บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา
หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของศาลต้าหลี่เพียงสี่แยกเดียว ทั้งสองสถานที่หันหน้าเข้าหากัน สะดวกสำหรับบรรดาขุนนางชั้นสูงที่จะมาพักผ่อนหลังจากเลิกงาน
หลินหวั่นชิงติดตามซูโม่อี้ นางเดินด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย ความจริงนี่เป็นครั้งแรกที่นางมาหอคณิกา แม้จะปลอมตัวเป็นบุรุษมานานสิบกว่าปีแล้ว ตอนอยู่ร่วมกับสหายร่วมสำนักก็เคยได้ยินคำหยาบมาบ้าง ทั้งยังพอจะรู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับชายหญิงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้จะต้องไปเรียนรู้ด้วยตนเอง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่มั่นใจ ขุนนางอำมหิตผู้นี้คงจะไม่พานางไปใช้เงินหลวงเที่ยวหญิงคณิกาจริงๆ หรอกกระมัง…
หลินหวั่นชิงรู้สึกหนักใจ นางก้มหน้าครุ่นคิด จนกระทั่งได้ยินเสียงอู้อี้ดังขึ้น หน้าอกของนางกระแทกเข้ากับแผ่นหลังของซูโม่อี้อย่างแรง
“โอ๊ย…” เสียงโอดโอยหลุดออกมาจากลำคอ น้ำเสียงแสดงความไม่พอใจตามสัญชาตญาณของหญิงสาว ขณะที่นางกำลังจะนวดหน้าอก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นซูโม่อี้มองนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยสีหน้าแปลกๆ
ดวงตาหงส์คู่นั้นมีความเย็นชาตามธรรมชาติจนเกือบจะแทงทะลุตัวนางได้ ผ้ารัดหน้าอกที่เพิ่งรัดเมื่อเช้านี้ไม่น่าจะหลวม หลินหวั่นชิงรู้สึกเพียงว่าหัวใจของนางพองโตขึ้นในทันใด แต่กลับเห็นสายตาของซูโม่อี้หม่นหมอง จ้องมองนางแล้วพูดว่า “วิชาเตะต่อยที่ดูงดงามของเจ้าไม่สมกับรูปร่างของเจ้าเลย”
“…” หลินหวั่นชิงตกตะลึง นางได้สติ ซูโม่อี้คงไม่คิดว่าสิ่งที่กระทบเมื่อครู่จะเป็นกล้ามเนื้อหน้าอกของนางหรอกนะ แม้จะคิดว่าวันนี้ต้องออกไปทำธุระข้างนอกจึงรัดหน้าอกแน่นเล็กน้อย แต่…ก็ไม่ถึงกับจะรู้สึกเช่นนี้ได้นี่…ชั่วขณะนั้นนางไม่รู้ว่าจะควรจะดีใจหรือกังวล จึงได้แต่ฝืนยิ้มแห้งๆ แล้วยกมือขึ้นพูดกับซูโม่อี้ว่า “เชิญใต้เท้าก่อน”
ซูโม่อี้รีบถอนสายตาที่มองสำรวจนางอย่างรวดเร็ว แล้วเข้าไปในอาคารอันงดงามที่ใหญ่ที่สุดในของคณะอุปรากรหนานฉวี่
วันนี้ทั้งสองคนสวมชุดลำลอง แม้ธรรมเนียมต่างๆ ในราชวงศ์ใต้จะเปิดกว้าง แต่การเที่ยวหอคณิกาบ่อยครั้งนั้นจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องมีหน้ามีตาอะไรนัก ดังนั้นผู้ที่เป็นขุนนางในราชสำนักจะไม่สวมชุดขุนนางไปแสดงอำนาจที่นี่
แม่เล้าชรารีบออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว นางยิ้มแต้พลางสำรวจคนทั้งสอง สายตามองไปที่หลินหวั่นชิงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าหลายรอบ
หลินหวั่นชิงรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที จึงหลบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังซูโม่อี้
ซูโม่อี้กลับไม่ทันสังเกตเห็น เขาเงยหน้าขึ้นสำรวจสถานที่แห่งนี้ เอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ห้องส่วนตัวหนึ่งห้อง”
ความสนใจของแม่เล้าชราถูกคุณชายผู้สง่างามและใจกว้างที่อยู่ตรงหน้าดึงดูดเข้าแล้ว อยู่ในสนามความรักมาหลายสิบปี แม่เล้าชรามีสายตาแหลมคมจริงๆ นางมองออกทันทีว่าชายร่างสูงผู้นี้แม้จะสวมชุดลำลอง แต่เนื้อผ้าและลวดลายการปักกลับไม่ใช่แบบที่ขุนนางเล็กๆ จะใช้ได้ สถานะของคนผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่ หากไม่ใช่ขุนนางขั้นสามในราชสำนักก็ต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ ส่วนคนข้างๆ ของเขา…เฮ้อ…ผู้มีอำนาจวาสนาจะไม่มีความชอบพิเศษได้อย่างไร นางเข้าใจแต่ไม่พูดส่งเดช ไม่มีใครไม่ชอบเงิน นางพยักหน้าและยิ้ม ก่อนจะพาทั้งสองขึ้นไปบนชั้นสองด้วยตนเอง
“คุณชายชื่นชอบสตรีเช่นใดเจ้าคะ” แม่เล้าชราสอบถามอย่างกระตือรือร้น นางปูที่นั่ง เตรียมธูปหอมและน้ำชาเรียบร้อยทุกอย่าง
“แม่นางฉู่เอ๋อร์เป็นดาวเด่นของหอคณิกา มีคุณชายมากมายยอมทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อจะได้ใกล้ชิดสาวงาม วันธรรมดานางไม่ยอมพบแขกใหม่ แต่ข้าเห็นว่าทั้งสองท่านหน้าตาใจดี รู้สึกว่ามีบุพเพสันนิวาส ดังนั้น…”
“ใครเป็นสตรีที่อยู่ที่นี่นานที่สุด”
เพราะผู้ตายเป็นสตรีอายุเกือบสี่สิบปีทั้งหมด ดังนั้นทั้งสองคนจึงถามคำถามเดียวกันขึ้นพร้อมกัน
แม่เล้าชรายิ้มค้าง จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจ “พอจะมีอยู่…” นางลังเลเล็กน้อย “เพียงแต่อายุอาจจะ…” อาจจะเป็นมารดาของท่านได้
ซูโม่อี้ดูเหมือนมองไม่เห็นสีหน้าท่าทางนี้ เขาหยิบทองออกมาแท่งหนึ่งและยื่นส่งให้นาง “ถ้าเช่นนั้นรบกวนหมัวมัวด้วย”
ดวงตาของแม่เล้าชราเป็นประกาย เอ่ยรับปากอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายหลินหวั่นชิงยังไม่ลืมที่จะเสริมอีกประโยคหนึ่ง “เรียกมาหลายๆ คน ค่าสุราและเงินรางวัลคิดต่างหาก”
แม่เล้าชราจากไปด้วยความดีอกดีใจ
ทันทีที่ประตูปิดลงหลินหวั่นชิงก็เข้าประจำการอย่างรวดเร็ว นางหยิบสมุดเล่มเล็กและพู่กันออกมาจากอกเสื้อ แตะน้ำลายที่มือก่อนเปิดสมุดแล้วโน้มตัวลงตรวจดูทั่วทุกแห่ง
ทว่าซูโม่อี้กลับใช้น้ำชาดับธูป จากนั้นจึงหยิบของห่อหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วเทลงไป
“นี่คืออะไร” หลินหวั่นชิงถามเขา
“ธูป” ซูโม่อี้ตอบเรียบๆ
หลินหวั่นชิงกะพริบตา และรู้สึกได้ทันทีว่าซูโม่อี้ร้ายกาจมาก “ใส่ยาคายความจริงไว้ในนั้นหรือ”
“ไม่มี” ซูโม่อี้ตอบสั้นๆ โดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“ปกติธูปในหอคณิกามักใส่สิ่งที่ช่วยให้รื่นรมย์” พูดจบซูโม่อี้ก็ก้มหน้าเหลือบมองหลินหวั่นชิงแล้วพูดว่า “นอกจากนี้ข้ายังไม่ชอบกลิ่นเช่นนั้นอีกด้วย”
หลินหวั่นชิงเข้าใจทันที ดูเหมือนว่าขุนนางอำมหิตผู้นี้จะเป็นแขกประจำของหอคณิกา
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าฉับไวและเสียงกระซิบกระซาบของสตรีดังขึ้น มีคนเคาะบานประตูแล้วกล่าวทักทายด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นพวกนางก็เข้ามาในห้องส่วนตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ผู้ที่เข้ามาคือสตรีที่มีอายุมากกว่าสามสิบปีสี่คน แม้อายุถึงเพียงนี้ไม่ถือเป็นข้อได้เปรียบในหอคณิกา แต่เนื่องจากในยามปกติพวกนางดูแลตนเองอย่างเหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับสาวรุ่นแล้วความงามของพวกนางจึงไม่ได้ลดน้อยลงเลย แต่กลับมีความสง่างามตามแบบผู้ใหญ่เพิ่มขึ้น
พวกนางแย้มยิ้มงดงามพลางนั่งลงข้างๆ พวกเขาทั้งสองคน ซุกตัวแล้วโอบกอดพร้อมส่งเสียงกระซิบแผ่วเบา ทั้งยังเติมสุราและชา กลิ่นแป้งอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสตรีหอมฟุ้ง พร้อมสัมผัสอันอบอุ่นอ่อนโยน
มีคนลูบคลำแขนของหลินหวั่นชิงเหมือนไม่ได้ตั้งใจ นางไม่เคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนจึงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ นางแอบมองซูโม่อี้ที่อยู่ด้านข้าง แต่กลับได้ยินเสียงดังแปะๆ อย่างหนักหน่วงสองครั้ง
ซูโม่อี้ทำหน้าเย็นชา วางเศษเงินสองชิ้นไว้บนโต๊ะแล้วพูดว่า “ไปนั่งตรงข้ามข้า”
พวกนางรับเงินไปและไปนั่งลงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
หลินหวั่นชิงตกใจ รู้สึกว่าคนที่ลูบไล้นางเมื่อครู่ดูเหมือนจะลูบไล้แรงยิ่งขึ้น นางกระเถิบเข้าไปใกล้ซูโม่อี้อย่างเงียบๆ ดึงแขนเสื้อของเขาแล้วเรียกใต้เท้า เรียกแล้วก็ทำท่าทางชี้มือชี้ไม้ไปที่เงิน ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย เบี้ยรายเดือนก็ไม่มีทางสูงสู้ซูโม่อี้ มาหอคณิกาครั้งหนึ่งอาจหมดตัวได้เลย
ซูโม่อี้ไม่ได้พูดอะไร เขาปลดถุงเงินออกจากเอวถุงหนึ่งแล้วโยนให้นางอย่างใจกว้าง
หลินหวั่นชิงรับเงิน แล้วหันกลับไปยัดใส่มือสตรีข้างกายอย่างมีความสุขคนละสองเหรียญ ถึงอย่างไรเงินที่ใช้จ่ายก็เป็นเงินของซูโม่อี้ นางย่อมไม่เป็นกังวลอันใดอยู่แล้ว
“เงินสี่ตำลึง” ซูโม่อี้ก้มศีรษะเป่าความร้อนจากถ้วยน้ำชาและพูดอย่างสงบว่า “หักจากเบี้ยรายเดือนของเจ้า”
หลินหวั่นชิงมือสั่นทันที นางเริ่มสงสัยในชีวิตตนเองแล้ว เบี้ยรายเดือนหนึ่งเดือนของนางเพียงหนึ่งพันห้าร้อยอีแปะ เท่ากับว่านางจะต้องทำงานให้กับซูโม่อี้อีกสามเดือนโดยไม่ได้รับเบี้ยรายเดือนหรือ จู่ๆ หลินหวั่นชิงก็รู้สึกว่าหากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายวันนี้นางคงจะไม่พบเบาะแสอะไรใหม่ๆ แล้ว เพราะขุนนางอำมหิตที่อยู่ข้างๆ ผู้นี้จะสามารถหาเบาะแสใหม่ๆ ทั้งหมดได้ด้วยตนเอง จากนั้นจึงถือโอกาสบีบคั้นให้นางทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
ถ้าเช่นนั้นเดือนใดปีใดนางจึงจะสามารถเข้าไปในห้องสำนวนความนั้นได้กัน
ทว่า…นางไม่ใช่สตรีที่จะยอมแพ้ง่ายๆ
หลินหวั่นชิงระงับความโกรธภายในใจ หยิบถ้วยเปล่าข้างตัวใบหนึ่งแล้วเสนอความเห็นพร้อมรอยยิ้มว่า “พวกเรามาเล่นต่อกลอนกันเถอะ ผู้แพ้จะต้องตอบคำถามของผู้ชนะหนึ่งคำถามและจะต้องพูดความจริง มิฉะนั้นจะต้องถูกปรับให้ดื่มสุราหนึ่งถ้วยหรือปรับเงินหนึ่งตำลึง ดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินว่าจะได้เงิน พวกนางทุกคนที่นั่งอยู่ไม่มีใครที่ไม่อยากลอง แต่ก็มีบางคนพูดด้วยความกังวลว่า “แล้วคุณชายจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ตอบคำถามนั้นเป็นความจริงหรือไม่”
หลินหวั่นชิงกะพริบตาแล้วยิ้มให้นางอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว” ในฐานะผู้พิพากษาตัดสินคดี หากไม่มีแม้กระทั่งความสามารถที่จะแยกแยะคำหลอกลวง การศึกษาค้นคว้าเป็นเวลาสิบปีมานี้ก็นับว่าเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า หลินหวั่นชิงทอยลูกเต๋าลงในถ้วยเปล่าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นการต่อกลอน พวกเรามาเริ่มด้วยคำว่า ‘ดอกไม้’ กันเถิด”
ทุกคนต่างเห็นด้วย เสียงต๊องๆ แต๊งๆ ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเอื้อนเอ่ยคำกลอน
คนแรกเริ่มต้นว่า “บอกลาท่ามกลางดอกไม้ไร้ซึ่งวาจา ม่านเขียวฟ้าครามดุจเดิมแต่เวลาไม่หวนคืน”
คนที่สองพูดว่า “ดอกไม้ในป่าร่วงโรยแล้ว รวดเร็วนัก”
คนที่สามพูดว่า “ท่านผู้มีความตื่นรู้เท่านั้น จักดื่มให้คลายทุกข์ท่ามกลางมวลดอกไม้”
กฎของรอบนี้คือทุกคนไม่เพียงต้องต่อด้วยประโยคที่เกี่ยวกับ ‘ดอกไม้’ แต่ยังต้องมีคำนี้อยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กันอีกด้วย
ก่อนหน้านี้หลินหวั่นชิงเคยไปที่ห้องหนังสือของซูโม่อี้มาก่อน เห็นบนชั้นหนังสือของเขาเต็มไปด้วยกฎหมายและสำนวนความของทุกราชวงศ์ คิดว่าเขาในยามว่างคงจะไม่อ่านบทกวีเพื่อยกระดับความสุนทรีย์ของตนเองอย่างแน่นอน เบาะแสของคดีเงินและคดีฆ่าข่มขืน นางจะต้องได้มาด้วยตนเอง!
ในที่สุดก็ถึงตาของซูโม่อี้ ทุกคนต่างจ้องมองที่เงินในมือของเขา ทั้งห้องเงียบไปครู่หนึ่ง
ซูโม่อี้ยังคงมีท่าทางสบายๆ ดูสงบและสดชื่น หลับตาดื่มชา ไอร้อนตลบอบอวล ทิ้งไอสีขาวจางๆ ไว้บนคิ้วตรงดิ่งของเขา นิ้วชี้เรียวของเขาเคาะลงบนโต๊ะตัวเตี้ย ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อย “สีเนื้อเป็นสีขาว ไร้ซึ่งเลือดเป็นดอกดวง”
ทุกคนงงงันแล้ว “…”
ทว่าหลินหวั่นชิงตกตะลึง คิดว่าทุกคนในที่นั้นคงจะมีนางผู้เดียวที่เข้าใจ
ที่ซูโม่อี้พูดมานั้นใช่บทกวีที่ใดกัน นั่นคือประโยคหนึ่งในงานประพันธ์เลื่องชื่อเกี่ยวกับการพิพากษาและการตรวจสอบบาดแผลที่ชื่อ ‘บันทึกการล้างมลทิน’ เขียนโดยขุนนางที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ก่อน
ขุนนางอำมหิตผู้นี้ไม่มีจริยธรรม จงใจใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ นางรู้สึกโกรธกับการวางแผนผิดพลาดของตนเอง จึงไม่ได้อธิบายกฎกติกาให้ชัดเจน ขณะที่กำลังจะพูดอะไรเสริมอีกเล็กน้อยก็เห็นซูโม่อี้จ้องมองนางด้วยดวงตาที่ลึกล้ำ ราวกับจะพูดอีกประโยคหนึ่งว่า ‘การเร่ร่อนบนท้องถนนคืนนี้คือจุดจบของนาง’
หลินหวั่นชิงรู้สึกโกรธเคืองในใจ แต่ก็ติดที่อำนาจของเสนาบดีศาลต้าหลี่จึงไม่กล้าโต้แย้ง รู้สึกกังวลกับเส้นทางอันยาวไกลข้างหน้าทันที นางจะต้องถูกซูโม่อี้ขูดรีดถึงเพียงใดกัน สู้ไม่ได้ด่าไม่ได้นั้นไม่ต้องพูดถึง แต่เขายังมีสถานะที่สูงกว่านาง มีเงินมากกว่านาง เป็นคนโหดเหี้ยมกว่านาง ใจแข็งกว่านาง…
จริงๆ ว่ากันว่าเวลาคนโกรธมักมีลางสังหรณ์บางอย่างปรากฏขึ้น
ทันใดนั้นหลินหวั่นชิงก็นึกขึ้นมาได้ว่านับตั้งแต่รู้จักคนผู้นี้เป็นต้นมาก็เห็นเขาดื่มแต่ชาเท่านั้น แม้แต่เมื่อครู่เขาก็ก้มหน้าดื่มชาตลอด ไม่เคยแตะสุราเลย ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับบุรุษที่ชอบมั่วสุมอยู่ในสถานที่พลอดรักของหญิงชายตลอดทั้งปี
หลินหวั่นชิงกลอกตา คิดแผนการในใจขึ้นมาทันใด ด้านหนึ่งนางยิ้มและชื่นชมซูโม่อี้ที่สามารถพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ มีความรู้รอบด้าน อีกด้านหนึ่งก็แสร้งทำเป็นยื่นมือไปหยิบกาน้ำชา เพียงแต่ตอนที่มือกำลังจะแตะกาน้ำชาก็ชะงักกะทันหัน เปลี่ยนไปจับกาสุราผลไม้แล้วบีบจมูกโด่งของเขาพร้อมยกมือขึ้น
จู่ๆ ซูโม่อี้ก็ถูกตัดลมหายใจ จึงอ้าปากโดยไม่รู้ตัว หลินหวั่นชิงจึงฉวยโอกาสใช้ช่องว่างนี้กรอกสุราผลไม้กานั้นลงไปทั้งหมด เรื่องเบาะแสนางย่อมมีวิธีการของตนเอง สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือคนผู้นี้อย่าได้มาก่อกวนกันอีกก็พอ จะแพ้หรือชนะก็ขึ้นอยู่กับการกระทำครั้งนี้แล้ว ดังนั้นการเคลื่อนไหวของนางจึงรวดเร็วอย่างยิ่ง
ซูโม่อี้ถูกคนผู้นี้กรอกสุราโดยไม่คาดคิดมาก่อน รู้สึกเพียงมีของเหลวที่เผ็ดร้อนหอมหวานลงไปในท้องจนแทบจะสำลักและอาเจียนอาหารเย็นออกมา จากนั้นเบื้องหน้าก็เป็นแสงสีขาว หน้าอกค่อยๆ อุ่นขึ้น…
ทุกคนเห็นคุณชายผู้รูปงามเย่อหยิ่งเมื่อครู่เวลานี้ดูอ่อนโยนขึ้นมาก ในดวงตาของเขาเป็นประกาย บนแก้มที่ขาวราวกับหยกกลายเป็นสีแดง ใบหน้าที่งดงามพริ้งพรายยามนี้ยิ่งดูราวกับเทพเซียนเดินดินเมามายสุรา ทำให้นอกเหนือจากเงินแล้วพวกนางไม่มีใครไม่ใฝ่ฝันหาเขา
แต่ไรมาหลินหวั่นชิงไม่ใช่คนที่หมกมุ่นอยู่กับความรูปงามของบุรุษ นางปรบมือด้วยความโล่งอก แล้วหันไปพูดกับทุกคนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว พวกเรามาเล่นกันต่อเถอะ”
วังต้าหมิง ตำหนักเฉิงฮวน
ดวงจันทร์เต็มดวงลอยอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
ในยามจื่อพระราชวังที่สูงตระหง่านอยู่ท่ามกลางความมืดยามราตรี กำแพงสีแดงและกระเบื้องสีเหลืองทองก็ถูกปกคลุมไปด้วยเงามืด
องค์หญิงจยาติ้งเดินออกมาจากตำหนักของเฉินฮองเฮา ก้มหน้าก้มตาอย่างคนที่มีความในใจอยู่เต็มอก
บริเวณโดยรอบเงียบสงบอย่างยิ่ง มีเพียงเสียงฝีเท้าของนางและหมัวมัวที่ถือตะเกียงเดินตาม
ตุบ
ก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งหล่นลงมาตรงหน้านางพอดี นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นเพียงเงาดำผ่านไป เว่ยซูตกตะลึงโดยไม่รู้ตัวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินกลับห้องนอนของตนเองอย่างรวดเร็วแล้วไล่ทุกคนออกไป
ด้านหลังฉากกั้นรูปเหล่าวิหคหันหน้าเข้าหาหงส์มีเงาดำค่อยๆ โผล่ออกมาด้วยจังหวะก้าวเดินที่เนิบนาบ
ก่อนจะมีเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า “ไม่พบกันนานจะทรงมองกันด้วยสายตาเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วหรือ ถวายบังคมองค์หญิง”
พอเว่ยซูเห็นใบหน้าของผู้ที่มาอย่างชัดเจนแล้วก็พลันทำสีหน้าเคร่งขรึมทันที ความอ่อนโยนเรียบร้อยยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นอันตรธานไปสิ้น เหลือเพียงความดุร้ายบนใบหน้า “เจ้ามาด้วยเหตุใด”
สีหน้าของคนชุดดำเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “กระหม่อมมาเยี่ยมองค์หญิงอย่างไรเล่า และอยากจะขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงเรื่องหนึ่ง”
เว่ยซูไม่ได้ตอบ เพียงมองเขา ดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยการป้องกันตัว
ชายชุดดำหยิบขวดกระเบื้องสีขาวออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ ในยามค่ำคืนเช่นนี้ยิ่งขับเน้นให้เสียงพูดของเขาชัดเจนยิ่ง “องค์หญิงทรงพบกับซูซื่อจื่อแล้วสินะ”
เว่ยซูตกใจ นางไม่ได้ตอบอะไร
ชายชุดดำยิ้ม คลึงขวดกระเบื้องในมือบนโต๊ะแล้วพูดว่า “องค์หญิงทรงรีบร้อนที่จะหาที่พึ่งให้ตนเองอยู่มิใช่หรือ” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ซูซื่อจื่อเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวผู้หนึ่งจริงๆ”
เว่ยซูได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ไทเฮาทรงเลี้ยงดูซูโม่อี้มาจนโต แล้วเขายังทำงานให้กับฮ่องเต้ด้วย หากเขาไม่ยินยอม ข้าจะบังคับเขาได้อย่างไร”
ดูเหมือนชายชุดดำจะคิดไว้แล้วว่านางจะต้องแก้ตัวเช่นนี้ จึงพูดอย่างใจเย็นว่า “ในเมื่อเขาไม่ยอม องค์หญิงทรงคิดหาวิธีไม่ได้หรืออย่างไร”
พอพูดจบเขาก็เขย่าขวดกระเบื้องในมือ “หากทำเพื่อเห็นแก่พระพักตร์ของราชวงศ์ ฮ่องเต้ ฮองเฮา หรือแม้แต่ไทเฮาจะทรงทำอย่างไร”
เว่ยซูตกตะลึงก่อนจะเข้าใจได้ในทันที เขาจะเป็นคนวางยาซูโม่อี้ด้วยตนเอง หากทั้งสองเป็นสามีภรรยากันแล้ว ไม่ว่าจะพิจารณาจากอะไรก็ตามซูโม่อี้ก็มีเพียงทางเลือกเดียวคือต้องแต่งงานกับนาง
“ฮองเฮาก็ทรงต้องการใกล้ชิดซูซื่อจื่อมิใช่หรือ แผนการนี้ทำหนึ่งได้ถึงสอง”
“หึๆ” เว่ยซูหัวเราะ “พวกเจ้าจะใจดีเช่นนี้เชียวหรือ เกรงว่าจะมีความมุ่งหมายอื่นแล้วใช้ข้าเป็นเหยื่อมากกว่ากระมัง”
ชายชุดดำผงะ เขาพูดยิ้มๆ ว่า “องค์หญิงตรัสเกินไปแล้ว”
เว่ยซูไม่เชื่อคำพูดของเขา นางจ้องหน้าเขาแล้วพูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นในจวนของราชเลขาซ่ง และฆาตกรถูกฆ่าตายในห้องขัง เวลานี้คดีนี้ถูกซูซื่อจื่อรับไปจัดการแล้ว”
น้ำเสียงของนางชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดอย่างเย้ยหยัน “เรื่องนี้เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้เป็นนายของพวกเจ้าด้วย”
ชายชุดดำตกตะลึง เขาไม่ได้พูดอะไรอีก
ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด ทั้งสองคนค่อนข้างเงียบขรึม บรรยากาศเงียบงันไปชั่วขณะราวกับอยู่ในทะเลสาบลึก ท่ามกลางแสงจันทร์ที่เยือกเย็นมีเสียงลมหวีดหวิวดังขึ้นข้างหู ชวนให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะไปชั่วขณะ เว่ยซูรู้สึกว่ามีมือหนึ่งกำลังบีบคอของนางอย่างแรง บีบให้นางต้องถอยไปสองสามก้าวจนเอวชนเข้ากับชั้นวางของโบราณที่อยู่ด้านหลัง เครื่องลายครามโบราณที่อยู่บนนั้นหล่นโครมครามตกลงมาแตกเกลื่อนเต็มพื้น
“องค์หญิง?!” นางกำนัลที่อยู่นอกประตูได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงส่งเสียงถามขึ้นมา
ชายชุดดำยิ้มให้เว่ยซู “เจ้าลองสั่งให้นางเข้ามาสิ คืนนี้ข้าก็จะส่งเจ้าเข้าห้องขังนักโทษประหารของศาลต้าหลี่ในข้อหาปลอมตัวเป็นองค์หญิง หลอกลวงฮ่องเต้”
เว่ยซูรู้สึกหนักใจ ใบหน้าของนางซีดเซียวแล้วพูดกับคนนอกประตูทันทีว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่ทันระวังจึงเดินไปชน พรุ่งนี้เช้าค่อยทำความสะอาดก็แล้วกัน”
ด้านนอกประตูจึงไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวอีก เวลานี้เว่ยซูจึงได้ลูบคลำลำคอที่ถูกอีกฝ่ายบีบจนแดง สูดลมหายใจเข้าแล้วพูดว่า “ข้าต้องทำอย่างไร”
ชายชุดดำยื่นขวดกระเบื้องในมือให้นางพลางเอ่ย “ง่ายมาก หาโอกาสเทยานี้ลงในชาของซูซื่อจื่อ แล้วไปรอที่สถานที่ที่กำหนดไว้ เมื่อถึงเวลาจะมีคนมาคอยช่วยเจ้าเอง”
“ซูซื่อจื่อจะเข้าวังก็ต่อเมื่อฮ่องเต้ทรงเรียกให้เข้าเฝ้า ในยามปกติมีเพียงไทเฮาเท่านั้นที่จะได้เห็นเขาบ้าง เจ้าคงจะไม่ให้ข้าลงมือต่อพระพักตร์ฮ่องเต้และไทเฮาหรอกกระมัง”
ชายชุดดำหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น “องค์หญิงทรงลืมไปแล้วหรือว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิของพระราชวงศ์แล้ว”
เว่ยซูกล่าว “ซูโม่อี้ไม่ไปหรอก เขาไม่ชอบงานเลี้ยงเช่นนี้”
ลมพัดจนหน้าต่างห้องนอนส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ท่ามกลางแสงจันทร์ที่เงียบสงบช่างน่าหวาดกลัว ชายชุดดำคลึงยาในมือพร้อมพูดยิ้มๆ “เขาต้องไปแน่นอน เพียงแค่เราปล่อยเหยื่อที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้”
ในที่สุดหลินหวั่นชิงก็รู้แล้วว่าการยกหินทุบเท้าตนเองหมายความว่าอย่างไร นางคาดว่าซูโม่อี้ดื่มสุราไม่เก่ง แต่คิดไม่ถึงว่าสุราผลไม้เพียงกาเดียวจะสามารถทำให้เขาเมาจนสลบไปได้
พฤติกรรมการดื่มสุราทำให้เห็นพฤติกรรมคน ต้องบอกว่าพฤติกรรมของซูโม่อี้ดีจริงๆ การทำอะไรโดยไม่ดูตาม้าตาเรือหลังเมาสุราที่ผู้อื่นเป็นเหล่านั้นเขาไม่มีแม้แต่อย่างเดียว เพราะความชอบของใต้เท้าซูก็คือการดึงให้คนฟังเขาท่อง ‘กฎหมายราชวงศ์ใต้’ และ ‘บันทึกการล้างมลทิน’ ดังนั้นเขาจึงดึงให้พวกสตรีเหล่านั้นมาท่องตั้งแต่ ‘หลักการทั่วไปของกฎหมาย’ ไปจนถึง ‘ระเบียบข้อบังคับในการตรวจสอบและตัดสินคดี’ ท่องตั้งแต่การตรวจพิสูจน์ศพไปจนถึงการตรวจพิสูจน์กระดูก ในที่สุดพวกสตรีเหล่านั้นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ต่างพากันหาข้ออ้างจากไป อีกทั้งใต้เท้าซูยังพุ่งไปที่ห้องโถง แล้วเล่าถึงกระบวนการตรวจสอบบาดแผลจากการตายยี่สิบเก้ารูปแบบในหนังสือ ‘บันทึกการล้างมลทิน’ ให้บรรดาแขกผู้มีพระคุณฟัง…หลังจากทำสิ่งที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้ สุดท้ายพวกเขาจึงถูกเชิญออกจากหอคณิกาไป
แต่แม่เล้าชรารู้ดีว่าจะล่วงเกินคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงให้คนส่งเขาออกไปอย่างสุภาพ
ในยามราตรีที่เงียบสงบ ดวงจันทร์สุกสกาวอยู่บนท้องฟ้า บนถนนมีเพียงคนเมาสองสามคน ก่อนจะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ดังขึ้นจากบ้านหลังใดหลังหนึ่ง
หลินหวั่นชิงแบกซูโม่อี้ซึ่งสูงกว่านางหนึ่งช่วงศีรษะเดินไปหอบไปด้วยความลำบากยากเย็นยิ่ง ทว่าคนที่อยู่บนหลังกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ฟุบลงบนตัวนางตัวอ่อนปวกเปียกไปหมด แล้วยังพูดจาเหลวไหลไม่หยุด ลมหายใจร้อนชื้นผสมกับความหอมหวานของผลไม้ปะทะใบหูของนางเป็นระยะๆ แก้มที่ร้อนระอุของเขาเสียดสีกับลำคอของนาง แขนอันกำยำรัดไหล่ของนางไว้แน่น หน้าอกกระเพื่อมไหว
ทันใดนั้นหลินหวั่นชิงก็นึกถึงคืนนั้นในห้องอาบน้ำ สิ่งใหญ่โตที่ตนเองได้เห็นนั้น…ลมหายใจนางพลันปั่นป่วนไปหมด นางใจลอย มือเท้าอ่อนแรง คนที่อยู่บนหลังแสร้งทำเหมือนจะหงายหลัง นางจึงรีบใช้มือคว้าเอาไว้
แปะ!
ความรู้สึกจากการสัมผัสด้วยมือรู้สึกแข็งกำลังพอดี และมีความยืดหยุ่นอย่างมาก หลินหวั่นชิงหันไปมอง มือข้างหนึ่งของนางจับโดนบั้นท้ายของซูโม่อี้เข้าพอดิบพอดี นางรู้สึกร้อนมือโดยไม่รู้ตัว อยากจะปล่อยมือ แต่ดูเหมือนว่าคนที่อยู่บนหลังจะเริ่มรู้สึกตัวแล้ว เขาขยับร่างกายบนตัวนางและโอบคอนางให้แน่นขึ้น
หลินหวั่นชิงถอนหายใจแล้วดึงมือกลับอย่างเงียบๆ ไปประคองแขนของเขาที่รัดไหล่ของนางอยู่ แต่กลับพบว่ามีความรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งกว่าเกิดขึ้นที่บริเวณหลัง ก่อนที่นางจะก้มศีรษะด้วยความตกตะลึง แล้วเห็นมือของซูโม่อี้วางอยู่บนหน้าอกของนางอย่างจัง กำลังเลียนแบบท่าทางที่นางสัมผัสเขาเมื่อครู่ ลูบไล้อย่างอ่อนโยนสองครั้ง
“…” หลินหวั่นชิงสะดุ้งและพลิกตัวเขาลงพื้น
ถึงอย่างไรซูโม่อี้ก็เป็นผู้ที่เคยฝึกวิทยายุทธ์มาก่อน แม้ในเวลาที่ไม่รู้สึกตัวก็ยังคงมีการตอบสนองของกล้ามเนื้อ เขาเดินโซเซไปสองสามก้าวแล้วถึงเกาะต้นไม้ยืนขึ้นอย่างมั่นคง
หากเป็นไปได้หลินหวั่นชิงก็อยากทิ้งเขาไว้ที่นี่แล้วจากไปโดยไม่สนใจอีกเลยจริงๆ แต่ขุนนางอำมหิตผู้นี้น่ารำคาญเพียงนั้น หากทิ้งไว้บนถนนจะถูกคู่อาฆาตฆ่าตายหรือไม่ แล้วอย่างไรเสียนางก็ยังไม่ได้เป็นคนของศาลต้าหลี่ ยังต้องพึ่งพาซูโม่อี้จึงจะสามารถสอบสวนคดีอยู่ที่นี่ได้ นางสูดลมหายใจลึกแล้วถอนหายใจอย่างยอมรับชะตากรรม เนื่องจากต้องลากคนเมา ระยะทางที่เคยใช้เวลาเดินหนึ่งเค่อ หลินหวั่นชิงต้องใช้เวลาเดินสองเค่อจึงถึงที่หมาย เมื่อนางเห็นแผ่นป้ายของศาลต้าหลี่ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่างก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดี
คนที่เปิดประตูคือเยี่ยชิง เขารู้ว่าซูโม่อี้และหลินหวั่นชิงไปสอบสวนคดี แต่เมื่อเห็นว่านานแล้วซูโม่อี้ยังไม่กลับมาจึงไม่กล้าพักผ่อนก่อน
หลินหวั่นชิงอยากโยนคนที่อยู่บนหลังให้เยี่ยชิงอย่างโล่งใจ แต่กลับเห็นอีกฝ่ายถอยหลังไปสองสามก้าวราวกับว่าสิ่งที่นางกำลังจะมอบให้เป็นภูตผีปีศาจอันใดกระนั้น
ในดวงตาของเยี่ยชิงที่มองหลินหวั่นชิงปะปนไปด้วยความเย็นชาและความเสียใจอย่างอธิบายไม่ถูก “ใต้เท้าไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ และไม่เคยปล่อยให้ผู้อื่นใกล้ชิด รบกวนเจ้าหน้าที่หลินช่วยประคองใต้เท้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องด้วย”
“…” หลินหวั่นชิงพูดไม่ออกแล้ว
ห้องนอนในศาลต้าหลี่นั้นสะอาดและงดงาม เยี่ยชิงจุดไม้จันทน์ที่ซูโม่อี้โปรดปรานที่สุด มุ้งขยับพลิ้วไหวเบาๆ กลิ่นหอมลอยวนเวียน
บัดนี้หลินหวั่นชิงจึงได้รู้ว่าแม้ซูโม่อี้จะมีจวนเป็นของตนเอง แต่ก็แทบไม่เคยไปอาศัยอยู่ที่นั่นเลย เพราะเวลาส่วนใหญ่ตลอดทั้งปีเขาอยู่แต่ในศาลต้าหลี่ ที่นี่นอกจากจะเป็นที่ทำงานของเขาแล้วยังเป็นที่อยู่อาศัยระยะยาวของเขาอีกด้วย
ห้องนอนของซูโม่อี้นั้นเรียบง่ายกะทัดรัดและสะอาดเย็นสบาย แต่ก็มีความแปลกประหลาดชนิดที่อธิบายไม่ถูกเช่นกัน เครื่องเรือนทั้งหมดถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีหนังสือจัดเรียงไว้ให้อ่าน แม้แต่พู่กันบนโต๊ะก็จัดเรียงเป็นแถวตามขนาดจากซ้ายไปขวา
มุมปากของหลินหวั่นชิงกระตุก นางคิดในใจว่าคนผู้นี้อาจเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำจริงๆ ในขณะที่กำลังคิดวุ่นวายอยู่นั้นหนังสือเล่มเล็กที่อยู่ใกล้ๆ มือก็ดึงดูดความสนใจของนาง มันเป็นหนังสือที่ม้วนงอตรงมุม หน้าหนังสือเหลือง มีตัวอักษรบิดเบี้ยวอยู่บนหน้าปก เหมือนลายมือเด็ก นางหยิบขึ้นมาดูอย่างสบายอารมณ์
เยี่ยชิงเดินออกมาจากห้อง เมื่อเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “นั่นคือหนังสือที่ใต้เท้าเขียนเมื่อตอนอายุแปดขวบ”
หลินหวั่นชิงเปิดดูสองสามหน้าแล้วก็ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่คือหนังสือ ‘อธิบายกฎหมายราชวงศ์ใต้’ หรือ”
เยี่ยชิงไม่ได้ปฏิเสธ เพียงพูดต่อว่า “ตั้งแต่อายุแปดขวบซื่อจื่อก็ตั้งปณิธานว่าจะอุทิศตนเป็นผู้พิพากษา ทั้งยังพูดเสมอว่าตาข่ายแห่งฟ้าห่างทว่าไม่รั่ว* ทำชั่วก็ต้องถูกลงโทษ และกฎหมายอาญาไม่ได้มีไว้เพื่อการแก้แค้น แต่มีไว้เพื่อให้ผู้ที่กระทำความผิดรู้ว่าพวกเขาผิดพลาดไปแล้ว”
หลินหวั่นชิงได้ยินเช่นนั้นก็เงียบงันไป นางก้มหน้าลงลูบตัวอักษรเล็กๆ บนหน้าหนังสือ…
‘ยินดีที่จะอุทิศตนเป็นผู้พิพากษา ลงโทษคนชั่ว ส่งเสริมคนดี ทำให้คนชั่วถูกประหารชีวิต ร่วมมือกับหมอกำจัดโรครักษายาก
ซูจิ่งเช่อ’
ที่แท้ชื่อรองของเขาคือ ‘จิ่งเช่อ’
ภาพเหตุการณ์ที่ต้องการเห็นในชีวิตของข้าคือสภาพสังคมที่สะอาดบริสุทธิ์ บางทีอาจเกิดจากความซาบซึ้งใจกับปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่ไร้เดียงสาของจิ่งเช่อ
หลินหวั่นชิงยกมุมปากขึ้นอย่างยากที่จะสังเกตเห็นให้กับซูโม่อี้เป็นครั้งแรก
“น้ำ…” คนบนเตียงพลิกตัวแล้วส่งเสียงพึมพำเบาๆ ผ่านลำคอ
หลินหวั่นชิงเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยชิง กลับเห็นเยี่ยชิงชี้ชาบนโต๊ะให้นางดู จากนั้นจึงหันหลังกลับและปิดประตูเดินจากไป
“…” หลินหวั่นชิงจึงจำต้อง ‘ทำความดี’ จนถึงที่สุด
ซูโม่อี้ดื่มน้ำที่นางยื่นส่งให้แล้วก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
คนบนเตียงนอนหลับอย่างสงบ แสงที่ส่องผ่านมุ้งตกลงบนหน้าผากของเขา ในความงามสมส่วนนั้นมีความงามเย็นตาแบบเฉพาะของผู้เป็นหนอนหนังสือผสมผสานอยู่เล็กน้อย หน้าผาก จมูก คาง หรือแม้กระทั่งรอยหยักของเส้นขอบปากล้วนเหมือนผ่านการคำนวณโดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะมากไปอีกสักนิดหรือน้อยไปอีกสักหน่อยก็จะทำลายความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ได้ ทว่าลมหายใจที่สม่ำเสมอนั้นกลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความเย็นชาและความน่าเกรงขามที่ห้ามละเมิด
ดูเหมือนในที่สุดหลินหวั่นชิงก็เข้าใจแล้วว่าชื่อเสียงด้านความรูปงามเป็นอันดับหนึ่งในเมืองเซิ่งจิงของซูโม่อี้นี้มาจากที่ใด จนนางอดที่จะเข้าใกล้อีกนิดไม่ได้
ทันใดนั้นแสงเทียนก็สั่นไหว หลินหวั่นชิงรู้สึกว่ามือของนางกระชับขึ้น เวลาต่อมานางก็อยู่ใต้ร่างของซูโม่อี้…
“ไม่มีทาง…” หลินหวั่นชิงจ้องมองมุ้งและตะขอหยกที่ยังคงสั่นไหวด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก “แค่รู้สึกว่าท่านดีขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ท่านก็ได้คืบจะเอาศอกเสียแล้ว…”
นางพยายามผลักคนที่อยู่บนตัวนางออก แต่จนใจที่เขาเป็นเหมือนภูเขาสูงที่ตั้งตระหง่าน ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ซูโม่อี้พลิกตัวไปด้านข้าง ร่างกายของเขาก็ทับอยู่บนตัวนาง
“โอ๊ย! ซูโม่อี้!” นางตะโกนเสียงดัง “หนักเหลือเกิน!”
ไม่มีการตอบสนอง…
หลินหวั่นชิงผลักเขาอย่างสิ้นหวัง “ท่านทำเช่นนี้ข้าเจ็บมากนะ!”
“อย่าขยับ…” เสียงหลังจากดื่มสุราของซูโม่อี้แหบแห้งด้วยความเมามายเล็กน้อย เขาขยับตัวและกอดนางแน่นขึ้น
“ท่านขยับออกไปสักหน่อย!” นางไม่ยอมแพ้ ยังคงผลักไสเขา แต่เมื่อมือกระชับขึ้นกลับถูกเขาจับแขนทั้งสองข้างเอาไว้
“ขยับออกไปก็ไม่สบายตัวแล้ว อดทนสักหน่อย อีกสักพักก็ไม่เจ็บแล้ว…”
“ท่านสบาย แต่ข้าไม่สบายนี่!!”
หลินหวั่นชิงดิ้นรนด้วยกำลังเฮือกสุดท้าย และเตียงทั้งหลังก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนใกล้จะถล่ม
“นี่! ซูโม่อี้!!”
เสียงกรีดร้องของหลินหวั่นชิงและเสียงเตียงดังก้อง ลอยไปเข้าหูของเยี่ยชิงที่อยู่หน้าประตู
ภายใต้ดวงจันทร์ที่สดใสและสายลมเย็น เขาถอนหายใจอย่างเศร้าโศก
“เฮ้อ…บุรุษเมื่อเติบโตแล้วก็ต้องแต่งงาน…”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤษภาคม 2567)
Comments
comments
No tags for this post.