบตาเดียวก็บวมเป่งแล้ว…”
สีหน้าซ่งฮูหยินเปลี่ยนไปทันควัน รีบร้อนวิ่งออกไปข้างนอก ตัวเฉวียนเกอเอ๋อร์นั้นถูกอุ้มกลับมาในห้องแล้ว กำลังนอนอยู่บนเตียง เมื่อเดินเข้าไปหาก็มองเห็นเขามีผื่นแดงเต็มใบหน้า ใบหน้าบวมราวกับมีลมเป่าเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น นางตกใจ รีบเดินเข้าไปอุ้มเฉวียนเกอเอ๋อร์ ร้องเรียกอย่างปวดใจอยู่หลายครั้งพร้อมกับสั่งให้คนไปเชิญหมอหลวงมาอย่างลนลาน
หมอหลวงรีบเดินทางมา ในตอนนั้นใบหน้าของเฉวียนเกอเอ๋อร์ก็บวมเป่งไปทั้งหน้าจนมิต่างจากรังผึ้งแล้ว บนร่างยังมีผดผื่นขึ้นกระจายไปทั่ว ด้วยความคันจึงมีบางจุดที่ถูกเกาจนเป็นแผล เขานอนอยู่ตรงนั้น ประเดี๋ยวก็ร้องครวญคราง ประเดี๋ยวก็ร้องไห้โวยวายไม่หยุด
หมอหลวงเองก็ตรวจหาสาเหตุไม่พบ ได้แต่จ่ายยาให้นำมาทาเพื่อลดอาการบวม อาการบวมนี้กลับไม่ยอมยุบลงไปเสียที เฉวียนเกอเอ๋อร์ทนทรมานตลอดทั้งคืน จวบจนวันต่อมาถึงค่อยๆ ยุบลงไปบ้าง
เดิมทีซ่งฮูหยินไม่ยอมให้ซินฮูหยินทราบเรื่องนี้ ทว่ากลับปิดได้ยากนัก เนื่องจากวันต่อมาสกุลเผยส่งคนมารับเฉวียนเกอเอ๋อร์กลับแล้ว ซ่งฮูหยินปิดบังต่อไปไม่ได้ จึงบอกเหตุผลออกมา ทั้งตนเองก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างมาก บอกว่าอยู่ดีๆ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเอง
ซินฮูหยินเร่งรีบมาอย่างร้อนใจทันทีที่ได้ข่าว รับหลานชายกลับไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ซ่งฮูหยินไม่มีอารมณ์มาหาเรื่อง ทั้งยังไม่วางใจในอาการของเฉวียนเกอเอ๋อร์ จึงส่งคนไปยังสกุลเผยรอบแล้วรอบเล่าเพื่อสืบข่าวเรื่องอาการป่วยของเขา เมื่อได้รู้ว่าซินฮูหยินชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหวต่อหน้าบ่าวหญิงอาวุโสสกุลตนก็รู้สึกโมโหไม่น้อย ทว่าหนนี้เฉวียนเกอเอ๋อร์เกิดเรื่องที่ทางตนเอง นางเองก็แสดงอำนาจอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ข่มกลั้นโทสะ จวบจนเย็นวันที่สอง ในที่สุดเมื่อได้รู้ว่าอาการบวมของหลานชายเกือบหายดี ซ่งฮูหยินถึงโล่งอกได้เสียที
เยี่ยหมัวมัวกำลังลอบคิดว่าหลายเดือนมานี้ตนเองเหน็ดเหนื่อยอยู่ที่เฉวียนโจว ได้รับความลำบากมาไม่น้อย สุดท้ายสกุลเจินกลับมอบเงินแค่ยี่สิบตำลึงให้นาง โทสะในใจยากจะสงบได้จริงๆ ถึงขั้นเริ่มมองการยกเลิกงานแต่งงานครั้งนี้เป็นภารกิจหนึ่งของตน นางจึงคอยใส่ไฟอยู่ข้างหูซ่งฮูหยินไม่หยุด บอกว่าบุตรสาวสกุลเจินเพิ่งมาเยี่ยมเยือนแท้ๆ ไฉนเฉวียนเกอเอ๋อร์ที่เดิมทีอาการยังดีๆ อยู่จึงเกิดอาการประหลาดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ได้รับความเจ็บปวดไม่น้อยเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าดวงชะตาขัดแย้งกัน…ข่มกัน
หนึ่งในเรื่องที่ซ่งฮูหยินถนัดที่สุดคือการพาลโกรธ เมื่อมีเยี่ยหมัวมัวคอยยุแยงเช่นนี้ ไม่เพียงแต่นึกสงสัยขึ้นมาครามครัน หลังผ่านไปอีกหนึ่งคืน มาถึงวันต่อมาผู้ดูแลคลังเก็บของมาแจ้งว่าในจำนวนของที่ถูกส่งมาจากสกุลเจินเมื่อสองวันก่อน ไข่มุกและหยกจำนวนหนึ่งที่เดิมควรจะล้ำค่าที่สุดนั้น ตอนนำเข้ามาในคลังเก็บของกลับพบว่าสีสันของพวกมันไม่งดงามมากพอ แม้จะเป็นของล้ำค่าเช่นกัน แต่ไม่ใช่ของชั้นเลิศแน่ ด้วยเหตุนี้ราคาจึงตกลงไปมาก ถามว่าควรจะจัดการเช่นไรดี
ซ่งฮูหยินนึกถึงท่าทีเคารพนบนอบยามเมิ่งซื่อมาหาตนเมื่อสองวันก่อน คาดว่าสกุลเจินเองก็ไม่น่าจะมีความกล้าเพียงนั้น นำของปลอมมาแทนของจริงเพื่อตบตานาง คิดว่านี่น่าจะเป็นของดีที่สุดที่สกุลพวกเขานำออกมาได้แล้ว นางพลันเกิดความรู้สึกดูถูกอย่างยิ่ง ถุยน้ำลายก่อนเอ่ย “ข้ายังคิดว่าสกุลเจินจะร่ำรวยมากเสียอีก ที่แท้ก็แค่นี้เอง แม้แต่การแต่งงานเช่นนี้สกุลเผยยังกล้ารับไว้ เห็นได้ชัดว่าบัดนี้ยากจนไปมากเพียงใดแล้ว!”
