บทที่ 189
ในเวลาเดียวกัน ณ คฤหาสน์ที่โอบล้อมด้วยสวนดอกไม้หลังหนึ่งในเขตเช่าญี่ปุ่น โยโคกาวากับผู้อำนวยการคิมูระกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันพลางลิ้มลองรสชาชั้นเลิศ โยโคกาวาใส่เสื้อคลุมผ้าฝ้ายดิบที่ซักจนสีซีดเล็กน้อย แม้บัดนี้เขาจะมีฐานะสูงส่งเหนือใคร แต่ยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายตามความเคยชินมานานปี ตามปกติจะมีงานอดิเรกเพียงอย่างเดียวคือการชงชา คืนนี้เขาน่าจะอารมณ์ดีไม่เลวถึงได้แสดงฝีมือเอง หลังจากเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนผู้อำนวยการคิมูระค้อมศีรษะรับด้วยสองมืออย่างอ่อนน้อม ละเลียดจิบคำหนึ่งแล้วเอ่ยชมไม่หยุดปาก จากนั้นมองไปรอบๆ “อาจารย์พักอยู่ที่นี่จนคุ้นเคยหรือยังขอรับ”
โยโคกาวากล่าว “อยู่ในบ้านที่หรูหราประเภทนี้ มีคนติดตามเข้าออกทุกวัน อันที่จริงเทียบกันแล้วผมปรารถนาความสันโดษเพื่อแสวงหาความสงบแบบลัทธิเต๋าของชาวจีนมากกว่า ถึงต้องกินอยู่ตามมีตามเกิด ซุกหัวนอนในกระท่อมซอมซ่อ ก็ยังดีกว่าไร้อิสระไม่เป็นตัวของตัวเอง ถูกพันธนาการด้วยชื่อเสียงเกียรติยศอย่างตอนนี้”
ผู้อำนวยการคิมูระพูดอย่างขึงขัง “ตอนอยู่ในวัยหนุ่มอาจารย์ละทิ้งชื่อเสียงและเกียรติยศฐานะมาเดินจาริกในประเทศจีนหลายสิบปี เวลานี้ยังแบกรับภาระหนักอึ้งไว้บนบ่าโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก อาจารย์อุทิศตนเพื่อชาวยามาโตะมาทั้งชีวิต เป็นแบบอย่างที่น่าเคารพยกย่องและพึงเจริญรอยตามของคนรุ่นหลังอย่างพวกผม ทั้งหมดนี้เป็นสิทธิ์ที่อาจารย์สมควรได้รับ อาจารย์ไม่จำเป็นต้องอึดอัดหรือกังวลใจแต่ประการใดเลยขอรับ”
ค่ำวันนี้พวกเขามาพบกันเพราะกำลังรอข่าวอยู่ ผู้อำนวยการคิมูระพูดจบแล้วเห็นโยโคกาวาเหลือบดูนาฬิกาจึงรีบเอ่ยขึ้น “น่าจะจวนได้เวลาแล้ว ข่าวดีกำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ”
โยโคกาวาพูด “ผมไม่ได้เป็นห่วง แต่กำลังคิดว่าคืนนี้นักรบผู้จงรักภักดีของพวกเราต้องพลีชีพอีกคนแล้ว ที่บ้านเกิดของเขาอาจจะมีมารดาวัยชราและลูกภรรยาที่ตั้งตารอคอยเขากลับไปอยู่ เรื่องนี้ทำให้ผมเสียใจเหลือเกิน” เขาทำสีหน้าหนักอึ้ง
ผู้อำนวยการคิมูระก็ปั้นหน้าเจ็บปวดเสียใจทันที พูดต่อสองสามคำเป็นทำนองว่าการสละชีวิตเพื่อชาวยามาโตะเป็นเกียรติยศแก่ตัวแล้วเปลี่ยนเรื่อง “หลังจากคืนนี้พวกเราก็รอดูเรื่องสนุกๆ ให้พวกคนจีนตีกันเอง ส่วนพวกเราเตรียมตัวให้พร้อม เปิดฉากบุกได้ทุกเมื่อขอรับ จะว่าไปแล้วผมมาประเทศจีนก็นับได้ว่านานระยะหนึ่งแล้ว แต่พูดถึงความเข้าใจในนิสัยใจคอของชาวจีน ผมเทียบอาจารย์ไม่ติดแม้แต่นิดเดียว แผนการครั้งนี้สำเร็จลงได้ อาจารย์นับว่ามีความดีความชอบมากที่สุดขอรับ”
ใบหน้าผอมเรียวของโยโคกาวาปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ พร้อมริ้วรอยยับย่นตรงหางตา มันคือร่องรอยที่หลงเหลืออยู่จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในวัยเยาว์
เขาดื่มชาคำหนึ่ง “คนจีนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมาก พวกเขามีคำโบราณที่มาจากคัมภีร์พระธรรมว่าคนไม่ทำคุณแก่ตน ฟ้าผ่าธรณีสูบ ความหมายเดิมคือเตือนให้คนหมั่นฝึกฝนขัดเกลาตนเอง แต่ภายหลังคนจีนกลับใช้คำนี้ในความหมายที่ผิดเพี้ยนไป กลายเป็นข้ออ้างแก้ตัวในการตักตวงผลประโยชน์ให้ตนเอง พวกเขามีแผ่นดินกว้างใหญ่และกำลังคนมากมาย แต่กลับแตกแยกเหมือนเม็ดทราย แสวงหาแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่มีทางสมานสามัคคีกันได้ ไม่เหมือนกับพวกเราชาวยามาโตะที่ถือหลักคุณธรรมเป็นที่ตั้ง…”
โยโคกาวายังพูดไม่จบก็มีเสียงรายงานดังขึ้นนอกประตูว่าผู้บัญชาการหน่วยทหารกองประจำการโทรศัพท์มา
