บทที่ 1
แคว้นเยี่ยซย่า ลานล่าสัตว์หลวง
หรูเสี่ยวนันทรุดนั่งอยู่ในกรง ใช้เท้ากุมขมับพลางจ้องหนูตายตรงหน้าด้วยสายตาหมดอาลัยตายอยาก
“เจ้าว่าเพราะเหตุใดมันถึงยังไม่กิน นี่เพิ่งจับมาเลยนะ สดใหม่มาก…”
นอกกรงมีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ กำลังก้มหน้าพูดคุยกันด้วยความสงสัย
สดใหม่กับน้องสาวเจ้าสิ!
หากไม่มีกรงกั้น นางอยากจะเอาหนูตายตัวนี้ขว้างใส่หน้าพวกเขาเหลือเกิน
ต่อให้สดใหม่อย่างไรก็เป็นหนูนั่นล่ะ! นางยอมหิวตายแต่จะไม่กินของอย่างนั้นเข้าไปเด็ดขาด ถึงแม้ตอนนี้จู่ๆ นางก็กลายเป็นสัตว์ในตระกูลแมวที่น่าสงสารไปเสียแล้วก็ตาม
สามวันก่อน นางยังเป็นนักศึกษาเพิ่งจบใหม่เตรียมจะกลับบ้านเกิดไปรับช่วงกิจการของปู่อยู่เลย ไม่รู้ว่าเหตุใดพอหมุนกำไลหินห้าสีที่ปู่ทิ้งไว้ให้ก็ถูกแสงสว่างจ้าปกคลุมในทันที พอนางตื่นขึ้นมาอีกคราก็พบว่าตนเองมาถึงแคว้นโบราณแคว้นหนึ่งที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน และยังถูกขังไว้ในกรง มิหนำซ้ำยังกลายเป็นชะมดเช็ดสีดำทั้งตัว
“สามวันแล้วนะที่มันไม่กินอะไรเลย ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ต้องรอให้ฮ่องเต้ทรงเริ่มล่ามันคงหิวตายก่อนแล้ว”
“หรือบางทีอาจจะไม่ถูกปากมัน”
“เมื่อก่อนมันก็กินของเหล่านี้ไม่ใช่หรือ”
ชายหนุ่มสองคนข้างนอกปรึกษากันอย่างไม่สบายใจ
หรูเสี่ยวนันได้ฟังคำพูดเหล่านี้แล้วก็ทนไม่ไหวเอาหัวแตะที่ขอบกรง อ้าปากอาเจียนแห้งเป็นการใหญ่
ราวกับว่าทำเช่นนี้แล้วจะสามารถคายของที่กินไปก่อนหน้านี้ออกมาได้กระนั้น
ชายหนุ่มทั้งสองบ่นอยู่พักหนึ่งก็จากไป
หรูเสี่ยวนันหมอบอยู่มุมหนึ่งของกรงไม่ขยับ หนูตายตัวนั้นยังคงวางอยู่ตรงนั้น นางพยายามหลับตาลงไม่ไปคิดถึงการมีตัวตนของมัน
ยามนี้เองจู่ๆ นอกกรงก็มีเงาสีขาวแวบผ่าน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลายเป็นสัตว์แล้วใช่หรือไม่ ทำให้การตอบสนองของนางฉับไวขึ้นมาก นางหูตั้งขึ้นและเบิกตาโตอย่างระวังตัว
เงาสีขาวหายไปแล้ว แต่ในอากาศยังคงมีกลิ่นที่น่าสงสัยหลงเหลืออยู่
นางกำลังพยายามดมกลิ่น ในตอนนี้เองชายสองคนก็เดินกลับมา
“ครั้งนี้มันคงกินแล้วกระมัง” คนหนึ่งเปิดกรงแล้วโยนหนูเป็นตัวหนึ่งเข้ามา
ว้าย! หนูตัวเป็นๆ?!
หรูเสี่ยวนันขนลุกซู่ไปทั้งตัว
พวกเจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่ ทำกับสตรีผู้หนึ่งแบบนี้ได้อย่างไร!
หนูเป็นเข้ามาในกรงแล้วก็วิ่งวนอย่างตกใจไปทั่ว ขณะเดียวกันที่วิ่งวนไปทั่วยังมีหรูเสี่ยวนันด้วยอีกหนึ่งตัว
ตอนนี้นางที่อยู่ในกรงมีความคิดเพียงอย่างเดียวก็คือหนีออกไป! อยู่ที่นี่ต่อไปนางต้องเป็นบ้าตายจริงๆ แน่นอน
ชายหนุ่มทั้งสองเห็นชะมดเช็ดดำถูกหนูเป็นทำให้ตกใจวิ่งชนกรงราวกับบ้าคลั่งก็พากันลนลานแล้ว
“เร็วเข้า! อย่าให้มันวิ่งชนจนได้รับบาดเจ็บ ไม่อย่างนั้นตอนฝ่าบาทมาล่าสัตว์จะรู้ได้…”
ตอนทั้งสองคนเปิดกรงกำลังจะหยิบหนูเป็นออกมา หรูเสี่ยวนันก็พุ่งตัวเตรียมออกจากกรงด้วยความเร็วปานลูกธนู พร้อมข่วนหลังมือคนหนึ่งในนั้นไปหนึ่งที
ชายคนนั้นร้องเจ็บชักมือกลับ ประตูกรงเปิดกว้าง หรูเสี่ยวนันพุ่งออกมาโดยไม่มีอะไรขัดขวาง
“รีบจับมันไว้!”
หลายวันมานี้หรูเสี่ยวนันสังเกตรอบด้านอย่างละเอียด หลังจากกระโดดลงพื้นแล้วก็พุ่งออกจากกระโจมโดยไม่หันกลับมามอง
ทว่าตอนนางออกมานอกกระโจมจึงพบว่าทุกที่ล้วนมีทหารถืออาวุธ
โชคดีที่ตอนนี้นางเป็นแค่ชะมดเช็ด เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว เพียงไม่กี่ก้าวก็ลอดผ่านใต้เท้าพวกเขาไปได้แล้ว
ข้างหลังมีเสียงตะโกนขึ้นว่า “จับมันไว้! รีบจับไว้!”
“นั่นเป็นสัตว์วิเศษเครื่องบรรณาการที่แคว้นฉีนำมาถวาย…อย่าให้มันหนีไปได้…”
สัตว์วิเศษคืออะไร เป็นสัตว์ประเภทที่หาได้ยากหรือ
หรูเสี่ยวนันปีนขึ้นต้นไม้และซ่อนตัวอยู่กลางพุ่มใบไม้ ก่อนจะลอบผ่อนลมหายใจ
เหล่าทหารจุดคบไฟ ค้นหารอยเท้าเล็กไปทั่ว ทว่ากลางคืนมืดเช่นนี้ ทั้งขนบนตัวนางยังเป็นสีดำอีกด้วย ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่เจอร่องรอยของนางโดยง่าย
ขบวนทหารเดินผ่านใต้ต้นไม้ที่นางซ่อนตัวอยู่ และมองไม่เห็นนางอย่างที่คาดไว้
แต่ในตอนที่นางเพิ่งจะโล่งอก กลางพุ่มใบไม้ก็มีเงาสีขาวแวบผ่าน แล้วกระโจนใส่นางเร็วปานธนู
หลังคอเจ็บแปลบขึ้นมา เตียวขาวตัวหนึ่งตรึงนางอยู่ใต้ร่างมัน แล้วงับคอของนาง
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
หรูเสี่ยวนันส่งเสียงร้องเจ็บปวด แต่ที่ออกมากลับเป็นเสียงดัง “จี๊ดๆๆๆ” ทั้งยังเป็นเสียงที่ดูอ่อนวัย
ทันใดนั้นนางก็รู้ถึงความจริงที่โหดร้ายเรื่องหนึ่งว่านางเป็นเพียงชะมดเช็ดอ่อนวัยตัวหนึ่ง ยังไม่มีกรงเล็บที่แหลมคม สู้เตียวขาวบนแผ่นหลังตัวนั้นไม่ไหวอย่างแน่นอน
ก่อนที่กรงเล็บของนางจะคลายออกและทำให้นางตกลงมาจากต้นไม้…
หรูเสี่ยวนันตกลงมาจากบนต้นไม้ เสียงของเหล่าทหารใกล้เข้ามาทุกที
จบกัน คราวนี้จบแล้วจริงๆ! หรูเสี่ยวนันหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง…
หลังคอรู้สึกเจ็บ ก่อนจะตกถึงพื้นนางก็ถูกเตียวขาวคาบขึ้นมาแล้วกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้อีกครั้ง
เตียวขาวคาบนางกระโดดไปท่ามกลางกิ่งไม้ กิ่งไม้ตีกระทบตัวนางทำให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่ง
ไม่ใช่กระมัง หรือว่าจุดจบของข้าต้องถูกเตียวขาวตัวนี้กินไป? ชีวิตช่างน่ารันทดเสียจริง!
ตอนที่เตียวขาวคาบนางและจะกระโดดไปยังต้นไม้อีกต้นก็ถูกกิ่งไม้กิ่งหนึ่งเกี่ยวไว้
หลังคอรู้สึกปวดตุบๆ
หรูเสี่ยวนันทนไม่ไหวอีกต่อไป ถ้าต้องถูกสัตว์กินทั้งเป็นสู้ตกลงไปตายดีกว่า!
นางพยายามดิ้น ร่างก็ลอยแคว้งและตกจากต้นไม้อีกครั้ง
ใบไม้ระผ่านตัว การตกในครั้งนี้ดูเหมือนจะยาวนานเป็นพิเศษ
ตุบ!
นางตกลงมาจนเห็นดาวหมุนวนอยู่รอบหัว แต่ไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่คิดไว้ มิหนำซ้ำใต้ร่างก็ยังให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มบางอย่าง…
นี่มันเรื่องบ้าอะไรหรือ
พอนางก้มหน้าดูก็ประสานเข้ากับดวงตาสีเลือดคู่หนึ่ง
ผีหลอก?!
นางดีดตัวขึ้นทันที แต่ช่วงเอวกลับถูกรัดแน่น นางถูกคนจับตัวเอาไว้
นางในตอนนี้จึงพบว่านั่นคือบุรุษผู้หนึ่งที่นอนหงายอยู่บนพื้นหญ้า บนใบหน้าที่ซีดขาวไม่มีสีเลือดมีดวงตาแดงก่ำสีเลือดคู่หนึ่ง เหมือนกับหยกสีเลือดสดสองชิ้น ในช่วงกลางคืนดูไปแล้วเหมือนดวงตาสัตว์ป่า ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวได้
หรูเสี่ยวนันตัวแข็งทื่อไปในทันใด นางไม่เคยเห็นดวงตาที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนเลย
สวรรค์! กว่าจะหนีรอดมาจากปากของเจ้าเตียวขาวอย่างไม่ง่ายนัก ต้องมาถูกคนป่ากินหรือนี่!
นางร้องเสียงดัง แต่สิ่งที่ผู้อื่นได้ยินก็คือเสียง “จี๊ดๆ” เท่านั้น ทั้งเป็นเสียงแผ่วเบาและชวนให้สงสารยิ่ง
ยามนี้เองช่วงเอวนางก็รู้สึกเหมือนถูกบีบ นางถูกบุรุษผู้นั้นยกตัวขึ้นและมองพิจารณาอย่างละเอียดตรงหน้า
นี่ อย่ากินข้านะ ข้าไม่อร่อยแม้แต่น้อย ข้าตัวเล็กแบบนี้ ผอมแบบนี้…ทุกวันต้องกินหนูตาย…ท่านกินข้าแล้วต้องถูกพิษแน่นอน…
สัตว์ตัวเล็กตรงหน้าร้อง “จี๊ดๆ” เหมือนพยายามจะอธิบายอะไรแก่เขา
ชิงโม่เหยียนสูดหายใจเข้าลึก ตรงทรวงอกที่เมื่อครู่ยังเจ็บจนเขาหายใจลำบาก ตอนนี้กลับเป็นปกติในทันใด
เหลือเชื่อจริงๆ ตั้งแต่เด็กจนโต ตอนที่พิษกู่ในตัวของเขากำเริบ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เจอสภาพการณ์เช่นนี้
หรือว่ายาที่เขากินมาเป็นเวลานานนั้นในที่สุดก็ได้ผลแล้ว
“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อขอรับ! ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ” ในขณะนี้เอง ชายคนหนึ่งในชุดองครักษ์ก็ปรากฏตัวออกมาจากเงามืดด้วยสีหน้าร้อนรนใจ
“เสวียนอวี้ ประคองข้าลุกขึ้น…”
เมื่อเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น หรูเสี่ยวนันที่ถูกเขาจับอยู่ในมือก็ตกตะลึงไปเล็กน้อยทันที
พูดจาเป็นปกติได้นี่ แบบนี้เขาก็ไม่ใช่คนป่าสิ?
องครักษ์ประคองเขาให้ลุกนั่ง แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนใบหน้าของเขา ทำให้หรูเสี่ยวนันได้เห็นหน้าตาของเขาอย่างชัดเจน
ดวงตาที่เหมือนหยกสีเลือดเมื่อครู่ค่อยๆ จางลง กลับมากระจ่างใสดังเดิม ดวงตาที่ตาขาวตาดำแยกชัดเจนจ้องนางไม่กะพริบ
“เจ้าตัวเล็กนี่…ดูเหมือนจะระงับการกำเริบของพิษกู่ของข้าได้”
“หา?!” เสวียนอวี้ยกมือหนึ่งขึ้นกุมหลังหัวพลางเอ่ย “นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกันขอรับ”
แท้จริงแล้วในใจชิงโม่เหยียนก็ไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้ เขาค่อยๆ คลายมือจากชะมดเช็ด
เมื่อหรูเสี่ยวนันหลุดจากการควบคุมของอีกฝ่ายแล้วก็ถอยหลังไปทันที นางเพิ่งถอยหลังได้สองก้าวก็เห็นชายผู้นั้นร่างอ่อนพับ ล้มลงบนพื้นทันที
ไม่ใช่กระมัง…หรือนี่จะเป็นพิษกู่กำเริบอะไรที่พวกเขาพูดเมื่อครู่
หรูเสี่ยวนันเบิกดวงตาสีเขียวสดใส จ้องชายหนุ่มที่ล้มลงบนพื้นด้วยความตกใจกลัว
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน หรือว่าเพราะเป็นสัตว์หายาก ดังนั้นจึงมีประโยชน์เช่นนี้
ยามนี้เองเขายื่นมือมาที่นางเหมือนคิดจะจับนางไว้ในมืออีกครั้ง
หรูเสี่ยวนันถอยหลังไปอีกคราในทันใด กว่าจะหลุดออกมาได้ไม่ง่าย นางไม่โง่งมกลับไปให้ถูกคนจับอีกครั้งหรอก
“ซื่อจื่อ จะให้ข้าจับมันหรือไม่ขอรับ” องครักษ์พูดอย่างร้อนใจ ขณะเดียวกันก็ชักกระบี่เหน็บเอวออกมา
หรูเสี่ยวนันหมุนตัวปีนขึ้นต้นไม้ที่อยู่บริเวณนั้น ก่อนจะหันมาแยกเขี้ยวแหลมเล็กใส่องครักษ์ผู้นั้น
นางรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ใช่คนดีอะไร ในสามสิบหกกลยุทธ์ การหนีนับเป็นสุดยอดกลยุทธ์อันดับหนึ่ง
หรูเสี่ยวนันหมุนตัวเตรียมจะหนีไป ทันใดนั้นก็เห็นเงาร่างสีขาวขยับออกมาจากบนต้นไม้ ทำให้นางตกใจขาอ่อนไปทันที
เตียวขาวตัวนั้นยังรอข้าอยู่?!
ชั่วขณะที่หรูเสี่ยวนันเห็นเตียวขาว บริเวณขาและน่องของนางก็แข็งเกร็งในทันที
ในเวลาเดียวกันพลันมีเสียงดังอื้ออึงลอยมาจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกล เห็นได้ชัดว่าทหารที่ค้นหานางกำลังจะมาถึงแล้ว
ภยันตรายดักหน้าดักหลังไร้ซึ่งทางหนี หรูเสี่ยวนันยกสองเท้าหน้าขึ้นกุมหัว นางรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาแล้ว
แม้จะไม่มีอันตรายเหล่านี้ตรงหน้า บาดแผลที่ถูกเตียวขาวกัดบนตัวนางก็เพียงพอจะทำให้นางตายได้ นี่ยังไม่รู้ว่าจะถูกสัตว์ตัวนี้ถ่ายทอดโรคประเภทเดียวกับพิษสุนัขบ้ามาให้ด้วยหรือไม่…
หลังจากเปรียบเทียบคุณและโทษในเวลาอันสั้นแล้ว นางก็ตัดสินใจทำเรื่องเด็ดเดี่ยวและอาจตายได้ออกมา นั่นก็คือนางกระโดดลงจากต้นไม้ รีบเข้าไปใกล้ชายหนุ่มที่ล้มอยู่บนพื้นทันที
เขามองมาที่นางพอดี ในดวงตาฉายสีเลือดขึ้นอีกครา
หรูเสี่ยวนันหัวใจเต้นรัว ดวงตาประหลาดเหลือเกิน เขาจะไม่กินนางจริงหรือ
องครักษ์ข้างกายกำลังคิดจะยื่นมือไปจับนาง เขากลับพ่นสองคำออกมาอย่างยากลำบากว่า “หยุดนะ…”
องครักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังคงทำตามคำสั่ง
หรูเสี่ยวนันใจกล้าขยับเข้าไป วางเท้าไว้บนตัวเขา
ลมกลางคืนพัดมาวูบหนึ่ง ชิงโม่เหยียนได้กลิ่นชะมดเช็ดจางๆ พิษกู่ที่ออกฤทธิ์กลางทรวงอกเขาเมื่อครู่สงบลงในพริบตา เหมือนกับตอนที่มันกำเริบขึ้นอย่างฉับพลันห่างกันทุกสิบคืน มันหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนว่าไม่เคยมีพิษนี้อยู่เลย
ชิงโม่เหยียนผ่อนลมหายใจยาว สีเลือดในดวงตาจางหายไปอีกครั้ง
จริงดังที่คิดไว้ การคาดเดาของเขาถูกต้อง เจ้าตัวเล็กนี้สามารถระงับพิษกู่ในตัวของเขาได้ ยามนี้มันดูระวังตัวมาก เหมือนจะไม่เชื่อใจเขาอย่างยิ่ง
ชิงโม่เหยียนขยับมือช้าๆ จับชะมดเช็ดตัวนั้นเอาไว้อย่างแผ่วเบา
ครั้งนี้เจ้าตัวเล็กไม่ขยับหลบ แม้ว่าจะเกร็งไปทั้งตัวเหมือนตื่นกลัวมาก แต่มันก็ไม่คิดจะวิ่งหนีเขาอีก
ชิงโม่เหยียนจับมันมาวางไว้ในมือ เจ้าก้อนกลมเล็กขนฟูมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือเขาเท่านั้น ดูไปแล้วน่าจะเป็นเพียงแค่ ‘ลูกสัตว์’ ดวงตากลมสีเขียวใสเบิกโต กำลังมองเขาอยู่
“ท่าทางดูโง่ๆ” ชิงโม่เหยียนพูดบ่น
ท่านสิโง่ ท่านโง่ทั้งตระกูลเลย!
หรูเสี่ยวนันอยากจะข่วนหน้าเขาสักรอยเสียเหลือเกิน
อย่างนางเรียกว่า ‘น่ารัก’ ต่างหาก
องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เบิกตาโตอ้าปากค้าง “ซื่อจื่อ…นี่ท่าน…ท่านไม่เป็นอะไรแล้วหรือขอรับ”
“อืม พวกเรากลับกันเถอะ” ชิงโม่เหยียนอุ้มชะมดเช็ดไว้ในอ้อมอกแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในเขตลานล่าสัตว์
“นั่นใครน่ะ! หยุดนะ!” ด้านหน้ามีเสียงทหารเอ่ยถามขึ้น
ชิงโม่เหยียนกำลังจะตอบ ก็รู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กในอ้อมอกเตะขาหลังวุ่น พอเขาก้มหน้าลงมองดูก็เห็นชะมดเช็ดตัวนั้นพยายามจะมุดอ้อมอกเขา มันแหวกเสื้อนอกของเขาแล้วมุดเข้าไปในเสื้อตัวกลาง…
กรงเล็บแหลมเล็กวาดผ่านร่างกายของเขา พูดไม่ถูกว่าเจ็บหรือจั๊กจี้
ชิงโม่เหยียนยื่นมือไปเตรียมจะจับมันออกมา แต่มันกลับมุดเข้าไปลึกขึ้นและผลุบหายเข้าไปในเสื้อตัวกลางของเขาทั้งตัว
ในตอนนี้เองเบื้องหน้าเขาปรากฏคนหลายสิบคน แต่ละคนถือคบไฟ “ใครน่ะ!”
ชิงโม่เหยียนไม่ได้ตอบ เสวียนอวี้จึงตะคอกเสียงเข้มกลับไปแทน “บังอาจ! รองตุลาการศาลต้าหลี่อยู่ที่นี่ อย่าเสียมารยาท!”
เหล่าทหารตกตะลึงพลางก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าอะไรคือ ‘รองตุลาการศาลต้าหลี่’ แต่ชุดขุนนางที่อยู่บนร่างอีกฝ่ายนั้นพวกเขาล้วนรู้จักดี
เสื้อคลุมลายนกกระเรียนดั้นเมฆปักด้วยเส้นไหมสีเหลือง เขียว แดง และม่วง เอวประดับหยกแก้ว…นั่นคือเครื่องแต่งกายของขุนนางขั้นสี่
เหล่าทหารค่อยๆ เปิดทาง สีหน้าของชิงโม่เหยียนเย็นชายิ่ง ก้าวเดินนำเสวียนอวี้ไปยังเขตลานล่าสัตว์อย่างไม่เร็วไม่ช้า
“ไม่รู้ว่ารองตุลาการเห็นชะมดเช็ดสีดำตัวหนึ่งหรือไม่ขอรับ” ทหารข้างหลังที่ดูเหมือนเป็นผู้นำเอ่ยถามขึ้นอย่างทนไม่ไหว
ชิงโม่เหยียนชะงักฝีเท้า ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กในเสื้อพยายามเกาะตัวเขาแน่น เหมือนอยากจะยึดตัวเองไม่ให้ลื่นตกลงไป
“ไม่เห็น” เขาพูดเสียงเรียบ ขณะเดียวกันก็เพิ่มความเร็วของฝีเท้าและเดินจากไปโดยไม่หันหน้ามามองอีกเลย
หรูเสี่ยวนันตอนนี้รู้สึกเสียใจมาก นางคิดแต่จะซ่อนตัว ใครจะรู้ว่าถึงกับมุดเข้ามาในเสื้อชั้นในสุดเสียแล้ว
โตมาจนป่านนี้ นางเคยเห็นแต่ร่างผอมแห้งของปู่ผู้เป็นจอมเวท แต่การได้แตะเนื้อต้องตัวชายหนุ่มอย่างแนบชิดแบบนี้นับเป็นครั้งแรก
และสิ่งที่ทำให้นางสติแตกที่สุดก็คือผิวของเขาลื่นมาก นางเกาะไม่ติดเลย ร่างไหลลงต่ำอย่างควบคุมไม่อยู่
อย่านะ ถ้าต่ำลงไปกว่านี้…ถ้าต่ำลงไปกว่านี้ก็ถึง ‘เขตหวงห้าม’ แล้ว!
ชิงโม่เหยียนก้าวยาวเข้าไปในกระโจม ตลอดทางนี้เขาเดินไปอย่างเร่งรีบ แม้แต่ลมหายใจก็ยังปรับไม่ทัน
เสวียนอวี้กังวลใจมาก กำลังจะสอบถามก็ได้ยินชิงโม่เหยียนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาขึ้นว่า “ไปขอยาสมานแผลจากหมอหลวงมาสักหน่อย”
เสวียนอวี้จึงจำต้องรับคำแล้วจากไปทันใด
ม่านกระโจมเพิ่งปิดลง ความสงบนิ่งบนใบหน้าชิงโม่เหยียนก็หายไปจนสิ้น เขากระชากเปิดเสื้อตนเองอย่างลนลาน แล้วยื่นมือเข้าไปตั้งใจจะจับเจ้าตัวเล็กที่ซุกซนอยู่ในเสื้อของเขาออกมา
หรูเสี่ยวนันตอนนี้วิ่งมุดอยู่ในเสื้อของเขาจนหัวหมุน ร่างไหลลงต่ำไม่หยุด มองเห็นช่วงเอวของเขาแล้ว เลื่อนต่ำลงไปอีกก็ถึง ‘เขตหวงห้าม’ ที่แสนอันตรายแล้ว
เพื่อถอดเสื้อตัวนอกออก ชิงโม่เหยียนจำต้องคลายแถบรัดเอวออกก่อน
ผู้ใดจะคิดว่าเขาเพิ่งคลายแถบรัดเอวออกก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
เจ้าตัวเล็กในเสื้อของเขาไหลเลื่อนลงมาโดยไม่มีอะไรขัดขวาง กรงเล็บแหลมเล็กวาดผ่านส่วนท้องของเขาอย่างไม่ปรานี…
ชิงโม่เหยียนสูดลมหายใจเข้าลึกพลางยื่นมือเข้าไปในกางเกง คิดจะจับชะมดเช็ดตัวนั้นไว้
“ซื่อจื่อ ยามาแล้ว…” เสวียนอวี้ถือยาวิ่งเหยาะๆ เข้ามา ผลปรากฏว่าตอนที่เขาเห็นพฤติกรรมยามนี้ของชิงโม่เหยียน…กลับนิ่งเป็นหินอยู่ตรงนั้น
รองตุลาการศาลต้าหลี่ ซื่อจื่อแห่งจวนโหว…กำลังดึงกางเกง อีกมือหนึ่งยื่นเข้าไปในกางเกง…
“ข้าไม่เห็นอะไรเลย!” เสวียนอวี้ก้มหน้าลงและรีบเดินตัวแข็งถอยออกไป
ชิงโม่เหยียนหน้าเขียวอมม่วง “ไสหัวกลับมาเดี๋ยวนี้!”
ตอนที่เสวียนอวี้ถือยากลับเข้ามาอีกครั้ง ชิงโม่เหยียนก็จับ ‘ตัวต้นเรื่องเลวร้าย’ นั้นได้แล้ว
หรูเสี่ยวนันเบิกดวงตาโตอย่างผู้บริสุทธิ์ ดวงตาสีเขียวใสเปล่งประกายจนแทบจะกลายเป็นดวงดาวในท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่แล้ว
ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าเป็นแค่สัตว์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตัวหนึ่งเท่านั้น…
ชิงโม่เหยียนมองดูชะมดเช็ดที่นั่งอยู่บนตักของเขา มุมปากกระตุกขึ้นมา “ข้าไม่รู้เลยว่าที่แท้สัตว์อย่างชะมดเช็ดจะลามกเช่นนี้”
หรูเสี่ยวนันใช้เท้าปิดหน้าทันใด
หมดกันๆ ความสง่างามของข้า ถูกฝังกลบไปหมดแล้ว
เพราะบาดแผลหลังคอของนางค่อนข้างหนัก ดังนั้นหลังจากชิงโม่เหยียนช่วยทายาให้นางแล้วจึงใช้ผ้าพันไว้สองแถบหลวมๆ สุดท้ายยังใส่กุญแจเหมือนล่ามนักโทษให้ด้วย
เห็นชะมดเช็ดตัวนี้ทำหน้า ‘รังเกียจ’ ชิงโม่เหยียนในดวงตากลับทอประกาย
มิน่าเล่าคนข้างนอกเหล่านั้นจึงตามหามันไปทั่ว สัตว์ที่มีความฉลาดเช่นนี้คิดว่าคงจะฟังภาษามนุษย์ได้กระมัง
เดิมทีมันต้องถูกนำถวายให้ฮ่องเต้ใช้เป็นเหยื่อในการล่าสัตว์ แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว เขาจำเป็นต้องเก็บมันเอาไว้
เมื่อคิดว่ามีมันอยู่ วันหน้าก็ไม่ต้องทนทุกข์ตอนที่พิษกู่กำเริบ ความรู้สึกของเขาก็ผ่อนคลายลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
นอกกระโจมยังคงมีเสียงทหารเดินไปมาลอดเข้ามาอยู่บ่อยครั้ง หรูเสี่ยวนันหูตั้งขึ้นด้วยความหวาดผวา กลัวว่าพวกเขาจะเข้ามาหาที่นี่
ชิงโม่เหยียนเห็นถึงความหวาดกลัวในดวงตาของมันได้อย่างชัดเจน จึงพูดเสียงเบาขึ้นว่า “ขอเพียงเจ้าอยู่อย่างเชื่อฟังข้างกายข้า ข้าจะไม่มอบตัวเจ้าออกไปแน่นอน”
หรูเสี่ยวนันเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจ
ท่าน…มั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะเข้าใจคำพูดของท่านได้
ชิงโม่เหยียนสั่งเสวียนอวี้ว่า “ไปหาของกินมาให้เจ้าตัวเล็กนี้สักหน่อย”
สีขนของมันดำสนิท เห็นท้องมันแบนราบ คิดว่ามันคงหิวมาเป็นเวลานานแล้ว
พอได้ยินว่ามีของกิน ดวงตาของหรูเสี่ยวนันก็เปล่งประกายทันที
เจ้านาย…ท่านช่างเป็นคนดี นี่คือเจ้านายผู้เมตตาในตำนานกระมัง
หัวที่มีขนปุยคลอเคลียไปกับมือของเขา
ไม่ว่าอย่างไรการสามารถหาเจ้านายที่ดูแลนางจนอิ่มท้องได้ก่อนก็ไม่เลว เรื่องหลังจากนี้รอแผลของนางหายดีแล้วค่อยว่ากันอีกที
ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวังและการรอคอย ในที่สุดเสวียนอวี้ก็กลับมา
หรูเสี่ยวนันยืนอยู่บนตักของชิงโม่เหยียน ขยับขาทั้งสี่อย่างตื่นเต้น
สามวันแล้ว นางหิวมาสามวันเต็มแล้ว
เสวียนอวี้หยิบจานใบหนึ่งมาวางบนพื้น
หรูเสี่ยวนันทนไม่ไหวอีกต่อไป นางยืดตัวมองไปในจาน ก่อนจะเห็นเสวียนอวี้โยนของสิ่งหนึ่งลงไปในจาน…หนูตาย
ไมตรีของเราเป็นอันขาดกัน!
หรูเสี่ยวนันโกรธหน้าดำในทันที
ไหนไมตรีนายบ่าวที่ตกลงกันไว้เล่า!
เหตุใดทุกคนล้วนคิดว่าข้าต้องกินสิ่งนี้ ชีวิตของข้าทำไมถึงได้รันทดแบบนี้…
เสวียนอวี้จ้องมองชะมดเช็ดที่พองขนอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าคิดว่ามันชอบกินสิ่งนี้หรือ” เสียงของชิงโม่เหยียนเย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เสวียนอวี้ยกมือข้างหนึ่งเกาหลังหัวด้วยท่าทางใสซื่อ “ข้าคิดว่ามันชอบมาก ท่านดูสิ มันตื่นเต้นเพียงใด”
ตื่นเต้นกับน้องสาวเจ้าสิ ข้ากำลังโกรธอยู่ต่างหาก!
หรูเสี่ยวนันพ่นลมหายใจฮึดฮัด ถ้าเอาของแบบนี้มาให้ข้ากินอีก ข้าจะข่วนหน้าเจ้าเป็นเส้นมันฝรั่งเลย!
นางแยกเขี้ยวขู่เสวียนอวี้ แต่เสียงที่ออกมากลับเบาหวิวอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีความน่าเกรงขามแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นมือใหญ่ข้างหนึ่งก็มาบังสายตาของนาง
ในช่วงที่หรูเสี่ยวนันตกตะลึง มือข้างนั้นก็ยื่นเข้ามาหาแล้วบีบให้นางอ้าปากขึ้น
นิ้วสากเคลื่อนไปมาในปากของนางอย่างอุกอาจ ทำให้นางต้องรีบหลบหลีก อยากจะคายนิ้วของอีกฝ่ายออกมา
“ยังเป็นฟันน้ำนมอยู่นี่” ชิงโม่เหยียนสำรวจฟันของนาง “เสวียนอวี้ ไปที่ห้องครัวใหญ่ขอนมแพะมาสักหน่อย”
นมแพะหรือ!
หรูเสี่ยวนันดวงตาเปล่งประกาย
แม้จะเหม็นสาบไปบ้าง แต่อย่างไรเสียก็เป็นอาหารของคน นางจึงได้แต่อดทนรอ
ไม่นาน เสวียนอวี้ก็ยกชามเล็กใบหนึ่งเข้ามา
ครั้งนี้ชิงโม่เหยียนไม่ได้ให้เสวียนอวี้วางชามไว้บนพื้น แต่ยื่นมือไปรับมา
“ซื่อจื่อ” เสวียนอวี้ลังเลใจ “ให้ข้าป้อนก็พอ”
ในสายตาของเขา นายของเขาจับพู่กันได้ จับกระบี่ได้ แต่จะให้อีกฝ่ายมาป้อนอาหารชะมดเช็ดได้อย่างไร
ชิงโม่เหยียนถือชามนมแพะอุ่นครึ่งชามไว้ในมือพลางเอ่ย “ไม่ต้องหรอก เจ้าออกไปเถอะ”
หรูเสี่ยวนันไม่สนใจความเรียบร้อยและสำรวมของสตรีที่งดงามก็กระโจนเข้าไปก้มหัวลงในชามทันที
“อึกๆๆๆ…”
ให้ตายเถอะ ชามนี้ทำไมลึกแบบนี้ ข้าจะจมน้ำตายแล้ว
หรูเสี่ยวนันดิ้นขลุกขลัก อยากจะยกหัวขึ้นจากนมแพะ แต่ว่าสำหรับนางแล้ว ชามนี่ลึกเกินไปจริงๆ ยามนี้ขาหลังของนางถึงกับชี้ค้างอยู่กลางอากาศแล้ว
หรือว่า…จุดจบของนางต้องจมน้ำตายอยู่ในชามนี้ นางเหมือนจะมองเห็นปู่ที่ล่วงลับไปแล้วในทันที
จอมเวทเฒ่าลูบปลายคาง ยิ้มตาหยีพูดกับนางว่า “นันนัน พยายามเข้า รีบพาหลานเขยของปู่กลับไปนะ”
หา?! นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน!
ในช่วงสำคัญ ชิงโม่เหยียนก็ลากนางออกมา
หรูเสี่ยวนันใบหน้าเต็มไปด้วยนมแพะ ไอไม่หยุด นางรู้สึกกลัวมาก ยังคิดว่าปู่จอมเวทเฒ่าจะพานางลงยมโลกไปด้วยเสียอีก
ชิงโม่เหยียนขมวดคิ้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าให้นาง “ไม่เคยเห็นสัตว์ที่โง่อย่างเจ้ามาก่อนเลย”
หรูเสี่ยวนันได้ยินเช่นนั้นก็พลันหน้าสลด
ชิงโม่เหยียนเอียงชามเล็กน้อย หรูเสี่ยวนันจึงได้ดื่มจนอิ่มในที่สุด ก่อนจะลูบท้องกลมเล็กแล้วอ้าปากหาว
เสียงอึกทึกนอกกระโจมยังคงมีมาเป็นช่วงๆ
ชิงโม่เหยียนสะบัดแขนเสื้อดับไฟในกระโจม เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาสามารถนอนหลับสบายได้ในค่ำคืนที่พิษกู่กำเริบ นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่กล้าคิดฝันมาก่อนเลย
ในความมืด เขามองดูเจ้าขนปุยที่ขดเป็นก้อนกลมหมอบนอนหลับสบายอยู่บนตัวเขา เกลียวคลื่นพุ่งขึ้นประกายบางอย่างพุ่งวาบขึ้นในดวงตาดำขลับ
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าฟ้าลิขิตใช่หรือไม่ มีเจ้าตัวเล็กนี้อยู่ ในที่สุดเขาก็มีโอกาสจะไปหาสูตรยาถอนพิษกู่เหล่านั้นได้แล้ว อีกทั้งยังมีเรื่องบางอย่างที่ถึงเวลาต้องโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำแล้วด้วย
ตอนที่หรูเสี่ยวนันตื่นขึ้นมา เป็นเช้าของวันรุ่งขึ้น
นางถูกเสียงกลองทำให้ตกใจตื่น ก่อนจะพบว่าในกระโจมเหลือนางเพียงคนเดียว ชิงโม่เหยียนไม่รู้ว่าไปที่ใดเสียแล้ว
นางขยับพลิกตัว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าบนขามีอะไรแปลกๆ พอหันหน้าไปดูก็เห็นแถบผ้าไหมแถบหนึ่งผูกไว้ที่ขาหลังของนาง ปลายอีกด้านของแถบผ้าไหมผูกติดไว้กับขาโต๊ะข้างเตียง
ท่าน…เห็นข้าเป็นสัตว์แล้วล่ามข้าเอาไว้หรือ!
นางพยายามกระชากแถบผ้าไหม
คนเลว ไหนเล่าความเชื่อใจพื้นฐานที่มนุษย์พึงมีต่อกัน นี่กลัวว่าข้าจะหนีไปหรือ
ในตอนที่นางออกแรงกระชากแถบผ้าไหมบนขาอย่างเต็มกำลัง เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งก็แอบลอบเข้ามาในกระโจม…
บทที่ 2
หรูเสี่ยวนันเบิกดวงตากลมโต
เตียวขาวกระหายเลือดตัวนั้นอีกแล้ว! มันจะเอาอย่างไรกันแน่ ทำไมจึงไล่ล่าข้าไม่ยอมปล่อยแบบนี้นะ
เพราะบนขาถูกแถบผ้าไหมพันเอาไว้ หรูเสี่ยวนันอยากหนีก็หนีไม่ได้ ทำได้เพียงมุดเข้าไปใต้ผ้าห่ม
ภายในกระโจมเงียบสนิท ผ่านไปนานก็ยังไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอะไร
หรูเสี่ยวนันอดใจไม่ไหวยื่นหัวออกมาและมองสำรวจไปโดยรอบ
ทันใดนั้นเอง ปากใหญ่แหลมคมก็ปรากฏตรงหน้านาง นางตกใจจนขนพองทั่วตัว
เตียวขาวฟาดกรงเล็บลงมาและตะปบจนนางมองเห็นดวงดาว
หลังคอรู้สึกเจ็บ จากนั้นร่างของนางก็ถูกลากออกจากผ้าห่ม
เตียวขาวลากหรูเสี่ยวนันกระโดดลงจากเตียง แต่เพราะขาผูกแถบผ้าไหมเอาไว้ เตียวขาวไม่อาจดึงตัวนางออกไปข้างนอกได้ สุดท้ายมันจึงปล่อยตัวหรูเสี่ยวนันแล้วหันไปกัดแถบผ้าไหมแทน
หรูเสี่ยวนันขดตัวอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ เหมือนหมดแรงจะขัดขืน
ทว่าในตอนที่เตียวขาวกัดแถบผ้าไหมขาดได้อย่างราบรื่น หรูเสี่ยวนันก็กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะในทันที
บนโต๊ะมีกาน้ำชาวางอยู่หนึ่งใบ ฝากาเปิดเอาไว้ ขนาดของกานั้นใหญ่กว่าตัวนางเล็กน้อย ปากกาแคบมาก
เดิมทีตัวของนางลอดผ่านปากกาไม่ได้ แต่ในช่วงความเป็นความตาย นางไม่รู้ไปเอาแรงมาจากที่ใด จึงพยายามเบียดตัวเข้าไปข้างในได้สำเร็จ
ตอนที่เตียวขาวกระโจนเข้ามา นางก็เบียดตัวเข้าไปในกาน้ำชาได้ทั้งตัวโดยสมบูรณ์แล้ว
กาน้ำชาถูกเตียวขาวชนจนตกจากโต๊ะ กลิ้งกลุกๆ ไปบนพื้น แต่ไม่ได้แตก
หรูเสี่ยวนันที่อยู่ด้านในลอบดีใจยกใหญ่
เตียวขาวตัวใหญ่กว่านาง กรงเล็บยื่นเข้าไปในกาน้ำชาไม่ได้ มันกระวนกระวายจนข่วนปากกาน้ำชาไม่หยุด
“เจ้าตัวเล็ก เก่งจริงก็เข้ามาสิ” หรูเสี่ยวนันขดตัวอย่างได้ใจอยู่ในกาน้ำชา
เตียวขาวเดินวนไปมารอบกาน้ำชาพลางส่งเสียงขู่ผ่านลำคอ
กาน้ำชาถูกมันปัดหมุนไปมา หรูเสี่ยวนันสัมผัสถึงความรู้สึกคล้ายกำลังเมารถเมาเรือทีละนิด
รีบหยุดเดี๋ยวนี้ จะอ้วกแล้ว…
ในตอนนี้เองมีเสียงทหารลอดเข้ามาจากข้างนอก “มีคนเห็นสัตว์วิเศษที่หนีไปเข้าไปในกระโจมนี้ รบกวนเปิดทางด้วย พวกเรารับคำสั่งมาตรวจค้น”
จากนั้นหรูเสี่ยวนันก็ได้ยินเสียงของเสวียนอวี้ เหมือนเขาคิดจะขวางทหารเหล่านั้น แต่สุดท้ายคนเหล่านั้นยังคงบุกเข้ามา
เตียวขาวทิ้งกาน้ำชาแล้ววิ่งผลุบหายออกไปทันที
“อยู่ที่นั่น!” มีคนตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ
เตียวขาววิ่งลอดขาทหารไปเสียแล้ว
“ไม่ใช่ตัวนี้”
ตอนเสวียนอวี้เข้ามาเห็นสภาพในกระโจมก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย
ชะมดเช็ดตัวที่ซื่อจื่อบอกให้เขาเฝ้าไว้ก่อนออกไปในตอนเช้ายามนี้หายไปแล้ว แต่อยู่ต่อหน้าเหล่าทหารเขาจะแสดงอาการผิดปกติไม่ได้เด็ดขาด เพราะชะมดเช็ดตัวนั้นเป็นของบรรณาการ พวกเขาควรจะมอบมันให้พวกอีกฝ่ายตั้งแต่ต้น
แต่ด้วยมันสามารถระงับพิษกู่ในตัวซื่อจื่อได้ แม้จะต้องทำผิดโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูง เขาก็พูดเรื่องนี้ออกไปไม่ได้อย่างแน่นอน
พวกทหารตรวจค้นไปทั่ว หรูเสี่ยวนันหลบอยู่ในกาน้ำชา ถูกคนเหล่านั้นเตะโดนอยู่หลายครั้ง กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น นางกุมหัว อธิษฐานในใจด้วยความมึนงงขอให้คนเหล่านี้รีบจากไปโดยไว
“ใครให้พวกเจ้าเข้ามา”
ยามนี้เองเสียงเย็นชาของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังขึ้นตรงประตู
“รองตุลาการ” ทหารที่ท่าทางเหมือนหัวหน้าเข้าไปคารวะ “พวกข้ารับคำสั่งมาค้นหาสัตว์วิเศษที่หนีไปขอรับ”
แววตาแหลมคมของชิงโม่เหยียนกวาดมองไปทั่ว สุดท้ายเลื่อนมาที่แถบผ้าไหมข้างเตียงที่ถูกกัดขาด ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น
“ฮ่องเต้ทรงมีบัญชาให้พวกเจ้ามาค้นหาหรือ” ชิงโม่เหยียนเอ่ยถาม
“เป็นพระบัญชาของรัชทายาทขอรับ” ทหารผู้นั้นอธิบาย
ชิงโม่เหยียนแค่นเสียงสบถเย็นชาหนึ่งทีก่อนจะกล่าว “ออกไปให้หมด”
“แต่ว่า…”
“ออกไป!” ชิงโม่เหยียนสีหน้าเย็นชา “ที่พักขุนนางขั้นสี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าหากไม่มีพระบัญชาจากฮ่องเต้ กฎระเบียบนี้พวกเจ้าไม่รู้หรือไร”
ทหารนายหนึ่งเห็นดังนั้นก็ลอบกระตุกแขนผู้นำของตนเองทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…พวกข้าก็ไม่รบกวนใต้เท้าพักผ่อนแล้ว”
จากนั้นเหล่าทหารก็ทยอยเดินออกไป
ชิงโม่เหยียนเหลือบมองเสวียนอวี้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เสวียนอวี้หน้าแดงพลางเอ่ย “เป็น…ความผิดของข้าเอง…ขวางพวกเขาไว้ไม่ได้…”
“ไปเฝ้าไว้” เห็นได้ชัดว่าชิงโม่เหยียนไม่มีเวลาจะโกรธเขา
เสวียนอวี้ก้มหน้าเดินออกไปนอกประตูอย่างเศร้าสลด
รอจนในกระโจมเหลือเพียงชิงโม่เหยียน เขาก็หยิบเศษแถบผ้าไหมที่เหลือครึ่งเดียวนั้นขึ้นมาจากพื้น
ส่วนที่ขาดทิ้งรอยฟันกัดเอาไว้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ฟันน้ำนมของเจ้าตัวเล็กนั่นจะทำได้อย่างแน่นอน
“เจ้าตัวเล็ก ออกมา” ชิงโม่เหยียนเรียกเสียงเบา
หรูเสี่ยวนันถูกเตะกลิ้งไปมาอยู่ในกาน้ำชาเป็นเวลานานจนคลื่นเหียนแล้ว พอนางได้ยินเสียงชิงโม่เหยียนเรียกเช่นนี้จึงลองยื่นหัวออกมาจากกาน้ำชา
แต่ว่า…มันติด
นี่มันเรื่องบ้าอะไร! ออกไม่ได้!
นางพยายามใช้กำลังอันน้อยนิดทั้งหมดแล้ว แต่หัวก็ยังยื่นออกมาไม่ได้เสียที
หรูเสี่ยวนันพลิกไปมาในกาน้ำชาจนเหนื่อยและหายใจหอบ
ชิงโม่เหยียนยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้านิ่งขรึม เขาเอียงหัวเหมือนกำลังตั้งใจฟังอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นเขาก็ย่อตัวลง สายตาแหลมคมกวาดมองบนพื้น
ข้าวของหล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้น เขายื่นมือไปหยิบกาน้ำชาขึ้นมา
“จี๊ดๆ” มีเสียงเบาหวิวดังออกมาจากในกาน้ำชา
ชิงโม่เหยียนมองไปที่กาน้ำชา เห็นเพียงปากแหลมที่มีขนฟูยื่นออกมาจากปากกาน้ำชาที่เล็กแคบ มือที่ถือกาน้ำชาก็หยุดชะงัก
หรูเสี่ยวนันเบิกดวงตาสีเขียวอย่างน่าสงสาร…
ช่วยข้าออกไปที ข้าติดอยู่ในนี้
ชิงโม่เหยียนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เขามองสำรวจกาน้ำชาอย่างละเอียด “เจ้าเข้าไปได้อย่างไร”
หรูเสี่ยวนันหน้าเศร้า…อย่าสนใจรายละเอียดพวกนั้นได้หรือไม่
ชิงโม่เหยียนดึงผ้าห่มลงมาจากเตียง คลุมไว้บนกาน้ำชา จากนั้นใช้ด้ามกระบี่เคาะลงไปอย่างแรง
หรูเสี่ยวนันที่ตกลงไปอยู่ในความมืดรู้สึกว่ากาน้ำชาสั่นสะเทือน เกิดเสียงดังทีหนึ่ง ก่อนที่บนตัวกาน้ำชาจะมีรอยร้าวเกิดขึ้นหนึ่งรอย
ชิงโม่เหยียนดึงเศษกาน้ำชาออก ชะมดเช็ดสีดำตัวหนึ่งก็ปีนออกมาอย่างทุลักทุเล
เพราะในกาน้ำชาเดิมทีใส่น้ำชาไว้ครึ่งกา ดังนั้นหรูเสี่ยวนันจึงเปียกปอนไปทั้งตัว
สัญชาตญาณสัตว์ทำให้หลังจากมุดออกมาแล้วนางก็ออกแรงสะบัดขนอย่างแรง
พึ่บพั่บๆ
หลังฝนน้ำชาพ้นผ่าน นางก็เตรียมจะแสดงความขอบคุณ ‘เจ้านาย’ ที่ช่วยนางออกมาอย่าง ‘มีน้ำใจไมตรี’
ทว่าพอเงยหน้าขึ้นก็ตกใจที่เห็นชิงโม่เหยียนถูกน้ำชากระเซ็นใส่เต็มหน้า มิหนำซ้ำบนหน้าผากยังมีใบชาติดอยู่อีกด้วย…
“ถ้าไม่อยากตายก็อยู่สงบๆ” ชิงโม่เหยียนใช้ผ้าเช็ดหน้าก่อน จากนั้นค่อยเช็ดน้ำชาบนตัวนางจนสะอาด และไม่สนใจว่าขนบนตัวนางจะแห้งหรือยัง เขาก็ยกตัวนางขึ้นแล้วยัดใส่คอเสื้อทันที
แต่ครั้งนี้เขาระวังมาก ไม่ยอมให้เจ้าตัวเล็กมุดเข้าไปในเสื้อตัวกลางของตนเองได้อีก
“ฟังให้ดี นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ ห้ามขยับและห้ามส่งเสียง” เขาออกคำสั่ง
หรูเสี่ยวนันพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ชิงโม่เหยียนรีบขยับจัดเสื้อผ้า แล้วตะโกนเรียกเสวียนอวี้ที่อยู่นอกประตูเข้ามา
“เก็บของ พวกเราไปกันเถอะ”
“ไป? ไปที่ใดขอรับ” เสวียนอวี้เอ่ยถามด้วยหน้าตาสงสัย
“กลับเมืองหลวง” ชิงโม่เหยียนหยิบหมวกม่านแพรมา ก่อนจะใช้ผ้าโปร่งสีดำติดหมวกปิดบังใบหน้าเอาไว้
แม้จะมีคำถามเต็มท้อง แต่เสวียนอวี้ยังคงเดินตามไปอย่างเชื่อฟัง
เมื่อทั้งสองเดินออกจากค่ายพักแรมของลานล่าสัตว์ก็มีคนเตรียมม้ารออยู่นอกประตูค่ายแล้ว
“รองตุลาการ นี่คือม้าที่ท่านต้องการขอรับ” มีทหารยื่นเชือกบังคับม้ามาให้
ชิงโม่เหยียนมือถือเชือกเตรียมจะขึ้นม้า พลันได้ยินเสียงคนพูดขึ้นด้านหลังว่า “ซื่อจื่อรอสักครู่”
พอหันมองไปตามเสียงก็เห็นเป็นคุณชายอายุน้อยในชุดเรียบๆ ผู้หนึ่งเดินออกมาจากในค่าย
ชิงโม่เหยียนมอบเชือกให้เสวียนอวี้แล้วประสานมือคารวะทันที “ถวายบังคมรัชทายาท”
“ซื่อจื่อจะไปที่ใดหรือ” องค์รัชทายาทท่าทีอ่อนโยน ไม่วางท่าเย่อหยิ่งแม้แต่น้อย ดูเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามสุภาพเรียบร้อยคนหนึ่ง
“สุขภาพไม่ดี ดังนั้นจึงทูลลากับฮ่องเต้ไปแล้ว ขอตัวกลับก่อน” ชิงโม่เหยียนกล่าว
“อ้อ เช่นนั้นก็น่าเสียดาย” องค์รัชทายาทใช้แขนเสื้อป้องปาก ไอเบาๆ อยู่พักหนึ่ง “ได้ยินมานานแล้วว่าซื่อจื่อสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เด็ก ข้าเองก็เช่นกัน เดิมจะมาล่าสัตว์เป็นเพื่อนเสด็จพ่อ น่าเสียดายแม้แต่โอกาสจะขึ้นม้าล่าสัตว์ด้วยตัวเองก็ยังไม่มี…”
ชิงโม่เหยียนก้มหน้า ฟังองค์รัชทายาท ‘โอดครวญ’ ไม่หยุด แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขากับองค์รัชทายาทไม่นับว่าสนิทกันมากนัก เหตุใดอีกฝ่ายจึงตั้งใจมาพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับเขากัน
“รัชทายาท ยามนี้ไม่นับว่าเช้าแล้ว กระหม่อมต้องเร่งเดินทาง ขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ชิงโม่เหยียนรีบคารวะ ไม่รอให้องค์รัชทายาทเอ่ยปากก็หมุนตัวไปรับสายบังเหียนม้าแล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้าทันที
เสวียนอวี้ขึ้นม้าแล้วก็ขี่ตามหลังชิงโม่เหยียน ทั้งสองควบม้าจากไปในที่สุด
องค์รัชทายาทยืนอยู่หน้าค่าย มองดูแผ่นหลังม้าศึกสองตัววิ่งจากไปไกล แววตาส่องประกาย
ในตอนนี้เองเตียวขาวตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากพงหญ้า ปีนขึ้นไปบนไหล่องค์รัชทายาทอย่างคล่องแคล่ว
“พบสัตว์วิเศษตัวนั้นหรือไม่” องค์รัชทายาทเอ่ยถาม
เตียวขาวร้องจี๊ดๆ สองทีด้วยท่าทางหดหู่
“น่าเสียดาย จับสัตว์วิเศษตัวนั้นไม่ได้” องค์รัชทายาทลอบถอนหายใจ เผยรอยยิ้มไร้พิษภัยนั้นออกมาอีกครั้งพลางเกาคอเตียวขาวตัวนั้นเล่นอย่างไม่ใส่ใจ “ช่างเถิด ไม่รีบ พวกเรายังมีเวลาอีกยาวนาน…”
หรูเสี่ยวนันติดตามชิงโม่เหยียน ใช้เวลารุดเดินทางเก้าวันจึงถึงเมืองหลวง
นับจากกลับเข้าเมือง นางรู้สึกว่าดวงตาของตัวเองไม่พอใช้แล้ว
สำหรับนางแล้ว ทุกที่มีแต่ความแปลกใหม่ ตั้งแต่โตมาจนป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเมืองในสมัยโบราณด้วยตาตัวเอง
ท้องถนนผู้คนคึกคัก เสียงตะโกนขายของของแผงลอยข้างทางดังต่อกันเป็นระลอก ในอากาศมีกลิ่นหอมของอาหารลอยมาอยู่เนืองๆ
กลิ่นหอมนั้นยั่วยวนจิตใจของนางอยู่ตลอด ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทุกมื้อนางจะได้กินเพียงหมั่นโถวที่แช่นมแพะจนนุ่มแล้วเท่านั้น อดอยากปากแห้งมานานแล้ว
นางเอาลิ้นเลียปาก มองไปทางชิงโม่เหยียนตาปริบๆ
คนผู้นี้เป็นเจ้านายที่มีเงิน นางรู้ว่าขอเพียงให้เขาเอ่ยปากนางจึงจะมีโอกาสอิ่มท้องได้
ชิงโม่เหยียนรับรู้ถึงแววตาอันร้อนแรงของเจ้าตัวเล็กในอ้อมอก จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “มองอะไร ฟันน้ำนมของเจ้ายังไม่หลุดเลย เนื้อชิ้นเดียวก็ยังเคี้ยวไม่ไหว ยังอยากกินอย่างอื่นอีกหรือ”
มาพูดกระทบจิตใจคนแบบนี้ได้อย่างไรกันนะ ชิ!
หรูเสี่ยวนันขบกรามอย่างแรง แล้วหันหน้ากลับไม่มองเขาอีก
“โกรธหรือ” อยู่ด้วยกันมาหลายวันนี้ ชิงโม่เหยียนยิ่งพบว่าชะมดเช็ดตัวนี้น่าสนใจมาก
มันไม่เพียงฟังคำพูดของเขาเข้าใจ ยังมีอารมณ์ร่วมตามไปด้วย สิ่งที่กินเข้าปาก มันจะใส่ใจเป็นพิเศษ ทุกครั้งตอนเขากินอาหาร เขามักจะเห็นดวงตาของมันเปล่งประกาย ท่าทางคาดหวังอย่างมากว่าเขาจะแบ่งให้มันกินบ้างนั้นทำให้คนใจอ่อนได้
แต่น่าเสียดาย มันยังเป็นเพียงลูกสัตว์ แม้แต่เนื้อชิ้นเดียวก็ยังเคี้ยวไม่ได้
“เสวียนอวี้ ไปซื้อขนมปี้หลัวมาสองชั่ง” ชิงโม่เหยียนมองดูเจ้าตัวเล็กที่ไร้ความสดชื่นในอ้อมอกพลางเอ่ย
“ขอรับ” เสวียนอวี้กระโดดลงจากหลังม้าและเดินไปยังร้านขายขนมปี้หลัวริมทางในทันใด
ขนมปี้หลัว?
หูของหรูเสี่ยวนันยกสูงขึ้นในทันที
ไม่นานนัก เสวียนอวี้ก็กลับมา
หรูเสี่ยวนันมองชิงโม่เหยียนเปิดกระดาษเคลือบน้ำมันออก ข้างในปรากฏของที่มีลักษณะเหมือนเจียนปิ่งกั่วจื่อ* สองชิ้น
อะไรน่ะ คิดว่าจะเป็นของอร่อยเสียอีก ของแบบนี้…
ชิงโม่เหยียนหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมา กัดหนึ่งคำอย่างช้าๆ
ไข่ปูเข้มข้นไหลออกมา ส่วนขอบยังโรยเมล็ดหูเถาเคลือบเกล็ดน้ำตาลเอาไว้ด้วย
โอวๆๆ ทนไม่ไหวแล้ว
หรูเสี่ยวนันยืดตัวขึ้น สองกรงเล็บเล็กเกี่ยวเสื้อของชิงโม่เหยียนไว้แน่น
เจ้านายคนดี เจ้านายรูปงามของข้า ข้าอยากกินด้วย
เพื่อให้ได้กิน ต่อให้เสียหน้านางก็ยอม
อย่างไรเสียตอนนี้นางกลายเป็นสัตว์แล้ว แม้จะอยู่อย่างลำบากก็ดีกว่าต้องตาย หากหนีไปได้แล้วต้องประทังชีวิตด้วยหนูตาย สู้ประจบเอาใจซื่อจื่อของท่านโหวอะไรตรงหน้านี้ก่อนดีกว่า อย่างน้อยเขาก็ไม่ขังนางอยู่ในกรง
และคนผู้นี้ดูไปแล้วก็รูปงามอยู่ด้วย
ชิงโม่เหยียนกัดขนมปี้หลัวอีกหนึ่งคำพลางมองหรูเสี่ยวนันกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “อยากกินหรือ”
อยากกินๆ ข้าอยากกิน
นางพยักหน้าหงึกๆ
ชิงโม่เหยียนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของชะมดเช็ดแล้วก็ยิ่งนึกสนุก มันฟังคำพูดของเขาออกจริงๆ และดวงตาสีเขียวคู่นั้นก็เต็มไปด้วยความปรารถนาที่มีต่ออาหาร
ช่างเป็นเจ้าตัวเล็กที่พอใจอะไรได้ง่ายดีจริง ไม่เหมือนคนที่เขารู้จักเหล่านั้น…ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอีกอย่าง
“แต่เจ้าจะเคี้ยวได้หรือ” ชิงโม่เหยียนยื่นขนมปี้หลัวอีกชิ้นหนึ่งให้มันพร้อมเอ่ยถาม
หรูเสี่ยวนันใช้เท้าหน้ากอดห่อกระดาษเคลือบน้ำมันเอาไว้แน่น อ้าปากแล้วกัดลงไปทันที
จากนั้น…
ไม่มีหลังจากนั้นแล้ว
ฟันน้ำนมของนางฝังทะลุแป้งนุ่มชั้นนอกของขนมปี้หลัว แน่นคับปาก ติดอยู่อย่างนั้น
หรูเสี่ยวนันเงยหน้าขึ้นมองชิงโม่เหยียนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในใจนางไม่มีความรู้สึกใด ซ้ำยังอยากหัวเราะอีกด้วย
กำลังจะได้กินอาหารรสเลิศแต่กลับคาอยู่ในปากเสียได้ มันเกินทนแล้ว สวรรค์รีบให้ฟ้าผ่าลงมา ผ่าข้าให้ตายไปเลยเถอะ!
เปรี้ยง!
ยามนั้นเองท้องฟ้าก็พลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นจริงๆ ทำให้นางตกใจจนขนพองฟู
ข้าแค่พูดล้อเล่น ใครจะรู้ว่าตายจากโลกนี้ไปแล้วจะกลับไปยังโลกเดิมอีกได้หรือไม่ ข้าอายุยังน้อยหน้าตาก็งดงาม ไม่อยากไปเกิดใหม่เร็วแบบนี้
และในตอนนี้เองมือของชิงโม่เหยียนก็ยื่นเข้ามาดึงปากของนางออกจากขนมปี้หลัว
“ขนาดกินของแบบนี้ก็ยังไม่เป็น เจ้าควรจะคิดว่าโชคดีที่เจอข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงหิวตายไปแล้ว” ชิงโม่เหยียนกัดขนมปี้หลัวอีกคำ เขาไม่ได้กินมันลงไป แต่คายออกมาไว้บนมือ “เอ้า กินเสีย”
หรูเสี่ยวนันตะลึงไป
วาจาอวดดีนี้คืออะไร ให้นางกินของที่คายออกมาจากปากของเขาหรือ…บนนั้นเปื้อนน้ำลายของเขานะ…
ศักดิ์ศรีของนางไม่ยอมให้เขาทำลายเด็ดขาด!
นางคิดจะเบือนหน้าหนี แต่สัญชาตญาณสัตว์กลับทรยศนาง ปากนั่นยื่นไปแล้ว…
หอมจริง!
นางน้ำตาไหล แต่ปากก็เคี้ยวไม่หยุด
หรูเสี่ยวนันติดตามชิงโม่เหยียนเข้าไปในจวนแห่งหนึ่ง
ป้ายบนหน้าประตูจวนเขียนอักษรสีทองตัวใหญ่ว่า ‘จวนสกุลชิง’
“ซื่อจื่อกลับมาแล้ว!” พวกบ่าวในจวนพากันคารวะทักทาย
ชิงโม่เหยียนลงจากหลังม้า ก้าวยาวเข้าประตูจวนไป หรูเสี่ยวนันขดตัวอยู่ในเสื้อของเขา โผล่เพียงหัวที่มีขนฟูออกมาพลางมองไปรอบด้านอย่างตื่นตาตื่นใจ การติดตามเจ้านายที่มีเงินมีบารมีช่วยให้ได้มีหน้ามีตาจริงๆ
“ท่านโหวอยู่ในจวนพอดี ซื่อจื่อจะไปพบหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านถามหยั่งเชิงอย่างระวังตัว
ชิงโม่เหยียนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตะวันคล้อยไปทางตะวันตก หลังจากอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็เป็นเวลาที่พิษกู่ในตัวเขาจะกำเริบ ทุกครั้งที่พิษของเขากำเริบก็จะเก็บตัวเงียบ หรือไปในที่ที่ไม่มีใครอยู่ เขาไม่อยากให้ความอ่อนแอที่สุดของตนเองปรากฏต่อหน้าคนอื่น
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากันเถอะ” ชิงโม่เหยียนหมุนตัวเดินไปที่เรือนพักของตนเอง แล้วยกมือขึ้นลูบหัวเล็กๆ ของหรูเสี่ยวนัน ครั้งก่อนมันระงับพิษกู่ในร่างเขาได้สำเร็จ ไม่รู้ว่าครั้งนี้ยังจะได้ผลหรือไม่
ฉวยโอกาสตอนฟ้ายังสว่าง ชิงโม่เหยียนถอดเสื้อผ้า สั่งให้คนไปเตรียมน้ำให้อาบ
ใครจะรู้ว่าในช่วงที่เขาอาบน้ำ เจ้าตัวเล็กที่ไม่อยู่สุขก็แอบผลุบออกไปแล้ว
หลายวันมานี้หรูเสี่ยวนันอยู่ข้างกายชิงโม่เหยียนตลอด นอกจากเดินทางก็มีแต่เดินทางและเดินทาง นางรู้สึกเบื่อหน่ายแทบตาย ยามนี้ได้โอกาสจึงกระโดดออกไปทางหน้าต่างทันที
ข้างนอกเป็นสวนดอกไม้ เพราะตัวของนางเล็ก มุดเข้าไปในพุ่มดอกไม้ก็เหมือนเข้าไปอยู่ในป่า และไม่ช้าก็หลงทาง
นางเดินวกไปวนมา รู้สึกว่าห้องทุกห้องมีหน้าตาเหมือนกัน ทำอย่างไรก็หาห้องที่เพิ่งออกมาเมื่อครู่ไม่เจอ
ทันใดนั้นนางก็ได้กลิ่นเย็นชื่นใจกลิ่นหนึ่ง ก่อนที่ร่างของนางจะพุ่งไปตามกลิ่นนั้นอย่างควบคุมไม่อยู่ และกระโดดเข้าไปในพงหญ้าผืนหนึ่ง กลิ้งไปในพงหญ้าอย่างบ้าคลั่งพลางร้องจี๊ดๆ แล้วใช้เท้าหน้ากุมใบไม้เหล่านั้นเอาไว้ เอาหัวถูไถไม่หยุด…
แย่แล้ว! นี่ข้าเป็นอะไรไป!
หรูเสี่ยวนันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเมาสุรา ภาพตรงหน้าเริ่มโยกไปมา จากนั้นนางก็เห็นปู่ของนางมายืนอยู่ตรงหน้าอีกแล้ว
“นันนัน ของล้ำค่าของปู่เหล่านั้นมอบให้หนูทั้งหมด อย่าให้อาสามของหนูรู้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเจ้าขี้แพ้นั่นต้องเอาของทั้งหมดไปขายแน่นอน!”
หรูเสี่ยวนันเบ้ปาก นางอยากจะบอกชายชราตรงหน้าว่า…‘สายไปแล้ว หนูกลายเป็นสัตว์ กลับไปไม่ได้แล้ว รักษาของล้ำค่าเหล่านั้นให้ไม่ได้แล้ว’
นางเงยหน้าร้องจี๊ดๆ ขึ้นฟ้า และพลันถูกสาวใช้สองคนที่เดินผ่านมาเห็นเข้า
“สวรรค์!”
“กัญชาแมวที่แม่นางเหลียนปลูกเสียหายหมดแล้ว!”
สาวใช้สองคนตะโกนตกใจพลางพุ่งเข้ามาจับชะมดเช็ดสีดำที่บุกเข้ามาในสวนและกำลังมึนเมากับฤทธิ์กัญชาแมว
“นี่คือแมวป่าที่ซื่อจื่อเอากลับมาด้วยไม่ใช่หรือ” สาวใช้หนึ่งในนั้นจำได้จึงเอ่ยทักขึ้น
“น่าเกลียดจริง รูปร่างก็ผอมอย่างนี้”
เพราะบาดแผลที่หลังคอหลายวันมานี้หรูเสี่ยวนันจึงไม่ได้อาบน้ำ เมื่อครู่ยังมุดไปมาในสวนอีก บนตัวจึงเต็มไปด้วยโคลนและเศษหญ้า ดูไปแล้วไม่น่าดูเท่าใดนักจริงๆ
หลังหูถูกคนบีบไว้ หรูเสี่ยวนันจึงพยายามสะบัดหัว พยายามจะสลัดตัวให้หลุดจากมือคนผู้นั้น
แต่นางยังคงอยู่ในภาพฝันของกลิ่นกัญชาแมว เหมือนเป็นคนเมาสุรา ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย
“เดรัจฉานน้อยตัวนี้มาจากที่ใดกัน”
ในตอนนี้เองมีหญิงสาวสวมชุดงดงามคนหนึ่งเดินมาตามทางเล็กกลางสวน พอนางเห็นพุ่มดอกไม้ที่ถูกหรูเสี่ยวนันทำเสียหายก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “นี่ผู้ใดเป็นคนทำ”
“แม่นางเหลียน แมวป่าตัวนี้ทำเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้าเฝ้าสวนอย่างไรกัน ปล่อยให้สัตว์ป่าเช่นนี้เข้ามาได้ นานๆ ทีซื่อจื่อจะกลับมาที่จวนสักครั้ง สวนเละเช่นนี้ ถ้าทำให้เขาโกรธ ดูซิว่าพวกเจ้าคนใดจะรับโทษนี้ไหว!” แม่นางเหลียนชี้หน้าทุกคนอย่างโมโห
พวกสาวใช้พากันก้มหน้าลง
หรูเสี่ยวนันเบิกดวงตาที่พร่าเลือนมองดูหญิงที่ชี้มือวาดเท้าผู้นั้น
ขณะที่แม่นางเหลียนกำลังด่าอย่างออกรส จู่ๆ ก็รู้สึกว่า ‘แมวป่า’ ตัวนั้นใช้ดวงตาเขียวใสจ้องมองนาง แววตาทอประกาย ไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าเดรัจฉานน้อยตัวนี้ใจกล้าไม่เบา ก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ยังคิดว่าจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ” แม่นางเหลียนพูดอย่างรังเกียจ “ไปจูงหมาเฝ้าจวนมา เอาแมวป่าตัวนี้ให้หมากินไป!”
หรูเสี่ยวนันได้ยินเสียงเห่าโฮ่งๆ ดังลอยมา นางสะบัดๆ หัวสองครา ตรงหน้าก็พลันมีอะไรบางอย่างส่งเสียงร้องใกล้นางเข้ามาทุกทีแล้ว
“ส่งเสียงทำไม เดี๋ยวก็เชือดทิ้งเสียหรอก!” นี่กระมังที่คนพูดกันว่าดื่มสุราแล้วจะใจกล้า เพราะกัญชาแมวแท้ๆ ทำให้สภาพหรูเสี่ยวนันในตอนนี้เหมือนกับคนที่เมาสุรา
พวกสาวใช้ยืนอยู่ตรงนั้น มองดู ‘แมวป่า’ ทั้งดำและผอมตัวนั้นร้องจี๊ดๆ ใส่หมาเฝ้าจวนในสวนของพวกนางอย่างตกใจ หมาตัวนั้นตอนแรกยังดูน่าเกรงขามมาก แต่พอเห่าไปเห่ามาหางมันก็ตกเสียแล้ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เหล่าสาวใช้มองหน้ากันไปมา
แม่นางเหลียนดุหมาด้วยความโมโห “เจ้าสัตว์ไร้ประโยชน์ ปกติเลี้ยงเจ้าให้กินดีดื่มดี แมวป่าแค่นี้เจ้ายังสู้ไม่ได้เลย!” นางพูดพลางสั่งสาวใช้ข้างๆ ว่า “เอาไม้มา ตีแมวตัวนี้ให้ตายแล้วฝังทำปุ๋ยในสวนนี้”
หรูเสี่ยวนันกำลัง ‘สื่อสาร’ กับหมาตัวนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลายเป็นสัตว์ใช่หรือไม่ ตอนนี้นางจึงสามารถฟังภาษาสัตว์อื่นได้เข้าใจ
นางข่มขู่หมาตัวนั้นว่า “ข้ามีคนหนุนหลังนะ กล้ามายั่วโมโหข้า…ซื่อจื่อจะตัดหัวหมาของเจ้าทิ้งแน่!”
หมาตัวนั้นเหมือนจะรู้ว่าใครจึงเป็นเจ้านายที่แท้จริงของสวนนี้ จึงเพียงแค่เห่าโฮ่งๆ แต่ไม่ได้เข้าไปกัดแต่อย่างใด
ยามนี้มีคนหาไม้มาได้แล้ว แม่นางเหลียนเตรียมจะสั่งให้คนฆ่าแมวป่าตัวนั้นทันที
ทว่าในตอนนี้เองก็มีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งรีบร้อนมาตามทางเล็กกลางสวนพลางร้องบอกเสียงดังว่า “แม่นางเหลียนเจ้าคะ ซื่อจื่อ ซื่อจื่อมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“หา?!” แม่นางเหลียนทั้งตกใจและดีใจ “จริงหรือ”
“จริงๆ เจ้าค่ะ ซื่อจื่อเพิ่งจะเข้ามาในสวน”
แม่นางเหลียนรีบยื่นมือไปลูบปอยผมของตนเอง แล้วจัดชายเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อย
ตอนนี้ท้องฟ้าทางตะวันตกเต็มไปด้วยแสงในยามพลบค่ำที่งดงาม ทางเดินเล็กกลางสวนถูกแสงสีแดงสาดส่องไปหนึ่งแถบ ชิงโม่เหยียนพาเสวียนอวี้ก้าวเข้ามาที่ทางเล็กกลางสวน
“ซื่อจื่อ”
“คารวะซื่อจื่อ”
ทุกคนพากันคารวะทักทายทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้ามา
ชิงโม่เหยียนสยายผมเปียกชื้น สวมเสื้อคลุมยาวสีดำ เนื้อผ้าตาข่ายบางเบาต้องแสงยามเย็นส่องประกายสีทองระยิบระยับ
แม่นางเหลียนเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่งก็หน้าแดงระเรื่อ รีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว แล้วย่อตัวคารวะพลางเอ่ย “ซื่อจื่อจะมาเหตุใดไม่ส่งคนมาแจ้งก่อนล่ะเจ้าคะ บ่าวจะได้ให้คนจัดเตรียมอะไรสักหน่อย”
ชิงโม่เหยียนไม่ได้มองแม่นางเหลียนเลยแม้แต่น้อย เขาเดินผ่านข้างตัวนางไปทันที
แม่นางเหลียนได้ยินเสียงลมหายใจของเขารัวเร็วก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ชิงโม่เหยียนอายุเกินยี่สิบแล้ว ทำการใดมีความสุขุมมาตลอด มาปรากฏต่อหน้าคนอื่นด้วยท่าทางรีบร้อนเช่นนี้ถือเป็นครั้งแรกจริงๆ
“เจ้าตัวเล็ก มานี่”
แม่นางเหลียนได้ยินเสียงเรียกของชิงโม่เหยียน
“จี๊ดๆ” แมวป่าตัวนั้นเดินโงนเงนเข้ามา
ท่ามกลางสายตาตกใจของทุกคน ชิงโม่เหยียนโน้มตัวลงอุ้มแมวป่าตัวน้อยที่ทั้งดำทั้งผอมตัวนั้นเข้ามาในอ้อมกอด
สาวใช้หลายคนที่ยืนอยู่ข้างกายแม่นางเหลียนลอบขยับถอยไปข้างหลัง เว้นระยะห่างกับแม่นางเหลียน
แม่นางเหลียนเบิกตาโตอ้าปากค้างอย่างตกใจ “ซื่อ…ซื่อจื่อ เจ้าเดรัจฉานตัวนี้สกปรกมาก เสื้อของท่าน…”
ชั่วขณะที่ชิงโม่เหยียนอุ้มชะมดเช็ดเข้ามาในอ้อมกอด ดวงตะวันค่อยๆ สิ้นแสง ความมืดเข้าครอบงำบริเวณนี้อย่างช้าๆ
หรูเสี่ยวนันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าทรวงอกของชิงโม่เหยียนกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเร็วแรงมากกว่าทุกครา
บนตัวเขายังมีกลิ่นสบู่ที่หอมมากผสมอยู่ด้วย
เอ่อ…เกิดอะไรขึ้น เหตุใดสีหน้าของท่านจึงแย่แบบนี้
อาการเมากัญชาแมวผ่านไปแล้ว นางจึงมีสติคืนมาไม่น้อย ไม่ว่าจะมองอย่างไร สีหน้าของชิงโม่เหยียนในยามนี้ก็เหมือนก้นหม้อดำมากจริงๆ
“เดรัจฉาน?” ชิงโม่เหยียนหันมองไปรอบๆ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าหมายถึงใคร”
แม่นางเหลียนกำลังคิดจะเอ่ยปากพูด ก็เห็นสาวใช้ที่หลบมุมอยู่หลายคนนั้นขยิบตาให้นาง
“เสวียนอวี้” ชิงโม่เหยียนสั่งการองครักษ์ที่เดินตามด้านข้างทันที “ไปตามพ่อบ้านในจวนมา ปิดสวนนี้เสีย บ่าวทุกคนขายออกไปให้หมด สำหรับหมาตัวนั้น…ฆ่าทิ้งไปเลย”
“ขอรับ” เสวียนอวี้รับคำ
พวกแม่นางเหลียนตกใจจนหน้าถอดสี แม้แต่หมาเฝ้าจวนตัวนั้นยังร้องคร่ำครวญ
“ซื่อจื่อ! ซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วย!”
“อาวู้!”
“ซื่อจื่อ! บ่าวมีความผิด ขอซื่อจื่อเมตตาด้วย”
“อาวู้!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 มิ.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.