บทที่ 7.1
วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด
ยามที่ซูโม่อี้ตื่นขึ้นมาก็เกือบจะเที่ยงวันแล้ว ผลที่ตามมาของอาการเมาค้างก็คือปากแห้งและความทรงจำขาดตอน
ซูโม่อี้ลุกขึ้นยืนแล้วรินชาให้ตนเอง ภาพฉากสุดท้ายที่เขาจดจำได้อย่างคลุมเครือก็คือหลินหวั่นชิงบีบจมูกของเขาแล้วกรอกสุรา
“เยี่ยชิง” ซูโม่อี้เปิดปากเรียกคน เสียงยังคงแหบพร่าเล็กน้อย “เจ้าหน้าที่หลินเล่า”
เยี่ยชิงได้ยินเช่นนั้นก็พลันอึกอัก สีหน้าที่เดิมทีก็ยากที่จะอธิบายอยู่แล้วยิ่งดูจนใจมากขึ้นไปอีก
เมื่อคืนเพิ่งจะมีความสุขด้วยกันแท้ๆ วันนี้พอตื่นขึ้นมาก็เรียกหาอีก…
เยี่ยชิงถอนหายใจพลางเอ่ยตอบ “เจ้าหน้าที่หลินบอกว่าวันนี้ใต้เท้าไม่ได้มอบหมายงานให้เขา ดังนั้นจึงออกไปตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ”
ซูโม่อี้ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเยาะ รู้ตัวว่าตนเองก่อเรื่องขึ้นจึงต้องหลบไปก่อนสินะ
“ไม่ได้บอกหรือว่าจะไปที่ใด”
เยี่ยชิงพยายามรักษาสีหน้าผิดหวังไว้อย่างดีที่สุด แล้วพูดเสียงแผ่วเบา “ไม่ได้บอกไว้ขอรับ”
รูม่านตาดำของซูโม่อี้หดตัวลง สีหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่ง
เยี่ยชิงเห็นความไม่พอใจนี้ เขาไม่ต้องการสัมผัสความไม่พอใจของซูโม่อี้ จึงออกไปสั่งน้ำอาบผสมหญ้าหอมให้ซูโม่อี้อย่างเงียบๆ
ในห้องอาบน้ำที่ไอร้อนลอยวนเวียนเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่น ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะจากอาการเมาค้างได้ดียิ่ง ซูโม่อี้หลับตาและเอนตัวพิงด้านข้างอ่างอาบน้ำ แขนที่เส้นโค้งเว้างดงามพาดอยู่บนขอบอ่างอย่างสบายอารมณ์ เขาถอนหายใจยาว ไอน้ำที่ลอยตลบอบอวลทำให้เขาเคลิบเคลิ้มไปเล็กน้อย ความรู้สึกก็ผ่อนคลายลงด้วย
ในศาลต้าหลี่และราชสำนักนี้เขาไม่เคยพบคนเช่นหลินหวั่นชิงมาก่อน ยามที่อีกฝ่ายดื้อรั้นขึ้นมาก็เหมือนลาบ้าหรือแมวคลุ้มคลั่ง เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ รู้สึกว่าการประลองปัญญากับอีกฝ่ายหลายครั้งสนุกมากทีเดียว
ซูโม่อี้ย่อมดูออกว่าหลินหวั่นชิงพยายามอย่างหนักในการคิดแผนที่จะเข้าไปในห้องสำนวนความนั่น ส่วนสาเหตุนั้นก็คงเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง และในขณะเดียวกันก็ยังได้รับประสบการณ์ของผู้มีความสามารถที่ล่วงลับไปแล้วเพื่อต่อไปจะได้แสดงความรู้ความชำนาญของตนเองได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาคิดว่ายังสามารถควบคุมหมากตัวนี้ไว้ได้นานขึ้นอีกสักหน่อย
ซูโม่อี้คิดจนเคลิบเคลิ้ม แขนตกลู่ลงและไปชนถูกผ้าขัดตัวที่ลอยอยู่บนน้ำโดยไม่ทันระวัง เขาตะลึงงันไปครู่หนึ่ง สัมผัสอันอ่อนนุ่มนี้ดูเหมือนเมื่อคืนจะได้สัมผัสจากที่ใดสักแห่ง แต่เมื่อคืน…ดูเหมือนเขาจะไม่ได้แตะต้องผู้ใดเลย คนเดียวที่ได้สัมผัสร่างกายกับเขาก็คือหลินหวั่นชิงที่แบกเขากลับมา
“ใต้เท้า” เสียงของเยี่ยชิงดังมาจากหน้าประตู ความคิดของเขาจึงถูกขัดจังหวะ
ซูโม่อี้นำผ้าขัดตัวในถังพาดไหล่ตนเอง แล้วให้เยี่ยชิงเข้ามาพูดคุย
“ราชเลขาซ่งได้ลาออกด้วยเหตุผลจากอาการป่วย และไม่ยอมรับการไต่สวนจากศาลต้าหลี่อีกขอรับ” เยี่ยชิงกล่าว
น้ำเสียงของซูโม่อี้มีแววเย้ยหยัน “เฮ้อ…จิ้งจอกเฒ่านี่” จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เอนตัวพิงอ่างอาบน้ำเช่นเดิมพลางครุ่นคิดด้วยสีหน้าเย็นชา
คดีของซ่งเจิ้งสิงยังเกี่ยวพันกับการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยที่แม่น้ำหวงเหอเมื่อสองปีก่อนด้วย ปัญหาเรื่องเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยนั้นเห็นได้บ่อยครั้งในทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องแปลกใจอะไร สุดท้ายแล้วก็เพียงผ่านราชวงศ์นี้ไป คนที่ควรถูกฆ่าก็ฆ่า ควรถูกลดขั้นก็ลดขั้น หากคนข้างล่างรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ทำไม่รู้ไม่ชี้คว้าเงินไปจำนวนหนึ่ง ไม่แน่ว่าฮ่องเต้ก็อาจจะหลับตาข้างหนึ่งแล้วปล่อยไป แต่การสงเคราะห์ผู้ประสบภัยครั้งนั้นมีความพิเศษตรงที่ในจำนวนเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยที่ทางราชสำนักได้รับจากทุกเขตมณฑลนั้นกลับปรากฏ ‘เงินปลอม’ ในจำนวนเงินที่เรียกเก็บมาได้ห้าสิบหมื่นตำลึงนั้นมีเงินปลอมมากกว่ายี่สิบหมื่นตำลึงที่ผสมมากับโลหะชนิดอื่นๆ
ยี่สิบหมื่นตำลึงเป็นรายได้ภาษีตลอดทั้งปีของเขตมณฑลแห่งหนึ่ง หากผู้คนนำไปใช้จ่ายจะทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น และความเป็นอยู่ของราษฎรลำบากมากขึ้น และที่ทำให้น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือเงินเหล่านั้นมาจากคลังของแต่ละเขตมณฑล จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการท้าทายพระราชอำนาจ ฮ่องเต้โกรธอย่างยิ่ง จึงมีความประสงค์ที่จะตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยทันที แต่สถานการณ์ของภัยพิบัติได้ดำเนินมาถึงขั้นที่ไม่อาจรั้งรอได้ หากทุ่มเทแรงกายแรงใจในการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจะเป็นการสะสางความขัดแย้งภายในโดยมีความเดือดร้อนของราษฎรเป็นตัวประกัน สุดท้ายกรมอาญาได้ลงโทษผู้ควบคุมดูแลการหล่อเงินตราและผู้ใต้บังคับบัญชาในเหมืองแร่ประมาณห้าสิบกว่าคน ส่วนตัวการสำคัญนั้นได้ฆ่าตัวตายเพราะกลัวถูกลงโทษ เรื่องนี้จึงไม่สามารถตรวจสอบต่อไปได้อีก พูดไปแล้วคนเหล่านั้นหาผลประโยชน์จากอุทกภัยจึงต้องพบจุดจบเช่นนี้ แต่ภัยธรรมชาติและภัยที่เกิดจากมนุษย์นี้ แต่ไรมาก็ใช่ว่ามนุษย์จะสามารถควบคุมได้
ซูโม่อี้ไม่เชื่อว่าเรื่องราวจะประจวบเหมาะเช่นนี้ ภัยพิบัติไม่สามารถควบคุมได้ แต่เวลาในการรายงานต่อราชสำนักนั้นสามารถควบคุมได้ หากข่าวอุทกภัยครั้งนั้นมาถึงก่อนครึ่งเดือน ฮ่องเต้ก็จะไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ถูกกระทำเช่นนี้
เรื่องนี้จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีเงื่อนไขสามประการ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
ประการแรกจังหวะที่ฮ่องเต้จะได้รับทราบสถานการณ์ของภัยพิบัติ ประการที่สองสะสางเบาะแสที่สามารถสืบสาวได้อย่างจริงจัง ประการที่สามมีความเกี่ยวข้องกับผู้ใต้บังคับบัญชาในเหมืองแร่แห่งใดแห่งหนึ่ง
หลังจากซูโม่อี้ได้สะสางเบาะแสแล้วจึงพบว่าขุนนางชั้นสูงในราชสำนักมีซ่งเจิ้งสิงเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีความสามารถดังกล่าว เขาเป็นขุนนางมาหลายสิบปีและรับใช้ฮ่องเต้สองรุ่น ในยุคราชวงศ์ก่อนเคยดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการหงโจวซึ่งกิจการเหมืองแร่เจริญรุ่งเรือง ต่อมาได้ถูกฮ่องเต้พระองค์ก่อนโยกย้ายไปรับตำแหน่งรองเสนาบดีกรมอาญา หลังจากเลื่อนขั้นไปดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมอาญาได้ไม่นานก็ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นราชเลขาธิการ แต่สงสัยก็คือสงสัย ไม่มีหลักฐาน ไม่มีแม้กระทั่งแรงจูงใจ ขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก ศาลต้าหลี่ย่อมไม่สามารถไต่สวนได้ตามอารมณ์ ในที่สุดก็ทำได้เพียงส่งคนเข้าไปสอดแนมในจวนผู้หนึ่งเพื่อลอบสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ
ส่วนคดีของหวังหู่นั้นซ่งเจิ้งสิงเป็นเหยื่อ สถานที่เกิดเหตุไม่ได้อยู่ในจวนของเขา จึงไม่สามารถตรวจค้นได้ จากการสอบถามก่อนหน้านี้หลายครั้งเขาตอบเพียงครั้งเดียว แสร้งทำท่าทางเศร้าเสียใจเจียนตาย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไปๆ มาๆ ก็สารภาพแต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ตอนนี้ขอเพียงเขาใช้การเศร้าเสียใจที่สูญเสียคนรัก ต้องการหลีกเลี่ยงภาพอันสะเทือนใจที่ทำให้เกิดความเศร้าโศกเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธการเข้าพบ ซูโม่อี้ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาบังคับสอบสวนได้ ดังนั้นหลายวันมานี้ทางด้านซ่งเจิ้งสิงจึงไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย
คงจะไม่สามารถนั่งรอความตายเช่นนี้ตลอดไปได้
ซูโม่อี้เก็บอารมณ์ต่างๆ กลับมา เขาเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยชิงแล้วพูดว่า “คืนนี้หลังจากฟ้ามืดแล้วไปสำรวจจวนสกุลซ่งกับข้า”
เยี่ยชิงเบิกตากว้าง รู้สึกว่าข้อเสนอนี้เสี่ยงเกินไป “ตะ…ใต้เท้าจะไปด้วยตนเอง?”
ซูโม่อี้มองหน้าเยี่ยชิงแล้วกลอกตา “ในศาลต้าหลี่ผู้ที่ข้าไว้วางใจที่สุดมีเจ้าเพียงผู้เดียว”
เยี่ยชิงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งจนขอบตาของเขาแดงเรื่อ
ขณะที่เขากำลังจะขอบคุณสำหรับความรักและการให้เกียรติของใต้เท้าซู กลับได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของซูโม่อี้ดังขึ้น
“แต่สมองของเจ้าใช้การไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงต้องลงมือเองเท่านั้น”
“…” เยี่ยชิงพูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง
ฟ้ามืดแล้ว ดวงจันทร์เสี้ยวโผล่พ้นขอบฟ้า
วันนี้หลินหวั่นชิงใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่หอคณิกาถามคำถามที่เมื่อวานไม่ทันได้ถามกับนางคณิกาเหล่านั้นจนหมดสิ้น ยามนี้เลยเวลาอาหารไปแล้ว นางยังไม่ได้กินข้าว จึงสั่งเกี๊ยวจากร้านข้างทางชามหนึ่ง นางกินไปพลางพลิกหนังสือเล่มเล็กในมืออ่านไปพลาง แล้ววงบุรุษที่เหยื่อทุกคนรู้จักเหมือนกันออกมา
เสียงเกือกม้าดังกุบกับขึ้นที่ข้างหู หลินหวั่นชิงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดที่หน้าประตูจวนซึ่งอยู่ไม่ไกลอย่างช้าๆ รอบๆ ยังมีคนติดตามมามากมายด้วย
จวนสกุลซ่ง?
หลินหวั่นชิงตกใจ นางวางตะเกียบลงแล้วถาม “ข้างหน้านั่นใช่จวนของใต้เท้าซ่งราชเลขาธิการขุนนางใหญ่ของราชสำนักหรือไม่”
พ่อค้าตอบรับโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
หลินหวั่นชิงอดที่จะมองไปอีกครั้งไม่ได้
หลังจากรถม้าจอดสนิทแล้วคนข้างๆ ก็ขนของกันวุ่นวาย ดูท่าทางเหมือนคณะงิ้วที่มาแสดงเพื่อปัดเป่าเคราะห์ น่าจะเป็นเพราะเรื่องของจ้าวอี๋เหนียง พวกเขาจึงมาปัดเป่าเคราะห์ร้ายให้จวนสกุลซ่ง
หลินหวั่นชิงแย้มยิ้ม นางรู้สึกว่าตนเองเป็นโรคที่เกิดจากการทำงานอย่างหนัก ขณะที่กำลังจะละสายตาจู่ๆ ก็มีสาวใช้สวมกระโปรงสีเขียวเดินออกมาจากจวน เนื่องจากไกลเกินไปจึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของนางหลินหวั่นชิงมองเห็นอย่างชัดเจน นางเดินส่ายไปมามากกว่าคนทั่วไปมาก ดูท่าทางน่าจะเป็นคนขาเป๋
ราวกับสายธนูในสมองเส้นหนึ่งรัดแน่นขึ้นทันที หลินหวั่นชิงรีบวางตะเกียบลงแล้วเดินตามริมถนนไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ประตูด้านข้างของจวนสกุลซ่ง
สาวใช้ผู้นั้นไม่ได้สังเกตเห็นหลินหวั่นชิง นางบัญชาการให้คนกลุ่มนั้นยกโน่นยกนี่แล้วก็เข้าไปในจวน ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ คณะงิ้วอย่างน้อยมีสิบกว่าคน เบียดเสียดจ้อกแจ้กจอแจอยู่ด้วยกัน
หลินหวั่นชิงฉวยโอกาสปะปนเข้ากับคนช่วยงานยกเครื่องดนตรีบนรถม้าแล้วเดินตามเข้าไปในจวนสกุลซ่ง พวกเขาเดินผ่านลานหลัก เดินไปตามระเบียงข้างห้องโถงไปจนถึงเรือนด้านหลังจวน จากนั้นกองข้าวของในมือไว้ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งแล้วเดินตามพ่อบ้านไปจัดเวที
หลินหวั่นชิงรีบแอบอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของจวน นางเดินตามสาวใช้ขาเป๋ไป เมื่อครู่ตอนที่นางเดินมาตลอดทางได้บันทึกแผนผังของจวนไว้คร่าวๆ แล้ว
หลังหลบยามที่ประตูจวนหลายคนและเดินตามนางไปที่หน้าห้องโถงใหญ่ของเรือนอีกหลังหนึ่ง สาวใช้ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
เดิมทีหลินหวั่นชิงวางแผนที่จะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ต่อไป แล้วรอจนกว่าคณะงิ้วจะสร้างเวทีเสร็จ ตอนจะออกไปค่อยปะปนออกไปด้วย จนกระทั่งมีคำถามด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กไร้เดียงสาดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“เจ้าเป็นใคร”
เด็กน้อยตัวขนาดกลางๆ มือข้างหนึ่งถือขนมน้ำตาลปั้นกำลังเงยหน้าขมวดคิ้วมองหลินหวั่นชิง นางพูดไม่ออก ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี แต่ชั่วเวลาเพียงอึดใจเดียวจู่ๆ เด็กน้อยก็ตะโกนออกมา เสียงของเด็กแหลมสูง ทั้งยังมีพลังทะลุทะลวงสูง หลินหวั่นชิงอยากจะไปปิดปากเขาไว้ แต่เขาร้องไห้วิ่งหนีไปแล้ว หากตามไปจะไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือ
หลินหวั่นชิงใคร่ครวญแล้วก็ตัดสินใจหาสถานที่ที่ไม่มีคนซ่อนตัวก่อน ด้านหน้าห่างออกไปสิบก้าวมีห้องเล็กๆ อยู่ห้องหนึ่ง ตอนกลางคืนไม่จุดตะเกียงจะต้องไม่มีคนอยู่แน่นอน นางหาที่ที่เหมาะสมได้แล้ว เมื่อมาถึงใต้หน้าต่างที่เปิดค้างอยู่ก็ยันแขนแล้วกระโดดเข้าไป
ในไม่ช้าที่หน้าประตูก็มีเสียงฝีเท้าและเสียงคนจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้น หลินหวั่นชิงกังวลว่าพวกเขาจะพังประตูเข้ามา จึงอาศัยแสงจันทร์สลัวคลำพบบานประตูไม้ มือของนางลูบคลำไปมาก็พบว่ามันเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ เมื่อวัดคร่าวๆ ในความมืดแล้วหากนางจะเข้าไปอยู่ในนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา
ยามนี้เสียงฝีเท้าดังมาถึงหน้าประตูแล้ว ก่อนจะมีคนหยิบกุญแจออกมาเพื่อเปิด กุญแจทองเหลืองส่งเสียงดังแกร๊กชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึง
หลินหวั่นชิงไม่คิดอะไรอีกแล้ว ขณะที่เปิดตู้เสื้อผ้าออก จู่ๆ ก็มีแขนยื่นออกมาจากด้านในแล้วดึงมือนางลากเข้าไปในตู้เสื้อผ้า!
ประตูไม้ถูกผลักออกเสียงดังเอี๊ยด ห้องกลับเงียบสนิทเหมือนเดิม บรรดาบ่าวรับใช้ชูคบไฟเดินไปมา ดาบในมือกระทบถูกเครื่องเรือนเสียงดัง
หลินหวั่นชิงที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าตกใจจนนิ่งงันไป เมื่อครู่หลังจากที่คนผู้นั้นลากนางเข้ามาแล้วก็กดข้อมือนางไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเขาเวลานี้กำลังปิดปากของนางอย่างแนบแน่น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่านอกจากนางแล้วยังมีผู้ใดอีกที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ จึงวิ่งมาหาความตายที่จวนของขุนนางใหญ่ขั้นสาม หลินหวั่นชิงนึกตำหนิอยู่ในใจ แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อจนไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย นางทั้งกลัวถูกพบตัวและกลัวถูกฆ่า ขณะที่ความคิดกำลังทำงานที่หลังก็มีเหงื่อซึมออกมาอย่างรวดเร็ว
“อย่าส่งเสียง” นางรู้สึกอุ่นร้อนที่หู พร้อมกับได้ยินเสียงที่ทั้งทุ้มและเย็นชาดังขึ้น เสียงนี้ฟังดูค่อนข้างคุ้นหูอย่างมาก
หลินหวั่นชิงตกตะลึง นางอยากจะหันหน้าไปมอง แต่กลับถูกคนผู้นั้นดันกลับไป
“อย่าขยับ” เขาเริ่มทนไม่ไหว มือที่กดข้อมือนางไว้ออกแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ในเวลานี้บ่าวรับใช้ได้ค้นหาโดยรอบแล้ว แต่ไม่พบอะไรเลย จึงเตรียมตัวจากไป ทว่า…
เสียงเสียงหนึ่งขณะที่เข้าใกล้ตู้เสื้อผ้าจู่ๆ ก็หยุดลงทันที เวลาต่อมาหลินหวั่นชิงก็เห็นลำแสงลอดผ่านช่องโหว่ของตู้เสื้อผ้า
แย่แล้ว! เขาจะเปิดตู้เสื้อผ้า!
ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ด้านหลังนางจะสังเกตเห็นเช่นกัน จึงปล่อยมือนางเล็กน้อยแล้วผลักนางไปข้างหน้า
ไม่นะ หรือว่าเขาจะโยนข้าออกก่อน จากนั้นตนเองก็รอโอกาสหลบหนี
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่” เสียงแหลมของสตรีดังขึ้นที่หน้าประตู ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่สับสนอลหม่าน
ผู้คนในบริเวณนั้นพากันหยุดการค้นหา และพูดกับนางด้วยความเคารพนบนอบ “หวังอี๋เหนียง”
หลินหวั่นชิงรู้สึกว่าหัวใจที่กำลังจะหลุดออกมาจากลำคอผ่อนคลายลงมาก ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกผลักออกไปในชั่วขณะ
“ห้องนอนของข้าเป็นที่ที่บ่าวรับใช้อย่างพวกเจ้าสามารถเข้ามาได้ตามอำเภอใจหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับอี๋เหนียง” แสงไฟที่หน้าช่องโหว่ของตู้เสื้อผ้าสั่นไหว ชายผู้หนึ่งอธิบาย “เมื่อครู่นี้คุณชายบอกว่าเห็นคนแปลกหน้า หลี่อี๋เหนียงจึงได้ให้พวกข้าน้อยมาดูขอรับ”
หวังอี๋เหนียงหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “หลี่อี๋เหนียงเป็นใครกัน คืนนี้มีคณะงิ้วมาสร้างเวทีที่จวน การเห็นคนแปลกหน้าหนึ่งหรือสองคนเป็นเรื่องปกติมาก คุณชายตกใจเกินเหตุ พวกเจ้าก็พลอยบ้าไปด้วยหรือ”
ทุกคนอึกอัก ไม่ได้พูดอะไรอีก
“ไสหัวไป!”
หลังจากเสียงกรีดร้องด่าทอของหวังอี๋เหนียงเงียบลงก็มีเสียงแตกของเครื่องกระเบื้องเคลือบดังตามมา จากนั้นแสงไฟก็ดับลงตามมาด้วยเสียงการเคลื่อนไหวของทุกคนที่ออกจากห้องนอนไป
ในที่สุดหลินหวั่นชิงก็รู้สึกโล่งอก เส้นประสาทที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง นางถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับรู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังตัวสั่นงันงก
จากนั้นอีกฝ่ายก็เอ่ยถามเบาๆ ขึ้นว่า “หลินหวั่นชิง?”
เฮ้อ…ข้าควรคิดได้ตั้งนานแล้วว่านอกจากใต้เท้าซูแห่งศาลต้าหลี่แล้วยังจะมีผู้ใดที่สามารถมาสำรวจจวนสกุลซ่งในยามค่ำคืนอย่างอวดดีเช่นนี้ได้อีก
เวลานี้ในห้องได้จุดเทียนแล้ว หลินหวั่นชิงหันกลับไปพยักหน้า อาศัยแสงสว่างสลัวๆ เห็นดวงตาที่ไม่มีทางเลือกของซูโม่อี้ หลังจากมั่นใจในสายตาแล้วทั้งสองต่างสบายใจขึ้นเล็กน้อย
ขณะที่กำลังจะคำนวณว่าเวลานี้ควรปลีกตัวออกไปอย่างไร กลับได้ยินหวังอี๋เหนียงส่งเสียงเรียก “ซานหลาง…” ด้วยน้ำเสียงหวานหยาดเยิ้มไปทางใดสักแห่งในห้อง
“…” ทั้งสองตกใจพร้อมกัน ไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น
หลังจากใต้เท้าซูพยักหน้าเห็นด้วย หลินหวั่นชิงจึงเปิดประตูไม้ตรงหน้าออกเป็นช่องโหว่เล็กน้อย เพียงมองแวบเดียวทั้งคู่ก็ยืดตัวขึ้นอีกครั้งในระดับที่แตกต่างกัน
ด้านหลังเตียงของหวังอี๋เหนียงมีชายแต่งกายเรียบร้อยเดินออกมาจริงๆ มิน่าเล่า…มิน่าเล่าเมื่อครู่นางจึงได้มีท่าทีตอบสนองอย่างรุนแรง ที่แท้ตนเองก็มีความลับในใจที่บอกใครไม่ได้!
“ซานหลาง…” เสียงของสตรีตรงหน้าอ่อนหวานหยดย้อยจนราวกับสามารถหลอมละลายเหล็กกล้าได้ นางเดินช้าๆ ไปหาชายที่นั่งอยู่บนขอบเตียง ภายใต้แสงเทียนมียอดเขาหิมะคู่หนึ่งซ่อนอยู่ใต้ผ้าไหมกระเพื่อมขึ้่นลง
“เจ้าไม่ไปดูงิ้วกับนายท่านที่ห้องโถงใหญ่หรือ มาทำอะไรที่นี่ เจ้าเกือบจะถูกพบเจอแล้ว” นางพูดด้วยถ้อยคำที่ดูไม่พอใจ แต่น้ำเสียงนั้นกลับเย้ายวนยิ่ง
ส่วนคนที่อยู่บนเตียงมองนาง ก่อนแย้มยิ้มและออกแรงที่มือรวบนางเข้ามาในอ้อมแขนของตนเองทันที
มือข้างหนึ่งของเขาลูบแก้มขาวนวลของนาง อีกข้างหนึ่งค่อยๆ สอดเข้าไปในหว่างขาที่หญิงสาวจงใจหนีบเอาไว้แน่น
“ชายชราอย่างท่านพ่อของข้าเวลานี้ปกป้องตัวเองยังไม่ได้ วันๆ ทำแต่เรื่องไร้สาระ ไม่สนุกเหมือนอยู่กับชิงชิงที่นี่…” ขณะที่พูดนิ้วเรียวยาวของเขาก็ขยับ กระตุ้นเสียงครวญครางจากหญิงสาว
“ไม่มาตั้งหลายวันชิงชิงไม่คิดถึงซานหลางหรือ”
ฝ่ายบุรุษพูดพลางปลดกางเกงของตนเองออก ทันทีที่ปลดออกของสีคล้ำที่อยู่ตรงหว่างขาของเขาก็ยื่นออกมาอย่างอดใจไม่ไหว มุทะลุดุดัน มีเส้นเลือดสีน้ำเงินรายล้อมอยู่
“อ้าขาออก ให้ซานหลางเข้าไปปลดปล่อยให้เต็มที่”
หลินหวั่นชิงที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าไม่ทันตั้งตัวกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า นางเหม่อลอยราวกับรูปปั้นหิน…
อนุภรรยาของบิดากับบุตรชายเป็นฝ่ายแสดง นางกับซูโม่อี้เป็นฝ่ายดู…
เช่นนี้เร้าอารมณ์เกินไปหรือไม่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 พ.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.