สามวันผ่านไปเพียงพริบตา วันนี้ก็คืองานวันเกิดอายุครบหกสิบปีของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยจวนเว่ยกั๋วกงแล้ว
แม้จวนเว่ยกั๋วกงจะตกอับ แต่ชื่อเสียงของตระกูลยังคงอยู่ ผู้เฒ่าเว่ยกั๋วกงมีความดีความชอบเป็นที่ประจักษ์ชัด ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นนายหญิงตราตั้งขั้นหนึ่ง บุตรสาวเองก็เคยเป็นฮองเฮาคนแรกของรัชศกเทียนสี่ ศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดา เมื่อมาถึงวันเกิดครบรอบหกสิบปี ภายในวังยังส่งขันทีผู้รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้มาแต่เช้า พระราชทานข้าวของให้ตามธรรมเนียม บ่งบอกถึงพระเมตตาของโอรสสวรรค์ เหล่าตระกูลสูงศักดิ์ภายในเมืองหลวงที่เดิมเคยไปมาหาสู่กับจวนเว่ยกั๋วกงก็ทยอยกันมาอวยพร ในวันนี้ประตูใหญ่ของจวนเว่ยกั๋วกงเปิดออกกว้าง ตกแต่งหลากสีสันทั้งในและนอก มองดูแล้วคล้ายได้ฟื้นตัวกลับมา มีเค้าของความรุ่งโรจน์เฉกเช่นในอดีต
วันนั้นหลังกลับมาจากสกุลซ่ง ไม่กี่วันนี้เจินจยาฝูไม่ได้ออกไปที่ใดเลยสักก้าว เมิ่งซื่อได้ยินมาว่าเฉวียนเกอเอ๋อร์ป่วย ถูกรับกลับมาจากสกุลซ่งแล้ว แม้ในใจนางจะรู้สึกไม่ชอบเด็กคนนี้เพียงใด แต่ก็ไปเยี่ยมอาการมารอบหนึ่ง หลังกลับมาก็เล่าให้เจินจยาฝูฟังว่า ‘ใกล้จะหายดีแล้ว เพียงแต่เขายังเกาตนเองจนเป็นแผลอยู่หลายจุด บางทียังร้องไห้โวยวายอยู่บ้าง’
ในตอนนั้นเจินจยาฝูเพียงเม้มปากไม่พูดอะไร เมิ่งซื่อเองก็มีเรื่องในใจมากมาย จึงปล่อยเรื่องนี้ไปทั้งอย่างนี้ ไม่ยกมาพูดอีก
เมื่อวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่ามาถึง เป็นเพราะซินฮูหยินมีเรื่องให้จัดการมากจนทำไม่ทันจึงขอให้เมิ่งซื่อรีบไปถึงจวนเพื่อช่วยเหลือ เมิ่งซื่อย่อมรับปาก รั้งตัวบุตรชายไว้ ไม่อนุญาตให้เขาออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกอีก ทุกคนเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ที่เตรียมไว้สำหรับงานวันนี้ หลังผ่านยามอู่จึงพาบุตรชายบุตรสาวไปยังจวนเว่ยกั๋วกง
แม่ลูกนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน เมิ่งซื่อนิ่งเงียบตลอดทาง เจินจยาฝูเอนร่างเข้าหา ซบลงบนแขนของมารดา “ท่านแม่ คิดอะไรอยู่หรือ ลูกเห็นว่าช่วงสองวันมานี้ท่านแม่ไม่ค่อยพูดคุยเลย”
เมิ่งซื่อใจลอยอยู่สักพักถึงได้เอ่ยเสียงเบา “ก่อนหน้านี้แม่แค่เคยได้ยินว่าเด็กคนนั้นเกเรอยู่บ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกเรได้ถึงเพียงนี้ วันหน้าลูกแต่งเข้าไปแล้ว แม่กลัวว่าลูกจะลำบาก…”
เจินจยาฝูกอดมารดาพร้อมยิ้มเอ่ย “ท่านแม่ หากว่าผ่านไปอีกสองวันพวกนางเกิดไม่ถูกใจลูก ลูกแต่งให้พี่รองเผยไม่สำเร็จแล้ว ท่านแม่จะต่อว่าว่าลูกไร้ประโยชน์หรือไม่”
เมิ่งซื่อนิ่งอึ้งไป รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างที่จู่ๆ บุตรสาวก็เอ่ยออกมาเช่นนี้ จึงก้มมองเจินจยาฝูพร้อมเอ่ย “ขอแค่ตัวลูกเองไม่เสียใจ เหตุใดแม่ต้องต่อว่าลูกด้วยเล่า หากไม่ใช่เพราะท่านย่าของลูก แม่ก็…”
นางหยุดเอ่ย ถอนหายใจ โอบบุตรสาวเข้ามาในอ้อมกอดอย่างรักใคร่
เจินจยาฝูหุบยิ้ม ใบหน้าเล็กอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดมารดา หลับตาลง
ทุกอย่างล้วนราบรื่นดียิ่ง เรื่องราวกำลังดำเนินไปตามที่นางคาดหมายเอาไว้ทีละก้าวๆ
อาการป่วยประหลาดที่จู่ๆ เฉวียนเกอเอ๋อร์เป็นในวันนั้น เดิมทีก็อยู่ในการคาดการณ์ของนาง
เด็กน้อยคนนี้…ถือเป็นคนสำคัญที่สุดผู้หนึ่งในแผนยกเลิกงานแต่งงานของนาง
