บทที่ 74
ต่อให้ซูเสวี่ยจื้อเมามายมากแค่ไหนก็รู้สึกได้ว่าเฮ่อฮั่นจู่ไม่สบอารมณ์กับปฏิกิริยาของเธอ
แล้วเธอก็เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้วด้วย
คงเพราะเขาจดจำคำพูดฝากฝังซ้ำๆ ของคุณลุงในคืนนี้ได้ เมื่อครู่นี้เห็นเธอหลับไป ถึงหวังดีถอดเสื้อมาห่มให้เธอเท่านั้นเอง
อีกอย่างก็จริงอย่างที่เขาพูด เธอเป็นหลานชายห่างๆ คนหนึ่ง เขาจะไปอยากทำอะไรได้เล่า
หญิงสาวอดกระอักกระอ่วนไม่ได้ ทั้งยังนึกกระดากใจกับปฏิกิริยาเกินกว่าเหตุของตนเอง เธอไม่กล้าหยิบเสื้อเขาออกจากตัวทันที จะได้ไม่ทำให้เขารู้สึกว่าเธอไม่รู้จักกาลเทศะมากขึ้นอีก
“ขอโทษครับ เมื่อครู่นี้ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมหลับอยู่เลยไม่ทันระวังตัว ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณน้า” คอเสื้อของเสื้อโค้ตเขาปิดตรงลำคอเธอไว้ เธอข่มความรู้สึกจั๊กจี้คล้ายมีแมลงไต่ผ่านคอเอาไว้
“ขอบคุณนะครับคุณน้า ผมไม่หนาวแล้ว คุณน้าสวมไว้เองเถอะ จะได้ไม่หนาวจนเป็นไข้เหมือนคุณลุงผม” เธอว่าแล้วก็ถือโอกาสดึงเสื้อของเขาออกจากตัวมาพับอย่างเรียบร้อยแล้ววางไว้บนเบาะที่นั่งข้างคนขับที่ว่างอยู่
เฮ่อฮั่นจู่ไม่พูดตอบอะไร เขาขับรถไปอีกระยะหนึ่งก่อนหยุดจอด เปิดประตูลงไปยืนบนพื้นหิมะริมถนนแล้วจุดบุหรี่สูบ
ซูเสวี่ยจื้อเห็นจู่ๆ เขาก็หยุดรถแล้วไปสูบบุหรี่ตรงริมถนน จึงรู้สึกงุนงงขึ้นมาอีก
แต่เธอเพิ่งยั่วโมโหเขาโดยไม่ตั้งใจ ตอนนี้จะถามอีกก็ไม่ถนัดปาก
ซูเสวี่ยจื้อตั้งสติหันไปมองรอบๆ เห็นว่าจุดนี้ยังห่างจากวิทยาลัยอีกหลายกิโลเมตร
เขาเกิดอยากบุหรี่กะทันหันใช่ไหมนะ ปกติก็เป็นพวกสูบบุหรี่จัดขนาดนั้น
ขณะเธอนึกเดาอยู่ในใจ พลันได้ยินเขาถามโพล่งขึ้น “เธอมีเรื่องจำเป็นต้องอธิบายกับฉันหรือเปล่า”
ซูเสวี่ยจื้อยังคิดตามไม่ทัน ก็เห็นเขาเบือนหน้ามามองเธอ
“ฉันให้โอกาสเธอครั้งหนึ่ง ถ้ามีเรื่องปิดบังอยู่ รีบบอกกับฉันเองให้หมด ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ขอแค่เธอบอกหมดทุกอย่าง ฉันจะถือว่าไม่มีเรื่องอะไรทั้งสิ้น”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่หญิงสาวเห็นได้ชัดถนัดตาว่าเสี้ยวหน้าด้านข้างที่หันมาทางเธอของเขาละม้ายฉาบด้วยประกายหิมะชั้นหนึ่ง แววตาลุ่มลึก สีหน้าฉายอารมณ์ที่อ่านไม่ออกอย่างยิ่ง
เธอเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นฉับพลันว่าคืนนี้ที่เขาเป็นฝ่ายบอกให้เธอขึ้นรถแล้วขับมาส่ง ดูเหมือนก็เพื่อรอเวลานี้นั่นเอง
เขาต้องการให้เธออธิบายเรื่องบางเรื่องกับเขาเอง แล้วมันคือเรื่องอะไรล่ะ เขาต้องการให้เธออธิบายเรื่องอะไรกับเขากันแน่
หัวสมองของซูเสวี่ยจื้อยังมึนๆ งงๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่บ้าง เธอพยายามคิดเต็มที่ก็ได้คำตอบฉับพลัน
ก็เรื่องคราวก่อนที่ญาติผู้พี่ของเธอปากพาซวยจนก่อปัญหาขึ้นน่ะสิ!
เธอลืมไปแล้วว่าเหลือปมส่วนท้ายอีกนิดหนึ่งที่ยังเก็บไม่เรียบร้อย
ก่อนหน้านี้เธอบอกกับเขาเป็นตุเป็นตะว่าเธอโดดน้ำตายเพราะร่างกายผิดปกติและมีปัญหากับทางบ้าน เป็นต้นเหตุให้คิดไม่ตก แต่วันนั้นญาติผู้พี่กลับพูดกับเขาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเพราะเธอชอบฟู่หมิงเฉิงและโดดน้ำตายเพื่ออีกฝ่าย
นั่นมันเห็นทนโท่เลยว่าขัดแย้งกันเอง!
เฮ่อฮั่นจู่ต้องเป็นพวกที่ไม่ยอมให้ใครหลอกลวงตบตาเด็ดขาด เธอนึกไปถึงตอนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานเขาก็อบรมเธอว่าความซื่อสัตย์คืออะไร ส่วนเรื่องนี้เขาทนถึงตอนนี้ค่อยมาไล่เบี้ยกับเธอ แสดงว่าให้เกียรติกันเหลือหลายแล้ว
พอคิดออกแล้วซูเสวี่ยจื้อก็ลงจากรถทันที เธอเดินไปใกล้ๆ เขาแล้วพูดว่า “คุณน้าพูดถึงเรื่องที่ผมปิดบังสาเหตุที่โดดน้ำตายใช่ไหมครับ ผมยอมรับว่าผมปิดบังคุณน้าเรื่องนี้จริงๆ แต่ตอนนั้นผมมีความจำเป็นบังคับเลยต้องปิดบัง อย่าเพิ่งสนใจว่าผมชอบฟู่หมิงเฉิงหรือเปล่า นี่เป็นเรื่องของผมคนเดียว เขาไม่รู้อะไรเลยสักนิด ตอนนั้นคุณน้าถามผม ผมไม่อยากดึงคนอื่นเข้ามาพัวพัน อีกอย่างเวลานี้ผมไม่เหมือนเดิมแล้วด้วย แล้วต่อให้เป็นความจริง มันก็เป็นอดีตไปหมดแล้ว คนเราเปลี่ยนกันได้ ผมในตอนนี้เป็นผมคนใหม่แล้วครับ”
เฮ่อฮั่นจู่มองหญิงสาวแล้วถึงกับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีไปชั่วขณะ
แม้เขาจะบอกตนเองว่าไม่ควรสร้างความลำบากใจให้เธอด้วยเรื่องที่เธอปกปิดตัวตนที่แท้จริงนี้ แต่ถึงที่สุดแล้วคนใจแคบอย่างเขายังคงทำใจยอมรับไม่ได้บ้างอยู่ลึกๆ
ดังนั้นเมื่อวานตอนเธอมาหาเขาเพื่อพูดแทนคุณลุง ระหว่างทางไปส่งเธอที่โรงแรม เขาตัดสินใจอย่างปุบปับว่าจะให้โอกาสเธอพูดเปิดอกกับเขาอีกครั้ง
การกินเลี้ยงสังสรรค์ในคืนนี้ถึงได้เกิดขึ้นด้วยเหตุฉะนี้ ไม่นึกว่าในหัวเธอจะคิดถึงเรื่องนี้
เธอแต่งตัวเป็นผู้ชายมานาน คงไม่ได้นึกว่าตนเองกลายเป็นผู้ชายไปแล้วสินะ
เฮ่อฮั่นจู่พิศดูเธออย่างตั้งใจ
เมื่อครู่นี้ซูเสวี่ยจื้อพูดตามที่ใจคิดจริงๆ ไม่ได้โกหก แล้วคงเป็นเพราะได้ฤทธิ์เหล้าย้อมใจเต็มที่ เธอพูดจบแล้วถึงรู้สึกปลอดโปร่งโล่งอกขึ้นไม่น้อย จนสามารถสบตากับเขาด้วยจิตใจที่เบิกบานแจ่มใสมากขึ้น
นานพักหนึ่งถึงได้ยินเขาพูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ก่อนหน้านี้ฉันทำให้เธอเจอความลำบากบ้าง ยังต้องย้ายไปห้องพักรวม เธอรู้สึกคับแค้นใจใช่หรือเปล่า”
ยังนึกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ที่แท้เรื่องพวกนี้นี่เอง
ซูเสวี่ยจื้อเกือบหัวเราะออกมา “ในสายตาคุณน้า ผมเป็นคนปล่อยวางไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรือครับ ผมยอมรับว่าตอนนั้นผมมีปัญหาจริงๆ”
เธอหยุดเว้นจังหวะนิดหนึ่ง “พูดได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่มาก แต่ตอนนี้นึกย้อนกลับไป สำหรับผมแล้วใช่ว่ามันจะไม่ใช่ความทรงจำที่ควรค่าแก่การจดจำ อย่างน้อยมันทำให้ผมเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น วันหน้าพบกับปัญหาอีก แค่อย่าท้อถอยง่ายๆ ทำได้เท่าไรก็ทุ่มสุดตัวทำไปเท่านั้น…”
ท้องทุ่งโล่งกว้าง สายลมหนาวเหน็บพัดหวีดหวิวดุจใบมีดบาดผ่านผิวแก้มนอกร่มผ้าให้เย็นเฉียบอย่างรวดเร็ว แต่คงเป็นผลจากแอลกอฮอล์ในร่างกาย ทำให้หญิงสาวไม่รู้สึกหนาวเลย ในอกอุ่นผะผ่าว เธอถึงกับรู้สึกราวกับว่าเนื้อตัวเบาหวิวไปหมด
อันที่จริงคืนนี้เห็นเขาสุภาพมีมารยาทต่อคุณลุง ผิดแผกไปจากปกติที่มักวางท่าหยิ่งยโสเป็นนิจ ในใจซูเสวี่ยจื้อก็รู้สึกซาบซึ้งใจแล้ว
ถึงแม้จะเคยคับแค้นในความใจจืดใจดำของเขาจริงๆ แต่หลังจากอาหารเย็นมื้อนี้ก็ลบล้างกันไปได้แต่แรกแล้ว
เขาให้เกียรติคุณลุง นี่ก็คือการให้เกียรติเธออย่างสูงที่สุดไปด้วย
“ผมไม่ได้โกรธเคืองคุณน้า ไม่เลยแม้แต่นิดเดียวครับ”
ซูเสวี่ยจื้อสั่นศีรษะแรงๆ พูดอย่างขึงขังจบ เห็นเฮ่อฮั่นจู่ยังนิ่งเงียบอยู่ก็นึกว่าเขาไม่เชื่อ เธอจึงพูดต่อด้วยอารมณ์ฮึกเหิมที่พลุ่งขึ้นมาระลอกหนึ่ง “ความจริงผมรู้สึกโชคดีที่ตัวเองมีโอกาสได้มาเข้าเรียนที่นี่นะครับ ผมพูดจริงๆ ตอนมาถึงใหม่ๆ ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องอนาคตเลย แล้วผมก็ไม่รู้ว่าผมทำอะไรได้บ้าง แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว”
ดวงตาของเธอเป็นประกายวิบวับขึ้นมาทันใด “นับวันผมก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ผมเรียนอยู่นั้นมีคุณค่า จริงอยู่ว่ามนุษย์เล็กกระจ้อยร่อย แต่ไม่ใช่เหตุผลที่เราไม่คู่ควรเป็นส่วนหนึ่งที่จะฉายแสงแห่งความหวัง คุณน้า ผมจะบอกให้นะ ผมมีแผนการอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงได้ไหม…”
ขณะที่เกือบพูดออกมา หญิงสาวพลันรู้ตัวว่าพูดมากไปหน่อย
เธอเมาแล้วจริงๆ ถึงกับเริ่มพูดจ้อไม่หยุดปากกับเขาอีกแล้ว
บทเรียนก่อนหน้านี้ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ
เขาจะสนใจอยากฟังคติสอนใจพวกนี้ของเธอได้อย่างไรกัน
เธอรีบหยุดปากและเปลี่ยนเป็นพูดว่า “ขอโทษครับ ผมพูดมากไปแล้ว คุณน้าถือเสียว่าผมไม่ได้พูดเถอะ เอาเป็นว่าความหมายของผมคือผมไม่ได้ไม่พอใจคุณน้าครับ”
เฮ่อฮั่นจู่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตนเองถึงยอมเสี่ยงที่คืนนี้กลับไปแล้วอาจต้องทนทรมานกับอาการไอทั้งคืนอีก เขายืนตากลมหนาวตรงนี้ฟังเธอพูดอะไรมากมายก่ายกองเป็นวรรคเป็นเวรแบบนี้
หากน่าแปลกคือเขากลับไม่รู้สึกเบื่อหน่าย หนำซ้ำในใจลึกๆ ยังอยากฟังเธอพูดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เธอที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้มีท่าทางร่าเริงสดใส จนเฮ่อฮั่นจู่รู้สึกราวกับเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ค่อยเหมือนเดิมสักเท่าไร เขา…เห็นว่าแบบนี้ไม่เลวเลยจริงๆ
“แผนการอะไรหรือ” ก่อนชายหนุ่มจะห้ามปากตนเองไว้ เขาได้ยินคำถามนี้หลุดออกไปแล้ว
เธอเหมือนอึ้งงันไป มองเขาแวบหนึ่งแล้วโคลงศีรษะยิ้มๆ “ไม่พูดกับคุณน้าแล้ว”
นี่คือท่าทางเวลาเธอ ‘ออดอ้อน’ หรือ
เป็นแววตาเย้ายวนใจ…หรือว่าประกายหิมะจับตาจับใจคน
เฮ่อฮั่นจู่รู้สึกว่าตนเองตาฝาดไปแล้วแน่ๆ เขาถึงกับหัวใจเต้นผิดจังหวะเพราะคนที่ไม่มีเสน่ห์ของผู้หญิงแม้แต่น้อยคนนี้
เขาเลื่อนสายตาไปที่หน้าอกแบนราบของเธออีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
เธอเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดหรือว่ารัดมันไว้แบบนี้กันนะ
ครั้นเขาประจักษ์ได้ว่าในหัวตนเองมีความคิดนี้ผุดขึ้น และนึกไปถึงคำฝากฝังที่ลุงเธอพูดกับเขาอย่างจริงจังในคืนนี้แล้วจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกผิดอย่างรุนแรง เขาสะกดความคิดอยากถามซักไซ้ต่อไว้ พูดเยาะตนเองในใจว่า นี่…คงโดนเธอยั่วโมโหจนขาดสติไปแล้ว
นับตั้งแต่ค้นพบว่าเธอเป็นผู้หญิง หลายวันมานี้เขาคงยังทำใจยอมรับจุดนี้ไม่ได้ในชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ดังนั้นถึงได้ทำเรื่องโง่งมที่คิดอีกทีแล้วต้องเสียใจภายหลังอยู่เรื่อย
อารมณ์หดหู่เหนื่อยหน่ายหลังจากเห็นฟู่หมิงเฉิงรับเธอขึ้นรถที่นอกบ้านผู้อำนวยการคิมูระตอนเช้าตรู่เมื่อวานถาโถมเข้าใส่เขาเป็นคำรบที่สอง
ช่างเถิด สุดแท้แต่เธอ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะชอบฟู่หมิงเฉิงหรือเปล่า ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันทั้งนั้น
ปกติวิทยาลัยแพทย์ทหารห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าเรียน แต่ว่าเธอ…บางทีอาจอยู่ในกรณีพิเศษได้
เธอก็พูดเองว่ารู้สึกโชคดีที่มีโอกาสได้มาเข้าเรียนที่นี่ แล้วจะมัวถือสาว่าเธอเป็นหญิงหรือชายโดยไม่เลิกราให้ได้อะไรขึ้นมา
ก็ปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ไปเถอะ
เป็นเรื่องยากที่จะมีคนใช้ชีวิตตามใจปรารถนาได้
ให้เธอได้มีชีวิตตามแบบที่เธอคิดก็ไม่เลวเลย
เฮ่อฮั่นจู่ขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากใจได้อย่างรวดเร็ว เขาโยนบุหรี่ทิ้ง ก้นบุหรี่ติดไฟหล่นลงบนพื้นหิมะก็ดับมอดไป ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไปเถอะ เธอควรกลับได้แล้ว”
ชายหนุ่มย่ำหิมะที่ถมทับบนพื้นไปขึ้นรถ
ซูเสวี่ยจื้อขานรับด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย เธอลอดตัวขึ้นรถตามเขาไป
ต่อจากนั้นไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นอีก
เฮ่อฮั่นจู่ส่งเธอถึงหน้าประตูวิทยาลัย เธอกล่าวลากับเขาแล้วลงจากรถเดินเข้าไปเอง
เขาอยู่ในรถมองดูเธอเดินไปตามพื้นหิมะด้วยฝีเท้าฉับไวหายลับไปในประตูวิทยาลัยพลางหวนนึกถึงคำรายงานเกี่ยวกับการอยู่ในหอพักชายของเธอที่ได้รู้จากติงชุนซานภายหลังเมื่อวาน ตอนนี้เธอไม่เพียงสนิทสนมกับเพื่อนนักเรียนชายเจ็ดคนนั้น ยังไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ บางครั้งก็ช่วยซักถุงเท้าเหม็นๆ ของเจ้าหนุ่มที่ชื่อว่า ‘เจี่ยงจ้งไหว’ ด้วย
เฮ่อฮั่นจู่นึกภาพไม่ออกว่าเธออยู่ในสภาพนี้อย่างเป็นปกติสุขได้เช่นไร
เขาเพิ่งรับปากลุงของเธอว่าจะดูแลเธอ ฉะนั้นจะปล่อยให้เธออยู่รวมกับผู้ชายโขยงหนึ่งอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อีกไม่ได้เด็ดขาด
กระนั้นเขารู้สึกอีกว่าถ้าเขาให้เธอออกมาจากหอพักชายและย้ายกลับไปอยู่ห้องพักเดี่ยวตอนนี้ ไม่แน่ว่าเธอจะรับความหวังดีของเขาเสมอไป ดีไม่ดียังจะพูดลามปามประชดเขาอยู่ในใจว่าตอนนั้นก็เพราะเขาเองนี่ล่ะที่ไล่เธอไปอยู่ห้องพักรวม
ชายหนุ่มตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ แล้วก็ฉุกคิดถึงข่าวหนึ่งที่รู้มาจากหวังเซี่ยวคุนเมื่อหลายวันก่อน เขาตัดสินใจอย่างฉับไวแล้วขับรถกลับไปโดยไม่เหลียวหลัง
ตอนซูเสวี่ยจื้อกลับถึงห้องพักเป็นเวลาปิดไฟแล้ว เธอคลำทางในความมืดทำธุระส่วนตัวแล้วขึ้นเตียงนอน
ยามนี้ทุกคนยังไม่หลับ กำลังพูดคุยกันถึงหนังสือราชการฉบับหนึ่งซึ่งทางวิทยาลัยได้รับเมื่อสองวันก่อน ทางกองทัพจะจัดตั้งหน่วยฝึกทหารภายในประจำฤดูหนาว ต้องการแพทย์ทหารติดตามไปด้วย เพื่ออบรมด้านสุขอนามัยภาคบังคับให้พวกทหาร แต่เพราะกำลังคนไม่พอ จึงต้องการคนจากวิทยาลัยแพทย์ทหารยี่สิบคนมาปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลาหนึ่งเดือน ขอให้ทางวิทยาลัยรวบรวมคนและออกเดินทางมาภายในสามวัน
กองกิจการนักเรียนติดประกาศให้นักเรียนลงชื่อตามความสมัครใจ
แน่นอนว่าคนที่มีสิทธิ์อย่างน้อยต้องเรียนอยู่ชั้นปีที่สี่ นักเรียนชั้นปีต่ำกว่านี้ถึงไปก็ไม่มีประโยชน์
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้กันนัก เพราะสถานที่ฝึกอยู่ไกลมาก แต่ที่สำคัญที่สุดคือใกล้จะขึ้นปีใหม่แล้ว ใครไม่อยากหยุดเรียนและกลับบ้านเร็วๆ
พอทางวิทยาลัยเห็นว่าไม่ได้ผล วันนี้จึงออกประกาศเรื่องสิทธิพิเศษอย่างทันท่วงทีว่าคนที่ไปเข้าร่วม นอกจากสามารถเลื่อนเวลาสอบปลายภาคตามรายบุคคล ยังนับเป็นหน่วยกิตเพิ่มเติมได้อีกด้วย
หรืออีกนัยหนึ่งคือขอแค่ไปเข้าร่วม หลังจากกลับมาแล้วถึงสอบตกก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะโดนไล่ออก
พอประกาศสิทธิพิเศษนี้ออกมาแล้วยังมีเสียงตอบรับแค่ประปราย ทำให้รวบรวมคนได้ไม่ครบยี่สิบคนอยู่ดี
วันนี้มีข่าวซุบซิบอีกว่าทางวิทยาลัยเห็นว่ายังได้คนไม่ครบ เป็นไปได้มากว่าพรุ่งนี้จะใช้วิธีเกณฑ์คนแล้ว
ในห้องพักของซูเสวี่ยจื้อมีแค่โหยวซือจิ้นที่ชักโอนเอน ส่วนคนอื่นๆ ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังหวั่นใจว่าตนเองจะโดนเกณฑ์ไป ทุกคนคุยถกกันยกหนึ่งก็ทยอยกันหลับไป
ซูเสวี่ยจื้อเองก็ไม่สนใจแน่นอน เพราะโอกาสที่จะได้ฝึกหัดในกองทหารนั้นมีอยู่แล้ว เดิมทีก็ถูกจัดอยู่ในแผนการเรียนเทอมหน้า ฉะนั้นสำหรับพวกนักเรียนแล้ว ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าร่วมล่วงหน้าแต่อย่างใด
หญิงสาวรู้สึกเหมือนยังเมามายอยู่นิดหน่อย เธอหลับใหลไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่ตอนตื่นขึ้นอีกที คิดไม่ถึงว่าลมจะเปลี่ยนทิศเสียแล้ว
ตอนเช้าตรู่ทางวิทยาลัยติดประกาศด่วนล่าสุดอีก เป็นหนังสือราชการจากกองทัพฉบับใหม่ แจ้งว่านักเรียนคนใดที่สมัครใจไปเข้าร่วม จะบันทึกประวัติเก็บไว้ในระบบข้อมูลของกองทัพ หลังจบการศึกษา ในกรณีที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน จะมีสิทธิ์ได้บรรจุเข้ารับราชการก่อนและได้เลื่อนยศหนึ่งขั้นทันที
ทีนี้ทุกคนให้ความสนใจกันหมด แย่งกันไปถามรายละเอียดที่กองกิจการนักเรียนเป็นการใหญ่ เพื่อนร่วมห้องของซูเสวี่ยจื้อก็ลงชื่อทั้งเจ็ดคน
ตอนเที่ยงตรงรายชื่อออกมาแล้ว เพื่อนร่วมห้องของเธอโชคดีมากที่สุด ได้รับเลือกหมดทุกคน และเพื่อจะไปเข้าร่วมการฝึกทหารประจำฤดูหนาวได้ทันเวลา มีคำสั่งให้ออกเดินทางทันที จึงต้องนั่งรถไฟเร่งรุดไปที่ค่ายทหารคืนนี้เลย
หลังประกาศรายชื่อแล้ว ในห้องพักคึกคักวุ่นวายอย่างยิ่ง
วันมะรืนจะเป็นวันคริสต์มาสของประเทศตะวันตก ตรงกับวันอาทิตย์อีกเช่นเคยพอดี
ขณะนี้วันตรุษฝรั่ง* เป็นที่นิยมแพร่หลายมากในวงสังคมชั้นสูงและหมู่นักเรียน ตอนแรกทุกคนนัดหมายกันไว้ดิบดีว่าพรุ่งนี้จะเข้าเมืองไปเดินเที่ยวด้วยกัน ตอนนี้ได้แต่ต้องยกเลิกไป ต่างคนต่างง่วนอยู่กับการเก็บเสื้อผ้าพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่มีใครรู้สึกเสียดาย แค่สงสารซูเสวี่ยจื้อที่ถูกทิ้งไว้คนเดียว ยังบ่นเธอว่าทำไมไม่ไปลงชื่อ
เวลาหนึ่งเดือนแลกกับยศทหารหนึ่งขั้น เรื่องดีๆ อย่างนี้มีแต่กำไรไม่มีวันขาดทุนอย่างเด็ดขาด
อย่าว่าแต่ยศทหารหนึ่งขั้นเลย ต่อให้ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทันที ซูเสวี่ยจื้อก็ไม่มีทางอยู่ดีไม่ว่าดีหาเหาใส่หัวแน่ เธอแย้มยิ้มมองดูพวกเพื่อนๆ ถือกระเป๋าสัมภาระเดินทางไว้พร้อมกับโบกมือลา จากนั้นออกจากวิทยาลัยไปกับนักเรียนที่ได้รับเลือกคนอื่นๆ
คืนวันนี้ห้องนอนที่กว้างใหญ่เหลือเธออยู่คนเดียว
หญิงสาวเริ่มชินกับการอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ เสียงดังอึกทึกแล้ว พูดตามตรงว่าแรกๆ เธอไม่ค่อยคุ้นเคยอยู่สักหน่อย แต่ข้อดีของมันก็เห็นได้ชัดเสียเหลือเกิน ตอนนี้แค่ปิดประตูรูดม่าน เธอก็ได้กลับมาใช้ชีวิตตามลำพังก่อนเวลา ไม่ต้องรอถึงเทอมหน้าแล้ว
แม้ว่าจะฝึกแก้ปัญหาเรื่องรัดหน้าอกใต้ผ้าห่มจนคล่องมือ แต่ไม่ต้องทำแบบนั้นได้เธอยิ่งกว่าเต็มใจเสียอีก
ความรู้สึกคะนึงหาชีวิตที่มีเพื่อนร่วมห้องอยู่รอบข้างในวันวานหายวับไปในเวลาสามวินาทีด้วยประการฉะนี้
พบกันคราวหน้าจะเป็นช่วงปิดภาคเรียนแล้ว ถึงตอนนั้นทุกคนก็ยังเป็นเพื่อนฝูงกันเหมือนเดิม…
ซูเสวี่ยจื้อคิดคำนึงอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
ด้านเยี่ยหรู่ชวนคุณลุงของเธอ หลังจากการกินเลี้ยงสังสรรค์มื้อนั้นก็อารมณ์เบิกบานขึ้นมาก แม้แต่ความรู้สึกโกรธเคืองที่ลูกชายไม่ได้ความก็ลดลงไม่น้อย
คืนนั้นหลังเฮ่อฮั่นจู่พามาส่ง เขายังคุยติดลมกับจวงเถียนเซินเพื่อนเก่าในห้องพักโรงแรมอย่างเพลิดเพลินต่ออีกนานจนกลางดึกถึงได้ไปพักผ่อน
จวนจะสิ้นปีแล้ว ในบ้านมีงานสุมเป็นกอง เดิมทีไม่ใช่จังหวะเหมาะต่อการเดินทางไกลเลย แต่จุดประสงค์หลักที่เขาจากบ้านมาก็เพื่อเยี่ยมหลานสาวและเยี่ยมคารวะเฮ่อฮั่นจู่ ตอนนี้เรื่องสำคัญสองเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น วันถัดมาเขายังไปเยี่ยมเยียนพบปะเพื่อนพ่อค้า พูดคุยเจรจาการค้าขายกันอีกเล็กน้อย เพียงเท่านี้เขาก็หมดธุระที่นี่แล้ว
ถึงอย่างไรทางลูกชายก็เกินเยียวยา ตีให้ตายก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เยี่ยหรู่ชวนจึงพูดปลอบตนเองให้ปลงตก คิดเสียว่าลูกชายอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนหลานสาวก็ดีเหมือนกัน เขาถึงยอมตามใจลูกชาย จากนั้นวางแผนว่าจะออกจากเมืองเทียนวันรุ่งขึ้น จะได้กลับถึงบ้านก่อนวันสิ้นปีไปเตรียมฉลองวันตรุษจีน
แต่ละคนต่างยุ่งกับเรื่องของตนเอง พริบตาเดียวก็ถึงวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันเทศกาลคริสต์มาสของชาวตะวันตกแล้ว
ช่วงใกล้ปลายปี นับวันกองบัญชาการยิ่งมีงานยุ่งมากขึ้นทุกทีเช่นกัน
วันนี้เฮ่อฮั่นจู่ไม่ได้หยุดพักตลอดจนถึงสิบหกสิบเจ็ดนาฬิกา เขายังอยู่ในห้องทำงานคุยโทรศัพท์กับซุนเมิ่งเซียน บอกอีกฝ่ายว่าต้องจัดตั้งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มใหม่ ตรวจสอบสิทธิ์ในการผ่าตัดผู้ป่วยของโรงพยาบาลชิงเหอทันที
เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งการเรื่องนี้ด้วยตนเอง อธิบดีซุนจึงได้แต่ขานรับอย่างไม่มีทางเลือก
เฮ่อฮั่นจู่วางหูโทรศัพท์แล้ว ติงชุนซานก็เข้ามารายงานสองเรื่อง
เรื่องแรกเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวล่าสุดในวิทยาลัยของคุณชายซูว่าเมื่อคืนเพื่อนร่วมห้องเจ็ดคนของเขายกขบวนกันไปขึ้นรถไฟมุ่งหน้าสู่ค่ายฝึกทหารประจำฤดูหนาวพร้อมกันหมด เหลือคุณชายซูแค่คนเดียวแล้ว
เฮ่อฮั่นจู่ที่อ่านเอกสารในมืออยู่ไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ
ติงชุนซานเห็นผู้เป็นนายเหมือนไม่ค่อยสนใจข่าวนี้ กำลังคิดจะจบการรายงาน ก็ได้ยินเขาเอ่ยขึ้นว่า “ถอนคำสั่งได้ หลังจากนี้ไม่ต้องให้คนจับตาดูอีก”
ติงชุนซานขานตอบคำหนึ่งแล้วรายงานเรื่องที่สองต่อ
เรื่องที่สองเยี่ยหรู่ชวนเสร็จธุระทางนี้แล้ว เตรียมขึ้นรถไฟลงใต้กลับบ้านในคืนนี้ เขาให้คนส่งเทียบมา เขียนคำอำลาและขอบคุณท่านผู้บัญชาการที่ต้อนรับขับสู้เขาอย่างอบอุ่น ทั้งยังเชิญชวนท่านให้ไปเป็นแขกที่เมืองซวี่ในวันหลัง
เฮ่อฮั่นจู่รับเทียบมาดูปราดหนึ่งแล้ววางลง
ติงชุนซานรายงานจบแล้วออกไป เลขาฯ เฉินก็เข้ามาต่อทันที เอ่ยเตือนเขาว่าคืนนี้ต้องไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคริสต์มาสที่โรงแรมเทียนเฉิงจัดขึ้น งานเริ่มตอนสิบเก้านาฬิกาตรง
เฮ่อฮั่นจู่นวดๆ หว่างคิ้ว ดูนาฬิกาเห็นว่าใกล้เวลาแล้ว เขาจึงลุกขึ้นสวมเสื้อโค้ตเพื่อกลับไปที่คฤหาสน์สกุลเฮ่อ เตรียมเปลี่ยนชุดออกไปงานเลี้ยง
พอกลับไปถึงเขาก็ได้รับคำบอกว่าวันนี้น้องสาวอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้ออกไปไหน เขาไปหาก็เห็นเธออ่านหนังสืออยู่ จึงถามว่าคืนนี้อยากไปงานคริสต์มาสกับเขาไหม
เฮ่อหลันเสวี่ยส่ายหน้า “ไม่เห็นน่าสนุกเลย ไม่อยากไปค่ะ ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว ฉันอยากทบทวนตำรา พี่ไปเองเถอะค่ะ”
เฮ่อฮั่นจู่พยักหน้า บอกให้น้องสาวกินอาหารเย็นแล้วเข้านอนแต่หัวค่ำ
จากนั้นเขาก็ออกจากห้องของเธอ กำลังจะไปอาบน้ำให้สดชื่น ป้าอู๋พลันวิ่งเข้ามารายงานว่าเมื่อครู่มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อคุณถังส่งคนมาบอกว่าคุณชายสกุลหวังดื่มเหล้าเมาอยู่ที่โรงละครของเธอไม่ยอมกลับ เธอรับมือไม่ไหวเลยรู้สึกกังวลใจมาก รู้ว่าเขากับคุณชายหวังรู้จักมักคุ้นกัน หวังว่าเขาจะมาดูให้หน่อย
เริ่มแรกคุณนายหวังวางแผนให้ลูกชายแต่งงานกับเฮ่อหลันเสวี่ย พอหวังถิงจือก่อความวุ่นวายแบบนี้ เธอก็หมดหวังแล้วจำต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป ตั้งใจว่าจะมองหาตระกูลอื่นที่สมน้ำสมเนื้อกันและช่วยหนุนหลังสามีได้จากในหมู่คนใกล้ตัวใหม่อีกครั้ง
เธอคิดคำนึงว่าเพราะตนเองทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่ตัวเฮ่อหลันเสวี่ยตั้งแต่สองปีก่อน ทำให้ไม่ได้สังเกตสังกาคนอื่นเลย ตอนนี้เห็นทีว่าคนที่เหมาะสมคงโดนเลือกไปหมดแล้ว คุณนายหวังสุดแสนจะเสียดาย ยังมีแก่ใจอยู่ที่เมืองเทียนต่อที่ไหนกัน เธอกลับไปตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว
เดิมทีเธอจะพาหวังถิงจือไปด้วย แต่เขาไม่ยอมกลับ บอกให้เธอไปดูเอง พอดูเสร็จแล้วเขาก็แต่งงานเท่านั้นเป็นพอ คุณนายหวังหมดปัญญา ก่อนไปเธอฝากให้เฮ่อฮั่นจู่ช่วยดูแลลูกชายแทนด้วย
คราวก่อนโรงละครของคุณถังที่เพิ่งเปิดใหม่เกิดเหตุลอบสังหาร เป็นเหตุให้เลี่ยวโซ่วหลินจบชีวิตคากองเลือด ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้คุณถังเสื่อมเสียชื่อเสียงแต่อย่างใด กลับกลายเป็นว่าโรงละครของเธอได้รับอานิสงส์จากคดีที่ชวนให้พิศวงนี้ มีชื่อปรากฏบนหนังสือพิมพ์อยู่เนืองๆ ได้รับความสนใจจากผู้คนที่พากันมาดูไม่น้อยจนรู้จักกันไปทั่วเมือง เหมือนเป็นการลงโฆษณาให้เปล่าๆ อีกทั้งถึงวันตรุษฝรั่งพอดี สาวสังคมเช่นคุณถังก็ต้องไม่มีทางพลาดงานเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองนี้เป็นธรรมดา เธอจัดงานปาร์ตี้สวมหน้ากากที่เรียกได้ว่าทันสมัยที่สุดของยุคนี้ติดต่อกันหลายคืน ดึงดูดบรรดาลูกหลานเศรษฐีเสเพลทุกระดับชั้นของเมืองนี้ให้แห่กันมาร่วมสังสรรค์กันทั้งคืน
คุณชายสกุลหวังมาร่วมงานคืนก่อนหน้า ตอนนั้นเขาดื่มจนเมาหัวราน้ำ พอสร่างก็ดื่มต่อจนเมาพับหลับไปอีกวนเวียนไปเรื่อยๆ ไม่ยอมกลับ
เจ้าของสถานที่แบบนี้ย่อมไม่กลัวพวกนักกินนักดื่ม แต่ปัญหาคือลูกค้าคนนี้คือคุณชายของสกุลหวัง
คุณถังเห็นเขาไม่ค่อยปกติก็ชักใจคอไม่ดี กลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขาที่นี่ ตนเองจะเดือดร้อนครั้งใหญ่ แต่เธอไม่กล้าไล่เขากลับเองเลยนึกถึงเฮ่อฮั่นจู่ จึงส่งคนเชิญอีกฝ่ายมาช่วยแก้สถานการณ์ให้
ด้านเฮ่อฮั่นจู่รีบรุดไปที่นั่นทันที พอก้าวเข้าไปก็เห็นหวังถิงจือในสภาพเสื้อผ้าอาภรณ์หลุดลุ่ย ซ้ำยังดื่มเหล้าเย้าหยอกกับเหล่าสาวนักเต้นในอ้อมแขนทั้งซ้ายขวา มีสาวนักเต้นคนหนึ่งโอบคอเขายื่นริมฝีปากชิดใบหูพูดอะไรก็สุดรู้ เขาหัวเราะร่วนอย่างชอบอกชอบใจ แต่เสียงหัวเราะยังไม่เงียบลง จู่ๆ เขาก็หน้าเปลี่ยนสี คลายแขนออกจากตัวสาวนักเต้นแล้ววิ่งทะยานไปข้างบ่อน้ำพุเสริมฮวงจุ้ยตรงมุมห้อง เกาะขอบบ่อโก่งคออาเจียนไม่หยุด เริ่มแรกสิ่งที่อาเจียนออกมาเป็นน้ำเหล้าทั้งนั้น กระทั่งตอนท้ายคล้ายจะมีน้ำย่อยในกระเพาะอาหารปนออกมาด้วย ถึงได้หยุดอาเจียนในที่สุด
ผ่านไปครู่ใหญ่เขายังคงฟุบหมอบอยู่ข้างบ่อน้ำพุนิ่งๆ ไม่ขยับตัวลุกขึ้น
สาวนักเต้นสองสามคนเดินยิ้มหวานเข้าไปช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนหนึ่งพยุงเขา คนหนึ่งโอบคอเขา และคนหนึ่งจะเช็ดปากให้
“คุณชายหวังเป็นอะไรไปคะ อ้วกเสร็จแล้วยังไม่ลุกขึ้นอีก…”
“ไสหัวไปให้พ้น!” หวังถิงจือบันดาลโทสะกะทันหันด้วยเหตุใดก็สุดรู้ ปัดแขนของสาวนักเต้นที่จับเขาไว้คนหนึ่งออกสุดแรง
สาวนักเต้นคนนั้นโดนเขาฟาดแขนทีหนึ่ง ร้องอุทานด้วยความเจ็บพร้อมล้มลงกับพื้น คนที่เหลือเห็นเขาฉุนเฉียวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยก็ลุกลนถอยออกห่าง
เฮ่อฮั่นจู่หยุดยืนตรงหน้าประตู คุณถังที่นำทางเข้ามาเห็นเขามีสีหน้าเคร่งเครียดก็หวาดหวั่นพรั่นใจอยู่บ้าง เธออธิบายเสียงเบาว่า “ผู้บัญชาการเฮ่อ ฉันไม่ได้มีเจตนารั้งตัวเขาไว้จริงๆ นะคะ เมื่อวานฉันบอกกับเขาดีๆ แล้วแต่เขากลับโมโห ฉันก็เลยไม่กล้าพูด…”
หวังถิงจือตะเพิดสาวนักเต้นไปแล้วตะเกียกตะกายลุกจากข้างบ่อน้ำพุเอง เขาเพิ่งเงยหน้าขึ้นก็เห็นเฮ่อฮั่นจู่สาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามาแล้วอึ้งงันไปนิดหนึ่ง ก่อนจะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นทันที เขาเดินโซเซไปหาอีกฝ่าย “พี่สี่! พี่มาได้ยังไง หรือว่ามาเที่ยวที่นี่เหมือนกัน…”
เฮ่อฮั่นจู่ให้ผู้ติดตามพาหวังถิงจือไปที่รถ ส่วนตนเองหยิบเสื้อโค้ตของเขาแล้วหันหลังออกไป
หวังถิงจือขึ้นรถแล้วหลับไป เขานอนราบบนเบาะหลังหลับตานิ่งๆ
เฮ่อฮั่นจู่พาเขาตรงดิ่งกลับไปที่บ้านแล้วเอาตัวไปวางบนเตียงในห้องพักแขก
เวลานี้เองเหมยเซียงเข้ามาในห้องบอกว่าเมื่อครู่คุณหนูเฉาโทรศัพท์มาถามว่าเขาจะไปรับเธอเวลาใด
“บอกเธอว่าฉันมีธุระ ให้เธอไปเองก่อนได้เลย ฉันจะไปถึงช้าหน่อย”
เหมยเซียงขานรับคำหนึ่งถึงหมุนตัวออกไป
เฮ่อฮั่นจู่ใช้ขาเกี่ยวเก้าอี้มาใกล้ๆ แล้วนั่งลง
ยามนี้ยังไม่หกนาฬิกา ท้องฟ้าข้างนอกกลับมืดสลัวแล้ว
เขาจุดบุหรี่สูบไปได้ครึ่งมวน หวังถิงจือบนเตียงก็พลันลืมตาขึ้นช้าๆ บอกว่า “พี่สี่ ผมไม่ได้เมา พี่มีธุระก็ไปทำเถอะ อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย”
เสียงของเขาแหบแห้งเหมือนกล่องเสียงแตก ชวนให้ระคายหูมาก
เฮ่อฮั่นจู่คาบบุหรี่ในปากลุกไปเปิดไฟแล้วเดินกลับมา เขารินน้ำจากกระติกน้ำอุ่นถ้วยหนึ่งยื่นส่งให้พลางพูด “เธอคิดจะทำอะไร” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลอ่อนโยน
หวังถิงจือไม่รับไว้ เขานิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งและค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง “พี่สี่ ผมทรมานใจมากถ้าไม่พูดออกมา ผมใกล้จะอึดอัดใจตายอยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรผมเห็นพี่เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ แล้วพี่ก็เข้าใจอะไรๆ มากกว่าผม ผมอยากถามพี่เรื่องหนึ่ง ผมจะชอบคนที่ผมชอบไม่ได้จริงๆ หรือครับ ถ้าผมยังชอบเขาอยู่ดี พี่จะช่วยผมไหม”
เขามองเฮ่อฮั่นจู่พร้อมกับถามประโยคนี้ออกมาช้าๆ
ราวกับรู้ว่าความคิดของตนเองเหลวไหล หวังถิงจือไม่รอฟังคำตอบของเขา ชิงพูดขึ้นอีกว่า “ผมคิดไว้หมดแล้ว ผมมีเงิน ผมพาเขาไปปักหลักที่ซีหยางได้ แบบนี้เขาก็ไม่ต้องโดนครหา ผมสามารถปกป้องเขาได้ตลอดชีวิต…”
“เธอทำไม่ได้หรอก” เฮ่อฮั่นจู่ตัดบทเขาฉับพลัน สีหน้าแข็งกร้าวขึ้นตามน้ำเสียงที่ไม่นุ่มนวลดังเก่า “ถิงจือ ฉันไม่มีสิทธิ์ห้ามเธอไม่ให้รักชอบใคร แต่ฉันขอเตือนเธอว่าอย่าไปยุ่งกับซูเสวี่ยจื้อ!”
หวังถิงจือส่ายหน้า “พี่สี่ ผมรู้ว่าผมไม่ควรทำ แต่ผมอยากไปหาเขามากจริงๆ…”
“หาเขาทำไม บอกว่าเธอชอบเขา จะพาเขาหนีไปไกลสุดหล้าหรือ ถิงจือ เธอไม่ใช่เด็กแล้ว ต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควร เธอไม่เหมาะสมกับเขาสักนิด ต่อให้เขาเป็นผู้หญิงจริงๆ เธอก็ไม่ใช่คู่ชีวิตที่ดีสำหรับเขา”
“เพราะอะไรครับ พี่สี่มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินผมแบบนี้” ใบหน้าของหวังถิงจือฉายอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้น เขาลุกพรวดพราดลงจากเตียง
“เพราะอะไรผมถึงไขว่คว้าสิ่งที่ผมชอบไม่ได้ ผมก็มีสิทธิ์นี้เหมือนกัน ทำไมพี่สี่ต้องห้ามผม แม่ผมให้พี่ทำอย่างนี้ใช่ไหม พี่กับแม่ผมก็เป็นคนประเภทเดียวกันนั่นล่ะ!” เขาพูดจบแล้วก้าวยาวๆ ออกไป
เฮ่อฮั่นจู่กระแทกถ้วยน้ำในมือลงบนตู้หัวเตียงเต็มแรง น้ำในถ้วยไหวกระเพื่อมจนกระฉอกออกมา
“เพราะเส้นทางชีวิตของพวกเธอต่างกันน่ะสิ เธอไม่แจ่มแจ้งจริงๆ หรือ”
สุ้มเสียงของเขาเข้มงวดดุดันยิ่ง “เขากับเธออยู่กันคนละโลก! ที่เขาต้องการคือคนที่มีความสนใจเหมือนกันและสามารถมอบชีวิตที่สุขสงบมากกว่าให้เขาได้ แล้วเธอล่ะมีอะไรบ้าง พ่อที่ทรงอิทธิพลล้นฟ้าเลยยิ่งจำเป็นต้องมีผู้สืบทอดทุกสิ่งทุกอย่าง หรือว่าชาติกำเนิดที่กำหนดให้เธอต้องเดินไปตามเส้นทางที่วงศ์ตระกูลขีดไว้ให้?”
หวังถิงจือหยุดยืนหันหลังให้อยู่ตรงประตู ตัวเขานิ่งค้างไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
เฮ่อฮั่นจู่พรูลมหายใจออกช้าๆ เขาอ้าปากพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “คนที่อุดมการณ์ต่างกันไม่อาจทำงานร่วมกันได้ การคบเพื่อนก็เหมือนกัน นับประสาอะไรกับคนที่จะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต ถิงจือ เธอทำร้ายลูกชายสกุลลู่จนตายด้วยอารมณ์ชั่ววูบเพราะเขา ฉันตำหนิเธอไม่ได้ มิหนำซ้ำจะให้ชมเชยในความทุ่มเทของเธอก็ยังได้ แต่อาศัยความทุ่มเทอย่างเดียวไม่มีทางไปได้ตลอดรอดฝั่ง เธอเป็นคนฉลาด ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะไม่เข้าใจเหตุผล เธอแค่ไม่ยอมเผชิญหน้าตรงๆ เท่านั้นเอง ถ้าเธอยืนกรานความคิดของตนเอง ก็เท่ากับหันหลังให้ชาติตระกูลของเธอ ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าครอบครัวของเธอจะอนุญาตหรือเปล่า เธอถามตนเองดูก่อนว่าเธอมีความกล้าที่จะทนให้ไฟเผาตนเองไหม มีความสามารถที่จะประจันหน้ากับทุกอย่างจริงๆ ไม่ใช่ใช้วิธีน่าหัวเราะของพวกคนขี้ขลาดด้วยการพาคนที่เธอชอบหนีไปต่างประเทศ”
ภายในห้องไม่มีสุ้มเสียงใดอีกเป็นนานครู่ใหญ่ มีเพียงเสียงน้ำหยดกระทบพื้นแผ่วเบาขาดเป็นห้วงๆ
หวังถิงจือหมุนตัวมาช้าๆ ในที่สุด “พี่สี่ ผมลองดูไม่ได้จริงๆ หรือครับ ผมเต็มใจแลกทุกอย่างเพื่อความรักของผมจริงๆ…”
“ไม่ได้” คำพูดของเฮ่อฮั่นจู่ทั้งเลือดเย็นและไร้ความปรานีดุจเดียวกับน้ำเสียงของเขาในชั่วขณะนี้ “ถ้าสุดท้ายเธอถอดใจยอมแพ้ บางทีเธออาจยังถอนตัวได้ทัน แต่เขาไม่ได้ เขาเรียกฉันว่าคุณน้า ดังนั้นฉันจะบอกกับเธอตามตรงว่าถึงเธอจะมีกำลังปกป้องเขาได้จริงๆ ฉันก็ไม่อยากให้เธอไปยุ่งกับเขา ฉันขอพูดซ้ำคำเดิม เขาไม่ใช่คนจำพวกเดียวกับพวกเรา อย่าไปก่อกวนชีวิตในตอนนี้ของเขา”
ดวงตาที่แดงก่ำของหวังถิงจือจ้องมองเฮ่อฮั่นจู่นานครู่ใหญ่ เขาถึงเอ่ยเสียงแหบพร่าขึ้นว่า “พี่สี่พูดถูก ถูกต้องทุกอย่าง ความร่ำรวยมีเกียรติที่ทำให้ผมได้เสพสุขตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาเป็นหนี้ของผม ผมต้องชดใช้ แต่ผมทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเลย พี่สี่ ผมอยากรู้ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นพี่ชอบคนคนหนึ่ง ชอบถึงขนาดที่ยอมสละทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของพี่เพื่อเขาได้ พี่จะทำอย่างไร หรือว่าพี่จะห้ามตนเองเหมือนกับที่ห้ามผมอย่างใจร้ายตอนนี้หรือเปล่า พี่ทำได้จริงๆ ใช่ไหม”
“ฉันไม่มีทางทำอย่างนี้” เฮ่อฮั่นจู่พูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ถิงจือ เธอจงจำเอาไว้ ในโลกนี้ไม่ว่าเป็นความรักแบบไหนก็ตาม ล้วนสามารถตีราคาได้ทั้งนั้นเมื่อมีผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งฉันเจออย่างที่เธอพูดจริงๆ ฉันจะให้ตนเองทำแบบที่เตือนเธอเช่นกัน”
หวังถิงจือมองเฮ่อฮั่นจู่นิ่งๆ ใบหน้าเขาฉายแววทดท้อสิ้นหวัง สุดท้ายเผยรอยยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ เขาพูดพึมพำออกมาว่า “พี่สี่ ผมรู้แล้ว ผมคงดื่มจนเมาไปแล้ว ผมควรจะกลับเมืองหลวงเหมือนกัน ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม…”
เฮ่อฮั่นจู่เรียกคนขับรถมาสั่งให้ไปส่งหวังถิงจือ เขายังโทรศัพท์บอกให้ติงชุนซานแจ้งให้พี่น้องของคุณนายหวังรับทราบและส่งคนมารอรับหวังถิงจือ
เขาวางสายแล้วหมุนตัวขึ้นไปข้างบน เห็นน้องสาวที่ออกมาตั้งแต่ตอนไหนก็สุดรู้ยืนอยู่ตรงชานพักบันได เบิ่งตาโตมองตามแผ่นหลังของหวังถิงจือที่จากไป เธอทำหน้าตื่นตกใจแกมห่วงใย ชายหนุ่มจึงเข้าไปเอ่ยปลอบเธอสองสามคำว่าไม่มีเรื่องอะไร และบอกเธอว่าไม่ต้องเป็นห่วง
พอพูดกล่อมให้น้องสาวกลับไปแล้ว เขาก็กลับไปที่ห้องของตนเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสูทที่จะสวมคืนนี้ เสร็จแล้วลากมือผ่านเนกไทหลายเส้นที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นดึงเส้นที่คุณหนูเฉามอบให้ออกมาผูกหน้ากระจก ก่อนจะออกจากห้องเดินลงไปถึงหัวบันไดแล้วพลันชะงักเท้าเล็กน้อย
คุณหนูเฉาสวมเสื้อคลุมมีฮู้ด เห็นกระโปรงราตรีหรูหราสีม่วงเข้ากับเนกไทของเขาโผล่พ้นชายเสื้อคลุมออกมาท่อนหนึ่ง เธอแต่งตัวแต่งหน้าอย่างสวยงามเต็มที่
หญิงสาวนั่งอยู่ในห้องรับแขกชั้นล่างอย่างสงบ ชะรอยจะได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา เธอเงยหน้าขึ้นมองมาแล้วผลิยิ้มลุกขึ้นยืน
เฮ่อฮั่นจู่ก้าวฉับๆ ลงบันได
คุณหนูเฉาพูดอธิบาย “ฉันไม่ได้รีบจะไปงานนะคะ แค่ได้ยินสาวใช้บอกทางโทรศัพท์ว่าคุณอยู่บ้าน ฉันเลยมารอคุณเอง”
เฮ่อฮั่นจู่ผงกหัวนิดหนึ่งพร้อมยิ้มน้อยๆ “ลำบากคุณแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
บทที่ 75
วันนี้คุณลุงของซูเสวี่ยจื้อจะเดินทางกลับแล้ว
จากเมืองซวี่ถึงเมืองเทียนเป็นเส้นทางที่สมบุกสมบัน นอกจากขึ้นรถลงเรือระหว่างทางยังต้องผ่านพื้นที่หลายแห่งที่ตัดขาดจากโลกภายนอกการคมนาคมไม่สะดวก ซึ่งขณะนี้ได้แต่อาศัยการว่าจ้างรถเทียมม้าหรือล่อแบบโบราณที่สุดในการสัญจร คุณลุงอายุเกินครึ่งร้อยแล้ว อุตส่าห์เร่งเดินทางมาแต่พักอยู่ไม่กี่วันก็กลับ จุดประสงค์เพื่อดูสภาพความเป็นอยู่ของเธอทางนี้ ซูเสวี่ยจื้อซาบซึ้งอยู่ในใจ เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ เธอมีครอบครัวไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไป ตอนนี้คุณลุงจะไปแล้ว แม้ท่านจะพร่ำพูดซ้ำๆ ว่าเธอเรียนหนักไม่ต้องไปส่ง แต่หญิงสาวยังคงไปส่งคุณลุงออกเดินทางพร้อมกับญาติผู้พี่ถึงที่โรงแรมแต่เช้า
ด้วยรู้ว่าท่านเป็นคนมัธยัสถ์ ถึงมีเงินทองแต่ไม่ยอมใช้จ่ายกับเรื่องของตนเอง ตอนขามาก็ซื้อตั๋วรถนั่ง ทนนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่บนรถไฟติดกันหลายวันหลายคืน หนนี้เป็นขากลับ สองลูกพี่ลูกน้องถือวิสาสะซื้อตั๋วตู้นอนเที่ยวสิบเก้านาฬิกาสามสิบนาทีคืนนี้ให้ท่านกับซูจง หลังขึ้นรถแล้วสามารถเอนกายลงนอนพักผ่อนได้
ตกเย็นซูเสวี่ยจื้อไปถึงโรงแรมแล้วเตรียมตัวไปส่งคุณลุงที่สถานีรถไฟ
เยี่ยหรู่ชวนกำลังจะกลับไปแล้ว เขาไม่วายพูดกำชับกำชาหลานสาวยกหนึ่ง ทั้งยังถามอีกว่าเธอจะกลับบ้านตอนปิดเทอมฤดูหนาวหรือไม่
พอปิดเรียนตอนปลายภาค ซูเสวี่ยจื้อต้องติดตามผู้อำนวยการเหอไปเข้าการสัมมนางานวิจัยทางการแพทย์นานาชาติที่เมืองหลวง ประกอบกับจากที่นี่ไปถึงเมืองซวี่เป็นระยะทางไกลจริงๆ แล้วการคมนาคมในยุคนี้เดินทางไปกลับรอบหนึ่งต้องใช้เวลานานมาก เธออธิบายให้ท่านเข้าใจว่าช่วงนั้นไม่ว่างเลยไม่ได้วางแผนกลับไป
เยี่ยหรู่ชวนถอนใจด้วยความรู้สึกเสียดาย แต่ก็รู้ว่าหลานสาวไม่มีเวลาพอ คงได้แต่เป็นไปตามนี้แล้ว เขาเอ่ยกำชับเธออีกว่าอยู่ทางนี้คนเดียวต้องระวังสุขภาพและดูแลตนเองให้ดีๆ
เยี่ยเสียนฉีที่รออยู่ด้านข้างพูดแทรกคำหนึ่ง “ผมไม่ใช่คนหรือครับ ผมอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเสวี่ยจื้อ จะบอกว่าน้องอยู่คนเดียวได้อย่างไรกัน”
เยี่ยหรู่ชวนทำเสียงถุยน้ำลายทีหนึ่ง “แกก็นับเป็นคนหรือ ไปไกลๆ ฉันหน่อย เห็นแล้วของขึ้น!”
ซูจงเห็นสองพ่อลูกเริ่มต่อปากต่อคำกันตามเคย จึงรีบเข้ามาพูด “นายท่านเยี่ย ใกล้ถึงเวลาแล้ว ขืนไม่ออกจากโรงแรมอีก ระวังจะไปขึ้นรถไฟไม่ทันนะขอรับ”
เยี่ยหรู่ชวนถึงได้เลิกราเท่านี้ แต่ยังมองลูกชายตาเขียวปัดอีกแวบหนึ่ง
ซูจงจัดแจงให้ผู้ติดตามช่วยกันยกกระเป๋าสัมภาระนำหน้าลงไปพร้อมกับเยี่ยเสียนฉีเพื่อเรียกรถลากก่อน
ซูเสวี่ยจื้อนั้นอยู่กับเยี่ยหรู่ชวนทางด้านหลัง เธอยื่นหมวกกับเสื้อกันหนาวให้และช่วยคุณลุงสวมใส่ให้เรียบร้อยถึงค่อยตามลงไป
วันนี้เป็นวันคริสต์มาสของชาวตะวันตกพอดี บริเวณโถงใหญ่ชั้นล่างของโรงแรมดูเหมือนจะจัดงานเลี้ยงฉลองของสถานกงสุล
ตอนพวกเธอลงไป งานเลี้ยงจวนจะเริ่มต้นขึ้น คนดังประจำเมืองนี้มารวมตัวกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ประตูทางเข้าด้านหน้าปูพรมแดงผืนหนึ่ง ได้ยินเสียงพูดคุยระเบ็งเซ็งแซ่อยู่ใกล้ๆ
กลุ่มของเธอไม่อยากเบียดเสียดกับผู้คนเลยไม่ได้เดินออกทางประตูใหญ่ที่ปูพรมแดงไว้ แต่ใช้ประตูเล็กด้านข้างที่โรงแรมเปิดไว้เป็นพิเศษสำหรับคืนนี้ซึ่งมีคนน้อยกว่า
เยี่ยเสียนฉีบอกให้พ่อกับญาติผู้น้องรออยู่หน้าประตูสักครู่ ส่วนตนเองวิ่งไปเรียกรถลาก
ระหว่างที่รออยู่เยี่ยหรู่ชวนสองจิตสองใจนิดหนึ่งก่อนพูดกระซิบกับหลานสาว “เสวี่ยจื้อ ลุงจะกลับไปแล้ว เธอไม่มีคำพูดอะไรอยากฝากถึงแม่เธอบ้างหรือ”
ในสมองของหญิงสาวปรากฏภาพเหตุการณ์ตอนเธอจากมาวันนั้น ผู้เป็นแม่ยืนส่งอยู่หน้าประตูทำท่าคล้ายจะโบกมือให้แต่กลับลดมือลงกลางคัน
จนบัดนี้ซูเสวี่ยจื้อยังไม่ถึงกับรู้จักแม่คนนี้สักเท่าไร ยิ่งถ้าว่ากันถึงความผูกพัน เธอรู้สึกใกล้ชิดกับเยี่ยหรู่ชวนมากกว่าด้วยซ้ำไป
แต่ไม่รู้เพราะอะไรเธอรู้สึกคล้ายว่าจิตใจของตนเองในเวลานี้อ่อนละมุนลงกว่าตอนย้อนกลับมาในยุคนี้ใหม่ๆ มาก เธอบอกว่า “กลับถึงบ้านแล้ว หนูรบกวนคุณลุงบอกกับคุณแม่ด้วยว่าให้ท่านดูแลสุขภาพดีๆ เหมือนกัน ไว้ปีหน้าหนูหาเวลาว่างได้จะกลับไป” เธอพูดตบท้ายอีกหนึ่งประโยค “แล้วก็ฝากสวัสดีน้าหงแทนหนูด้วยนะคะ”
หลานสาวจากบ้านมาเกือบครึ่งปี นอกจากผลการเรียนดีขึ้นอย่างพุ่งพรวด เยี่ยหรู่ชวนรู้สึกนิสัยใจคอของเธอก็เปลี่ยนไปมาก มีความอ่อนน้อมและสุขุมรอบคอบกว่าแต่ก่อนมาก เขาได้ยินเธอพูดแบบนี้ จึงพยักหน้าหงึกหงักด้วยความดีใจ “ได้ๆ ลุงจะบอกให้เธอแน่นอน”
ซูเสวี่ยจื้อเอ่ยขอบคุณยิ้มๆ จังหวะนี้เองญาติผู้พี่วิ่งมาบอกว่าเจอกับฟู่หมิงเฉิงตอนไปเรียกรถลาก พออีกฝ่ายรู้ว่าเขาจะไปส่งพ่อที่สถานีรถไฟก็พูดทันทีว่าจะขับรถไปส่งพวกเขาเอง
“เขายืนกรานจะไปส่งให้ได้ ไปเอารถแล้วด้วย ผมเลยตอบตกลง พ่อกับเสวี่ยจื้อนั่งรถยนต์ก็ดี จะได้ไม่ต้องหนาวเกินไป ส่วนผมกับพวกลุงจงนั่งรถลากไปพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระก็แล้วกัน”
ซูเสวี่ยจื้อเหลือบตามองเห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นออกจากที่จอดรถของโรงแรมมาหยุดจอดอยู่ริมถนนใกล้ๆ ประตูเล็กแล้ว
ฟู่หมิงเฉิงลงจากรถ เขาสวมสูทกับรองเท้าหนัง น่าจะมาร่วมงานเลี้ยงคืนนี้
เมื่อเห็นเขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้า เธอจึงแนะนำเขาให้รู้จักกับคุณลุง
เยี่ยหรู่ชวนรู้เรื่องเจ้าสัวใหญ่คนใหม่ของกิจการเดินเรือสกุลฟู่ และรู้ว่าเขาเคยเป็นอาจารย์ของหลานสาวในวิทยาลัยแพทย์ประจำมณฑล แต่ไม่เคยพบหน้าค่าตามาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกันที่นี่คืนนี้ เขารีบบอกว่าอยากรู้จักมานานแล้ว ยังขอบคุณที่ชายหนุ่มเคยดูแลช่วยเหลือหลานสาว
ฟู่หมิงเฉิงพูดอย่างยิ้มแย้ม “ผมได้ยินว่าคุณลุงเยี่ยมาที่เมืองเทียนตั้งแต่สองสามวันก่อน ก็ตั้งใจจะมาเยี่ยมคารวะอยู่แล้วครับ แต่เห็นว่าคุณลุงมาคราวนี้น่าจะมีเวลาน้อย ประกอบกับยังไม่รู้จักกัน กลัวจะเป็นการละลาบละล้วงคุณลุง ถึงได้ไม่กล้าบุ่มบ่ามมาเอง ผมคิดไม่ถึงว่าคืนนี้จะได้พบกันที่นี่อย่างบังเอิญขนาดนี้ คุณลุงจะกลับแล้ว ผมต้องขอไปส่งเป็นธรรมดา คุณลุงเชิญขึ้นรถ ให้ผมไปส่งพวกคุณลุงที่สถานีรถไฟเถอะครับ”
เจ้าสัวใหญ่คนใหม่ผู้เลื่องชื่อของสกุลฟู่ที่บังเอิญได้พบกันที่นี่ให้เกียรติกันมากเพียงนี้เชียวหรือนี่
เยี่ยหรู่ชวนนึกประหลาดใจ เขารีบปฏิเสธตามมารยาททันที
“คุณลุงไม่ต้องเห็นเป็นคนอื่นคนไกล เรื่องเล็กน้อยครับ”
เยี่ยหรู่ชวนมองหลานสาวแวบหนึ่ง
ซูเสวี่ยจื้อทอดสายตามองไป
คนขับรถของสกุลฟู่รับสัมภาระเดินทางติดตัวใบเล็กใบน้อยของคุณลุงจากมือญาติผู้พี่ที่ไม่เคยรู้จักว่าความเกรงใจคือสิ่งใดไปวางที่รถแล้ว
“ซูเสวี่ยจื้อ คุณไม่ต้องคิดมาก ไปส่งคุณลุงแค่นี้ไม่ได้สร้างความลำบากให้ผมเลยสักนิดเดียว อากาศหนาวถนนลื่น คุณลุงสูงวัยแล้ว นั่งรถยนต์สะดวกกว่ามาก” ฟู่หมิงเฉิงพูดกับเธอ
เธอลังเลใจอยู่ก็เห็นญาติผู้พี่คนนั้นวางพวกสัมภาระชิ้นเล็กๆ ไว้ในรถเสร็จแล้วยังโบกมือมาทางนี้ เธอจะเรียกให้หยิบออกมาอีกก็กระไรอยู่
ซูเสวี่ยจื้อบอกกับคุณลุงคำหนึ่งแล้วพยักหน้าเอ่ยขอบคุณฟู่หมิงเฉิง
เขาพูดว่าไม่เป็นไร จากนั้นเรียกคนขับรถลงมา บอกว่าจะขับรถไปส่งเอง
คุณลุงชักไม่สบายใจ ชายหนุ่มจึงอธิบายยิ้มๆ “ความจริงงานเลี้ยงคืนนี้ไม่ได้สำคัญอะไรครับ แค่วันตรุษของพวกฝรั่ง ใครๆ ถึงมาร่วมสังสรรค์กันตามธรรมเนียม ผมขอไปส่งคุณลุงดีกว่า เป็นแค่น้ำใจเล็กน้อยจากผมเท่านั้น”
เยี่ยหรู่ชวนได้ยินเขาพูดอย่างนี้แล้วก็ไม่บ่ายเบี่ยงอีก เพียงขอบอกขอบใจชายหนุ่มอีกที
ฟู่หมิงเฉิงปิดประตูรถด้วยตนเอง ค่อยขึ้นรถแล้วขับออกไป
ชั่วครู่ต่อมารถยนต์ที่เฮ่อฮั่นจู่กับคุณหนูเฉานั่งอยู่ก็แล่นมาหยุดจอดนอกประตูใหญ่ของโรงแรม พนักงานต้อนรับวิ่งเข้ามานำรถไปเข้าที่จอดรถให้ทันที
ภายในโรงแรมประดับไฟงามระยิบระยับ ทุกคนเห็นเฮ่อฮั่นจู่กับคุณหนูสิบสองของสกุลเฉามาถึงก็พากันจับจ้องมองมา
คุณหนูเฉาถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นกระโปรงยาวสีม่วงสวยงามบนตัวเธอ
ทั้งคู่มาถึงก็ตกเป็นเป้าสายตาทันควัน
หญิงสาวคล้องแขนเฮ่อฮั่นจู่ ใบหน้าเธอแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มยามค้อมศีรษะน้อยๆ ให้คนรู้จักที่ส่งเสียงทักทายไม่หยุดตลอดทาง เดินเข้าสู่โถงจัดงานเลี้ยงราตรีท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนรอบด้าน
“ผู้บัญชาการเฮ่อ คุณมาถึงสักที คนมาสายต้องถูกปรับให้ดื่มเหล้านะครับ” ผู้ว่าฯ โจวกำลังพูดคุยยิ้มหัวกับชาวตะวันตกหลายคน เห็นเฮ่อฮั่นจู่มาถึงก็เดินรี่มาทักทาย เขาพูดจบแล้วให้คนรินเหล้าให้ชายหนุ่ม
คุณหนูเฉาคลี่ยิ้มบอกว่า “พักนี้เขาทำตามคำสั่งคุณหมอ ต้องเลิกดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ผู้ว่าฯ โจว พวกคุณอย่าทำให้เขาลำบากใจเลยค่ะ”
ผู้ว่าฯ โจวกับคนด้านข้างสบตากันยิ้มๆ “ได้ครับๆ ในเมื่อคุณหนูเฉาพูดอย่างนี้แล้ว พวกผมจะใจกล้าบ้าบิ่นขนาดไหน คืนนี้ก็ไม่บังอาจให้ผู้บัญชาการเฮ่อดื่มเหล้าอีกแล้วครับ”
“ผู้บัญชาการเฮ่อ นอกจากมีคุณหนูเฉาคอยเป็นห่วงเป็นใย คืนนี้แม้แต่เสื้อผ้ายังใส่สีเข้ากับชุดของคุณหนูเฉาอีก สีม่วงเป็นนิมิตมงคล เดินเคียงคู่กันฉายรัศมีจับตา ทำให้พวกผมอิจฉาตาร้อนจริงๆ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นทั้งสี่ทิศไม่ขาดสาย
คุณหนูเฉาแกล้งทำท่าโกรธงอน “พอเถอะค่ะ นับกันตามอาวุโส พวกคุณทุกคนมีศักดิ์เป็นคุณลุงคุณอาของฉันกันทั้งนั้น ยังจะรุมกันล้อเลียนเด็กรุ่นหลานอย่างฉันอยู่ตรงนี้อีกหรือคะ”
ทุกคนรีบแสร้งพูดขอโทษขอโพย จากนั้นเสียงสนทนาอย่างครื้นเครงดังระงมขึ้น ภริยาของกงสุลอังกฤษก็มาถึงแล้ว คุณหนูเฉาถึงสบช่องขอตัวในตอนนี้ ไปคล้องแขนเธอเดินพูดคุยแย้มยิ้มแยกไปพร้อมกับคุณหนูคุณนายติดหน้าตามหลังกลุ่มหนึ่ง
“ผู้บัญชาการเฮ่อ ยินดีด้วยครับที่คว้าไข่มุกเม็ดงามมาได้ ในบรรดาผู้ชายทั่วทั้งเมืองเทียน ไม่สิๆ น่าจะรวมไปถึงเมืองหลวงด้วย ไม่มีคนไหนวาสนาดีเท่าคุณเลย ว่าแต่จะแย้มพรายสักนิดได้ไหมว่าเมื่อไรจะได้ดื่มเหล้าในงานมงคลสมรสของคุณกับคุณหนูเฉาสักที ผมน่ะเตรียมใส่ซองไว้นานแล้วนะ” พอคุณหนูเฉาเดินไปแล้ว ผู้ว่าฯ โจวจึงกระเซ้าเฮ่อฮั่นจู่ต่อ
ชายหนุ่มทำหน้ายิ้มๆ ไม่พูดตอบ เขาหันไปเห็นติงชุนซานเดินฝ่ากลุ่มคนมาทางนี้พลางเอ่ยขอตัวกับพวกผู้ว่าฯ โจวแล้วหมุนตัวสาวเท้าไปหา
ติงชุนซานพูดกระซิบ “ท่านผู้บัญชาการ พวกนายท่านเยี่ยกับคุณชายซูนั่งรถของฟู่หมิงเฉิงออกไปแล้วครับ”
เฮ่อฮั่นจู่ย่นหัวคิ้วเข้าหากันน้อยๆ “มันเรื่องอะไรกัน บอกให้คุณรออยู่ข้างนอกไม่ใช่หรือ”
ติงชุนซานรายงานว่าเมื่อครู่เขารออยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามประตูทางเข้าหน้าโรงแรมตลอด คิดไม่ถึงว่าตอนพวกนายท่านเยี่ยกับคุณชายซูลงมาจะไม่ได้เดินมาทางประตูใหญ่ แต่ออกทางประตูเล็ก พอเขาเห็นแล้วกำลังจะรีบตามไป ไม่นึกว่าฟู่หมิงเฉิงจะอยู่ใกล้ๆ เหมือนกัน ซ้ำยังตัดหน้าเขาเดินไปบอกว่าจะพาไปส่งก่อน เขาจะเข้าไปแย่งคนอีกก็ไม่เหมาะ
“ผมทำงานบกพร่องเอง ท่านผู้บัญชาการโปรดลงโทษด้วย” ผู้เป็นนายดูท่าทางจะไม่พึงใจ ส่งผลให้ติงชุนซานหายใจไม่ทั่วท้องอยู่สักนิด
เฮ่อฮั่นจู่นิ่งไปอึดใจหนึ่ง เขาตวัดตามองท้องฟ้าด้านนอกที่มืดสนิท
“ช่างเถอะ เขาไปส่งก็เหมือนกัน” เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบๆ ก่อนหมุนตัวออกเดินไป
งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังกล่าวเปิดงานท่านกงสุลกับภริยาเต้นลีลาศคู่กันเป็นการเปิดฟลอร์ จากนั้นคนอื่นๆ ถึงพาคู่เต้นรำเข้าร่วมวง
เฮ่อฮั่นจู่ย่อมต้องเต้นรำกับคุณหนูเฉาแน่นอน ร่างของคนทั้งคู่ขยับเคลื่อนอยู่บนฟลอร์ด้วยลีลาพลิ้วไหว เป็นคู่ที่ดึงดูดสายตาผู้คนได้มากที่สุด ข่มรัศมีของเจ้าภาพในค่ำคืนนี้ให้หมองลงโดยไม่ต้องสงสัย ใครๆ ต่างชมเปาะว่าหนุ่มหล่อสาวสวยเป็นคู่สร้างคู่สมกัน พากันถามยกใหญ่ว่าใกล้จะมีข่าวดีเมื่อไร
เมื่อเต้นรำเพลงแรกจบ เฮ่อฮั่นจู่กับคุณหนูเฉาต่างฝ่ายต่างแยกกันไปโอภาปราศรัยกับแขกในงานอีกครา
หมู่ชนชั้นสูงแต่งกายงดงามพูดจาปราศรัยกันในบรรยากาศงานเลี้ยงหรูหรา ใบหน้าของแต่ละคนประดับด้วยรอยยิ้ม หากแต่ในแววตากลับซุกซ่อนจุดประสงค์และความมุ่งหวังที่จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้
ปกติงานสังสรรค์ประเภทนี้ชายหนุ่มรับมือได้อย่างช่ำชองจัดเจนเหมือนเป็นการทำงาน
ทว่าคืนนี้ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดเขากลับใจลอยเข้าเสียแล้ว
คงเพราะไม่ได้กินอาหารมื้อเย็นก็มาร่วมงานเลี้ยง ทั้งที่ยังหัวค่ำอยู่เขากลับเริ่มรู้สึกอ่อนล้า
“ทำไมยังไม่เห็นคุณฟู่มาเลยล่ะ”
ทันใดนั้นเขาได้ยินคนที่อยู่ใกล้ๆ คุยซุบซิบถึงฟู่หมิงเฉิง
“นั่นสิ น่าแปลก ก่อนเริ่มงานผมเจอเขาตรงประตูทางเข้า ยังทักทายกันอยู่เลยนะ”
“เมื่อครู่ท่านกงสุลถามหาเขาอยู่เหมือนกัน”
เฮ่อฮั่นจู่มองไปทางหน้าประตูโถงโดยไม่รู้ตัว
ฟู่หมิงเฉิงยังไม่กลับมาจริงๆ
โรงแรมอยู่ห่างจากสถานีรถไฟไม่ไกล ตามหลักแล้วครึ่งชั่วโมงก็พอให้เขาไปกลับได้
คืนนี้ฟู่หมิงเฉิงออกงานสังคมของเมืองเทียนในฐานะเจ้าสัวใหญ่คนใหม่ของกิจการเดินเรือเป็นครั้งแรก
สำหรับเขาแล้วถือว่าสำคัญ
ฉะนั้นเขาส่งคนเสร็จแล้วยังไปที่ไหนต่ออีกใช่หรือไม่
และอยู่กับใคร
นั่นน่าจะเป็นเรื่องอะไรที่สำคัญกว่างานนี้ เขาถึงได้ชักช้าไม่ยอมกลับมาสักที
บทที่ 76
ฟู่หมิงเฉิงขับรถพาคนส่งถึงสถานีรถไฟอย่างรวดเร็ว
ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาออกเดินทาง พวกเยี่ยเสียนฉีกับซูจงซึ่งตามอยู่ด้านหลังจะมาถึงช้ากว่าก็ไม่เป็นไร
นายสถานีคนหนึ่งเคยเห็นหน้าฟู่หมิงเฉิงมาก่อนเลยจำเขาได้ พอบอกให้หัวหน้าสถานีรถไฟรู้ อีกฝ่ายก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับด้วยตนเอง บอกว่ารถไฟยังไม่มา ตรงชานชาลาลมแรง เชิญพวกเขาเข้าไปรอรถในห้องรับรองพิเศษสำหรับผู้โดยสาร และยกน้ำชาร้อนมาวางให้อย่างแข็งขันกระวีกระวาด
หลังนั่งไปได้ครู่หนึ่งพวกเยี่ยเสียนฉีกับซูจงมาถึงแล้วเช่นกัน ไม่นานรถไฟก็วิ่งเข้ามาหยุดจอดในสถานีพร้อมเสียงหวูด
หัวหน้าสถานีรถไฟนำทางเยี่ยหรู่ชวนเดินเข้าช่องพิเศษตรงไปขึ้นรถไฟก่อน และพาไปจนถึงตู้นอนที่จองไว้อย่างเรียบร้อย
รถไฟขบวนนี้ออกเดินทางจากเมืองหลวงมุ่งหน้าลงทิศใต้ เมืองเทียนเป็นสถานีใหญ่ จะหยุดจอดเป็นเวลายี่สิบนาที
เยี่ยหรู่ชวนพูดกับหลานสาวว่าอากาศหนาว เร่งให้เธอรีบกลับไปไวๆ ไม่ต้องรอจนรถไฟออกอีก
เยี่ยเสียนฉีดึงเธอไปพูดอีกทางหนึ่ง “เสวี่ยจื้อ ฉันได้ยินลุงจงบอกว่าเมื่อวานคุณลุงของเธอไปที่โรงงานผลิตยาตงย่า คิดจะสั่งซื้อยาอะไรสักอย่างจากพวกนั้น พอกลับไปสำรวจตลาดดูแล้วจะสั่งจอง ค่อยส่งเงินมัดจำมาให้ ฉันฟังน้ำเสียงของลุงจงแล้ว คุณลุงของเธอมองว่าการค้านี้จะไปได้สวย ตั้งใจลงทุนครั้งใหญ่ แต่ฉันว่าอย่าเพิ่งทำดีกว่านะ”
“ทำไมล่ะ”
“หลายวันก่อนที่สถานีตำรวจฉันมีครูวิทยาลัยคนหนึ่งมาแจ้งความว่าเพื่อนเขาหายตัวไปไม่ใช่หรือ ครูคนนั้นแซ่อวี๋เป็นนักเรียนนอกกลับมาจากซีหยาง จบปริญญาเอกด้านจุลชีววิทยา ดันไปเรียนสาขาวิชาอะไรก็ไม่รู้ อีกทั้งยังเป็นพวกใจร้อน ชอบล่วงเกินคนเป็นประจำ นับวันชีวิตย่ำแย่ตกอับลงเรื่อยๆ สุดท้ายได้แต่ไปเป็นครูสอนวิชาชีววิทยาเลี้ยงปากท้อง เพื่อนของเขาก็ทำงานอยู่ในโรงงานผลิตยาตงย่านะเอง เขาสงสัยว่าที่เพื่อนเขาหายตัวไปเกี่ยวข้องกับโรงงานนี้ จึงอยากให้พวกฉันสืบดู
ฉันได้ยินว่าโรงงานผลิตยามีคนหนุนหลังอยู่ เจ้านายใหญ่ของที่นี่รู้จักมักจี่กับคนทุกวงการในเมืองเทียน เบื้องบนสั่งไม่ให้ยุ่ง บอกว่าคนแซ่อวี๋แจ้งความเท็จ สองสามวันนี้ฉันอยู่ว่างๆ ไม่มีงานสำคัญอะไร ก็เลยลองช่วยตามหาคนให้เขาดูเท่านั้นเอง แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าที่เจ้าคนไม่ได้ความแซ่อวี๋คนนั้นพูดต้องเป็นความจริงแน่นอนนะ เอาเป็นว่าในเมื่อมีคนพูดถึงแบบนี้ ฉันเห็นว่าคุณลุงของเธออย่าคิดแต่จะหาเงินท่าเดียว อยากทำการค้าใหญ่โตอะไรเลย ถ้าวันหลังเกิดเรื่องขึ้น เสียเงินเสียทองยังไม่เท่าไร เดี๋ยวจะซวยติดร่างแหไปด้วย”
ซูเสวี่ยจื้อถามต่อ “แล้วทำไมพี่ไม่ไปพูดกับคุณลุงเองล่ะ”
เยี่ยเสียนฉีทำปากเบะ “ตอนนี้เขาเห็นฉันก็ตีหน้ายักษ์ เหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อฉันใจจะขาด ฉันจะกล้าพูดที่ไหนกัน ถึงพูดแล้วเขารับฟังไหมล่ะ”
เจ้านายใหญ่ของโรงงานผลิตยาตงย่าแซ่กู้ ว่ากันว่าเป็นลูกหลานของหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงในสมัยราชวงศ์ชิง อีกทั้งเคยไปเรียนต่อต่างประเทศ ศึกษาทั้งศาสตร์จีนและตะวันตกจนรอบรู้ทั้งสองด้าน เขากลับประเทศแล้วเปิดโรงงานตงย่า ช่วงปีแรกๆ โรงงานเคยเกือบล้มละลาย ภายหลังคิดค้นยาออกมาได้สองชนิด หนึ่งคือยาบำรุงสมอง อีกหนึ่งคือยาเลิกฝิ่น สรรพคุณยอดเยี่ยม ขายดิบขายดีมาก ได้รับเสียงกล่าวขวัญว่าเป็นยาวิเศษ ด้วยเหตุนี้จึงสร้างผลกำไรให้มหาศาล จนก้าวขึ้นเป็นโรงงานผลิตยาชื่อดังอันดับต้นๆ ของเมืองเทียนรวมถึงภาคเหนือในชั่วข้ามคืน
ก่อนหน้านี้ซูเสวี่ยจื้อเคยเห็นโฆษณาที่โรงงานผลิตยาตงย่าลงในหนังสือพิมพ์มาก่อน เธอรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่าเชื่อถือไม่ได้อยู่สักหน่อย ของดีขนาดนี้ถ้าไม่ใช่ทำการตลาดได้เก่งเหลือเกินจนชาวบ้านเห่อตามกระแสแบบเดียวกับ X ไป๋จิน ที่เคยโหมประโคมโฆษณาทุกทางในยุคหลัง ก็ต้องเป็นส่วนประกอบของยาที่น่าสงสัย
ทว่าในยุคนี้แม้ธุรกิจผลิตยาจะก้าวหน้ามากขึ้นทุกวัน แต่การควบคุมยาเวชภัณฑ์ยังไม่เป็นระบบ ผู้จำหน่ายยาแข่งกันอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงในโฆษณา ทั้งยาเม็ด ยาผง ยาขี้ผึ้ง และยาน้ำสารพัดชนิด ทั้งบำรุงโลหิต เสริมสมรรถภาพทางเพศ หรือแม้แต่ทำให้มีลูกชาย ใช้ถ้อยคำสวยหรูจูงใจคนให้หลงเคลิ้ม กลายเป็นปัญหาเรื้อรังของวงการนี้
กระนั้นเพราะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเอง เธอจึงไม่ค่อยสนใจมากนัก พอตอนนี้ได้ยินญาติผู้พี่บอกแบบนี้ เธอใช้เวลาที่เหลืออยู่เล็กน้อยก่อนรถไฟออกบอกเล่าต่อให้คุณลุงฟัง
เยี่ยหรู่ชวนลังเลใจ “ไม่น่าจะเป็นไรหรอก โรงงานผลิตยาเจ้าใหญ่มีชื่อเสียงขนาดนี้ ลุงได้ยินว่าขายดีมาก มีใบสั่งจองไปถึงปีหน้าโน่น สั่งน้อยยังไม่ขายให้ หนำซ้ำไม่ยอมลดราคาให้แม้แต่แดงเดียวด้วย”
ซูเสวี่ยจื้อพูดต่อ “ในเมื่อมีเรื่องแบบนี้ คุณลุงรอบคอบหน่อยดีกว่าค่ะ ดูๆ ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน อย่าเพิ่งรีบร้อนให้เงินมัดจำอีกฝ่าย เงินทองยังมีให้หาไม่หมดนะคะ หรือไม่เอาอย่างนี้ดีไหม หนูจะคอยติดตามดูเรื่องนี้ให้ ถ้าไม่มีปัญหาจริงๆ คุณลุงค่อยสั่งจองก็ยังทัน ถึงยังไงตอนนี้ทางเมืองเฉิงตูคงยังไม่มีใครแย่งการค้ากับคุณลุงอยู่แล้ว”
เยี่ยหรู่ชวนคลุกคลีอยู่ในวงการค้าสมุนไพรมาครึ่งค่อนชีวิต ย่อมต้องรู้ว่าแวดวงนี้มีสายสนกลในซับซ้อน อีกทั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับยาฝรั่งที่ตนเองไม่ถนัด แต่เขาก็รู้ว่ามียาฝรั่งไม่น้อยที่เรียกได้ว่าเห็นผลเร็วจนน่าอัศจรรย์เมื่อเทียบกับยาจีน จึงเชื่อสนิทใจและเห็นว่าเป็นช่องทางทำเงินก้อนใหญ่ ถึงได้อดหวั่นไหวไม่ได้ ตอนนี้พอได้ยินหลานสาวบอกเช่นนี้ ถึงจะยังเสียดายนิดหน่อย ทว่าเขาไม่ได้มีนิสัยชอบเสี่ยง ด้วยเหตุนี้จึงรับปากหลานสาว และกำชับเธอว่าต้องใส่ใจให้มากๆ มีข่าวอะไรก็ส่งไปบอกเขา
หลังส่งพวกคุณลุงเรียบร้อย ซูเสวี่ยจื้อกับเยี่ยเสียนฉีออกมาจากสถานีรถไฟ
หญิงสาวรู้ว่าญาติผู้พี่ต้องรีบกลับเพราะมีเวรลาดตระเวนตอนดึกอีก จึงเอ่ยปากบอกเองเลยว่าไม่ต้องไปส่ง เวลานี้ยังหัวค่ำอยู่ เธอกลับเองได้
ระหว่างที่เยี่ยเสียนฉีลังเลใจอยู่ เขาสังเกตเห็นฟู่หมิงเฉิงยังไม่ไป อีกฝ่ายกำลังพูดคุยกับหัวหน้าสถานีรถไฟอยู่อีกทางหนึ่ง พอเห็นพวกเขาสองลูกพี่ลูกน้องออกมาแล้วก็เดินเข้ามาหา
เยี่ยเสียนฉีกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย
ฟู่หมิงเฉิงอมยิ้มพูดว่า “ความจริงผมควรเป็นฝ่ายขอบคุณซูเสวี่ยจื้อจึงจะถูก เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจและเวลาไม่น้อยเพื่องานจัดห้องนิทรรศการรำลึกถึงคุณพ่อของผม พวกคุณจะกลับกันแล้วใช่ไหมครับ อากาศหนาวไม่ค่อยมีรถลาก ให้ผมแวะส่งพวกคุณเถอะ”
เยี่ยเสียนฉีโบกมือไปมา “ผมยังมีงานที่สถานีตำรวจ ต้องขอตัวก่อน ในเมื่อเป็นอย่างนี้รบกวนคุณฟู่ส่งเสวี่ยจื้อกลับวิทยาลัยก็แล้วกันครับ” เขาพูดจบแล้วก็รีบแยกไปเลย
“คุณต้องกลับไปร่วมงานเลี้ยงที่โรงแรมต่อ ผมกลับเองได้ ไม่ต้องรบกวนคุณจริงๆ ครับ” ซูเสวี่ยจื้อเห็นเขามองมาก็พูดขึ้นทันที
“ไม่เป็นไรครับ คุณรอสักครู่ ผมจะไปขับรถมา” ชายหนุ่มไปเอารถ
เธอได้แต่ต้องรอเขา
ว่ากันตามสัตย์จริง ซูเสวี่ยจื้อรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่เขาแสดงความเอื้อเฟื้อเกือบเข้าขั้นเกินขอบเขตอย่างนี้ หลังจากขึ้นรถเธอจึงเอ่ยขึ้นว่า “ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ ญาติผู้พี่ของผมไม่ค่อยรู้จักนึกถึงคนอื่น ความจริงคุณมีธุระ ไม่จำเป็นต้องไปส่งผมเลย”
ฟู่หมิงเฉิงพูดยิ้มๆ “ญาติผู้พี่ของคุณเป็นคนปากตรงกับใจ ผมว่าดีนะครับ คุณสบายใจได้ พลาดงานสังสรรค์ครั้งเดียวไม่กระทบกับธุรกิจของผม บอกตามตรงหลายวันนี้ผมอยากกลับไปดูที่วิทยาลัยสักครั้งพอดี แต่หาเวลาไม่ได้ตลอด ก็ฉวยโอกาสไปเสียคืนนี้เลย ผมได้ยินว่าห้องนิทรรศการเกี่ยวกับคุณพ่อผมคืบหน้าไปเร็วมาก”
ที่แท้เขาคิดแบบนี้นั่นเอง…
การจัดวางเนื้อหาต่างๆ ที่แสดงไว้ในห้องนิทรรศการเกือบเสร็จแล้วจริงๆ ซูเสวี่ยจื้อคิดอยู่ว่าจะติดต่อเขาให้หาเวลาว่างมาดูที่วิทยาลัยเพื่อออกความเห็นติชม
พอถึงวิทยาลัย เธอหยิบกุญแจแล้วไปที่อาคารปฏิบัติการ เดินเข้าไปในห้องปฏิบัติการที่ตั้งชื่อตามเจ้าสัวใหญ่ของสกุลฟู่
ทางวิทยาลัยแบ่งพื้นที่ขนาดใหญ่ผืนหนึ่งเพื่อสร้างอาคารแห่งนี้ ยังติดต่อสั่งซื้อเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ซึ่งทันสมัยที่สุดในยุคนี้จากต่างประเทศ รอเมื่อติดตั้งเครื่องมือทุกอย่างเข้าที่ ห้องปฏิบัติการก็จะค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์
เมื่อก้าวเข้าสู่ด้านใน จะต้องผ่านห้องนิทรรศการรำลึกถึงเจ้าสัวใหญ่สกุลฟู่เป็นอย่างแรก
ฟู่หมิงเฉิงเดินเข้าไปแล้ว เริ่มไล่ดูจากภาพถ่ายเต็มตัวพร้อมด้วยชีวประวัติโดยย่อเป็นภาษาจีนและอังกฤษของเจ้าสัวใหญ่ที่แขวนอยู่บนฝาผนังเป็นภาพแรกไปตามลำดับอย่างช้าๆ
สุดท้ายเขาหยุดอยู่เบื้องหน้าภาพรายละเอียดการผ่าสมองตรวจวินิจฉัยทางพยาธิวิทยากายวิภาคที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ สายตาจับจ้องอยู่ที่ภาพ ยืนนิ่งไม่ขยับตัวเป็นนาน
สีหน้าเขาเคร่งขรึมขึ้น ซูเสวี่ยจื้อพูดเสียงเบาๆ “อาจารย์ฟู่ หากคุณรู้สึกว่าภาพนี้ไม่เหมาะสม สามารถเอาออกได้ครับ”
ฟู่หมิงเฉิงดึงความคิดคืนมา เขาสั่นศีรษะทันที “ไม่ๆ คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ภาพนี้เลือกได้ดีมากครับ ที่แห่งนี้เป็นวิทยาลัยแพทย์ แสดงไว้ที่นี่มีคุณค่ามาก เมื่อครู่นี้ผมแค่นึกไปถึงคราวเคราะห์ของคุณพ่อเลยเศร้าใจอยู่บ้าง แล้วก็โกรธตนเองด้วย ถ้าเมื่อก่อนผมใส่ใจและอยู่เป็นเพื่อนท่านมากขึ้น บางทีคืนวันนั้นท่านคงไม่ทะเลาะกับพี่ชายผมและเกิดเหตุแบบนั้นขึ้น แล้วก็ไม่ถึงกับลาจากโลกนี้ไปเร็วเพียงนี้…”
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย ดูออกว่าพยายามควบคุมอารมณ์ไว้อย่างเต็มที่
ซูเสวี่ยจื้อรู้สึกหม่นหมองตามเขาไปด้วย เธอพูดปลอบใจอีกฝ่าย “อาจารย์ฟู่อย่าเสียใจเกินไปเลยครับ ถึงแม้คุณพ่อของอาจารย์จะจากไปแล้ว แต่อาณาจักรสกุลฟู่ที่ท่านสร้างขึ้นมากับมือเปรียบดั่งตราเกียรติยศแห่งชีวิตที่คงอยู่ต่อไปแทนตัวท่าน ผมเชื่อว่าคุณไม่เพียงสืบทอดอาณาจักรนี้ได้ ในอนาคตจะต้องเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน”
ฟู่หมิงเฉิงเพ่งมองเธอพลางพยักหน้าเนิบๆ “ขอบคุณครับ ผมหวังว่าจะเป็นแบบที่คุณพูด”
เธออมยิ้มเอ่ย “อาจารย์ก็ได้ดูแล้ว ที่นี่โดยรวมจะแบบนี้ ถ้าอยากเพิ่มหรือตัดส่วนไหนออกก็บอกผมได้เต็มที่ครับ พวกผมจะพิจารณาเนื้อหาที่จัดแสดงตามความคิดเห็นของอาจารย์เป็นอันดับแรก”
ชายหนุ่มเลื่อนสายตาออกจากใบหน้าเธอมองไปทั้งสี่ด้าน “สมบูรณ์ไร้ที่ติแล้วครับ ผมไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนจำเป็นต้องแก้ไข ก็ทำไปตามนี้เลย ขอบคุณคุณมาก ขอบคุณสำหรับงานที่ดีเยี่ยมของคุณ”
เมื่อคนในครอบครัวพอใจ ซูเสวี่ยจื้อก็โล่งอก เธอคลี่ยิ้มกล่าว “คุณเห็นว่าไม่มีปัญหาก็พอ ถ้าอย่างนั้นพวกผมจะจัดนิทรรศการไปตามนี้ครับ”
เขาพยักหน้ารับ ทั้งคู่คุยสัพเพเหระต่ออีกสองสามคำ ซูเสวี่ยจื้อถึงปิดไฟแล้วเดินออกมาด้วยกัน
เพราะเป็นวันอาทิตย์ ด้านนอกอาคารปฏิบัติการจึงไม่ได้เปิดไฟตอนกลางคืน รอบตัวมีเพียงแสงสลัวๆ เธอมองเห็นพื้นไม่ถนัดตา ตอนลงบันไดเท้าเธอสะดุดก้อนอิฐที่เผยอขึ้นมา หน้าคะมำเจียนตกบันไดรอมร่อ
ฟู่หมิงเฉิงที่เดินอยู่ด้านข้างยื่นมือมาช่วยประคองตัวเธอไว้ในชั่วอึดใจ
หญิงสาวยืนทรงตัวได้อย่างรวดเร็ว เธอตั้งตัวติดแล้วรีบกล่าวขอบคุณ
เขาปล่อยสองมือที่จับแขนเธอไว้ออกอย่างช้าๆ ถามเธอทันทีว่าเท้าพลิกหรือเปล่า
ซูเสวี่ยจื้อส่ายหน้า “ไม่ครับ ขอบคุณครับ”
“คุณไม่เป็นไรก็ดี” เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้นในฉับพลัน “ผมควรกลับได้แล้ว”
เธอจึงตามไปส่งเขา
ระหว่างเดินไปที่ประตูวิทยาลัย เขาไม่พูดไม่จาคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ เธอนึกว่าเขายังจมอยู่ในความคิดถึงพ่อที่ล่วงลับไป จึงไม่ส่งเสียงรบกวนเป็นธรรมดา
ตอนเขากับเธอใกล้จะถึงประตูวิทยาลัย เขาชะงักเท้ากึกและเบือนหน้ามา
“ซูเสวี่ยจื้อ!” เขาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเหมือนจะประหม่าอยู่สักหน่อย
ซูเสวี่ยจื้อหยุดเดินแล้วหันไปมองเขา รอให้เขาพูดต่อ
แต่ไม่รู้เพราะอะไรจู่ๆ เขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่อีก
“อาจารย์ฟู่ ยังมีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ” ซูเสวี่ยจื้อรออยู่ครู่หนึ่งถึงถามขึ้น เห็นเขามองเธอด้วยท่าทางจะพูดแต่ก็ไม่พูดแล้วนึกฉงนใจอยู่ จังหวะนี้เองคนเฝ้ายามวิ่งเข้ามาบอกว่าข้างนอกมีตำรวจลาดตระเวนคนหนึ่งมาหาเธอ
ซูเสวี่ยจื้อมาถึงหน้าประตูแล้วจำคนที่มาหาได้ เขาเป็นลูกน้องคนหนึ่งของญาติผู้พี่ เคยเจอหน้ากันมาก่อน เขาขี่จักรยานของญาติผู้พี่คันนั้นรุดมาที่นี่พร้อมข่าวร้าย
เกิดเรื่องขึ้นกับเด็กผู้หญิงชื่อโจวเสี่ยวอวี้ในหมู่บ้านชาวนาสกุลโจวแล้ว คืนนี้หิมะถมกันหนาจนคอกแพะพังลงมา ตอนนั้นเธอให้อาหารแพะอยู่ในนั้น จึงโดนทับอยู่ข้างใต้ หลังจากดึงตัวออกมาพบว่าศีรษะแตกเลือดไหลไม่หยุด อาสะใภ้สามตกใจทำอะไรไม่ถูก ฉุกคิดได้ว่าก่อนหน้านี้รองหัวหน้าสถานีตำรวจแซ่เยี่ยคนนั้นเคยบอกไว้ตอนมาลาดตระเวนที่หมู่บ้านว่าถ้ามีเรื่องอะไรให้พวกเธอไปหาเขาที่สถานีตำรวจได้
เพราะไปสถานีตำรวจใกล้กว่าไปหาซูเสวี่ยจื้อที่วิทยาลัย อาสะใภ้สามกับพวกเพื่อนบ้านเลยพาโจวเสี่ยวอวี้มาขอความช่วยเหลือที่สถานีตำรวจ เยี่ยเสียนฉีพาเด็กน้อยไปที่โรงพยาบาลชิงเหอ และให้ลูกน้องไปหาญาติผู้น้องที่วิทยาลัยเพื่อบอกข่าวนี้ให้เธอรู้
ทั้งคู่สบตากันแวบหนึ่ง ซูเสวี่ยจื้อกับฟู่หมิงเฉิงต่างทำสีหน้าไม่สู้ดี
“ผมจะไปส่งคุณที่โรงพยาบาล”
ที่โรงแรมเทียนเฉิง งานเลี้ยงฉลองดำเนินไปได้ครึ่งทาง บรรยากาศการฉลองเทศกาลคริสต์มาสในคืนนี้ก็เข้าสู่ช่วงสนุกครึกครื้นที่สุด
“ผู้บัญชาการเฮ่อเพื่อนยาก! ดูซิว่าผมพาใครมา”
ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องคละเคล้าเสียงบรรเลงเพลงของวงดนตรีที่ดังอึกทึก เฮ่อฮั่นจู่ได้ยินคนพูดขึ้นด้วยสำเนียงแปร่งๆ อยู่ข้างหลัง เขาหันหน้าไปเห็นมาร์ตันกงสุลอังกฤษเดินมาหา
เขาเห็นคนจีนที่ติดตามอยู่ด้านหลังตั้งแต่แวบแรก
นั่นไม่ใช่ใครอื่น คนคนนี้คือเลี่ยวโซ่วกวง ญาติพี่น้องของเลี่ยวโซ่วหลินที่เคยชักปืนขู่เขาตอนไปงานศพที่บ้านสกุลเลี่ยว
“ผู้บัญชาการเฮ่อ ผมได้ยินว่าพักก่อนมิสเตอร์เลี่ยวเคยล่วงเกินคุณโดยไม่ตั้งใจ เขาอยากขอขมาคุณ หวังว่าคุณจะไม่ถือโทษ เขามาหาผม อยากให้ผมเป็นคนกลางช่วยมาบอกต่ออีกที ผมบอกปัดไม่ได้เลยใช้โอกาสคืนนี้มาลองดู ชาวจีนมีภาษิตที่ว่าท้องของเสนาบดีบรรจุเรือได้ ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการเฮ่อจะเห็นแก่หน้าผมสักนิด อะไรที่เคยผิดใจกันก่อนหน้านี้ก็ให้มันแล้วกันไปได้ไหมครับ”
เลี่ยวโซ่วกวงสาวเท้าเข้ามาพูดขอขมาลาโทษซ้ำๆ บอกว่าแต่ก่อนตนเองหลงเชื่อคำพูดยุแยง โดนคนหลอกลวง ตอนนี้สำนึกผิดและเสียใจอย่างยิ่ง หวังว่าเฮ่อฮั่นจู่จะใจกว้างไม่ถือสาหาความตนเอง
ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ “พลตรีเลี่ยวเกรงใจไปแล้วครับ ผมควรเป็นฝ่ายขออภัยคุณถึงจะถูก เดิมทีทุกคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันทั้งนั้น มีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ ได้ ผมต่างหากที่ถูกอบรมมาไม่ดีพอ พลั้งมือทำให้คุณบาดเจ็บ จริงสิ บาดแผลของคุณคงไม่เป็นอะไรมากนะครับ”
เลี่ยวโซ่วกวงลูบหน้าผากที่ยังมีรอยแผลตกสะเก็ดอยู่พลางเปล่งเสียงหัวเราะร่า “หายดีตั้งนานแล้วครับ ผมว่านะโชคดีที่วันนั้นโดนผู้บัญชาการเฮ่อเคาะหัวไปทีหนึ่ง ไม่อย่างนั้นผมจะได้สติหรือครับ”
เฮ่อฮั่นจู่หัวเราะตามไปด้วย เขาหันหน้าไปพูดกับท่านกงสุลชาวอังกฤษ “ไม่นึกว่าพลตรีเลี่ยวจะมีอารมณ์ขันแบบนี้ เมื่อก่อนผมประมาทเขาไปแล้วครับ”
ท่านกงสุลตบมือ “ดีครับๆ หัวเราะให้กันแล้วลืมความแค้นไปเสีย ได้แบบนี้ก็ดีครับ วันหลังทุกคนร่วมมือกันสร้างอนาคตที่สวยงามให้แก่เมืองเทียนร่วมกัน”
พวกเขาพูดคุยแย้มยิ้มกันต่ออีกหลายคำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ผ่านไปครู่หนึ่งเฮ่อฮั่นจู่เห็นชายชาวญี่ปุ่นชื่อคิมูระคนนั้นเดินมาหาพร้อมกับมองมาทางเขา ก็ผงกหัวให้ท่านกงสุลนิดหนึ่งก่อนผละออกมา
ผู้อำนวยการคิมูระมาขอบคุณเขา บอกว่าเพิ่งได้รู้ข่าวดีจากทางซุนเมิ่งเซียน โรงพยาบาลของตนเองน่าจะได้รับการตรวจประเมินใหม่อีกครั้งในเร็ววันนี้
“เรื่องหนนี้ได้ผู้บัญชาการเฮ่อช่วยเปิดทางสะดวกให้ ผมรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกินครับ”
เฮ่อฮั่นจู่เหลือบตามองซุนเมิ่งเซียนที่ดื่มเหล้าสรวลเสเฮฮากับคนอื่นอยู่ไม่ไกลแล้วพูดขึ้น “ผมทำตามหน้าที่เท่านั้นเองครับ คุณคิมูระไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ โรงพยาบาลชิงเหอเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลแผนปัจจุบันที่มีเครื่องไม้เครื่องมือดีที่สุดในเมืองเทียน ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ประชาชน ผมได้ยินมาว่าคุณเป็นคุณหมอใจบุญฝีมือดี ผมรู้สึกนับถือคุณมากครับ”
ผู้อำนวยการคิมูระเป็นคนอ่อนน้อมไม่โอ้อวดตน เขาโค้งตัวพูดถ่อมตัวทันที
หลังโอภาปราศรัยกันเล็กน้อย เฮ่อฮั่นจู่ก็ถามขึ้นอย่างสบายๆ “ได้ยินว่าคุณคิมูระกับคุณฟู่เป็นเพื่อนต่างวัยกันหรือครับ”
ผู้อำนวยการคิมูระโบกมือไปมายิ้มๆ “ผมไม่กล้าทึกทักเอาเองแบบนี้หรอกครับ ก็แค่รู้จักกันผิวเผินสมัยที่คุณฟู่ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ต่อมาผมย้ายมาอยู่ประเทศของคุณ โชคดีที่คุณฟู่ไม่รังเกียจผม ยังจดจำมิตรภาพในเวลานั้นได้อยู่ครับ”
เฮ่อฮั่นจู่อมยิ้มพลางเหลียวมองไปรอบๆ “ทำไมคืนนี้ไม่เห็นคุณฟู่เลยครับ”
ผู้อำนวยการคิมูระก็มองไปกลางกลุ่มคนด้วยสีหน้าฉงน “นั่นสิครับ เมื่อครู่ผมมองหาคุณฟู่อยู่เหมือนกัน เขาเป็นคนบอกผมว่าคืนนี้อธิบดีซุนอยู่ที่นี่ และชวนผมมาด้วยกัน เพื่อจะได้สอบถามเขาเรื่องการตรวจประเมินโรงพยาบาลครับ”
ตอนนี้เองผู้จัดการตรงโถงใหญ่ของโรงแรมเดินเข้ามาบอกผู้อำนวยการคิมูระ “คุณคิมูระ! เมื่อครู่นี้คุณฟู่โทรศัพท์มาครับ บอกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาลชิงเหอ มีเด็กผู้หญิงชื่อว่าโจวเสี่ยวอวี้บาดเจ็บ เลือดออกไม่หยุด เขาเรียกให้คุณกลับโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดครับ”
ผู้อำนวยการคิมูระตกใจยกหนึ่ง ใบหน้าฉายแววร้อนรนขึ้นทันควัน เขาหันไปทางเฮ่อฮั่นจู่ โค้งตัวเอ่ยขอโทษชายหนุ่ม บอกว่าตนเองจำเป็นต้องกลับเดี๋ยวนี้ ต้องขออภัยด้วย
เฮ่อฮั่นจู่มองตามแผ่นหลังของผู้อำนวยการคิมูระที่เบียดฝ่าพวกแขกเหรื่อออกไปอย่างรีบเร่งโดยไม่คำนึงถึงมารยาทอีก เขายืนอยู่ที่เดิมอึดใจหนึ่งถึงหมุนตัวเดินไป
ครึ่งชั่วโมงต่อมาภายในห้องเล่นบริดจ์ของแขกคนสำคัญบนชั้นสองของโรงแรมที่ปกคลุมด้วยม่านควัน
เฮ่อฮั่นจู่เล่นไพ่แพ้อีกตาหนึ่ง เหรียญชิปตรงหน้าร่อยหรอลงเรื่อยๆ
คนร่วมโต๊ะมองเขาบ่อยๆ ด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง
เฮ่อฮั่นจู่เป็นเซียนไพ่บริดจ์ ไม่เคยเล่นแพ้มาก่อน เรื่องนี้รู้กันทั่วในหมู่ขาไพ่ของวงสังคมเมืองเทียน
คนที่อยู่ซ้ายมือเขาเป็นน้องชายของภรรยาผู้ว่าฯ โจว เขาชนะเงินได้ก็หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ “ผู้บัญชาการเฮ่อ คืนนี้คุณเป็นอะไรไปครับ ถึงกับเอาเงินมาแจกให้…อะ…ผมรู้แล้ว!”
เขามองพวกพ้องแล้วจงใจหยุดเว้นจังหวะเป็นปริศนานิดหนึ่งค่อยพูดต่อ “ที่เรียกกันว่าโชคดีในสนามรัก มักอับโชคในวงไพ่ ผู้บัญชาการเฮ่อก็คือตัวอย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้าแล้วไม่ใช่หรือครับ”
สิ้นเสียงของเขา ทุกคนต่างกระจ่างแจ้งในบัดดล พากันมองไปทางเฮ่อฮั่นจู่พร้อมกับหัวเราะเสียงดังครื้นเครง
เฮ่อฮั่นจู่ผลักเหรียญชิปที่เหลืออยู่ตรงหน้าทั้งหมดออก ลุกขึ้นเรียกคนที่ดูอยู่ด้านข้างมาเล่นแทนตนเอง จากนั้นเดินออกไปหลบมุมอยู่ตรงระเบียงข้างห้องเล่นไพ่บริดจ์
พอก้าวออกไป อากาศแห้งและเย็นเฉียบก็พรั่งพรูเข้าสู่ทางเดินหายใจของเขาทันใด
เขาส่งเสียงไอหลายทีกว่าจะหยุดลงได้แล้วคาบบุหรี่ไว้ในปากดังเก่า
ถนนประดับไฟนีออนหลากสีสันงดงามพร่างพรายฝั่งตรงข้ามสะท้อนเงาอยู่ในดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่ม
ถัดจากย่านราตรีที่เต็มไปด้วยแสงสีแห่งนี้จะเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน แถวนั้นมีตรอกซอกซอยตัดกันไปมา เห็นแสงไฟดวงเล็กดวงน้อยอยู่ประปราย
เมื่อทอดสายตาข้ามไปอีก จุดที่ห่างออกไปเป็นท่าเรือ มีเขตชุมชนแออัดเรียงติดกันเป็นพืด
หลังฟ้ามืดมองจากตรงนี้ ที่นั่นมืดมิดประหนึ่งหลุมดำขนาดยักษ์ที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างได้
ชายหนุ่มมองไปไกลๆ อึดใจหนึ่งแล้วเบนสายตามองไปทางทิศเหนือของเมือง ในขณะที่เขาเริ่มใจลอย ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง “เยียนเฉียว ด็อกเตอร์รอล์ฟเคยโทรหาฉัน บอกให้ช่วยเตือนคุณจริงๆ นะคะ อากาศแบบนี้ต้องระวังสุขภาพให้ดี”
เขาหันหน้าไปเห็นคุณหนูเฉามาถึง ยังคงยืนอยู่ที่เดิมผงกหัวให้เธอนิดหนึ่ง
เธอเดินไปหยุดที่หน้าราวระเบียงด้านข้างเขา
“ยาฝรั่งไม่ได้ผล สองวันก่อนฉันไปหาหมอจีนชื่อดังคนหนึ่งถามวิธีรักษา เขาก็บอกว่าปรับสมดุลร่างกายสำคัญที่สุด ฉันเห็นคืนนี้คุณไม่ได้ดื่มเหล้าเท่าไร ซึ่งเป็นเรื่องดีมาก แต่ถ้าคุณหยุดสูบบุหรี่ได้ด้วย จะไม่ดียิ่งขึ้นหรือคะ”
เฮ่อฮั่นจู่ยิ้มน้อยๆ “อยากให้ผมตัดกิเลสสำเร็จเป็นพระอรหันต์หรือครับ”
เธอโคลงศีรษะทอดถอนใจ สีหน้าแลดูจนปัญญาอยู่บ้าง
เขาบอกเธอ “ตรงนี้หนาว คุณเข้าไปเถอะ”
คุณหนูเฉายังยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมไป สายตาของเธอจับอยู่ที่ป้ายร้านล้อมรอบด้วยหลอดไฟนีออนริมถนนฝั่งตรงข้าม ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดเสียงเบาว่า “เยียนเฉียว คุณยังจำได้ไหมคะ พวกเรารู้จักกันครั้งแรกตอนอยู่ที่ยุโรป เป็นคืนวันคริสต์มาสเหมือนกัน ฉันเจอพวกอันธพาลเมาเหล้าแล้วคุณช่วยฉันไว้”
เขาไม่เปล่งเสียงพูด ยังคาบบุหรี่ไว้ดังเก่า
เธอแย้มยิ้มเอ่ยต่อ “เรื่องผ่านไปตั้งนานหลายปี คุณคงลืมไปแล้ว ตอนนี้คุณช่วยฉันไว้อีกเป็นครั้งที่สอง ทำให้ฉันหลุดพ้นจากการแต่งงานที่คงจะน่ากลัวมาก ถ้าไม่มีคุณ ครอบครัวฉันคงให้ฉันแต่งงานกับผู้ชายที่ทำตัวน่ารังเกียจพวกนั้น…”
เธอหยุดเว้นจังหวะมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา “แน่นอนว่าคุณเป็นข้อยกเว้น ผู้ชายน่ารังเกียจที่ฉันพูดถึงไม่ได้รวมถึงคุณ”
เฮ่อฮั่นจู่เอ่ยขึ้น “ผมไม่ได้แตกต่างจากผู้ชายน่ารังเกียจตามปากคุณว่าหรอก คุณหนูสิบสองไม่จำเป็นต้องเกรงใจ แล้วก็ไม่ต้องขอบคุณผม พวกเราต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการก็เท่านั้น”
เสียงพูดของเขาราบเรียบ ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ราวกับไม่สนใจบทสนทนานี้มากนัก
คุณหนูเฉาอึ้งงันไป “คุณพูดถูก ต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ”
เฮ่อฮั่นจู่หมุนตัวมา
“ไปเถอะ เข้าไปได้แล้ว” เขาบอกเสียงนุ่ม จากนั้นดับบุหรี่แล้วก้าวเท้าจะเดินเข้าข้างใน
“รอเดี๋ยวค่ะ” เธอส่งเสียงเรียก
เขาหยุดฝีเท้าลง
“คืออย่างนี้ค่ะ หลังคืนนี้ผ่านไปฉันต้องกลับเมืองหลวง แต่เมื่อสองวันก่อนคุณแม่โทรศัพท์มาหาฉันอีกแล้ว ท่านหวังว่าคุณจะแวะไปที่บ้านฉันกินข้าวด้วยกันตอนสิ้นปี คุณแม่บอกว่ามีญาติผู้ใหญ่บางคนในครอบครัวฉันยังไม่เคยพบคุณเลยอยากเจอหน้าค่าตาสักหน่อย จากนั้นค่อยดูสถานการณ์กันอีกทีว่าจะเลือกช่วงไหนของปีหน้าให้พวกเราหมั้นไว้ก่อนหรือว่าแต่งงานกันเลยก็ได้…”
เขามองเธอเฉยๆ ไม่ได้เอ่ยตอบทันที
เธอดูกระวนกระวายเล็กน้อย บนหน้ามีรอยละอายใจผุดขึ้น “ฉันรู้ว่าคุณคงไม่ชอบการพบปะแบบนี้ ฉันขอโทษจริงๆ ที่เรียกร้องจากคุณนอกเหนือจากที่เราตกลงกันไว้ตอนแรก…”
เสียงฝีเท้าลอยมาระลอกหนึ่งตัดบทคุณหนูเฉา
เธอหยุดพูดแล้วหันหน้าไป เห็นพนักงานของโรงแรมสาวเท้ามาหา
เขาเห็นเฮ่อฮั่นจู่แล้วเดินเข้ามาโค้งตัวบอกว่า “คุณเฮ่ออยู่ที่นี่นั่นเอง ชั้นล่างมีคนชื่อเยี่ยเสียนฉีมาหาคุณ บอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการพบคุณครับ”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มีนาคม 2567)
Comments
comments
No tags for this post.