บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ
เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการสีแดงเข้มและเข็มขัดหยกประดับทองคำรอบเอวรัดเขาจนเหมือนไส้กรอกมันแผล็บสองท่อน
จู่ๆ หลินหวั่นชิงก็รู้สึกเลี่ยนจนอยากจะอาเจียนจึงหันหน้าหนี แต่กลับเผชิญกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจนใจของเหลียงเว่ยผิง
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไร” หลินหวั่นชิงก้มหน้ายิ้มกับตนเองแล้วแกว่งมือไปมา “แต่ตอนนี้ข้าไม่อยากฟัง”
เหลียงเว่ยผิงแสดงสีหน้าจนใจ เขาหยิบลูกอมบ๊ะจ่างเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อส่งให้หลินหวั่นชิง “เวลานี้ควรกินอาหารกลางวันแล้ว ข้าจะเลี้ยงสุราเจ้าแล้วกัน”
ฝนนอกระเบียงยังคงไม่มีแนวโน้มจะหยุด เหลียงเว่ยผิงนำร่มมาสองคัน แล้วทั้งสองก็ออกจากที่ว่าการเมืองหลวงไปยังหอสุราชั้นเลิศร้านหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในตลาดตะวันตกที่คึกคัก วันนี้ไม่ใช่วันหยุด ดังนั้นหอสุราที่ทำการค้ากับขุนนางชั้นสูงโดยเฉพาะจึงไม่คึกคักมากนัก
เนื่องจากเหลียงเว่ยผิงเคยช่วยเจ้าของหอสุราคลี่คลายคดีการถูกพิษในอาหารภายใต้คำชี้แนะของหลินหวั่นชิง ใบหน้าของเขาจึงกลายเป็น ‘ใบผ่านทาง’ ของสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่ามาเมื่อไรก็จะมีห้องส่วนตัวดีๆ ว่างรออยู่เสมอ และเพียบพร้อมด้วยสุราชั้นดีที่เก็บรักษาไว้ หลินหวั่นชิงก็พลอยอาศัยบารมีนี้มาหลายครั้งแล้ว
ทั้งสองคนเก็บร่มแล้วเดินตามเสี่ยวเอ้อร์ของร้านไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง
หลินหวั่นชิงยังคงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่าทางเหม่อลอย รินชาให้ตนเองหนึ่งถ้วย จากนั้นก็เปิดหน้าต่างไม้แดงที่แกะสลักลวดลาย แล้วเอนตัวพิงข้างหน้าต่างมองดูสายฝน
จากนั้นเหลียงเว่ยผิงจึงบ่นด้วยความหวังดีว่า “เจ้าน่ะดีทุกอย่าง มีแต่นิสัยตรงไปตรงมาไม่ฟังคำเตือนนี่ล่ะ ไม่ใช่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเมืองหลี่เป็นคนเช่นไร วันนี้อยู่ต่อหน้าใต้เท้าซู เจ้าฉีกหน้าเขาต่อหน้าทุกคน เขาปลดเจ้าออกจากตำแหน่งก็นับว่าลงโทษสถานเบาแล้ว ตามความเห็นของข้า วันนี้เขาตัดสินว่าเจ้าดูหมิ่นศาลถึงจะเป็นท่าทีที่ถูกต้องของเขา”
สายตาของหลินหวั่นชิงถูกดึงดูดด้วยสายฝนด้านนอกหน้าต่าง เขาจิบชาตามสบายโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ศาลต้าหลี่ สถานที่ที่หลินหวั่นชิงอยากไปแม้กระทั่งในความฝัน
เดิมทีคิดว่าจะอาศัยคดีนี้สามารถทำให้ศาลต้าหลี่ยืมตัวไปได้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นระหว่างทาง
คราวนี้แย่แล้ว ไม่เพียงเขาไม่ได้ไปศาลต้าหลี่ แต่ยังถูกที่ว่าการเมืองหลวงสั่งพักงานอีกด้วย แม้แต่โอกาสจะเข้าใกล้ก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
ทันทีที่เกิดอารมณ์หงุดหงิด แม้แต่การหายใจเงียบๆ ก็ยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
มือของหลินหวั่นชิงกำถ้วยไว้แน่น จู่ๆ ก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “พี่เหลียงรู้จักใต้เท้าซูเสนาบดีศาลต้าหลี่หรือไม่”
เหลียงเว่ยผิงเอียงศีรษะ ถ้วยน้ำชาในมือกระตุก ก่อนย้อนถามอีกฝ่ายว่า “ในเมืองเซิ่งจิง ตั้งแต่คนในราชวงศ์ไปจนถึงขอทานมีใครไม่รู้จักใต้เท้าซูบ้าง”
“ข้าหมายถึง…” หลินหวั่นชิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จึงเลือกคำที่นุ่มนวลที่สุด “ภูมิหลัง”
“เอ่อ…” เหลียงเว่ยผิงชะงักไปโดยไม่รู้ตัว ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ข้าเพียงได้ยินมาว่าเขาเป็นหลานชายของฮ่องเต้ ทั้งบิดาและมารดาของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก ดังนั้นไทเฮาจึงทรงเลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ด้วยพระองค์เอง เจ้าอย่าเห็นว่าเขาเป็นเพียงซื่อจื่อ ฐานะของเขาในราชสำนักไม่ด้อยไปกว่าบรรดาชินอ๋อง เหล่านั้นเลย”
“หา?!” น้ำชาในถ้วยสั่นไหว หลินหวั่นชิงเกิดความสนใจขึ้นมาทันที รีบซักถาม “มารดาผู้ให้กำเนิดของใต้เท้าซูท่านนี้เป็นองค์หญิงพระองค์ใดหรือ”
เหลียงเว่ยผิงขมวดคิ้วและส่งเสียงจิ๊ “นี่ใช่เรื่องที่ขุนขางเล็กๆ ขั้นเจ็ดอย่างข้าจำเป็นต้องรู้ที่ใดกัน ข้ามาเมืองเซิ่งจิงก่อนเจ้าเพียงสองปี ตื่นเช้านอนดึกทุกวันสำนวนความก็เขียนไม่หมดแล้ว เรื่องราวครอบครัวของคนใหญ่คนโตเพียงนี้ข้าจะมีใจไปสนใจถามไถ่ที่ใดกัน”
