X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 187-188

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 187

ภายในโรงแรมแกรนด์แคปิตอล เมื่อจางอี้จิ่วมอบหมายงานเสร็จ ลูกน้องก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว เขานึกถึงคุณถังที่ยังอยู่ในห้องพักชั้นบนสุด จึงเรียกพนักงานหน้าโรงแรมที่ผ่านมาคนหนึ่ง สั่งให้ยกอาหารมื้อค่ำขึ้นไปให้เธอแทนตนเอง และฝากคำพูดไปถึงเธอว่าคืนนี้ไม่ต้องลงมาข้างล่างอีก ล็อกประตูห้องให้แน่นหนา และนอนพักให้เต็มที่

หลังจากนี้ไม่ว่าจะสกัดจับซูเสวี่ยจื้อไว้ได้หรือไม่ คืนนี้เขาคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแล้ว จางอี้จิ่วสั่งงานเสร็จเรียบร้อยก็หมุนตัวจะกลับไปที่ห้องโถงจัดงาน แต่พลันเห็นคนรับหน้าที่ต้อนรับแขกตรงหน้าประตูใหญ่รีบร้อนเข้ามาส่งเสียงเรียกไว้ บอกว่าข้างนอกมีคนมาหาเขา อ้างว่ามีข่าวด่วนสำคัญมากจะแจ้งให้ทราบ

ความคิดแวบแรกของเขาคือมีคนมาแจ้งเบาะแสของซูเสวี่ยจื้อ

เขาใจกระตุกวูบ ไม่นึกว่าจะได้ข่าวเร็วขนาดนี้ จางอี้จิ่วจึงได้แต่ออกไป

ตรงเชิงบันไดนอกประตูทางเข้าโรงแรมมีคนแต่งตัวเหมือนคนงานรออยู่ เขาบอกลูกน้องว่าไม่ต้องตามมาแล้วเดินลงไปคนเดียว จางอี้จิ่วยังไม่ทันอ้าปากพูดอีกฝ่ายก็สาวเท้าก้าวใหญ่ปรี่เข้ามาบอกว่า “ท่านรองจาง คนญี่ปุ่นวางแผนลอบสังหารพลเอกหวังในงานแต่งงานคืนนี้ มือลอบสังหารน่าจะเป็นพนักงานที่แฝงตัวเข้ามาเมื่อครึ่งเดือนก่อน โปรดระวังด้วยขอรับ” อีกฝ่ายพูดจบแล้วก็ไม่รอให้จางอี้จิ่วซักถาม หันหลังกลับไปอย่างเร่งร้อน

จางอี้จิ่วทั้งประหลาดใจทั้งตกใจ แต่ไม่ทันได้ถามต่อสักคำคนผู้นั้นก็หายลับไปในความมืดไม่เห็นวี่แววในพริบตาราวกับติดปีกบิน เขาได้แต่รีบเข้าไปในโรงแรมแล้วพุ่งดิ่งไปที่ห้องโถงจัดงานเป็นอันดับแรก เห็นหวังเซี่ยวคุนกลับที่นั่งของตนเองตรงโต๊ะกลมตัวใหญ่ กำลังสนทนากับพวกฟางฉงเอินและคนสกุลเฉินอย่างสนุกสนาน ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

จางอี้จิ่วมองสำรวจพนักงานโรงแรมที่เดินไปเดินมาทั้งสี่ด้านก็ไม่เห็นพิรุธอะไร เขาคิดจะไปหาหวังเซี่ยวคุน แต่กลับสองจิตสองใจเล็กน้อยก่อนหันหลังออกไปด้านนอกเรียกคนของตนเองมาสองสามคน สั่งให้แอบไปอยู่ใกล้ๆ หวังเซี่ยวคุน เสริมกำลังคุ้มกันเพิ่มขึ้นจากผู้คุ้มกันนอกเครื่องแบบที่จัดเตรียมไว้แต่เดิม แต่ให้คนของตนเองระมัดระวังอย่าให้เป็นที่สังเกต จากนั้นเรียกผู้จัดการโรงแรมมาซักถามว่ามีการจ้างพนักงานใหม่เมื่อครึ่งเดือนก่อนหรือไม่

เขากลัวว่าแหล่งที่มาของข่าวจะไม่แม่นยำหรืออาจมีคนเจตนากลั่นแกล้ง เกิดเขาบอกหวังเซี่ยวคุนไปตรงๆ จนงานมงคลคืนนี้เสียหาย แล้วผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าไม่มีเรื่องอะไร อย่างนั้นก็จะเป็นความผิดของเขาเต็มๆ เพื่อรอบคอบไว้ก่อน เขาจึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจ

“มีหรือเปล่า คุณคิดให้ดีๆ นะ เรื่องนี้สำคัญมาก”

ผู้จัดการโรงแรมโดนเขาถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดก็ไม่กล้าชักช้าเชือนแช รีบพยายามทบทวนความจำแล้วพยักหน้าอย่างว่องไว เล่าว่าครึ่งเดือนก่อนได้รับพนักงานใหม่เข้ามาทำงานจริงๆ เหตุผลเพราะวันหนึ่งพนักงานต้อนรับคนเก่าที่ทำงานที่นี่มานานหลายปีจู่ๆ ก็ไม่มา เลยจำต้องรับคนใหม่ที่มีคนแนะนำให้แบบเร่งด่วนเฉพาะหน้า

จางอี้จิ่วใจหล่นดังตุ้บ “คนคนนั้นอยู่ไหน”

“ในห้องโถงจัดงานคืนนี้มีแต่แขกคนใหญ่คนโตทั้งนั้น ผมกลัวเขาจะทำงานผิดพลาดเลยไม่ให้ออกมาข้างหน้า ให้ทำงานจิปาถะอยู่ข้างหลัง…”

จางอี้จิ่วเรียกคนมาเพิ่มอีกสองสามคนก่อนสั่งให้ตามผู้จัดการโรงแรมไปหาคนผู้นั้นแล้วจับตัวไว้ทันที หากจำเป็นก็ยิงทิ้งได้เลย ส่วนตนเองวิ่งกลับไปที่ห้องโถง หยุดยืนอยู่บริเวณใกล้ๆ หวังเซี่ยวคุนมองสำรวจรอบด้านอย่างตึงเครียด ไม่นานนักลูกน้องของเขากลับมาบอกว่าคนผู้นั้นหายตัวไปแล้ว

พอรู้ว่าข่าวที่ได้มาน่าจะเป็นความจริง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่จางอี้จิ่วก็ไม่คำนึงถึงแล้วว่าปกติไม่กินเส้นกับถงกั๋วเฟิง เขารีบตามตัวอีกฝ่ายมาทันทีและบอกข่าวที่ได้รับมาเมื่อครู่พร้อมยืนยันว่าตรวจสอบแล้วอย่างรวดเร็ว

ถงกั๋วเฟิงกำลังติดตามเรื่องจากลูกน้องที่ออกไปตามหาซูเสวี่ยจื้ออยู่ จึงคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุร้ายแทรกขึ้นอีก เขาตื่นตระหนกยกใหญ่ หลุดปากออกมาโดยไม่ยั้งคิด “แน่ใจนะว่าเป็นคนญี่ปุ่น อาจจะเป็นเฮ่อฮั่นจู่หรือเปล่า”

จางอี้จิ่วสบถอย่างฉุนเฉียว “พูดอะไรพล่อยๆ! ถ้าเฮ่อฮั่นจู่จะก่อเรื่องก็ไม่มีทางเลือกวันแบบนี้หรอก”

ถงกั๋วเฟิงถึงสงบสติอารมณ์ลงได้ พวกเขาเห็นพ้องต้องกันอย่างฉับไวให้หวังเซี่ยวคุนออกจากงานเงียบๆ กลางคันเพื่อไม่ให้แขกเหรื่อตื่นตกใจ พอขึ้นรถแล้วไม่ย้อนกลับมาข้างหน้า ให้ออกทางประตูเล็กของลานจอดรถไปเลย

หลังจากปรึกษากันเรียบร้อยถงกั๋วเฟิงก็เดินลิ่วๆ ไปหาหวังเซี่ยวคุนแล้วก้มตัวพูดกระซิบสองสามคำที่ข้างหูเขา

“เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน พี่เขยจำเป็นต้องออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลยครับ”

หนังตาของหวังเซี่ยวคุนกระตุกทีหนึ่ง แววตกใจแกมโกรธเกรี้ยวจุดวาบขึ้นในดวงตา ทว่าใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขามองไปทางด้านข้างทั้งซ้ายขวา

ถงกั๋วเฟิงยืดหลังยืนตัวตรง เอ่ยอธิบายกับคนอื่นๆ ที่มองมา “ท่านประธานาธิบดีและผู้มีเกียรติทุกท่าน ท่านนายพลมีธุระเล็กน้อย ต้องขอตัวออกไปสักครู่หนึ่งก่อนครับ”

หวังเซี่ยวคุนลุกขึ้นยืนช้าๆ อมยิ้มพยักหน้ากับทุกคนพร้อมกล่าวคำขอโทษ จากนั้นเดินออกไปทางข้างนอก ถงกั๋วเฟิงพาลูกน้องติดตามไปอย่างใกล้ชิดทุกฝีก้าว

หวังเซี่ยวคุนผงกหัวนิดหนึ่งให้คนที่มาแสดงความยินดีตลอดทางจนออกจากห้องโถงจัดงานไปในที่สุด จางอี้จิ่วพาคนมารออยู่ด้านนอกแล้ว พอเห็นหวังเซี่ยวคุนออกมาก็กำลังจะเข้าไปรับ จังหวะนี้เองผู้จัดการโรงแรมได้ตะโกนบอกกะทันหัน “เห็นแล้ว! เขาอยู่ตรงนั้นครับ”

จางอี้จิ่วหันหน้าขวับ เห็นผู้ชายแต่งตัวเป็นบริกรคนหนึ่งวิ่งมาจากทางบันได แทบจะในชั่วพริบตาเดียวกันชายคนนั้นล้วงปืนพกจากใต้ชายเสื้อมายิงใส่หวังเซี่ยวคุนติดกันหลายนัด

มือลอบสังหารคนนี้เป็นนักรบคลั่งชาติ ผู้อำนวยการคิมูระไม่ต้องการให้แผนการล้มเหลวอย่างเด็ดขาด จึงปิดบังเรื่องแผนสำรองไว้ พูดย้ำเพียงว่าต้องทำภารกิจให้สำเร็จ ดังนั้นมือลอบสังหารจึงปฏิบัติการอย่างสุขุมรอบคอบยิ่งยวด เพราะหวังเซี่ยวคุนมีผู้คุ้มกันนอกเครื่องแบบตามติดข้างกาย เขาซ่อนตัวแอบสังเกตการณ์อยู่ในที่ลับแล้วตัดสินใจจะลงมือตอนงานเลิก แต่คิดไม่ถึงว่าเป้าหมายจะออกจากงานกลางคัน จึงจำต้องจัดการทันทีอย่างไม่มีทางเลือก

“อารักขาท่านนายพล” ถงกั๋วเฟิงแผดเสียงดังลั่น

พวกผู้คุ้มกันโดยรอบตื่นตัวเต็มที่ พากันยืนบังอยู่ข้างหน้าหวังเซี่ยวคุนอย่างไม่กลัวตายและผลักเขาให้หมอบลง คนหนึ่งโดนยิงเข้าจุดสำคัญล้มลงกับพื้นทันที ส่วนอีกคนบาดเจ็บ คนที่เหลือเปิดฉากยิงสวนกลับ ปืนสิบกว่ากระบอกระดมยิงพร้อมกัน มือลอบสังหารจะหนีรอดได้อย่างไร อีกฝ่ายถูกกระสุนเจาะร่างเป็นรูพรุนจนขาดใจตาย

ค่ำวันนี้จัดงานใหญ่ระดับนี้มีแขกคนสำคัญคับคั่ง ตัวหวังเซี่ยวคุนเองก็ไม่อยากให้แขกเหรื่อแตกตื่น ถึงได้หลบออกจากงานเงียบๆ อย่างรวดเร็ว แต่คาดไม่ถึงว่ายังคงควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ เสียงยิงปืนรัวเป็นชุดนอกห้องโถงดังไปถึงข้างใน ผู้คนในงานได้ยินแล้วออกมาเห็นสภาพนองเลือด ต่างส่งเสียงร้องอุทานโวยวายอย่างตกใจเสียขวัญ

ไม่มีใครแน่ใจว่ามือลอบสังหารยังมีพรรคพวกอีกหรือไม่

กระนั้นหวังเซี่ยวคุนไม่ได้ตื่นตระหนก สั่งกำชับให้ถงกั๋วเฟิงอยู่ส่งแขกแทน จากนั้นให้พวกจางอี้จิ่วอารักขาเขาออกจากโรงแรมต่ออย่างรีบเร่ง

รถประจำตัวเขาจอดในตำแหน่งที่อยู่ใกล้ประตูใหญ่ของโรงแรมมากที่สุด คนขับรถวิ่งเร็วฉิวนำหน้า ขณะที่คนอื่นๆ ห้อมล้อมหวังเซี่ยวคุนไว้ตรงกลางเป็นขบวนคุ้มกันทั้งหน้าหลังอย่างแน่นหนาพาไปที่รถ

ประตูใหญ่ของโรงแรมเริ่มมีแขกวิ่งกรูกันหนีออกมาจ้าละหวั่น ทั่วทั้งบริเวณวุ่นวายโกลาหลไปหมด

หวังถิงจือเบียดฝ่าผู้คนไล่ตามออกมาถามจางอี้จิ่วว่าเกิดอะไรขึ้น

จางอี้จิ่วติดตามอยู่ข้างหลังหวังเซี่ยวคุนในสภาพเหงื่อออกท่วมหัว เขาไม่มีเวลาอธิบายอย่างละเอียด เพียงบอกสั้นๆ แล้วพูดปลอบหวังถิงจือให้สบายใจ

“…ทางนี้ให้เป็นหน้าที่ผมเอง ถิงจือ คุณรีบเข้าไปช่วยคุณน้าส่งแขก…”

ขณะเขากำลังพูด จู่ๆ รถยนต์คันหนึ่งก็บึ่งมาตามถนนฝั่งตรงข้ามของโรงแรม พอแล่นมาใกล้ก็แทบจะเลี้ยวโค้งหักศอกจนรถทั้งคันกระเด้งลอยจากพื้นกระโจนขึ้นบาทวิถีและแล่นต่อมายังประตูทางเข้า

จางอี้จิ่วตกใจมาก นึกว่าเป็นพวกเดียวกับมือลอบสังหาร เขาควักปืนพลางถอยหลังหลบรถที่อาจจะพุ่งมาชน ปากอ้าจะตะโกนเรียกคน แต่กลับเห็นรถยนต์คันนั้นห้ามล้อกะทันหัน

เสียงล้อบดเบียดบนพื้นถนนระคายหูดังขึ้นก่อนรถจะหยุดจอดสนิท ประตูรถเปิดออก คนผู้หนึ่งลงมาแล้ววิ่งตะบึงมาทางนี้ พร้อมกับตะโกนบอกว่า “อย่าขึ้นรถ บนรถอาจมีอันตราย”

คลับคล้ายว่าเสียงที่ลอยมาตามลมนี้จะสยบความอึกทึกวุ่นวายทั้งสี่ด้านลงได้ คนหลายคนได้ยินเสียงจึงพากันหยุดฝีเท้าหันไปมองตามต้นเสียง เห็นคนที่มาถึงสวมหมวก ร่างสูงเพรียว หนวดเคราเต็มหน้า กอปรกับความมืดเป็นเหตุ ทำให้มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจน

แต่หลังจากเสียงนี้ดังมากระทบหูจางอี้จิ่วก็จำได้ทันที

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอนหันมองไปข้างหลังแวบหนึ่งเขาเห็นหวังถิงจือหยุดยืนนิ่งเช่นกัน ก่อนหันไปมองร่างที่กำลังวิ่งทะยานมาจากอีกฝั่งหนึ่งด้วยสีหน้าแฝงความสับสนงุนงง

จางอี้จิ่วถลันเข้าไปขวางหน้าอีกฝ่ายไว้ ลดเสียงเบาลงถามซักไซ้ “คุณทำอะไรอยู่ มาที่นี่ทำไม ยังไม่รีบหนีไป…”

เฮ่อฮั่นจู่เหมือนไม่ได้ยิน ถอดหมวกออกโยนทิ้งและสาวเท้าก้าวยาวๆ เดินต่อไป

“คนญี่ปุ่นไม่ได้ส่งมือลอบสังหารมาอย่างเดียว รถของหวังเซี่ยวคุนก็น่าจะโดนวางกับดักไว้ เขาขึ้นรถไม่ได้”

จางอี้จิ่วใจหายวาบ หันขวับไปตวาดดังลั่น “หยุดพลเอกหวังไว้ ขึ้นรถไม่ได้ ห้ามขึ้นรถเด็ดขาด!”

ด้านหวังเซี่ยวคุนได้รับการคุ้มกันไปถึงรถประจำตัวแล้ว

มีคนจำหน้าเฮ่อฮั่นจู่ได้วิ่งกวดเข้ามารายงาน

ชั่วอึดใจก่อนหน้านี้หวังเซี่ยวคุนก็แว่วได้ยินเสียงร้องห้ามทางด้านหลังนั่นเช่นกัน

เสียงนั้นคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินมาก่อน

คนขับรถเปิดประตูออก กลุ่มผู้คุ้มกันยืนล้อมส่งเขาขึ้นรถ

เขาหยุดอยู่ข้างรถอย่างละล้าละลัง เบือนหน้าไปช้าๆ เห็นจางอี้จิ่วกับคนร่างสูงเพรียววิ่งสุดฝีเท้ามาหา แววตาของเขาไหวระริก สีหน้าฉายความตกใจปนลังเลไม่แน่ใจ

คนสนิทคนหนึ่งที่อารักขาเขาอยู่ร้อนรนสุดจะกล่าว ทางหนึ่งตะโกนบอกลูกน้องให้สกัดเฮ่อฮั่นจู่ ทางหนึ่งสั่งให้คนขับรถติดเครื่องยนต์ก่อนเตรียมพร้อมออกรถได้ทุกเมื่อ

ขณะคนขับรถขึ้นรถแล้วเตรียมเสียบกุญแจนั้นเฮ่อฮั่นจู่ก็มาถึงพอดี เขาตะคอกเสียงกร้าว “หยุดนะ!”

คนขับรถตะลึงงัน จางอี้จิ่วปรี่เข้าไปปัดมือเขาออกแล้วแย่งกุญแจมา

เวลานี้ถงกั๋วเฟิงที่ได้รับรายงานรุดมาถึงแล้วเช่นกัน พอเห็นเฮ่อฮั่นจู่เขาก็ตกใจยกใหญ่แล้ววิ่งถลันเข้ามาจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็งอย่างระแวงระวัง กระซิบพูดกับหวังเซี่ยวคุน “พี่เขย นี่อาจจะเป็นลูกไม้ของเขาก็ได้ เขาต้องการทำร้ายพี่เขยนะ จางอี้จิ่วกับเขาเป็นพวกเดียวกัน พี่เขยรีบไปเถอะ อย่าหลงเชื่อเขา”

“พลเอกหวัง บนรถอาจมีอันตราย คุณถอยออกมาอยู่ห่างๆ จะดีกว่า”

เฮ่อฮั่นจู่กวาดตามองปากกระบอกปืนสีดำมะเมื่อมเรียงเป็นแถวตรงหน้าที่จ่อใส่เขาอยู่ปราดหนึ่ง ก่อนมองไปทางหวังเซี่ยวคุนพลางพูด

หวังเซี่ยวคุนสบตากับชายหนุ่มอึดใจหนึ่งโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาหรี่ตาลง ยกมือขึ้นห้ามถงกั๋วเฟิงที่ยังพูดเตือนไม่หยุดอยู่ด้านข้าง จากนั้นย่างเท้าเดินออกห่าง

เฮ่อฮั่นจู่ดันปืนที่ขวางหน้าออกแล้วเดินไปข้างรถบอกให้คนหยิบกล่องเครื่องมือมาแล้วสั่งให้ทุกคนถอยออกไป เขาใช้ไฟฉายส่องดูรูกุญแจของประตูรถก่อน แล้วเปลี่ยนมาคาบกระบอกไฟฉายเพื่อส่องสว่างพลางใช้พวกไขควงแกะแผงหน้าปัดรถช้าๆ สุดท้ายเปิดออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นมองปราดหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นบุ้ยใบ้บอกให้คนขับรถเข้ามา

“ระเบิด! มีระเบิด!” คนขับรถมองแวบเดียวก็หน้าถอดสีทันควัน พูดโวยวายเสียงหลง

ตอนนี้เองแขกหลายคนในงานคืนนี้ที่ได้ข่าวก็มาถึงเช่นกัน หนึ่งในนั้นมีพวกฟางฉงเอินรวมอยู่ด้วย พอได้ยินว่ามีระเบิดก็แตกฮือถอยกรูดไปตามๆ กัน

เฮ่อฮั่นจู่ถามคนขับรถว่าเมื่อครู่นี้ไปไหนมา คนขับรถรู้ว่าปิดบังไม่อยู่ก็เหงื่อแตกไม่หยุด ยอมรับว่าเห็นคนแถวนี้เล่นพนันกันอยู่แล้วคันไม้คันมือ เลยเข้าไปร่วมวงเล่นสองสามตาอย่างอดใจไม่อยู่

เฮ่อฮั่นจู่พูดต่อ “มีคนฉวยจังหวะงัดรถเข้ามาติดตั้งระเบิดไว้ตรงตำแหน่งนี้ เชื่อมวงจรไฟฟ้าของระเบิดเข้ากับของรถยนต์ พอรถติดเครื่องยนต์ก็จะระเบิดขึ้นทันที”

ถงกั๋วเฟิงใจหายวาบ เขากัดฟันกรอด เดินเข้าไปตบหน้าคนขับรถสุดแรงแล้วสั่งให้คุมตัวไป ก่อนหันไปมองเฮ่อฮั่นจู่ เขาสองจิตสองใจนิดหนึ่งถึงเผยรอยยิ้มบนหน้าในที่สุด “เยียนเฉียว คุณกลับเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไร ทำไมมาเงียบๆ ไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ วันนี้เป็นวันงานมงคลของถิงจือ ทีแรกก็อยากเชิญคุณมาดื่มฉลองกัน…”

เฮ่อฮั่นจู่มองหวังถิงจือที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างแล้วส่งยิ้มให้ เขาไม่ตอบคำถาม เพียงบอกให้ถงกั๋วเฟิงปิดล้อมบริเวณนี้ไว้ และตามทหารช่างมาเก็บกู้ระเบิด

ฟางฉงเอินเดินหัวเราะร่าเข้ามา

“เยียนเฉียว คุณเป็นดาวนำโชคขนานแท้! คืนนี้คุณมอบของขวัญล้ำค่าให้กับพลเอกหวังเชียวนะ จะบอกว่ามีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองก็ไม่เกินจริงเลย พลเอกหวัง คุณว่าจริงไหม” เขาหันไปถามหวังเซี่ยวคุน

ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องอยู่รอบข้าง หวังเซี่ยวคุนเดินฉับๆ เข้าไปหาเฮ่อฮั่นจู่ ยกสองมือขึ้นกุมมือเขาแน่นๆ

“เยียนเฉียว ลุงดีใจมากที่เธอกลับมาได้! คืนนี้เธอไม่ต้องไปที่ไหนนะ พักอยู่บ้านลุงนี่ล่ะ พวกเราจะได้คุยกันโต้รุ่ง ลุงมีเรื่องอยากพูดกับเธอ”

เฮ่อฮั่นจู่เอ่ยขึ้น “ผมมาก็เพราะมีเรื่องอยากพูดกับพลเอกหวังเหมือนกันครับ”

เขาตวัดตามองไปทางโรงแรม “คุยกันที่นี่ดีกว่า พลเอกหวังเห็นว่าอย่างไรครับ”

หวังเซี่ยวคุนอึ้งไป จากนั้นกลับไปมีรอยยิ้มเต็มหน้าตามเดิม “ได้ๆ ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น! ลุงตามใจเธอ”

เขาตบแขนเฮ่อฮั่นจู่เบาๆ จากนั้นหันหลังเดินไปทางโรงแรม

เมื่อเกิดเหตุพลิกผันไม่คาดฝันขึ้น งานแต่งงานในคืนนี้จึงยุติกลางคัน โชคดีที่ส่วนของงานพิธีเสร็จสิ้นไปแล้ว แขกทั่วไปไม่มีแก่ใจอยู่ต่อ ขณะที่คนของสกุลหวังง่วนอยู่กับการแก้ไขสถานการณ์ให้เรียบร้อย ช่วยกันส่งแขกกลับพร้อมคำขอโทษขอโพย อีกด้านหนึ่งหวังเซี่ยวคุนมาถึงห้องพักผ่อนห้องหนึ่งในโรงแรมกับเฮ่อฮั่นจู่ภายใต้การอารักขาคุ้มกันอย่างแน่นหนา เขาสั่งให้ทุกคนออกไป เมื่อในห้องเหลือแค่สองคน เขาจับมือเฮ่อฮั่นจู่ซ้ำอีกครั้งแล้วกระชับมือกุมไว้แน่นๆ

“เยียนเฉียว! เคราะห์ดีที่คืนนี้มีเธออยู่ด้วย! ลุงไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกซาบซึ้งในใจออกมาเป็นคำพูดอย่างไรดี ลุงติดหนี้น้ำใจเธอครั้งใหญ่เลยทีเดียว ลุงแค่ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเธอถึงจากไปโดยไม่ลา เธอก็รู้ว่าลูกน้องทุกคนของลุงไม่ได้เหมือนลุงที่เชื่อใจเธอโดยไม่มีเงื่อนไข ลุงอยู่ในตำแหน่งนี้มีหลายต่อหลายเรื่องที่จำเป็นต้องคำนึงถึงความคิดเห็นของคนอื่นด้วย เธอทำอย่างนั้นก่อให้เกิดความเข้าใจผิดมากมายโดยใช่เหตุ มีคนไม่น้อยที่ไม่พอใจเธอมาก มันทำให้ลุงลำบากใจอย่างยิ่ง บางทีเธออาจจะเข้าใจอะไรผิดไป…”

“พลเอกหวัง ตอนนี้ที่นี่ไม่มีคนนอก ยังจะปิดบังเสแสร้งไปเพื่ออะไรอีก” เฮ่อฮั่นจู่ตัดบทเขาฉับ

“ผมรู้เรื่องหมดแล้ว และคุณก็รู้ว่าผมรู้แล้ว ความจริงคืนนี้ผมไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเองเลย แต่ผมยังคงมาอยู่ดี คิดว่าที่ผมมาก็เพื่อฟังคุณพูดเรื่องพวกนี้หรือ” เขาจ้องหน้าหวังเซี่ยวคุนพลางพูดอย่างเยือกเย็น

บทที่ 188

รอยยิ้มบนหน้าหวังเซี่ยวคุนชะงักค้างแล้วค่อยๆ เลือนหายไปในที่สุด

“แล้วเหตุใดถึงช่วยฉันไว้”

เขามองเฮ่อฮั่นจู่ตาเขม็ง นานครู่ใหญ่ถึงปริปากถามอีกครา

“ผมเชื่อว่าคุณต้องเคยได้ยินเกี่ยวกับคนที่ชื่อโยโคกาวามาก่อนแน่นอน”

หวังเซี่ยวคุนขมวดคิ้ว “คนญี่ปุ่นที่เคยใช้ชีวิตแบบนักบวชภิกขาจารเดินทางจาริกอยู่ในประเทศจีนเป็นเวลานานเมื่อหลายปีก่อนโน้นน่ะหรือ ได้ยินว่าสองสามปีมานี้ถูกยกย่องให้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณอยู่ทางโน้นไปแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้เขาก็เพิ่งมาที่ประเทศจีน”

“เขายังเป็นที่ปรึกษาสูงสุดของหน่วยงานกิจการพิเศษของกองทัพ อยู่ในสถานะสูงส่งมาก ปฏิบัติการที่มีพลเอกหวังเป็นเป้าหมายในคืนนี้ก็น่าจะได้รับคำสั่งมาจากคนคนนี้” เฮ่อฮั่นจู่พูดเสริมขึ้น

หนังตาของหวังเซี่ยวคุนกระตุกทีหนึ่ง

“โยโคกาวาเป็นคนที่เข้าใจประเทศจีนลึกซึ้งอย่างที่คุณรู้” ชายหนุ่มกล่าวต่อ “เขามีฐานะฉากหน้าเป็นปัญญาชนทรงเกียรติ แต่จริงๆ แล้วเป็นสายลับมือเก่า การที่เขามาประเทศจีนในเวลานี้อีกครั้งย่อมต้องเพื่อทำประโยชน์ให้ลัทธิทหารนิยมของพวกเขา ส่วนคุณเป็นเพียงคนเดียวที่รักษาดุลอำนาจของทุกฝ่ายในประเทศจีนได้ในตอนนี้ ทันทีที่คุณมีอันเป็นไป ผลลัพธ์เดียวที่เป็นไปได้ก็คือรัฐบาลกลางแตกแยก สถานการณ์ภายในประเทศที่เพิ่งสงบมั่นคงได้ไม่นานก็จะเรียกคืนมาไม่ได้อีก แล้วใครล่ะที่อยากให้ประเทศจีนระส่ำระสายมากที่สุด มันส่งผลดีอะไรต่อพวกเขา พลเอกหวังน่าจะแจ่มแจ้งมากกว่าผม”

หวังเซี่ยวคุนลังเลนิดหนึ่ง

“เธอหมายความว่าพวกเขามีแผนการจะรุกรานอย่างเปิดเผยจริงๆ หรือ เป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องความทะเยอทะยานของพวกเขาไม่จำเป็นต้องพูดถึง แต่ใช่ว่าพวกเขาจะใจกล้าบ้าบิ่นยอมเสี่ยงขนาดนี้จริงๆ อย่าลืมว่ามันไม่ใช่เรื่องของแค่สองประเทศเท่านั้น แต่จะเป็นเหตุการณ์ใหญ่ระดับโลก นอกจากพวกเขาก็ยังมีประเทศอื่นๆ เช่น อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงระเบียบโลก ญี่ปุ่นต้องถูกแทรกแซง ประเทศเหล่านี้ไม่มีทางนิ่งเฉยดูดาย…”

“ตื่นได้แล้ว พลเอกหวัง” เฮ่อฮั่นจู่ตัดบทหวังเซี่ยวคุนอย่างหมดความเกรงใจ

“อย่าประเมินความไร้ยางอายและบ้าคลั่งของคนญี่ปุ่นต่ำเกินไป สภาพเศรษฐกิจภายในประเทศพวกเขาในเวลานี้มาถึงขั้นที่จำเป็นต้องอาศัยการทำสงครามนอกประเทศเพื่อเป็นปลิงดูดเลือดแล้ว ไม่รุกราน พวกเขาก็จะพังก่อนเอง แล้วก็อย่าตั้งความหวังอะไรลมๆ แล้งๆ กับประเทศมหาอำนาจอีกเลย หรือว่าความอัปยศอดสูและบทเรียนทั้งหลายทั้งปวงในช่วงมากกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมายังไม่มากพอให้คนในชาติเราตาสว่างอีก พวกเขาต่างกันตรงไหน ก็แค่ลูกหลานของพวกโจรสลัดผิวขาวหน้าเก่ากับโจรหน้าใหม่โขยงหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ผู้รักษา ‘ระเบียบโลก’ ในสายตาคุณกำลังรักษาอยู่น่ะเป็นระเบียบของพวกเขาเองต่างหาก! ขอแค่คนญี่ปุ่นให้สัญญาคำเดียว รับประกันว่าผลประโยชน์ในประเทศจีนของพวกเขาตอนนี้จะไม่ได้รับผลกระทบ ต่อให้รู้ดีว่าเป็นการเลี้ยงงูพิษ แต่ตราบใดที่พวกเขาไม่โดนแว้งกัดเอง แล้วเรื่องอะไรพวกเขาจะยืนข้างเดียวกับเรา หวังให้ลูกหลานของโจรสลัดผดุงความเป็นธรรมให้ชาวจีนรึ เป็นเรื่องน่าขำที่สุดในโลกเลยทีเดียว โลกนี้ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง นอกจากยืนด้วยลำแข้งตนเองแล้วก็ไม่มีทางเลือกสายที่สองอีก! เชื่อผม ถึงเวลานั้นพวกเขามีแต่จะพูดตำหนิติเตียนด้วยปากคำสองคำ ไม่มีทางให้ความช่วยเหลือใดๆ กับพวกเราอย่างแท้จริง และอาจถึงขั้นที่แม้แต่การพูดตำหนิติเตียนไม่กี่ประโยคนั่น พวกเรายังต้องสูญเสียอย่างอื่นอีกเพื่อแลกกับมันด้วยซ้ำ

ผมใคร่ขอเตือนพลเอกหวังว่าเลิกหวังลมๆ แล้งๆ กับประเทศมหาอำนาจได้แล้ว และแทนที่จะทุ่มกำลังไปกับความขัดแย้งภายในที่ไร้ประโยชน์ ไม่สู้หันกลับมามองดูบ้านเมืองที่บอบช้ำเต็มที มองดูชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ลำบากยากแค้นและล้าหลัง ตื่นตัวระวังพวกโจรต่างชาติที่กำลังจะเข้ามารุกรานในเร็ววันนี้ อย่ากลายเป็นคนที่ต้องโดนประณามหยามเหยียดในบันทึกประวัติศาสตร์วันข้างหน้าเป็นอันขาด”

สิ้นเสียงของเฮ่อฮั่นจู่ ภายในห้องพักผ่อนก็เงียบกริบดุจป่าช้า หนังตาของหวังเซี่ยวคุนกระตุกริกๆ ไม่หยุด เขาเม้มปากแน่นไม่พูดจา

เฮ่อฮั่นจู่สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เฮือกหนึ่งก่อนอ้าปากพูดต่อด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งลง

แต่กระนั้นมันเป็นความสงบจากการสะกดกลั้นไว้เหมือนกับพื้นน้ำทะเลที่ปราศจากลมพัด แต่เบื้องล่างมีคลื่นใต้น้ำปั่นป่วนที่มองไม่เห็น

“พลเอกหวัง ยังต้องให้ผมอธิบายอีกไหมว่าเพราะอะไรต้องช่วยคุณไว้” ชายหนุ่มเอ่ยถาม

“ที่ผมช่วยไว้ไม่ใช่คุณ แต่เป็นรัฐบาลกลางและสถานการณ์บ้านเมืองที่เพิ่งสงบมั่นคงมากขึ้นอย่างไม่ง่ายดายหลังจากการต่อสู้และหลั่งเลือดไม่หยุด พลเอกหวัง คุณไม่จำเป็นต้องระวังผมในเวลานี้อีก จริงอยู่ว่าศัตรูที่ทำลายสกุลเฮ่อจนล่มจมไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ส่วนผมก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แต่เมื่อข้าศึกอยู่ตรงหน้าย่อมต้องเก็บความแค้นส่วนตัวไว้ทีหลัง เรื่องนี้ขอแค่เป็นคนชาติเดียวกันก็ทำได้ไม่ยาก…”

เขาจ้องมองคนตรงหน้า พูดด้วยน้ำเสียงกระด้างเย็นชาขึ้นฉับพลัน

“แต่ว่าหากวันใดผมรู้ว่าคุณสูญสิ้นศีลธรรม กระทำเรื่องที่ไม่ควรทำ ถึงตอนนั้นต่อให้ต้องตายไร้ที่ฝัง ผมก็จะกำจัดคนชั่วให้สิ้นซาก ผมพูดจบแล้ว นี่ก็คือเรื่องที่ผมตั้งใจกลับมาเพื่อพูดกับคุณ ลาก่อนครับ” ว่าแล้วก็หมุนตัวออกไปโดยไม่รั้งรออีก

“เยียนเฉียว รอเดี๋ยวก่อน! ลุงยังมีเรื่องอยากพูดอีก”

ตอนเฮ่อฮั่นจู่สาวเท้าไปถึงหน้าประตู เสียงของหวังเซี่ยวคุนพลันดังขึ้นด้านหลัง

เขาหยุดฝีเท้าหันหน้าไปช้าๆ เห็นหวังเซี่ยวคุนขยับเท้าจะเดินมาหา แต่ก้าวขาแล้วกลับชะงักนิ่งราวกับลังเลใจ

“เรื่องของคุณปู่เธอในอดีต ลุงรู้สึกผิดมาก ลุงรู้ว่าพูดอะไรตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ แต่ตอนนั้นลุงไม่เห็นด้วยจริงๆ ลุงโกรธตนเองที่ไม่ได้ขัดขวางถึงที่สุด สุดท้ายก็ก่อความผิดมหันต์ขึ้น ทำให้คุณปู่เธอโดนปรักปรำจนต้องเคราะห์ร้ายจากโลกนี้ไป ตลอดหลายปีที่ผ่านมาลุงรู้สึกผิดอยู่ในใจตลอด เหตุผลที่ต่อมาภายหลังลุงตามหาพวกเธอสองพี่น้องแล้วรับตัวมาอยู่ด้วยและอบรมบ่มเพาะอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพราะมีความคิดที่จะใช้วิธีนี้เป็นการชดเชยให้เล็กๆ น้อยๆ เท่าที่ทำได้หรอกหรือ ลุงยอมรับว่าช่วงก่อนลุงระแวงเธออยู่บ้างจนทำเรื่องไม่ควรทำลงไป คิดไม่ถึงว่าคืนนี้เธอจะช่วยลุงไว้ ลุงซาบซึ้งในความใจกว้างของเธอ แต่ขณะเดียวกันมันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความใจแคบของตนเอง ทำให้ลุงละอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี…เยียนเฉียว…”

เสียงพูดของหวังเซี่ยวคุนสั่นน้อยๆ บ่งบอกถึงความรู้สึกสะเทือนอารมณ์

“เธอวางใจได้ ลุงจะทำงานตามหน้าที่ของตนเองให้สมกับที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ ปัญหาภายในก็ส่วนปัญหาภายใน แต่เมื่อใดมีใครจะมารุกรานแผ่นดินเรา ฉันหวังเซี่ยวคุนรู้ดีว่าควรทำเช่นไร! นอกเหนือจากนี้ลุงยังอยากจะใช้โอกาสนี้ขอให้พวกเราสองตระกูลลืมเลือนความแค้นต่อกันให้หมดไปจริงๆ จะได้ไหม เธอต้องการให้สกุลหวังทำอย่างไรก็บอกมาได้เลย”

เขาพูดจบแล้วเผยรอยยิ้มจากใจจริงบนหน้าพลางมองชายหนุ่มด้วยสายตาวาดหวังเต็มเปี่ยม

เฮ่อฮั่นจู่นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “จำคำที่คุณพูดเอาไว้ และกรุณาทำในสิ่งที่ถูกที่ควรเท่านั้นเป็นพอ”

เขาพูดจบแล้วหันหลังเปิดประตูเดินออกไปโดยไม่รั้งรออีก

ถงกั๋วเฟิงพาคนสนิทมายืนเฝ้าระเบียงทางเดินที่เชื่อมกับห้องพักผ่อนด้วยตนเอง สีหน้าทุกคนตึงเครียดราวกับเผชิญศึกใหญ่อยู่ พอเห็นประตูบานนั้นเปิดออกและเฮ่อฮั่นจู่ก้าวออกมาจากข้างใน พวกลูกน้องของถงกั๋วเฟิงก็ทำท่าจะชักปืนตามสัญชาตญาณ แต่คงรู้สึกว่าไม่เหมาะเลยหยุดชะงักหันหน้ามองไปทางเจ้านาย

ถงกั๋วเฟิงชำเลืองมองไปทางข้างในประตูที่เงียบเชียบไม่มีเสียงอะไร เขาชั่งใจนิดหนึ่งแล้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องอยู่เฉยๆ กระทั่งเฮ่อฮั่นจู่สาวเท้าผ่านระเบียงทางเดินไปแล้ว ถึงรีบเข้าไปในห้องและพูดเสียงกระซิบทันที “พี่เขย จะปล่อยเขาไปแบบนี้หรือ นี่เป็นโอกาสทองที่หาไม่ได้อีกแล้วนะครับ แต่ลงมือที่นี่ไม่สะดวก ผมส่งคนตามไปได้ คราวนี้ไม่ให้คลาดสายตาแน่ ค่อยหาจังหวะ…”

หวังเซี่ยวคุนไม่พูดจา เดินไปริมหน้าต่างบานหนึ่งที่หันไปทางด้านหน้าโรงแรมแล้วรูดม่านมองออกไป

“แกมานี่” เขากวักมือเรียก

ถงกั๋วเฟิงเดินไปตรงนั้นก็เห็นเฮ่อฮั่นจู่ออกจากโรงแรมแล้ว บริเวณประตูใหญ่ในขณะนี้มีนักข่าวรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย…เดิมทีคืนนี้คัดเลือกนักข่าวหนังสือพิมพ์แค่ไม่กี่คนให้เข้ามาในงานแต่งงานได้ แต่ตอนนี้จำนวนนักข่าวที่อยู่นอกโรงแรมจู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นมาอย่างน้อยสิบกว่าคน ซึ่งน่าจะได้ข่าวกะทันหันแล้วรีบมาทันทีทันใด

ทุกคนเห็นเฮ่อฮั่นจู่ออกมาก็พากันรุมล้อมเข้าไปแย่งกันถ่ายรูปสัมภาษณ์จนเกิดความวุ่นวายระลอกหนึ่ง

“เห็นหรือยัง” ถงกั๋วเฟิงได้ยินเสียงเย็นชาดังขึ้นข้างใบหู

เขานิ่งอึ้ง พอเบือนหน้าไปก็เห็นหวังเซี่ยวคุนกำลังมองมา หลังพูดประโยคเมื่อครู่จบก็แผดเสียงตวาดลั่นฉับพลัน

“ยังจะตามไปอีกหรือ จะไปทำอะไร แกพยายามมาตั้งนานขนาดนี้ นอกจากล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่ายังมีอะไรให้พูดถึงได้ ตอนนี้ยังฝันเฟื่องจะกำจัดเขา ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าแกมีปัญญาทำได้ไหม ต่อให้หนนี้แกบังเอิญโชคดีทำสำเร็จ แต่เรื่องคืนนี้มีคนเห็นตั้งมากตั้งมาย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขาตอนนี้ แกคิดว่าฉันยังขายหน้าไม่พอ อยากให้ฉันโดนฝ่ายตรงข้ามรุมกินโต๊ะ ด่าว่าฉันเป็นพวกเนรคุณ ไม่ยอมละเว้นกระทั่งเฮ่อฮั่นจู่หรือ!!!”

ถงกั๋วเฟิงไม่เคยโดนหวังเซี่ยวคุนตำหนิด่าทอด้วยสีหน้าน้ำเสียงดุดันเช่นนี้ เขาอึ้งไปในทีแรก แต่ชั่วครู่เดียวก็ทำหน้าม่อยคอตก พร่ำยอมรับผิดซ้ำๆ

“ตอนนี้นอกจากจะแตะต้องเขาไม่ได้แล้ว ฉันจะบอกให้นะ แกยังต้องภาวนาให้เขาปลอดภัยสบายดีอีกด้วย ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าฉันจะได้อยู่เป็นสุข”

“ครับๆ ผมจะไปบอกให้จางอี้จิ่วถอนกำลังคนที่ส่งไปที่สถานีรถไฟกลับมาเดี๋ยวนี้เลย”

ถงกั๋วเฟิงพูดอย่างร้อนรน

หวังเซี่ยวคุนไม่ปริปากพูดอีก มองดูภาพที่กำลังเกิดขึ้นนอกประตูทางเข้าโรงแรมพลางทอดถอนใจเบาๆ

ถงกั๋วเฟิงปาดเหงื่อแล้วหมุนตัวออกไปอย่างลุกลน

เฮ่อฮั่นจู่ไม่ได้หยุดเดินและไม่ตอบคำถามใดๆ ของนักข่าว เขาลงบันไดสาวเท้าก้าวใหญ่เดินฝ่าฝูงชนตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ

ในเวลานี้เองเขาได้ยินเสียงร้องเรียกของจางอี้จิ่วทางด้านหลังถึงได้ชะงักเท้า

จางอี้จิ่วกวดตามทันแล้วให้ลูกน้องกันนักข่าวออก ก้าวเข้าไปกุมมือเขา “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ! หลังจากนี้รักษาเนื้อรักษาตัวด้วย” ว่าแล้วก็ขยับเข้าไปพูดกระซิบข้างหู “คนที่ออกไปไล่ตามพวกคุณถอนกำลังกลับหมดแล้ว ขออภัยเพื่อนยาก อย่าถือโทษกันเลย”

ใบหน้าเฮ่อฮั่นจู่มีรอยยิ้มผุดขึ้น เขากุมมือตอบ “แล้วพบกันใหม่ครับ คุณก็รักษาเนื้อรักษาตัวด้วย”

จางอี้จิ่วหัวเราะชอบใจ เขารู้แก่ใจดีว่าจากกันคราวนี้กว่าจะได้พบกันอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร จนถึงกับใจหายอยู่สักหน่อย เขาบีบมืออีกฝ่ายแน่นๆ ซ้ำอีกทีถึงปล่อยออก

ชายหนุ่มอมยิ้ม กวาดสายตามองกลุ่มของฟางฉงเอินที่ยังยืนอยู่บริเวณใกล้ๆ ไปทีละคนพร้อมกับผงกหัวเป็นเชิงขออำลา

เฮ่อฮั่นจู่มองไปรอบๆ จนทั่ว ขณะกำลังจะจากไปก็พลันเหลือบเห็นคนผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงหัวบันไดหน้าประตูโรงแรม แสงไฟสาดส่องทางด้านหลังขับเน้นเค้าโครงเรือนกายนั่นให้เด่นชัดขึ้น ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาทางนี้อย่างเงียบงัน

หวังถิงจือนั่นเอง

เฮ่อฮั่นจู่ชะงักนิดหนึ่งก่อนจะผงกหัวไปทางนั้นทีหนึ่งอย่างฉับไวแล้วหันหลังเดินออกไปทันที ร่างของเขาค่อยๆ หายลับไปในความมืดท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอยู่ด้านหลังนับไม่ถ้วน

เขาจากไปตามลำพังเช่นเดียวกับตอนมาถึงที่นี่คืนนี้

ชายหนุ่มกลับไปถึงสถานีรถไฟ

โคมไฟตรงลานกว้างเปล่งแสงเย็นเยือกวังเวงส่องสว่างอยู่ในผืนราตรีมืดมิดเบื้องหน้า

ขบวนรถไฟรอบค่ำที่ผู้โดยสารแน่นที่สุดแล่นผ่านไปแล้ว คลื่นฝูงชนพลุกพล่านวุ่นวายต่างแยกย้ายไปตามทาง ลานโล่งกว้างขวางด้านหน้าสถานีรถไฟเหลือแค่ผู้โดยสารประปรายไม่กี่คนที่ต้องขึ้นรถไฟรอบดึกที่เหลืออยู่สองสามขบวนสุดท้ายของคืนนี้เดินไปเดินมาด้วยฝีเท้าเร่งรีบใต้แสงไฟ

ลมยามดึกเจือไอเย็นโชยพัดมาระลอกหนึ่ง หอบใบไม้แห้งที่ร่วงเกลื่อนพื้นปลิวลอยหมุนคว้าง เขาเดินย่ำผ่านไป

เฮ่อฮั่นจู่รู้ว่าขณะนี้เธอน่าจะรอเขาอยู่สถานีถัดไปตามที่นัดกันเอาไว้ เขาก้มหน้าดูนาฬิกาแวบหนึ่ง เกือบยี่สิบสามนาฬิกาแล้ว ใกล้ถึงกลางดึกรอมร่อ

เมื่อนึกภาพว่าตอนนี้เธอที่รอคอยอยู่ที่สถานีถัดไปจะร้อนรุ่มกลุ้มใจเป็นห่วงขนาดไหน เฮ่อฮั่นจู่พลันเกิดความลุกลนกระวนกระวายขึ้นมา ยิ่งภาพของหญิงสาวชุดม่วงผุดขึ้นในห้วงความคิด เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าในเสี้ยววินาทีนี้หัวใจของตนเองหลุดลอยออกจากร่างกายไปพร้อมกับวิญญาณ โบยบินไปหาเธออย่างอดรนทนไม่ไหว

ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินลิ่วๆ ไปถึงหน้าประตูสถานีรถไฟกำลังจะเข้าไป ทันใดนั้นเองเขาได้ยินคนส่งเสียงเรียกอยู่ด้านข้าง ซ้ำยังเป็นการเรียกแซ่ตามด้วยชื่อแบบเต็มยศ

“เฮ่อฮั่นจู่”

แต่ไรมาไม่เคยมีคนเรียกชื่อแซ่ของเขาเต็มยศด้วยน้ำเสียงอย่างนี้

สมัยเขาเป็นเด็กคุณปู่ผู้เคร่งขรึมเข้มงวดจะเรียกเขาว่า…ฮั่นจู่ ต่อมาคนรอบข้างที่อยากแสดงความใกล้ชิดมักเรียกเขาว่า…เยียนเฉียว

แน่ล่ะว่าไม่ใช่ไม่มีใครเรียกชื่อเต็มของเขา แต่คนพวกนั้นล้วนเป็นศัตรู แล้วจะทำน้ำเสียงแบบนี้ได้อย่างไรกัน

มีอยู่แค่คนเดียวคือ…เธอ

มีแต่เธอที่จะเรียกเขาด้วยแซ่ตามด้วยชื่อแบบตรงๆ ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วจะถูกมองว่าเป็นการล่วงเกินและไม่มีสัมมาคารวะ แต่เวลาได้ยินเธอเรียกชื่อเต็มของเขาออกจากปาก เขากลับรู้สึกถึงความสนิทสนม แล้วความรู้สึกสนิทสนมนี้ทำให้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำอย่างที่ไม่เคยเป็น

เขาชะงักเท้ากึก หันหน้าช้าๆ ไปทางต้นเสียง

เฮ่อฮั่นจู่เห็นร่างร่างหนึ่งเดินออกมาจากเงามืดของหอนาฬิกาด้านข้างประตูทางเข้าสถานีรถไฟ

แสงสีขาวนวลของดวงไฟรอบทิศแผ่กระจายไปในอากาศที่กำลังปกคลุมด้วยน้ำค้างเย็นยะเยือกของยามราตรีทีละน้อย ทาทาบไปทั่วพื้นลานกว้างใหญ่หน้าหอนาฬิกา ทอดสายตามองไปดูคล้ายทั้งหิมะทั้งหมอกควัน ขณะนี้หญิงสาวชุดม่วงในมโนภาพของเขาเมื่อชั่วอึดใจก่อนหน้ามายืนอยู่กลางลานโล่งใต้หอนาฬิกาแห่งนี้ กำลังมองเขาอยู่อย่างเงียบงัน

เฮ่อฮั่นจู่ดึงสติคืนมาได้แล้วก็ดีใจแทบคลั่ง เขาวิ่งทะยานไปตรงหน้าเธอทันที

“ขอโทษนะที่หนนี้ฉันไม่เชื่อฟังคุณ ฉันไปถึงสถานีถัดไปแล้วถามอาเป้าว่าคุณจะมีอันตรายหรือไม่ เขาบอกว่าคุณไม่เป็นไรแน่ แต่ฉันก็อดกลับมาไม่ได้ ขอโทษนะคะ ฉันรู้ว่าฉันเอาแต่ใจ แต่ฉันอยากมารับคุณเป็นคนแรกจริงๆ…”

เฮ่อฮั่นจู่ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วฉุดเธอเข้าไปในเงามืดของหอนาฬิกาด้านข้าง ก้มหน้ากดจูบบนปากที่ยังพูดขอโทษและอธิบายไม่หยุดอย่างหนักหน่วง คละเคล้าเสียงลมหายใจถี่แรงขึ้น

ติงชุนซานซึ่งรออยู่ในมุมไม่ใกล้ไม่ไกลนักเห็นได้ชัดถนัดตา

แม้จะไม่ได้พบเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรก แต่เขาก็ยังหน้าแดงจรดใบหูอย่างสุดระงับ ยืนอ้าปากค้างอยู่ที่เดิม ไม่กล้าหายใจเสียงดังเกินไป ทันใดนั้นมีคนตบท้ายทอยเขาป้าบหนึ่งจนเจ็บแปลบๆ ติงชุนซานหันหน้าไปก็ปะทะเข้ากับสายตาเย็นเยียบทอประกายวาววามในความมืดของเป้าจื่อ

เป้าจื่อทำมือบอกให้เขาเดินตามไปอีกทางหนึ่ง ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยังดูไม่พอหรือ คิดจะยืนตรงนั้นไปถึงเมื่อไร”

ติงชุนซานมองลูกน้องหลายคนที่ยืนกระจายอยู่รอบๆ แวบหนึ่งแล้วข่มใจไม่อยู่จริงๆ เขาทนเจ็บพูดรำพึงเสียงอุบอิบ “ถ้าคุณชายซูเป็นผู้หญิงจริงๆ ก็คงดีใช่ไหมล่ะครับ ตอนหัวค่ำพี่เป้าก็เห็นแล้ว เขาแทบจะดูเป็นผู้หญิงยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เขาปลอมตัวอยู่…”

เป้าจื่อมองเขาด้วยสายตาเวทนา “เสี่ยวติง วันหลังอยากเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นอีกไหม”

ติงชุนซานใจเต้นเล็กน้อย

เลื่อนตำแหน่ง…ใครจะไม่อยาก

เขาทำท่าเก้อเขิน “คือว่า…ทำไมจู่ๆ พี่เป้าถึงพูดเรื่องนี้…เจ้านายบอกพี่ว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้ผมหรือ…”

เป้าจื่อมองเขาด้วยหางตาแล้วจุดบุหรี่เอื่อยๆ สูบคำหนึ่ง

“เปล่า”

ติงชุนซานทำเสียงตอบในลำคออย่างผิดหวังนิดหน่อย

“พูดตรงๆ นะ ตำแหน่งของแกในตอนนี้ก็ไม่เล็ก แต่ถ้าอยากเลื่อนสูงขึ้น ตามหลักแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ดังนั้นฉันขอเตือนแกสักคำ นอกจากทำงานเก่งแล้ว เรื่องบางเรื่องที่ควรเฉลียวใจก็ควรเฉลียวใจได้สักที อย่ามัวแต่ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม พวกโง่ดักดานน่ะไม่มีอนาคตหรอก” แววตาของเป้าจื่อขณะมองติงชุนซานที่อยู่เบื้องหน้าตนเองแฝงนัยลึกล้ำ

“หมายถึงอะไรครับ” ติงชุนซานยังคงไม่เอะใจ

เป้าจื่อสุดจะทนแล้วจริงๆ

“แกยังพูดเองว่าคุณชายซูดูเป็นผู้หญิงยิ่งกว่าผู้หญิงไม่ใช่หรือ ขนาดนี้แล้วแกยังดูไม่ออกอีกใช่ไหม”

ติงชุนซานอึ้งงันไป เขาคิดตามทันในที่สุด หันหน้าขวับไปมองเงาสลัวๆ ของคนสองคนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลด้านหลัง

“อะไรนะ พี่จะบอกว่าคุณชายซูเขา…เป็นผู้หญิงตั้งแต่แรกหรือ มัน…มันเป็นไปได้อย่างไร”

เป้าจื่อโคลงศีรษะ คร้านจะสนใจอีกฝ่ายอีก เขาทิ้งติงชุนซานที่จิตใจสับสนยุ่งเหยิงไว้คนเดียวด้วยการหันหลังให้แล้วเริ่มกำหนดแผนการเดินทางต่อจากนี้

ในซอกมืดตรงฐานหอนาฬิกา คนคู่หนึ่งสวมกอดกันแนบแน่น ทันใดนั้นเสียงตีระฆังทุ้มต่ำก็ดังก้องกังวานลอยมาเหนือศีรษะ

ทั้งสองคนแหงนหน้าขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มองดูยอดหลังคาแหลมสูงด้านบน

เฮ่อฮั่นจู่พลันนึกไปถึงปีที่แล้ว วันนั้นในเวลาใกล้เคียงกับตอนนี้เขาเห็นเธอกลับมาหาเขาที่นี่พร้อมกับเสียงระฆังดังขึ้นเหมือนกัน

เขาก้มหน้าเพ่งมองดวงตาที่มองมาคู่นั้น กุมมือเธอช้าๆ พร้อมกับบอกเสียงต่ำเบา “ไปกันเถอะ พวกเรากลับไปได้แล้ว คราวนี้กลับจริงๆ ผมสาบาน”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: