บทที่ 5
ชิงโม่เหยียนก้มหน้ามองหรูเสี่ยวนันที่ยืนอยู่บนโต๊ะ ดวงตาที่ตาดำขาวแยกชัดเจนดูราวกับแผ่นน้ำบนทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
“ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ ข้าขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะ มานี่” เขาสั่ง
หรูเสี่ยวนันจำต้องปล่อยหุ่นไม้ที่อยู่ใต้เท้า
หุ่นไม้คอเอียงไปอีกข้าง ใบหน้าหยกแกะสลักสีหน้าแข็งกระด้าง
“เจ้าเอาหุ่นไม้ตัวนี้มาที่นี่หรือ” ชิงโม่เหยียนเอ่ยถาม
“จี๊ดๆ!” หรูเสี่ยวนันรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างไร้สาเหตุ
นางไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งเสียใจที่เมื่อครู่มาที่นี่ตามลำพัง ตอนนี้แม้นางจะมีปากก็อธิบายอะไรได้ไม่ชัดเจน เพราะคงไม่มีใครเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดที่นี่เจ้าหุ่นไม้ตัวนั้นเป็นคนทำ
“รองตุลาการ เอกสารถูกทำลายเช่นนี้ ท่านตุลาการใหญ่กลับมาพวกเราคงไม่อาจชี้แจงได้ขอรับ” เจ้าหน้าที่เฝ้ายามพูดอย่างร้อนใจ
ชิงโม่เหยียนไม่สนใจพวกเขา เพียงเหลือบมองเอกสารที่หล่นกระจายเต็มพื้นอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง
“นี่เจ้าเป็นคนทำหรือ” เขามองไปทางหรูเสี่ยวนัน
หรูเสี่ยวนันส่ายหน้าอย่างแรง
“ในเมื่อมันบอกว่าไม่ใช่มัน เช่นนั้นก็ไม่ใช่มันเป็นคนทำ” ชิงโม่เหยียนเข้าไปอุ้มนางขึ้นมา
“รองตุลาการ…นี่…” เจ้าหน้าที่เฝ้ายามมีสีหน้าลำบากใจ
ห้องหนังสือของตุลาการใหญ่ถูกทำให้เป็นเช่นนี้ พวกเขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ แต่ผู้ที่พวกเขาจะแจ้งว่าเป็นผู้กระทำผิดได้กลับถูกชิงโม่เหยียนพาไปแล้ว
หรูเสี่ยวนันวางสองเท้าหน้าไปบนไหล่ของชิงโม่เหยียน มองสำรวจสีหน้าของชิงโม่เหยียนอย่างไม่อยากเชื่อ
เขาเชื่อใจนางขนาดนี้เลยหรือ ในห้องหนังสือเละเทะอย่างนั้น ทั้งยังมีนางเป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียว เป็นใครก็คงไม่เชื่อว่าทุกอย่างไม่เกี่ยวกับนาง
“จี๊ดๆ…” เจ้านายผู้เมตตาในตำนานยังมีอยู่จริง นางเอาหัวถูไถปลายคางของเขา
กิริยาต่างๆ ของนางอยู่ในสายตาของชิงโม่เหยียนทั้งหมด เจ้าตัวเล็กรู้สึกตื้นตันเพราะความเชื่อใจของเขา
ดีมาก
เวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันแม้จะสั้น แต่เขาเชื่อว่าชะมดเช็ดที่เต็มไปด้วยความฉลาดนี้ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ออกมาอย่างไร้สาเหตุแน่นอน
หลังจากกลับถึงห้องหนังสือของเขา เขาก็ส่งคนไปตามเสมียนศาลแห่งศาลต้าหลี่ทังเซียนเซิงมา สั่งให้เขาไปตรวจสอบสภาพเอกสารที่เสียหายในห้องหนังสือของตุลาการใหญ่
ทังเซียนเซิงหาวพลางรีบรุดมา จนกระทั่งฟ้าสางจึงตรวจสอบเอกสารทั้งหมดในห้องหนังสือของตุลาการใหญ่เสร็จหนึ่งรอบ
“เอกสารยังอยู่ครบ มีหนังสือสี่เล่มที่ถูกทำลายเสียหาย แต่ไม่เป็นปัญหาใหญ่นัก เพราะมีเจ้าหน้าที่จดบันทึกกู้เซียนเซิงอยู่ เขาเลียนแบบลายมือของคนอื่นเก่งที่สุด คัดลอกอีกฉบับหนึ่งก็ได้แล้ว” ทังเซียนเซิงกล่าวรายงาน
ชิงโม่เหยียนสายตาจับจ้องไปบนโต๊ะ หุ่นไม้ตัวนั้นยังนอนอยู่ตรงนั้น
“ทังเซียนเซิง ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนหุ่นไม้ตัวนี้ถูกวางไว้ในคลังเก็บของชั่วคราว”
“ขอรับ…” ทังเซียนเซิงตกใจ หุ่นไม้ตัวนี้ถูกเก็บไว้ในคลังเก็บของเพื่อเป็นหลักฐานในการตามหาจี๋ฟู่ที่หายตัวไป ตอนนั้นเขาและเสวียนอวี้เป็นคนนำมันมาเก็บไว้เอง
“แล้วมันวิ่งไปอยู่ในห้องหนังสือของตุลาการใหญ่ได้อย่างไร” ชิงโม่เหยียนขมวดคิ้วเอ่ย
ทังเซียนเซิงไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เพราะเขาเองก็ยังงุนงงอยู่เหมือนกัน “ทางคลังเก็บของได้ตรวจสอบแล้ว เมื่อคืนไม่มีใครลอบเข้าไป กุญแจก็ยังอยู่…แต่เจ้าหน้าที่เฝ้ายามบอกว่าพวกเขาเห็นชะมดเช็ดของใต้เท้าตัวนั้นไปอยู่ในห้องหนังสือ…”
ชิงโม่เหยียนหัวเราะเย็นชา “ท่านคิดว่ามันเอาหุ่นไม้ออกมาหรือ”
ชะมดเช็ดตัวหนึ่งมีความสามารถเท่าใดจึงขโมยของออกมาจากในคลังเก็บของของศาลต้าหลี่ได้เล่า
ทังเซียนเซิงจึงหมดคำพูดไปในทันที
แท้จริงแล้วคลังเก็บของของศาลต้าหลี่ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา หากไม่มีกุญแจ ไม่มีทางเข้าไปได้แน่นอน
“เมื่อคืนเจ้าหน้าที่เฝ้าคลังเก็บของก็อยู่ ไม่มีใครพบความผิดปกติอะไร” ทังเซียนเซิงพูดอย่างจนใจ “คง…ไม่ใช่ผีหรอกนะ”
ชิงโม่เหยียนกับทังเซียนเซิงพูดงานสำคัญเสร็จดวงตะวันข้างนอกก็ลอยขึ้นสูงมากแล้ว
หรูเสี่ยวนันหมอบอยู่บนขอบหน้าต่างกำลังหาวไม่หยุด
ชิงโม่เหยียนก็ทรมานไม่ได้นอนมาหนึ่งคืน แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเคยชินกับการใช้ชีวิตไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้แล้ว หลังจากส่งทังเซียนเซิงกลับแล้วก็จัดการกับเอกสารต่อ
หรูเสี่ยวนันอ้าปากหาวอีกครั้ง ดวงตาสีเขียวมีน้ำตารื้น นางง่วงนอนมาก แต่ท้องก็ร้องไม่หยุด จึงแอบมองหน้าชิงโม่เหยียน พบว่าเขาก้มหน้าทำงานที่โต๊ะอย่างตั้งใจ ดูเหมือนจะลืมนางไปเลย
จ๊อกๆ…
ยามนี้เองท้องของนางก็ร้องประท้วงอย่างไม่เกรงใจ หรูเสี่ยวนันเลียปาก ช่วยไม่ได้ หากเจ้านายไม่เตรียมอาหารให้ นางคงต้องคิดหาวิธีเอง
หรูเสี่ยวนันพลิกตัว กระโดดออกนอกหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว
เสวียนอวี้ที่ยืนอยู่ตรงประตูเห็นเงาดำวูบผ่าน ตอนที่เขาถือถาดอาหารเดินเข้ามา เงาดำนั้นก็วิ่งหายลับไปแล้ว
“ซื่อจื่อ กินอาหารเถอะขอรับ” เสวียนอวี้พูดกล่อม
ชิงโม่เหยียนวางพู่กันลง ทันใดนั้นก็เห็นบนขอบหน้าต่างตรงหน้าว่างเปล่าเสียแล้ว
“เจ้าตัวเล็กล่ะ”
เสวียนอวี้วางถาดลงพลางเอ่ยตอบ “วิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ขอรับ”
ชิงโม่เหยียนขมวดคิ้ว การกินสำหรับเจ้าตัวเล็กพูดได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง มันจะวิ่งออกไปโดยไม่สนใจกินอะไรได้อย่างไร
“ไปหาตัวมันกลับมา” ชิงโม่เหยียนพูด ไม่รู้เป็นอย่างไร พอไม่เห็นหน้าเจ้าตัวเล็ก เขาไม่อยากอาหารเลย
เสวียนอวี้ปากพูดรับคำ แต่ในใจบ่นว่า ซื่อจื่อสนใจเจ้าชะมดเช็ดตัวนี้มากเกินไปกระมัง
แม้ว่าเขาจะชอบมันเพราะมันสามารถระงับพิษกู่ในตัวซื่อจื่อได้ แต่เอามันไปทำเป็นถุงหอมเลยไม่สะดวกกว่าหรือ เอาแต่ให้จับตาดูมันทุกวันเช่นนี้ ทั้งยังต้องกังวลว่ามันจะหนีไปอีก…
ด้วยเขาคิดเช่นนี้ ฝีเท้าที่เดินออกไปจึงช้าไปครึ่งจังหวะ
ชิงโม่เหยียนสีหน้าเคร่งเครียดในทันที
เสวียนอวี้จึงรีบเร่งฝีเท้า วิ่งเร็วออกจากประตูไป
หรูเสี่ยวนันวิ่งออกไปในสวนนอกห้องหนังสือนานแล้ว หลังเดินวนอยู่หลายรอบ ดมกลิ่นในอากาศอยู่บ่อยครั้ง ก็พบว่ามีกลิ่นหอมจางๆ ของอาหารลอยมากับสายลม
ดวงตามันเปล่งประกายในทันที ก่อนจะเดินไปตามกลิ่นหอมนั่น กระโดดข้ามกำแพงหลายกำแพงและมาถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง
ยามที่มันยืนอยู่บนกำแพง มันเห็นคนงานผู้หนึ่งของศาลต้าหลี่ถือถังไม้ใส่ข้าวเข้าไปในห้องที่อยู่ตรงหน้า
หรูเสี่ยวนันมองไปซ้ายขวาอย่างละเอียด รู้สึกว่าที่นี่เหมือนจะเป็นคลังเก็บของแห่งหนึ่ง
จากนั้นกระโดดลงจากกำแพงและเดินไปตามมุมกำแพง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากข้างในประตู
“เอ๋? เหตุใดเจ้าเอาหุ่นไม้ตัวนี้ออกมาจากคลังเก็บของล่ะ นี่เป็นของที่รองตุลาการเพิ่งส่งมาเช้านี้…”
หรูเสี่ยวนันชะงักไป เหมือนถูกสะกดอยู่กับที่
เพราะขนของนางเป็นสีดำ ดังนั้นหลบอยู่ที่มุมกำแพงจึงไม่สะดุดตาอะไร
ชายในชุดคนงานผู้หนึ่งเดินออกนอกประตูมา เขาเดินขาแข็งเกร็งอย่างเห็นได้ชัด มือยังถือหุ่นไม้ที่มีไอเย็นเยือกซึ่งนางเกลียดชังที่สุดตัวนั้นไว้ด้วย
“นั่นเจ้าจะไปที่ใด” มีคนงานไล่ตามออกมาจากด้านใน
ชายหนุ่มที่ถือหุ่นไม้กลับเหมือนไม่ได้ยิน เดินต่อไปข้างหน้าราวกับกำลังอยู่ในห้วงฝัน
หรูเสี่ยวนันหูตั้งอย่างระวังตัว ร่างแข็งเกร็งพร้อมกับกางกรงเล็บออก
หรูเสี่ยวนันยังจำสิ่งที่ปู่เคยบอกได้ เบื้องหลังไอเย็นแบบนี้มักจะเปื้อนไปด้วยเลือด เป็นของชั่วร้ายอย่างหนึ่ง
ตอนปู่ยังอยู่ หรูเสี่ยวนันไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ตอนนี้คิดแล้วก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
หรูเสี่ยวนันตามชายหนุ่มที่ถือหุ่นไม้ออกจากลานคลังเก็บของ พอไปถึงข้างนอกกลับไม่พบร่องรอยของคนผู้นั้นแล้ว
ไม่ใช่กระมัง ระยะทางใกล้แบบนี้จะตามไม่ทันหรือ
ช่วงเวลาที่นางยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นก็พลันมีเงาสีดำทาบลงบนตัวนาง
พอเงยหน้าขึ้นนางก็ต้องตกใจที่เห็นร่างของชายผู้นั้นโน้มลงมาแล้วกดนางลงบนพื้น
“จี๊ดๆ!” หรูเสี่ยวนันพยายามดิ้น แต่แรงอันน้อยนิดของนางมีไม่พอ ผลักตัวชายที่กดนางไว้ออกจากตัวไม่ได้
นางตวัดสองเท้าหน้าครูดกับพื้นสุดแรง เกิดเป็นรอยยาวสองรอยบนพื้น
ชายผู้นั้นดูเหมือนจะไร้สติ ล้มลงบนพื้น ร่างนั้นหนักราวกับภูเขา
ในตอนที่หรูเสี่ยวนันพยายามให้หลุดจากชายผู้นั้น นางก็ได้ยินเสียงดังแกร๊กๆ
หุ่นไม้ตัวนั้นเดินมาทางนางด้วยตัวเอง ใบหน้าหยกแกะสลักนั้นเปล่งแสงสีเขียวซีดใต้แสงอาทิตย์ หางตายกโค้งเหมือนจะมีรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตร
หรูเสี่ยวนันรู้สึกตกใจอย่างมาก
นี่…จบแล้ว!
ปากของหุ่นไม้เปิดออกทันใด มีแสงขาวลำหนึ่งส่องออกมา และส่องไปที่หัวของหรูเสี่ยวนัน
หรูเสี่ยวนันถูกแสงขาวส่องใส่ รู้สึกเพียงว่าไอเย็นเยือกกลุ่มหนึ่งเข้าสู่ร่าง แขนขาไม่อาจควบคุมได้ เหมือนมีพลังที่มองไม่เห็นกำลังควบคุมร่างของนางอยู่…
แย่แล้ว!
หรูเสี่ยวนันแอบร้องแย่ในใจ นางสะบัดหัวเล็ก พยายามควบคุมสติ
อยากจะควบคุมร่างของข้าหรือ ฝันไปเถอะ!
ของชั่วร้ายระดับต่ำแบบนั้นอยากจะยึดร่างของนาง ควบคุมนางให้ทำงานแทนหรือ ดูถูกนางเกินไปแล้ว สิ่งที่จอมเวทเฒ่าสอนนางจะต้องไม่เสียเปล่า
หรูเสี่ยวนันกลิ้งไปมาบนพื้น ต่อต้านไอเย็นเยือกในร่าง แต่นางมองข้ามเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือตอนนี้ร่างของนางไม่ใช่คนอีกแล้ว นางเป็นเพียงลูกชะมดเช็ดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง และยังไร้กำลังอีกด้วย
“จี๊ดๆ!” นางส่งเสียงร้องไม่หยุด ร่างขดเป็นก้อนกลม
หนาวเหลือเกิน!
ร่างเล็กของนางมีไอร้อนเหลืออยู่ไม่เท่าใด ไอเย็นเยือกนั้นรุนแรงเกินไป นางไม่อาจไล่มันออกไปได้ แต่ก็ไม่อยากถูกมันควบคุม
เหมือนกับมีแรงสองด้านดึงกันอยู่ พวกมันฉุดกระชากกัน ราวกับนางติดค้างอยู่ระหว่างแรงทั้งสองนั้น
ในตอนนี้เองนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวุ่นวายดังมาข้างกาย
“เจอแล้ว! หาเจอแล้ว!”
เกิดอะไรขึ้น หรูเสี่ยวนันพยายามลืมตาขึ้น รอบข้างมีคนมารวมตัวกันไม่น้อย ล้วนกำลังมองนางอยู่
เงาร่างของพวกเขาก็เหมือนกำแพง บังแสงอาทิตย์เอาไว้ ทำให้หนาวยิ่งขึ้น
“จี๊ดๆ” พวกเจ้าช่วยทำความดีด้วยการขยับห่างออกไปสักนิดเถอะ
แต่คำพูดของนางไม่มีใครฟังเข้าใจได้
ทันใดนั้นไอเย็นในร่างมารวมอยู่ที่จุดหนึ่ง พุ่งทะลวงไปที่จุดตันเถียน* ของหรูเสี่ยวนัน
หรูเสี่ยวนันขยับตัวอยู่หลายที นางยังจำสิ่งที่ปู่สอนได้ พยายามตั้งจิตให้มั่น แต่ความร้อนในร่างนางกลับถูกตัดทอนไปจนเกือบหมด แม้ว่านางยังมีสติอยู่ แต่แขนขาของนางแข็งเกร็งเหมือนคนใกล้ตาย
นางได้ยินคนพูดอย่างร้อนใจว่า “รองตุลาการ! ชะมดเช็ดตัวนี้เห็นทีว่าจะไม่ไหวแล้ว”
ใครบอกล่ะ ข้าเพียงต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเท่านั้น
ดวงตาสีเขียวกลอกกลิ้ง แต่นางกลับส่งเสียงอะไรไม่ออกเลย
กลุ่มคนกระจายตัวออกเปิดทางให้คนด้านหลัง นางมองเห็นใบหน้าของชิงโม่เหยียน เขาโน้มตัวลงมาและค่อยๆ อุ้มนางขึ้น
ร่างสัมผัสกันทำให้นางรับรู้ถึงความอบอุ่นจากตัวเขา ไอเย็นเยือกนั้นค่อยๆ ถอยเข้าไปอยู่ในร่างนางราวกับหวาดกลัวรังสีความอบอุ่นนั้น…
“จี๊ด…จี๊ด…” เจ็บเหลือเกิน
เสียงของนางแม้จะเบาหวิว แต่ชิงโม่เหยียนได้ยินแล้ว เขารีบสั่งการทันที “รีบไปตามฉางเฮิ่นมา”
ตอนที่เขาก้มหน้าลงมองก้อนขนเล็กนั้นอีกครั้งก็พบว่ามันหลับตาลงแล้ว
หากไม่ใช่เพราะปลายจมูกของมันยังมีลมหายใจอุ่นอยู่ เขาคงคิดว่ามันขาดใจไปแล้ว
ชิงโม่เหยียนอุ้มหรูเสี่ยวนันกลับห้องหนังสือไป ตลอดทางเขาเดินอย่างร้อนใจมากจนชายเสื้อปลิวสะบัด ความสุขุมเป็นปกติล้วนหายไปหมดสิ้น
คนจำนวนไม่น้อยที่พบเขาระหว่างทางเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้วก็รู้สึกตกใจมาก
“ฉางเฮิ่นล่ะ ยังไม่มาอีกหรือ” เขาเอ่ยถามเสวียนอวี้อย่างร้อนรน
“ส่งคนไปเชิญแล้วขอรับ” เสวียนอวี้กล่าวตอบ เขาเองก็เพิ่งเห็นซื่อจื่อร้อนใจเช่นนี้เป็นครั้งแรก แม้ท่านหมอประจำศาลต้าหลี่จะรีบรุดมาด้วยความเร็วสูงสุด อย่างไรก็ย่อมต้องใช้เวลา
ชิงโม่เหยียนเอามือลูบหัวชะมดเช็ดน้อยเบาๆ หากเป็นเวลาปกติเขาทำเช่นนี้ เจ้าตัวเล็กจะหรี่ตาลงอย่างสบายตัว ท่าทางมีความสุขมาก แต่ตอนนี้มันนอนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ มิหนำซ้ำยังตัวเย็นเฉียบ
เมื่อครู่ที่ห้องหนังสือเขาแค่ไม่ทันระวังมันก็วิ่งออกไปเสียแล้ว รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นตัวชอบก่อเรื่อง คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะกลายเป็นเช่นนี้
เหมือนคนใกล้ตาย…
ในใจเขาเกิดความเศร้าอย่างไร้สาเหตุ และแฝงความหวาดกลัวเอาไว้ด้วย
หากเจ้าตัวเล็กนี้ตายไปเช่นนี้จริง…
ความคิดนี้เพิ่งแวบผ่านสมองก็ถูกเขาไล่ออกไปในทันที
ตอนฉางเฮิ่นท่านหมอแห่งศาลต้าหลี่เดินเข้าประตูมา รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศเคร่งเครียดยิ่ง
ในอ้อมอกชิงโม่เหยียนอุ้มชะมดเช็ดน้อยสีดำเอาไว้ นั่งหน้าเย็นชาราวน้ำแข็งอยู่เงียบงัน
เสวียนอวี้รีบเดินเข้าไปรับหน้าพลางเอ่ยอธิบายสั้นๆ ว่า “ท่านหมอฉาง รบกวนท่านดูสักหน่อย ชะมดเช็ดตัวนั้นดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว…”
ฉางเฮิ่นพูดอย่างตกใจว่า “ข้าไม่ใช่หมอรักษาสัตว์”
“พวกเราเองก็จนปัญญา ทำได้เพียงเชิญท่านมา” เสวียนอวี้สีหน้าลำบากใจอย่างมาก
ฉางเฮิ่นทำได้เพียงเดินเข้าไป ยื่นมือไปลูบเจ้าก้อนขนสีดำในอ้อมอกชิงโม่เหยียน
ชั่วขณะที่มือสัมผัสลงไป ฉางเฮิ่นก็ตกตะลึง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ชิงโม่เหยียนมองออกถึงสีหน้าผิดปกติของฉางเฮิ่น
“อุณหภูมิร่างกายต่ำเกินไปแล้ว” ฉางเฮิ่นส่ายหน้า รีบตรวจอาการอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่พบว่าบนตัวหรูเสี่ยวนันมีบาดแผลภายนอกอะไร
“บาดเจ็บที่อวัยวะภายในหรือไม่” ชิงโม่เหยียนเอ่ยถาม น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่น
“มันกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” ฉางเฮิ่นถาม
ชิงโม่เหยียนมองไปทางเสวียนอวี้ เสวียนอวี้จึงรีบเล่าเรื่องที่เกิดที่คลังเก็บของให้ฟังหนึ่งรอบ
“หุ่นไม้หรือ” ฉางเฮิ่นตกใจ
“ขอรับ…ดูเหมือนมีคนควบคุมคนงานในศาลต้าหลี่เอาหุ่นไม้ออกมาจากในคลังเก็บของ ของสิ่งนี้ดูชั่วร้าย ซื่อจื่อจึงสั่งคนให้เอาหุ่นไม้ตัวนั้นไปเผาแล้ว”
“ได้ยินว่าจี๋ฟู่หายตัวไป นี่เป็นเบาะแสเดียวที่เขาทิ้งไว้ใช่หรือไม่” ฉางเฮิ่นแม้จะเป็นท่านหมอ แต่เรื่องภายในศาลต้าหลี่ก็พอได้ยินมาบ้าง
“เรื่องเหล่านั้นไว้ค่อยปรึกษากัน” ชิงโม่เหยียนตัดบทฉางเฮิ่น “เจ้ารักษาเจ้าตัวเล็กนี่ให้หายก่อน”
ฉางเฮิ่นขมวดคิ้วลำบากใจ “ทั้งไม่ใช่บาดเจ็บภายนอก และไม่บาดเจ็บภายใน แต่อุณหภูมิร่างกายของมันต่ำมากอย่างไร้สาเหตุ ถ้าไม่อาจรักษาอุณหภูมิในร่างกายได้ มันก็จะหนาวตาย”
“มียารักษาได้หรือไม่”
ฉางเฮิ่นส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่หมอรักษาสัตว์ ตรวจอะไรไม่ออกจริงๆ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องแจ้งรองตุลาการให้รู้ก่อน ถ้าจะเอามันมาทำถุงหอมที่ระงับพิษกู่ต้องรีบทำตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่ ถ้ามันตายแล้ว กลิ่นชะมดเช็ดบนตัวมันก็จะเปลี่ยนไป ประสิทธิภาพจะต่างกันมาก”
ชิงโม่เหยียนเลื่อนสายตาไปที่เจ้าก้อนขนในอ้อมอก
“รู้แล้ว” เขาพูดเสียงเย็นชา แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความลังเลใด
ฉางเฮิ่นเห็นภาพนั้นก็หันไปมองตาเสวียนอวี้อย่างจนใจแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวลาแล้วถอยออกจากห้องไป
เสวียนอวี้หน้าอมทุกข์ยืนอยู่ตรงนั้น ในใจร้อนใจยิ่งกว่าใครอื่น “ซื่อจื่อ คำพูดของท่านหมอฉาง…”
“หุบปาก” ชิงโม่เหยียนดวงตาแฝงไอสังหาร
เสวียนอวี้ไม่กล้าพูดอะไรอีก ทำได้เพียงก้มหน้าลง
“ออกไปให้หมด” ชิงโม่เหยียนอุ้มชะมดเช็ดขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
ในเมื่อฉางเฮิ่นบอกว่าสภาพมันในตอนนี้ไม่ใช่เพราะได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นก็เกิดจากสาเหตุอื่น สิ่งที่เขาสามารถทำได้มีเพียงทำให้มันรู้สึกสบายขึ้นบ้าง
นิ้วมือวาดผ่านขนของมัน ยังคงนุ่มลื่นแต่ทุกจุดที่สัมผัสกลับเย็นเฉียบไปทั้งแถบ
ชิงโม่เหยียนยื่นมือไปปลดแถบรัดเอวชุดขุนนาง คลายคอเสื้อชุดคลุม แล้ววางเจ้าก้อนขนเข้าไปอย่างระมัดระวัง
พอได้รับความอบอุ่นแล้ว หรูเสี่ยวนันก็ส่งเสียงครางออกมาอย่างไม่รู้ตัว หัวขยับเข้าไปในอ้อมอกของเขา
ชิงโม่เหยียนนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ตลอดทั้งบ่ายเขาเอาแต่ให้ไออุ่นแก่เจ้าก้อนขนในอ้อมอก จนกระทั่งแสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
อุณหภูมิร่างกายของเจ้าก้อนขนค่อยๆ กลับมา แม้ว่ามันจะยังคงปิดตาอยู่ แต่ชิงโม่เหยียนสามารถรับรู้ได้ว่าลมหายใจของมันเริ่มผ่อนกลับมาเป็นปกติและดูมีเรี่ยวแรงขึ้น
“ซื่อจื่อ…” เสียงของเสวียนอวี้ดังขึ้นที่นอกประตู
“มีเรื่องอะไร”
“หุ่นไม้ตัวนั้น…ทำลายมันทิ้งตามคำสั่งของท่านแล้ว แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร”
“พวกเราคิดหาวิธีมากมาย แต่หุ่นไม้ตัวนั้นเผาอย่างไรก็ไม่ไหม้ขอรับ”
เผาไม่ไหม้หรือ!
ชิงโม่เหยียนเอาหรูเสี่ยวนันออกจากอ้อมอกมาวางไว้บนเตียง จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวมัน ลูบหัวมัน แล้วหมุนตัวตามเสวียนอวี้ออกไป
ภายในห้องไม่มีใคร หรูเสี่ยวนันนอนหลับสนิท
ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่อง ลำแสงอ่อนๆ ตกกระทบบนตัวของนาง เห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งได้รางๆ…ชัดบ้างจางบ้างสลับกันไปมา…
ชิงโม่เหยียนเดินตามเสวียนอวี้ออกไปข้างนอก นอกห้องหนังสือมีคนมารวมตัวกันไม่น้อย แม้แต่ทังเซียนเซิงเสมียนศาลกับกู้เซียนเซิงเจ้าหน้าที่จดบันทึกของศาลต้าหลี่ล้วนอยู่ในกลุ่มคนด้วย
เสวียนอวี้ชี้ไปบนกล่องไม้ที่วางอยู่บนพื้นแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าลองให้คนเอาหุ่นไม้ไปเผา แต่ไฟฟืนมอดแล้ว หุ่นไม้ตัวนั้นกลับยังอยู่ดีไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย”
ชิงโม่เหยียนขมวดคิ้ว พ่นคำออกมาสองคำ “ลองใหม่”
เสวียนอวี้จึงสั่งคนงานให้ยกกระถางไฟมา เติมถ่านเข้าไปต่อหน้าทุกคน แล้วเอากล่องที่ใส่หุ่นไม้โยนเข้าไป
กล่องไม้เจอถ่านไฟก็ส่งเสียงลั่นดังเปรี๊ยะๆ ไม่นานก็เกิดไฟลุกขึ้นมา
สายตาของทุกคนล้วนไปอยู่ในกระถางไฟ มองดูกล่องไม้ค่อยๆ ถูกเผาจนไหม้หมดในกองไฟ
หุ่นไม้ค่อยๆ โผล่ออกมา ท่ามกลางเปลวไฟสีทอง ใบหน้าหยกแกะสลักที่อยู่ในสภาพดูทุลักทุเลจ้องมองพวกเขา หางตายกโค้ง ดูประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
ในกลุ่มมีคนพูดเสียงเบาขึ้นว่า “แปลกเสียจริง เหตุใดมันจึงไม่ถูกไฟเผา”
“แค่แปลกที่ไหน เจ้าไม่เห็นหรือ…แม้แต่เสื้อบนตัวมันก็ยังไม่ติดไฟเลย”
“ของสิ่งนี้…ถูกผีสิงใช่หรือไม่…”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ที่นี่คือศาลต้าหลี่ แม้บนโลกนี้จะมีผีอยู่จริง พวกมันก็ไม่กล้าเข้าใกล้ที่นี่เด็ดขาด”
ที่ว่าการที่เต็มไปด้วยไอชั่วร้าย แม้แต่ผีก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้
ชิงโม่เหยียนมองดูเปลวไฟในกระถางไฟค่อยๆ มอดลง หุ่นไม้ตัวนั้นนอนอยู่ข้างในโดยไม่เสียหายเลย มุมปากที่ยกขึ้นเหมือนกำลังหัวเราะเยาะการไร้ความสามารถของพวกเขา
“เอาน้ำมันมาหน่อย” ชิงโม่เหยียนพูดเสียงเย็นชา
ไม่ช้าก็มีคนเอาน้ำมันมาราดไปบนตัวหุ่นไม้
“จุดไฟอีกครั้ง” ชิงโม่เหยียนสั่งการ
ครั้งนี้หุ่นไม้ถูกไฟคลอกทั้งตัว
แกรก…แกรก…
แขนขาหุ่นไม้มีเสียงดังประหลาด ดูเหมือนกำลังพยายามดิ้นรนอยู่ในกองไฟ
ในตอนที่ทุกคนกำลังจดจ้องไปที่เปลวไฟก็มีเสียงเปรี๊ยะดังสนั่น เปลวไฟในกระถางไฟแตกกระจาย
“ซื่อจื่อระวัง!” เสวียนอวี้รีบขวางตรงหน้าชิงโม่เหยียน
หลังจากไฟแตกกระจายทำให้ทุกคนพากันถอยหลังห่างไปสิบก้าวแล้วจึงควบคุมสติกันได้ ก่อนจะยื่นหน้าไปมองในกระถางไฟอีกครา
หุ่นไม้หน้าหยกยังคงนอนอยู่ตรงนั้นอย่างดีดังเดิม ใบหน้าหยกแกะสลักไม่ติดขี้เถ้าดำเลยสักนิด แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังอยู่ดีไม่เสียหาย น้ำมันที่เทลงไปเมื่อครู่ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย
“รอง…รองตุลาการ พวกเราต้องเชิญภิกษุมาดูสักนิดหรือไม่…”
“เชิญภิกษุมาเพราะจะทำพิธีกรรมแล้วสิ”
มีคนพูดขึ้นอย่างตื่นตระหนก
ชิงโม่เหยียนสีหน้าเย็นชา ผู้ใดก็เดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ซื่อจื่อ” เสวียนอวี้ลองหยั่งเชิงเรียกดู “เรื่องนี้จะจัดการอย่างไรดีขอรับ”
ในเมื่อเผาไม่ไหม้ก็ช่วยไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้คนคิดอะไรไม่ออกจริงๆ
“ไปหาหีบเหล็กมา ใส่มันลงกลอนแยกเก็บต่างหาก ไม่มีคำสั่งของข้า ไม่ว่าใครก็เข้าใกล้ไม่ได้” ชิงโม่เหยียนเอ่ยสั่งเสียงเย็นเยียบ
เสวียนอวี้รีบส่งคนไปเตรียมหีบเหล็กทันที
“คนงานที่ถูกมันควบคุมวันนี้อยู่ที่ใด” ชิงโม่เหยียนเอ่ยถามขึ้น
“เขาฟื้นแล้ว แต่ยังอ่อนแอลงจากเตียงไม่ได้ขอรับ” เสวียนอวี้กล่าวรายงาน “ข้าสอบถามเขา แต่เขาจำอะไรไม่ได้เลย หลังเชิญท่านหมอมาดูอาการ ท่านหมอบอกแค่เพียงว่าเขาเสียสติไปแล้ว ไม่รู้ว่าวันหน้าจะเป็นปกติได้หรือไม่…”
ชิงโม่เหยียนขบกรามแน่นทันที
เสียสติ…หรือคนที่ถูกเจ้าสิ่งนี้สิงร่างจะกลายเป็นเช่นนี้
เขาไม่อยากคิดว่าหลังจากเจ้าตัวเล็กฟื้นขึ้นมาจะ ‘เสียสติ’ เช่นนี้หรือไม่ ในสมองปรากฏดวงตากลมสุกใสคู่หนึ่งที่มองเขา เต็มไปด้วยความฉลาด หรือประจบเอาใจ หรือเง้างอน…
เขาไม่กล้าคิดภาพเลยว่าเจ้าตัวเล็กของเขาจะกลายเป็นเช่นนั้น
บทที่ 6
หุ่นไม้ถูกใส่เข้าไปในหีบเหล็กและลงกลอนแล้ว ชิงโม่เหยียนจึงหมุนตัวกลับไปที่ห้องหนังสือ มีคนจัดการเก็บกระถางไฟ จากนั้นก็เริ่มกวาดลานโดยรอบ
เสวียนอวี้เฝ้าดูหีบเหล็กถูกส่งเข้าไปในห้องว่างห้องหนึ่งในคลังเก็บของด้วยตนเอง ตอนหมุนตัวกลับไปลงกลอนประตู เขาก็ได้ยินเสียงเคาะดังมาจากในหีบเหล็กใบนั้น
แม้เสียงจะไม่ดัง แต่เขาก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน
คนงานหลายคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกใจจนขนหัวลุกซู่ “เช่นนี้…ไม่เป็นไรจริงหรือ…”
เสวียนอวี้แค่นเสียงเอ่ย “หึ กลัวอะไร แค่ทำตามคำสั่งของซื่อจื่อก็พอ ใครก็ห้ามเข้าใกล้ที่นี่เด็ดขาด”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นจึงพากันรับคำ
เสวียนอวี้ลงกลอนประตูคลังเก็บของด้วยตนเอง
แม้จะห่างด้วยประตูกั้น แต่ทุกคนก็ยังคงพอได้ยินเสียงเคาะตีจากในคลังเก็บของ
ตึง…ตึง…ตึง…
เสียงนี้ดังต่อเนื่องจนกระทั่งความมืดมาเยือน จึงได้หยุดลง
เวลาเดียวกันนี้ ภายในเรือนหลังหนึ่งในเมือง
“เห็นทีของสิ่งนี้คงใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว” ณ ห้องที่มืดมิดห้องหนึ่ง เสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้น
“เหตุใดจึงใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว” ไม่ไกลมีชายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ ภายในห้องที่มืดมิดไม่ได้จุดตะเกียง ดังนั้นจึงมองเห็นหน้าของเขาไม่ชัดเจน บนหัวไหล่ของเขามีเตียวขาวตัวหนึ่งพาดอยู่ ขนสีขาวหิมะดูสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาพูดไปพลางลูบขนของมันอย่างอ่อนโยนไปพลาง
“ยาสะกดวิญญาณยังอยู่ในตัวสัตว์ตัวนั้น แต่ข้าสัมผัสถึงยานั่นไม่ได้แล้ว…คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าตัวเล็กนั่นยังมีความสามารถเช่นนี้ด้วย”
ชายที่ลูบขนเตียวขาวเล่นยิ้มบางๆ ออกมา “มันเป็นสัตว์วิเศษที่เป็นเครื่องบรรณาการ ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว หลังจากทำเรื่องนี้เสร็จแล้วข้าจะเอาเจ้าตัวเล็กนั่นมาอยู่ในกำมือ”
“แต่ว่า…ยาสะกดวิญญาณเม็ดนั้นเสียไปแล้ว”
“เสียก็เสียไปเถอะ อย่างไรเสียเอกสารเหล่านั้นก็ถูกทำลายไปแล้ว” ชายหนุ่มลูบคอที่อ่อนนุ่มของเตียวขาว “บนโลกนี้สิ่งที่ไร้ค่าที่สุดก็คือชีวิตคน สิ่งนี้…อยากได้เท่าใดก็ย่อมได้” เขาหัวเราะแห้งขึ้นมา ริมฝีปากโค้งเป็นมุมอย่างน่าดูชม
ณ ศาลต้าหลี่
ชิงโม่เหยียนนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะเอกสาร บนขาของเขามีก้อนขนสีดำก้อนหนึ่งนอนขดอยู่
“ซื่อจื่อ คืนนี้ยังไม่กลับจวนโหวหรือขอรับ” เสวียนอวี้ยกอาหารเย็นเข้ามาพลางเอ่ยถาม
“ไม่กลับ” ชิงโม่เหยียนพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา
เสวียนอวี้วางอาหารลงพร้อมกล่าวอย่างลังเลใจ “ได้ยินว่าระยะนี้ท่านโหวกำลังช่วยจัดการเรื่องการแต่งงานของท่านอยู่ ถ้าท่านไม่กลับไป…”
พู่กันในมือชิงโม่เหยียนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เขาเป็นท่านพ่อข้า ในเมื่อเขาอยากจะลำบากก็ปล่อยเขาไปเถอะ”
เสวียนอวี้รีบพูดแย้ง “เช่นนี้จะได้อย่างไร ภรรยาเอกของท่านก็ถือเป็นนายหญิงของพวกเรา พวกเราจะทนเห็นท่านโหวยัดคนที่เป็นภาระให้เรือนหลังของท่านได้อย่างไร”
ชิงโม่เหยียนหัวเราะเย็นชา “ในสายตาของเขา ภาระที่แท้จริงของเขาคงเป็นข้าจึงจะถูก ทุกครั้งที่พิษกู่กำเริบก็แทบเป็นแทบตาย คิดว่าตอนที่เขาพูดทาบทามกับคนอื่นก็คงได้บอกพวกเขาเป็นนัยว่าข้ามีชีวิตไม่ยืนยาว”
“ซื่อจื่อท่านไม่ต้องกังวล พวกเราต้องหาตัวยาเหนี่ยวนำได้ครบแน่นอน” เสวียนอวี้ขอบตาแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้
“จะหาตัวยาเหนี่ยวนำได้ครบหรือไม่คงแล้วแต่สวรรค์ลิขิต” ชิงโม่เหยียนกลับไม่สนใจ ตอนที่วางพู่กันลงมือซ้ายก็ลูบชะมดเช็ดน้อยที่หมอบอยู่บนตัก ท้องของมันแบนราบ พอคิดถึงว่าตอนกลางวันมันยังท้องว่างอยู่ เขาจึงสั่งการเสวียนอวี้ทันที “เจ้าไปเอานมแพะมาถ้วยหนึ่ง”
เสวียนอวี้เดิมทีคิดจะกล่อมอีกฝ่ายเพิ่มเติมสักหน่อย เห็นชิงโม่เหยียนไม่สนใจในเรื่องนี้เลย จึงรับคำแล้วเดินออกไป
แต่งงานหรือ
ตอนที่ในห้องไม่มีใคร ชิงโม่เหยียนก็หัวเราะเย็นชาขึ้น
แม้เขาจะไม่กลับไปก็เดาได้ว่าท่านพ่อเขาจะเลือกสตรีแบบใดมาให้ตนเอง อ่อนแอไร้สามารถ ร่างกายไร้แรง ก็เหมาะกับเขาที่ร่างกายถูกพิษรักษาไม่ได้แล้ว
นมแพะที่เสวียนอวี้เอามายังอุ่นอยู่ ชิงโม่เหยียนหยิบช้อนตักนมแพะใส่ปากของหรูเสี่ยวนันอย่างช้าๆ
“ข้าคงบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่มาสนใจเจ้าตัวเล็กอย่างเจ้า” ชิงโม่เหยียนพูดพึมพำกับตนเอง
ด้วยหรูเสี่ยวนันยังนอนหลับอยู่ กลืนเองไม่ได้ ดังนั้นจึงป้อนเข้าไปได้น้อย และหกออกมามากกว่า
ชิงโม่เหยียนใช้ผ้าเช็ดน้ำนมที่มุมปากของมัน “เจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า เป็นตายต้องให้ข้าเป็นคนตัดสิน ไม่ได้รับอนุญาตจากข้า เจ้าจะตายไม่ได้ ได้ยินหรือไม่”
เขาใช้นิ้วแตะหัวของมันเบาๆ ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างกับเจ้าตัวเล็กนี่
ในขณะที่เขาต้องการมัน มันก็ต้องพึ่งพาเขาจึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ความรู้สึกที่ต่างคนต่างต้องการกันและกันเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกพอใจอย่างประหลาด
นับจากหรูเสี่ยวนันถูกหุ่นไม้โจมตีก็นอนไม่ได้สติไปหลายวัน
แม้จะเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าชิงโม่เหยียนจะไปที่ใดก็จะเอามันไปด้วย ภายหลังแม้แต่เสวียนอวี้ก็ยังรู้สึกทนดูต่อไปไม่ได้
“เมื่อครู่ท่านหมอฉางมาสอบถามอีกแล้วว่า…ซื่อจื่อจะทำถุงหอมนั่นหรือไม่ขอรับ”
การทำถุงหอมก็ต้องฉวยโอกาสตอนที่ชะมดเช็ดยังมีชีวิตอยู่ หากตายแล้วฤทธิ์ยาที่ได้จะลดลง
ชิงโม่เหยียนยกพู่กันเขียนอะไรบางอย่างบนโต๊ะ แล้วพูดโดยไม่เงยหน้าว่า “ไม่ต้องแล้ว”
เสวียนอวี้ขยับปากเอ่ยต่อ “ซื่อจื่อ ทำเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ถ้ามันไม่ฟื้นขึ้นมาจริงๆ ล่ะขอรับ…”
“ฮัดเช้ย!” เสียงหนึ่งดังขัดจังหวะคำพูดของเสวียนอวี้
ชิงโม่เหยียนชะงักพู่กันในมือ มองไปยังเจ้าก้อนขนที่อยู่บนตัก ดวงตาที่ตาดำขาวแยกชัดเจนส่องประกายระยิบรางๆ
หรูเสี่ยวนันสะลึมสะลือลืมตาแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“นอนไปนานอย่างนี้ ควรจะตื่นได้แล้ว” ใบหน้าของชิงโม่เหยียนไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ เหมือนว่าเขาคาดไว้แต่แรกแล้วว่ามันจะฟื้นขึ้นมา
หรูเสี่ยวนันอยากจะยืนขึ้น แต่ขาทั้งสี่อ่อนยวบ เหมือนเหยียบอยู่บนปุยนุ่น ออกแรงไม่ได้เลย
นี่ข้าเป็นอะไรไป…
นางพยายามสะบัดหัว ผลปรากฏว่าเกือบสะบัดตัวเองตกลงไปบนพื้น โชคดีชิงโม่เหยียนจับนางไว้ทัน ไม่อย่างนั้นนางคงจะตกจากตักของเขาหล่นลงไปแล้ว
สวรรค์ หิวเหลือเกิน ภาพตรงหน้ามีแต่ดาวดวงน้อยๆ เต็มไปหมด
เจ้านาย ท่านร้องเพลงดาวดวงน้อยเป็นหรือไม่…
ยามนี้เองหรูเสี่ยวนันราวกับเห็นไส้กรอกชิ้นใหญ่ๆ อยู่ตรงหน้า
ข้าจะกิน!
นางกระโจนเข้าไป และกัดไว้คำโต
กิน กิน กิน…
ชิงโม่เหยียนมองดูเจ้าตัวเล็กที่กัดนิ้วมือเขาไม่ยอมปล่อยอย่างจนใจพลางสั่งเสวียนอวี้ว่า “ไปเอาข้าวกับน้ำแกงเนื้อมาสักหน่อย”
ไม่นานเสวียนอวี้ก็เอาอาหารกลับมา
ชิงโม่เหยียนยากนักกว่าจะดึงนิ้วมือของตนเองออกมาจากปากของชะมดเช็ดได้
พอหรูเสี่ยวนันได้กลิ่นหอมของน้ำแกงเนื้อ จึงขยับหัวเข้าไปในจานและกินอย่างบ้าคลั่ง
จากนั้นความทรงจำในสมองของนางก็ค่อยๆ กลับมาชัดเจนอีกครั้ง
หรูเสี่ยวนันจำได้แล้ว ก่อนหน้านี้นางถูกแสงขาวลำหนึ่งสาดใส่…หากนางเดาไม่ผิด แสงขาวนั้นคงจะมาจากวิชามาร เป็นหนึ่งในวิชาสะกดวิญญาณ
“จี๊ดๆ” ในช่วงรีบเร่งกินอาหารนางก็เงยหน้ามองไปทางชิงโม่เหยียน อยากถามว่าหลังจากนั้นเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง
ชิงโม่เหยียนสีหน้านิ่งมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดข้าวของชะมดเช็ด “กินอาหารของเจ้าไปก่อน เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องยุ่ง”
“จี๊ดๆ” หรูเสี่ยวนันส่งเสียงด้วยความไม่พอใจ ทว่าก็ยังก้มหน้าลงกินใหม่อีกครั้งแต่โดยดี
ยามที่เห็นว่าแทบจะถึงก้นจานแล้ว หรูเสี่ยวนันก็รู้สึกว่ามีไอร้อนประหลาดพุ่งขึ้นมาในร่างอย่างฉับพลัน ตรงกันข้ามกับอาการหนาวเย็นไปทั่วร่างก่อนหน้านี้ ไอร้อนนี้ทำให้ร่างของนางเหมือนแทบจะลุกไหม้
เกิดอะไรขึ้น!
นางยังไม่ทันคิดอย่างละเอียด ภาพตรงหน้าก็รางเลือนขึ้นมา
ง่วงเหลือเกิน…อยากนอน…
ชิงโม่เหยียนมองชะมดเช็ดน้อยสัปหงกกับจานอย่างตกใจ หัวเล็กพยักขึ้นลง สุดท้ายหัวพับลงบนจาน และนอนหลับสนิทไป
“เจ้าตัวเล็กร้ายกาจเกินไปแล้วกระมัง แม้แต่ตอนกินยังนอนหลับได้” เสวียนอวี้ที่มองอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น
ชิงโม่เหยียนคว้าตัวหรูเสี่ยวนันออกมาจากจาน บนตัวเจ้าก้อนขนมีข้าวติดเต็มไปหมด ดูสกปรกมาก ทว่าเขาใช้ผ้าเช็ดอย่างไรก็ไม่ตื่น
ชิงโม่เหยียนเห็นแล้วก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะให้เสวียนอวี้ไปเชิญท่านหมอประจำศาลต้าหลี่มา
หลังจากฉางเฮิ่นมาตรวจอาการให้หรูเสี่ยวนันแล้ว สุดท้ายก็ประกาศว่า “มันแค่นอนหลับเท่านั้น”
เสวียนอวี้ไม่เชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร มันนอนหลับสนิทเหมือนตายเกินไปแล้วกระมัง”
ฉางเฮิ่นเอ่ยด้วยสีหน้าจนใจ “มันแค่นอนหลับจริงๆ แม้ว่าอุณหภูมิร่างกายจะสูงไปสักนิด แต่ดูแล้วไม่ได้เกิดจากอาการป่วย รองตุลาการไม่ต้องเป็นกังวล”
ได้ยินว่าเจ้าตัวเล็กไม่ได้ป่วย ชิงโม่เหยียนก็วางใจลงได้ทั้งหมดในที่สุด
จากนั้นหรูเสี่ยวนันก็ใช้ชีวิตแบบมึนๆ งงๆ มาเยี่ยงนี้ บ่อยครั้งที่จู่ๆ ตื่นมาก็กินยกใหญ่ แล้วก็หลับสนิทอีกครั้งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เพียงพริบตาสิบวันก็ผ่านไปแล้ว มาถึงวันที่พิษกู่ในร่างของชิงโม่เหยียนจะกำเริบอีกครั้ง
“ท่านตุลาการใหญ่กลับมาแล้ว เชิญท่านไปหาขอรับ” เสวียนอวี้เข้ามาแจ้งข่าว
ตอนนี้ท้องฟ้าใกล้ค่ำแล้ว ชิงโม่เหยียนเก็บงานในมือเดิมทีเตรียมจะพักผ่อน พอได้ยินข่าวนี้จำต้องสวมชุดขุนนางใหม่อีกครั้ง
แสงอาทิตย์อัสดงส่องไปบนทางเล็ก ชิงโม่เหยียนลดความเร็วฝีเท้าอย่างห้ามไม่อยู่ ในจิตใต้สำนึก ร่างกายของเขากำลังเตรียมรับความเจ็บปวดที่จะมาถึง
นี่เป็นเวลาผ่านมาหลายปี มันกลายเป็นความเคยชินของเขาแล้ว แม้ว่าตอนนี้ในอ้อมอกของเขาจะมีชะมดเช็ดน้อย แต่ปฏิกิริยาของร่างกายไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
แสงอาทิตย์ค่อยๆ หมดลง ร่างกายของเขาก็แข็งเกร็งตามไปด้วย ทว่า…ความเจ็บปวดไม่ได้มาตามกำหนด
เป็นจริงดังคาด เจ้าตัวเล็กนี้เป็นดาวนำโชคของเขา
ตอนที่ก้มหน้ามองดูชะมดเช็ดน้อยที่หลับสนิทในอ้อมอก จู่ๆ ร่างของมันกลับขยับโดยแรง มันยังคงหลับตา แต่ปากกลับส่งเสียงร้องแหลมปรี๊ด
“จี๊ดๆๆๆ…” หรูเสี่ยวนันร้องจี๊ดๆ พยายามดิ้นขัดขืน
ชิงโม่เหยียนหยุดฝีเท้า มองเจ้าก้อนขนที่ดิ้นอยู่ในอ้อมอกอย่างประหลาดใจ
หรูเสี่ยวนันตอนนี้ยังคงหลับสนิทอยู่ แต่ตัวของนางกลับสั่นไม่หยุดอย่างห้ามไม่อยู่ หากไม่ใช่ชิงโม่เหยียนอุ้มไว้อย่างทะนุถนอมก็คงจะกลิ้งตกลงพื้นไปแล้ว
“เจ้าตัวเล็ก” ชิงโม่เหยียนอยากจะปลุกมันตื่น แต่เจ้าก้อนขนกลับเอาแต่หลับตา ร้องจี๊ดๆ อย่างเจ็บปวด
“จะเชิญท่านหมอหรือไม่ขอรับ” เสวียนอวี้พูดอย่างตื่นตกใจ
ชิงโม่เหยียนขมวดคิ้วแน่น ระยะนี้ชะมดเช็ดน้อยมีท่าทางแปลกๆ เขาไม่มั่นใจเลยว่ามันเป็นเช่นนี้เพราะอะไรกันแน่
กรงเล็บเล็กแหลมคมวาดผ่านบนหลังมือเขา แม้จะไม่ทำให้เขาเลือดออก แต่มันวาดกรงเล็บไม่หยุดทำให้มือของเขามีแผลถูกข่วนเล็กๆ เต็มไปหมด
เสวียนอวี้อยากจะเข้าไปช่วย แต่กลับถูกชิงโม่เหยียนห้ามไว้
“เจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้” ชิงโม่เหยียนกล่าวจบก็รีบอุ้มชะมดเช็ดน้อยเดินเลี้ยวเข้าไปทางหลังพุ่มไม้ด้านข้าง
วันนี้เป็นวันที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาไม่อาจให้มันห่างจากข้างกายเขาได้
ร่างของหรูเสี่ยวนันบิดไปมาไม่หยุดเหมือนงูตัวหนึ่ง
ชิงโม่เหยียนไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงอุ้มมันเอาไว้อย่างดีพลางลูบหัวมันเบาๆ หวังว่าการกระทำเหล่านี้ของเขาจะทำให้มันรู้สึกสบายตัวขึ้นบ้าง
ไม่นานการดิ้นขัดขืนของชะมดเช็ดน้อยก็ค่อยๆ เบาลง แสงสว่างลำหนึ่งส่องออกมาจากตัวมัน และแสงนั้นก็สว่างขึ้นทุกที เหมือนมีเปลวไฟไร้รูปโอบล้อมมันไว้
ภายใต้สายตาตกใจของชิงโม่เหยียน ตัวของเจ้าก้อนขนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง จากชะมดเช็ดสีดำในอ้อมอกของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างเด็กหญิงอายุสี่ห้าขวบผู้หนึ่ง
ชิงโม่เหยียนตัวเกร็งอยู่ตรงนั้นไปในทันที
เด็กหญิงใบหน้าอวบอ้วนผู้หนึ่งกำลังขดตัวเปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมอกของเขา…ทั้งหมดนี้เหมือนอยู่ในความฝัน!
ชิงโม่เหยียนตะลึงไปครู่ใหญ่ ก่อนจะยื่นมือไปลูบใบหน้าของเด็กหญิงอย่างแผ่วเบา
ผิวสัมผัสอ่อนนุ่มนวลเนียนยิ่งนัก
เด็กหญิงยู่ปาก พึมพำอะไรบางอย่าง หัวก็ถูไถอ้อมอกเขา ดูเหมือนกำลังหลบมือของเขาอยู่กระนั้น
ท่าทางของนาง…เหมือนเจ้าตัวเล็กมาก
หัวใจชิงโม่เหยียนเต้นโครมครามไม่หยุดไปพักใหญ่ เขาบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้เป็นความตื่นเต้นยินดีหรือตื่นตระหนก
คิดไม่ถึงว่าสัตว์เลี้ยงของเขาจะนำความตื่นเต้นยินดีมาให้เขามากมายเช่นนี้
ในตอนที่เขาบีบแก้มนางอย่างรักใคร่เอ็นดู แสงลำหนึ่งก็ส่องออกมาจากร่างของนางอีกครั้ง ร่างของเด็กหญิงค่อยๆ เปลี่ยนกลับเป็นชะมดเช็ดเช่นเดิม
ชิงโม่เหยียนช้อนร่างชะมดเช็ดไว้ในฝ่ามือ มองดูมันนอนหลับสนิท
เขายังไม่ทันขบคิดว่าเหตุใดจึงเกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นกับมัน หัวใจทั้งดวงถูกปกคลุมด้วยความรู้สึกคาดหวังอย่างแรงกล้า
เจ้าตัวเล็กตอนนี้อายุยังน้อย รอมันโตอีกนิด เด็กหญิงคนนั้นก็จะโตตามไปด้วยใช่หรือไม่
ในสมองของเขาปรากฏภาพเด็กหญิงใบหน้าอวบอ้วนผู้หนึ่งขึ้นมา ดวงตากลมโต มีดวงตาสีเขียวใสคู่หนึ่ง
อยากรู้นักว่านางจะเติบโตเป็นเช่นไร ชิงโม่เหยียนชูร่างชะมดเช็ดน้อยขึ้น เผยรอยยิ้มดีใจออกมา
ในตอนนี้เองหรูเสี่ยวนันก็ตื่นขึ้น พอลืมตาสิ่งที่นางเห็นอันดับแรกก็คือใบหน้ามีรอยยิ้มของชิงโม่เหยียน
ว้าย! นางตกใจจนสะดุ้ง ขนลุกขึ้นทันใด คนผู้นี้ยิ้มสดใสให้ข้าแบบนี้ด้วยเหตุใด
หรือตัดสินใจที่จะนำข้าไปทำเป็นตัวยาเหนี่ยวนำแล้ว
“จี๊ดๆ!” มารฆ่าคน รีบปล่อยข้านะ!
ท่านบ้าแล้วหรือ ท่านทำแบบนี้จะยิ่งเสียข้าไปได้ง่ายๆ นะ…
หรูเสี่ยวนันยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าท่าทางของชิงโม่เหยียนแปลกประหลาด จึงพยายามดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดแรง
ชิงโม่เหยียนยกตัวหรูเสี่ยวนันขึ้นในมือ ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวเล็กไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น มันกำลังร้องจี๊ดๆ โวยวายอยู่ในมือของเขา ดูเหมือนจะถูกเขาทำให้ตกใจ
ชิงโม่เหยียนบีบหูเล็กของมัน ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กนี้น่ารักเหลือเกิน แม้ว่ามันจะไม่พูดอะไร แต่ดวงตาสีเขียวของมันกลับแสดงความรู้สึกทั้งหมดออกมา
เขาไม่บอกมันเด็ดขาดว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้ว่ามันจะกลายเป็นเด็กหญิงผู้หนึ่งจริงๆ นั่นก็นับเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นของเขาอยู่ดี
ชิงโม่เหยียนอุ้มมันออกมาจากพุ่มไม้ แล้วเดินไปที่ห้องหนังสือของตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่ภายใต้การคุ้มกันของเสวียนอวี้
หรูเสี่ยวนันตื่นมาในครั้งนี้รู้สึกว่ามีพลังเต็มเปี่ยมอย่างประหลาด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้นอนนานเกินไปใช่หรือไม่ นางจึงเบิกดวงตากลมโตดูนี่ที มองนั่นที แม้แต่ตุลาการใหญ่เองเห็นนางแล้วก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้
“ได้ยินว่าในเครื่องบรรณาการที่แคว้นฉีมอบให้ฮ่องเต้มีชะมดเช็ดสีดำตัวหนึ่ง แต่ว่าหนีหายไปที่ลานล่าสัตว์” ตุลาการใหญ่มองชิงโม่เหยียนแล้วเอ่ยต่อ “ท่านมีอะไรอยากพูดบ้างหรือไม่”
ชิงโม่เหยียนยิ้มบางๆ กล่าวตอบว่า “ข้าจะมีอะไรพูดได้ นี่เป็นชะมดเช็ดตัวที่ข้าจับได้ระหว่างทางกลับมาขอรับ”
ตุลาการใหญ่หรี่ตา สายตากวาดไปบนตัวหรูเสี่ยวนันแล้วหยุดที่ขนที่พองขึ้นทั่วตัว
“ช่างเถอะ ระวังตัวให้ดีด้วย” จากนั้นตุลาการใหญ่หยิบเอกสารฉบับหนึ่งบนโต๊ะมายื่นให้ชิงโม่เหยียน “นี่เป็นเอกสารที่กู้เซียนเซิงคัดลอกในภายหลัง ลองอ่านดูสิ”
ตอนที่ชิงโม่เหยียนพลิกเปิดเอกสารหรูเสี่ยวนันก็ขยับเข้ามาดูอย่างสงสัย ตัวอักษรที่นี่ไม่เหมือนกับปัจจุบัน แต่นางก็พออ่านได้คร่าวๆ
“เป็นคดีเกี่ยวกับกรมทหาร” ชิงโม่เหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “โกงกินเงินทหารหรือ”
“ตามคำบอกเล่าของกู้เซียนเซิง เอกสารที่ถูกทำลายล้วนเกี่ยวกับคดีของกรมทหาร” ตุลาการใหญ่พูดพลางไตร่ตรอง “เจ้าหน้าที่จี๋ฟู่นั้นถึงแม้ตอนนี้ยังหาตัวไม่เจอ แต่ได้ยินว่าทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับหุ่นไม้ตัวหนึ่งใช่หรือไม่”
ชิงโม่เหยียนพยักหน้า “ท่านเคยเห็นของสิ่งนั้นหรือไม่ขอรับ”
“ได้ยินว่าแปลกมาก” ตุลาการใหญ่เอ่ย “ข้าเพิ่งกลับมา ยังไม่มีโอกาสได้เห็นเองกับตา ท่านให้คนเอามันมาสิ ข้าก็อยากดูสักหน่อยว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง”
ชิงโม่เหยียนลังเลใจ “ใต้เท้าไปที่คลังเก็บของด้วยตนเองจะดีกว่า”
ตุลาการใหญ่คิดสักครู่แล้วพยักหน้าเห็นด้วย
คนทั้งหมดจึงไปที่คลังเก็บของพร้อมกัน
เมื่อถึงหน้าคลังเก็บของ เสวียนอวี้ก็เปิดประตูคลังเก็บของด้วยมือตนเอง
หรูเสี่ยวนันหูตั้งขึ้นทันที แม้แต่ขนที่คอก็ตั้งขึ้นมาจนหมด
ชิงโม่เหยียนจับคอของมันเบาๆ
หรูเสี่ยวนันถูกความอ่อนโยนที่มาแบบกะทันหันนี้ทำให้รู้สึกไม่เคยชิน
นี่เขากำลังปลอบใจข้าอยู่หรือ
เสวียนอวี้ถือโคมไฟเดินนำข้างหน้า ชิงโม่เหยียนเดินคู่กับตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่เข้าไปในคลังเก็บของ
หีบเหล็กใบหนึ่งวางนิ่งอยู่บนพื้น บนนั้นติดกลอนใหญ่ไว้สามอัน
“เปิดหีบ” ชิงโม่เหยียนสั่งการ
เสวียนอวี้วางโคมไฟลงบนพื้นแล้วหยิบกุญแจออกมาจากเอว ก่อนจะเปิดหีบเหล็กออกอย่างช้าๆ
หรูเสี่ยวนันตัวแข็งเกร็ง ในลำคอเปล่งเสียงครืดๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว กับเจ้าหุ่นไม้ประหลาดตัวนั้น นางไม่มีความรู้สึกดีด้วยแม้แต่น้อย
ตอนที่เสวียนอวี้เปิดหีบ เขาก็ร้องขึ้นว่า “เอ๊ะ?!”