“อ้อ…” น้ำเสียงของหลินหวั่นชิงเบาลง และความปรารถนาที่จะอวดฉลาดก็เท่ากับคว้าน้ำเหลว สวรรค์ไม่มีตาจริงๆ ความเป็นความตาย เกียรติยศ และความเสื่อมเสียของชาวบ้าน ถึงอย่างไรก็สู้ความคิดของขุนนางชั้นสูงไม่ได้ เมื่อนึกถึงที่เขาต้องตกระกำลำบากเป็นเวลาสิบปีเพื่อที่จะไปศาลต้าหลี่ ต้องละทิ้งตำแหน่งอาลักษณ์ของสำนักหอพระสมุด ยอมไปเป็นเจ้าหน้าที่จดบันทึกเล็กๆ ขั้นเก้าที่ที่ว่าการเมืองหลวงก่อน ตั้งตารอคอยโอกาสนี้ แต่…
หลินหวั่นชิงยิ่งคิดก็ยิ่งคับข้องใจ ยิ่งคับข้องใจก็ยิ่งโกรธ ดังนั้นเมื่อคำว่า ‘ซูโม่อี้ขุนนางอำมหิต’ ระเบิดออกมา ถ้วยในมือของเหลียงเว่ยผิงก็สั่นสะท้านด้วยความตกใจ น้ำชาร้อนๆ กระเซ็นออกมาจนแขนเสื้อกว้างของเขาเปียกชื้น
“เจ้า!” ท่าทีตอบสนองของเหลียงเว่ยผิงรวดเร็วอย่างประหลาด ก่อนที่หลินหวั่นชิงจะด่าสาดเสียเทเสียออกมาเป็นประโยคที่สองอีกฝ่ายก็รีบกระโดดไปข้างหลังของเขาก่อน มือหนึ่งล็อกคอเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งปิดปาก อุดคำพูดของเขาลงไปในคอด้วยความว่องไว “เจ้าอยากตายหรือ”
หลินหวั่นชิงถลึงตามองอีกฝ่ายกลับด้วยความโกรธแค้น ปากก็ส่งเสียงสะอื้นคัดค้าน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการด่าทอขุนนางราชสำนักบนท้องถนนจะได้รับโทษอะไร ปกติเจ้าด่าเจ้าเมืองหลี่ที่ไร้ความสามารถลับหลังกับข้าก็แล้วไปเถอะ แต่กับใต้เท้าซูเจ้ายังกล้าที่จะไม่ให้ความเคารพเช่นนี้ ข้าคิดว่าเจ้า…โอ๊ย!”
เหลียงเว่ยผิงพยายามผลักหลินหวั่นชิงออก แล้วมองดูรอยฟันบนมือของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขาวเล็กๆ ที่โกรธเคืองตรงหน้า พร้อมกับถลึงตากลมโตพูดว่า “เจ้ากัดข้า?! เจ้ากล้ากัดข้าหรือ ยังเห็นข้าเป็นพี่ชายร่วมสาบานของเจ้าอยู่หรือไม่!”
หลินหวั่นชิงไม่มีท่าทีอ่อนลงเลย เขาเดินอ้อมโต๊ะหลบการโจมตีของเหลียงเว่ยผิง วิ่งไปพร้อมกับพูดย้อนว่า “ถ้าเช่นนั้นน้องชายขอถามพี่เหลียง ตอนที่สาบานเป็นพี่น้องกับน้องชาย ได้เคยกล่าวคำสาบานว่าจะไม่กลัวผู้มีอำนาจ จะร้องเรียนแทนชาวบ้านที่ถูกใส่ความใช่หรือไม่ เหตุใดเจ้าเมืองหลี่ที่ไม่มีภูมิหลังไร้ความสามารถจึงกล้ารังแก ส่วนซูโม่อี้ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกลับกลัวจนหัวหดเป็นเต่า ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของพี่เหลียงในฐานะปัญญาชนเล่า ความมุ่งมั่นที่จะอุทิศตนเป็นผู้พิพากษาเล่า”
“เจ้า!” เหลียงเว่ยผิงถูกถามจนพูดไม่ออก ได้แต่ไล่ตามหลินหวั่นชิงไปรอบๆ โต๊ะ เสียงฝีเท้าผสมกับเสียงตั้งกระทู้ถามของคนทั้งสองกลบความเงียบสงบในห้องเล็กๆ เมื่อครู่ไปพักหนึ่ง จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูอย่างไม่เร่งรีบดังขึ้น
“นั่นใคร!” ทั้งสองต่างกำลังโกรธ จึงถามขึ้นพร้อมกันด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เสียงเคาะประตูหยุดลงทันที คนที่อยู่ด้านนอกก็เงียบงันไม่พูดไม่จา
ทั้งสองหยุดไล่ตามกันด้วยความประหลาดใจ เวลานี้จึงมีน้ำเสียงหนักแน่นดังมาจากนอกประตู ไม่รีบร้อน ไม่ห่างเหินมากนัก
“ใต้เท้าซู เสนาบดีศาลต้าหลี่เชิญทั้งสองท่านไปสนทนาที่ห้องส่วนตัวที่อยู่ข้างกันนี้”
เหลียงเว่ยผิงอึ้งงัน “…”
หลินหวั่นชิงอึ้งงันยิ่งกว่า “…”
สุภาษิตกล่าวไว้ คนโชคร้าย แม้แต่ดื่มน้ำเย็นยังติดฟัน หลินหวั่นชิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง อย่างเช่นเวลานี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าใต้เท้าซูซึ่งเป็นถึงเชื้อพระวงศ์จะมีความชื่นชอบเช่นนี้จริงๆ หลังออกมาจากที่ว่าการเมืองหลวงก็มุ่งตรงมาที่หอสุราแห่งนี้ทันที ทว่าสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือหอสุราว่างเช่นนี้ ห้องส่วนตัวก็มีมากมาย แต่ซูโม่อี้ยังจองห้องที่อยู่ติดกับเขา แม้ว่ากันว่ากำแพงมีหูประตูมีช่อง แต่ตนเองตะโกนด่าไปเพียงไม่กี่ประโยคคนที่อยู่ห้องอื่นกลับได้ยิน ดูเหมือนว่าการตกแต่งของหอสุราแห่งนี้ใช้ไม่ได้…ใช้ไม่ได้จริงๆ
กลิ่นน้ำชาอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ตะเกียงน้ำมันหลายดวงส่องแสงเจิดจ้า ประตูและหน้าต่างของห้องส่วนตัวถูกปิดทั้งหมด ลมและฝนด้านนอกไม่สามารถลอดผ่านเข้ามาได้
หลินหวั่นชิงรู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะห้องที่ปิดแน่น และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะในห้องนี้นอกจากเหลียงเว่ยผิงแล้วก็เป็นกลุ่มองครักษ์ที่พกมีด
