X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 193-195

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 193

“เจ้าเด็กคนนี้! ลุงเป็นญาติสนิทที่สุดของเธอนะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้เธอยังปิดบังลุงเสียสนิทเลยหรือ”

เยี่ยหรู่ชวนนึกถึงข่าวลือครึกโครมในช่วงที่ผ่านมาแล้วยังใจคอไม่ดีจนถึงตอนนี้ พอขึ้นรถม้าก็อดต่อว่าต่อขานไม่ได้

“หลายวันก่อนลุงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเริ่มมาจากที่ไหน จู่ๆ เรื่องของเธอกับหลานชายสกุลเฮ่อก็แพร่กระจายไปทั้งเมือง พูดกันเสียน่าเกลียดจนแทบทนฟังไม่ได้เลยทีเดียว ยังมีจวงเถียนเซินอีกคน เธอยังจำเขาได้ไหม เจ้านั่นก็ไม่รู้จักเสียดายเงินทองส่งโทรเลขมาหาลุงติดๆ กันตั้งหลายรอบในวันเดียว ถามแต่เรื่องของพวกเธอ ลุงถึงเพิ่งรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นทางเมืองหลวงเหมือนกัน ตอนนั้นลุงตกใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน คิดอยู่ในใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอกับหลานชายสกุลเฮ่อชอบพอกันตั้งแต่ตอนไหน ทำไมลุงไม่รู้เรื่องสักนิด”

เวลานั้นเยี่ยหรู่ชวนยังตั้งตัวไม่ติด กำลังตกตะลึงงุนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ถึงขั้นนึกสงสัยว่าหลานชายสกุลเฮ่อรู้ความลับของหลานสาวหรือเปล่า เขาถูกตาต้องใจหลานสาวในฐานะผู้ชายจนเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตแบบนี้ขึ้นใช่ไหม หรือว่ารู้ตัวตนแท้จริงของเธอแล้ว ที่บอกกันว่าหลานสาวกับเขาเป็นคู่รักกัน ตกลงเป็นเรื่องจริงหรือว่าข่าวลือ

“วันต่อมาลุงออกจากเมืองเฉิงตูไปหาแม่เธอ เสวี่ยจื้อ เธอรู้ไหมว่าปกติพวกข่าวต่างๆ จากข้างนอกที่รู้มาถึงเมืองเฉิงตูแล้วกว่าจะไปถึงในอำเภอ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสิบกว่าวันเป็นอย่างต่ำ แต่เรื่องนี้ใช้เวลาแค่วันสองวันเอง ลุงยังไปไม่ถึงก็เจอคนรู้จักกลางทาง เขาบอกลุงว่าในอำเภอลือกันสนั่นไปทั่วแล้ว ยังพูดอีกว่าชอบมีคนไปยืนจับกลุ่มกันอยู่นอกร้านขายยาของพวกเรา ชี้นิ้วนินทาตั้งแต่เช้าจรดเย็นจนทำมาค้าขายไม่ได้ ลุงร้อนใจแทบแย่ พอไปถึงต้องรอให้ฟ้ามืดก่อนถึงเข้าไปเงียบๆ จนได้เจอหน้าแม่เธอ ลุงรึอุตส่าห์กลุ้มใจแทนแม่เธอมาตลอดทาง เครียดจนเป็นแผลร้อนใน แม่เธอกลับสบายอกสบายใจดี ยังบอกลุงว่าไม่ต้องเป็นห่วง พวกเธอแก้ปัญหากันเองได้แน่ นี่แสดงว่าแม่เธอก็รู้แต่แรกแล้วสินะ!”

เยี่ยหรู่ชวนพูดรัวเร็วเกินไปจนคอแห้ง คลำมือไปหยิบกาน้ำชาใบเล็กๆ แบบพกติดตัวที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กมุมรถมาจ่อปากกรอกลงคอพรวดๆ หลายอึก เขาหยุดพักหายใจก่อนตั้งท่าจะพูดต่อ แต่ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงวางกาน้ำชาลงแล้วจ้องหลานสาวตาเขม็ง “เสวี่ยจื้อ ลุงเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าแต่เรื่องของเธอกับหลานชายสกุลเฮ่อคงไม่ใช่ว่าจ้าวมังกรเจิ้งก็รู้แล้วเหมือนกันกระมัง”

ซูเสวี่ยจื้อพยักหน้าอย่างกระดาก “ค่ะ…ก่อนหน้านี้จ้าวมังกรเจิ้งก็รู้แล้ว…”

เยี่ยหรู่ชวนคับอกคับใจมากขึ้น “ดีนัก! แม่เธอรู้ยังพอทำเนา แม้แต่จ้าวมังกรเจิ้งก็รู้แล้วแต่แรก! ที่แท้ก็ปิดลุงคนเดียวนี่เอง! มีญาติสนิทที่ไหนเป็นอย่างลุงบ้างเนี่ย”

เธอยกกาน้ำชาส่งให้เขาด้วยสองมืออย่างประจบเอาใจ “เมื่อครู่คุณลุงพูดตั้งนาน ดื่มน้ำอีกนะคะ”

เยี่ยหรู่ชวนพูดเสียงฮึดฮัด “ลุงเธอไม่ใช่โอ่งใส่น้ำนะ! ไม่ดื่มแล้ว”

เธอรีบแก้ตัวว่าไม่ได้จงใจปิดบังเขา แค่ว่าตอนนั้นยังไม่ได้ตกลงปลงใจกันแน่นอน จะบอกเต็มปากเต็มคำนักก็ไม่ดี ยังพูดอีกว่าเธอกับเฮ่อฮั่นจู่เคารพนับถือเขามาก เดิมทีตั้งใจว่าพอกลับมาถึงก็จะไปอธิบายเรื่องของพวกเธอให้คุณลุงเข้าใจเป็นคนแรก คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ถึงได้มีเหตุการณ์นั่นทีหลัง อีกอย่างไม่ใช่เธอหรือเฮ่อฮั่นจู่บอกกับจ้าวมังกรเจิ้ง แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้จ้าวมังกรเจิ้งเดาความสัมพันธ์ของพวกเธอได้เอง

เยี่ยหรู่ชวนถึงมีสีหน้าดีขึ้น เขาเหล่ตามองหลานสาวก่อนรับกาน้ำชาที่เธอยื่นให้

ซูเสวี่ยจื้อยิ้มมุมปาก เธอรู้ว่าคุณลุงหายโกรธแล้วก็รีบซักไซ้ถึงเหตุการณ์หลังจากนั้น “ข่าวพวกหนูตอนอยู่ที่ฮั่นโข่วคงแพร่มาถึงบ้านเราแล้วใช่ไหมคะ พอคนสกุลซูรู้ว่าหนูเป็นผู้หญิงแล้วมาหาเรื่องคุณแม่หรือเปล่า”

นี่เป็นเรื่องที่เธอกังวลใจที่สุดในตอนนี้

“ลุงว่าจะพูดเรื่องนี้อยู่พอดี หลายวันนี้ชาวบ้านทุกตรอกซอกซอยในอำเภอพูดถึงเรื่องของเธอกันระเบ็งเซ็งแซ่ยิ่งกว่านกกระจอกแตกรัง กลายเป็นพวกคนสกุลซูที่ดูผิดปกติ ตอนนี้ทางนั้นเงียบกริบไม่เกิดอะไรขึ้นเลย อาหกของเธอคนนั้นปิดประตูบ้านสนิทตลอด แต่ลุงได้ยินว่าพวกเขาแอบพบกันลับๆ ยังมีพวกคนนอกคอยยุให้ไปเอาเรื่อง แต่ก็ไม่ต้องกังวลเกินไป…”

เยี่ยหรู่ชวนหยุดเว้นจังหวะแล้วพูดเข้าเรื่องสำคัญของวันนี้ในที่สุด “เรื่องของเธอกับหลานชายสกุลเฮ่อมันเป็นอย่างไรกันแน่ ชอบพอกันตั้งแต่เมื่อไร มิน่าครั้งก่อนลุงไปหาเธอที่เมืองเทียนเขาถึงให้เกียรติลุงขนาดนั้น เลี้ยงอาหารแล้วยังให้ลุงนั่งหัวโต๊ะอีก…เดี๋ยวก่อน!”

เขาแจ่มแจ้งในบัดดลและมองหลานสาวอย่างตื่นตกใจ “เสวี่ยจื้อ คงไม่ใช่ว่าเขาหมายตาเธอตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะ แต่เธอเพิ่งไปเมืองเทียนนานแค่ไหนเอง ลุงก็ช่างตาถั่วดูไม่ออกจริงๆ! ไม่ได้คิดไปทางนั้นเลยสักนิด ยังนึกว่าตนเองคงมีหน้ามีตาไม่น้อย หลานชายสกุลเฮ่อถึงได้มีมารยาทกับลุงแบบนี้…”

เยี่ยหรู่ชวนรู้สึกอับอายอยู่ในใจ เขาหยุดปากกะทันหันไม่พูดไม่จาอีก

เมื่อทางบ้านไม่เกิดปัญหาขึ้นเพราะเรื่องของเธอ ซูเสวี่ยจื้อก็คลายใจลง เธอจับน้ำเสียงกับสีหน้าของคุณลุงแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายยังไม่หายขุ่นใจที่เธอกับเฮ่อฮั่นจู่ปิดบังเรื่องนี้ จึงรีบพูดกลบเกลื่อนแทนชายคนรัก “คุณลุงอย่าเข้าใจผิดนะคะ ไม่เกี่ยวกับเขา”

เยี่ยหรู่ชวนแค่นเสียงฮึอย่างไม่คล้อยตาม “ไม่เกี่ยวกับเขา? หรือว่าเธอเป็นฝ่ายไปยุ่งกับเขา”

“คุณลุงพูดถูกต้องแล้วค่ะ” ซูเสวี่ยจื้อพยักหน้า “หนูชอบเขาก่อนจริงๆ อยากเป็นคนรักของเขา เขาหมดปัญญาถึงได้ตกลงปลงใจกับหนูค่ะ”

เยี่ยหรู่ชวนอึ้งงันไป

ซูเสวี่ยจื้อขยับเข้าไปทุบขาข้างที่เคยบาดเจ็บของเขาเบาๆ แล้วคลี่ยิ้มพูดต่อ “คุณลุงไม่เชื่อไม่ได้นะ ลองคิดดู ผู้ชายอย่างนั้นถ้าหนูปล่อยให้หลุดมือ วันหลังจะไปหาจากที่ไหนได้อีก”

เยี่ยหรู่ชวนมองหลานสาวอย่างพินิจครู่หนึ่ง เขาชี้หน้าเธอพลางโคลงศีรษะอย่างทอดถอนใจ “เจ้าเด็กคนนี้ทำไมถึง…”

สุดท้ายเขาก็ปั้นหน้าต่อไม่ไหว หัวเราะออกมาเองแล้วพูดรำพึงรำพัน “ก็จริงนะ ลุงขึ้นเหนือล่องใต้มาครึ่งค่อนชีวิต พบเจอผู้คนมากมาย แต่คนที่โดดเด่นอย่างหลานชายสกุลเฮ่อนับเป็นคนแรกจริงๆ”

“คุณลุงไม่โกรธแล้วใช่ไหมคะ” ซูเสวี่ยจื้อถามยิ้มๆ

เยี่ยหรู่ชวนปฏิเสธ “ลุงโกรธเมื่อไรกัน”

เธอถามต่อ “ถ้าคุณลุงไม่โกรธ เพราะอะไรเมื่อครู่ไม่ยอมให้หนูพูดกับเขาจนจบก็พาหนูกลับมาแล้วล่ะคะ”

เขาถอนใจเฮือกๆ “เด็กโง่เอ๊ย เป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักสงวนท่าทีบ้าง ในอำเภอของเรา บ้านไหนที่รักลูกสาวนะ ต่อให้พอใจครอบครัวฝ่ายชายแค่ไหน ตอนส่งคนมาทาบทามสู่ขอก็ต้องวางท่าเล่นตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรหรอก แค่อยากให้ครอบครัวฝ่ายชายรู้ว่าบ้านเราตัดใจให้ลูกสาวออกเรือนไม่ได้ วันหลังลูกสาวแต่งเข้าไปแล้วจะได้ไม่โดนดูถูก เธอจะใจร้อนไปทำไมนักหนา กลัวหลานชายสกุลเฮ่อจะหนีไปหรือ ก่อนหน้านี้พวกเธอเป็นอย่างไร ลุงไม่รู้หรอกนะ แต่ตอนนี้ลือกันจนอึกทึกครึกโครมแบบนี้ แล้วเรื่องของพวกเธอก็ยังไม่ได้ประกาศให้เป็นเรื่องเป็นราว ในเมื่อเธอกลับบ้านแล้ว ลุงไม่มารับเธอกลับบ้านเอง จะวางใจได้อย่างไร”

ตอนนี้เองเยี่ยต้าซึ่งนั่งควบรถม้าอยู่ด้านหน้าตะเบ็งเสียงบอกกะทันหัน “คุณชาย…เอ๊ย คุณหนูขอรับ คุณไม่ทราบหรอกว่าสองสามวันนี้นายท่านไม่ทำอะไรทั้งนั้น วันๆ เฝ้าอยู่ท่าเรือรอเรือกลไฟที่จะมาถึงไม่กี่ลำนั่น กลัวว่าจะพลาดไม่ได้รับคุณ แต่ก็กลัวจะเจอคนรู้จักมาถามเรื่องของคุณอีก ข้าวปลาอาหารก็กินแบบขอไปที ตอนกลางวันดื่มแค่น้ำชาในรถม้ากับเสบียงที่เอาติดตัวมาตอนเช้าไม่กี่คำ…”

เยี่ยหรู่ชวนด่าเยี่ยต้าว่าปากมาก เขาถึงได้หุบปาก แต่ซูเสวี่ยจื้อตื้นตันใจมาก “คุณลุงดีกับหนูจริงๆ หลายวันมานี้เพราะเรื่องของหนูทำให้คุณลุงตกใจเป็นห่วง ยังต้องพลอยลำบากไปด้วย”

เมื่อครู่นี้ได้ฟังคำอธิบายของหลานสาว อารมณ์ขุ่นข้องระคนวิตกกังวลในใจเยี่ยหรู่ชวนก่อนหน้านี้ก็หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงความปลาบปลื้มยินดี ดีใจกับหลานสาวและเยี่ยอวิ๋นจิ่นน้องสาวของตน เขาพูดยิ้มๆ “ลุงน่ะบากบั่นมาครึ่งชีวิต จะเพื่ออะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพื่อหวังว่าเธอกับเสียนฉีจะมีอนาคตไกล ตอนนี้เธอได้ดีอย่างนี้ ลุงดีใจแทบไม่ทันต่างหาก จะลำบากอะไรกัน อย่าไปฟังเยี่ยต้าพูดเหลวไหล”

บรรยากาศภายในรถม้าอบอุ่นเป็นสุข เยี่ยต้าควบรถม้าพาเยี่ยหรู่ชวนกับซูเสวี่ยจื้อไปถึงตัวอำเภอก่อนฟ้ามืดอย่างราบรื่นตลอดทาง

ยามเย็นเป็นเวลาที่ว่างมากที่สุดของวัน อีกทั้งท้องฟ้ายังสว่างอยู่ ขณะรถม้าเข้าสู่ตัวอำเภอโดยแล่นไปบนถนนที่มุ่งไปยังบ้านสกุลซูจึงตกเป็นเป้าสายตาของคนมากมาย แต่เยี่ยหรู่ชวนไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวถูกคนดึงตัวมาถามซอกแซกเหมือนก่อนหน้านี้อีก ตอนรถม้าไปถึงที่หมายแล้วหยุดจอดหน้าประตูใหญ่เขาลงมายืนเคียงข้างหลานสาว เดินเชิดหน้ายืดอกเข้าประตูไปด้วยกันท่ามกลางสายตาที่แอบมองอยู่ข้างหลังนับไม่ถ้วน

เยี่ยอวิ๋นจิ่นออกมารับลูกสาวด้วยตนเอง คนในบ้านก็ติดตามนายหญิงออกมาตั้งแถวต้อนรับตรงหน้าประตู ทว่าพอเห็นซูเสวี่ยจื้อปรากฏตัวในเครื่องแต่งกายของผู้ชายดุจเก่าทุกคนก็เบิ่งตาอ้าปากค้าง รอบด้านตกอยู่ในความเงียบ

ด้านหงเหลียนลอบถอนใจเฮือก เธออุตส่าห์สอนพวกเขาแล้วแท้ๆ แต่สอนไม่จำกันเลย เธอยื่นมือสะกิดเสี่ยวชุ่ยข้างตัว “คุณหนู! คุณหนูของพวกเรากลับมาแล้ว”

เสี่ยวชุ่ยเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เธอตะโกนพูดขึ้นฉับพลัน คนที่เหลือถึงพากันพูดเสียงดังตาม บรรยากาศเริ่มครึกครื้นรื่นเริงขึ้นทันใด

ซูเสวี่ยจื้อคลี่ยิ้มสวมกอดหงเหลียนที่ก้าวเท้าเล็กๆ กระย่องกระแย่งเข้ามากอดเธอพร้อมบ่นว่าผอมลง ยังเอ่ยทักทายพวกซูจง สุดท้ายค่อยหันไปทางเยี่ยอวิ๋นจิ่นที่ยืนนิ่งเงียบมองอยู่ตรงประตู เธอเดินเข้าไปคล้องแขนแม่ พูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “แม่คะ หนูกลับมาแล้วค่ะ”