“เกิดอะไรขึ้น” ชิงโม่เหยียนรีบถาม ขณะเดียวกันก็เดินเข้าไปดูใกล้ๆ
เสวียนอวี้สีหน้างุนงง เงยหน้าตอบอีกฝ่ายว่า “หุ่นไม้…ตัวหลุดเป็นชิ้นๆ หมดแล้วขอรับ…”
“อะไรนะ” ชิงโม่เหยียนยกโคมไฟส่องเข้าไปในหีบเหล็ก กลิ่นเหม็นคาวลอยปะทะเข้ามาทันที
หรูเสี่ยวนันดมกลิ่นได้ไว กลิ่นนี้เหม็นจนนางต้องใช้เท้าอุดจมูกเอาไว้
ตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่เดินเข้ามา เขามองเข้าไปในหีบก็เห็นเพียงกองเศษไม้ที่หลุดออกจากกันที่ก้นหีบเหล็ก ตัวหุ่นไม้แยกออกจากกัน ใบหน้าหยกแกะสลักแตกเป็นสองท่อน มีของเหลวสีดำน่าสงสัยไหลออกมาจากกลางลำตัวของมัน กลิ่นนั้นเหมือนกลิ่นของเน่าเปื่อย ทั้งยังแฝงด้วยกลิ่นเหล็กรุนแรง
ในหีบเหล็กมีกลิ่นคาวเลือดรุนแรงกระจายออกมา
ชิงโม่เหยียนตะโกนสั่งการทันที “ไปเอาไฟมา!”
พวกคนงานถือโคมไฟล้อมทั้งสี่ด้านเอาไว้ ไม่ช้าคลังเก็บของก็สว่างขึ้นมา
ชิงโม่เหยียนรับกระบี่จากมือของเสวียนอวี้แล้วเขี่ยไปในหีบเหล็ก ก่อนที่ของสีดำชิ้นหนึ่งจะถูกเขาเขี่ยขึ้นมา
หรูเสี่ยวนันปิดจมูก ตอนที่เห็นสภาพของสิ่งนั้นก็ส่งเสียงร้อง “จี๊ด!” ออกมาดังลั่น เอาหัวซุกเข้าไปในชุดขุนนางของชิงโม่เหยียน
ทุกคนรอบข้างล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไป
แม้ว่าของสิ่งนี้จะเน่าเปื่อยเป็นเช่นนี้แล้ว แต่พวกเขายังสามารถจำเค้าเดิมของมันได้
นี่เป็นหัวใจชัดๆ…อีกทั้งยังเป็นหัวใจคนอีกด้วย…
“รีบไปเชิญท่านหมอฉางเฮิ่นมา” ตุลาการใหญ่พูดเสียงเครียด
นอกคลังเก็บของโกลาหล เวลาผ่านไปราว ฉางเฮิ่นจึงเดินเข้ามาถึง
“คารวะท่านตุลาการใหญ่”
ตุลาการใหญ่ชี้ไปทางเนื้อเน่าที่ถูกชิงโม่เหยียนใช้กระบี่เขี่ยขึ้นมาชิ้นนั้นพลางเอ่ย “เจ้ามาดูซิว่านี่คืออะไร”
ตอนฉางเฮิ่นเห็นของสิ่งนี้ก็ตกใจเช่นกัน แต่นางเป็นหมอ อยู่ที่ศาลต้าหลี่ก็เคยทำงานชันสูตรมาบ้างเช่นกัน นางเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนจะกล่าวตอบ “ท่านตุลาการใหญ่ นี่คือหัวใจคน ดูจากระดับความเน่าเปื่อยน่าจะราวครึ่งเดือนกว่าแล้ว…” นางหยิบมีดแหลมเล็กเล่มหนึ่งออกมา อาศัยแสงไฟเขี่ยดูหัวใจดวงนั้น แล้วร้องออกมาทันใด “เอ๋? ตรงนี้เหมือนจะมีอะไรอยู่”
ทุกคนกรูเข้าไปดู เห็นฉางเฮิ่นใช้มีดเล็กเขี่ยดูสักพักจึงมีของสิ่งหนึ่งตกลงมาจากหัวใจนั้น
เสวียนอวี้ยกถาดมา ฉางเฮิ่นวางของสิ่งนั้นไว้ในถาด
หรูเสี่ยวนันยืดคอมองไป เห็นว่านั่นคือม้วนกระดาษเล็กๆ บนนั้นเปื้อนไปด้วยเลือด
ฉางเฮิ่นลงมือด้วยความระมัดระวังอยู่นานจึงเอาม้วนกระดาษออกมาได้สำเร็จ
ตอนที่หรูเสี่ยวนันเห็นตัวอักษรบนม้วนกระดาษก็ตัวสั่น ขยับร่างเข้าหาชิงโม่เหยียนทันที
ชิงโม่เหยียนก้มหน้าลงดูมันแวบหนึ่ง ดวงตาสีเขียวคู่นั้นเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าตัวเล็กซ่อนความลับอะไรเอาไว้กันแน่ ดูท่าทางของมันแล้วเหมือนจะรู้เรื่องทุกอย่างนี้เป็นอย่างดี
“สิ่งที่เขียนบนนี้คือ…ชะตาแปดอักษร” ฉางเฮิ่นอาศัยแสงไฟดูแล้วพูดออกมา
ตุลาการใหญ่รีบเอ่ยขึ้นว่า “เชิญเจ้าหน้าที่จดบันทึกกู้เซียนเซิงมา ให้เขาไปตรวจดูชะตาแปดอักษรของจี๋ฟู่ด้วย”
เจ้าหน้าที่ในศาลต้าหลี่ทุกคนล้วนมีข้อมูลเก็บไว้ที่ฝ่ายทะเบียนสาร ตอนจี๋ฟู่ไม่อยู่กู้เซียนเซิงแบ่งรับงานส่วนนี้ไปดูแล
ไม่ช้าชะตาแปดอักษรของจี๋ฟู่ก็ถูกส่งมา มันเหมือนกับบนม้วนกระดาษโดยสิ้นเชิง
“หัวใจที่ใกล้เน่าดวงนี้…คงไม่ได้เป็นของจี๋ฟู่หรอกนะ” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนโพล่งประโยคนี้ออกมา
ลมกลางคืนพัดมา โคมไฟเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง แผ่นหลังทุกคนรู้สึกเย็นวูบวาบในทันใด
หรูเสี่ยวนันขดตัวแน่นขึ้น แทบจะขดเข้าไปอยู่ในเสื้อของชิงโม่เหยียนทั้งตัวแล้ว
คนอื่นเพียงแค่มีความสงสัยนี้ แต่นางรู้ดีที่สุดว่าหัวใจดวงนี้เป็นของจี๋ฟู่อย่างไม่ต้องสงสัย
หากใช้วิชาสะกดวิญญาณ ต้องควักหัวใจตอนที่คนยังมีชีวิตอยู่ แล้วใช้วิชามารส่งชะตาแปดอักษรเข้าไปเก็บข้างในหัวใจ จากนั้นก็สามารถควบคุมใช้งานได้ตามใจ
ก่อนหน้านี้หรูเสี่ยวนันเคยได้ยินปู่พูดถึงวิชามารนั้น ทุกครั้งที่พูดถึงจอมเวทเฒ่าก็จะมีสีหน้าชิงชังรังเกียจมาก เดิมทีนางคิดว่าปู่จงใจขู่ให้นางกลัว ตอนนี้ดูไปแล้วนี่เป็นวิชามารที่น่ากลัวมากอย่างหนึ่งจริงๆ
ตอนตุลาการใหญ่ส่งคนไปจัดการเรื่องนี้ต่อ ชิงโม่เหยียนก็หาข้ออ้างว่าสุขภาพไม่ดี พาหรูเสี่ยวนันออกไปก่อน
“ท่านโหวส่งคนมาเชิญท่านกลับไปอีกแล้วขอรับ” เสวียนอวี้เอ่ยขึ้น ก่อนโน้มน้าวผู้เป็นนาย “วันมะรืนเป็นวันเกิดท่านโหว ท่านจะไม่ไปปรากฏตัวไม่ได้นะขอรับ”
ชิงโม่เหยียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวตอบ “รู้แล้ว อีกครู่ข้าจะกลับไป” จากนั้นเขาอุ้มหรูเสี่ยวนันเดินเข้าห้องหนังสือไปก่อน
หรูเสี่ยวนันโผล่ครึ่งหน้าออกมาจากเสื้อของเขา สีหน้าซึมเศร้าอย่างมาก
“เจ้ารู้อะไรกันแน่” ชิงโม่เหยียนพูดเสียงเข้ม มองนางตาเขม็ง
หรูเสี่ยวนันเผยอปากแสร้งทำท่าทางโง่เซ่อ…เจ้านาย ท่านพูดอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ
ชิงโม่เหยียนแววตาอึมครึมลง “ข้าไม่อนุญาตให้สัตว์เลี้ยงของข้ามีความลับอะไร…หรือเจ้าคิดว่าหลังจากนี้อยากให้ข้าเพิ่มสิ่งมีชีวิตเข้าไปในอาหารทั้งสามมื้อของเจ้าดีล่ะ”
ปากของหรูเสี่ยวนันอ้ากว้างยิ่งขึ้น ให้ตายสิ เขาเป็นพวกร้ายลึกแท้ๆ ก่อนหน้านี้เหตุใดนางจึงไม่รู้นะ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 มิ.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.