สำหรับปฏิบัติการในคืนนี้โยโคกาวาทำหน้าที่ประสานงานให้หน่วยทหารกองประจำการรับไปดำเนินการ เดิมทีผู้อำนวยการคิมูระอยากขอให้ฝ่ายเขาทำงานนี้ เพราะหลังงานสำเร็จจะเป็นผลงานใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่โยโคกาวามีจุดประสงค์อยากให้ทุกฝ่ายเท่าเทียมกัน จึงแนะนำผู้อำนวยการคิมูระไม่ให้แย่งงานหน่วยทหารกองประจำการ ศิษย์อาจารย์สองคนถึงได้รอฟังข่าวอยู่ในตอนนี้ พอได้ยินเสียงรายงานก็สบตากัน
ผู้อำนวยการคิมูระเกือบจะลุกพรวดขึ้น แต่ครั้นเห็นอาจารย์ยังแสดงสีหน้าเหมือนปกติก็แอบละอายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขารีบควบคุมอารมณ์ไว้ รอโยโคกาวาลุกขึ้นอย่างใจเย็น ค่อยเดินตามไปรออยู่ด้านข้าง มองดูอีกฝ่ายรับโทรศัพท์ แต่คาดไม่ถึงว่าคุยไปไม่กี่คำก็เห็นสีหน้าของโยโคกาวาเปลี่ยนไปเล็กน้อย รอยยิ้มบนหน้าเลือนหายไปแล้วไม่พูดอะไรสักคำ
ผู้อำนวยการคิมูระเห็นดังนั้นแล้วเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี เขาถามขึ้น “อาจารย์ มีอะไรหรือขอรับ”
โยโคกาวาวางหูโทรศัพท์ช้าๆ เบือนหน้ามาบอกด้วยท่าทางแข็งทื่อ “แผนการล้มเหลว! คาดว่าน่าจะมีหนอนบ่อนไส้ ข่าวถึงรั่วไหลออกไป”
ผู้อำนวยการคิมูระตะลึงพรึงเพริด แต่เขาตั้งสติได้อย่างว่องไว พูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “คนที่รู้แผนนี้มีไม่กี่คน! ผมจะสืบให้กระจ่างในคืนนี้เลยว่าเกิดปัญหาที่จุดไหนกันแน่ขอรับ”
ดึกมากแล้วแต่ฟู่หมิงเฉิงยังไม่เข้านอน เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือตามลำพัง มองดูรูปถ่ายของบิดาที่ล่วงลับไปแล้วบนผนังพลางจมอยู่ในภวังค์ความคิด
จังหวะนี้เองเสียงกริ่งโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นฉับพลัน
รอบด้านเงียบสนิท ส่งผลให้เสียงนี้ฟังแล้วบาดหูเป็นพิเศษ
เขามองโทรศัพท์ด้วยท่าทางนิ่งเฉย ไม่ได้รับสายทันที ปล่อยให้มันดังสิบกว่าครั้งจนเงียบหายไปแล้วดังขึ้นอีกทันที ถึงยกกระบอกหูโทรศัพท์ขึ้นอย่างเยือกเย็น ส่งเสียงทักทายคำหนึ่ง
เป็นไปตามคาด คนที่โทรศัพท์มาหาเขากลางดึกคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นมัตสึซากะที่ไปดื่มเหล้าและแช่น้ำร้อนด้วยกันเมื่อคืนนี้นั่นเอง
เสียงของมัตสึซากะในโทรศัพท์กดให้เบาลงแล้ว แต่เขากำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างชัดเจนมาก
“เพราะอะไรถึงไม่รับโทรศัพท์” เขาถามไล่เลียงฟู่หมิงเฉิง
ฟู่หมิงเฉิงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตามสบาย พูดเสียงราบเรียบ “คุณมัตสึซากะครับ ไม่ได้ดูหรือว่ากี่โมงแล้ว ผมไม่ต้องพักผ่อนบ้างหรือไง คุณมีธุระอะไรครับ ดึกดื่นป่านนี้ยังโทรศัพท์มาอีก”
มัตสึซากะลดเสียงเบาลงอีก “คืนนี้คุณแพร่งพรายข่าวออกไปใช่ไหม คุณเป็นไส้ศึกของชาวจีน”
ฟู่หมิงเฉิงหัวเราะ “ผมไม่เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร คุณพูดให้รู้เรื่องหน่อยได้ไหมครับ ผู้พิพากษาในศาลจะตัดสินว่าใครสักคนมีความผิดก็ต้องแสดงหลักฐานเหมือนกัน”
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว เรื่องนี้รู้กันแค่สามคน มีคุณโยโคกาวา คิมูระ แล้วก็ผู้บังคับบัญชาของผม มันเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะเปิดเผยออกไป ส่วนผมเคยเอ่ยเรื่องนี้กับคุณ คุณรู้ไหมว่าเมื่อครู่ผมเจออะไรมา ผมโดนเรียกตัวไปรับการสอบสวนแล้ว”
“อย่างนั้นหรือครับ ในเมื่อคุณปักใจว่าเป็นผม จะบอกชื่อผมก็ย่อมได้ ทำไมต้องโทรมาถามซักไซ้เองด้วย” ฟู่หมิงเฉิงพูดอย่างเยือกเย็น
มัตสึซากะชะงักไป เขากัดฟันกรอดๆ “คุณกล้าเล่นลูกไม้กับผมเชียวหรือ ผมไม่ละเว้นคุณเป็นอันขาด…”
“คุณมัตสึซากะครับ” น้ำเสียงของฟู่หมิงเฉิงเย็นชาขึ้นกะทันหัน
“ถ้าคุณสงสัยผม เชิญคุณรายงานเบื้องบนเรื่องที่คุณหลุดปากแพร่งพรายความลับเมื่อคืนได้เลย! คิดจะขู่ผมรึ ผมไม่กลัวหรอกจะบอกให้”
เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง “ช่างเถอะ ต้องขอบคุณคุณที่เตือนผม เรื่องนี้สำคัญมาก ผมไปหาคุณคิมูระเองดีกว่า อธิบายกับเขาสักหน่อย วันหลังจะได้ไม่โดนพวกคุณสงสัย…”
“ไม่ต้องแล้ว”
มัตสึซากะที่ปลายสายตัดบทเขาทันควัน น้ำเสียงก็อ่อนลงไปด้วย “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น ผมแค่หวังว่าคุณจะระวังตัวให้ดี…”
“คนที่ควรระวังตัวให้ดีคือคุณต่างหาก”
ฟู่หมิงเฉิงวางหูโทรศัพท์ไปเลยอย่างหมดความเกรงใจ จากนั้นเขาไม่ได้ออกจากห้องหนังสือทันที ยังนั่งเงียบๆ อยู่ในนั้นต่อ ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง มัตสึซากะโทรมาอีกแล้ว แต่หนนี้น้ำเสียงของเขาแฝงรอยขอลุแก่โทษเต็มเปี่ยมผิดจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เขาเอ่ยปากคำแรกก็พร่ำขอขมาลาโทษซ้ำๆ แทบจะนึกภาพท่าทางเขาโค้งคำนับไม่หยุดในขณะนี้ได้เลย
มัตสึซากะบอกฟู่หมิงเฉิงว่าเมื่อครู่ได้รับรายงานว่าคืนนี้ติดต่อกับผู้ติดต่อประสานงานระดับสูงคนหนึ่งใต้สังกัดผู้อำนวยการคิมูระไม่ได้ ตอนไปตามหาที่ที่เขาพักอยู่ก็พบว่าห้องว่างเปล่า ตัวคนไม่อยู่แล้ว ของมีค่าก็หายไปด้วย พักก่อนคนผู้นี้เคยมีความสัมพันธ์กับหญิงชาวจีนคนหนึ่ง หลังจากผู้อำนวยการคิมูระรู้เรื่องก็กลัวความเชื่อมั่นศรัทธาในใจเขาจะสั่นคลอนเพราะเรื่องนี้เลยบังคับให้เขาฆ่าผู้หญิงคนนั้น จึงสงสัยกันว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง ไม่รู้ว่าเขาถูกซื้อตัวไปตั้งแต่เมื่อไรถึงได้แพร่งพรายข่าว ต่อจากนั้นกลัวความผิดเลยหลบหนีไป
น้ำเสียงของมัตสึซากะในโทรศัพท์ขณะนี้ฟังดูตื่นเต้นยินดีอย่างปิดไม่มิด เขาเอ่ยขอโทษฟู่หมิงเฉิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า บอกว่ารออีกสักพักให้เรื่องวุ่นวายนี้ผ่านพ้นไปค่อยเลี้ยงเหล้าชายหนุ่มอีก สุดท้ายขอร้องฟู่หมิงเฉิงว่าอย่าเอ่ยเรื่องที่ตนเองพลั้งปากกับใครๆ เด็ดขาด
ฟู่หมิงเฉิงวางหูโทรศัพท์
ตอนนี้ศพของแพะรับบาปคนนั้นคงจะโดนเฉินอิงเอาไปโยนทิ้งในมุมมืดตรงไหนก็สุดรู้
เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปรอบตัว
ใต้เงาแสงไฟอันว่างเปล่าเงียบเชียบ
เขานั่งอยู่ในห้องนี้คนเดียว แล้วเธอล่ะ
เวลานี้ผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกคนนั้นน่าจะอยู่เคียงข้างเธอย่างสู่เส้นทางกลับบ้านไปด้วยกันแล้วกระมัง
ค่ำคืนที่แสนยาวนานนี้ฟู่หมิงเฉิงไม่อาจข่มตานอนได้เป็นแน่แท้ ขณะที่ฝ่ายหวังถิงจือนั้นในคืนวันแต่งงานนี้จิตใจของเขาก็สะเทือนไหวไม่น้อยไปกว่าฟู่หมิงเฉิงแม้สักเศษเสี้ยว
เหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนผ่านพ้นไป ในลานกว้างทางปีกตะวันออกของบ้านสกุลหวังเปิดไฟสว่างไสว มีคนเดินเข้าๆ ออกๆ พลุกพล่านอย่างเร่งรีบด้วยสีหน้าตึงเครียดกันหมด อีกฟากหนึ่งมีเปลวเทียนสีแดงลุกโชน แต่กลับเงียบสงัดไร้สรรพเสียงใด
ที่นี่คือเรือนหอของหวังถิงจือ
คุณหนูสกุลเฉินสะสวยอ่อนโยน เธอเป็นคนสกุลเฉินเพียงคนเดียวที่เอ่ยชื่อขึ้นมาแล้วไม่ทำให้คุณนายหวังถึงกับขมวดคิ้วอย่างแกนๆ ซึ่งทั้งหมดนี้หวังถิงจือก็รู้ดี แต่ต่อให้ไม่มีเหตุร้ายที่โรงแรม คงไม่เกิดอะไรขึ้นในคืนแต่งงานนี้อยู่ดี
หวังถิงจือกับคุณหนูสกุลเฉินนั่งตรงข้ามกันอยู่ในห้องเงียบๆ นานสองนาน เขาเห็นเธอขยับตัวนิดหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นช้าๆ แอบมองมา เขาจึงลุกพรวดขึ้นแล้วบอกให้เธอเข้านอนก่อน จากนั้นเดินออกจากห้องหอไปเลย เขาเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในลานบ้านคนเดียวอย่างไร้จุดหมายเหมือนดวงวิญญาณล่องลอย ไม่อยากกลับห้อง แล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองยังไปที่ไหนได้อีก ภาพสุดท้ายตอนเฮ่อฮั่นจู่มองเขาแล้วผงกหัวให้นิดหนึ่งก่อนจากไปในคืนนี้วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด
ทุกอย่างจบลงแล้ว คนที่เป็นเหมือนเพื่อนและพี่ชายมาเนิ่นนานหลายปีต้องแยกไปคนละทางแบบนี้
เขารู้สึกว่าตรงกลางอกอัดแน่นไปด้วยความเศร้าเจ็บปวดแกมหดหู่ และยังแฝงความโกรธเคืองคับแค้นอย่างปราศจากเหตุผลอยู่บ้าง ชายหนุ่มไม่รู้ว่าความรู้สึกโกรธคับแค้นนี้มาจากไหนกันแน่จนเขาแทบไม่อาจหายใจได้เต็มปอด ช่วงครึ่งคืนหลังทางปีกตะวันออกค่อยๆ เงียบสงบลง สุดท้ายเขาก็นอนอยู่ในห้องหนังสืออย่างขอไปที เช้าวันรุ่งขึ้นหวังถิงจือตื่นแล้วจะไปทำงานตามปกติ เขาจำเป็นต้องหาอะไรสักอย่างทำ แต่ถงกั๋วเฟิงห้ามไว้ บอกว่าเขาเพิ่งแต่งงานให้ลาหยุดสองสามวันจะได้อยู่กับภรรยาอย่างเต็มที่ ตอนเขานั่งเหม่ออยู่ในห้องหนังสือ คนรับใช้คนหนึ่งเข้ามาบอกว่ามีคนมาหา เขาออกไปเห็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ถามว่ามีธุระอะไร คนผู้นั้นชี้ไปทางด้านข้าง
หวังถิงจือมองไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหัวมุมถนนไกลๆ ดันหมวกที่บังหน้าบังตาขึ้น เธอก็คือคุณหนูเฉาที่จากไปแล้ว ไม่รู้ว่ากลับมาอีกครั้งตอนไหน
เธอแสดงความยินดีที่เขาแต่งงานก่อน ค่อยพูดว่ามีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย
หวังถิงจือตามคุณหนูเฉาไปตรงมุมปลอดคนใกล้ๆ แล้วจึงถามว่าเรื่องอะไร
คุณหนูเฉาพูด “คุณชายหวัง ฉันมีเรื่องเกี่ยวกับเฮ่อฮั่นจู่อยากบอกกับคุณ”
หวังถิงจือขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น แต่หญิงสาวพิศดูสีหน้าเขาอยู่ จับความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยในขณะนี้ของลูกชายสกุลหวังได้ มันทำให้เธอตื่นเต้นลิงโลดใจเหลือหลาย
หลังจากพบกับความผิดหวังจากทางฟางฉงเอินคราวก่อนเธอก็ยังไม่ยอมถอดใจ แม้ว่าตัวเธอไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่ยังเฝ้าติดตามข่าวคราวทุกอย่างของที่นี่ตลอดเวลา ในที่สุดโอกาสก็มาถึง เธอรู้ว่าสกุลหวังกับเฮ่อฮั่นจู่ไม่ลงรอยกันแล้ว เธอยังคาดเดาว่าเป็นไปได้มากที่อาจถึงขั้นเป็นศัตรูกันลับหลัง ถึงแม้ข่าวที่เธอจะเปิดเผยออกมาเรียกไม่ได้ว่าเป็นไพ่ตาย ทว่าขอแค่ใช้ให้เป็นประโยชน์ดีๆ ต้องก่อให้เกิดผลกระทบในด้านลบต่อชื่อเสียงของคนที่เกี่ยวข้องได้แน่นอน
“เฮ่อฮั่นจู่กับซูเสวี่ยจื้อหลานชายของเขามีความสัมพันธ์ต้องห้ามกันค่ะ” เธอมองเขาพลางพูด
หนังตาของหวังถิงจือกระตุกทีหนึ่ง “คุณว่าอะไรนะ”
คุณหนูเฉาทวนซ้ำคำเดิมแล้วพูดต่อท้าย “เรื่องนี้ฉันกล้าเอาชีวิตเป็นประกันเลยค่ะ”
ใบหน้าเธอประดับรอยยิ้มนิดๆ “คุณชายหวัง เขาประกาศตัวเป็นศัตรูกับคุณพ่อคุณแล้ว ส่วนเรื่องเมื่อคืนนี้ฉันก็รู้แล้วเหมือนกัน…”
เธอหยุดเว้นจังหวะก่อนจะเอ่ยต่อ “ฉันรู้จักคนคนนี้ดี เขาเป็นพวกมากแผนการ ที่เขาช่วยพลเอกหวังไว้เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง นอกจากฉวยจังหวะหาชื่อเสียง ยังสร้างบุญคุณเพื่อตักตวงผลประโยชน์มากขึ้นก็เท่านั้นเอง คุณชายหวังอย่าโดนเขาหลอกลวงเด็ดขาด…”
“คุณหนูเฉา ตรงนี้คุยกันไม่สะดวก ตามผมมา” หวังถิงจือตัดบทเธอฉับแล้วพาไปในตรอกลับตาคนทางด้านหลังในละแวกใกล้ๆ หญิงสาวเดินตามเข้าไปและเห็นเขาหยุดฝีเท้าเบือนหน้าช้าๆ มาจ้องมองด้วยสีหน้าแปลกพิกล พาให้ความกระวนกระวายผุดขึ้นในใจกะทันหัน
“คุณชายหวัง…” เธออึกอักนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ “เรื่องที่ฉันบอกกับคุณในวันนี้ คุณอย่าเห็นว่าไม่สำคัญนะคะ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย ขอเพียงพวกคุณเอาไปใช้ประโยชน์ได้…”
“ใช้ประโยชน์บ้าบอน่ะสิ” หวังถิงจือชักสีหน้าในพริบตา เขายื่นมือไปขยุ้มคอเสื้อคุณหนูเฉาไว้หมับแล้วลากตัวไปตรงข้ามกำแพง บีบคอเธอไว้เหมือนเป็นลูกไก่ตัวหนึ่ง
คุณหนูเฉาตั้งตัวไม่ติด ได้แต่อ้าปากเปล่งเสียงอู้ๆ อี้ๆ ใช้สองมือทุบตีหวังถิงจือพยายามดิ้นรนเพื่อเป็นอิสระ
ดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่มแดงก่ำ สีหน้าขมึงทึง เขาบีบคอคุณหนูเฉาสุดแรงจนเธอหายใจไม่ออก หน้าเขียวขึ้นทีละน้อย ลูกตาเหลือกขึ้น เมื่อมือทั้งสองข้างที่ต่อสู้อยู่ของหญิงสาวห้อยตกลงอย่างอ่อนแรง เขาถึงได้เหวี่ยงตัวเธอลงไปบนพื้นอย่างขยะแขยง
รอบลำคอเรียวยาวขาวผ่องของหญิงสาวมีรอยนิ้วสีแดงช้ำติดอยู่ รองเท้าหลุดกระเด็น ฟุบหมอบกับพื้นนานครู่ใหญ่ถึงกลับมาหายใจได้อีกครั้งอย่างยากเย็นและกระอักกระไออย่างทรมาน เธอเรียกขวัญคืนมาได้ในที่สุด ดวงตาของเธอเบิกโพลง สีหน้าตื่นกลัวขณะมองหวังถิงจือที่ยืนอยู่ด้านข้างและจ้องหน้าเธออยู่
“คนแซ่เฉา ถ้าเธอไม่ใช่ผู้หญิงล่ะก็ เมื่อครู่ฉันยิงเธอตายไปแล้ว รีบไสหัวไปให้พ้น ไปให้ไกลที่สุด อย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกตลอดไป ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าฉันใจร้ายกับผู้หญิงนะ เธอรู้นี่ว่าวิธีที่ทำให้เธอตายทั้งเป็นน่ะมีอยู่ถมเถไป”
คุณหนูเฉาก็เป็นคนน่าเวทนาคนหนึ่ง ตั้งแต่เล็กจนโตเธออยู่ในสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมให้เชื่อว่ามีเพียงผลประโยชน์ที่กำหนดทุกสิ่งได้ จึงไม่นึกไม่ฝันว่าลูกชายสกุลหวังจะโต้ตอบอย่างนี้ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ขู่ให้กลัว คำพูดและน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมนั่นสร้างความหวาดกลัวให้สุดจะกล่าว เธอสั่นสะท้านพร้อมกับน้ำตาไหลพราก ทนอาการเจ็บปวดเหมือนโดนมีดกรีดตรงลำคอไว้ ลุกลนตะกายตัวลุกขึ้นจากพื้นโดยไม่กล้าชักช้ารีรอ และไม่แม้แต่จะเสียเวลามองหารองเท้าของตนเองก็วิ่งโขยกเขยกเท้าเปล่าออกไปจากที่นี่ในสภาพน่าอนาถใจ
หวังถิงจือมองตามแผ่นหลังของคุณหนูเฉาด้วยสายตารังเกียจชิงชัง เขาพรูลมหายใจออกยาวๆ เฮือกหนึ่ง
ในคืนเดียวกันข่าวนี้ก็รู้ไปถึงหูถงกั๋วเฟิง
“แกแน่ใจนะ?” เขาถามอย่างประหลาดใจมาก
“ขอรับ ท่านเป็นห่วงคุณชายเลยให้ผมคอยจับตาดูไว้ไม่ใช่หรือขอรับ ผมเห็นคุณชายออกไปก็แอบตามไป ถึงได้ยินเรื่องนี้โดยไม่ตั้งใจ”
ถงกั๋วเฟิงตรึกตรองครู่หนึ่งถึงหรี่ตาลง บนหน้ามีรอยยิ้มนิดหนึ่ง เขาเรียกลูกน้องเข้ามาใกล้ๆ กระซิบสั่งกำชับบางอย่างจบก็พูดตบท้ายว่า “ปล่อยข่าวนี้ออกไปให้คนรู้ยิ่งเยอะยิ่งดี พยายามทำให้เป็นเรื่องใหญ่ครึกโครม นอกจากในเมืองหลวงแล้ว ต้องแน่ใจว่าแพร่ไปถึงทางโน้นด้วย เอาให้รู้กันทั่วเลย”
บทที่ 190
สองวันให้หลังที่เมืองเทียน ผู้อำนวยการเหอไปถึงวิทยาลัยแต่เช้าตามปกติ ช่วงเวลาอาหารเช้านักเรียนมากมายมายืนอออยู่หน้าจุดติดประกาศ ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ ดูเหมือนจะมีการติดประกาศใหม่ตรงนั้น
เขาจำไม่ได้ว่าวันนี้ทางวิทยาลัยมีเรื่องใหม่จะประกาศจึงสาวเท้าเข้าไป นักเรียนเห็นผู้อำนวยการมาก็พากันหันมาโค้งคำนับ พอได้ยินเขาถามว่าดูอะไรกันอยู่ ทุกคนต่างทำสีหน้าชอบกลๆ มองหน้ากันไปมา แต่กลับไม่มีคนตอบคำถาม
ผู้อำนวยการเหอฉงนใจจึงเดินฝ่ากลุ่มนักเรียนไปด้านหน้าจุดติดประกาศเองแล้วเงยหน้าขึ้นมอง เห็นกระดาษข้อความเขียนด้วยลายมือสิบกว่าแผ่นติดอยู่บนนั้นอย่างสะเปะสะปะ พอเขาอ่านจับใจความได้ ไฟโทสะก็พลุ่งขึ้นในอกทันควัน ยกนิ้วขึ้นชี้พร้อมถาม “ใครเป็นคนแปะ!”
พวกนักเรียนส่ายหน้ากันใหญ่ หนึ่งในนั้นบอกว่าตอนผ่านมาทางนี้เมื่อเช้าก็เห็นมันอยู่ตรงนี้แล้ว น่าจะเป็นใครก็ไม่รู้แอบเอามาแปะไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
ผู้อำนวยการเหอดึงกระดาษข้อความหลายแผ่นด้านหน้าออก นักเรียนหลายคนที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาช่วยอีกแรง เขาสั่งให้แยกย้ายเดี๋ยวนี้ ทุกคนเห็นเขาโมโหโทโสแล้วไม่กล้ากระทั่งหายใจเสียงดัง รีบสลายตัวไปคนละทิศคนละทาง
ผู้อำนวยการเหอเข้าไปในห้องทำงานแล้วดูกระดาษข้อความที่เพิ่งถูกขยำจนยับหลายแผ่นนั่น พอจะอ้าปากเรียกผู้ช่วยให้ไปตามหัวหน้าฝ่ายวิชาการมาเพื่อตรวจสอบว่าเป็นฝีมือใครกันแน่ กลับเห็นผู้ช่วยทำท่าละล้าละลัง เลยถามว่ามีเรื่องอะไร
ผู้ช่วยรู้ว่าซูเสวี่ยจื้อเป็นลูกศิษย์คนโปรดที่ผู้อำนวยการเหอภาคภูมิใจมากที่สุด แม้จะเรียนจบไปแล้ว แต่อาจารย์กับลูกศิษย์คู่นี้ยังติดต่อส่งข่าวถึงกันบ่อยๆ จึงลังเลใจอยู่บ้าง ทว่าก็รู้แก่ใจว่าคงปิดบังเรื่องนี้ไม่ได้ เขายื่นหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าของวันนี้ส่งให้ พูดอึกๆ อักๆ ว่าเมื่อครู่นี้เขาบังเอิญเห็นข่าวเล็กๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนังสือพิมพ์เหมือนกัน
ผู้อำนวยการเหอรับมาเปิดดูอย่างตกใจ เห็นหน้าในมีบทวิจารณ์ซึ่งใช้นามปากกาที่ไม่รู้จัก หัวข้อคือ ‘ว่าด้วยการยกระดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาล’ ส่วนเนื้อหาเป็นการเขียนแจกแจงถึงพฤติกรรมด้านลบต่างๆ นานาของหน่วยงานรัฐส่วนใหญ่ และเรียกร้องให้ปฏิรูประบบราชการ โดยยกตัวอย่างว่ามีนายทหารระดับสูงทรงอำนาจคนหนึ่งไม่คำนึงถึงเกียรติของตน มีความสัมพันธ์ต้องห้ามกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอีกคนของกรมสาธารณสุขมาเป็นเวลายาวนาน การกระทำเช่นนี้ขัดต่อประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ก่อให้เกิดผลกระทบเลวร้ายต่อสังคม ถึงจะไม่ได้ระบุชื่อ แต่บอกตำแหน่งอย่างชัดเจน ขอแค่เป็นคนที่ปกติสนใจเรื่องนี้อยู่สักหน่อยก็เดาได้ไม่ยากว่าสองคนนี้เป็นใคร
พอผู้อำนวยการเหอเห็นคำว่า ‘เลี้ยงต้อย’ ในเนื้อความ เขาก็เอาหนังสือพิมพ์ฟาดโต๊ะเต็มแรงอย่างสุดทน “เหลวไหลทั้งเพ! เป็นถึงหนังสือพิมพ์ใหญ่ที่นำเสนอข่าวให้ประชาชนกลับลงบทความแบบนี้ ใส่ร้ายป้ายสี สกปรกสิ้นดี! ใครเป็นคนบงการ น่าอัปยศจริงๆ น่าอัปยศอดสูที่สุด”
ถึงเมื่อสองวันก่อนจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในคืนงานแต่งงานของสกุลหวัง แต่เมื่อพิจารณาจากเหตุผลทุกด้านแล้วจึงมีคำสั่งให้ปิดเรื่องนี้ไว้ห้ามลงข่าว ด้วยเหตุนี้ผู้อำนวยการเหอจึงไม่รู้ว่าเฮ่อฮั่นจู่ปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว ยังนึกว่าเขาอยู่ที่เมืองอื่น อีกทั้งไม่รู้ว่าซูเสวี่ยจื้อออกจากเมืองหลวงไปแล้วเช่นกัน
หลังจากความโกรธคลายลงผู้อำนวยการเหอก็สงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว คนพวกนั้นต้องการโจมตีเฮ่อฮั่นจู่เพื่อทำลายชื่อเสียงและบารมีของเขา และยังทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ในเมื่อมีกระดาษข้อความถูกแปะติดไว้ที่นี่ ทางซูเสวี่ยจื้อก็ต้องโดนหางเลขด้วยแน่ ผู้อำนวยการเหอเป็นห่วงนักเรียนของตนเองเป็นอันดับแรก แต่ขณะคิดจะโทรศัพท์ติดต่อซูเสวี่ยจื้อ อาจารย์คนหนึ่งก็มาหาอย่างร้อนรน บอกว่ามีพวกรับจ้างเขียนข่าวซุบซิบอ้างตัวเป็นนักข่าวมาชุมนุมกันอยู่ด้านนอกเป็นโขยง ทำท่าทำทางลับๆ ล่อๆ อยากจะแอบเข้ามาสัมภาษณ์นักเรียนเลยโดนยามหน้าประตูขวางไว้ แต่ไล่ไปแล้วก็ย้อนมาใหม่ไม่ยอมกลับไปเหมือนแมลงวันตอม อาจารย์คนนั้นถามว่าจะทำอย่างไรดี
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนรับมือไม่ทันยิ่งทำให้ผู้อำนวยการเหอมั่นใจว่าเรื่องนี้มีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง เขาสะกดกลั้นความโกรธไว้แล้วสั่งให้ปิดประตูใหญ่อย่างแน่นหนา ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาทั้งสิ้น จากนั้นโทรศัพท์ไปโรงงานที่ชานเมืองทิศตะวันตกโดยไม่รอช้า ทว่าไม่มีคนรับสาย เขาจึงโทรศัพท์ไปหาท่านจง แต่สายไม่ว่างตลอด ขณะร้อนอกร้อนใจผู้ช่วยของเขาก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา ชูจดหมายในมือฉบับหนึ่ง บอกเสียงดังว่า “ผู้อำนวยการครับ เมื่อครู่มีคนส่งจดหมายมา บอกว่าได้รับไหว้วานจากเสี่ยวซู ขอให้ท่านเปิดอ่านด้วยตนเองครับ”
ผู้อำนวยการเหออึ้งไปแล้วรีบรับมาเปิดออกอย่างลุกลี้ลุกลน
ซูเสวี่ยจื้อเขียนจดหมายฉบับนี้ไว้ล่วงหน้าแต่แรก และถูกส่งออกมาเมื่อสองวันก่อน
เธอเขียนเกริ่นนำว่าตอนผู้อำนวยการเหอได้อ่านจดหมายฉบับนี้เธอน่าจะไปจากเมืองหลวงแล้วและคงไม่ได้กลับมาในเร็วๆ นี้ เมื่อหวนรำลึกถึงคำชี้แนะสั่งสอนและความห่วงใยอาทรที่ได้รับจากเขาหลังจากมาถึงที่วิทยาลัยแพทย์ทหารบก เธอรู้สึกซาบซึ้งตื้นตันและเคารพนับถือเขาจากใจจริง สำหรับการจากไปโดยไม่อำลานี้ เธอก็ละอายแก่ใจเหลือเกิน หวังว่าเขาจะเข้าอกเข้าใจ นอกจากนี้เธอได้ยื่นใบลาออกกับกรมสาธารณสุขแล้ว แต่ยังไม่บอกเรื่องที่ตนเองต้องไปจากเมืองหลวงให้ท่านจงรับทราบ จึงขอฝากคำขอบคุณและคำขอโทษเสียใจไปถึงท่านจงผ่านทางเขาในวันหลัง
นอกจากกล่าวลาแล้วซูเสวี่ยจื้อยังบอกอีกเรื่องหนึ่งกับผู้อำนวยการเหอในจดหมาย เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเธอ เธออธิบายว่าเพราะปัญหาในตระกูลเป็นเหตุให้เธอต้องอยู่ในสถานะผู้ชายต่อหน้าคนภายนอกตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเมื่อสองปีก่อนหลังจากครอบครัวประสบเหตุร้ายเธอจึงมาเข้าเรียนที่นี่ในฐานะผู้ชายต่อไป และปิดบังมาถึงตอนนี้ เธอรู้ว่าทำผิดกฎวิทยาลัย ยิ่งผู้อำนวยการเหอเอ็นดูและปกป้องเธอมากเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกละอายใจมากขึ้นเท่านั้น เวลานี้เธอต้องจากไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ปิดบังต่อไปอีกไม่ได้ ด้วยความเคารพนับถือที่มีต่อเขา เธอจึงตัดสินใจเปิดเผยความจริง โดยหวังอย่างสุดใจว่าเขาจะเข้าใจที่เธอต้องปกปิดเรื่องนี้เช่นกัน
เธอยังเอ่ยถึงเฮ่อฮั่นจู่ว่าตอนเขาแนะนำเธอมาที่นี่นั้นไม่ได้มีเจตนาปิดบังทางวิทยาลัย แต่เพราะตอนแรกเขาก็ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ เขานึกว่าเธอเป็นผู้ชาย จนต่อมาภายหลังเมื่อทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากขึ้นเขาถึงค้นพบความลับของเธอโดยบังเอิญ
สุดท้ายเธอบอกกับผู้อำนวยการเหอว่าหลังจากเธอกับเฮ่อฮั่นจู่ผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกันมากมายก็เริ่มเข้าใจซึ่งกันและกันทีละน้อย อีกทั้งต่างรู้สึกประทับใจอีกฝ่าย บัดนี้เธอกับเขาได้ตกลงปลงใจเป็นคนรักกันและจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันตลอดไปแล้ว เธอหวังว่าความรักของเธอกับเขาจะได้รับคำอวยพรจากอาจารย์ที่ทั้งคู่เคารพนับถือ
ระหว่างที่ผู้อำนวยการเหอก้มหน้าอ่านจดหมายอยู่ ผู้ช่วยที่รออยู่ด้านข้างเห็นเขาจ้องเขม็งที่แผ่นกระดาษในมือโดยไม่กะพริบตา แต่ความรู้สึกที่ฉายออกมาทางสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้งภายในชั่วอึดใจสั้นๆ เดี๋ยวก็เหมือนจะประหลาดใจ เดี๋ยวก็คล้ายตะลึงพรึงเพริด ไม่รู้ว่าในจดหมายฉบับนี้เขียนว่าอะไรกันแน่ ขณะเขากำลังวุ่นวายใจอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็พลันดังขึ้น
ผู้ช่วยเห็นผู้อำนวยการเหอยังเพ่งตามองจดหมายนิ่งๆ ไม่ขยับตัวเลยรับสายเอง พูดได้สองคำก็หันมาบอกว่า “ผู้อำนวยการครับ ท่านจงโทรศัพท์มา ท่านมีเรื่องอยากพูดด้วย…”
ตอนนี้เองผู้อำนวยการเหอราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน เขารับกระบอกหูโทรศัพท์ไว้
สถานการณ์ทางกรมสาธารณสุขเมื่อเช้าไม่ได้ดีไปกว่าที่วิทยาลัยสักเท่าไร ไม่เพียงมีคนเอากระดาษข้อความติดไว้ด้านนอกแต่เช้าตรู่ ยังมีนักข่าวหนังสือพิมพ์เล็กๆ มายืนออหน้าประตูสอบถามข่าวคราวของซูเสวี่ยจื้อเหมือนกัน เมื่อครู่ที่ผู้อำนวยการเหอโทรศัพท์ไม่ติดก็เพราะท่านจงกำลังรับหน้าง่วนอยู่ พอท่านจงหาจังหวะว่างได้ก็โทรติดต่อผู้อำนวยการเหอทันทีเพื่อถามว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่
ผู้อำนวยการเหอฟังแล้วมองจดหมายในมือซ้ำอีกที จากนั้นเขาอ้าปากพูดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เสี่ยวซูเป็นผู้หญิงครับ! เสี่ยวซูเป็นผู้หญิง เสี่ยวซูเธอเป็นผู้หญิง ท่านเชื่อไหมครับ ผมขอบอกว่านี่เป็นความจริงครับ จริงแท้แน่นอน!”
ผู้อำนวยการเหอพูดกรอกหูโทรศัพท์ติดๆ กันสามรอบจบแล้วแหงนหน้าหัวเราะร่า เสียงหัวเราะของเขาแฝงความเบิกบานใจเหลือเกิน ความวิตกกังวลและความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดในเช้าวันนี้อันตรธานไปหมดสิ้น
ท่านจงตะลึงงัน “อะไรนะ เสี่ยวซูเป็นผู้หญิงหรือ นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“ครับ! ผมขอบอกท่านว่าเป็นความจริงแน่นอน” ผู้อำนวยการเหอพยักหน้ารัวๆ “ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องสนใจข่าวลือที่พวกคนถ่อยจงใจปล่อยออกมาแต่อย่างใดเลยครับ” เขาพูดจบแล้วดีใจจากใจจริง
ผ่านไปอึดใจหนึ่งท่านจงถึงดึงตนเองออกจากความตะลึงพรึงเพริดครั้งใหญ่ได้ในที่สุด “คุณรู้ตั้งแต่ตอนไหนหรือ”
ผู้อำนวยการเหอเหลือบดูจดหมายในมือ เขานิ่งไปนิดหนึ่งถึงอ้าปากพูดอย่างตัดสินใจได้แล้ว
เขาอธิบายถึงเหตุผลพิเศษที่ซูเสวี่ยจื้อต้องปลอมตัวเป็นผู้ชายตั้งแต่เด็กตามที่เธอเอ่ยถึงในจดหมาย จากนั้นบอกท่านจงว่าเธอกับเฮ่อฮั่นจู่รักใคร่ชอบพอกัน ทั้งคู่ออกจากเมืองหลวงเมื่อหลายวันก่อน และฝากให้เขาขอโทษท่านจงแทน ส่วนสาเหตุที่จากไปโดยไม่ลานั้นไม่จำเป็นต้องพูดมาก เพราะพวกเขาประจักษ์แก่ใจดีเป็นธรรมดา
ผู้อำนวยการเหอพูดตบท้าย “ความจริงตอนเพิ่งเข้าเรียนเสี่ยวซูก็บอกเรื่องตัวตนแท้จริงของเธอกับผมตามตรงเป็นการส่วนตัวแล้ว เวลานั้นผมเห็นว่าเธอมีความสามารถหาตัวจับยาก แล้วก็เห็นว่าเธอแสดงตัวเป็นผู้ชายต่อหน้าผู้คนตั้งแต่เด็ก ถึงได้แหวกกฎตอบตกลงให้เธออยู่ที่นี่เรียนหนังสือ วันหลังถ้าคนภายนอกตั้งข้อสงสัยใดๆ กับเรื่องที่เธอเข้าเรียนในสถานะผู้ชาย ผมรับผิดชอบเองคนเดียว ไม่เกี่ยวกับเสี่ยวซูครับ”
ท่านจงต่อว่า “ดีนัก! คิดไม่ถึงว่าคุณจะปิดบังผมเสียสนิทเหมือนกัน” จากนั้นพูดต่ออย่างอัศจรรย์ใจเหลือหลาย “ไม่นึกไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าเสี่ยวซูจะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง นอกจากจะมีความรู้ความสามารถด้านการแพทย์โดดเด่นขนาดนี้ ที่หาได้ยากคือจิตใจเข้มแข็งแน่วแน่เหนือคนทั่วไป ดูจากเรื่องที่เธอทำ ต่อให้เป็นผู้ชายส่วนใหญ่ในโลกที่ยกตัวเป็นชายชาตรี เห็นทีว่ายังเทียบเธอไม่ได้เลย ทีแรกเมื่อเช้านี้ผมร้อนใจแทบแย่ ตอนนี้หมดเรื่องแล้ว ได้ยินคำยืนยันจากคุณแบบนี้ ผมก็สบายใจ ดูซิว่าพวกคนใจต่ำที่ปล่อยข่าวลือจะแผลงฤทธิ์ไปได้สักกี่น้ำ”
พวกเขาถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอกแล้วเปล่งเสียงหัวเราะทางโทรศัพท์พร้อมกันโดยไม่นัดหมาย
วันนี้บริเวณใกล้ๆ สถานีรถไฟเจียงอั้นในเมืองฮั่นโข่วทางทิศเหนือของแม่น้ำฉางเจียงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เหล่าผู้ทรงอำนาจจากทุกแวดวงและข้าราชการในแถบนี้นำโดยบุคคลสำคัญคนหนึ่งของถิ่นนี้พากันมาอยู่ที่นี่เพื่อเตรียมต้อนรับการมาของคนกลุ่มหนึ่ง
คนที่กำลังจะมาถึงคือเฮ่อฮั่นจู่นั่นเอง
จุดนี้เป็นสถานีสุดท้ายของเส้นทางรถไฟสายเหนือไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ หลังจากลงรถไฟที่นี่เฮ่อฮั่นจู่จะเปลี่ยนไปใช้เส้นทางน้ำ เดินทางเลียบแม่น้ำฉางเจียงต่อไปยังเสฉวน
ด้วยอิทธิพลและสถานะแท้จริงในอาณาเขตนี้ของเฮ่อฮั่นจู่ ณ เวลานี้เขาเดินทางผ่านมาที่นี่วันนี้ เจ้าถิ่นจะรุดมาต้อนรับก็เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งในบรรดาคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังเคยรู้จักกับเขามาก่อน
เวลาเที่ยงวันเมื่อเสียงหวูดทอดยาวจากที่ไกลดังลอยมาใกล้ๆ รถไฟก็เข้าสู่สถานีตรงเวลาแล้วชะลอความเร็วจอดเทียบชานชาลา
ประตูตู้โดยสารตรงหัวขบวนเปิดออก ทหารคุ้มกันหลายนายลงมา จากนั้นเฮ่อฮั่นจู่ในชุดเครื่องแบบทหารก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมรอยยิ้มบนหน้า เขาก้าวลงจากรถไฟ
ทุกคนพากันเข้าไปทักทาย นักข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเบียดเข้ามาจองที่ชักภาพ แต่กลับเห็นเฮ่อฮั่นจู่ไม่ได้เดินออกมาทันที เขาหยุดยืนที่ชานชาลาตรงประตูตู้โดยสาร ยื่นมือไปหาคนผู้หนึ่งที่ยังยืนอยู่หน้าประตู
ทุกคนถึงพบว่ายังมีผู้หญิงอีกคนร่วมทางมากับเขาด้วย
เธอเป็นหญิงสาวอ่อนเยาว์และสวยหมดจด สวมกระโปรงยาวลำลองสีน้ำเงินเข้มกับหมวกสักหลาดสีเทาบนศีรษะแบบชาวตะวันตก มีผ้าพันคอสีเดียวกันคลุมไหล่กันหนาว เธอไว้ผมสั้นทะมัดทะแมง แต่งหน้าอ่อนๆ แม้ไม่ได้แต่งกายหรูหรา แต่มีบุคลิกเปิดเผยมาดมั่น แลดูสง่างามสูงศักดิ์ในตนเอง
เฮ่อฮั่นจู่ยื่นมือให้เธอจับระหว่างลงจากรถไฟ ทั้งคู่ยืนเคียงกัน เขาเห็นทุกคนมองมาด้วยสีหน้าต่างๆ นานา สายตาจับจ้องที่หญิงสาวข้างกาย จึงอมยิ้มพูดว่า “เธอก็คือผู้หญิงที่ผมกำลังจะแต่งงานด้วย คุณหนูซู ซูเสวี่ยจื้อครับ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 พ.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.