บทที่หนึ่งร้อยสามสิบ
เยี่ยอวิ๋นจิ่นดึงหมวกของเสื้อคลุมบนศีรษะลงเผยใบหน้าออกมา
แสงเทียนไหววูบวาบส่องสะท้อนดวงหน้าของหญิงวัยกลางคนที่ยังคงความงามไว้ หากแต่สีหน้ากลับเย็นชามาก
“ฉันนึกว่าคุณใกล้จะไม่รอดแล้วเลยมีเรื่องอยากสั่งเสียซะอีก” เธอมองสำรวจอีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงกระด้าง
ความรู้สึกที่ซุกซ่อนไว้ลึกๆ ในใจมาตลอดหลายปีกำลังพลุ่งพล่าน พาให้น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยร่องรอยประชดประชันส่อเสียดทิ่มแทง
ร่างของจ้าวมังกรเจิ้งหยุดชะงักอยู่ใต้แสงไฟสลัวๆ ข้างโต๊ะในห้อง
“อวิ๋นจิ่น…ฉันขอโทษ ฉันทำให้เธอผิดหวัง…”
ชั่วขณะนี้ราชามังกรที่ผาดโผนโจนทะยานในวงการนักเลงมาตลอดชีวิตไม่หลงเหลือความห้าวหาญให้เห็นอีก เสียงพูดของเขาทุ้มเบา “เธอจะโทษฉันอย่างไรก็สมควรดีอยู่แล้ว…”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่อยากฟังเขาพูดแบบนี้แม้สักนิด
“ขอโทษอะไรกัน คุณไม่โทษที่ตอนนั้นฉันบังคับคุณ ฉันก็ต้องขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว” เธอยังพูดกระแทกแดกดันต่อ
จ้าวมังกรเจิ้งยิ้มฝืดๆ แล้วเงียบไป
“จู่ๆ อยากเจอฉัน มีธุระอะไรกันแน่” เธอพูดเสียงห้วนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้น
จ้าวมังกรเจิ้งยืนนิ่งๆ อีกชั่วอึดใจ ก่อนจะกล่าวเสียงเนิบนาบในที่สุด “เสวี่ยจื้ออยู่ทางโน้นมีคนรักแล้ว”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นตกตะลึง เธอฉุกคิดถึงเรื่องที่ลูกสาวเคยทะเลาะกับเธอก่อนไปเมืองเทียนเมื่อปีก่อน “เป็นใครกัน”
“หลานชายสกุลเฮ่อ” จ้าวมังกรเจิ้งเอ่ยตอบ
“ใครนะ คุณบอกว่าใครนะ หลานชายสกุลเฮ่อ…” เยี่ยอวิ๋นจิ่นคิดตามทันแล้ว เธอเบิ่งตาอย่างประหลาดใจ เดินสองสามก้าวไปตรงหน้าจ้าวมังกรเจิ้งพลางยื่นสองมือไปจับแขนเขาสุดแรง
“คุณบอกว่าใครนะ เฮ่อฮั่นจู่หรือ ฉันว่านะ คุณนี่แก่จนชักจะหลงๆ ลืมๆ แล้ว พูดจาเลอะเทอะ จะเป็นเขาได้อย่างไรกัน เสวี่ยจื้อเรียกเขาว่าคุณน้า เดือนที่แล้วเขายังอุตส่าห์มาถึงบ้านฉัน ตกปากรับคำเองว่าจะช่วยดูแลเสวี่ยจื้อ…”
ทันใดนั้นเยี่ยอวิ๋นจิ่นนึกไปถึงตอนเฮ่อฮั่นจู่มาเยี่ยมบ้านแล้ววางตัวผิดจากทั่วไป ยังมีท่าทีเคารพอ่อนน้อมต่อเธอเป็นพิเศษ รวมถึงของขวัญล้ำค่าเกินไปพวกนั้น…
เธออ้าปากค้างอย่างตกใจ เสียงพูดขาดหายไปกะทันหัน
หรือจะเป็นความจริง
ลูกสาวไปอยู่ที่นั่นแล้วชอบพอกับหลานชายคนนี้ของสกุลเฮ่อจริงๆ หรือนี่
เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็บรรยายความรู้สึกในใจขณะนี้ไม่ถูกเช่นกัน แค่รู้สึกว่าตะลึงพรึงเพริดไปหมดและสุดแสนจะประหลาดชอบกล เธอไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
เธอพยายามสงบสติอารมณ์แล้วเพ่งตามองคนตรงหน้า “ลูกสาวฉันกับหลานชายสกุลเฮ่อมันอย่างไรกันแน่ คุณบอกฉันมาให้รู้เรื่องนะ”
เธอขบกรามแน่น แทบจะพูดประโยคนี้ลอดไรฟันออกมาแบบช้าๆ ชัดๆ
จ้าวมังกรเจิ้งพูดเสียงต่ำๆ “นั่งลงก่อน…”
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ เรื่องของสองคนนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน” สุ้มเสียงของเยี่ยอวิ๋นจิ่นแฝงโทสะระคนวิตก
แม้ว่าตอนนี้กาลเวลาจะขัดเกลาเธอให้สุขุมเยือกเย็นขึ้น ไม่เป็นคนวู่วามใจร้อนอย่างเมื่อสมัยสาวๆ แต่พอเจอกับเรื่องที่เกี่ยวพันถึงลูกสาวคนเดียวแบบนี้ เธอจะอดกลั้นได้อย่างไรกัน
จ้าวมังกรเจิ้งรู้นิสัยของเธอดี เขาเริ่มพูดอธิบายโดยไม่รอช้า “อย่าเพิ่งร้อนใจ ตอนแรกที่ฉันรู้ว่าพวกเขาสองคนชอบพอกันเป็นความบังเอิญเท่านั้น ฉันมีเพื่อนเก่าอยู่ในเมืองเทียน หลังจากเสวี่ยจื้อไปที่นั่นเมื่อปีที่แล้ว ฉันขอให้เขาช่วยสอดส่องดูแลเสวี่ยจื้อ ประมาณหนึ่งเดือนก่อนวันสิ้นปีเก่า ฉันได้ข่าวว่าเสวี่ยจื้อเกือบต้องเคราะห์ร้ายเพราะหลานชายสกุลเฮ่อ”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นจ้องเขาตาเขม็ง “เรื่องอะไร”
จ้าวมังกรเจิ้งเอ่ยถึงคดีวางระเบิดรถไฟในตอนนั้น
ถึงเขาจะเล่าอย่างรวบรัด แต่ในความรู้สึกของเยี่ยอวิ๋นจิ่นมันยังคงเป็นเรื่องที่สร้างความหวาดผวาให้เธอถึงขีดสุด
“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่บอกฉันแต่แรก!” เธอตวาดแหว