เมื่อชาติก่อนมีอยู่หนหนึ่ง ทั้งที่ชั่วครู่ก่อนหน้าเฉวียนเกอเอ๋อร์ยังดีๆ อยู่ หลังวิ่งเข้าไปในห้องซินฮูหยินหนหนึ่ง กลับออกมาได้ไม่นานก็ใบหน้าบวม บนร่างมีผดผื่นขึ้น เขาทั้งเจ็บและคันยิ่ง ทายาไปก็ไร้ประโยชน์ ผ่านไปไม่กี่วันถึงค่อยๆ หายดีเอง คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่นานก็เกิดอาการป่วยเช่นนี้ขึ้นอีกครั้ง หลังทรมานซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายหน ได้รับความทุกข์ทรมานไม่น้อย แม้แต่หมอหลวงยังตรวจหาสาเหตุไม่พบ ซินฮูหยินในยามนั้นร้อนใจดุจไฟเผา ภายหลังมีบ่าวหญิงอาวุโสที่ละเอียดรอบคอบผู้หนึ่งพบว่าทุกครั้งเขาล้วนเกิดอาการป่วยเช่นนี้ขึ้นหลังเข้าไปในห้องซินฮูหยิน
เริ่มแรกซินฮูหยินคิดไปว่าภายในห้องตนเองมีสิ่งอัปมงคลอยู่ รีบไปเชิญคนมาทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้าย ทว่ากลับไม่เห็นผล
ภายหลังยังเป็นเจินจยาฝูที่หาสาเหตุพบ
ปัญหาเกิดขึ้นมาจากกลิ่นหลงเสียนที่รมอยู่ในห้องของซินฮูหยิน
หลงเสียนที่แท้จริงจะมีกลิ่นหอมละมุน นอกจากกลิ่นเดิมของมันแล้ว ในกลิ่นปลายยังแฝงไปด้วยกลิ่นตะไคร่น้ำจางๆ อันเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย ส่วนต้งหลงเหน่าไม่มีกลิ่นปลายที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ ซึ่งคนทั่วไปยากจะแยกแยะได้
เจินจยาฝูคุ้นเคยกับเครื่องหอมอย่างมาก ย่อมแยกแยะออกว่าสิ่งที่รมอยู่ภายในห้องซินฮูหยินไม่ใช่หลงเสียนที่นางใช้มาอยู่ตลอด แต่เป็นต้งหลงเหน่า เมื่อนับวันดู เฉวียนเกอเอ๋อร์ก็เริ่มมีอาการป่วยประหลาดเช่นนี้หลังซินฮูหยินเปลี่ยนมาใช้เครื่องหอมตลับนี้พอดี ดังนั้นจึงกำจัดกลิ่นนี้เสีย เป็นไปตามคาด ภายหลังเฉวียนเกอเอ๋อร์ก็ไม่เคยมีอาการป่วยเช่นนี้อีก
หลงเสียนมีชื่อเสียงเป็นกลิ่นหอมสวรรค์ หลงเสียนชั้นเลิศสามารถทิ้งกลิ่นเอาไว้ได้นานหลายเดือน บรรดาตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวง ขอแค่ซื้อใช้ไหวล้วนไม่มีผู้ใดไม่ใช้หลงเสียน นี่เองก็เป็นหนึ่งในตัวกำหนดฐานะ
ซินฮูหยินรมกลิ่นหลงเสียนมาโดยตลอด บัดนี้แม้เงินทองขาดมือ แต่ยังคงไม่ยอมเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่น ต้งหลงเหน่าตลับนี้ ก่อนหน้านี้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านของที่ดินในครอบครองแห่งหนึ่งส่งมาแสดงความเคารพ บอกว่าเป็นหลงเสียนราคาแพง ซินฮูหยินแยกแยะของจริงของปลอมไม่เป็น ของเดิมใช้หมดแล้วจึงนำตลับนี้ออกมาใช้ ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นของปลอม ทั้งยังทำให้เฉวียนเกอเอ๋อร์ได้รับความทรมานเป็นอย่างมาก หลังรู้ความจริง ตอนนั้นยังระบายโทสะออกมาไม่น้อย
ในตอนนั้นเรื่องนี้ทำให้ทั้งจวนเว่ยกั๋วกงวุ่นวายไปหมด เจินจยาฝูจดจำได้อย่างแม่นยำ ย่อมนึกเรื่องยืมใช้ต้งหลงเหน่ามาช่วยให้ตนเองหลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายนี้
การทำให้ซ่งฮูหยินไม่พอใจในตนเองนั้นเป็นเพียงการเริ่มต้น การทำให้ซ่งฮูหยินอาศัยข้ออ้างว่าดวงชะตาของตนเองกับเฉวียนเกอเอ๋อร์ขัดกันมาออกหน้าล้มเลิกงานแต่งครั้งนี้ นี่ถึงจะเป็นยาแรงที่เจินจยาฝูต้องการจะใส่ลงไป
วิธีการนี้ไม่นับว่าดีต่อเด็กคนนั้นจริงๆ แต่ในตอนนั้นเจินจยาฝูเพียงลังเลอยู่เล็กน้อยก็ตัดสินใจได้
ในชาติก่อนนางเป็นมิตรกับผู้อื่น ยอมทุกอย่าง อดทนทุกเรื่อง ผลที่ได้รับกลับไม่ใช่สิ่งที่ดี
ชาตินี้ผู้ใดดีต่อนาง นางก็จะดีต่อคนผู้นั้น หากเป็นไปได้ก็จะตอบแทนเป็นเท่าตัว
คิดแค่นี้ก็พอแล้ว…เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องคิดมากอีก
“ท่านแม่ น้องสาว มาถึงแล้ว!”
รถม้าค่อยๆ หยุดลง นอกหน้าต่างมีเสียงของพี่ชายดังมา
“ถึงแล้วอาฝู วันนี้ทางด้านหน้านี้มีคนมาก แม่คงยุ่งแน่ เกรงว่าจะดูแลลูกไม่ได้ ลูกก็อย่าได้มาเบียดอยู่ด้านหน้าเลย เลี่ยงไม่ให้ไปล่วงเกินผู้ใดเข้า ลูกก็ไปรออยู่ในห้องที่เงียบสงบทางด้านหลังเถิด รอเย็นกว่านี้แม่จะส่งคนไปเรียกลูกอีกที”
เมิ่งซื่อตบบ่าบุตรสาวเบาๆ
เจินจยาฝูลืมตาขึ้น ผงกศีรษะส่งเสียงขานรับคำหนึ่ง
หลายวันมานี้ซินฮูหยินยุ่งวุ่นวายราวถูกไฟเผา
หลายปีที่ผ่านมาฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยจัดงานวันเกิดมาก่อน เมื่อมาถึงวันก็แค่กินบะหมี่อายุยืนสักมื้อเท่านั้น ปีนี้อายุครบหกสิบปี ภายใต้คำขอร้องของบรรดาลูกหลาน ในที่สุดก็ยอมอนุญาตให้จัดงาน
การเตรียมงานวันเกิดย่อมเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของซินฮูหยิน อีกทั้งนางยังรอคอยข่าวจากกรมขุนนางมาโดยตลอด ในที่สุดไม่กี่วันก่อนนางก็ได้ยินคำสั่งแต่งตั้งที่เฝ้ารอ เผยซิวจื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางลำดับหลักขั้นหก ตำแหน่งนายกองเฟิ่นเวยที่ว่างลงไป
แม้จะเป็นตำแหน่งที่ได้รับมาจากความดีความชอบของบรรพบุรุษ แต่หน้าที่กลับไม่โดดเด่น ไม่สามารถเทียบได้กับยามที่สามียังมีชีวิตอยู่ กระนั้นสถานการณ์ในทุกวันนี้แตกต่างจากอดีตนานแล้ว ขุนนางผู้ที่มีความดีความชอบในการก่อตั้งแคว้นได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเลี่ยโหว* จวบจนปัจจุบันก็ผ่านมาหลายรุ่นแล้ว ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรลูกหลานที่อาศัยความสามารถของตนเองสร้างความดีความชอบได้นั้นมีอยู่ไม่มาก ที่เหลืออยู่จึงได้แต่อาศัยความดีความชอบของบรรพบุรุษทั้งนั้น ตำแหน่งขุนนางหลักๆ ในราชสำนักก็มีแค่ไม่กี่ตำแหน่งเท่านั้น ทั้งตำแหน่งยังถูกจำกัดเอาไว้ ไม่ได้เพียงพอสำหรับทุกคน อิงจากสถานการณ์ในตอนนี้ของจวนเว่ยกั๋วกง การที่เผยซิวจื่อยังสามารถได้รับตำแหน่งที่ว่างลงนี้ได้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว
ตามหลักแล้วเรื่องนี้นับเป็นเรื่องดี ช่วยเสริมหน้าตาได้ในงานวันเกิด ควรจะเฉลิมฉลองจึงจะถูก แต่บ้านรองกลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาแล้ว พูดกันถึงที่สุดก็มีปัญหาจากคำว่า ‘เงิน’ นั่นเอง สกุลเผยยังไม่ได้แบ่งสมบัติกัน เผยซิวจื่อได้รับตำแหน่ง แม้จะบอกว่าสกุลซ่งเองก็ให้ความช่วยเหลือ แต่เงินที่จำเป็นต้องใช้ในการติดต่อผู้คนไม่อาจขาดไปแม้แต่นิดเดียว เพื่อเรื่องนี้เงินทั้งหมดที่ใช้ออกไปจึงมีประมาณสองพันตำลึง ด้วยสกุลเผยมีการกำหนดเอาไว้ก่อนนานแล้วว่าขอแค่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนความก้าวหน้าหรือค่าเล่าเรียนของบุตรหลานในตระกูล ล้วนนำเงินจากบัญชีส่วนกลางมาใช้ได้ เงินหายไปจากส่วนกลางสองพันตำลึงเช่นนี้ บ้านรองย่อมรู้สึกปวดใจ แต่ติดที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังอยู่ เบื้องหน้าย่อมไม่กล้าแสดงออกชัดเจนเกินไป แต่พอคล้อยหลังยากจะไม่กล่าวโทษ เมื่อคำพูดลอยไปเข้าหูซินฮูหยินก็กลายเป็นเรื่องให้โมโหอีกครั้ง
นอกจากนี้คนสกุลเจินเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว การหารือเรื่องงานแต่งก็ใกล้เข้ามาทุกที ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น ยิ่งจำเป็นต้องคำนวณค่าใช้จ่ายออกมาให้ชัดเจน ซึ่งซินฮูหยินสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปมาก ยุ่งจนหัวหมุน ยังไม่ทันได้พักหายใจเลยด้วยซ้ำ เมื่อสองวันก่อนเฉวียนเกอเอ๋อร์ผู้เป็นหลานชายกลับมีอาการไม่ดีเช่นนี้ขึ้นมาอีก
เช้าวันนี้พอตื่นขึ้นมา กระพุ้งแก้มข้างหนึ่งของซินฮูหยินก็เป็นร้อนในขึ้นมาแล้ว เมื่อนึกถึงเรื่องใหญ่ในวันนี้ของจวนเว่ยกั๋วกง ตนเองที่มาจากบ้านใหญ่เป็นผู้ดูแล ไม่อาจให้เกิดความผิดพลาดขึ้นแม้แต่นิดเดียว จึงกระตุ้นความฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง ยุ่งราวกับลูกข่าง ช่วงกลางวันได้ยินว่าเมิ่งซื่อมาถึงแล้ว นางไม่ทำเหมือนการพบกันครั้งแรกที่ชักช้า หนนี้รีบเดินออกไปต้อนรับพาเข้ามาข้างในอย่างกระตือรือร้นทันที
เมิ่งซื่อมาเยือนเมืองหลวงครั้งนี้ แม้เพิ่งมาได้แค่สามสี่วัน แต่เพราะเคยมาเยือนสกุลเผยหลายครั้ง นางจึงพอจะสัมผัสได้ว่าทั้งสองบ้านเหมือนจะมีเรื่องขัดแย้งกัน เดิมนางกับฮูหยินรองนับได้ว่าเป็นพี่น้องที่สนิทสนม ช่วยเหลือกันและกันมาโดยตลอด ทว่าตั้งแต่เกิดเรื่องกระอักกระอ่วนของลูกๆ ขึ้นมา การเข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ย่อมให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากในอดีตอย่างมาก นับประสาอะไรกับนางที่ยังเป็นคนนอกผู้หนึ่ง จึงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้เสีย ภายนอกแสดงออกเหมือนปกติ ยามนี้มาถึงแล้วก็เพียงพยายามช่วยเหลือเรื่องเล็กเรื่องน้อยให้มากที่สุด นางเองก็เริ่มยุ่งขึ้นมาเช่นกัน
เจินจยาฝูถูกพาไปยังห้องรับรอง ให้อนุผู้หนึ่งของเผยเฉวียนผู้เป็นลุงเขยอยู่เป็นเพื่อน
สถานการณ์เช่นในวันนี้มีเรื่องให้ทำมากมายนัก เดิมอนุผู้นี้เองก็ต้องช่วยเหลืองานต่างๆ เพียงแต่ไม่กี่วันก่อนลื่นล้มจนข้อเท้าแพลงพอดี เดินเหินไม่สะดวก ได้แต่พักรักษาตัวอยู่ในห้อง ทั้งสองคนจึงทำงานเย็บปักกันไปพูดคุยสัพเพเหระกันไป ในระหว่างที่พูดคุยหัวเราะกันนั้นสาวใช้ข้างกายเมิ่งซื่อผู้หนึ่งก็มาหา เรียกให้เจินจยาฝูไปยังส่วนหน้า บอกว่ามีแขกที่คุ้นเคยผู้หนึ่งมา เมิ่งซื่อเรียกให้นางไปคารวะ
เจินจยาฝูจึงวางงานเย็บปักลงแล้วพาถานเซียงออกไปด้วยกัน นางรั้งอยู่ข้างกายเมิ่งซื่อสักพัก หลังพบแขกเสร็จก็กลับมาอีกครั้ง ตอนที่เดินผ่านประตูชั้นใน นางมองเห็นเผยซิวจื่อยืนอยู่บนทางที่ตนเองเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่นี้ได้แต่ไกล ข้างกายเขาไร้ผู้ติดตาม เพียงแค่ชะเง้อมองมาทางนี้ไม่หยุด
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เมื่อวานเขามาเยือนคฤหาสน์สกุลเจิน แต่นางหลบเลี่ยงไม่พบ คิดว่ายามนี้ที่เขาอยู่ที่นั่นก็คงกำลังรอตนเอง ด้วยไม่อยากเจอเขาตามลำพัง นางจึงกลับตัวเดินเลี่ยงไปทางสวนด้านหลังทันที
เพราะว่าวันนี้ที่ด้านหน้ายุ่งวุ่นวาย ภายในสวนจึงไม่ค่อยเห็นผู้ใดนัก หลังเดินเล่นไปเรื่อยอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านป่าไผ่ผืนเล็กแห่งหนึ่งก็มองเห็นสะพานหินอยู่ด้านหน้า
กับเส้นทางของที่นี่นางย่อมไม่มีทางไม่คุ้นเคย นึกขึ้นได้ว่าตรงสะพานหินนั้นมีทางเดินสายหนึ่ง แม้จะอ้อมอยู่บ้าง แต่สามารถเดินเลี่ยงเผยซิวจื่อกลับไปได้ จึงตัดสินใจเลี้ยวไปทางนั้น
หลายปีมานี้สถานที่แห่งนี้ไม่ค่อยมีผู้ใดผ่านมานัก ต้นไม้ข้างทางออกสีเขียวปนเหลืองกระดำกระด่าง หินใต้เท้ามีตะไคร่เขียวขึ้นมา บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้ร่วง สภาพเงียบเหงาอ้างว้างปรากฏอยู่ในสายตา
ก่อนที่เจินจยาฝูจะเดินผ่านเรือนแห่งหนึ่งข้างป่าไผ่ ก็มองเห็นบ่าวหญิงอาวุโสสองคนจับไม้กวาดปัดกวาดอยู่ตรงนั้น ทำความสะอาดไปพลางพูดคุยกันไปพลาง คำพูดลอยมาตามสายลมขาดๆ หายๆ คล้ายกำลังพูดถึงตนเองอยู่ ฝีเท้านางจึงหยุดชะงักลง
“…สกุลเจินใกล้จะได้แต่งงานแล้ว เอาคุณหนูมาแต่งกับซื่อจื่อ”
บ่าวหญิงอาวุโสผู้หนึ่งส่งเสียงจิ๊จ๊ะ “นับว่าได้ปีนป่ายขึ้นที่สูงแล้ว”
“เจ้าเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่ปี จะไปรู้อะไรกัน”
บ่าวหญิงอาวุโสอีกคนกล่าวต่อ “แต่ก่อนตอนที่คุณหนูสกุลนั้นยังเล็ก เคยเห็นพามาที่จวนครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องส่งคนมาแต่งงานในสักวัน เพียงแต่ยามนั้นหลงคิดว่าสกุลนั้นคิดจะแต่งกับคุณชายสาม บัดนี้ถึงขั้นปีนป่ายไปถึงซื่อจื่อ นี่ก็เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงจริงๆ…”
สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านไป เสียงใบไผ่ดังแซ่กซ่ากลบเสียงของบ่าวหญิงอาวุโส
ถานเซียงแสดงสีหน้าไม่พอใจ ตั้งใจจะเดินเข้าไปเผยโฉม ทว่าเจินจยาฝูกลับส่ายศีรษะ แสดงท่าทีให้เดินแยกไปอีกทางที่เป็นป่าไผ่ แต่กลับได้ยินเสียงสนทนาของบ่าวหญิงอาวุโสทั้งสองดังลอยมาอีกครั้ง
“เจ้าดูสิ เรือนแห่งนี้แม้แต่ตอนกลางวันยังอึมครึม ยามกลางคืนเกรงว่าคงมีกระทั่งผีโผล่ออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้ที่ส่วนหน้ามีงานยุ่ง ต้องส่งคนไปทำงาน ข้าเองก็คงไม่มาทำงานนี้…”
“ฮูหยินเองก็ลำบาก หลายปีมานี้น่าจะรู้สึกทุกข์ใจมาโดยตลอด ข้ามาอยู่ที่นี่ไม่กี่ปี ทุกปีเมื่อมาถึงช่วงวันนี้ฮูหยินก็จะต้องสั่งให้คนมาปัดกวาดที่นี่เสมอ ดูท่าจะเตรียมให้คุณชายใหญ่กลับมาอวยพรวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่า แต่เคยเห็นกลับมาเมื่อไรกัน เหล่าจ้าว ข้าได้ยินว่าปีนั้นคุณชายใหญ่ถูกปลดจากซื่อจื่อแล้วถูกขับไล่ออกไปหรือ”
เหล่าจ้าวผู้นั้นส่งเสียงชู่ กดเสียงต่ำลง ทว่าเสียงยังคงลอยตามลมมาให้ได้ยินชัดบ้างเบาบ้าง
“…ช่วงไว้ทุกข์ของนายท่านกั๋วกงยังไม่ทันพ้นเลย ไม่น่าดูอยู่บ้างจริงๆ…ปกติแล้วก็มองไม่ออกสักนิด…อี๋เหนียงผู้นั้นไม่กล้าอยู่ต่อแล้ว ตอนดึกมาที่นี่ ผูกคอตายอยู่บนกิ่งต้นที่เจ้ายืนอยู่ใกล้ๆ ต้นนี้ ตอนนั้นข้าวิ่งมาดู ใบหน้านางม่วงคล้ำ ลิ้นห้อย ทำข้าหวาดผวาจนนอนไม่หลับไปหลายคืน…”
“มารดาเถอะ! ไฉนเจ้าไม่รีบพูด มิน่าที่นี่ถึงได้เย็นๆ!”
บ่าวหญิงอาวุโสอีกคนตกใจจนใบหน้าซีดเผือด สะดุ้งโหยง รีบหลบเลี่ยงไปไกลๆ ก่อนจะหันตัวกลับมากราบไหว้ทางต้นไม้ ปากพึมพำบทสวดไม่หยุด
เจินจยาฝูรู้ว่าแต่ก่อนเรือนแห่งนี้เป็นที่อยู่ของเผยโย่วอันผู้เป็นบุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ หลายปีมานี้ถูกปล่อยว่างเอาไว้ตลอด ปกติประตูจะปิดสนิท เมื่อครู่ตอนเดินผ่านมาที่นี่บังเอิญได้ยินประโยคนินทาของบ่าวหญิงอาวุโสสองคนนี้เข้าพอดี หากพูดถึงเรื่องนางเพียงคนเดียวก็ช่างเถอะ นางเองก็คร้านจะถือสาด้วย
ท่านย่าของตนมีความตั้งใจเช่นนี้มานานแล้วจริงๆ ไม่ผิดที่จะถูกผู้อื่นนินทาลับหลังเช่นนี้
แต่ต่อมาบ่าวหญิงอาวุโสสองคนนี้กลับวิจารณ์ถึงเรื่องของเผยโย่วอันขึ้นมาต่อ นี่ทำให้เจินจยาฝูอดนึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาไม่ได้ ยามนั้นศึกสงครามวุ่นวาย ตนเองถูกจับขังอยู่ในคุกตัวคนเดียว ระหว่างที่สิ้นหวังและหวาดกลัวกลับได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่เดิมทีไม่ได้มีความคาดหวังอันใด ความรู้สึกประหนึ่งตัวห้อยอยู่นอกหน้าผา แต่ในยามสิ้นหวังกลับได้รับมือข้างหนึ่งยื่นมาช่วยเหลือเช่นนั้น จวบจนยามนี้ก็ยังยากจะลืมเลือน ต่อให้สุดท้ายตนเองจะถูกส่งกลับไปอยู่ในเงื้อมมือเซียวอิ้นถังอีกครั้ง แต่นั่นก็เป็นเรื่องราวภายหลัง คนละเรื่องกันแล้ว
บุรุษผู้นั้นทิ้งความประทับใจที่ดียิ่งให้กับนาง ไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาช่วยเหลือในยามที่นางสิ้นหวังอย่างที่สุด แต่เป็นเพราะท่าทางและการวางตัวของเขาทำให้นางประทับใจอย่างลึกซึ้งด้วย
ภายหลังกระทั่งตอนที่เจินจยาฝูอยู่ในส่วนลึกของวัง ก็เคยได้ยินบางเรื่องเกี่ยวกับเขามาเช่นกัน
ในการพนันของสามองค์ชาย ผู้ชนะคนสุดท้ายคืออวิ๋นจงอ๋อง หลังขึ้นครองราชย์เปลี่ยนรัชศก จากความดีความชอบที่เผยโย่วอันสร้างเอาไว้ในสงครามก่อนหน้ารวมกับความสำคัญที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่มีต่อเขา ความมั่งคั่งและชื่อเสียงสามารถได้มาง่ายๆ เดิมทีเขาสามารถเข้ารับตำแหน่งขุนนางสำคัญได้ แต่หลังผ่านไปไม่นาน เริ่มจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยจากโลกนี้ไปก่อน หลังจากนั้นไม่นานพวกทูเจวี๋ย รุกรานชายแดนเข้ามาอีกครั้ง เขาจึงขอออกจากเมืองหลวงด้วยตนเอง อาศัยตำแหน่งแม่ทัพเจี๋ยตู้สื่อคอยปกปักรักษาชายแดน
ได้ยินว่าในตอนนั้นแม้สถานการณ์ความไม่สงบของทูเจวี๋ยจะอันตรายเพียงใด แต่เมื่อพิจารณาจากสุขภาพของเขา สภาพอากาศนอกด่านก็ไม่เหมาะจะให้เขารั้งอยู่นาน เขาเองก็ไม่ใช่คนเพียงคนเดียวที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่สามารถเรียกใช้งานได้เสียหน่อย เดิมทีสามารถส่งผู้อื่นไปแทนได้ แต่สุดท้ายยังคงเป็นเขาที่ออกจากเมืองหลวงอันโอ่อ่านี้ไปไกลถึงชายแดน รับตำแหน่งแม่ทัพเจี๋ยตู้สื่อ คุ้มครองราษฎรบริเวณชายแดน ได้รับการยกย่องจากราษฎรอย่างมาก ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วนอกด่าน จวบจนสุดท้ายก็ป่วยตายจากไปในตำแหน่งนั้น
ความจริงแล้วเจินจยาฝูรู้สึกไม่เชื่ออยู่บ้างว่าบุรุษเช่นนั้น ในยามเป็นเด็กหนุ่มจะกระทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนั้นออกมา ยามนี้ได้ยินผู้อื่นพูดถึงก็รู้สึกบาดหูอยู่ไม่น้อย
เดิมทีนางกลับตัวเดินจากไปแล้ว แต่กลับหยุดฝีเท้าอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
“…ได้ยินมาว่าเรื่องครั้งนั้นทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโมโห เขาถูกโบยก่อนออกไป แต่ถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นงานวันเกิดใหญ่ของฮูหยินผู้เฒ่า กระทั่งญาติที่ห่างแปดรุ่นยังมากันหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นตัวเขา หลายปีนี้แม้แต่ข่าวคราวยังไม่เคยส่งมา เห็นได้ชัดว่าในใจยังนึกแค้นเคืองอยู่ เดิมทีพวกเราไม่ควรจะสอดปาก ตอนเป็นเด็กหนุ่มทำเรื่องเช่นนั้น บัดนี้อับอายที่จะกลับมาพบหน้าผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ก็มองออกว่าความกตัญญูของเขาเป็นเช่นไรแล้ว…”
ยามที่เหล่าจ้าวผู้นั้นอาศัยว่าตนเองอายุมากจนเที่ยวดูถูกดูแคลนผู้อื่นตรงนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง เมื่อปิดปากหันหน้ากลับไปก็เห็นเจินจยาฝูพาสาวใช้ผู้หนึ่งเดินมาทางนี้ นางนิ่งอึ้งไปทันควัน รีบวางไม้กวาดลงแล้วเดินเข้ามา ยิ้มรับเอ่ย “วันนี้ที่ส่วนหน้าคึกคัก คุณหนูมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
เจินจยาฝูตอบกลับยิ้มๆ “ป้าจ้าว เดิมทีข้าเองก็ไม่ควรจะสอดปาก เพียงแต่ในเมื่อเดินผ่านมาแล้ว ต่อให้ดูแปลกข้าก็ต้องขอพูดสักคำ วันนี้เป็นงานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า พวกเจ้าถูกส่งมาเก็บกวาดเรือนเพื่อเตรียมให้คุณชายใหญ่กลับมาพัก แต่กลับไม่รู้จักทำงานดีๆ เอาแต่พูดจาไร้สาระเรื่องใดกันอยู่ เป็นเพราะพวกเจ้าเห็นว่าฮูหยินกำลังยุ่ง ไม่มีเวลามาจัดการพวกเจ้ากระมัง แอบเกียจคร้านยังไม่เท่าไร แต่นี่ยังนินทาเจ้านายขึ้นมาอีก คำพูดเหล่านั้นที่พวกเจ้าพูดมาคืออะไรกัน ในเมื่อไร้หลักฐาน นี่ก็ถือเป็นการกระพือข่าวลือ ข้าไม่เชื่อว่าจวนเว่ยกั๋วกงจะไร้กฎ ปล่อยปละละเลยให้พวกเจ้าไม่เคารพเจ้านายกันเช่นนี้!”
สีหน้าของเหล่าจ้าวกับบ่าวหญิงอาวุโสผู้นั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หากเป็นเมื่อก่อนย่อมไม่จำเป็นต้องเกรงใจบุตรสาวสกุลเจินผู้นี้ ก็แค่ญาติคนหนึ่งของบ้านรองเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับแตกต่างออกไป ทุกคนภายในจวนต่างรู้ว่ารองานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จสิ้น ต่อมาก็จะเป็นเรื่องงานแต่งงานทันที ไม่ว่าลับหลังจะนินทาอย่างไร คุณหนูสกุลเจินผู้นี้ก็ใกล้แต่งเข้ามาในสกุลเผยเต็มที ต่อให้ไม่เหมาะสมอย่างไรก็ยังเป็นชายาซื่อจื่อจวนเว่ยกั๋วกงอย่างถูกต้อง เมื่อได้ยินนางกล่าวหนักเช่นนั้น ซ้ำไม่ทราบเช่นกันว่าเมื่อครู่นี้นางได้ยินไปมากน้อยเพียงไร จึงอดที่จะขลาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ รีบก้มหน้าลงยอมรับผิดทันที “เจ้าค่ะๆ คุณหนูสั่งสอนได้ถูกต้อง เมื่อครู่พวกเราปากพล่อย ไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
ในเมื่อทนไม่ไหวเดินเข้ามาแล้วก็ย่อมไม่กลัวที่จะล่วงเกินผู้อื่น นับประสาอะไรที่หากสามารถยกเลิกงานแต่งได้ตามที่หวัง วันหน้าก็ไม่มีทางเกี่ยวข้องใดๆ กับคนสกุลนี้อีก สัญชาตญาณที่ถูกกดข่มเอาไว้ทั้งหมดเมื่อชาติก่อนดูเหมือนจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาในชาตินี้แล้ว
เจินจยาฝูมองไปยังประตูที่เปิดแง้มอยู่ครึ่งหนึ่ง เห็นภายในลานปัดกวาดไปแล้วหนึ่งรอบ ทว่าก็แค่ปัดส่งๆ ทำอย่างเสียไม่ได้เท่านั้น บนพื้นแม้แต่ใบไม้ร่วงยังกวาดไม่สะอาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องราดน้ำกำจัดฝุ่นเลย นางจึงเอ่ยต่ออีกว่า “วันนี้เป็นวันเกิดอายุครบหกสิบปีของฮูหยินผู้เฒ่า คุณชายใหญ่จะต้องกลับมาแน่นอน ในเมื่อมีเวลามานินทาผู้อื่น เหตุใดจึงไม่เอาเวลาไปปัดกวาดภายในห้องให้สะอาดเสียเล่า”
ป้าจ้าวอายุมากแล้ว จู่ๆ มาถูกคุณหนูอายุน้อยสั่งสอนโดยไม่เกรงใจเช่นนี้ แม้ในใจจะไม่พอใจที่หญิงสาวสกุลเจินผู้นี้รีบแสดงอำนาจตั้งแต่ยังไม่ทันแต่งเข้า ทว่าบนใบหน้ากลับไม่กล้าแสดงออกแม้แต่น้อย ปากได้แต่เอ่ย “จะไปเดี๋ยวนี้ ไปเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ” พร้อมลากไม้กวาดบนพื้นขึ้นมา กลับตัวเดินเข้าไปทันที
บ่าวหญิงอาวุโสอีกคนเห็นเช่นนั้นก็รีบร้อนตามไปเช่นเดียวกัน
เจินจยาฝูเห็นบ่าวหญิงอาวุโสทั้งสองคนเริ่มปัดกวาดพื้นใหม่อีกครั้ง รู้ว่าหลังตนเองจากไป ต่อให้พวกนางพูดนินทาลับหลังอีกก็จะต้องพูดแต่เรื่องไม่ดีของตนเองแล้ว นางจึงหันหลังกลับเดินต่อไปข้างหน้า
“เมื่อครู่ตอนพวกเราเดินออกมา สีหน้าของบ่าวหญิงอาวุโสทั้งสองดูไม่ได้ยิ่งนัก” ถานเซียงที่ยิ้มกริ่มเริ่มเผยแววกังวล “เพียงแต่กลัวว่าจะทำให้พวกนางไม่พอใจ นินทาว่าคุณหนูยุ่งเรื่องของผู้อื่นเอานะเจ้าคะ”
ถานเซียงรู้สึกทั้งสาแก่ใจทั้งไม่สบายใจอยู่บ้าง จึงเอ่ยขึ้นอยู่ข้างๆ
เจินจยาฝูว่า “ไม่พอใจก็ไม่พอใจไป ข้าไม่ใส่ใจหรอก ข้าแค่ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่ว่าพี่ใหญ่เผยจะเป็นอย่างไร คนพวกนี้ก็ไม่อาจนำมาพูดนินทาลับหลัง”
“คุณหนูบอกว่าวันนี้คุณชายใหญ่จะต้องกลับมา…จริงหรือเจ้าคะ”
ถานเซียงนึกถึงน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของนางเมื่อครู่นี้ ให้รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
“ข้ามั่นใจว่าเขาต้องกลับมาแน่”
“คุณหนูรู้ได้อย่างไรกัน”
“เมื่อคืนข้าฝันเห็นเขากลับมาอวยพรวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่เล่า”
นางกล่าวทีเล่นทีจริงออกมาประโยคหนึ่ง เดินเลียบไปตามแนวโค้งของป่าไผ่ ทันใดนั้นฝีเท้าพลันหยุดชะงักลง
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.