และตอนที่พวกเขายืนอยู่หน้าโต๊ะน้ำชาไม้แดง บุรุษที่สวมเกี้ยวหยกบนศีรษะและสวมชุดขุนนางกลับนั่งพิงพนักด้วยท่าทางสบายๆ พลิกสำนวนความที่อยู่ตรงหน้าอ่านโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น ภายในเวลาสองถ้วยชา เขาไม่ได้ชำเลืองมองมาที่พวกเขาแม้แต่ครั้งเดียว
ท่าทางการพลิกหนังสือของซูโม่อี้นั้นงดงามมาก นิ้วมือเรียวยาวสามนิ้วหนีบที่มุมหน้ากระดาษเบาๆ และอีกสองนิ้วที่เหลือก็โค้งเข้าหากันเล็กน้อยดูพอเหมาะพอดีและไม่สูญเสียความน่าเกรงขาม
เสียงกระดาษดังฉับๆ อย่างรวดเร็วรุนแรงจนลำคอของหลินหวั่นชิงตีบตัน หัวใจของเขาเต้นแรง เฝ้าถามตนเองในใจเป็นสิบๆ ครั้งว่าจะต้องยืนต่อไปเช่นนี้จนถึงเมื่อไร สู้ฟันแสกหน้ากันไปเลยยังจะดีเสียกว่า
เขาเปิดปาก เตรียมที่จะโพล่งออกไป แต่คำว่า ‘ซู’ ยังไม่ทันหลุดออกจากปาก เหลียงเว่ยผิงก็ดึงแขนเขาเอาไว้ ก็ได้…ครั้งนี้เขาทำให้เหลียงเว่ยผิงต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยจริงๆ ไม่พูดมากก็ไม่พูดมาก ดังนั้นปากที่อ้าออกจึงปิดลงอย่างอารมณ์ไม่ดี
“เจ้าบอกว่าหวังหู่ไม่ใช่ฆาตกร แล้วใครคือฆาตกรกัน”
ในที่สุดคนที่นั่งพิงพนักก็มีการตอบสนอง เขาชูนิ้วเรียวยาวขึ้น โยนสำนวนความในมือลงบนโต๊ะน้ำชาตามอารมณ์จนเกิดเสียงดัง
เหลียงเว่ยผิงตกใจจนตัวสั่นกับคำถามที่ดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ใต้เท้าซูหมายถึงคดีฆ่าข่มขืน หรือฆาตกรในคดีหวังหู่ขอรับ”
“คดีฆ่าข่มขืน” คนที่อยู่หลังโต๊ะน้ำชาใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะ องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ก็ก้าวไปข้างหน้าและรินชาให้ทั้งสองคนคนละหนึ่งถ้วย
“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับฆาตกรบ้าง” น้ำเสียงของซูโม่อี้สงบยิ่ง แม้น้ำชาจะถูกรินให้คนทั้งสอง แต่คำพูดของเขากลับเป็นการถามหลินหวั่นชิง
หลินหวั่นชิงไม่พูด แต่รับถ้วยน้ำชามาก่อน ชาเหมาเฟิงจากเขาหวงซานชุดแรกของฤดูใบไม้ผลิปีนี้ ใบชาควรเก็บหลังฝนตกครั้งแรกในช่วงชิงหมิงหลังจากตากแดดจนแห้งแล้วจึงค่อยๆ แปรรูปด้วยความระมัดระวัง กลวิธีนั้นซับซ้อนยิ่ง แต่เขาหวงซานอยู่ไกลจากเมืองเซิ่งจิง และช่วงชิงหมิงก็เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน จึงน่าจะต้องมีคนเก็บนำมาแปรรูปแล้วส่งมาอย่างรวดเร็ว…เมื่อมองไปที่ถ้วยน้ำชาในมือ มันคือหยกเหอเถียนซึ่งมีสีขาวแวววาวและโปร่งแสงทั้งใบ เหมือนเทียนสีขาวหลังขัดเรียบแล้วที่ดูไม่พบสิ่งเจือปนแม้แต่น้อย
หลินหวั่นชิงกลืนน้ำลาย เพราะเขารู้ว่าชาเหมาเฟิงระดับนี้ ถ้วยหยกคุณภาพสูงเช่นนี้ นอกจากฮ่องเต้มอบให้แล้วเจ้าเมืองหลี่ซึ่งเป็นขุนนางลำดับรองขั้นสี่ไม่มีทางมีได้ หอสุราเช่นนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดูเหมือนว่าชาเหมาเฟิงและถ้วยชานั้นล้วนเป็นของที่ซูโม่อี้นำติดตัวมาเอง แต่คนเช่นใดกันเล่าที่จะนำใบชาและถ้วยชามาดื่มที่หอสุราเอง
หลินหวั่นชิงลำคอตีบตันไปชั่วขณะ ความคิดจิตใจปั่นป่วนยิ่ง
“ใบชาและถ้วยนี้ข้าเป็นคนนำมาเองทั้งหมด”
หลินหวั่นชิงมองหน้าอีกฝ่าย “…”
“ตอบคำถามของข้าได้หรือยัง”
น้ำชาในมือของหลินหวั่นชิงสั่นไหว เขาพยายามระงับความกระวนกระวาย ก่อนตอบด้วยเสียงต่ำว่า “ฆาตกรผู้นั้นน่าจะเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างไม่สูงใหญ่นัก หรืออาจจะผอมบางและอ่อนแอเล็กน้อย เขาไม่ใช่คนของกองทัพอย่างแน่นอน และน่าจะเป็นคนทำงานที่ค่อนข้างต่ำต้อย รู้สึกดูถูกตนเอง สังคมแคบ เป็นคนชอบสันโดษ”
“มองออกจากด้านใด” น้ำเสียงที่เอ่ยถามยังคงเย็นชาปราศจากอารมณ์ใดๆ
หลินหวั่นชิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง ก่อนโค้งคำนับซูโม่อี้เล็กน้อยแล้วพูดว่า “ข้าขอเรียนถามใต้เท้าว่ายังจำสภาพการตายของเหยื่อได้หรือไม่”
“อืม ถูกปิดตาทั้งสองข้าง มือและเท้าถูกมัด ร่างกายท่อนล่างและทรวงอกถูกแทงด้วยของมีคมหลายจุด”
“ถูกต้อง” หลินหวั่นชิงพยักหน้าแล้วถามอีกครั้งด้วยท่าทีครุ่นคิด “หากใต้เท้าเป็นนักโทษฆ่าข่มขืนผู้นี้และได้เตรียมที่จะฆ่าปิดปากไว้ตั้งแต่ก่อนก่อคดีแล้ว เหตุใดยังต้องปิดตาของเหยื่อด้วย”
“ตะ…ใต้เท้า…จะเป็นนักโทษฆ่าข่มขืนได้อย่างไร” น้ำเสียงตกใจกลัวของเหลียงเว่ยผิงดังมาจากข้างๆ
แต่ซูโม่อี้กลับไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขาโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้หลินหวั่นชิงพูดต่อไป
“ในขั้นตอนการก่อคดีของนักโทษที่ทำผิดกฎหมายทางเพศ ความสุขทั้งหมดนั้นมาจากการต่อต้าน การดิ้นรน และความสิ้นหวังของเหยื่อ ดวงตาเป็นช่องทางที่ดีที่สุดในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ แล้วเขาจะปิดมันไว้ด้วยเหตุใด”
ซูโม่อี้ไม่พูดอะไรและสีหน้าก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ
เหลียงเว่ยผิงที่อยู่ข้างๆ กลัวความเงียบเช่นนี้มาก ดังนั้นเขาจึงรีบคลี่คลายสถานการณ์โดยพูดว่า “อะ…อาจเป็นเพราะ…ความชอบทางเพศเป็นพิเศษ…”
หลินหวั่นชิงไม่ได้รีบร้อนที่จะโต้แย้งเหลียงเว่ยผิง ยังคงถามต่อว่า “แล้วการที่มือและเท้าถูกมัดไว้เป็นเพราะอะไร”
“บางที…บางที…ยังคงเป็นเพราะความชอบทางเพศ…”
“แล้วอวัยวะเพศที่ร่างกายท่อนล่างของผู้ตายถูกแทงด้วยมีดคมเล่า”
“ยังคง…ยังคงเป็น…ความชอบทางเพศ…”
“…” หลินหวั่นชิงมองเหลียงเว่ยผิง ท่าทางพูดไม่ออก
เหลียงเว่ยผิงถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ก็รู้สึกหวาดกลัว พลันก็กระโดดขึ้นจากเก้าอี้ทรงกลมราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ พร้อมยืดคอพูดว่า “ขะ…ข้าเพียงคาดเดา…ข้าไม่ได้มีความชอบเช่นนี้…”
หางตาของหลินหวั่นชิงกระตุก น้ำเสียงแฝงความจนใจเล็กน้อย “ตามความเห็นของข้าทั้งหมดนี้ล้วนมีสาเหตุ”
ซูโม่อี้เอ่ย “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
หลินหวั่นชิงแย้มยิ้มอย่างใจเย็น “ประการแรกฆาตกรมัดมือและเท้าของเหยื่อเพราะเขาไม่แข็งแรงขนาดที่จะสามารถควบคุมเหยื่อได้ตลอดระยะเวลาในการก่อคดี ดังนั้นเขาจึงยอมเสียเวลามัดคนตายไว้ โดยยอมเสี่ยงกับการที่จะถูกพบในที่เกิดเหตุ นี่แสดงให้เห็นว่าฆาตกรกลัวว่าตนเองจะสู้เหยื่อไม่ไหว”
“ถ้าเช่นนั้นบุรุษแบบใดกันที่จะประเมินตนเองได้เพียงนี้” หลินหวั่นชิงยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง ถามเองตอบเอง “รู้สึกดูถูกตนเองอย่างมาก บุรุษที่รู้สึกดูถูกตนเองอย่างมากจะกลัวว่าเหยื่อจะเห็นตนเอง การจ้องมองของพวกนางน่าขนลุกขนพอง และไม่สามารถมีความสุขกับการเข่นฆ่าได้ ดังนั้นเขาจึงต้องปิดตาของผู้ตายทั้งสองข้าง”
เหลียงเว่ยผิงได้ยินดังนั้นก็อ้าปากค้าง อยากจะพูดอะไรบางอย่าง
หลินหวั่นชิงไม่ให้โอกาสเขาโดยพูดต่อว่า “สุดท้ายร่างกายท่อนล่างของผู้ตายถูกทำลาย จึงทำให้รู้ว่าเหตุใดฆาตกรจึงรู้สึกดูถูกตนเอง”
ซูโม่อี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้ายังคงยากที่จะคาดเดาเช่นเคย หากไม่ใช่เพราะเขาเอนตัวไปทางหลินหวั่นชิงโดยไม่รู้ตัว หลินหวั่นชิงก็เกือบจะคิดว่าเขาไม่สนใจแล้ว
“ของเขาไม่แข็งตัว”
ทุกคนในที่นั้นต่างตะลึงงัน
“บุรุษที่ไม่แข็งตัวไม่สามารถร่วมประเวณีกับสตรีตามปกติได้ ดังนั้นจึงทำให้จิตใจของเขาบิดเบือน จึงทำได้เพียงจินตนาการว่ามีดที่เย็นเฉียบนั้นเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของตนเอง แล้วใช้มันทิ่มแทงร่างกายท่อนล่างของผู้ตายครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ได้รับความสุข และเพราะของเขาไม่แข็งตัวก็เลยรู้สึกดูถูกตนเอง เมื่อเชื่อมโยงเข้าด้วยกันรายละเอียดของคดีก็จะมีเหตุมีผล”
ฝนที่ด้านนอกยังคงตกอยู่ และเนื่องจากหน้าต่างถูกปิดอยู่ เสียงคนเดินถนนและเสียงล้อที่บดผิวถนนต่างถูกปกคลุมด้วยชั้นหมอกที่อบอ้าว เมื่อเทียบกับบรรยากาศแปลกประหลาดในห้องนี้กลับทำให้หัวใจเต้นเร็วยิ่งขึ้น
ซูโม่อี้ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจเช่นกัน ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้เขาดุจดั่งหยกแกะสลักที่ซ่อนอยู่ในกลิ่นน้ำชาที่หอมอบอวล ปราศจากอารมณ์ใดๆ บางทีอาจเป็นเพราะการบีบคั้นจากการเป็นขุนนางมาเป็นเวลานาน หรือบางทีอาจเป็นเพราะอุปนิสัยที่เกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ของเขา หลินหวั่นชิงจึงเก็บความมุทะลุเมื่อครู่กลับมาโดยไม่มีสาเหตุและได้แต่เหลือบตามองเขานิ่งๆ
นิ้วมือขาวราวกับหยกที่วางอยู่บนขอบถ้วยเคาะเบาๆ สามครั้ง ซูโม่อี้ที่เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มพูดขึ้นว่า “เจ้าหน้าที่หลินวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุมีผล”
หลินหวั่นชิงตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ ประโยคนี้ฟังแล้วเป็นคำชมที่ไม่เหมือนคำชม ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะพูดต่ออย่างไรดี จึงได้แต่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถ้าเช่นนั้นคดีนี้ใต้เท้าซูจะรับไป?”
ซูโม่อี้ไม่ตอบหลินหวั่นชิง เพียงยกมุมปากขึ้น ก่อนลุกยืนและเลิกเสื้อคลุมด้านหน้าขึ้นทำท่าจะจากไป
หลินหวั่นชิงสับสนยิ่งกว่าเดิม เขารีบหมุนตัวตามอีกฝ่าย “ใต้เท้าซู?”
คนตรงหน้าชะงักฝีเท้า ในน้ำเสียงมีทั้งความชื่นชมและความเสียดาย “คดีนี้เป็นของที่ว่าการเมืองหลวง แม้ศาลต้าหลี่จะมีอำนาจในการยื่นข้อเสนอ แต่ในเมื่อเจ้าเมืองหลี่ประกาศว่าคดีนี้ได้ถึงที่สุดแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่กรมอาญาต้องพิจารณาทบทวน”
“ดังนั้นแม้ใต้เท้าจะรู้ว่าหวังหู่ถูกใส่ร้าย ฆาตกรตัวจริงลอยนวลอยู่เหนือกฎหมายก็ไม่คิดที่จะเข้าไปแทรกแซงหรือ”
ซูโม่อี้หันมามองหลินหวั่นชิง เนื่องจากรูปร่างของคนทั้งสองแตกต่างกัน เขาจึงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย จ้องมองอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยสายตาเหยียดหยาม “ข้าไม่รู้ว่าหวังหู่เป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ แต่ข้ารู้ว่าเจ้ารู้แต่เรื่องคดีฆ่าข่มขืน แต่ไม่รู้เรื่องคดีของหวังหู่ เจ้ารู้จักแต่เจ้าเมืองหลี่ แต่ไม่รู้จักข้า”
ซูโม่อี้ยิ้มและตั้งคำถามย้อนถามอย่างใจเย็น “ใช่หรือไม่”
หลินหวั่นชิงไม่มีอะไรจะพูด
ซูโม่อี้จึงเดินตัวตรงออกจากห้องไปและสั่งให้องครักษ์เตรียมรถม้าให้พร้อม
จนกระทั่งซูโม่อี้และคนทั้งขบวนออกไปจากหอสุราและขึ้นรถม้าไปแล้ว หลินหวั่นชิงจึงได้สติ ก่อนมองไปที่เหลียงเว่ยผิงที่สับสนยิ่งกว่าตนเองแล้วถามว่า “คำพูดที่เขาพูดเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร”
ถนนที่ถูกฝนชะล้างมีน้ำขัง ล้อรถม้าวิ่งผ่านจะเปื้อนน้ำเล็กน้อย
เยี่ยชิงขี่ม้า หันไปมองคนที่อยู่ด้านหลังที่วันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อยเป็นครั้งคราว เขาติดตามซูโม่อี้มาเกือบสิบปี และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้เป็นนายทำสิ่งที่เหลือเชื่อเช่นนี้ โดยการส่งเขาไปสะกดรอยตามขุนนางเล็กๆ สองคนนั้นก่อน จากนั้นก็ให้เขาไปเชิญคนที่เหยียดหยามตนเองสองคนนั้นมาพบ สุดท้ายก็ออกจากหอสุราพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากด้วยความพึงพอใจ…
เยี่ยชิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแปลก จึงเผลอกระชากสายบังเหียนในมืออย่างแรงโดยไม่ทันระวัง ทำให้ม้าตกใจและเกิดเสียงดังโวยวายขึ้นในรถม้า
“หากยังเหลียวซ้ายแลขวานึกตำหนิในใจ เจ้าก็ไม่ต้องติดตามข้าอีก ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจงไปปัดกวาดเช็ดถูที่ศาลต้าหลี่เสีย”
น้ำเสียงใจเย็นดังมาจากทางด้านหลัง ไม่ได้แสดงความฉุนเฉียวแต่ยังคงน่าเกรงขาม เยี่ยชิงรู้สึกหวาดกลัว จึงรีบหันหลังกลับราวกับยอมแพ้ ทว่ากลับได้ยินคนที่อยู่ด้านหลังพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าหน้าที่จดบันทึกผู้นั้นเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในด้านการพิพากษาที่หายากผู้หนึ่งจริงๆ เสียดายที่เป็นเพียงเจ้าหน้าที่จดบันทึก นับเป็นการใช้ผู้มีความรู้ความสามารถไปทำงานง่ายๆ โดยแท้”
เยี่ยชิงตกใจ รู้สึกว่าผู้เป็นนายของตนเองอาจมีวิชาอ่านใจคน ไม่ว่าความคิดอะไร ของใคร หรือเวลาใดล้วนไม่สามารถรอดสายตาของเขาไปได้
“แล้วเหตุใดใต้เท้าไม่…”
ไม่ได้รอให้เยี่ยชิงถามจนจบ ซูโม่อี้ก็ยิ้มแล้วทำเสียงฮึ่ม แล้วโยนของบางอย่างลงบนโต๊ะในรถม้า พูดเสียงทุ้มว่า “น่าเสียดายที่เขาเชี่ยวชาญในการไขคดีเพียงอย่างเดียว แต่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องแวดวงขุนนาง นิสัยปากสว่างเช่นนี้อยู่ในศาลต้าหลี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่”
เยี่ยชิงกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย เขาถามขึ้นอีกครั้งว่า “แล้วใต้เท้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป”
ซูโม่อี้เงียบงันไปครู่หนึ่ง สายตามองไปที่สำนวนความม้วนหนึ่งบนโต๊ะเล็ก ก่อนที่แววตาจะเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย เขาวางนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือลงบนเข่าคลึงไปมาพร้อมพูดเบาๆ “รอไปก่อน ผ่านความลำบากอีกสักหน่อยก็จะเข้าใจเอง”
“แต่สองคดีนั้นใต้เท้าไม่สนใจจริงๆ หรือขอรับ” บางทีอาจเป็นเพราะกลัวจะถูกตำหนิ เยี่ยชิงจึงถามอย่างระมัดระวัง
ซูโม่อี้คร้านที่จะพูดกับเยี่ยชิงมากเกินไป จึงพูดด้วยท่าทีแปลกๆ ว่า “เจ้ารู้จักข้าเป็นวันแรก? ขณะที่ฮ่องเต้ทรงกำลังจะปรับปรุงกฎหมายของราชสำนัก แต่คนที่ถูกวางไว้ในจวนของราชเลขาซ่งก็หายตัวกันไปหมด คดีของหวังหู่ซับซ้อนเพียงใด เจ้าหน้าที่จดบันทึกเล็กๆ อย่างเขาไม่รู้ได้ แต่เจ้าจะไม่รู้เชียวหรือ”
เยี่ยชิงถูกซูโม่อี้ตำหนิอย่างไม่มีสาเหตุจึงพูดอย่างไม่เต็มใจ “หากใต้เท้าปล่อยไปไม่สนใจ เมื่อไปถึงกรมอาญาจะมีทางหนีทีไล่ได้อย่างไรขอรับ”
ซูโม่อี้ยิ้มเยาะ ข้อนิ้วชี้เคาะโต๊ะตัวเตี้ยในรถม้าจนส่งเสียงเบาดังต่อเนื่องพลางครุ่นคิด ก่อนที่ซ่งเจิ้งสิงจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นราชเลขาธิการ ซ่งเจิ้งสิงเคยเป็นเสนาบดีกรมอาญามาก่อน เมื่อคดีไปถึงกรมอาญา สำหรับเบื้องล่างซูโม่อี้สามารถขุดหาพรรคพวกที่ซ่งเจิ้งสิงทิ้งไว้ได้ สำหรับเบื้องบนก็จะคอยดูว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคนผู้นี้เป็นสัตว์ประหลาดหรือภูตผีปีศาจชนิดใดกัน ต้องรู้ว่าคดีที่ฮ่องเต้จับตาดูอยู่ไม่ใช่เพียงราชเลขาธิการธรรมดาๆ ก็จะสามารถรับผิดชอบควบคุมได้
แต่ความคดเคี้ยวและกลอุบายในราชสำนักเหล่านี้ซูโม่อี้คร้านที่จะบอกเยี่ยชิงจริงๆ จึงพูดอย่างเย็นชาประโยคหนึ่งว่า “เจ้าเป็นองครักษ์คนสนิทของข้า ไม่ใช่รองเสนาบดีศาลต้าหลี่”
“…” เยี่ยชิงคับแค้นใจจนพูดไม่ออก คิดในใจว่าโรคปากร้ายของผู้เป็นนายคงจะกำเริบอีกแล้ว จึงทำได้เพียงก้มหน้า หุบปาก และบังคับรถม้าต่อไปอย่างเงียบๆ
หลังจากเดินทางไปได้ไม่กี่ช่วงถนนรถม้าก็มาจอดที่หน้าประตูศาลต้าหลี่ ซูโม่อี้จัดชุดขุนนางให้เข้าที่แล้วลงจากรถ ขณะที่กำลังสั่งให้คนนำสำนวนความไปไว้ในห้องหนังสือที่เขาใช้จัดการหนังสือราชการอยู่นั้น เสียงล้อรถเหยียบฝนดังกุกกักๆ ก็ดังมาจากระยะไกล
“ซื่อจื่อ” คนที่มาก็คือพ่อบ้านชราที่จวนของซูโม่อี้ เขายื่นจี้หยกชิ้นหนึ่งให้ซูโม่อี้แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้เป็นวันอะไร”
ซูโม่อี้มองจี้หยกแล้วก็สะดุ้ง นึกขึ้นมาได้ทันใดว่าวันนี้เป็นวันพระราชสมภพของไทเฮา ดูเหมือนว่าระยะนี้งานยุ่งจริงๆ แม้แต่วันเช่นนี้ก็ยังลืมเสียได้ ไทเฮาเลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ เป็นเหมือนบิดามารดา หากรู้ว่าเขาจำไม่ได้แม้กระทั่งวันพระราชสมภพของตนเอง เกรงว่าคงจะเสียใจจริงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อย หยิบจี้หยกจากในมือของพ่อบ้านแล้วมองไปทางด้านหลังของเขา ช่างเป็นผู้อาวุโสที่รู้ใจจริงๆ แม้แต่ของที่สวมใส่ในการเข้าวังก็นำมาด้วย
ซูโม่อี้จึงรู้สึกวางใจและเดินตามพ่อบ้านชราเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมกับสั่งให้เยี่ยชิงไปนำหนังสือที่เหลืออยู่ชุดเดียวซึ่งรวบรวมไว้ในห้องหนังสือของเขามา
ไทเฮาชื่นชอบหนังสือ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังไม่ได้อภิเษกสมรสก็มีนิสัยเช่นสตรีทั่วไป โดยชื่นชอบนิทานพื้นเมืองตามร้านหนังสือทั่วไป ต่อมาเมื่อเข้าวังและเป็นที่โปรดปรานจึงต้องวางตนให้ภูมิฐานสง่างาม ต้องดูแลเอาใจใส่ราษฎร ความชื่นชอบในการอ่านนิทานพื้นเมืองซึ่งไม่เป็นที่เชิดหน้าชูตาจึงต้องละทิ้งไป แน่นอนว่าใต้เท้าซูผู้รอบรู้ทุกรายละเอียดเข้าใจเป็นอย่างดี
หลังจากซูโม่อี้จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ใช้ปกหนังสือประวัติศาสตร์ห่อหนังสือนิทานพื้นเมือง จากนั้นก็เข้าวังก่อนที่งานเลี้ยงในพระราชวังจะเริ่มขึ้น
งานเลี้ยงวันพระราชสมภพของไทเฮาเป็นงานสำคัญ แต่ไทเฮาเป็นคนประหยัดมาโดยตลอด และครั้งนี้ก็ไม่ใช่วันพระราชสมภพรอบสิบปี จึงไม่ได้จัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ เพียงจัดงานเลี้ยงขึ้นในพระราชอุทยานภายในพระราชวังเท่านั้น โดยพระราชวงศ์และข้าราชสำนักขั้นสามขึ้นไปสามารถนำครอบครัวมาร่วมงานได้
ตอนที่ซูโม่อี้ไปถึงยังเช้ามาก และหลังจากพบกับสหายร่วมงานและบรรดาญาติในตระกูลเดียวกันแล้ว สายตาของเขาก็จ้องมองไปที่ตำแหน่งของราชเลขาซ่ง ที่นั่งนั้นว่างเปล่า แม้จะสมเหตุสมผล แต่ในใจของซูโม่อี้ก็เกิดความรู้สึกหดหู่ใจอย่างไม่คาดคิด…
“จิ่งเช่อ”
ซูโม่อี้ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย เมื่อหันตัวกลับไปก็ชนเข้ากับคนที่อยู่ข้างๆ ขณะที่เขากำลังจะแสดงการคารวะและขออภัยก็ถูกใครบางคนจับมือไว้ ท่าทีดูสนิทสนมมาก เขาสะดุ้งแล้วพูดว่า “เหลียงอ๋อง”
เมื่อเหลียงอ๋องเห็นเขาเคร่งครัดในมารยาทปานนี้ก็หัวเราะออกมา ก่อนปล่อยมือที่จับเขาไว้แล้วเอ่ย “พูดถึงลำดับชั้นญาติข้าเป็นตาของเจ้า ความเคยชินที่เอ่ยปากก็เรียกตำแหน่งเช่นนี้เกิดจากการถูกบังคับในแวดวงขุนนางสินะ”
ซูโม่อี้พยักหน้าแต่ไม่ได้ตอบ พูดถึงลำดับชั้นญาติเหลียงอ๋องเป็นอาของมารดาเขาจริงๆ แต่เนื่องด้วยความสัมพันธ์จากการแต่งงานระหว่างเหลียงอ๋องและครอบครัวของพระมารดาขององค์รัชทายาท ดังนั้นในราชสำนักทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็น ‘ฝ่ายองค์รัชทายาท’ ซูโม่อี้ทำงานให้กับฮ่องเต้เท่านั้นและไม่ต้องการขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจใดๆ ในราชสำนัก ดังนั้นในโอกาสเช่นนี้จึงแสดงท่าทีทำตามระเบียบปฏิบัติ
“เรื่องนั้นเจ้าก็รู้แล้วหรือ”
ซูโม่อี้เงยหน้าและเห็นว่าเหลียงอ๋องกำลังมองดูที่นั่งที่ว่างเปล่าของราชเลขาซ่ง
“วันนี้ได้รับคำสั่งให้ไปที่ที่ว่าการเมืองหลวงจึงได้รู้พ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ยินมาว่าฆาตกรถูกจับในที่เกิดเหตุ?” เหลียงอ๋องสะบัดแขนเสื้อแล้วถามด้วยท่าทีสบายๆ
ทั้งสองเดินไปตามทางเดินเล็กๆ ในพระราชอุทยานไปยังที่นั่งของพระราชวงศ์ เดิมทีเป็นบรรยากาศที่ทางเดินเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ แต่ซูโม่อี้เมื่อได้ยินดังนั้นกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ผู้ถูกจับกุมยังไม่ผ่านการตรวจสอบจากกรมอาญา เกรงว่ายังไม่สามารถนับเป็นฆาตกรได้พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงหัวเราะเบิกบานดังขึ้น ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าหยุดลงแล้วหันมามองเขา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ใต้เท้าซูมีเหตุมีผล ทำงานตามระเบียบข้อบังคับ วันนี้นับว่าข้าได้ความรู้แล้ว”
เมื่อเห็นว่าซูโม่อี้ยังคงไม่แสดงสีหน้าอะไร เหลียงอ๋องจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที เอ่ยขึ้นอีกว่า “หวังหู่องครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ผู้นั้น ข้าเคยได้ยินเรื่องของเขามาบ้าง”
“อ้อ” ซูโม่อี้รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้เขามีชื่อเสียงฉาวกระฉ่อนในหมู่องครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ ตามที่สหายร่วมงานของเขาพูดกัน เดิมทีหวังหู่เป็นคนที่ลุ่มหลงในสุรานารี แล้วยังเป็นแขกประจำของหอคณิกา ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำตามอำเภอใจถึงเพียงนี้…” เหลียงอ๋องถอนหายใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเสียดายเป็นอย่างยิ่ง “ตอนนี้เขาถูกจับแล้วและใช้ความตายเป็นการยอมรับผิด การได้รับโทษเช่นนี้ก็ถือว่าสมควรแล้ว”
ซูโม่อี้ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เดินตามเหลียงอ๋องไปตามทางเดินอย่างเงียบๆ
แสงจันทร์ส่องสว่างเหนือยอดต้นหลิว สายลมยามค่ำพัดผ่านเรือน โคมไฟส่องแสงสลัวๆ ลงบนตัวของซูโม่อี้ ทำให้ดูสนิทสนมและเฉยชาในเวลาเดียวกัน ต้องบอกว่าเวลานี้ซูโม่อี้อายุยังน้อย แต่ยามต้องเผชิญหน้ากับชินอ๋องที่อายุมากกว่าตนเองมาก ความเยือกเย็นจากการเคร่งครัดในกฎหมายที่แสดงออกมาก็ทำให้เกิดความน่าเกรงขามตามธรรมชาติ เวลาที่เขาไม่พูดก็สามารถสร้างความกดดันที่มองไม่เห็นให้กับผู้คนได้แล้ว
เหลียงอ๋องเองก็เงียบตามไปด้วยเช่นกัน เดิมทีคิดจะเอ่ยปากกล่าวอะไรบางอย่างอีก แต่เสียงของขันทีที่ตะโกนอย่างสุดเสียงดังมาแต่ไกล ทุกคนในที่นั้นเมื่อได้ยินต่างพากันคุกเข่าลงเป็นแถว
งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้น หลังจากขุนนางทั้งหมดถวายบังคมแล้วก็เป็นการร้องรำทำเพลง
ตำแหน่งของซูโม่อี้ถูกจัดอยู่ท่ามกลางพระโอรส ซึ่งอยู่ต่ำกว่าองค์รัชทายาทเพียงขั้นเดียวเท่านั้น ขณะที่เขานั่งลงก็เงยหน้าขึ้นมองไทเฮาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล วันนี้ผู้อาวุโสสวมชุดพิธีการสีแดงอมทองที่เต็มไปด้วยความเบิกบาน กำลังเอียงกายพูดกับหมัวมัว* ที่อยู่ข้างๆ แต่สายตากลับทอดมองไปยังผู้คนที่นั่งอยู่ด้านล่างราวกับกำลังมองหาใครสักคน
จะตามหาใครได้อีกเล่า ซูโม่อี้ก้มศีรษะและหัวเราะเบาๆ โดยใช้ปลายนิ้วลูบหนังสือนิทานพื้นเมืองชุดนั้น
“เสด็จยาย” เขาเดินไปช้าๆ “วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของพระองค์ หลานจะต้องมาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้ไทเฮาเพิ่งเพ่งสายตา ใบหน้าที่มองเขาอยู่แย้มยิ้มตามสัญชาตญาณ แต่เพียงไม่นานก็ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรจึงแสร้งหุบยิ้ม ทำท่าทางแปลกๆ สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดูทั้งแย้มยิ้มทั้งโกรธเคือง
ซูโม่อี้ถูกไทเฮาดึงตัวมาข้างหน้า “ที่แท้เจ้ายังจำวันเกิดของยายเจ้าได้ด้วยหรือ” น้ำเสียงเช่นนี้เขาไม่ต้องมองก็รู้ว่าเวลานี้ไทเฮาจะมีสีหน้าเช่นไร
ซูโม่อี้รีบยื่นหนังสือนิทานพื้นเมืองในมือให้พระพลางพูดยิ้มๆ “นี่เป็นของขวัญที่เตรียมไว้ให้เสด็จยายโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อไทเฮาเห็นหนังสือประวัติศาสตร์ชุดหนึ่งที่เขาถืออยู่ในมือก็โกรธมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ขณะที่กำลังจะพิโรธซูโม่อี้ก็หันไปด้านข้างเพื่อบังสายตาของบรรดานางกำนัลและหมัวมัวแล้วเปิดมุมหนึ่งของหนังสือ ก่อนพูดเบาๆ “เหลืออยู่เพียงชุดเดียวเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
โทสะที่กำลังจะปะทุขึ้นมากลับมลายหายไปในทันที ก่อนไทเฮาจะรับสั่งให้คนนำหนังสือไปเก็บให้ดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แล้วหันมาบ่นซูโม่อี้ “น้ำใจของเจ้ามอบให้ยายไม่รู้สึกเสียดายบ้างหรือ เอาไปหลอกสตรีโฉมงามยังจะดีเสียกว่า”
ซูโม่อี้รู้สึกหนาวสันหลังราวกับมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
ไทเฮาจับจ้องเรื่องการแต่งงานของเขา ไม่ใช่เพียงวันหรือสองวัน ก่อนหน้านี้ยังดีที่สุดท้ายก็แล้วแต่เขา ทว่าตั้งแต่เขามาเป็นเสนาบดีศาลต้าหลี่งานก็ยุ่งมากขึ้น ทุกครั้งที่ไทเฮาเห็นเขาหัวข้อสนทนาก็จะกลายเป็น ‘การบังคับให้แต่งงาน’
“เอ่อ…แค่กๆ ไม่ใช่เพราะงานยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจผู้อื่นหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ…” เขากำหมัดและไอเบาๆ สองครั้ง คิดหาเหตุผลพร้อมกับหันหลังเตรียมจะหนี แต่กลับถูกไทเฮาดึงตัวกลับไปอีกครั้ง
“ดูเจ้าสิ วันๆ ไม่อยู่กับคนตายก็พบปะกับนักโทษ บุรุษที่เคยห้าวหาญ สง่าผ่าเผย เวลานี้มักทำหน้าบึ้งตึง ยายเห็นเจ้ายังต้องสวมเสื้อคลุมเพิ่ม ไม่เช่นนั้นมักรู้สึกสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง” หลังจากไทเฮาเอ่ยจบแล้วก็เอาเสื้อคลุมบางๆ มาคลุมตัว
“…” ซูโม่อี้ยืนอย่างเรียบร้อย ทั้งไม่กล้าส่งเสียงใด
“ยายคิดว่าเจ้าถึงวัยตั้งหลักตั้งฐานนานแล้ว หาคนมาดูแลเจ้าสักคนก็ดี ดูแลเจ้าแล้วยังทำให้ยายวางใจด้วย”
“หลานเคารพคำสั่งสอนของเสด็จยายพ่ะย่ะค่ะ” ซูโม่อี้ไม่กล้าฟังต่อไปอีก จึงถวายบังคมอย่างเชื่อฟังและเตรียม ‘วิ่งหนี’
“เพราะฉะนั้น เฮ้อ…เจ้าอย่าหนีนะ” ไทเฮาเอ่ยพร้อมดึงตัวซูโม่อี้กลับไปอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าน้องซูของเจ้ากลับมาที่วังเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่ได้เจอกันหลายปีนางคิดถึงเจ้ามาก ไม่ง่ายเลยกว่าที่เจ้าจะเข้าวังสักครั้ง ประเดี๋ยวพบนางเสียหน่อยนะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 เม.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.