บทที่ 191
สิ้นเสียงเฮ่อฮั่นจู่ รอบด้านพลันตกอยู่ในความเงียบ
ขบวนต้อนรับวันนี้อาจดูเอิกเกริกยิ่งใหญ่และอบอุ่นชื่นมื่น แต่จริงๆ แล้วเพราะข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับเฮ่อฮั่นจู่ซึ่งแพร่สะพัดมาถึงที่นี่เมื่อหลายวันก่อนทำให้บรรยากาศแปลกพิกลไปแต่แรกแล้ว
เดิมทีเรื่องพรรค์นั้นมีมาแต่โบราณและไม่ใช่เขาคนเดียว จึงไม่ถือเป็นความผิดร้ายแรงอะไร ก็แค่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่กระนั้นหากพูดในอีกมุมหนึ่ง จะอย่างไรมันก็ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม ถึงแม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวก็ตาม หากโชคไม่ดีถูกฝ่ายตรงข้ามรู้เข้าจนนำมาขยายให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เพื่อเล่นงาน และยิ่งผู้เกี่ยวข้องอีกคนยังเป็นคนมีชื่อเสียงพอดีล่ะก็ มันจะเป็นคนละเรื่องกันเลย
คนที่มีความสัมพันธ์กับเฮ่อฮั่นจู่ก็โดนขุดคุ้ยประวัติความเป็นมาละเอียดยิบ เขาคนนี้แซ่ซู ชื่อเสวี่ยจื้อ ลูกชายของสกุลซูแห่งห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อที่โด่งดังในเมืองซวี่และเป็นญาติห่างๆ กับเฮ่อฮั่นจู่ ทั้งคู่มีศักดิ์เป็นน้าหลานต่างสกุล พักก่อนเขาไปเรียนหนังสือที่เมืองเทียน เพราะมีพรสวรรค์ในด้านการแพทย์มาก จึงฉายแววโดดเด่นในเวลาสั้นๆ จนมีชื่อเสียงที่เมืองหลวงในเวลานี้ ส่วนคนที่คบค้าสมาคมกันเป็นประจำก็เป็นคนมีหน้ามีตาทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้ผู้ทรงอำนาจในท้องถิ่นไม่ได้สนิทคุ้นเคยกับเฮ่อฮั่นจู่นัก ตอนนี้มีข่าวโพนทะนาจนรู้กันไปทั่ว ซ้ำได้ยินว่าเรื่องนี้ทำให้เขาโดนเพ่งเล็งจากพวกมือถือสากปากถือศีลในเมืองหลวงไม่น้อยที่พากันติเตียนโจมตีอย่างรุนแรง เห็นว่ายุคนี้ศีลธรรมตกต่ำลงทุกที เฮ่อฮั่นจู่มีพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ใช่คนสุจริต ส่งผลกระทบด้านลบร้ายแรงต่อสังคม สมควรโดนประณามหยามเหยียด ด้วยเหตุนี้หลายวันก่อนพอรู้ว่าเขาจะเดินทางผ่านที่นี่ กลุ่มคนที่เตรียมตัวมาต้อนรับก็มีความคิดอยากดูเรื่องน่าสนุกอย่างช่วยไม่ได้ พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านบางคนถึงขั้นวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างเปิดเผย ไม่เพียงเท่านั้นนักข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่ได้ข่าวก็รีบมาที่นี่ในวันนี้ด้วย
ซูเสวี่ยจื้อแสดงสีหน้าสงบนิ่ง เธอค้อมศีรษะน้อยๆ ให้ทุกคนเบื้องหน้า
นักข่าวท้องถิ่นคนหนึ่งรับเงินจากเพื่อนร่วมอาชีพที่เมืองหลวงมาตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน ให้สัญญาว่าจะมาวันนี้แล้วกลับไปเขียนข่าวใส่สีตีไข่ให้เป็นเรื่องใหญ่อีกที จึงคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะกลายเป็นอย่างนี้ พยายามเบียดคนอื่นๆ ขึ้นไปด้านหน้าจนเห็นซูเสวี่ยจื้อแล้วถามอย่างหัวเสียจนแทบเต้นเร่าๆ “คุณซู ปีที่แล้วผมประจำอยู่ที่เมืองหลวง เคยเห็นคุณที่งานสัมมนางานวิจัยทางการแพทย์นานาชาติกับตา ตอนนั้นคุณยังเป็นนักเรียนของวิทยาลัยแพทย์ทหารบกอยู่เลย คุณจะเป็นผู้หญิงได้อย่างไรกันครับ”
ซูเสวี่ยจื้อชายตามองเฮ่อฮั่นจู่
ชายหนุ่มยังคงรักษากิริยามารยาทไว้ พูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ดังเดิม “เวลาคุณหนูซูอยู่ข้างนอกจะแต่งตัวเป็นผู้ชายเพื่อความสะดวกคล่องตัวมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ เธอตั้งปณิธานไว้ว่าจะไปเรียนด้านการแพทย์ในสถาบันการศึกษาชั้นสูง แต่อย่างที่ทุกๆ ท่านทราบกันดี การศึกษาระดับสูงในยุคปัจจุบัน นอกจากมหาวิทยาลัยสตรีที่ตั้งขึ้นเพื่อผู้หญิงซึ่งมีอยู่นับนิ้วได้แล้ว โดยทั่วไปประตูก็ยังไม่ได้เปิดกว้างสำหรับทุกคน เพียงเพราะความต่างระหว่างเพศสภาพ ผู้หญิงเลยถูกลิดรอนสิทธิ์ที่ได้รับการศึกษาในระดับสูงขึ้น นี่คือการเลือกปฏิบัติและไม่ยุติธรรมโดยสิ้นเชิง คุณหนูซูอยากทำความฝันให้เป็นจริง ก่อนหน้านี้ถึงได้เดินทางจากบ้านมาศึกษาเล่าเรียนในฐานะของผู้ชายอย่างไม่มีทางเลือกก็เท่านั้นเองครับ”
พอเขาพูดจบก็ได้ยินเสียงเซ็งแซ่ดังระงมทั้งสี่ด้าน นักข่าวคนนั้นอ้าปากค้าง “มะ…มันเป็นไปได้อย่างไร”
รอยยิ้มบนหน้าเฮ่อฮั่นจู่เลือนหายไป พาให้สีหน้าท่าทางปึ่งชาขึ้น “คุณเป็นใครกัน ต้องรายงานให้คุณรู้ทุกเรื่องด้วยหรือ”
พอเขาพูดจบทหารคุ้มกันประจำขบวนเดินทางก็เข้ามากันนักข่าวที่ขวางทางคนนี้ออกไป ตอนนี้เองคนอื่นๆ คิดตามทันแล้ว รู้ว่าเป็นเพียงความเข้าใจผิด จึงต่างก้าวเข้ามาจับมือกับเฮ่อฮั่นจู่ ยังเรียกซูเสวี่ยจื้อว่าคุณหนูซู ทั้งพูดสรรเสริญว่าเธอคือฮวามู่หลันกลับชาติมาเกิด และไม่ลืมชมว่าทั้งคู่เป็นคู่สร้างคู่สมกัน
ตลอดการเดินทางมาครั้งนี้ช่วงแรกเฮ่อฮั่นจู่พยายามปิดเงียบเต็มที่ มีแค่สถานีสุดท้ายแห่งเดียวนี้ที่เขาปรากฏตัวต่อสาธารณะ ยังตอบตกลงหยุดพักที่นี่ตามคำเชิญและไปท่องเที่ยวรอบๆ พร้อมกับซูเสวี่ยจื้อ
ที่แห่งนี้ถูกขนานนามแต่โบราณกาลว่าเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉู่ จวบจนถึงปลายราชวงศ์ชิงยังได้รับฉายาเป็น ‘นครชิคาโกแห่งตะวันออก’ ที่เลื่องลือระบือไกลทั้งภายในภายนอกประเทศ จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายนับไม่ถ้วน ส่วนเขากับเธอก็มีรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นจับตา กิริยาท่าทางสง่าภูมิฐานผิดจากคนทั่วไป อีกทั้งมีคนล้อมหน้าล้อมหลังเป็นขบวนใหญ่ ไปที่ไหนก็ดึงดูดผู้คนแถวนั้นให้เข้ามามุงดู จะบอกว่าสร้างความฮือฮาเป็นที่กล่าวขวัญถึงไปทั้งเมืองก็ไม่เกินความจริงแม้แต่นิดเดียว
ค่ำวันนี้เฮ่อฮั่นจู่กับซูเสวี่ยจื้อยังไปร่วมงานราตรีที่ผู้ว่าราชการเมืองจัดให้คนทั้งคู่ ในงานเลี้ยงเขาขอเธอเต้นรำ ทั้งสองควงคู่เต้นลีลาศจนจบเพลง เรียกเสียงปรบมือดังเกรียวกราว งานเลี้ยงดำเนินไปจนดึกดื่นถึงยุติลง พวกเขาพักที่โรงแรมชั้นหนึ่งซึ่งโด่งดังที่สุดของเมือง หลังจากขอให้คนอื่นๆ ส่งถึงแค่นี้พอ เฮ่อฮั่นจู่เข้าห้องมาแล้วยังอยู่ตรงหลังประตูก็กอดเธอไว้และจูบกันไปจนถึงห้องนอน ค่อยพากันไปที่ห้องน้ำ พออาบน้ำเสร็จแล้วก็สวมกอดกันล้มลงนอนบนเตียง
“นี่ คุณเดาซิว่าคนที่อยู่เมืองหลวงพวกนั้นเห็นข่าววันนี้แล้วจะเป็นอย่างไร”
ซูเสวี่ยจื้อซึ่งหลบจูบของชายหนุ่มได้แล้วเอ่ยถามเขา
เฮ่อฮั่นจู่ย่อมรู้อยู่แล้วว่า ‘คนพวกนั้น’ ที่เธอเอ่ยถึงคือใคร
“โมโหตายไปเลยก็ดี” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เธอแค่นหัวเราะ “ฉันคิดแบบนี้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นต้องเหนื่อยขนาดนี้แล้วยังมีคนมุงดูเหมือนละครลิงทั้งวัน ฉันขาดทุนแย่”
เขาหัวเราะเสียงดังแล้วให้เธอมานอนซบบนตัว ช่วยนวดไหล่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้
แสงจากโคมไฟหัวเตียงสาดส่องมา ภายในห้องพักเงียบสงบมาก ซูเสวี่ยจื้อนอนซบอกกว้างอย่างแสนสบาย เพลิดเพลินกับการปรนเปรอเอาใจจากสองมือเขาพลางเอียงคอมองใบหน้าคมคายที่ยิ่งมองก็ยิ่งหล่อเหลา เธอคงมองได้ชั่วชีวิตโดยไม่มีวันเบื่อ หญิงสาวคิดคำนึงในใจ ชั่วอึดใจต่อมาเธอเห็นเขานอนพิงหัวเตียงมองดูเธอ ฝ่ามือก็ขยับช้าลงเรื่อยๆ คล้ายใจลอยไปที่อื่น
“คุณคิดอะไรอยู่หรือ” เธอคลายยิ้มถามอย่างอยากรู้โดยห้ามไม่อยู่
เขาทำเสียงตอบในลำคอเสียงหนึ่งเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน “ผมกำลังคิดว่า…”
เฮ่อฮั่นจู่หยุดพูดแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาก่อนราวกับรู้สึกเองว่าน่าขำ เขามองเธอแวบหนึ่งก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดบ่ายเบี่ยง “ไม่มีอะไร” ว่าแล้วก็นวดไหล่ให้เธอต่อ
ยิ่งเขาเป็นแบบนี้ ซูเสวี่ยจื้อยิ่งอยากรู้ เธอคาดคั้นให้เขาบอกมาเดี๋ยวนี้ พอเห็นเขาไม่ยอมพูดก็งอนโกรธ ปัดมือเขาออกแล้วทำท่าจะลงจากตัวเขาไม่ให้นวดอีก เขายื่นแขนรวบร่างเธอกลับมากอดไว้อีกครั้ง
“เอาล่ะๆ ผมบอกก็ได้” เขาพูดง้อเธอด้วยน้ำเสียงแกมจนปัญญาอยู่บ้างแต่กลับแฝงความเอ็นดูตามใจเสมอ
“บอกมาเร็วๆ” เธอเอ่ยเร่ง
“เมื่อครู่ผมกำลังคิดว่าลูกของพวกเราในอนาคตน่าจะเป็นแบบไหน…”
เขามองเธอพลางพูดเสียงเนิบนาบ
ซูเสวี่ยจื้ออึ้งไป
ว่ากันตามสัตย์จริงเธอไม่เคยนึกถึงปัญหานี้เลย ก่อนหน้านี้เธอเพียงคิดว่าจะป้องกันเผื่อพลาดอย่างไร ต่อให้เป็นตอนนี้ที่เธอกับเขาใกล้จะแต่งงานกันรอมร่อ ในหัวเธอก็คิดแต่ว่าต้องทำเช่นไรถึงไม่กระทบกับงานที่จะเริ่มดำเนินการต่อจากนี้ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายของเธอโดยเร็ว พอได้ยินเขาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน ในใจเธอเกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่คุ้นเคยขึ้นมาอย่างช้าๆ
แม้ว่าเธอยังไม่ได้เตรียมใจไว้ แต่เมื่อคิดไปถึงลูกที่เป็นของเธอกับเฮ่อฮั่นจู่สองคน เธอพลันรู้สึกคล้ายกับว่ามันก็ไม่ใช่อะไรที่ยอมรับไม่ได้…
ชายหนุ่มเห็นเธอเงียบไปก็คลี่ยิ้ม โน้มตัวมาจูบหน้าผากเธอทีหนึ่งอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพูดปลอบว่า “ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้เร่งรัดคุณ เมื่อครู่ผมเห็นคุณยิ้มสวยมาก ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมา ความจริงผมไม่สนใจเด็กสักนิด แล้วก็ไม่ชอบด้วย พวกเด็กน่ะน่ากลัวเกินไป”
เขาทำสีหน้าเหมือนยังแขยงๆ
“…เสวี่ยจื้อ ผมจะเล่าให้ฟัง ตอนหลานของจางอี้จิ่วอายุครบร้อยวัน เขาชวนผมไปงานเลี้ยงฉลองด้วย พอไปถึงผมก็ต้องอุ้มหลานเขา แต่เด็กดันพ่นน้ำลายใส่ผม! คุณว่าสกปรกไหมล่ะ แต่อยู่ต่อหน้าเจ้าภาพ ผมจะพูดอะไรก็ไม่ถนัด ตอนนี้นึกถึงขึ้นมายังแทบทนไม่ไหว ผมรู้ว่าคุณก็ไม่อยากมี ดังนั้นไม่ต้องกังวลใจนะ เมื่อครู่ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้จู่ๆ ถึงคิดแบบนั้น วันหลังถึงคุณอยากมี ผมก็ยืนยันว่าไม่เอา”
สุดท้ายเขาตระกองกอดหญิงสาวในอ้อมแขน พูดปลอบเธออีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจ
ซูเสวี่ยจื้อเม้มปากปรายตามองเขา เธอทำเสียงอือออคำหนึ่ง “ทราบแล้วค่ะ ท่านผู้บัญชาการของฉัน รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า”
วันต่อมาเพิ่งฟ้าสางกลุ่มของเฮ่อฮั่นจู่กับซูเสวี่ยจื้อก็ออกจากโรงแรมที่พักเมื่อคืนไปยังท่าเรือใหญ่เอง เพื่อไม่ให้ใครต่อใครตามไปส่งกันวุ่นวาย
พวกเขาจะลงเรือกลไฟที่นั่น ล่องไปตามแม่น้ำสายเดิมที่คนทั้งสองออกเดินทางมาด้วยกันในปีนั้น กลับไปสู่จุดเริ่มต้นของเขากับเธอ
เพราะยังเช้ามากบริเวณท่าเรือจึงมีผู้คนบางตา ผืนเมฆบางเบาตรงเส้นขอบฟ้าอาบย้อมด้วยแสงอรุณรุ่งเรื่อเรือง พยากรณ์ได้ว่าวันนี้อากาศปลอดโปร่งแจ่มใส
ตอนไปถึงทั้งสองลงรถไม่ทันไรก็เห็นกลุ่มคนสิบกว่าคนสาวเท้าเร็วรี่มาจากอีกทาง แต่ละคนผิวพรรณดำคล้ำร่างกายบึกบึนล่ำสัน คนนำหน้าก็คือหวังหนีชิว
เฮ่อฮั่นจู่อึ้งงัน เขาสบตากับซูเสวี่ยจื้อแล้วเดินไปหาโดยไม่รอช้า
“หัวหน้าสาม! พวกคุณมาที่นี่ได้อย่างไรคะ”
ซูเสวี่ยจื้อเห็นหวังหนีชิวแล้วรู้สึกสนิทสนมเหมือนได้เจอกับคนในครอบครัวเดียวกัน เธอถามอย่างดีใจ
เธอคิดถึงจ้าวมังกรเจิ้ง แม่ของเธอเยี่ยอวิ๋นจิ่น ยังมีคุณลุงเยี่ยหรู่ชวน ตั้งแต่เธอกลับมาคราวก่อนพริบตาเดียวก็ผ่านไปตั้งนานขนาดนี้ พอเห็นหวังหนีชิวปรากฏตัวอย่างกะทันหัน เธอก็ค้นพบว่าตนเองชักคิดถึงทุกคนแล้วจริงๆ
เขาพาคนเข้ามาแสดงคำนับเฮ่อฮั่นจู่กับซูเสวี่ยจื้ออย่างนอบน้อมเป็นพิธีรีตองก่อนแล้วไต่ถามทุกข์สุขเสียงดัง เห็นทั้งสองคำนับตอบ เขารีบเบี่ยงตัวหลบ โบกมือไปมาบอกว่าไม่กล้ารับไว้ เมื่อทักทายกันเรียบร้อยเขาจึงเอ่ยอธิบาย “ความจริงผมพาพวกพี่น้องมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตั้งใจจะมารับผู้บัญชาการเฮ่อกับคุณหนูซู แต่เห็นว่าคนเยอะแยะเลยไม่ได้เข้าไปร่วมวง เช้านี้ถึงมาที่นี่เพื่อรอต้อนรับพวกคุณครับ”
เฮ่อฮั่นจู่กล่าวขอบคุณเขา “ขอบคุณในน้ำใจของหัวหน้าสามนะครับ แล้วก็ขอบคุณพี่น้องทุกคนด้วย ทำให้ลำบากกันไปหมด”
หวังหนีชิวตอบอย่างถ่อมตัวว่าไม่เป็นไร บอกว่าเป็นหน้าที่ที่เขาควรทำอยู่แล้ว คนข้างหลังก็พากันรับเป็นลูกคู่เสียงดังขรม ซูเสวี่ยจื้อฟังเฮ่อฮั่นจู่กับหวังหนีชิวพูดโต้ตอบกันไปมาตามมารยาทไม่จบไม่สิ้นสักที เธออดพูดแทรกขึ้นไม่ได้ “หัวหน้าสาม ตอนนี้ท่านหัวหน้าใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง สุขภาพแข็งแรงดีไหมคะ”
เธอหวนนึกถึงสิ่งละอันพันละน้อยจากการอยู่ร่วมกับจ้าวมังกรเจิ้งในช่วงที่พักอยู่ในสมาคมชาวน้ำตอนกลับมาครั้งที่แล้วก็รู้สึกอบอุ่นตรงกลางใจระลอกหนึ่ง
หวังหนีชิวรู้มาโดยตลอดว่าจริงๆ แล้วคุณชายสกุลซูเป็นผู้หญิง ดังนั้นเมื่อครู่พอเห็นเธอในชุดนี้ แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้แสดงออกนอกหน้าเกินไป แค่เปลี่ยนคำเรียกเธอว่าคุณหนูซูไปเสียเลย พอได้ยินเธอถาม เขาโค้งคำนับเธอตามพิธีรีตองอีกครั้งเป็นการแสดงคารวะต่อเธอโดยเฉพาะ ถึงตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง “คุณหนูซูวางใจได้ครับ สุขภาพร่างกายของท่านหัวหน้าใหญ่ไม่มีปัญหาอะไร สบายดีทุกอย่าง พอรู้ว่าคุณหนูจะกลับมาพร้อมกับผู้บัญชาการเฮ่อ ผมเห็นท่านดีใจมากเลยครับ” แค่ว่ายังเก็บความรู้สึกไม่แสดงออกเหมือนเดิมเท่านั้นเอง หวังหนีชิวรำพึงอยู่ในใจ ไม่ได้พูดออกมา
ซูเสวี่ยจื้อพูดยิ้มๆ “เป็นอย่างนั้นก็ดีค่ะ ไว้กลับไปถึงฉันค่อยไปเยี่ยมท่านหัวหน้าใหญ่ ถือโอกาสตรวจร่างกายให้ท่านอีกที”
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง ผมขอขอบคุณคุณหนูแทนท่านหัวหน้าใหญ่ก่อนเลยครับ”
หวังหนีชิวพาคนไปเปิดทางข้างหน้าอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นตะโกนเสียงดังว่า “สายลมจงหนุนส่งเรือ สายน้ำจงเปิดสู่ฝั่ง! ขอเชิญผู้บัญชาการเฮ่อและคุณหนูซูลงเรือ เดินทางโดยสวัสดิภาพ กลับถึงบ้านในเร็ววัน!”
บทที่ 192
รูปลักษณ์ภายนอกของหวังหนีชิวอาจดูดิบเถื่อนห่ามห้าว แต่จริงๆ แล้วเป็นคนมีไหวพริบรู้จักกาลเทศะ เมื่อระหว่างทางราบรื่นไม่มีปัญหาอะไร เขาก็เกรงจะรบกวนเฮ่อฮั่นจู่กับซูเสวี่ยจื้อ หลังจากลงเรือแล้วจึงไม่เห็นหน้าเขาหลายวันราวกับล่องหนหายตัวไป จนถึงวันนี้เรือแล่นเข้าสู่เมืองซวี่ใกล้จะถึงท่าเรือใหญ่เขาจึงปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับลูกน้องไปเตรียมการขึ้นฝั่ง
สำหรับซูเสวี่ยจื้อแล้วต่อจากนี้เธอไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตเป็นผู้ชายอีก ประกอบกับช้าเร็วก็ต้องแต่งงานกับเฮ่อฮั่นจู่ ต้องคืนสู่ตัวตนแท้จริงแน่นอน แต่การกลับมาครั้งนี้ยังไม่ได้พบกับเยี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ถึงแม้เยี่ยอวิ๋นจิ่นเคยบอกว่าเธอกลับมาเป็นผู้หญิงได้ทุกเวลา แต่เมื่อใคร่ครวญว่ามันมีผลต่อครอบครัวในหลายๆ ด้าน ทีแรกซูเสวี่ยจื้อจึงตั้งใจว่ากลับไปที่บ้านก่อน รอเจอกับเยี่ยอวิ๋นจิ่นซึ่งๆ หน้าแล้วค่อยปรึกษาเรื่องทั้งหมดนี้อีกที ดูว่าเมื่อไรหรือจะอาศัยโอกาสไหนเปลี่ยนสถานะกลับตามเดิม
เอาเป็นว่าเรื่องนี้เธอไม่รีบร้อน เวลานี้เธอสนใจเพียงว่างานของห้องปฏิบัติการกับโรงงานผลิตยาเข้ารูปเข้ารอยได้เร็วที่สุดเมื่อไร แต่คิดไม่ถึงว่าเธอยังอยู่กลางทางก็เกิดความวุ่นวายตามมาจากทางโน้นอีก เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของเฮ่อฮั่นจู่ ย่อมต้องชี้แจงให้ชัดเจนยิ่งเร็วยิ่งดี ด้วยเหตุนี้ไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญอะไรอีก ทั้งคู่จึงปรากฏตัวต่อสาธารณะและเปิดเผยฐานะให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป
แต่เพราะเรื่องที่เธอกลับมาเป็นผู้หญิงแล้วยังไม่ได้บอกกล่าวให้เยี่ยอวิ๋นจิ่นรับรู้ อีกทั้งที่นี่ก็เป็นเมืองซวี่ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เธอถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามโดยไม่จำเป็นอีก การเดินทางในช่วงหลังเฮ่อฮั่นจู่จึงกลับมาสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาเป็นการปกปิดตัวตน ส่วนผู้ติดตามก็แต่งตัวแบบชาวบ้านทั่วไป อย่าว่าแต่ผู้โดยสารคนอื่นบนเรือลำเดียวกัน กระทั่งนายเรือก็ไม่รู้ว่าแขกในห้องพักชั้นหนึ่งกลุ่มนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่
เฮ่อฮั่นจู่วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วหลังจากลงเรือ เขากับซูเสวี่ยจื้อจะไปเยี่ยมจ้าวมังกรเจิ้งที่อยู่ใกล้ๆ ก่อน แล้วค่อยส่งเธอกลับไปที่บ้านสกุลซูในตัวอำเภอทันที หลังจากนั้น…
แน่นอนว่าต้องไปเจรจาสู่ขอกับเยี่ยอวิ๋นจิ่นให้ยกลูกสาวให้แต่งงานกับเขา
นี่เป็นเรื่องเร่งด่วนในเวลานี้
ส่วนฤกษ์แต่งงานเฮ่อฮั่นจู่เคารพในการตัดสินของเยี่ยอวิ๋นจิ่นและซูเสวี่ยจื้ออย่างเต็มที่ จะรอนานแค่ไหนก็ได้ แต่ต้องหมั้นหมายจับจองไว้ก่อนและยิ่งเร็วยิ่งดี
เขาพูดกำชับหวังหนีชิวว่าไม่ต้องแจ้งให้ทางสมาคมชาวน้ำหรือใครๆ มารับที่ท่าเรือ
หวังหนีชิวพูดยิ้มๆ “ผู้บัญชาการเฮ่อเดาถูกจริงๆ ครับ ก่อนผมออกเดินทาง ทุกวันต้องมีคนจากทุกที่ส่งคนมาสอบถามกับสมาคมชาวน้ำว่าคุณกลับมาวันไหน แต่วางใจได้ ไม่มีคำอนุญาตของผู้บัญชาการเฮ่อ ผมจะกล้าบอกตามชอบใจได้อย่างไรครับ”
เรือกลไฟยังไม่ถึงฝั่ง บรรดาผู้โดยสารพากันออกจากห้อง ยืนหอบข้าวของพะรุงพะรังเบียดเสียดกันอยู่ตามทางเดินและดาดฟ้าเรือ รอเรือเทียบท่าก็แย่งกันขึ้นฝั่งแล้วแยกย้ายไปตามจุดหมายปลายทางของตนเองอย่างรีบร้อน
กลุ่มของเฮ่อฮั่นจู่กับซูเสวี่ยจื้ออยู่รั้งท้ายรอจนผู้โดยสารคนอื่นๆ ไปกันเกือบหมดแล้วถึงยกขบวนขึ้นจากเรือ
วันนี้ซูเสวี่ยจื้อสวมเสื้อผ้าชุดเก่า เป็นเสื้อเชิ้ตคู่กับกางเกง มีเสื้อโค้ตผ้าสักหลาดลายตารางคลุมทับอีกชั้นกันหนาว เธอยังไม่คุ้นกับการใส่กระโปรง รู้สึกว่ากางเกงคล่องตัวกว่า
แต่เฮ่อฮั่นจู่ชอบดูเธอสวมกระโปรง เพราะหญิงสาวในชุดกระโปรงตอบสนองความต้องการปกป้องและอัตตาของพวกผู้ชายได้ ทว่าถึงเธอแต่งตัวแบบนี้ เขาก็มองได้ไม่มีวันเบื่อเหมือนกัน และเพราะเธอไม่รัดหน้าอกอีก ต่อให้เป็นเสื้อผ้าชุดเดียวกับตอนแต่งตัวเป็นผู้ชายเมื่อก่อน พอเธอใส่ตอนนี้ก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
ขณะขึ้นฝั่งเขาสังเกตเห็นแผ่นไม้กระดานในใต้เท้าแผ่นหนึ่งเลื่อนหลุดจากที่ จึงจับแขนเธอข้างหนึ่งช่วยประคองตามความเคยชินทันที ซูเสวี่ยจื้อเงยหน้าขึ้นมองตรงไปข้างหน้าพลางใช้ข้อศอกกระทุ้งเบาๆ เหมือนอยากจะสลัดเขาออก เฮ่อฮั่นจู่กลับจับแน่นขึ้น ทั้งยังยื่นหน้ามาใกล้ๆ เอ่ยเตือนว่า “ระวังเท้าสะดุด”
เธอกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง เขาถึงเพิ่งรู้สึกได้ว่าหญิงสาวไม่ค่อยปกติเลยมองไปตามสายตาของเธอแล้วเห็นเยี่ยหรู่ชวนทันที
เยี่ยหรู่ชวนอยู่ในรถม้าที่จอดอยู่มุมหนึ่งทางด้านหน้าไม่ไกล ส่วนเยี่ยต้าอยู่นอกรถ เขย่งส้นเท้าชะเง้อชะแง้มองไปทางกลุ่มฝูงชน ประตูรถม้าแง้มออกเป็นช่องเล็กๆ เยี่ยหรู่ชวนยื่นหน้าออกมาครึ่งหนึ่งมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่สักหน่อยเหมือนกำลังมองหาใครอยู่ ทันใดนั้นเยี่ยต้าก็ตาเป็นประกาย ชี้ไปทางด้านหน้าพร้อมตะโกนบอกคำหนึ่ง เยี่ยหรู่ชวนมองตามไปแล้วชะงักกึก จากนั้นผลักประตูเปิดอ้าออก จับคานรถม้าแล้วไถลตัวลงไปเองโดยไม่ต้องให้เยี่ยต้าช่วยพยุง ขาข้างที่เคยบาดเจ็บคล่องแคล่วว่องไวเหลือหลาย ไม่ทันยืนทรงตัวให้ดีก็ออกเดินลิ่วๆ มาทางท่าเรือแล้ว
ขณะเฮ่อฮั่นจู่เพ่งตามองไป ซูเสวี่ยจื้อสลัดมือเขาออกแล้วส่งเสียงเรียกคุณลุง จากนั้นกระโดดขึ้นฝั่งสาวเท้าเร็วรี่ไปหาเยี่ยหรู่ชวน
“คุณลุง! คุณลุงตั้งใจมารับหนูหรือคะ ลำบากแย่เลย! คุณลุงรู้ได้อย่างไรว่าหนูมาถึงเวลานี้” ซูเสวี่ยจื้อคล้องแขนเยี่ยหรู่ชวนพลางถาม
ลุงรู้ได้อย่างไรน่ะหรือ ก็สองสามวันนี้มาเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด ซ้ำยังกลัวคนรู้จักเห็นแล้วจะเข้ามาชวนคุยถามโน่นถามนี่เลยต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนโจรขโมยอย่างไรอย่างนั้น มันไม่ง่ายหรอกนะสำหรับคนอายุปูนนี้
เยี่ยหรู่ชวนบ่นอุบอิบในใจ แต่หลังจากรออยู่หลายวันในที่สุดก็ได้ต้อนรับหลานสาว เขารู้สึกดีใจมากจนพูดไม่ออก เพียงมองสำรวจอีกฝ่ายไม่หยุด เห็นดวงตาของเธอเป็นประกายแวววาว สองแก้มอวบอิ่ม หน้าตาเปล่งปลั่งสดใส ดูท่าทางเหมือนจะร่าเริงมีชีวิตชีวากว่าเดิม เห็นชัดว่าอารมณ์ดีไม่เลว ไม่ได้รับผลกระทบจากข่าวซุบซิบนินทาน่ากลัวก่อนหน้านี้ จิตใจที่เป็นกังวลอยู่ตลอดของเขาถึงผ่อนคลายลงมากกว่าครึ่ง ช่วงที่ผ่านมาเยี่ยหรู่ชวนมีคำพูดสุมแน่นเต็มอก แต่กลับไม่รู้จะเริ่มพูดจากอะไรก่อนในชั่วขณะ เวลานี้เองเขาเห็นเฮ่อฮั่นจู่เดินตามหลานสาวมาทางนี้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขานับเป็นญาติผู้พี่ของเฮ่อฮั่นจู่ แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว พอเห็นเฮ่อฮั่นจู่ยืนอยู่ตรงหน้ากำลังมองมาก็ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปาก ผงกหัวให้นิดหนึ่งแล้วเรียกทักทายยิ้มๆ ว่าผู้บัญชาการเฮ่ออย่างสุภาพแบบเดียวกับเมื่อก่อน
ตอนแรกเฮ่อฮั่นจู่คิดอยู่ว่าตอนนี้ควรจะเรียกขานเยี่ยหรู่ชวนว่าอะไรถึงเหมาะสม จะเรียกคุณลุงตามซูเสวี่ยจื้อเพื่อแสดงความใกล้ชิดไปเลยดีหรือไม่ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการละลาบละล้วง ขณะสองจิตสองใจอยู่กลับเห็นเยี่ยหรู่ชวนสุภาพกับเขาขนาดนี้ ไม่ใช่แค่นั้น เขายังจับน้ำเสียงในคำทักทายนั้นได้อย่างฉับไวว่าคลับคล้ายจะแฝงความห่างเหินไว้จางๆ จึงอดนิ่งขึงไม่ได้
ด้านเยี่ยหรู่ชวนกลับทำไม่รู้ไม่ชี้ หันไปทักทายหวังหนีชิวทางด้านข้างต่อ จากนั้นจับมือหลานสาวไว้แน่นๆ ราวกับกลัวเธอหนีไป ยังสั่งให้เยี่ยต้ายกกระเป๋าเดินทางของเธอไปบนรถม้าทันที แล้วค่อยแย้มยิ้มบอกอย่างสุภาพ “ผู้บัญชาการเฮ่อ หัวหน้าสาม พวกคุณต่างก็มีงานรัดตัว คงยังมีธุระต่อ ผมไม่รบกวนแล้ว ผมแค่จะมารับเสวี่ยจื้อ ตอนนี้รับตัวมาแล้ว ผมขอไปส่งเธอกลับบ้านก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็ประสานมือคำนับพวกเขาแล้วไม่รอคำตอบ ฉุดซูเสวี่ยจื้อให้ออกเดินไปทางรถม้าพร้อมกับพูดว่า “แม่เธอเป็นห่วงเธอมาก เร็วเข้า กลับบ้านกับลุงก่อน แม่เธอจะได้สบายใจ”
ซูเสวี่ยจื้อจำต้องออกเดินตามแรงฉุดของคุณลุงไปอย่างจนใจ เธอมองเหลียวกลับไปเห็นเฮ่อฮั่นจู่ยืนอยู่ที่เดิม สองตาจับจ้องมองตามเธอ จึงดึงมือคืนแล้ววิ่งกลับไปหาเขา ก่อนจะบอกว่า “ฉันจะตามคุณลุงกลับบ้านไปสะสางปัญหาให้เรียบร้อยก่อน ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณไปเยี่ยมท่านหัวหน้าใหญ่ก่อนได้เลย แล้วรอฟังข่าวดีจากฉัน”
เฮ่อฮั่นจู่เป็นคนฉลาดขนาดไหน เขาย่อมรับรู้ได้ว่าคราวนี้ ‘ญาติผู้พี่’ คนนี้น่าจะไม่พอใจเขามาก ขืนดึงดันตามไปตอนนี้คงไม่เหมาะจริงๆ
เขาเพ่งมองเธอพลางพูดเสียงเบาๆ “ผมเข้าใจ ผมจะรอข่าวจากคุณนะ”
ซูเสวี่ยจื้อเห็นคุณลุงหยุดยืนอยู่ด้านข้างมองเฮ่อฮั่นจู่ทางหางตาด้วยสีหน้าระวังระไว เห็นได้ชัดว่ากำลังเงี่ยหูฟังเธอกับเขาคุยกัน เธอเลยส่งยิ้มให้เฮ่อฮั่นจู่ แล้วหมุนตัวเดินตามเยี่ยหรู่ชวนไปขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังตัวอำเภอ
หวังหนีชิวเห็นชายหนุ่มยืนอยู่ที่เดิมมองส่งรถม้าแล่นจากไปโดยไม่ละสายตา ในใจจึงแอบขบขันว่าพวกคนหนุ่มสาวก็รักกันหวานซึ้งแบบนี้ ไม่อยากห่างจากกันแม้สักวินาทีเดียว แต่กลับปั้นหน้าขรึม เขากระแอมเบาๆ ก่อนเอ่ยเตือนขึ้น “ผู้บัญชาการเฮ่อครับ คุณหนูซูกลับบ้านไปแล้ว คุณแวะไปที่สมาคมชาวน้ำพักผ่อนสักครู่ก่อนดีไหมครับ”
เฮ่อฮั่นจู่ได้สติก็รู้ว่าเผลอตัวต่อหน้าคนอื่นไปแล้วจึงยิ้มเป็นเชิงกลบเกลื่อน เขาพยักหน้าตกลงแล้วตามหวังหนีชิวไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 พ.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.