“ฉันกลัวเธอรู้แล้วจะเป็นห่วง อีกอย่างเสวี่ยจื้อก็ไม่เป็นไร ตอนนั้นเลยไม่ได้บอกเธอ”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นกำมือเป็นหมัดแน่นๆ จนข้อนิ้วขาวซีด เธอพูดพึมพำ “หมายความว่าตอนนั้นเป้าหมายของนักฆ่าคือหลานชายสกุลเฮ่อ แต่เสวี่ยจื้อไปนั่งที่นั่งบนรถไฟของเขาโดยไม่ตั้งใจ ถึงได้เกือบเคราะห์ร้ายอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ ตอนนั้นหลานชายสกุลเฮ่อได้ข่าวก็ไล่ตามรถไฟไปช่วยเสวี่ยจื้อไว้แบบไม่คิดชีวิต บุญคุณครั้งนี้ใหญ่หลวงมาก ฉันต้องตอบแทนเต็มที่ แต่ว่าอวิ๋นจิ่น เธอคิดดูนะ เหตุการณ์ในขณะนั้นล่อแหลมวิกฤตมาก เรียกได้ว่าสวรรค์ยังมีตา เสวี่ยจื้อถึงได้รอดพ้นอันตรายมาได้อย่างปลอดภัย ถ้าหากหลานชายสกุลเฮ่อช้าไปก้าวเดียว หรือว่าเสวี่ยจื้อถึงคราวชะตาขาด…” เขาหยุดพูดกลางคัน
ชีวิตนี้เขาประสบคลื่นลมมรสุมเฉียดกรายผ่านประตูนรกมาตั้งไม่รู้กี่หนต่อกี่หน เห็นความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดามานานแล้ว
ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียวที่จ้าวมังกรเจิ้งเพียงคิดขึ้นมาก็จะใจสั่นไม่หาย
ฝ่ายเยี่ยอวิ๋นจิ่นยิ่งหน้าบึ้งตึงมากขึ้น
“ด้วยเหตุนี้เมื่อตอนต้นปีพอฉันรู้ว่าเสวี่ยจื้ออยู่กับเขาตามลำพังในวันสิ้นปี ฉลองปีใหม่กันสองต่อสองในบ้านเขาที่ชานเมืองตะวันตกของเมืองหลวง ฉันก็ไม่วางใจแล้ว พอดีช่วงนั้นเกิดเหตุวุ่นวายในกวนซี ฉันถึงยื่นมือช่วยหลานชายสกุลเฮ่อ ฉันเดาได้ว่าเขาต้องกลับมาขอบคุณฉันในภายหลัง เดือนก่อนเขาปราบจลาจลที่กวนซีได้ก็มาหาฉันจริงๆ ฉันลองถามหยั่งเชิงดู แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ เขากับเสวี่ยจื้อ…” เขาหยุดพูดเป็นครั้งที่สอง
นับจากที่พบหน้ากันตอนนั้นก็ผ่านไปพักหนึ่งแล้ว กระนั้นยามเอ่ยถึงเรื่องนี้จ้าวมังกรเจิ้งยังขมวดคิ้วน้อยๆ ดวงตาลึกโหลทั้งคู่บนใบหน้าที่ซูบผอมลงก็ฉายรอยขุ่นเคืองจางๆ ดุจเก่า
เยี่ยอวิ๋นจิ่นอาบน้ำร้อนมาก่อน เห็นสีหน้านี้ของเขาก็เดาความหมายที่ซ่อนอยู่ในประโยคที่เขาไม่ได้พูดออกมาได้
คนหนึ่งเป็นผู้ชายที่ยังหนุ่มแน่นเลือดลมสูบฉีดพลุ่งพล่าน อีกคนเป็นหญิงสาวสะพรั่งมุทะลุไร้เดียงสาที่ไปอยู่ต่างถิ่นไกลบ้านไม่มีคนชี้แนะอยู่ข้างตัว…ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อๆ กันไม่ขาดสายล้วนเป็นเรื่องไม่คาดฝันจนเธอตั้งตัวไม่ติด
เยี่ยอวิ๋นจิ่นพูดไม่ออกบอกไม่ถูกแม้สักประโยคเดียวไปชั่วขณะ
คนแซ่เจิ้งเป็นพวกใจไม้ไส้ระกำอยู่หรอก แต่เวลาจะพูดจะทำอะไรก็ไม่ใช่คนที่เชื่อถือไม่ได้
ในเมื่อเขาพูดว่าใช่ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องใช่แน่
สมัยเยี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่ในวัยเดียวกับลูกสาว ช่วงอายุสิบแปดสิบเก้าเธอก็พาลูกน้องออกไปดูตลาดทำการค้าตามที่ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ สำหรับเรื่องการวางตัวในสังคมและการรู้เท่าทันคนนั้นเรียกได้ว่าเป็นทักษะพื้นฐานของการเอาตัวรอดเลยทีเดียว
แต่ในสายตาของเธอตอนนี้ยังมองเห็นลูกสาวที่กำลังอายุสิบแปดสิบเก้าเช่นกันเหมือนเป็นเด็กอยู่เสมอ ใสซื่อบริสุทธิ์ดุจผ้าขาว ไม่รู้ว่าความโหดร้ายของโลกใบนี้เป็นอย่างไร
พอเธอตั้งสติได้แล้วก็เริ่มโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“คนแซ่เฮ่อทำเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้อย่างไรกัน” เธอโมโหจนเสียงสั่น “มิน่าคราวก่อนที่เขามาถึงได้ให้เกียรติฉันขนาดนั้น! ฉันยังพูดอยู่ว่าเขามีอัธยาศัยไมตรีไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง! ถึงว่าอยู่ดีๆ ก็มาทำดีด้วย ที่แท้เป็นพวกคิดไม่ซื่อ! ฉันมองคนผิดเองหรือนี่ น่าอายที่สุด เขาเลวยิ่งกว่าเดรัจฉาน!”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลานชายสกุลเฮ่อที่ดูท่าทางสง่าผ่าเผยและสุภาพมีมารยาทจะดีแค่เปลือกนอก แต่นิสัยใจคอต่ำช้าเลวทรามเพียงนี้
คำภาษิตว่าไว้ว่ากระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง* เขากลับทำกับลูกสาวของเธอแบบนี้ได้ลงคอ ส่วนเธอกับพี่ชายไม่เพียงเชื่อใจเขาทุกอย่าง ยังซาบซึ้งในบุญคุณยกใหญ่โดยไม่ระแวงแคลงใจสักนิด
น่าเยาะเย้ยสิ้นดี ซ้ำยังน่าโมโหด้วย!
ถึงยังไม่รู้ว่าเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของลูกสาวเธอได้อย่างไร แต่ไม่ต้องคิดก็เดาได้ว่าหลังจากเขาจับได้ต้องใช้ฐานะที่เหนือกว่าเอาเปรียบลูกสาวผู้ไร้เดียงสาของเธอที่เพิ่งออกไปผจญโลกภายนอก
เขาต้องเป็นฝ่ายล่อลวงเสวี่ยจื้อ ต้องเป็นแบบนี้แน่!
เยี่ยอวิ๋นจิ่นก่นด่าไปหลายคำแล้วยังไม่หายแค้น กลับโกรธเคืองและเสียใจภายหลังสุดจะกล่าว เธอตำหนิตนเองไม่หยุด
“ต้องโทษฉันคนเดียว! ตอนนั้นฉันไม่ควรให้เสวี่ยจื้อไปไกลบ้านขนาดนั้นคนเดียวเพราะอยากพึ่งบารมีญาติอะไรก็ไม่รู้ เหตุใดฉันไร้สติอย่างนั้นนะ ถึงได้เชื่อว่าคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจะคอยดูแลเสวี่ยจื้อจริงๆ กิตติศัพท์ของเขาก็ออกจะฉาวโฉ่แบบนั้น ใช่ว่าฉันไม่รู้…”
จ้าวมังกรเจิ้งนิ่งเงียบไปในทีแรก
บนเรือกลางสายน้ำราตรีนั้น เขาลองหยั่งเชิงนิดเดียว เฮ่อฮั่นจู่ก็สารภาพความจริงว่ามีความสัมพันธ์กับลูกสาวเขาถึงขั้นไหนแล้ว
เอาเป็นว่าที่ควรทำและไม่ควรทำ เจ้าหนุ่มมือไวใจเร็วนั่นก็ทำไปหมดแล้ว
จ้าวมังกรเจิ้งอดยอมรับไม่ได้ว่าถึงตอนนี้แล้วเขาก็ยังบ่งหนามตำใจออกไม่หมดเหมือนหัวอกคนเป็นแม่
พอนึกถึงเรื่องนี้เขาก็โกรธเคืองไม่หาย ครั้นตอนนี้เห็นเยี่ยอวิ๋นจิ่นตำหนิตนเองแบบนี้ เขารู้สึกสงสารเหลือทน กำลังจะเอ่ยปากพูดต่อ เธอก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้อีก
ปีที่แล้วนี่เอง ในบ้านญาติที่อยู่อำเภอติดกันของอาหกสกุลซูมีลูกสาวคนหนึ่งเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว ลือกันว่าเธอคบชู้กับคนรับใช้ในบ้านสามีจนท้องโต กลัวถูกคนจับได้เลยซื้อยาขับเลือดมาคิดจะเอาเด็กออก แต่โชคร้ายมีอาการตกเลือดจนเสียชีวิตในวันเดียวกัน…
ดวงตาทั้งคู่ของเยี่ยอวิ๋นจิ่นนิ่งขึงไป หัวใจเต้นตึกตักๆ เธอหมดแก่ใจด่าใครแล้ว ผละจากจ้าวมังกรเจิ้ง หันหลังจะเดินออกไปอย่างเร่งร้อน แต่เพิ่งก้าวขาออกไปเท้าก็เหยียบถูกชายเสื้อคลุม ทำให้ตัวเซเกือบล้มลง
ฝ่ามือแกร่งผอมเกร็งสากด้านดุจกระดาษทรายข้างหนึ่งยืนมาประคองเธอไว้
“เธอจะไปไหน”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่มองเขาสักแวบเดียว เธอไม่กล้าทำเสียงดังเพราะกลัวคนอื่นจะได้ยิน ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงกระชากกระชั้น “คิดว่าฉันจะไปที่ไหนล่ะ เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นแล้ว ฉันก็ต้องรีบไปรับลูกสาวฉันกลับมาทันทีน่ะสิ ฉันจะปล่อยให้คนอื่นเหยียบย่ำลูกแบบนี้ไม่ได้”
จ้าวมังกรเจิ้งเห็นหน้าตาเยี่ยอวิ๋นจิ่นขาวซีด และเห็นชัดว่าจิตใจเธอว้าวุ่นสับสนอยู่ นิ้วมือทั้งห้าที่พยุงแขนเธอไว้ไม่คลายออก ออกแรงเพียงเล็กน้อยดึงตัวเธอเข้ามาใกล้ จากนั้นกดสองบ่าของเธอลงเบาๆ
เยี่ยอวิ๋นจิ่นล้มลงนั่งบนเก้าอี้ที่เขานั่งเมื่อครู่นี้อย่างขัดขืนไม่ได้
“อย่าเพิ่งใจร้อน ฉันยังพูดไม่จบ…”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นร้อนใจดุจไฟลน อยากติดปีกบินไปเมืองเทียนเดี๋ยวนี้ใจจะขาด พอเห็นเขายังทำท่าเอื่อยเฉื่อยไม่รู้ร้อนรู้หนาวสักนิดก็โกรธจนควันออกหู เธอผลักไสเขาพลางก่นด่าอย่างอดรนทนไม่ไหวอีก
“คนแซ่เจิ้ง! คุณมันแก่แล้วไม่เอาไหน! ไม่มีปัญญาทำอะไรคนแซ่เฮ่อได้ อยากทำตัวเป็นเต่าหดหัวในกระดอง ฉันก็ไม่บังคับคุณ แต่อย่างไรเสวี่ยจื้อก็เป็นลูกสาวคุณ คุณไม่สนใจว่าลูกจะเป็นหรือตายก็ช่าง ยังจะไม่ให้ฉันไปรับลูกกลับมาอีกหรือ”
สีหน้าของจ้าวมังกรเจิ้งเรียบสนิทดุจผิวน้ำนิ่งดังเก่า “ตอนนั้นฉันคุยเรื่องเสวี่ยจื้อกับเขาแล้ว”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นชะงักกึก เงยหน้าขึ้นเบิ่งตาโต “พูดว่าอย่างไร บอกมาเร็วเข้า”
เขาอธิบายต่อ “อวิ๋นจิ่น ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ฉันบอกเธอตอนนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว เมื่อก่อนฉันเป็นนักโทษที่ราชสำนักชิงออกประกาศตามจับมาโดยตลอด แล้วก็มีกรุซ่อนสมบัติจำนวนไม่น้อยก้อนหนึ่งด้วย”
จ้าวมังกรเจิ้งเห็นเยี่ยอวิ๋นจิ่นมองเขาอย่างตกใจก็ยกยิ้มบางๆ
“พูดไปแล้วเรื่องมันยาว ไว้วันหลังสะดวกๆ ถ้าเธอยังอยากรู้ค่อยเล่าอย่างละเอียดอีกทีก็ยังไม่สาย ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดี หลานชายสกุลเฮ่อแบกความแค้นของตระกูลไว้ นอกจากตัวเขาเองอยากแก้แค้นแล้ว ศัตรูที่หมายหัวเขาก็ต่อแถวยาวเหยียดรออยู่”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบรัด
“ฉันก็ยังไม่รู้หรอกว่าเขาจริงใจกับเสวี่ยจื้อหรือแค่รักสนุกชั่วครู่ชั่วยาม แต่ต่อให้เขาจริงใจก็ขาดความยับยั้งชั่งใจไปจริงๆ ตักตวงแต่ความสุขตรงหน้า ไม่คิดถึงอนาคต ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่คำนึงถึงเสวี่ยจื้อ เหตุใดไม่ลองคิดดูบ้างว่าถ้าเกิดเสวี่ยจื้อปักใจกับคนที่มีแต่ปัจจุบันไม่มีอนาคตอย่างเขา พอเขาตายไป วันหน้าเสวี่ยจื้อจะเป็นเช่นไร แล้วถ้าเกิดยังทำให้เสวี่ยจื้อเดือดร้อนไปด้วยจะทำอย่างไรกันดี”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นร้อนรุ่มใจจนแทบจะเห็นประกายไฟคุโชนในดวงตาทั้งคู่ เธอตัดบทเขาฉับพลัน “พล่ามอะไรอยู่ได้ ฉันจะไม่รู้เรื่องพวกนี้หรือ ใครอยากฟังเรื่องนี้กัน ฉันถามว่าตอนนั้นพูดกับเขาว่าอย่างไรกันแน่”
“ตอนนั้นฉันเสนอเงื่อนไขข้อหนึ่งว่าฉันเต็มใจยกสมบัติให้เขา ฉันหวังว่าเขาจะรับฟังคำเตือน คำนึงถึงอนาคตของเสวี่ยจื้อ เอาสมบัติไปสะสางเรื่องของตนเองซะ วันหลังอย่าไปยุ่งกับลูกอีก”
“แล้วอย่างไร เขาว่าอย่างไรบ้าง” ดวงตาของเยี่ยอวิ๋นจิ่นไหวระริก เธอซักไซ้ไล่เลียงทันใด
“คืนนั้นหลังเขากลับไปลูกน้องฉันก็มาบอกว่าเขาไปบ้านเก่าของสกุลเฮ่อที่เมืองเฉิงตู ผ่านไปสองสามวัน เขากลับมาพบฉันอีกครั้งเพื่อบอกเรื่องเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไร”
“บอกว่าเขาไม่เอาสมบัติ”
“อะไรนะ!” ใบหน้าเยี่ยอวิ๋นจิ่นฉายรอยโทสะ เธอลุกพรวดขึ้นยืน “นี่เขาเอาแน่แล้วสินะ อยากให้ลูกสาวเราเดือดร้อนไปด้วยหรือ”
“ก็ไม่ได้พูดอย่างนี้เสียทีเดียว เรื่องเสวี่ยจื้อเขาบอกว่าเขาตอบทันทีไม่ได้ เขาต้องใคร่ครวญอีก บอกฉันว่าให้เวลาเขาอีกหน่อย”
จ้าวมังกรเจิ้งรอเยี่ยอวิ๋นจิ่นออกอาการเกรี้ยวกราดอีกครั้ง กลับคาดไม่ถึงว่าจะเห็นเธอไม่ด่าทอต่อ เพียงขมวดคิ้วถามเขาว่า “แล้วคุณพูดว่าอย่างไร”
“ฉันจะพูดอะไรได้อีก ฉันขอแค่สองอย่างคือหนึ่งให้คำตอบฉันเร็วที่สุด สองอยู่ในกรอบประเพณี”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นเอาสองมือจับเท้าแขนเก้าอี้ไว้ ระบายลมหายใจออกช้าๆ เฮือกหนึ่ง เธอจมอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่งก่อนเหลือบตาขึ้นมองจ้าวมังกรเจิ้งที่ยืนอยู่ตรงหน้าตลอด “วันนี้ที่เรียกฉันมาเพราะเขาให้คำตอบแล้วใช่ไหม”
จ้าวมังกรเจิ้งผงกศีรษะนิดเดียวแล้วล้วงจดหมายซองหนึ่งบนตัวออกมายื่นส่งให้ “มาแล้ว”
เธอฉวยเอามาแกะเปิดอย่างฉับไว
จ้าวมังกรเจิ้งขยับเชิงเทียนมาใกล้ขึ้นอย่างเงียบๆ เพื่อส่องแสงสว่างให้เธอ
เยี่ยอวิ๋นจิ่นอ่านจดหมายใต้แสงเทียน
ย่อหน้าแรกของจดหมาย หลานชายสกุลเฮ่อกล่าวถึงตัวเขาเองว่า
‘ร่างกายอ่อนแออมโรค ยังถลำตัวจมปลักอยู่กลางโคลนตม ยอมทำทุกวิถีทางอย่างไร้ยางอายเป็นนิจศีลเพื่อให้ได้มาซึ่งยศถาบรรดาศักดิ์ กระทั่งตนเองยังเอาตัวไม่รอด แต่กลับฝืนมโนธรรม หวังพึ่งโชคดวง กระทำความผิดมหันต์ด้วยใจที่มืดบอด
ผมขอรับผิดไว้เพียงผู้เดียว ผมทำตามใจไร้ความรับผิดชอบ สร้างราคีให้กับแก้วตาดวงใจของท่าน ทั้งยังทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของคุณน้าเยี่ยที่เคารพ เลวทรามยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานโดยแท้ ผมละอายแก่ใจจนไม่อาจสู้หน้าใครได้ ถึงตายสักกี่หนก็ไม่สาสมกับความผิด’
เมื่อได้รับฟังคำพูดกระตุ้นเตือนสติแล้ว เฮ่อฮั่นจู่รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นใจและตระหนักตนได้แล้วว่าพึงควรทำเช่นไร ซึ่งจุดนี้ชายหนุ่มขอให้จ้าวมังกรเจิ้งวางใจ อีกทั้งบอกกล่าวต่อให้เยี่ยอวิ๋นจิ่นได้รับทราบด้วย
ขณะที่เยี่ยอวิ๋นจิ่นอ่านจดหมาย เธอมุ่นคิ้วน้อยๆ ทำหน้าตาไม่สบอารมณ์อยู่ตลอด
ในโลกนี้ไม่มีแม่คนไหนอยากเห็นลูกสาวของตนเองตกลงปลงใจกับผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่อาจมอบความสุขให้ชั่วชีวิตได้
นับประสาอะไรกับเฮ่อฮั่นจู่ที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ถึงตอนนี้เขากำลังมีอำนาจรุ่งเรืองประหนึ่งดวงตะวันกลางฟ้า เข้าไปขอพึ่งพาบารมีได้ย่อมเป็นเรื่องดี กระนั้นในยุคบ้านเมืองวุ่นวายแบบนี้ วงการทหารและการเมืองก็ต่อสู้ฟาดฟันกันดุเดือดอยู่แล้ว เขายังมีศัตรูรายล้อม ไม่แน่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาสักวันก็เป็นได้
ว่ากันถึงเรื่องมีความรัก เขาต้องไม่ใช่คนรักที่ดีอย่างแน่นอน
จุดนี้เยี่ยอวิ๋นจิ่นประจักษ์แจ้งแก่ใจยิ่ง
ดังนั้นดูจากคำตอบในจดหมายของเขา เขาตกลงตามคำขอของจ้าวมังกรเจิ้ง ไม่นำความเดือดร้อนมาให้ลูกสาวเธออีก เธอรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ทว่ายังไม่ทันโล่งใจเต็มที่เธอก็คิดได้อีกว่าเรื่องที่ควรทำและไม่ควรทำ เขาก็ทำไปหมดแล้วโดยไม่นำพา ถึงตอนนี้จะทำแบบนี้ แต่จะเยียวยาทุกสิ่งได้อย่างไรกัน
เธอไม่อยากเห็นลูกสาวคบหากับเขาต่อ แต่พอคิดถึงว่าขณะนี้ลูกสาวอาจจะเสียใจเพราะเขาอยู่ ในใจเธอก็เจ็บปวดทรมานเหมือนโดนมีดกรีด
เยี่ยอวิ๋นจิ่นนิ่งไปชั่วอึดใจ เธอเห็นจดหมายยังมีอีกหนึ่งหน้าก็ข่มความขุ่นเคืองในใจไว้แล้วอ่านต่อไป
บนกระดาษจดหมายที่ขึ้นหน้าใหม่นี้ หลานชายสกุลเฮ่อเขียนเกริ่นนำว่าเขารู้ว่าข้อความต่อจากนี้อาจสร้างความไม่พอใจให้จ้าวมังกรเจิ้งกับเธอ แต่หลังจากไตร่ตรองดูแล้วเขาตกลงใจเขียนแนบท้ายมาด้วยเพื่อแสดงถึงความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยว
คำว่าจริงใจมีค่าดุจทองพันชั่ง คนพรรค์อย่างเขาไม่กล้าพูดว่าจริงใจง่ายๆ อย่างไร้ความหมาย แต่เขารู้เช่นกันว่าคำสัญญาที่สำคัญที่สุดซึ่งผู้ชายบนโลกนี้มีให้กับหญิงในดวงใจได้คือขอเธอแต่งงานและดูแลเธอไปชั่วชีวิต
นี่คือสุดยอดความปรารถนาของเขา
ขณะนี้เขายังไม่รู้ว่าตนเองจะตายวันตายพรุ่ง ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะขอแต่งงานหรือให้คำมั่นใดๆ
ถึงอย่างนั้นสำหรับเขาแล้ว นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นการเริ่มต้น
ความแค้นเป็นหน้าที่ที่เขาหลบเลี่ยงไม่ได้ในฐานะลูกหลานสกุลเฮ่อ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต เขาก็ไม่นึกเสียดาย ทว่ามันก็เป็นโอกาสเหมาะเช่นเดียวกัน ก่อนที่เขาจะให้คำสัญญาต่อซูเสวี่ยจื้อ เขาจำเป็นต้องสร้างอนาคตใหม่ให้ตนเอง อนาคตที่ให้สิทธิ์เขาไปเอ่ยปากสู่ขอเธอจากเยี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างเต็มภาคภูมิ
ตอนท้ายจดหมายเขาเขียนว่าถ้าเขาสามารถกลับมาอย่างปลอดภัย ถึงตอนนั้นยังโชคดีที่ได้รับการยอมรับและเข้าอกเข้าใจ เขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทุ่มเทความสามารถทั้งหมดปกป้องเธอให้อยู่ดีมีสุขไปตราบจนวันตาย
‘ทุกถ้อยทุกคำข้างต้นกลั่นมาจากใจ หากมีสิ่งใดล่วงเกิน ผมต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
ด้วยความเคารพยิ่ง…เฮ่อฮั่นจู่’
เยี่ยอวิ๋นจิ่นอ่านใจความจดหมายถึงคำสุดท้ายแล้วจิตใจของเธอก็สงบลง ความโกรธจางหายไป ทว่าสีหน้าเริ่มปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลากทีละน้อย
เธอนิ่งเงียบไปเป็นนานถึงเงยหน้าขึ้นมองจ้าวมังกรเจิ้งที่อยู่เบื้องหน้า
เยี่ยอวิ๋นจิ่นสะกดอารมณ์ที่สับสนยุ่งเหยิงในใจไว้แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “คุณเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
จ้าวมังกรเจิ้งอ่านจดหมายฉบับนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบจนจดจำเนื้อความได้ขึ้นใจ ครั้นได้ยินเธอถามขึ้น เขาก็อดลังเลใจไม่ได้
ครั้งนั้นเขาไม่ได้พาเยี่ยอวิ๋นจิ่นหนีไปตามคำขอของเธอ ข้อแรกเพราะไม่อยากให้เธอเดือดร้อน ข้อสองเพราะเขาไม่อาจละทิ้งความรับผิดชอบทุกอย่างโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ต่อมาหลังจากคืนนั้นเขาไม่แอบติดต่อกับเธออีก เพราะกลัวจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าข่าวลือเป็นความจริง ทำให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียง
เธอเป็นหัวหน้าสกุลซู หากเรื่องแบบนี้ถูกคนจับได้ ตัวเขาไม่เป็นไร แต่สำหรับเธอแล้วไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน
เขาปล่อยให้เธอตกที่นั่งลำบากไม่ได้เป็นอันขาด
อีกอย่างเขาแจ่มแจ้งดีแก่ใจว่าหลังจากซูเสวี่ยจื้อ ‘คุณชาย’ สกุลซู ลูกของเขากับเธอค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้น ก็ไม่เป็นมิตรกับเขาเพราะเขาคือคนนอกที่เป็นชู้กับแม่เธอตามข่าวลือ
ตลอดหลายปีมานี้เขาไม่คาดหวังอะไรมานานแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือคุ้มครองพวกเธออยู่ในที่ลับ
สองปีนี้เยี่ยอวิ๋นจิ่นกับพี่ชายของเธอทางเมืองเฉิงตูเจอสวินต้าโซ่วระรานราวี เขาก็รู้เรื่องดี ปีที่แล้วเขาได้ข่าวว่าเยี่ยหรู่ชวนอาจถูกปองร้ายถึงได้รีบรุดไปช่วยไว้
เดิมทีเขาวางแผนไว้ว่าหากสวินต้าโซ่วยังคุกคามพวกเธอต่อ เขาก็จะลงมือแล้ว คิดไม่ถึงว่าเยี่ยอวิ๋นจิ่นกับพี่ชายจะพบลู่ทางอื่นคือติดต่อกับเฮ่อฮั่นจู่ และส่งลูกสาวไปเรียนหนังสือที่เมืองเทียน ถึงได้จับพลัดจับผลูเกิดเรื่องต่างๆ ตามมามากมายในตอนนี้
ก่อนได้รับจดหมายฉบับนี้ของเฮ่อฮั่นจู่ จ้าวมังกรเจิ้งก็รู้ข่าวว่าทางเมืองหลวงเกิดเหตุพลิกผันกะทันหัน คาดเดาว่าชายหนุ่มกับลู่หงต๋าศัตรูของสกุลเฮ่อน่าจะใกล้ปะทะกันแล้ว
หลังได้รับจดหมายหลายวันนี้บอกตามตรงว่าในใจเขาก็ไตร่ตรองซ้ำๆ คิดอะไรต่อมิอะไรไม่น้อย
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพวกนอกกฎหมาย อีกอย่างเขาอายุมากแล้ว หลังพบกับเหตุร้ายคราวนี้ก็หวั่นใจว่าตัวเขาคงเหลือเวลาอีกไม่มาก
เหนือสิ่งอื่นใดต่อให้เขายังอยู่ บางครั้งเขาก็ไม่สามารถยื่นมือไปดูแลได้อย่างทั่วถึง แล้วทันทีที่เขาตายลง พวกเธอสองแม่ลูกจะปลอดภัยไปได้อีกนานแค่ไหน
เขาเอ่ยปากขึ้นอย่างตัดสินใจได้ในที่สุด “ครั้งก่อนที่ฉันเอ่ยถึงขุมสมบัติกับเขา เพราะอยากหยั่งความรู้สึกที่เขามีต่อเสวี่ยจื้อ ถ้าเขาเอาสมบัติไม่เอาเสวี่ยจื้อ แบบนั้นก็จะดีที่สุด สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป ตอนนี้ดูแล้ว นอกจากเขาจะใจเร็วด่วนได้กับเรื่องของเสวี่ยจื้อไปสักนิด คิดอ่านไม่รอบคอบ แต่อย่างอื่นก็ไม่ได้ย่ำแย่เหลือทนขนาดนั้น แล้วดูจากที่เขาเขียนมาในจดหมาย ก็พอจะนับว่าเป็นคนรู้จักแยกแยะและมีความบริสุทธิ์ใจอยู่บ้างนะ”
เขากล่าวต่อว่า “วันนี้ฉันได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งจากทางเมืองเทียน กองกำลังฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้จวนจะทำสงครามกันแล้ว นี่เป็นอุปสรรคด่านหนึ่งของหลานชายสกุลเฮ่อ เขาเป็นผู้ชาย ต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยตนเอง หากเขาฝ่าด่านนี้ไปไม่ได้ นั่นก็เป็นชะตาฟ้าลิขิต เขาไม่ใช่คนของเสวี่ยจื้อ แล้วก็ไม่มีความสามารถที่จะปกป้องเสวี่ยจื้อได้ เลิกกันเร็วขึ้นก็เป็นผลดีต่อเสวี่ยจื้อเหมือนกัน แต่ถ้าเขาผ่านมาได้ แล้วอีกหน่อยเสวี่ยจื้อเองยังเต็มใจอยู่กับเขา ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่มีความเห็นอย่างอื่นแล้ว วันหลังฉันช่วยเขาได้เท่าไหน ฉันก็จะพยายามช่วยเขาเท่านั้นอย่างเต็มที่”
เขาหยุดพูดแล้วมองเธอ ดวงตาที่ล้อมกรอบด้วยร่องลึกคู่นั้นแฝงประกายอ่อนโยน “เพียงแต่ฉันคิดว่าเธอเป็นแม่ของเสวี่ยจื้อ เรื่องนี้เป็นความสุขชั่วชีวิตของลูก มีแค่เธอเท่านั้นที่ตัดสินได้ ถึงได้ถือวิสาสะเชิญเธอมาคืนนี้ เพื่อให้เธอได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เธอจะได้รู้ว่าควรทำอย่างไร”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นน้อยๆ มองเขา
ผู้ชายตรงหน้าไม่ได้เป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ดังเช่นในวันวาน ใบหน้าเขาซูบตอบ จอนผมมีเส้นผมสีขาวแซมประปราย
ครู่ใหญ่เธอกล่าวโพล่งขึ้น “ผ่านมาตั้งนานหลายปีฉันนึกว่าคุณไม่สนใจไยดีเสวี่ยจื้อ…”
น้ำเสียงของเธอไม่มั่นคงนัก เธอกำลังพูดอยู่ก็เบือนหน้าไปทางอื่นกะทันหัน รอกระทั่งกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าเมื่อครู่กลับลงไปแล้วถึงหันกลับมาพยักหน้า “ถึงที่สุดแล้วคุณยังมีหัวอกของคนเป็นพ่ออยู่บ้าง”
จ้าวมังกรเจิ้งนิ่งเงียบ
เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่มองเขาอีก ก้มหน้าก้มตาอ่านจดหมายฉบับนั้นอีกรอบหนึ่งแล้วนิ่งคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ลูกสาวไม่ใช่ของฉันคนเดียว ในเมื่อคุณนับเสวี่ยจื้อเป็นลูก เรื่องนี้ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด ทำตามที่คุณเห็นควรเถอะ ฉันอยากถามแค่ข้อเดียวว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตอนนี้เสวี่ยจื้อเป็นอย่างไรบ้าง”
ที่เธอกังวลใจที่สุดคือลูกสาวเป็นพวกสุดโต่ง ถ้าเกิดรับไม่ได้ขึ้นมาล่ะ…
จ้าวมังกรเจิ้งตอบ “เธอวางใจได้ เรื่องนี้ไม่น่าจะส่งผลกับลูกมากนัก ได้ยินว่าหลายวันนี้ลูกทำงานง่วนอยู่ในห้องปฏิบัติการของวิทยาลัยตลอด”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นฟังแล้วระบายลมหายใจออกช้าๆ เธอนั่งต่ออีกครู่หนึ่ง เห็นจ้าวมังกรเจิ้งไม่พูดอะไรอีกก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ
“ฉันไปละ” เธอลุกขึ้นยืนดึงหมวกของเสื้อคลุมที่ดึงลงเมื่อครู่ขึ้นคลุมศีรษะ หันหลังเดินไปทางข้างนอกโดยไม่มองเขาซ้ำแม้แต่แวบเดียว
ส่วนเขายืนอยู่ที่เดิมมองส่งเธอจนลับร่างไปตรงประตูบานนั้น
รอจนเธอออกไปแล้ว จ้าวมังกรเจิ้งซึ่งยืนจนถึงตอนนี้ก็ฝืนทนไม่ไหวในที่สุด เอามือเกาะขอบโต๊ะถึงทรงตัวไว้ได้
ฝ่ายเยี่ยอวิ๋นจิ่นหลังออกจากห้องมาแล้วเห็นว่าด้านหลังยังคงเงียบกริบ ไม่ได้ยินเสียงเรียกเป็นเชิงรั้งตัวเธอไว้สักคำเดียวอยู่จนแล้วจนรอด ถึงเธอจะรู้แก่ใจดีว่าผู้ชายคนนี้ใจแข็งเป็นหิน ถึงผ่านมาแบบนี้ได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว ทว่าความโกรธเคืองในครั้งนั้นยังติดอยู่ในใจ ส่งผลให้เธออึดอัดงุ่นง่านไปหมด
เธอย่ำเท้าเดินไปตามพื้นไม้กระดานได้ไม่กี่ก้าวก็มองเห็นหวังหนีชิวเฝ้าอยู่ตรงเชิงบันไดแต่ไกลเพื่อรอส่งเธอออกไป เธอหยุดฝีเท้าอย่างลังเลใจชั่วครู่ สุดท้ายก็สะกดความโกรธไว้ไม่อยู่
ในเมื่อเจอหน้ากันแล้ว หากไม่ถามออกมาแล้วกลับไปแบบนี้ เห็นทีว่าเธอคงอัดอั้นใจตาย
เธอขบกรามแน่น หมุนตัวขวับเดินกลับไปเปิดประตูผลัวะ “คนแซ่เจิ้ง ถ้าวันนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องของลูกสาวเรา ชาตินี้ถึงตายก็ไม่คิดจะพบหน้าฉันอีกสักครั้งใช่ไหม…”
เสียงพูดของเยี่ยอวิ๋นจิ่นขาดหายไปกลางคันพร้อมกับหยุดยืนนิ่งกับที่ พอเธอตั้งสติได้ก็ถลันเข้าไปจับแขนของจ้าวมังกรเจิ้ง “เป็นอะไรไป”
ใบหน้าของเขาซีดเหลือง หน้าผากมีเหงื่อผุดซึมจนทั่ว สภาพต่างจากที่เธอเห็นเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคนกัน
เยี่ยอวิ๋นจิ่นนึกถึงเรื่องที่เขาได้รับบาดเจ็บก่อนนี้ขึ้นได้ฉับพลันแล้วใจหายวาบ “อาการของคุณยังไม่หายดีหรือ เป็นอย่างไรบ้าง ยังทนไหวไหม”
เธอลุกลนหันไปจะเรียกหวังหนีชิวเข้ามา
“ไม่ต้อง เธอพยุงฉันนั่งลงตามเดิม พักสักครู่ก็พอ” จ้าวมังกรเจิ้งบอกเสียงแผ่วเบา
เธอได้แต่พยุงเขาไว้ เอาหัวไหล่ของตนเองยันลำตัวท่อนบนของเขา ให้เขาใช้เป็นที่พิงขณะนั่งกลับลงบนเก้าอี้ช้าๆ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก คราวก่อนไม่ทันระวังตัวให้ดี คิดไม่ถึงว่าเจ้าหกจะสมคบคนนอกเล่นงานฉันถึงได้พลาดท่า เพราะใบมีดทาพิษอูโถวไว้ แผลถึงหายได้ไม่เร็วขนาดนั้น” เขาเอ่ยอธิบาย “ฉันดวงแข็ง เจ้าสามยังตามหมอเก่งๆ มารักษาฉันหลายคน ฉันไม่ตายง่ายๆ อย่างนั้นหรอก เธอไม่ต้องเป็นห่วง”
จ้าวมังกรเจิ้งพิงพนักเก้าอี้ เห็นเยี่ยอวิ๋นจิ่นมีสีหน้าร้อนรนแล้วยิ้มน้อยๆ พูดปลอบเธออีกครั้ง
เยี่ยอวิ๋นจิ่นยื่นฝ่ามือไปอังหน้าผากเขา สัมผัสถึงไอร้อนเล็กน้อยก็รู้ว่าเขามีไข้ต่ำๆ เธอทั้งสงสารทั้งโมโห ก่นด่าสาปแช่งหัวหน้าหกหลายคำแล้วฉุกคิดขึ้นได้
“จริงสิ! เสวี่ยจื้อ! ฉันได้ยินพี่ชายฉันบอกว่าเสวี่ยจื้ออยู่ทางนั้นผลการเรียนไม่เลวเลย ตอนปิดเทอมฤดูหนาวปีก่อนยังไปร่วมงานสัมมนาวิชาการแพทย์นานาชาติอะไรสักอย่างด้วย ฉันจะให้ลูกกลับมาดูอาการให้ ถึงลูกรักษาไม่ได้ แต่ก็ต้องรู้จักหมอฝรั่งเก่งๆ บ้าง”
“ฉันเคยให้หมอฝรั่งตรวจแล้ว เธอไม่ต้องรบกวนลูก” จ้าวมังกรเจิ้งบอกปัดโดยไม่ต้องคิด
“ไม่ได้! หมอทางโน้นต้องไม่เหมือนกันแน่ รอก่อนนะ ฉันจะกลับไปส่งโทรเลขถึงลูกเดี๋ยวนี้เลย”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นหมุนตัวจะออกไปอย่างรีบร้อนพลันรู้สึกอุ่นผ่าวๆ ที่มือ เธอหันหน้าไปเห็นเขาเอื้อมแขนมาคว้ามือเธอ
เธอนิ่งงันไป ชะงักฝีเท้ามองมือที่กุมมือเธอไว้ข้างนั้นของเขา
* กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง หมายถึงคนจะไม่ทำสิ่งไม่ดีในพื้นที่ของตนเองเพราะมีแต่จะเสียประโยชน์
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน เมษายน 2567)
Comments
comments
No tags for this post.