เยี่ยอวิ๋นจิ่นกะพริบตาเบาๆ ทีหนึ่งก่อนบอกเสียงเบา “เข้าบ้านเถอะ คงหิวแล้วกระมัง ไปกินข้าวกันได้แล้ว”

ฟ้ามืดแล้ว เยี่ยอวิ๋นจิ่นเชิญพี่ชายนั่งหัวโต๊ะและให้หงเหลียนร่วมโต๊ะด้วย ระหว่างคนทั้งครอบครัวนั่งล้อมวงกินอาหารร่วมกัน มีคนในบ้านเข้ามาบอกว่าอาหกสกุลซูกับภรรยามาหา เวลานี้อยู่ข้างนอก

ในบรรดาวงศาคณาญาติของสกุลซู ว่ากันถึงเกียรติยศและบารมีแล้วต้องยกให้อาหกคนนี้เป็นอันดับหนึ่ง

หงเหลียนหยุดพูดคุยยิ้มหัว มองไปทางนายหญิงของตน

เยี่ยอวิ๋นจิ่นวางตะเกียบลง บอกให้พี่ชายกับลูกสาวกินอาหารต่อไม่ต้องหยุดแล้วพูดว่า “ฉันไปดูว่าพวกเขาจะพูดอะไรกัน”

บทที่ 194

อาหกกับภรรยาไม่ได้เข้ามาทางประตูใหญ่ด้านหน้าแต่เป็นประตูข้าง ไม่ใช่ว่ายามเฝ้าประตูของบ้านสกุลซูไม่ให้พวกเขาเข้าทางประตูใหญ่ แล้วก็ไม่กล้าทำอย่างนั้นด้วย เพราะถึงอาหกไม่ใช่ประมุขตระกูล แต่เทียบกับคุณลุงสามที่แก่ชราหูตาฝ้าฟาง คำพูดของเขามีน้ำหนักมากกว่า นอกจากเป็นที่นับหน้าถือตาในอำเภอ ลูกชายของเขายังรับราชการอยู่ในเมืองเฉิงตูอีกด้วย

“…ตอนพวกเขามาก็เดินเข้าทางประตูเล็กเอง ทำท่าทำทางลับๆ ล่อๆ เหมือนกลัวใครเห็น ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร…”

เยี่ยอวิ๋นจิ่นฟังแล้วไม่พูดจาตลอดทางจนเข้าสู่โถงรับแขก อาหกกับภรรยานั่งอยู่ข้างในพูดคุยกระซิบกระซาบกันอยู่ พอเห็นเธอย่างเท้าเข้ามา ทั้งคู่ก็สบตากันแวบหนึ่งแล้วหยุดพูดทันที

เธอถามพวกเขาว่ามีธุระอะไรแล้วบอกต่อว่า “พวกอาหกคงได้ยินแล้วว่าเสวี่ยจื้อเพิ่งมาถึงบ้านตอนเย็น ยังกินข้าวกันอยู่ พวกอาหกมาแล้ว ถ้าไม่รังเกียจจะไปกินด้วยกันไหม”

อาหกนั่งเฉยวางหน้าขรึม ฝ่ายอาสะใภ้หกมีใบหน้ายิ้มแย้ม เธอลุกขึ้นเดินไปคล้องแขนเยี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างสนิทสนม เอ่ยชมอีกฝ่ายก่อนว่าหน้าตาสดใส นับวันยิ่งสาวขึ้นทุกทีถึงพูดตอบว่า “พวกฉันกินข้าวจากบ้านมาแล้ว ที่มาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากพูดด้วยนิดหน่อย ไม่นึกว่าจะรบกวนเวลาของครอบครัวเธอ อย่าถือสากันนะ”

ใบหน้าเยี่ยอวิ๋นจิ่นเผยรอยยิ้มบางๆ “อาสะใภ้หกเกรงใจเกินไปแล้ว มีเรื่องอะไรก็เชิญพูดได้เลย”

“เมื่อครู่เธอพูดถึงเสวี่ยจื้อพอดี พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็ไม่ต้องปิดๆ บังๆ กันแล้ว ขอบอกตามตรงว่าพวกฉันสองคนมาที่นี่เย็นนี้ก็เพราะเรื่องนั้นของเสวี่ยจื้อ…” อาสะใภ้หกหยุดเว้นจังหวะ ชายตามองรอให้เยี่ยอวิ๋นจิ่นพูด แต่ไม่เห็นอีกฝ่ายตอบสนองใดๆ ยังอมยิ้มมองเธอเหมือนเดิม จึงกล่าวต่ออย่างจนใจ “เสวี่ยจื้อเป็นผู้หญิงแท้ๆ เธอกลับบอกว่าเป็นลูกชายมาตั้งแต่เล็ก หลายวันนี้ใครๆ ในอำเภอพากันพูดถึงเรื่องนี้กันทั่ว ซึ่งก็ช่างเถอะ แต่เธอปิดบังแม้แต่ญาติพี่น้องอย่างพวกฉัน สำหรับเรื่องนี้ฉันไม่ได้จะยกตัวเป็นผู้ใหญ่มาว่ากล่าวหรอกนะ ตอนนั้นเธอคิดอะไรไม่รอบคอบจริงๆ จะโทษที่ตอนนี้คนในตระกูลเราข้องใจกันยกใหญ่ไม่ได้…”

อาสะใภ้หกจับสังเกตสีหน้าของเยี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่ “เมื่อคืนพวกผู้อาวุโสในตระกูลไปที่บ้านลุงสามเพื่อประชุมกัน ทุกคนไม่พอใจมาก บอกว่าเรื่องนี้ของครอบครัวเธอกลายเป็นเรื่องตลกของคนทั้งอำเภอไปแล้ว ทำให้ตระกูลเราต้องอับอายขายหน้าไม่ว่า กระทั่งพวกฉันที่เป็นญาติพี่น้องออกไปข้างนอกยังโดนคนชี้นิ้วนินทาไปด้วย เธอทำเรื่องแบบนี้จะมองว่าเป็นเรื่องผิดเล็กน้อย แค่ละเมิดกฎตระกูล ทำให้ผังลำดับเครือญาติยุ่งเหยิงวุ่นวายก็ได้ แต่มองในอีกมุมหนึ่งก็เป็นความผิดร้ายแรงเข้าขั้นผิดจริยธรรมของชายหญิงเชียวนะ ถ้าจะเอาเรื่องจริงๆ ขึ้นมาต้องรับโทษหนักเลยทีเดียว”

เยี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้าหงึกหงัก “ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าเมื่อคืนประชุมกันแล้วได้ข้อสรุปอะไรหรือยัง ตั้งใจจะเอาอย่างไร จะตัดครอบครัวพวกฉันสายนี้ออกจากวงศ์ตระกูลไปเลยไหม หรือว่าจะส่งตัวให้ทางการสอบปากคำ ฉันอาจจะผ่านโลกมาน้อย แต่ดูเหมือนตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีกฎหมายข้อไหนกำหนดว่าห้ามเลี้ยงลูกสาวในครอบครัวแบบผู้ชาย หรือในยุคสาธารณรัฐใหม่มีข้อนี้เพิ่มขึ้น”

อาหกยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง อาสะใภ้หกมองสามีแวบหนึ่งแล้วรีบพูดขึ้น “เธอไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนลุงสามโกรธแทบลมจับ ส่วนญาติคนอื่นๆ ก็เป็นเดือดเป็นแค้นไม่น้อยหน้ากว่ากัน พากันตำหนิเธอหมด เสนอให้ทำตามกฎของตระกูลอย่างเคร่งครัด ประกาศตัดญาติกัน ทุกคนจะรับช่วงกิจการของครอบครัวพวกเธอ…”

เยี่ยอวิ๋นจิ่นมองไปทางอาหกเหมือนกัน “ที่แท้อาหกมาคืนนี้ก็เพื่อจะรับช่วงกิจการห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อเองหรือ”

อาสะใภ้หกพูดตัดพ้อทันที “อวิ๋นจิ่น เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว! ฉันกับอาหกของเสวี่ยจื้อไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้ ตรงกันข้าม พวกฉันหวังดีกับพวกเธอ บอกตรงๆ นะ เมื่อคืนทะเลาะกันจนตอนหลังอาหกของเสวี่ยจื้อเป็นคนลุกขึ้นคัดค้านหัวชนฝาว่าทำแบบนี้กับพวกเธอไม่ได้ คิดไปถึงสมัยนั้นตอนพ่อของเสวี่ยจื้อจากไปแล้ว เธอเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว ต้องรับภาระดูแลครอบครัวคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ที่หาทางออกด้วยวิธีนี้ก็เพราะความจำเป็นบังคับ ถึงจะพูดว่าละเมิดกฎตระกูล แต่มีเหตุผลอภัยให้ได้ ยิ่งกว่านั้นตลอดหลายปีมานี้ทุกครั้งที่ในตระกูลมีปัญหาต้องใช้เงินกองกลาง มีหนไหนบ้างที่เธอไม่ได้ลงขันเยอะที่สุด จะลืมความดีของเธอไม่ได้”

อาหกที่ไม่พูดอะไรโดยตลอดส่งเสียงกระแอมขึ้น เขาลุกขึ้นช้าๆ ย่างเท้าเนิบนาบอย่างผึ่งผายเดินมา ใบหน้าประดับรอยยิ้มอบอุ่นเป็นมิตร “ก็เพราะเหตุผลนี้นี่ล่ะ ตอนหลังถึงหยุดเสียงทะเลาะโวยวายเมื่อคืนไปได้ในที่สุด พวกเขาไม่กล้าซักไซ้ไล่เลียงอะไรอีกแล้ว เธอวางใจได้ มีฉันอยู่ วันหลังถ้ามีใครกล้ายกเรื่องนี้มาสร้างความลำบากใจให้พวกเธออีก เธอมาหาฉันได้เลย ที่พวกฉันมาเย็นนี้ก็เพราะหวังดี อยากเตือนเธออีกทีก็เท่านั้นเอง”

เยี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็รู้ว่าเมื่อคืนคนสกุลซูไปเปิดประชุมกันที่บ้านลุงสาม ช่วงครึ่งแรกเป็นอย่างที่สองสามีภรรยาคู่นี้บอกจริงๆ แต่ละคนผลัดกันออกมาติเตียนด่าทอเธอจบแล้วเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะขับเธอออกจากตระกูล และให้ญาติพี่น้องรับช่วงกิจการห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อ แต่เรื่องช่วงหลังไม่เหมือนกัน พอพูดถึงว่าจะให้ใครออกหน้าไปจัดการเรื่องนี้ ในที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีใครเสนอตัว ตามหลักแล้วลุงสามเป็นประมุขตระกูลก็ควรเป็นเขาออกหน้า แต่ลูกชายของเขาบอกว่าตอนนี้สุขภาพของเขาไม่แข็งแรง จะเดินเหินยังไม่ไหว ทุกคนจึงหันไปมองอาหก แต่ช่างประจวบเหมาะพอดีที่มีคนเข้ามาในจังหวะนี้บอกว่าอาสะใภ้หกไม่สบายกะทันหัน จึงส่งคนมาตามอาหกกลับบ้าน อาหกก็รีบออกไป ส่วนคนที่เหลือมองหน้ากันไปมา จากนั้นขอตัวกลับไปทีละคนสองคน การประชุมภายในตระกูลเลยจบลงห้วนๆ ไปแบบนี้ สุดท้ายแยกย้ายกันไป

เยี่ยอวิ๋นจิ่นกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่าสามีภรรยาคู่นี้กำลังเล่นละครต่อหน้าเธอ คนหนึ่งรับบทคนดี อีกคนรับบทคนร้าย เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พูดโกหกหน้าตายเพื่อมุ่งหวังอะไรกันแน่

ถึงไม่มีเฮ่อฮั่นจู่เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็มั่นใจว่าจะรับมือเรื่องที่ลูกสาวกลับคืนสู่สถานะเดิมได้ แต่ญาติพี่น้องที่อยากจับเธอแล่เนื้อเถือหนังแบ่งกันสูบเลือดสูบเนื้อใจจะขาดพวกนี้คงไม่มีทางยกธงขาวสงบศึกง่ายๆ

เยี่ยอวิ๋นจิ่นลอบทอดถอนใจ นึกเกลียดชังธาตุแท้ของคนเหล่านี้ แต่สีหน้ากลับเป็นปกติ เธอยิ้มกล่าวขอบคุณแล้วบอกว่าลูกสาวยังรอเธออยู่ คงไม่รั้งตัวพวกเขาไว้แล้ว

ทีแรกอาหกกับภรรยามาที่นี่เพราะอยากทำให้เยี่ยอวิ๋นจิ่นซาบซึ้งใจ ครั้นเห็นเธอแสดงท่าทีอย่างนี้ก็อดผิดหวังไม่ได้ แต่จำต้องลุกขึ้นเดินกลับไป เยี่ยอวิ๋นจิ่นเชิญพวกเขาออกทางประตูใหญ่ อาสะใภ้หกรีบบอกว่าออกทางประตูเล็กสะดวกกว่าและเดินใกล้กว่า เธอย่อมไม่ฝืนใจพวกเขาเป็นธรรมดา เดินตามมาถึงหน้าประตูก็หยุดยืนบอกอย่างยิ้มแย้ม “เสวี่ยจื้อรอฉันกินข้าวอยู่ ฉันคงไม่ไปส่งแล้ว อาหกกับอาสะใภ้ค่อยๆ เดินนะ”

อาสะใภ้หกยังไม่ถอดใจ กำลังจะหาจังหวะถามเรื่องแต่งงานของซูเสวี่ยจื้อกับเฮ่อฮั่นจู่ ด้วยหวังว่าตอนจัดงานจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วยเพื่อสานสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนหลายคนยืนอยู่ด้านนอกกำลังจับจ้องมาทางนี้…เธอมองแวบเดียวก็จำได้ว่าเป็นลูกชายของลุงสามกับญาติอีกสองสามคนที่ปกติสนิทกับเขาซึ่งเคยพบปะกันพร้อมหน้าไปแล้วเมื่อคืนนี้

สองสามีภรรยาสะดุ้งตกใจ คิดจะหลบก็ไม่ทันเพราะพบกันซึ่งๆ หน้าแล้ว ได้แต่แข็งใจหยุดยืนกับที่

คนกลุ่มนี้ก็ไม่โง่เหมือนกัน ในเมื่อต่างรู้ว่าลูกหลานของสกุลเฮ่อคนนั้นมีฐานะอะไร การที่เมื่อคืนแต่ละคนเป็นเดือดเป็นแค้น นั่นแค่เพราะสถานการณ์บังคับเลยต้องแสร้งเป็นคนดีเท่านั้นเอง คืนนี้ในใจทุกคนล้วนคิดแบบเดียวกับอาหกกับภรรยา อยากตีสนิทและผูกสัมพันธ์กับครอบครัวของเยี่ยอวิ๋นจิ่น แต่ก็กลัวคนเห็นแล้วจะโดนเยาะเย้ย ด้วยเหตุนี้จึงรอฟ้ามืดแล้วแอบมาทางประตูข้าง กลับมาเจอกันตรงหน้าประตูอย่างไม่ทันตั้งตัว ส่งผลให้บรรยากาศแฝงความกระอักกระอ่วนไว้จางๆ ทันควัน

ทั้งสองฝ่ายซึ่งอยู่กันคนละฝั่งของธรณีประตูมองหน้ากันไปมาครู่หนึ่ง สุดท้ายฝ่ายหนึ่งพูดว่ามาที่นี่เพราะมีธุระ ส่วนอีกฝ่ายบอกว่าผ่านมาพอดี จากนั้นเสหัวเราะกลบเกลื่อน กล่าวลาเยี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างรู้ดีแก่ใจแล้วกลับไปพร้อมกันอย่างลุกลน ขณะเดินห่างกันไปไม่ไกลลูกชายของลุงสามเอ่ยขึ้น “อาสะใภ้หก ไหนบอกว่าไม่สบายกะทันหัน แค่คืนเดียวก็หายดีแล้วหรือ”

อาสะใภ้หกมีหรือจะยอมแพ้ เธอพูดเยาะ “ได้ยินว่าเมื่อคืนคนที่โวยวายเสียงดังที่สุดก็คือเธอนะ คืนนี้เธอมาทำอะไรที่บ้านของอวิ๋นจิ่นล่ะ”

อีกฝ่ายหน้าแดงจรดใบหู พูดตอกกลับ “อะไรกันครับ มีแต่พวกอาสะใภ้หกที่มาที่นี่และทำตัวเป็นคนดีได้ ส่วนพวกผมมาไม่ได้หรือ อาสะใภ้หกคิดว่าทำแบบนี้แล้วไม่ต้องอายใคร จะอุบเงียบไว้ทำไม ถ้าเมื่อคืนอาหกบอกมาคำเดียว ผมจะมีสิทธิ์เอ่ยปากไหมล่ะ”

เยี่ยอวิ๋นจิ่นยืนอยู่ด้านในประตู มองตามแผ่นหลังของบรรดาคนสกุลซูที่ห่างไปทีละน้อยอย่างเฉยเมย

การต่อสู้ฟาดฟันกันลับหลังที่เริ่มต้นเมื่อยี่สิบปีก่อนศึกนี้จบลงโดยสิ้นเชิงในที่สุด เธอเอาชนะคนกลุ่มนี้ที่เป็นเหมือนเสือหิวได้แล้ว

ชั่วขณะนี้เองเธอรู้สึกว่าตนเองช่างโชคดีเหลือเกินที่สวรรค์ยังเมตตา ไม่อย่างนั้นจะลิขิตให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เธอไม่ใช่คนดิบดี อีกทั้งไม่ได้สร้างคุณงามความดีอะไร แต่ท้ายที่สุดกลับให้เธอมีลูกสาวที่โดดเด่นและเข้าอกเข้าใจคนอื่นแบบนี้ ไม่เพียงเท่านี้ ลูกสาวของเธอยังบังเอิญได้พบกับหลานชายสกุลเฮ่อพอดีอีก

ลูกสาวของเธอจะมีอนาคตที่สดใสและมีความสุขอย่างไร้ข้อกังขา ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เริ่มต้นจากอดีตช่วงนั้นของเธอเมื่อยี่สิบก่อน แม้ว่ามันจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว วันนั้นไม่อาจสมหวังได้ วันหน้าก็คงไม่ต่างกัน แต่เธอไม่รู้สึกเสียใจและไม่ควรจะเสียใจแล้ว

เยี่ยอวิ๋นจิ่นทอดสายตามองผืนฟ้าราตรีทางทิศที่ตั้งของเมืองซวี่ที่ไกลออกไปชั่วครู่ ก่อนจะเก็บงำความรู้สึกลึกซึ้งที่เผยออกมาทางดวงตาไว้แล้วหมุนตัวเข้าบ้านไป

หลานชายสกุลเฮ่อไม่ได้ปล่อยให้เยี่ยอวิ๋นจิ่นต้องรอนานเลย

ผ่านไปเพียงไม่กี่วันเขาก็มาแล้ว คนที่มากับเขาคือนักปราชญ์ชื่อดังของเมืองเฉิงตู เป็นเครือญาติคนหนึ่งของสกุลเฮ่อ ผู้อาวุโสพาเขาเข้าเยี่ยมคารวะนายห้างหญิงและทาบทามสู่ขอตามพิธีการในฐานะญาติผู้ใหญ่สกุลเฮ่อ นายห้างหญิงไม่พูดบ่ายเบี่ยงไว้ท่าสักนิด ตอบตกลงทันทีพร้อมรอยยิ้มชื่นบาน

เรื่องมงคลนี้กลายเป็นข่าวครึกโครมโจษจันกันไปทั้งอำเภอในวันนี้ ถนนสายที่ไปถึงประตูใหญ่ของสกุลซูมีคนเบียดเสียดเนืองแน่น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังมาจากทุกตรอกซอกซอย เหล่าชาวอำเภอเป่าหนิงไม่เพียงพูดคุยถึงเรื่องว่าที่ลูกเขยของสกุลซูกับขบวนทหารท่วงท่าองอาจห้าวหาญที่เขายกมาตั้งแถวอยู่นอกอำเภอด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นแกมเคารพยำเกรง ยังเริ่มเอ่ยถึงเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับนายห้างหญิงของห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อ…แน่นอนว่าตอนนี้ในความทรงจำของชาวอำเภอเกี่ยวกับอดีตอัน ‘น่าเสื่อมเสีย’ บางเรื่องซึ่งเคยคลางแคลงสงสัยกันมานานหลายสิบปีของเธอได้ลบเลือนไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยมีอยู่ เธอสลัดคราบเดิมกลายเป็นผู้หญิงฉลาดเฉลียวและเข้มแข็งอดทน ภาพลักษณ์เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบประหนึ่งแม่พระไปแล้ว ถึงขั้นที่ยังมีผู้เฒ่าแก่ชราหงำเหงือกหลงๆ ลืมๆ คิดว่าตอนนี้ยังมีจักรพรรดิประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรในวังหลวง ป่าวประกาศว่าจะถวายฎีกาไปถึงราชสำนักให้ประทานซุ้มประตูสดุดีให้เธอ แบบนี้ถึงจะคู่ควรกับคุณงามความดีและความซื่อสัตย์ต่อสามีของเยี่ยอวิ๋นจิ่น

คืนนี้บ้านสกุลซูจัดงานเลี้ยงใหญ่ เยี่ยอวิ๋นจิ่นต้อนรับขับสู้และโอภาปราศรัยกับแขกเหรื่อมากหน้าหลายตาด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ขณะที่เฮ่อฮั่นจู่อยู่กับซูเสวี่ยจื้อและไปที่เมืองซวี่ด้วยกัน ในช่วงค่ำคืนมืดสนิททั้งคู่เข้าสู่เมืองซวี่ไปที่หมู่ตึกสี่เหลี่ยมซึ่งตั้งอยู่ริมคุ้งน้ำหลังนั้น

เรือนปีกตะวันตกเงียบสงัด มีเพียงแสงเทียนแผ่ออกมาทางหน้าต่าง จ้าวมังกรเจิ้งนั่งหลังตรงสง่าอยู่ในห้อง เขาเพ่งพิศคนหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม บอกให้ยืดตัวขึ้นไม่ต้องแสดงคำนับต่อเขาอย่างเป็นพิธีรีตองขนาดนี้

เฮ่อฮั่นจู่พูดยืนกรานอย่างเคารพอ่อนน้อม “วันนี้เป็นวันหมั้นของผมกับเสวี่ยจื้อ ผมแสดงคำนับต่อท่านเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วครับ”

ไม่มีคำอธิบายใดๆ แต่ทุกคนล้วนประจักษ์แก่ใจโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด

เขามองซูเสวี่ยจื้อที่ยืนอยู่ข้างตัวปราดหนึ่งแล้วไม่ปฏิเสธอีก หากสีหน้าฉายแววตื้นตันจางๆ

จ้าวมังกรเจิ้งมองดูเฮ่อฮั่นจู่แสดงคำนับต่อเขาตามธรรมเนียมดั้งเดิมเสร็จแล้วพลันพูดขึ้น “เสวี่ยจื้อ ตอนเธอกับเยียนเฉียวไปไหว้คุณปู่ อย่าลืมจุดธูปดอกหนึ่งแทนฉันด้วย ชีวิตคนเราไม่แน่นอนก็จริง แต่ถ้าครั้งนั้นไม่ใช่เพราะคุณปู่ท่านกล้าหาญรักความเป็นธรรมและรักษาสัจจะ ฉันคงไม่มีชีวิตรอดจนถึงวันนี้เด็ดขาด

ตอนนั้นฉันยังเป็นเด็กหนุ่มมุทะลุบ้าบิ่นอายุสิบต้นๆ จะรู้ได้อย่างไรว่าพริบตาเดียวเวลาจะผ่านไปสี่สิบห้าสิบปีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสียแล้ว เรื่องนี้เป็นความตั้งใจของฉันมานาน เสวี่ยจื้อ เธอช่วยทำให้ลุล่วงแทนฉันที”

จ้าวมังกรเจิ้งจมอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่งก่อนจะเบือนหน้าช้าๆ ไปมองหญิงสาวข้างกาย หยักยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้น

บทที่ 195

สำหรับกำหนดวันแต่งงานคืออีกครึ่งปีให้หลัง

เหตุผลแรกที่เลือกฤกษ์แบบนี้เพราะการซ่อมแซมคฤหาสน์หลังเดิมของสกุลเฮ่อจำเป็นต้องใช้เวลา

พิธีแต่งงานของเขากับเธอจะจัดขึ้นที่คฤหาสน์หลังนั้น อีกทั้งหลังแต่งงานแล้วทั้งคู่ก็จะอาศัยอยู่ที่นั่น

ซูเสวี่ยจื้อเป็นคนออกความคิดนี้เอง

คฤหาสน์หลังเดิมนั่นถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ประกอบกับโครงสร้างหลักของบ้านเป็นแบบยุคโบราณ อันที่จริงถึงตอนนี้ทำการซ่อมแซมต่อเติมแล้ว แต่ว่ากันถึงความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยไม่น่าจะสู้บ้านฝรั่งได้ เฮ่อฮั่นจู่รู้ว่าเธอเคยชินความเป็นอยู่แบบชาวตะวันตก กลัวเธอต้องฝืนทน เดิมทีจึงไม่ได้คิดจะอยู่บ้านเดิมหลังแต่งงาน เขาตั้งใจว่าจะหาซื้อบ้านฝรั่งที่สร้างเสร็จแล้วในเมืองเฉิงตูสักหลัง ถ้าเธอถูกใจเหมือนกัน แค่ปรับปรุงอีกเล็กน้อยก็เป็นอันเรียบร้อย แต่ตอนหลังเธอปฏิเสธทันที บอกว่าอยากอยู่บ้านเดิมของสกุลเฮ่อมากกว่า เพราะ ‘ที่นั่นเป็นบ้านที่เขาอยู่ตั้งแต่เล็กจนโต’ เฮ่อฮั่นจู่ตื้นตันใจมาก เขาอยากให้เธออยู่อย่างสะดวกสบายมากขึ้น จึงจ้างสถาปนิกคนหนึ่งมาดำเนินการดัดแปลงแก้ไขสภาพภายในของตัวเรือนใหญ่ให้ตรงตามความเคยชินของเธอ

นอกจากเตรียมความพร้อมในด้าน ‘วัตถุ’ แล้ว อีกเหตุผลหนึ่งคือเขายังต้องการเวลาสะสางงานที่รอให้เขาไปจัดการอย่างเร่งด่วนก่อน

แม้ว่าขณะนี้เขามีอาณาเขตในครอบครองแล้ว แต่เท่านี้ยังไม่พอ เขายังต้องรีบเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกองกำลังสายต่างๆ ใต้อาณัติที่ยกเขาเป็นผู้นำให้สามัคคีปรองดองกันโดยเร็วที่สุด เพื่อมั่นใจว่าจะไม่เกิดความวุ่นวายขึ้นอีก นอกจากนี้เรื่องการปฏิรูปกองทัพ ปรับคณะผู้บริหารท้องถิ่น รวมถึงนโยบายใหม่ที่เตรียมดำเนินการทุกด้านก็ต้องจัดทำแผนปฏิบัติงานด่วนที่สุด เพราะทั้งการทหารและการบริหารราชการจะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ อีกทั้งเป็นงานที่ละเอียดซับซ้อนมาก ถึงผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจะมีคนเก่งและที่ปรึกษาช่วยแบ่งเบาได้ ทว่าในช่วงเพิ่งเริ่มต้นนี้เขาจำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยตนเอง

อันที่จริงครึ่งปีค่อนข้างฉุกละหุกด้วยซ้ำไป แต่กระนั้นในความรู้สึกส่วนตัวของเขา มันเป็นช่วงเวลาที่ยืดยาวเสียเหลือเกิน ทว่าความเป็นจริงคือเขาเตรียมพร้อมสำหรับการแต่งงานได้เร็วที่สุดเท่านี้

เขามีงานยุ่ง ซูเสวี่ยจื้อก็ไม่ได้ว่างไปกว่าเขาสักเท่าไร

หลังจากกลับมาเธอก็ทุ่มเทใจให้โรงงานผลิตยาตลอด

สายตาคุณลุงของเธอเฉียบแหลมมากตามเคย โรงงานผลิตยาที่เขาเป็นคนกลางช่วยติดต่อให้ตรงใจเธอมาก แค่ปรับปรุงสถานที่นิดหน่อยก็เรียบร้อย เครื่องไม้เครื่องมือที่มีอยู่แต่เดิมมากมายก็ใช้งานต่อได้ พอเธอมาอยู่ที่นี่แล้วไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอะไรอีก สามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้อย่างอิสระ เป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ เธอกับพวกด็อกเตอร์อวี๋ที่เดินทางมาปักหลักก่อนหน้าช่วยกันวางผังโรงงาน เพิ่มกำลังคนและอุปกรณ์ ทุกคนทำงานเข้าขากันได้ดีเหมือนปลาได้น้ำ เธอยุ่งวุ่นวายจนลืมเรื่องแต่งงานไปสนิท

โรงงานนี้อยู่นอกเมืองเฉิงตู ทีแรกเธอยังพักอยู่ที่บ้านคุณลุง แต่ตอนหลังย้ายไปอยู่ที่นั่นและหมกตัวอยู่ในห้องปฏิบัติการทั้งวันทั้งคืน พริบตาเดียวฤดูหนาวก็ผ่านพ้นไปเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว นกอพยพกลับถิ่นฐาน หมู่มวลดอกไม้เริ่มผลิบาน วันแต่งงานก็มาถึง

เขากับเธอจะจัดพิธีแต่งงานแบบจีนตามประเพณีดั้งเดิม ดูฤกษ์ไว้เป็นวันที่สิบแปดของเดือนนี้ ซึ่งเป็นวันมหามงคลเลยทีเดียว

ตามแผนการเดิมซูเสวี่ยจื้อต้องกลับบ้านก่อนล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์เป็นอย่างน้อยเพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว จากนั้นรอเฮ่อฮั่นจู่เดินทางมารับตัวไปประกอบพิธีแต่งงานในเมืองเฉิงตู

เดือนก่อนงานซ่อมแซมคฤหาสน์เก่าของสกุลเฮ่อเข้าสู่ช่วงท้ายแล้ว เฮ่อฮั่นจู่วางงานในมือลงแล้วไปหาหญิงสาว ตั้งใจจะพาเธอไปดูด้วยกัน เผื่อว่ามีจุดไหนไม่พอใจ หากรีบบอกตั้งแต่ตอนนี้ยังปรับแก้ได้ทัน…แน่นอนว่านี่เป็นข้ออ้าง ความจริงเขาไม่ได้เจอหน้าเธอมาหลายวันเลยคิดถึงมาก แต่ยังต้องอีกหนึ่งเดือนเศษกว่าจะถึงวันแต่งงาน เขารู้สึกว่ายังอีกนานพอดูเลยอ้างเรื่องนี้นัดเธอ ใครจะรู้เธอว่าจะบอกว่างานยุ่งออกไปข้างนอกไม่ได้ อยากจะเร่งทำงานในมือให้เสร็จก่อนแต่งงาน และเธอก็เชื่อใจเขาเต็มที่ ให้ทำไปตามความเหมาะสมได้เลย แล้วก็บอกให้เฮ่อฮั่นจู่กลับไปแบบนี้

หงเหลียนเป็นผู้เล่าเรื่องนี้เอง วันนั้นเธอพาช่างตัดเสื้อเอาชุดแต่งงานไปให้ซูเสวี่ยจื้อลองใส่ที่นั่นพอดี เลยเห็นเหตุการณ์นี้เองกับตาและกลับมาบอกเยี่ยอวิ๋นจิ่น

ตอนนี้เหลืออีกสามวันจะถึงงานแต่งงานแล้ว ยังมีเรื่องมากมายก่ายกองต้องทำ แต่ซูเสวี่ยจื้อที่เดิมควรจะอยู่บ้านรอออกเรือนกลับไม่เห็นแม้แต่เงา…หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้เธอยังเดินทางไปต่างเมืองเพราะอยากหาโรงงานผลิตถังหมักที่เหมาะกับงานของเธอจำนวนมาก

หงเหลียนอยู่ที่บ้านรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นเธอกลับมา ร้อนใจจนทนไม่ไหวจึงตามเซ้าซี้เยี่ยอวิ๋นจิ่นให้รีบส่งโทรเลขไปตามเธอกลับมาไวๆ ถ้ายังไม่กลับอีก กลัวว่าจะไม่ทันวันแต่งงานแล้ว อีกอย่างเกิดว่าที่คุณผู้ชายรู้เข้าจะคิดอย่างไร

“คราว…คราวก่อนคุณเฮ่ออุตส่าห์ตั้งใจมาหาคุณหนู จะพาเธอไปดูบ้าน เธอก็ไม่ไป บอกว่างานยุ่ง ยังทิ้งคุณเฮ่อไว้แล้วเข้าไปเลยเจ้าค่ะ ตอนนั้นคุณเฮ่อไม่ได้พูดอะไร ยังทำหน้ายิ้มๆ คุยกับฉันต่ออีกประเดี๋ยวหนึ่ง แต่ฉันดูออกว่าเขาผิดหวังนิดหน่อย นี่ก็อีกไม่กี่วันแล้ว คุณหนูก็ยังอยู่อีกเมือง ขืนให้คุณเฮ่อรู้อีก กลัวจะไม่ค่อยเหมาะนะเจ้าคะ…”

ใกล้ถึงวันแต่งงานของลูกสาวรอมร่อ หลายวันนี้เยี่ยอวิ๋นจิ่นยุ่งจนหัวปั่น ตัวเธอก็อยู่ที่ร้านยังไม่กลับบ้าน

แม้ว่าลูกสาวรับปากว่าจะกลับมาให้ทัน แต่จนเวลานี้ก็ยังไม่เห็นวี่แวว เธอเริ่มร้อนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอหงเหลียนพูดแบบนี้อีกก็พาให้ในใจชักหวั่นๆ กลัวจะเกิดเหตุอะไรขึ้นจนทำให้เสียฤกษ์แล้วจะโดนคนหัวเราะเยาะเอาได้ เธอนิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจจะไปหาพี่ชายขอให้เขาช่วยเร่งลูกสาวให้กลับมาทันที ตอนนั้นเองคนรับใช้ในบ้านคนหนึ่งได้มาหาเธอพร้อมบอกเสียงดังอย่างตื่นเต้นว่า “นายหญิงขอรับ นายหญิงน้อยเพิ่งกลับมา พ่อบ้านซูส่งผมมาบอกให้ท่านทราบ ขอให้ท่านรีบกลับไปขอรับ”

หงเหลียนกระโดดโลดเต้นจนเท้าเล็กๆ สองข้างลอยจากพื้นด้วยความดีใจ เธอกลับบ้านสกุลซูพร้อมนายหญิงโดยไม่รอช้า เยี่ยอวิ๋นจิ่นไปหาลูกสาวถึงห้อง มองลอดรอยแยกประตูที่ไม่ได้ปิดสนิทไปเห็นกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งวางบนพื้น ส่วนลูกสาวซึ่งกลับถึงบ้านแล้วยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ด้วยซ้ำนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ก้มหน้าเขียนบางอย่างด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจมาก ดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นเรื่องงาน

ลูกสาวกลับมาก็พอแล้ว เธอยืนอยู่นอกประตูแอบมองครู่หนึ่งแล้วเบือนหน้าไปทำมือบอกให้หงเหลียนอย่าทำเสียงดังรบกวนลูกสาว ส่วนตนเองก็ถอยออกมาเงียบๆ

เวลาสามวันผ่านไปอย่างว่องไว วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันงานแต่งงานแล้ว ทางเฮ่อฮั่นจู่ส่งคนมาแจ้งว่าเขามาถึงแล้ว พรุ่งนี้จะมารับตัวเจ้าสาวตรงตามเวลา

ลูกสาวหาคู่ครองที่ดีแบบนี้ได้ ในใจเยี่ยอวิ๋นจิ่นย่อมรู้สึกอิ่มเอมใจสุดจะกล่าว แต่ก็เหมือนกับแม่ทุกคนในโลกนี้ คืนนี้เธอรู้สึกเศร้าหมองอยู่บ้าง

หลังเธอกับพวกซูจงตรวจดูเรื่องต่างๆ ที่ต้องทำวันพรุ่งนี้จนมั่นใจว่าจัดเตรียมพร้อมสรรพหมดแล้วถึงได้วางใจ ตอนกลางดึกเยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่รู้สึกง่วงแม้แต่นิดเดียว เธอกำลังนั่งเหม่ออยู่ตามลำพังในห้อง พลันได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นหน้าห้อง พอลุกไปเปิดประตูก็เห็นลูกสาวมาหา ซูเสวี่ยจื้อถือเชิงเทียนในมือยืนเงียบๆ อยู่นอกประตู

“เสวี่ยจื้อ? ดึกป่านนี้แล้วทำไมลูกยังไม่เข้านอนอีก”

เยี่ยอวิ๋นจิ่นประหลาดใจ

ตั้งแต่ลูกสาวกลับบ้านมาสองสามวันนี้ก็เก็บตัวตั้งหน้าตั้งตาทำงานไม่ได้ออกไปไหนเลย บอกว่ากำลังยุ่งอยู่กับการเขียนวิทยานิพนธ์อะไรสักอย่างอยู่ ไฉนจู่ๆ ถึงมาหาเธอในเวลานี้

“พรุ่งนี้เป็นวันงานมงคลของลูกนะ ลูกต้องพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่อย่างนั้นจะไม่สดชื่น พอไม่สดชื่นก็จะไม่สวยนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เขาไม่ว่าอะไรหรอก” ซูเสวี่ยจื้อหัวเราะก่อนก้าวข้ามธรณีประตูเดินเข้ามา

เยี่ยอวิ๋นจิ่นหัวเราะตามแล้วปิดประตู

ซูเสวี่ยจื้อวางเชิงเทียนลง ก่อนจะเอ่ยขอบคุณแม่ของเธอ “พวกแม่ต้องลำบากกันหมดเพราะหนู ขอบคุณนะคะ”

คนทั้งบ้านยุ่งกันจนหัวไม่วางหางไม่เว้นเพราะงานแต่งงานของเธอจริงๆ ส่วนเธอกลับเหมือนคนนอก ไม่มีหน้าที่อะไรทั้งสิ้น ทุกเรื่องมีเยี่ยอวิ๋นจิ่น หงเหลียน และพวกคุณลุงรับไปทำแทนให้หมด เธอแค่นั่งรอวันงานเท่านั้น

เยี่ยอวิ๋นจิ่นพูดยิ้มๆ “กับแม่ยังทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ แม่ก็มีลูกสาวอยู่คนเดียว ลูกจะแต่งงานแล้ว แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวในชีวิต แม่จะลำบากอะไรล่ะ ดีใจแทบไม่ทันต่างหาก”

หญิงสาวมองแม่ของเธอนิ่งๆ ไม่พูดไม่จา ฝ่ายเยี่ยอวิ๋นจิ่นโดนมองจนชักเริ่มอึดอัด ลังเลเล็กน้อยถึงเอ่ยขึ้น “ลูกมีอะไรหรือถึงมองแม่แบบนี้”

ซูเสวี่ยจื้อพูดเสียงเบา “แม่คะ หลายวันก่อนจ้าวมังกรเจิ้งมอบตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ของสมาคมชาวน้ำให้หัวหน้าสาม เขาจะจากไปแล้ว แม่คงรู้แล้วใช่ไหมคะ”

แพขนตาของเยี่ยอวิ๋นจิ่นกระพือเบาๆ ทีหนึ่ง “จู่ๆ พูดเรื่องนี้ทำไม เขาเหนื่อยมาทั้งชีวิต วนเวียนอยู่กับการตีรันฟันแทงต้องเสี่ยงอันตรายมาโดยตลอด ตอนนี้ปลดภาระลงได้ก็เป็นเรื่องดี”

“วันข้างหน้าแม่กับเขา…ไม่มีแผนการอะไรจริงๆ หรือคะ”

ซูเสวี่ยจื้อสองจิตสองใจนิดหนึ่งก่อนถามออกมาในที่สุด เธอถามจบก็พูดต่อ “แม่คะ พวกแม่ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรจริงๆ นี่ไม่ใช่ความคิดของหนูคนเดียว เยียนเฉียวก็เห็นด้วยเต็มที่! คืนนี้หนูมาหาแม่ เพราะอยากบอกเรื่องนี้กับแม่อย่างชัดเจนค่ะ”

เยี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้า “ความหวังดีของพวกลูก แม่เข้าใจ พวกลูกเป็นเด็กดีมาก แต่ว่าแม่กับเขาอายุปูนนี้แล้ว สมัยเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ยังผ่านมาได้ ตอนนี้ยังจะมีความคิดอะไรได้อีกล่ะ”

เธอพูดจบแล้วเห็นลูกสาวมองเธอเงียบๆ แววตาแฝงรอยสงสารแล้วคลายยิ้ม จึงเดินไปตรงหน้าลูกสาว ยกมือลูบเรือนผมที่ยาวขึ้นเรื่อยๆ อย่างอ่อนโยนพลางพูดเสียงนุ่ม “พวกลูกไม่ต้องวุ่นวายใจกับเรื่องนี้แล้ว วันหลังพวกลูกอยู่ดีมีสุขได้ สำหรับแม่ชาตินี้ก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว…”

เธอหยุดเว้นจังหวะแล้วพูดต่อ “แม่คิดว่าเขา…น่าจะคิดแบบนี้เหมือนกัน”

“แม่คะ” ซูเสวี่ยจื้อรู้สึกสงสารมากขึ้น เธอยังอยากพูดเกลี้ยกล่อมต่อ แต่เยี่ยอวิ๋นจิ่นส่ายหน้าตัดบท

“เสวี่ยจื้อ คนเราจะโลภมากเกินไปอยากได้ทุกอย่างไม่ได้นะ แม่พูดจริงๆ หลังจากนี้เขาปลอดภัยสบายดี ส่วนแม่ก็เหมือนกัน แบบนี้ดีมากแล้ว”

เธอพูดย้ำด้วยน้ำเสียงเน้นหนักราวกับเป็นการอธิบายให้ลูกสาวเข้าใจมากขึ้น ทั้งคล้ายจะบอกกับตนเอง

ซูเสวี่ยจื้อไม่พูดอะไรอีก

เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้เป็นแค่หญิงสาวที่เคยมีความรักและพัวพันกับหัวหน้าใหญ่ของสมาคมชาวน้ำในวัยหนุ่มคนนั้น เธอยังเป็นนายห้างหญิงของห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อ

เมื่อคลาดกันไปก็เป็นดั่งเส้นตรงสองเส้นที่ตัดกันแล้วทอดตัวยาวต่อไปจนไกลลิบ ครั้นคิดจะหันหลังกลับก็พบว่ามีพันธะภาระหนักอึ้งเสียแล้ว ความกล้าบ้าบิ่นโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดเพียงอยากให้ชายในดวงใจพาตนเองหนีไปตอนยังเป็นหนุ่มสาวไม่อาจเรียกคืนกลับมาอีกครั้งอย่างง่ายดายอีกต่อไป

มนุษย์เราคงจะเป็นเช่นนี้เอง ความเสียดายต่างหากคือความจริงของชีวิตอันเป็นนิรันดร

ชั่ววินาทีนี้ซูเสวี่ยจื้อยิ่งรู้สึกว่าตนเองโชคดีเพียงใด

เธอยื่นแขนไปกอดหญิงวัยกลางคนตรงหน้าคนนี้ไว้หลวมๆ บอกว่า “แม่คะ คืนนี้หนูอยากนอนห้องแม่ได้ไหมคะ”

เยี่ยอวิ๋นจิ่นนิ่งขึงไปชั่วอึดใจ จากนั้นพยักหน้าแรงๆ “ได้สิ” ขอบตาของเธอร้อนผ่าวน้อยๆ ขณะพูดเสียงแผ่วเบา

คืนนี้ซูเสวี่ยจื้อกับเยี่ยอวิ๋นจิ่นนอนบนเตียงเดียวกัน พวกเธอต่างเป็นคนที่แสดงความรู้สึกไม่เก่งทั้งคู่ อีกทั้งไม่ช่างพูด เยี่ยอวิ๋นจิ่นเพียงกอดลูกสาวไว้เฉยๆ เหมือนสมัยเธอยังเป็นเด็ก ฝ่ายซูเสวี่ยจื้อนั้นก็เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอที่เกิดความรู้สึกอุ่นใจของการมีแม่อยู่ข้างกาย เธออิงแอบเยี่ยอวิ๋นจิ่นเงียบๆ หลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราลึก

วันถัดมาเฮ่อฮั่นจู่พาทหารกองหนึ่งมารับซูเสวี่ยจื้อไปยังเมืองเฉิงตู ขบวนรับตัวเจ้าสาวยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหนนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องบรรยาย คืนนี้เขากับเธอค้างคืนที่เมืองซวี่ บรรยากาศทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึกครึกโครม พลุดอกไม้ไฟหลากสีสันสะท้อนเงาอยู่เหนือผิวแม่น้ำเป็นระลอกริ้วพลิ้วไหว แสงเดือนงามตาประหนึ่งห้วงฝัน

ด้านข้างท่าเรือตรงปากอ่าว ผืนน้ำมืดสนิท คืนนี้ผู้คนแห่แหนกันออกไปชมความสนุกครึกครื้นกันครึ่งเมือง ทำให้บริเวณนี้เงียบเชียบเป็นพิเศษ ถึงขั้นแฝงความวังเวงไว้อยู่บ้าง

ชายสวมเสื้อสีเทากับรองเท้าผ้าคนหนึ่งยืนอยู่ริมแม่น้ำ เขาเอาสองมือไพล่หลังแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย ทอดสายตามองดอกไม้ไฟที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราตรีไม่ขาดสายอยู่ไกลๆ ด้วยท่าทางคล้ายเพลิดเพลินจนลืมตัว

หวังหนีชิวพร้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่งยืนตัวตรงอยู่ด้านหลังคนผู้นั้น ผ่านไปชั่วครู่เห็นเขาหันหน้ามากวักมือเรียกก็รีบสาวเท้าเร็วรี่เข้าไป

ในดวงตาของจ้าวมังกรเจิ้งมีเงาสะท้อนของดอกไม้ไฟสีสันระยิบระยับบนผืนนภาฝั่งตรงข้าม เขาอมยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฉันควรไปได้แล้ว ไว้พบกันใหม่นะ”

หวังหนีชิวอาลัยอาวรณ์สุดจะกล่าว เขายังคงไม่ถอดใจโดยสิ้นเชิง พูดหว่านล้อมซ้ำอีกครั้ง “ท่านหัวหน้าใหญ่ ผมรับหน้าที่สำคัญอย่างนี้ไม่ไหวจริงๆ…”

จ้าวมังกรเจิ้งโบกมือไปมา “ร่างกายฉันไม่แข็งแรงเท่าแต่ก่อน ฉันคิดจะมอบหมายให้แกมาตั้งนานแล้ว แกไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก ฉันไว้ใจแกมาก แล้วก็ไม่ต้องเป็นกังวลเกินไป วันหลังมีเรื่องตัดสินใจไม่ได้จริงๆ ก็ไปปรึกษาเยียนเฉียวก็ได้”

ใบหน้าเขามีรอยยิ้ม หากแต่ในรอยยิ้มนั้นแฝงความน่าเกรงขามไว้

หวังหนีชิวชะงักนิดหนึ่งก่อนผงกหัว “หลังจากนี้ผมและพี่น้องทั้งหลายสาบานว่าจะทุ่มกายถวายชีวิตให้ผู้บัญชาการเฮ่ออย่างแน่นอน ท่านหัวหน้าใหญ่วางใจได้ แต่ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี ขอบังอาจถามสักคำ ท่านหัวหน้าใหญ่จะล้างมือในอ่างทองคำก็ช่างเถอะ แต่เพราะอะไรต้องจากไปด้วยขอรับ”

จ้าวมังกรเจิ้งทำหน้ายิ้มน้อยๆ ดุจเก่า เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เจ้าสาม ตลอดชีวิตฉันฆ่าคนมานับไม่ถ้วน ฉันเหนื่อยหน่ายแล้วก็อ่อนล้าเต็มที ฉันตั้งใจมาแต่แรกแล้วว่าถ้าฉันโชคดีมีชีวิตรอดมาได้ วันหน้าก็จะกลับไปที่ด่านจยาเหมินในหลูซาน พ่อของฉัน ยังมีลุงอาและพี่น้องที่ตายไปในตอนนั้นอีกมากมาย ทุกคนล้วนหลับนิรันดร์อยู่ที่นั่น ฉันอยากกลับไปเป็นคนเฝ้าสุสาน”

หวังหนีชิวอึ้งไป จากนั้นมองเหลียวหลังไปทางอำเภอแห่งนั้นแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัวแล้วทำท่าอึกๆ อักๆ

รอยยิ้มบนหน้าจ้าวมังกรเจิ้งค่อยๆ เลือนหายไป เขาเบือนหน้ามองไปยังทิศทางนั้นอึดใจหนึ่ง ค่อยมองดอกไม้ไฟเต็มฟ้าเบื้องหน้าอีกครา ดวงหน้าซึ่งเต็มไปด้วยเส้นสายแข็งกระด้างจากการเคี่ยวกรำของกาลเวลาถึงอ่อนละมุนลง

“เจ้าสาม เป็นอย่างตอนนี้ดีที่สุดแล้ว

สวรรค์เมตตาฉันแล้ว” เขาพูดเบาๆ ราวกับพูดให้หวังหนีชิวฟัง ทั้งคล้ายบอกกับตนเอง ต่อจากนั้นเขาหันกลับมามองหวังหนีชิว เปลี่ยนเรื่องพูดยิ้มๆ “แกต่างหาก ยังหนุ่มยังแน่น หากอีกหน่อยได้เจอกับผู้หญิงดีๆ ก็กลับตัวกลับใจซะ ดูแลเอาใจใส่หล่อนให้ดี เลิกรักสนุกไปเรื่อยๆ ได้แล้ว”

หวังหนีชิวคิดไม่ถึงว่าจ้าวมังกรเจิ้งจะรู้แม้แต่เรื่องนี้ เขาเหงื่อแตกหน้าแดงจรดใบหู ลุกลนขานรับ

จ้าวมังกรเจิ้งอมยิ้มพยักหน้า เขามองไปยังทิศทางที่ลูกสาวของเขาอยู่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วไม่รั้งรออีก หันหลังก้าวลงเรือลำเล็กที่จอดอยู่ริมแม่น้ำ

ตรงหัวเรือในความมืด ชายฉกรรจ์หัวล้านคนหนึ่งลุกขึ้นยืนประสานมือให้พวกหวังหนีชิวบนตลิ่ง จากนั้นนำเรือออกจากฝั่ง

หวังหนีชิวนำหน้าพาลูกน้องไปคุกเข่าคำนับอำลาที่ริมแม่น้ำ จ้าวมังกรเจิ้งยืนอยู่ตรงหัวเรือส่งยิ้มพลางโบกมือบอกให้กลับไป

แสงจันทร์สาดส่องสายน้ำ เรือลำน้อยล่องลอยตามคลื่นห่างออกไปทุกทีพร้อมกับเสียงจุดดอกไม้ไฟฉลองทั่วเมืองแว่วมาจากที่ไกล

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤษภาคม 2567)

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: