X
    Categories: คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 3 ความผิดพลาด+ใต้แสงจันทร์

แม้สิ่งที่ไทเฮากล่าวจะเป็นประโยคคำถาม แต่ซูโม่อี้ก็รู้ว่านางไม่ได้มีความตั้งใจจะถามเขาเลย ในวันพระราชสมภพของผู้อาวุโส ที่นี่เต็มไปด้วยขุนนางบุ๋น ขุนนางบู๊ และพระราชวงศ์เฝ้ามองอยู่ เขาเองก็ไม่สามารถสาวเท้าหนีได้จริงๆ ดังนั้นจึงทำได้เพียงรับคำเบาๆ อย่างหนาวสันหลัง

ทันทีที่ไทเฮาได้รับความยินยอมจากเขาก็ขยิบตาให้กับฮองเฮาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

น้องซูที่พูดถึงเป็นธิดาองค์เล็กของเฉินฮองเฮา ซึ่งเป็นหลานสาวแท้ๆ ของไทเฮา และนับว่าเป็นสหายเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ของซูโม่อี้ เนื่องจากตอนยังเยาว์ร่างกายอ่อนแอและมักเป็นหวัดบ่อยๆ หมอหลวงจึงแนะนำให้ส่งไปเลี้ยงดูที่เจียงหนาน ซึ่งอบอุ่นกว่าเมืองเซิ่งจิง เวลาสิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากหญิงสาวตัวเล็กๆ ก็กลายเป็นสาวงามสะโอดสะอง เมื่อเดือนที่แล้วหลังจากหมอหลวงได้จับชีพจรแล้วก็คิดว่าร่างกายของนางหายดีแล้ว น่าจะกลับเมืองหลวงได้ เฉินฮองเฮาจึงได้ส่งคนไปรับนางกลับมา

ทางนี้บังเอิญไทเฮาได้ยินว่าฮ่องเต้ได้มอบหมายคดียากให้กับซูโม่อี้อีกแล้ว ขณะที่กำลังทอดถอนใจต่อว่าฮ่องเต้ที่คำนึงถึงแต่บ้านเมืองของตนเองเองโดยไม่เป็นห่วงหลานชายผู้นี้แม้แต่น้อยอยู่นั้น บางทีองค์หญิงจยาติ้งอาจจะต้องการกู้หน้าให้ผู้เป็นบิดา จึงได้สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับท่านพี่ซูผู้นี้เล็กน้อย

ทั้งไทเฮาและฮองเฮาล้วนเป็นสตรีที่อยู่ในวังมาเป็นเวลานาน จึงเข้าใจความคิดความอ่านของเด็กสาวเหล่านี้มาโดยตลอด

ทั้งสองเอ่ยถามเพียงไม่กี่ประโยคก็ได้รู้ความคิดขององค์หญิงจยาติ้ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าหลบตา ใบหน้าแดงระเรื่อ จึงคิดว่าน่าจะเกี่ยวดองกันด้วยการอภิเษกสมรส และคงจะไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่ขึ้น

ไทเฮาจับแขนเสื้อกว้างของซูโม่อี้ไว้แน่นด้วยกลัวว่าเขาจะวิ่งหนีไป จับผ้าแพรทอลายก้อนเมฆสีฟ้าชั้นดีจนยับย่น

ซูโม่อี้ดึงแขนเสื้อด้วยความอึดอัด รู้สึกว่าตนเองเหมือนนักโทษที่ถูกคุมตัว

ขณะที่เขากำลังใคร่ครวญ เสียงฝีเท้าเบาและช้าผสมผสานกับเสียงหยกที่ใสกังวานและไพเราะ พร้อมกับเสียงหญิงสาวที่นุ่มนวลก็ดังขึ้นข้างหู

เว่ยซูโน้มกายไปทางซูโม่อี้ ก้มศีรษะเอ่ยด้วยความเขินอายว่า “คารวะท่านพี่”

สตรีที่อยู่ตรงหน้าสวมชุดชาววังสีชมพูรากบัว ซึ่งความจริงแล้วเป็นการแต่งกายที่ธรรมดาอย่างยิ่ง ทว่าเพราะผิวพรรณขาวผ่องและปิ่นระย้าหลายอันบนมวยผมของนางที่แกว่งไปมายามก้าวเดิน ทำให้นางดูเหมือนดอกท้อบนยอดไม้ในเดือนสี่ งดงามสดใสยิ่ง อีกทั้งยังนับว่าเหมาะสมและน่ามอง แม้แต่เสียงพูดก็ยังอ่อนหวานน่าฟัง รูปร่างเองก็อ่อนช้อยอรชร ซึ่ง…ทั้งหมดนี้แตกต่างจากญาติผู้น้องผู้หยิ่งทะนงและเอาแต่ใจในความทรงจำของซูโม่อี้อยู่บ้าง

ซูโม่อี้อดขมวดคิ้วไม่ได้ พร้อมกับเปล่งเสียง “เอ่อ…” ออกมา แขนเสื้อที่ถูกไทเฮาดึงเอาไว้ดูเหมือนจะเอียงไปเล็กน้อย

ซูโม่อี้ควบคุมอารมณ์เอาไว้ แล้วพยายามฝืนยิ้มออกมา

“ถวายบังคมองค์หญิงจยาติ้ง” น้ำเสียงนั้นแข็งทื่อราวกับกำลังสอบปากคำผู้ต้องสงสัย

“อื้ม” ไทเฮาจับมือเว่ยซูแล้วเอ่ยอย่างติดขบขัน “พวกเจ้ารู้จักกันตั้งแต่เด็ก เหตุใดตอนนี้พบกันจึงดูห่างเหินเช่นนี้ จำได้ว่าตอนที่เจ้ายังเด็กมักคอยเดินตามท่านพี่ซูของเจ้าทั้งวันเหมือนเป็นหางเล็กๆ ของเขากระนั้น”

หญิงสาวก้มศีรษะ ใบหน้าแดงระเรื่อ นางเอ่ยอย่างอ้ำอึ้งว่า “เสด็จย่าทรงอย่าล้อซูเอ๋อร์เลยเพคะ”

น้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนหวานเช่นนี้ ไม่ว่าบุรุษคนใดได้ฟังแล้วก็ต้องจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่คิ้วของซูโม่อี้กลับยิ่งขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนหว่างคิ้วทั้งสองปรากฏเส้นขึ้นสามเส้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเขา นับตั้งแต่เขาเข้าสู่ศาลต้าหลี่เป็นต้นมา นักโทษหญิงที่ฆ่าสามีหรือลอบเป็นชู้เพื่อแย่งชิงสมบัติที่เขาพบเกือบทั้งหมดล้วนเป็นสตรีที่มีลักษณะงดงามเฉิดฉาย อ่อนช้อย และไม่มีพิษมีภัยเช่นนี้ เพราะสตรีเช่นนี้รู้จักใช้จุดเด่นของตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทอง ความรัก ความสงสาร และชีวิตของบุรุษ…

แขนเสื้อเอียงขึ้นไปอีก พอซูโม่อี้รู้สึกตัวก็พบว่าไทเฮามีสีหน้าเคร่งขรึมซึ่งแสดงความรู้สึกว่า ‘หากเจ้ากล้าไม่ตอบ เราจะได้เห็นดีกัน’

เขารู้สึกจนใจอย่างยิ่ง จึงลูบๆ หน้าผากตนเองแล้วยิ้มตามมารยาท

เมื่อเห็นเช่นนั้นไทเฮาจึงปล่อยมือ ก่อนจะผลักซูโม่อี้ไปทางเว่ยซูแล้วกล่าว “อย่าเห็นว่าซูเอ๋อร์ญาติผู้น้องของเจ้าพูดจาสุภาพอ่อนโยน ในช่วงหลายปีที่นางไปเจียงหนานยังได้ศึกษาการพิพากษาคดีแปลกๆ ด้วยตนเองด้วย เมื่อไม่กี่วันก่อนยังได้หาหนังสือรวบรวมการตรวจสอบบาดแผลมาหารือกับยายอยู่เลย”

ซูโม่อี้พยักหน้าอย่างห่างเหินยิ่งและไม่ได้พูดจาอันใด

เว่ยซูพยายามใช้คำพูดของไทเฮาให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ นางเอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้วเพคะ ในหนังสือเล่มนั้นบอกว่าสามารถใช้วิธีหยดเลือดบนกระดูกศพพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้ นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน…”

“เพราะนั่นเป็นเรื่องหลอกลวง” ซูโม่อี้ขัดจังหวะเว่ยซูด้วยสีหน้าเย็นชา โดยไม่เห็นแก่หน้าใครแม้แต่น้อย

เว่ยซูพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แต่…ข้าเห็นในหนังสือกล่าวไว้…”

“ของเหลวจะซึมเข้าไปในกระดูกก็เพราะมีรอยร้าวเล็กๆ ในกระดูก ไม่เกี่ยวกับมีหรือไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด” ดวงตาทั้งคู่ของซูโม่อี้มองตรงไปข้างหน้า มือลูบแขนเสื้อที่ไทเฮาจับจนยับนั้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมต่อว่า “หากทรงชอบการพิพากษาและการตรวจสอบบาดแผลลองอ่านหนังสือทางการแพทย์ให้มากๆ จะดีกว่าการเชื่อคำพูดที่ไม่มีมูลความจริงที่เล่าลือต่อๆ กันไปตามท้องถนนง่ายๆ”

ทุกคนต่างพากันเงียบเหมือนเป็นใบ้ไปหมด แม้เว่ยซูจะใจกว้างเพียงใด แต่ในเวลานี้ก็ไม่สามารถระงับสีหน้าที่บึ้งตึงเอาไว้ได้แล้ว หญิงสาวที่เพิ่งกลับวังมาไม่นาน แม้กระทั่งอยู่ต่อหน้ามารดาผู้ให้กำเนิดยังเหนียมอาย เมื่อถูกซูโม่อี้ต่อว่าต่อขานเช่นนี้ใบหน้าก็ยิ่งขึ้นสีแดงตั้งแต่แก้มจนถึงคอ นิ้วขาวทั้งสิบนิ้วจับใบหน้าเล็กของตนเองเอาไว้อย่างทำอะไรไม่ถูก พร้อมกัดริมฝีปากล่างจนเลือดแทบจะออกแล้ว

“เจ้ามาหายายเดี๋ยวนี้!” ไทเฮาทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว จึงดึงแขนเสื้อของซูโม่อี้อีกครั้งแล้วลากเขาจนโซเซ

ฮองเฮาซึ่งอยู่ข้างๆ ก็ไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องได้ จึงนำเว่ยซูซึ่งถูกเหยียดหยามจนน้ำตาคลอเบ้าหลบออกไปไกลๆ

“ปากของเจ้าเป็นอะไรไป” ไทเฮาโมโหจนหายใจหอบตลอดเวลา ทว่ากลัวคนอื่นได้ยินแล้วจะทำให้เว่ยซูอับอายอีกครั้ง จึงลดเสียงลงและเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เจ้าจะเออออตามคำพูดของผู้อื่นไม่ได้หรืออย่างไร”

ซูโม่อี้ยังคงมีสีหน้าจริงจังพลางพูดอย่างเคร่งขรึม “เป็นผู้พิพากษาอะไรผิดก็ว่าไปตามผิด เรื่องไม่ถูกต้องเช่นนี้จะให้ยอมคล้อยตามได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้า! แค่กๆ…” ไทเฮาถูกถามจนพูดไม่ออก จึงไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรไปชั่วขณะ ทำได้เพียงกุมอกแล้วไอออกมา นางทอดสายตามองซูโม่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูเสียใจอย่างยิ่งแล้วกล่าวว่า “ครั้งก่อนองค์หญิงเยวี่ยอันที่ยายหามานั้นเจ้าก็ติว่ามีเขี้ยวไม่เป็นระเบียบ พอหาคนที่มีฟันเรียงสวย เจ้าก็ติเขาว่าไฝน้ำตาของเขาไม่สมมาตรกัน ตอนนี้เจ้าไม่ชอบอะไรเกี่ยวกับน้องซูผู้นี้อีก”

ซูโม่อี้คิดไปคิดมาก็พูดเรียบๆ ว่า “เดินแกว่งเกินไป และคิ้วสองข้างก็สูงต่ำไม่เท่ากันพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาได้ยินดังนั้นก็แทบกระอักโลหิตออกมา

นางกำนัลและหมัวมัวที่อยู่ข้างๆ รีบยกน้ำชามากันให้วุ่นวาย

ซูโม่อี้จึงถือโอกาสถอยออกห่างไปเล็กน้อย

ไทเฮาผ่อนคลายลงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ยายว่ายายไม่ควรสนใจเรื่องนี้ของเจ้า หากรู้ตั้งแต่แรกว่าไปๆ มาๆ ผลจะเป็นเช่นนี้ยายเอาเวลาไปอ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองสามหน้าจะดีกว่า”

“เสด็จยายตรัสถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้า!” ไทเฮาชะงักอีกครั้ง ก่อนจะจิบชาที่นางกำนัลส่งมาให้ และโบกมือด้วยความรำคาญ “ไปๆๆๆ ยายไม่อยากเจอเจ้าอีกในเวลาอันสั้นนี้”

ท่าทางยังมีเวลาอีกระยะหนึ่งที่จะไม่ต้องถูกบังคับให้แต่งงานแล้ว ซูโม่อี้สมใจแล้ว เขารู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย จึงกลับมาทำตัวน่ารักเหมือนเมื่อครู่อีกครั้ง

ซูโม่อี้หันหลังกลับไป เตรียมถวายบังคมลาไทเฮา ทว่าหางตากลับเหลือบไปเห็นที่ว่างใต้บันไดโดยไม่ได้ตั้งใจ…ซ่งเจิ้งสิง

บางทีอาจเป็นเพราะไฟในห้องจัดเลี้ยงถูกแรงลมพัดจนแกว่ง ซูโม่อี้จึงตาลายไปชั่วพริบตาเช่นกัน

ใช่แล้ว หากรู้ตั้งแต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เหตุใดบางคนถึงยังยอมเสี่ยงโดยไม่เสียดาย ไทเฮาไม่ยอมแพ้เพราะเรื่องสำคัญของบุตรหลาน แล้วพวกเขาเล่า

เมื่อความคิดผุดขึ้นมาก็ไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป ซ่งเจิ้งสิงเป็นขุนนางมาหลายสิบปีแล้ว เหตุใดเขาจึงโง่งมถึงขั้นให้หวังหู่มารับโทษสถานหนัก แต่กลับเปิดเผยตนเองโดยไม่ทันมีการโต้แย้งง่ายๆ แทนเช่นนี้ แม้หวังหู่จะถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ก็ต้องผ่านกระบวนการที่ยาวนาน ผ่านการพิจารณาทบทวนจากกรมอาญา และสุดท้ายยังต้องให้ฮ่องเต้พิจารณาชี้ขาด ในกระบวนการนี้ฆาตกรตัวจริงในคดีฆ่าข่มขืนอาจจะก่อคดีขึ้นอีกครั้งได้ตลอดเวลา ถ้าเช่นนั้นคดีถูกใส่ร้ายของหวังหู่ก็จะเปิดเผยตนเองโดยไม่ทันมีการโต้แย้ง ซ่งเจิ้งสิงเคยเป็นเสนาบดีกรมอาญา เรื่องเช่นนี้เขาไม่น่าจะคิดไม่ถึง ถ้าเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงทางเดียวเท่านั้น…ลมหายใจติดขัดทันที ซูโม่อี้ตกใจจนหนาวสันหลังกับความคิดที่ผ่านเข้ามาในสมอง

การถวายบังคมที่ยังไม่เสร็จกลับต้องค้างอยู่เช่นนั้น

“เสด็จยาย หลานยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เกรงว่าจะไม่สามารถกินอาหารเย็นกับพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่พูดจบซูโม่อี้ก็วิ่งออกจากพระราชอุทยานไปตามทางเดินเล็กๆ หลังพระตำหนักโดยไม่ได้รอคำตอบจากไทเฮา

เมื่อถึงประตูพระราชวังซูโม่อี้ก็เลิกเสื้อคลุมด้านหน้าขึ้น พลิกตัวขึ้นหลังม้า แล้วสั่งเยี่ยชิงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เร็วเข้า! ไปตามคนที่ศาลต้าหลี่ ไปห้องขังนักโทษประหารที่ว่าการเมืองหลวงกับข้า!”

แม้สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิจะเย็น แต่ก็ไม่เย็นจนถึงขั้นทิ่มแทงกระดูก มีไอน้ำจากความชื้นในตอนกลางวันอยู่บ้าง ทว่าก็ทำให้เหนียวตัวอย่างยิ่ง

เหลียงเว่ยผิงมองดูใบหน้าขาวๆ ตรงหน้าเขา ก่อนหายใจเข้าลึกๆ เพื่อทำให้ตนเองไม่เป็นลมไปเสียก่อน แม้แต่เสียงที่ถามคำถามก็ยังอดสั่นเทาเล็กน้อยไม่ได้ “จะ…เจ้าพูดอะไรของเจ้า”

หมัดที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกว้างของหลินหวั่นชิงกำแน่น ตอบเหมือนกำลังต่อสู้ด้วยอารมณ์กับใครบางคนอยู่ “ข้าบอกว่าข้าจะไปสอบปากคำหวังหู่”

ทันทีที่พูดจบแขนเสื้อของเขาก็ถูกเหลียงเว่ยผิงจับไว้แน่น

“น้องชาย…น้องรัก ถือว่าพี่เหลียงขอร้องเจ้า อย่ารนหาที่ตายอีกเลย…”

หลินหวั่นชิงเหลือบมองท่าทางที่มีทั้งเสียงและน้ำตาพรั่งพรูออกมาของเหลียงเว่ยผิง แต่กลับดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา ดึงแขนเสื้อของตนเองกลับแล้วเดินอย่างรวดเร็วไปทางที่ว่าการเมืองหลวง

“หลิน!…หลินหวั่นชิง! หลินหวั่นชิง หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เหลียงเว่ยผิงไล่ตามอยู่ด้านหลัง เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง แต่หลินหวั่นชิงไม่ยอมหันกลับมาเลย แม้แต่ฝีเท้าก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เหลียงเว่ยผิงรู้สึกถึงเส้นเลือดดำที่ขมับเต้นตุบๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการบุกรุกห้องขังนักโทษประหารที่ว่าการเมืองหลวงมีโทษสถานใด”

“เดิมทีข้าก็เป็นคนของที่ว่าการเมืองหลวง จะเรียกว่าบุกรุกได้อย่างไร” หลินหวั่นชิงย้อนถามอย่างมีเหตุมีผล

“แต่เจ้าถูกสั่งพักงานแล้ว”

“เจ้าเมืองหลี่ให้ข้าพักงานพรุ่งนี้ ซึ่งก็หมายความว่าก่อนยามจื่อ คืนนี้ข้ายังคงเป็นคนของที่ว่าการเมืองหลวงอยู่”

“…” เหลียงเว่ยผิงชะงัก ราวกับว่าในเรื่องการชี้แจงเหตุผลเขาไม่มีวันเถียงสู้หลินหวั่นชิงได้

“เจ้าจะต้องไปให้ได้เช่นนั้นหรือ” เหลียงเว่ยผิงหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยถามคล้ายกับหมดหวัง

“อื้ม” คำพูดที่หนักแน่นเพียงคำเดียวในยามค่ำคืนกลับดังกังวานและทรงพลังเป็นพิเศษ

 

ค่ำคืนที่ยาวนาน ภายใต้แสงไฟสลัวๆ ข้างถนนที่ไม่สว่างพอ สรรพสิ่งรอบตัวเลือนราง เหลียงเว่ยผิงมองไปที่ใบหน้าด้านข้างที่ซูบผอมเกินไปของหลินหวั่นชิง ภายในดวงตาสะท้อนแสงสลัวที่กลอกกลิ้งไปมา

จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างชัดเจนขึ้นมา ช่างเถอะ นิสัยดื้อรั้นของคนผู้นี้กำเริบขึ้นมาเมื่อไร ม้าสิบตัวก็ดึงกลับมาไม่ได้ คนผู้นี้มีเพียงนิสัยนี้ที่ไม่น่ารัก แต่ก็เพราะนิสัยนี้ที่ทำให้น่ารักที่สุดเช่นกัน…

“ข้าอยู่ที่เรือนชิงหย่านะ” เหลียงเว่ยผิงหยุดฝีเท้าที่ฉวัดเฉวียนของตนเอง มองเห็นร่างสีเทาอ่อนๆ ยิ่งเดินยิ่งไกลออกไปทุกทีและค่อยๆ หายไปในความมืด ก่อนจะถอนหายใจอย่างจนใจ

เขาอยู่ที่เรือนชิงหย่าเพราะไม่อยากตามหลินหวั่นชิงไปหาที่ตาย แต่หากเกิดเรื่องขึ้นกับเขา หลินหวั่นชิงก็จะได้รู้ว่าจะไปเก็บศพของเขาได้ที่ใด

หลินหวั่นชิงที่อยู่ข้างหน้าเดินเร็วไปตลอดทาง ข้างหูได้ยินแต่เสียงน้ำกระเซ็น น้ำฝนผสมกับโคลนที่สะสมบนถนนหินศิลาดำเปื้อนมุมเสื้อคลุมของเขาอย่างรวดเร็ว ทิ้งรอยทั้งลึกและตื้นเอาไว้

ซูโม่อี้บอกว่าหลินหวั่นชิงไม่เข้าใจเกี่ยวกับคดีของหวังหู่ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจจริงๆ คดีแบบใดกันที่ต้องใช้คนที่ถูกใส่ร้ายมาต่อรองจึงจะสามารถสอบสวนได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ถูกใส่ร้ายนอกจากหวังหู่แล้วยังมีตัวเขาเองอีกคน อาศัยความพยายามและเวลานับสิบปี หากจะให้เขาทอดทิ้งทุกอย่างไป ถ้าเช่นนั้นก็ต้องจากไปอย่างชัดเจนและเข้าใจ อย่างไรเสียจะจากไปเพียงเพราะประโยคที่ว่า ‘เจ้าไม่เข้าใจ’ ไม่ได้ เป็นใครก็ยอมรับไม่ได้!

ความคิดของหลินหวั่นชิงฟุ้งซ่าน ด้วยการเดินอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงหน้าประตูที่ว่าการเมืองหลวง เพียงหมุนเท้าก็จะเดินเข้าไปทางประตูข้างแล้ว

ที่ว่าการเมืองหลวงมีขุนนางและเด็กรับใช้จำนวนมาก แม้ในเวลาปกติผู้คุมคุกจะไม่ได้อยู่ร่วมกับขุนนางบุ๋นเช่นพวกเขามากนัก แต่หลินหวั่นชิงมักช่วยบันทึกคำให้การและเข้าไปในคุกหลายครั้ง ดังนั้นจึงมีไมตรีระหว่างสหายร่วมงานกับผู้คุมคุกอยู่บ้าง ตอนนี้เขายังคงสวมชุดของที่ว่าการเมืองหลวง และในตัวยังมีแผ่นป้ายเพื่อแสดงฐานะของตนเอง นอกจากนี้ในตอนเช้าเขายังเป็นคนไปพบซูโม่อี้พร้อมกับเจ้าเมืองหลี่อีกด้วย เพียงบอกว่ามีสำนวนความบางส่วนยังไม่สมบูรณ์ ตอนนี้ต้องการเข้าไปเสริมคำให้การฉบับหนึ่งก็น่าจะเข้าไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ยิ่งไปกว่านั้นต้องรีบไปให้ทันช่วงเปลี่ยนเวรตอนกลางคืน เพราะหากคนน้อยสักหน่อยก็จะหลอกได้ง่ายยิ่งกว่า

จริงดังคาด ไม่เหนือความคาดหมาย เมื่อผู้คุมคุกที่อยู่หน้าประตูดูแผ่นป้ายแล้วและเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของหลินหวั่นชิงก็รู้สึกว่าต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เบื้องบนเป็นผู้จัดการ ดังนั้นจึงไม่กล้าทำให้ล่าช้าจนเสียงาน ปล่อยให้หลินหวั่นชิงเข้าไปแต่โดยดี

ในห้องขังนักโทษประหารอันเงียบสงบและมืดมิด ตะเกียงส่งควันสีดำออกมาเป็นสาย ทิ้งรอยด่างไว้บนผนังเป็นดวงๆ ราวกับภูตผีปีศาจ อากาศภายในห้องว่างเปล่าอบอ้าว เวลาหายใจจะเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับของหญ้าแห้งและกลิ่นคาวจางๆ เสียงฝีเท้าก้าวยาวๆ ดังอยู่ข้างหู ทำให้หลินหวั่นชิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

ภายใต้ตะเกียงน้ำมันสลัวๆ ตรงด้านในสุดของห้องขังนักโทษประหารมีชายสวมเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งผู้หนึ่งนั่งหมดกำลังใจอยู่ จอนผมยุ่งเหยิงปิดบังใบหน้าของเขา สิ่งสกปรกและสิ่งที่ตัดกันกับสภาพความสกปรกบริเวณรอบๆ ก็คือเลือดที่แห้งหมาดๆ บนเสื้อผ้าของเขา ดูโดดเด่นเกินไป ย้อมชุดนักโทษสีขาวจนกลายเป็นสีน้ำตาลแดง

“หวังหู่?” หลินหวั่นชิงลองเรียกครั้งหนึ่ง

สิ่งแรกที่ตอบสนองหลินหวั่นชิงกลับเป็นเสียงโซ่เหล็กที่น่าตกใจ คนผู้นั้นเหมือนสัตว์ร้ายที่หวาดกลัว ด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูกจึงเอาแต่กุมศีรษะหลบซ่อนตัว หลินหวั่นชิงคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีตอบสนองเช่นนี้ จึงถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความลังเล แล้วก็เห็นเขาสงบลงตรงมุมห้องและลอบมองตนเอง มุมปากของเขาขยับไม่หยุด ส่งเสียงงึมงำๆ

เมื่อเดินเข้าไปใกล้หลินหวั่นชิงจึงได้ยินคำพูดซ้ำไปซ้ำมาของอีกฝ่ายที่ว่า “ข้ายอมรับสารภาพแล้ว ข้ายอมรับสารภาพทั้งหมดแล้ว…”

หลินหวั่นชิงตกตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามเบาๆ ประโยคหนึ่งว่า “เจ้ายอมรับสารภาพอะไร”

คนตรงหน้าตกใจและเสียงก็ดังขึ้นเล็กน้อย ในน้ำเสียงมีความหวาดหวั่นพรั่นพรึงและเต็มไปด้วยความความโกรธเคือง “ข้าเป็นคนฆ่า! ข้าเป็นคนฆ่าจ้าวอี๋เหนียง*.เอง ข้าเป็นคนฆ่าเอง…”

เมื่อฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดหลินหวั่นชิงก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหวังหู่ถึงยอมรับข้อกล่าวหาที่ปั้นน้ำเป็นตัวนี้ คดีถูกใส่ร้ายที่มีอยู่ทั้งหมดในโลกนี้มีอยู่สองสถานการณ์เท่านั้นคือไม่กล้าพูดหรือไม่ก็ยอมรับผิดเพราะทนถูกทรมานไม่ไหว และบุคคลตรงหน้านี้จะต้องเป็นอย่างหลังแน่นอน เขารู้ตัวว่าถูกจับได้ในที่เกิดเหตุ และผู้ตายก็เป็นอี๋เหนียงอันเป็นที่รักของขุนนางใหญ่ขั้นสามในราชสำนัก อยากจะถอนตัวโดยไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ นับเป็นการยากมาก คิดว่าเจ้าเมืองหลี่คงจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา และน่าจะเป็นการตัดความหวังและความคิดทั้งหมดของเขา ประกอบกับการทรมาน การสร้างความกดดัน และการกักขังในที่มืดมิดเช่นนี้ คนที่เดิมทีก็ตื่นตระหนกหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูกอยู่แล้วจึงเสียสติได้ง่ายๆ กลายเป็นคนที่ใครพูดอะไรก็คล้อยตามแล้ว

หลินหวั่นชิงจำต้องถามต่อไป “เจ้าบอกว่าเจ้าฆ่าจ้าวอี๋เหนียง แล้วยังจำได้หรือไม่ว่าใช้อาวุธอะไร”

คนที่อยู่ตรงข้ามงุนงงอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังพยายามค้นหาอะไรในสมอง หลังจากนั้นจึงพูดว่า “มะ…มีด…มีดสั้นเล่มหนึ่ง”

หลินหวั่นชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะย้อนถามด้วยสีหน้าเย็นชา “ตอนลาดตระเวนยามวิกาลเจ้าพกกระบี่ชัดๆ พกกระบี่แต่กลับใชัมีด ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”

หวังหู่ถูกถามจนจนมุม อ้ำอึ้งไม่มีเสียงตอบ มือที่เต็มไปด้วยเลือดจับโซ่เหล็กไว้แน่น ใบหน้าซีดเผือด

“หวังหู่ เจ้าฟังข้านะ ฮ่องเต้ทรงมอบคดีนี้ให้ใต้เท้าซูเสนาบดีศาลต้าหลี่จัดการแล้ว ใต้เท้าซูรู้ว่าเจ้าถูกใส่ร้าย แต่ลำบากตรงที่เจ้ายอมรับโทษเอง เขาจึงไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้” หลินหวั่นชิงก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบาลง “ขอเพียงเจ้าพูดความจริง ใต้เท้าซูจะต้องพลิกคดีให้เจ้าได้อย่างแน่นอน”

เมื่อหลินหวั่นชิงพูดจบคนตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหมดหนทางลอดผ่านผมที่พันกันยุ่งเหยิง เขามองหลินหวั่นชิงอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ริมฝีปากที่แห้งผากอ้าออกแล้วก็ปิดลง ท่าทางอ้ำอึ้งอย่างมาก

หลินหวั่นชิงก้าวไปข้างหน้า นั่งยองๆ บนพื้นแล้วสบตาเขา “หวังหู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อเจ้ายอมรับโทษแล้ว เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน และจะถูกตัดสินประหารชีวิตโดยไม่ต้องรอจนถึงหลังชิวเฟิน ด้วย…”

“อะไรนะ!” หวังหู่ตัวสั่นเล็กน้อย แววตาที่หม่นหมองจ้องมองหลินหวั่นชิง และเอ่ยตอบอย่างไม่อยากเชื่อ “แต่…แต่ใต้เท้าหลี่บอกว่าขอเพียงข้ายอมรับสารภาพคดีนี้ เขาก็จะปกป้องข้าไม่ให้ตาย กระทั่งยังสามารถส่งข้าออกไปจากเมืองเซิ่งจิงด้วย อีกทั้งใต้เท้าซ่งก็จะไม่มีวันทำให้ข้าเดือดร้อนอย่างแน่นอน…”

หลินหวั่นชิงขยับเข้าใกล้อีกนิด มือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเกาะลูกกรง “หวังหู่ ใต้เท้าซูคือความหวังเดียวของเจ้าในตอนนี้แล้ว”

คนตรงหน้าเงียบไปราวกับตกอยู่ในสงครามระหว่างสติสัมปชัญญะกับกิเลสส่วนตัวที่มองไม่เห็น ตะเกียงน้ำมันที่อยู่เหนือศีรษะส่องแสงวูบวาบ บางครั้งก็ระเบิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ แผ่วเบา ประกายไฟกระเด็นออกมาแล้วก็ดับลงอย่างรวดเร็ว บริเวณรอบๆ เงียบสงบ ทว่าบางขณะก็มีเสียงจอแจเช่นกัน หลินหวั่นชิงได้ยินเสียงดังโครมครามในอกของตนเอง ดวงตาจ้องมองหวังหู่นิ่งราวกับจะจ้องอีกฝ่ายให้ทะลุเป็นสองรู

ผ่านไปเป็นเวลานาน ในที่สุดหวังหู่ก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ข้า…ไม่ได้ฆ่าคน ตอนที่ข้าไปถึงจ้าวอี๋เหนียงก็ตายไปแล้ว”

หัวใจของหลินหวั่นชิงหนาวเหน็บ เขาซักถาม “ดึกๆ ดื่นๆ เจ้าไปที่ห้องของสตรีทำอะไร”

หวังหู่ยิ้มแหยๆ แล้วบอก “นางเป็นญาติห่างๆ ที่เป็นสหายเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ก่อนที่นางจะแต่งเข้าไปในจวนสกุลซ่งเคยเป็นคนที่ได้รับอนุญาตให้เป็นภรรยาของข้า เสียดายที่สวรรค์เล่นตลกกับมนุษย์…”

“เจ้าแอบไปพบนาง?”

หวังหู่ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างจนใจ “นับตั้งแต่นางแต่งงานเข้าไปในจวนสกุลซ่ง พวกเราก็ไม่ได้พบกันอีกเลย จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อนข้าบังเอิญพบรถม้าของจวนสกุลซ่งวิ่งอยู่บนถนน นางจึงถือโอกาสยื่นจดหมายมาให้ข้า ขอร้องให้ข้าพานางออกจากเมืองในตอนกลางคืน ข้าคิดว่านางเปลี่ยนใจ อยากจะคืนดีกับข้า ข้าจึงตอบตกลง แต่ในคืนนั้นข้ารออยู่นอกเรือนอย่างไรนางก็ไม่มา ด้วยเป็นห่วงความปลอดภัยของนางจึงเข้าไปสำรวจดู คิดไม่ถึงว่าพอเข้าไปถึงก็พบ…ศพนาง”

หวังหู่ดูเหมือนจะเย้ยหยันตนเอง ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “นางสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็ก ต่อมาก็สูญเสียบิดา กว่าจะได้รู้จักกับญาติผู้พี่ในจวนท่านโหว แต่พริบตาเดียวกลับถูกจับให้แต่งงานไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้น หากรู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก…” ในน้ำเสียงของเขามีการตำหนิตนเองและความเสียใจอย่างไม่อาจปกปิดได้ และในที่สุดก็กลืนคำพูดต่อมาลงไป

หลินหวั่นชิงรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะหวั่นไหวไปกับเหตุการณ์ตรงหน้า จึงเอ่ยถามต่อว่า “แล้วเจ้าพบผู้ต้องสงสัยในบริเวณใกล้เคียงบ้างหรือไม่”

หวังหู่ก้มหน้าคิด แล้วพูดอย่างลังเลว่า “ดูเหมือนก่อนที่ข้าจะเข้าประตูไปเห็นสตรีผู้หนึ่ง”

“หา?” หลินหวั่นชิงเริ่มเกิดความสนใจ “สตรีเช่นใด”

“ห่างกันค่อนข้างไกล จึงมองเห็นไม่ชัดเจน แต่นางรูปร่างไม่สูง สวมชุดที่ดูแล้วเหมือนสาวใช้จากจวนสกุลซ่ง ดูเหมือนขาจะพิการและเดินกะเผลกเล็กน้อย แต่นางก็อยู่บริเวณนั้นเป็นเวลาสั้นๆ ยังไม่ทันเข้าไปข้างในก็จากไปแล้ว”

หลินหวั่นชิงขมวดคิ้ว ดวงตาฉลาดเฉลียวคู่นั้นสูญเสียความแวววาวไปเล็กน้อย ดูท่าหวังหู่จะไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ แต่อย่างน้อยก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาถูกใส่ร้ายจริงๆ ส่วนสตรีผู้นั้นไม่ว่าจะเกี่ยวข้องหรือไม่ ถึงอย่างไรก็เป็นเบาะแสที่จะปล่อยไปไม่ได้

หลินหวั่นชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับหวังหู่ว่า “ข้าจะเอาพู่กันและกระดาษเพื่อบันทึกคำให้การให้เจ้า เจ้าจะต้องลงนามและประทับลายนิ้วมือยอมรับ คำให้การฉบับนี้ข้าจะคิดหาวิธีส่งให้กับมือใต้เท้าซูเอง”

หวังหู่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้ารับปาก

หลินหวั่นชิงรีบหันหลังวิ่งออกจากห้องขังไปทันที

ไม่รู้ว่าดวงจันทร์โผล่ออกมาตั้งแต่เมื่อไร เปล่งรัศมีสีขาวในยามค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิที่เงียบสงบและหนาวเย็น ราวกับกำลังส่องอารมณ์ของหลินหวั่นชิงให้สว่างขึ้นมา ท่ามกลางสายลมมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมา หลินหวั่นชิงสูดดม เป็นกลิ่นของต้นท้อในฤดูใบไม้ผลิในที่ว่าการเมืองหลวงต้นนั้น แสงจันทร์ส่องแสงสว่างไสว และต้นท้อต้นนั้นก็ดูเหมือนก้อนเมฆสีชมพูใต้แสงจันทร์ มีสายลมพัดบางเบา ในความหอมหวานอ่อนๆ มีความอบอุ่นเล็กน้อยปะปนอยู่

หลินหวั่นชิงเงยหน้าขึ้นมองอย่างมีความสุข ในแสงสะท้อนนั้นมีแสงสีชาดเคลื่อนที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับจุดสีขาวเยือกเย็น หลินหวั่นชิงตกตะลึงไปชั่วขณะโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเขาหันไปมองหามันอีกครั้งกลับเห็นเพียงสายฝนโปรยปรายไปทั่วท้องฟ้า มีสีชาดที่ใดกัน คิดว่าน่าจะเป็นกลีบดอกไม้ลวงตาเขาเท่านั้นเอง

ดังนั้นหลินหวั่นชิงจึงรู้สึกโล่งใจและวิ่งไปยังห้องเก็บสำนวนความที่อยู่ใกล้ที่สุดต่อไป ระหว่างทางได้พบกับขุนนางของที่ว่าการเมืองหลวงสองคนลาดตระเวนไปด้วยกัน กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานพลางโบกกระบี่ในมือไปมาภายใต้แสงจันทร์ อาจเป็นเพราะแสงจันทร์งดงามมาก รัศมีสีขาวนั้นสะท้อนคมกระบี่ ส่องเข้าไปในดวงตาของหลินหวั่นชิง กลายเป็นรัศมีที่ทำให้รู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อย

ช้าก่อน…

มือที่กำลังจะสัมผัสประตูไม้ค้างอยู่กลางอากาศทันที

เบื้องหน้าของหลินหวั่นชิงเต็มไปด้วยรัศมีสีขาวเย็นภายใต้ก้อนเมฆเมื่อสักครู่ ทว่านั่นไม่ใช่ดวงจันทร์ แต่เป็น…

แต่เป็น…กระบี่คมเล่มหนึ่ง!

ลมหายใจหยุดชะงัก สันหลังเกิดอาการสั่นเทาขึ้นมาทันที หลินหวั่นชิงไม่มีเวลาหยิบพู่กันและหมึก ได้แต่เลิกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้ววิ่งไปทางห้องขังนักโทษประหารอย่างรวดเร็วสุดกำลัง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 เม.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: