บทที่ 7.2
ในความมืดลมหายใจของทั้งสองเริ่มหอบถี่ แม้ตู้เสื้อผ้าจะกว้างขวาง แต่ก็ใส่เสื้อผ้าไว้มากมาย แล้วยังยัดคนเข้าไปอีกสองคน รูปร่างของซูโม่อี้นั้นสูง ล่ำสัน และซ่อนความกำยำเอาไว้ ประกอบกับทั้งสองยังเอนไปข้างหลังตามสัญชาตญาณ โดยต้องการที่จะอยู่ห่างจากฉาก ‘การมั่วโลกีย์ต่อหน้าต่อตา’ เช่นนี้ ทำให้พื้นที่ในตู้แคบลงไปชั่วขณะ
แผ่นหลังของนางแนบติดกับหน้าอกของเขา มีไออุ่นจางๆ แผ่ซ่านทะลุเสื้อมา
จู่ๆ เสียงผ้าขาดจากด้านนอกก็ดังขึ้น ภายในตู้เสื้อผ้าที่มืดและเงียบสงบนั้นยิ่งน่าตกใจอย่างคาดไม่ถึง
มีคนอดใจไม่ไหวฉีกเสื้อผ้าจนขาด
หลินหวั่นชิงรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื้อตัวสั่นเทาอยากจะปิดประตูตู้เสื้อผ้าให้สนิท แต่มือกลับอ่อนแรง พู่ประดับเล็กๆ บนกระโปรงคาดอกของสตรีจึงกลิ้งออกไป
พู่นั้นประดับหยกขาว เมื่อหล่นลงสู่พื้นจะเกิดเสียงดัง
นางตกใจจนรีบยื่นมือไปดึง ผลปรากฏว่าดึงได้แล้วแต่พู่กลับติดอยู่ที่ด้านล่างของประตูตู้
ปิดไม่ได้แล้ว!
หลินหวั่นชิงปากอ้าตาค้างด้วยความคาดไม่ถึง นางหันไปมองซูโม่อี้ ต้องการให้เขาให้คำแนะนำอะไรบางอย่าง
ทว่าใต้เท้าซูที่อยู่ด้านหลังนางก็ไม่ได้สงบไปกว่านางสักเท่าไรนัก
ถึงแม้แสงเทียนในห้องจะมีแสงสลัวๆ แต่หลินหวั่นชิงก็เห็นเขาพิงผนังตู้ไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท ขนตายาวสั่นเทา ใบหน้าที่เย็นชานั้นแดงตั้งแต่ศีรษะจนถึงคอ…
หลินหวั่นชิงล้มเลิกความคิดที่จะขอคำแนะนำจากเขาทันที
ร่วมประเวณีต่อหน้าต่อตาก็ร่วมประเวณีต่อหน้าต่อตาเถอะ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ตอนเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาก็ใช่ว่าจะไม่เคยดูตำหนักวสันต์พร้อมกับสหายร่วมสำนัก เพิ่มคำว่า ‘ต่อหน้าต่อตา’ เข้าไปจะต่างกันเพียงใดเชียว
แต่เวลายังไม่ถึงครึ่งถ้วยชาต่อมาหลินหวั่นชิงก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
ต่างกัน!
ต่างกันมากจริงๆ!
ภาพตรงหน้าดูมีชีวิตชีวา ที่ข้างหูได้ยินเสียงของสตรีร้องครวญครางด้วยความหลงใหลและเสียงพร่ำเพ้อของบุรุษเป็นครั้งคราว แม้นางจะพยายามสงบสติอารมณ์มากเพียงใดก็ยากที่จะทำได้ถึงขั้นจิตใจสงบนิ่งเหมือนสายน้ำ
เตียงและตู้เสื้อผ้าอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แม้ว่าทั้งสองคนจะปลดมุ้งลงแล้ว แต่เสียงของม่านและตะขอหยกก็ยังคงดังทะลุเข้ามาได้
ท่ามกลางมุ้งที่พลิ้วไหว คนสองคนที่ร่างเปล่าเปลือยราวกับงูเหลือมตัวใหญ่สองตัวหยอกล้อรัดรึง เกลือกกลิ้งไปมา ครวญครางเสียงดังรุนแรงขึ้นทุกขณะ
ภายในมุ้งที่เห็นได้เพียงรางๆ ฝ่ายบุรุษกางขาของฝ่ายสตรีออกแล้วดันขึ้นไปที่ข้างหน้าอกทั้งสองข้าง
กลีบดอกไม้สีชมพูของสตรีสะท้อนแสงเทียนที่พลิ้วไหว ขณะที่แท่งเนื้อทั้งใหญ่และยาวของบุรุษที่อยู่ด้านล่างเสียดสีอยู่ที่หว่างขาของนางอย่างโจ่งแจ้ง แล้วจู่ๆ ก็พลันยืดตัวและสอดใส่เข้าไป
ฝ่ายสตรีส่งเสียงครวญครางอย่างเย้ายวน
“เยี่ยมมาก” ฝ่ายบุรุษหายใจดังเหมือนวัว บั้นเอวที่แข็งแกร่งกลับขย่มไม่หยุด ถามไถ่ฝ่ายสตรีว่ารู้สึกสบายหรือไม่
ฝ่ายสตรีบิดกายไปมา ส่งเสียงหวานหยาดเยิ้ม ตอบด้วยเสียงอันสั่นเทาว่าสบาย
ฝ่ายบุรุษหัวเราะเบาๆ ตบลงบนเนินอกขาวผ่องของนางดังเพียะ จากนั้นก็ดันตัวไปข้างหน้า ตัวของเขาถอยห่างจากเตียงแล้วพุ่งลงไปที่หว่างขาของนางอย่างสุดกำลัง
“อื้ม…เอาให้ตาย!” ชายผู้นั้นตาแดงดุดันและรุนแรงมากยิ่งขึ้น
เตียงส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด แม้แต่มุ้งที่ด้านบนก็ยังโยกจนแทบพังลงมา
หลินหวั่นชิงทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว นางจึงหลับตาแล้วเอนกายไปทางซูโม่อี้
แต่การเอนกายครั้งนี้ทำให้นางอิงแอบเข้ากับร่างของซูโม่อี้อย่างแรง
สิ่งที่ใหญ่และแข็งจนน่าตกใจก็ปะทะตัวนางอย่างแรงเช่นกัน
“…” หลินหวั่นชิงรู้สึกเสียวหลังขึ้นมาทันทีและเหงื่อเริ่มหยดอีกครั้ง
แต่ว่าเรื่องนี้จะตำหนิใต้เท้าซูก็ไม่ได้จริงๆ
ภาพความรุนแรงตรงหน้า สตรีที่ยังไม่ออกเรือนเช่นนางดูจนปากคอแห้งผากลมหายใจหอบถี่ ถึงอย่างไรซูโม่อี้ก็เป็นบุรุษ หากไม่มีอาการใดๆ เลยนางควรจะรู้สึกกลัวมากยิ่งกว่านี้หรือไม่!
เมื่อถูกนางชนเข้าอย่างกะทันหันเช่นนี้ ซูโม่อี้ก็ส่งเสียงฮึ่มอย่างแหบพร่า จากนั้นจึงใช้มือบังส่วนหน้าของตนเองไว้
แต่ว่าเจ้าสิ่งนั้นของซูโม่อี้ หลินหวั่นชิงเคยเห็นด้วยตาตนเองแล้ว ความพิเศษที่ฟ้าประทานมาให้ของเขานั้นมือข้างเดียวจะปิดมิดได้อย่างไรกัน
ดังนั้นไม่ว่าซูโม่อี้จะปรับมุมของมืออย่างไรก็มักมีบางส่วนดุนดันออกมาเล็กน้อย ปัดป่ายอยู่ที่บั้นเอวของนาง ถูไถกับบั้นทายของนาง
แม้จะถูกกั้นด้วยเสื้อผ้าสองชั้น แต่ความร้อนและความแข็งขืนนั้นก็ทำให้หลินหวั่นชิงตกใจมากจริงๆ
ว่ากันว่าหมอนปักลายดอกไม้งดงามด้านในมีแต่ฟาง แต่หมอนของซูโม่อี้ไม่เพียงแต่ปักดอกไม้ด้านนอกเท่านั้น แต่ด้านในยังมีทองคำซ่อนอยู่อีกด้วย…
เวลานี้แม้แต่หลับตานางยังทำไม่ได้ เพราะทันทีที่หลับตาเบื้องหน้าของหลินหวั่นชิงก็มีแต่ภาพของล้ำค่าของใต้เท้าซูที่ตนเองได้เห็นในคืนนั้น
ทั้งใหญ่กว่าของซ่งซานหลาง ยาวกว่าของซ่งซานหลาง และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือดูดีกว่าของซ่งซานหลาง…
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกร้อนรุ่ม เดิมทีบรรยากาศในตู้เสื้อผ้าที่ร้อนอบอ้าวอยู่แล้วก็ยิ่งร้อนขึ้นไปอีก
ปลายจมูกอบอวลไปด้วยกลิ่นกายของซูโม่อี้ กลิ่นไม้สน กลิ่นหญ้าสด และยังมีกลิ่นของหนังสือเก่าและกลิ่นของน้ำหมึกที่เติมใหม่อีกเล็กน้อย เป็นกลิ่นซึ่งให้ความสดชื่นและเย้ายวนอยู่ในที
ลมไอร้อนที่เขาหายใจออกมาสาดลงบนต้นคอและหลังใบหู หลินหวั่นชิงรู้สึกเกร็งไปทั่วร่าง ลมหายใจของนางก็ถี่กระชั้นมากขึ้นตามไปด้วย
คนบนเตียงยังคงร้อนแรง เสียงคำรามต่ำๆ ของบุรุษหลุดออกมาจากลำคอ จากนั้นเขาก็ยืดตัวให้ตรง
ก่อนที่เสียงตะขอหยกกระทบกันจะดังช้าลง
ทั้งสองคนหลับตาแน่นตัวกระตุกหลายครั้ง จากนั้นฝ่ายบุรุษก็ฟุบตัวลงบนร่างของฝ่ายสตรีราวกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง หายใจหอบ ใบหน้าแนบชิดกัน
เดิมทีหลินหวั่นชิงไม่ต้องการที่จะมอง แต่จนใจที่ความอยากรู้อยากเห็นนั้นมีมากเหลือเกิน
นางลืมตาข้างหนึ่งน้อยๆ แล้วเห็นเท้าดอกบัวที่ขาวนุ่มข้างหนึ่งของหวังอี๋เหนียงโผล่ออกมาจากมุ้งห้อยต่องแต่ง มุ้งสีแดงที่อ่อนนุ่มราวกับกลายเป็นลิ้นที่ร้อนระอุ เลียไปตามผิวหนังทุกส่วนบนเท้าของนาง
“ซานหลาง…” น้ำเสียงยั่วยวนของสตรีดังขึ้นอีกครั้ง
เดิมทีหลินหวั่นชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้ว แต่จู่ๆ ก็ราวกับลมหายใจขึ้นมาจุกที่ลำคออีกครั้ง
“ข้ายังต้องการอีก…ต้องการมาก…” น้ำเสียงที่เย้ายวนพูดจาลามกประโยคนี้ออกมา
บุรุษบนเตียงตัวสั่นเทาขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่เมื่อครู่ยังสงบอยู่เวลานี้ค่อยๆ ผงกหัวขึ้นมาอีกครั้ง เขารวบตัวนางขึ้นจากเตียงแล้วกางขากว้างเดินลงจากเตียงไป
เขาอุ้มนางไว้ ร่างกายขาวราวหิมะของนางหันมาทางตู้เสื้อผ้าที่หลินหวั่นชิงและซูโม่อี้อยู่ในนั้น
ร่างกายกระทบกัน ภาพมังกรผงาดของบุรุษเข้าออกบริเวณจุดเร้นลับชุ่มฉ่ำของสตรีชัดเจนเป็นพิเศษ
ดอกซิ่งแดงของสตรีถูกแยกออก เนื้อนุ่มขยับขึ้นลงไม่หยุด น้ำที่หยาดหยดลงมาราวกับน้ำค้างพร่างพรม ทำให้ความใหญ่โตของบุรุษเป็นประกายความชุ่มชื้นเช่นเดียวกัน
พวกเขาเดินไปสอดใส่ไปเช่นนี้จนมาถึงหน้าตู้เสื้อผ้าที่ทั้งสองคนอยู่
“ดูสิ…” บุรุษโอบกอดสตรีจากทางด้านหลัง โดยขาทั้งสองข้างของนางห้อยอยู่กลางอากาศ “ดูสิว่ามังกรของข้าจะเสพสังวาสกับเจ้าอย่างไร”
ทั้งสองอยู่ใกล้มากจนทุกอย่างอยู่ในสายตาของคนในตู้ ยอดถันที่ตั้งตรงสีกับช่องว่างเล็กๆ ของตู้เสื้อผ้าและทะลุเข้าไปข้างในครั้งแล้วครั้งเล่า
หลินหวั่นชิงเกือบจะสงสัยแล้วว่าทั้งสองคนนี้จงใจแสดงให้พวกนางดูหรือไม่
แต่นางเดาว่าด้านหนึ่งของตู้เสื้อผ้าน่าจะเป็นกระจกสำริด ปกติหวังอี๋เหนียงใช้สำหรับแต่งตัว แต่ในเวลานี้เป็นที่สร้างความสุขให้พวกเขาพอดิบพอดี
ยามที่คนเราเก้อเขินอย่างยิ่งมักทำอะไรไม่ถูก หลินหวั่นชิงทำได้เพียงหันไปมองซูโม่อี้อีกครั้ง นางส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางเขา
ซูโม่อี้ยังคงมีสีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานเช่นเดิม ราวกับดอกไม้ที่บอบบางท่ามกลางพายุฝน
จนถึงตอนนี้เขาจึงพบว่าที่แท้เอวของหลินหวั่นชิงนั้นเล็กมาก บั้นท้ายงอนงาม ขณะที่เสียดสีกับหลังมือของเขาเบาๆ ยังนุ่มมากอีกด้วย
เหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลลงมาตามจอนผมของเขา หยดลงไปที่สาบเสื้อที่ทับซ้อนกัน
เขาสูงกว่าหลินหวั่นชิงมาก เมื่อเหลือบตามองลงสามารถมองเห็นต้นคอขาวและติ่งหูกลมๆ เล็กๆ ของนางได้ ดูแล้วท่าทางจะนุ่มและหวานมาก เขาอยากกัดจนอดใจไม่ไหว
“…” ส่วนที่ปวดจนแทบทนไม่ไหวในร่างกายยิ่งอึดอัดมากขึ้น
แต่ในช่วงเวลาวิกฤตนี้บุรุษที่อยู่ห่างจากพวกเขาเพียงประตูกั้นก็ร้องครวญครางออกมาอย่างลืมตัวแล้วยกตัวสตรีขึ้น ร่างกายส่วนบนของหวังอี๋เหนียงฟุบลงที่ประตูตู้เสื้อผ้า
ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด กระแทกประตูไม้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ตู้เสื้อผ้าแกว่งตาม
ซูโม่อี้ไม่สามารถใช้มือปกปิดสิ่งที่ผงกหัวขึ้นที่บริเวณท้องน้อยได้อีกต่อไป เขาทำได้เพียงยันตู้เสื้อผ้าทั้งสองด้านไว้อย่างเต็มที่ พยายามรักษาสมดุลไว้เพื่อไม่ให้ตนเองถูกกระแทกกระทั้นจนกระเด็นออกไป
เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งที่ไม่ค่อยสงบของเขาจึงทำได้เพียงแกว่งไกวไปตามตู้เสื้อผ้า ด้านหน้าคือหลินหวั่นชิงผู้ซึ่งพยายามรักษาสมดุลเช่นเดียวกับเขา
ขณะที่ความแข็งขึงร้อนระอุของเขาสัมผัสกับบั้นท้ายอันอ่อนนุ่มของนาง ซูโม่อี้ก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าหลินหวั่นชิงตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง
ติ่งหูเล็กๆ ที่ขาวแวววาวเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเงียบงัน
ความรู้สึกแปลกๆ ผ่านเข้ามาในหัวใจของซูโม่อี้ มีทั้งความเก้อเขิน ความจนใจ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือความสบายอย่างน่าละอาย ทำให้เขาครวญครางออกมาอย่างทนไม่ไหวจริงๆ
“โอ้! ชิงชิง! ชิงชิงเจ้าน้ำเยอะจริงๆ! ข้าหยุดไม่ได้แล้ว”
“…”
แม้ว่าชิงชิงผู้นั้นจะไม่ใช่ชิงชิงผู้นี้ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เบื้องหน้าของซูโม่อี้ก็เริ่มมีใบหน้าของหลินหวั่นชิงป้วนเปี้ยนไปมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความจริงแล้วหากหลินหวั่นชิงเป็นสตรีก็คงจะงดงามมาก
ดวงตากลมโตที่มักมีรอยยิ้มและความกระตือรือร้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่นิสัยดื้อรั้นของนางกำเริบขึ้นมา ท่าทางยอมตายดีกว่ายอมจำนน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเช่นนั้น ยิ่งดูมีเสน่ห์เหมือนสาวงามยามโกรธขึ้ง
จมูกของอีกฝ่ายกระจุ๋มกระจิ๋มและโด่งเป็นสัน ไม่เห็นรูขุมขนแม้แต่น้อย เวลาโกรธปีกจมูกจะโบกขึ้นลงเล็กน้อยจากการหายใจเร็ว
ริมฝีปากสีเลือดจางๆ สัดส่วนโค้งเว้ากำลังดี หากจูบลงไป…
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นในหัว ซูโม่อี้ได้สติทันที
ข้า…เมื่อครู่ข้าคิดอะไรไป…
ความรู้สึกผิดและความละอายใจจู่โจมเข้ามาในทันใด เขาพยายามขยับถอยหลังอีกครั้ง
ในพื้นที่เล็กๆ ที่แกว่งไกวไปมากลิ่นหอมสดชื่นที่เขาไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนจู่โจมเข้ามา ป้วนเปี้ยนอยู่เต็มลมหายใจ
ไม่ใช่กลิ่นแป้งของสตรี ไม่ใช่กลิ่นกำยานที่เขาคุ้นเคย
เป็นกลิ่นพิเศษ กลิ่นเหงื่อบนผิวผสมกับผ้าที่เพิ่งซัก เหมือนกลิ่นหญ้าสดหลังฝนในฤดูใบไม้ผลิ สะอาดบริสุทธิ์ยิ่ง
กลิ่นหอมนี้พวยพุ่งเข้าสู่จมูก ในที่สุดก็ทำให้ความคิดของเขาชัดเจนขึ้นมา
นี่คือ…
ซูโม่อี้ยังคงยันผนังตู้ไว้ แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างยากที่จะสังเกตเห็น
นี่คือกลิ่นกายของหลินหวั่นชิง
หลินหวั่นชิงและซูโม่อี้ทนทรมานอยู่หนึ่งชั่วยามจึงหลุดพ้น
จู่ๆ ด้านนอกห้องก็มีเสียงดังอึกทึกขึ้นขัดจังหวะคนสองคนในห้อง หวังอี๋เหนียงและซ่งซานหลางต่างคนต่างรีบแต่งตัว หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อยแล้วก็ทำความสะอาดหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ภายในห้อง ก่อนที่ซ่งซานหลางจะกระโดดหน้าต่างออกไป
ไม่นานบ่าวรับใช้ก็มาถ่ายทอดคำพูด เชิญหวังอี๋เหนียงไปที่ห้องโถงใหญ่
ซูโม่อี้เข้าใจทันที เยี่ยชิงคงจะเห็นว่าเขาไม่ได้ไปพบกับอีกฝ่ายตามเวลาและสถานที่ที่นัดหมายกันไว้ จึงได้ปลอมตัวเป็นมือสังหารไปก่อกวนการลาดตระเวนของจวนสกุลซ่งตามที่ได้วางแผนกันไว้ล่วงหน้า
กว่าทั้งสองจะย่องออกจากจวนสกุลซ่งได้ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว ซูโม่อี้เงียบมาตลอดทาง หลินหวั่นชิงคิดว่าเป็นเพราะนางเกิดความคิดอยากจะมาสำรวจจวนสกุลซ่งในเวลากลางคืนจนทำให้เขาโกรธ ดังนั้นทันทีที่เข้าสู่ประตูศาลต้าหลี่แล้วก็รีบกลับห้องของตนเองอย่างซึมเซาด้วยความรู้สึกผิด
เมื่อเห็นหลินหวั่นชิงไปไกลแล้ว ซูโม่อี้จึงถามเยี่ยชิงว่า “เจ้าได้อะไรจากห้องของจ้าวอี๋เหนียงบ้าง”
เยี่ยชิงส่ายหน้า พูดอย่างหน้าม่อยคอตก “ไม่ได้อะไรเลยขอรับ” ดูท่าทางของทุกอย่างจะถูกทำความสะอาดอีกครั้ง วิธีการนี้เหมือนกับคดีเงินปลอมในตอนนั้นราวกับแกะ ฆ่าคนปิดปาก ทำลายศพ และทำลายหลักฐาน
ซูโม่อี้ไม่ได้ถามอะไรอีก แต่กลับไปที่ห้องหนังสือ แสงเทียนค่อยๆ สว่างขึ้น เขาหยิบกระดาษบันทึกออกมาจากแขนเสื้อ ในนั้นมีแต่ชื่อหนังสือเกี่ยวกับการขุดเหมืองแร่และการถลุงแร่ ซ่งเจิ้งสิงไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการหงโจวมาหลายปีแล้ว แต่หนังสือเหล่านี้ในห้องหนังสือกลับใหม่เอี่ยม เขารู้สึกแปลกใจจึงจดมาทั้งหมด
ซูโม่อี้หันกลับไปหาสำนวนความคดีหวังหู่ที่ชั้นไม้ด้านหลัง แล้วอ่านรายละเอียดทั้งหมดหนึ่งรอบ ตามที่หลินหวั่นชิงพูด มีดสั้นไม่ใช่อาวุธสังหาร แล้วในเมื่อไม่ใช่อาวุธสังหาร เหตุใดมันจึงปรากฏในที่เกิดเหตุ ยิ่งไปกว่านั้นหวังหู่ไม่ใช่คนที่ฆาตกรตัวจริงคิดถึงตั้งแต่แรก ดังนั้นมีดสั้นเล่มนั้นย่อมไม่ใช่หลักฐานที่ฆาตกรเจตนาจะโยนความผิดให้หวังหู่อย่างเด็ดขาด มันไม่สมเหตุสมผลเลย…
“โฮ่งๆ”
ยามนี้เองก็มีเสียงสุนัขเห่าดังกังวานมาจากระยะไกล นั่นเป็นสุนัขล่าสัตว์ชื่อ ‘ซืออวี้’ ที่เขาเลี้ยงไว้ในศาลต้าหลี่
ซูโม่อี้ลุกขึ้นยืนอย่างฉุนเฉียวและเปิดหน้าต่างออกทันที กลับเห็นหลินหวั่นชิงกำลังถูกซืออวี้ไล่กวดจนต้องวิ่งหนีอุตลุดไปทั่ว อีกฝ่ายกระโดดขึ้นลงอย่างไม่มีทิศทางใดๆ ดูท่าทางจนตรอกอย่างมาก
ซูโม่อี้ตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยกมุมปากขึ้น วันนี้อยู่ในตู้เสื้อผ้านั่น อาจเป็นเพราะถูกขังอยู่ในนั้นนานเกินไปจนขาดอากาศหายใจ สมองพร่าเบลอจนเขาเผลอคิดว่าหลินหวั่นชิงเป็นสตรี คนผู้นั้นจะเป็นสตรีไปได้อย่างไร ยามนี้ในใจของเขาพลันเกิดอยากแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมา ขณะที่หันไปและกำลังจะปิดหน้าต่างก็ได้ยินเสียงหลินหวั่นชิงร้องเรียกด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเหยียบโดนอะไร ทันใดนั้นเท้าก็อ่อนยวบลง ตัวพุ่งไปข้างหน้า แล้วล้มลงกับพื้นในที่สุด
ทว่าในเวลานี้สุนัขล่าสัตว์ซึ่งปกติจะเย่อหยิ่งเย็นชาเหมือนซูโม่อี้กลับก้าวไปข้างหน้าและกอดขาของหลินหวั่นชิงเอาไว้
“สุนัขเจ้าชู้!” หลินหวั่นชิงตะโกนลั่นพร้อมถีบขาหวังจะสลัดมันออก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะซืออวี้กอดแน่นเกินไป นางถีบกี่ครั้งมันก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย อีกทั้งยังกอดขาของหลินหวั่นชิงแน่นอย่างตั้งใจ
“…” หัวใจของซูโม่อี้ราวกับจะหยุดเต้นได้กระนั้น เขามีสีหน้าไม่น่าดู จู่ๆ ก็เกิดความคิดวู่วามอยากจะเพิ่มพรมหนังสุนัขอีกสักผืน
“ซืออวี้!” ซูโม่อี้เรียกมันอย่างเย็นชา
สุนัขที่เมื่อครู่ยังคึกคักอยู่พอได้ยินเสียงเรียกนี้ก็ตกใจรีบหยุดขยับเอวเสียจนเอวเกือบเคล็ด
“กลับไป!” ซูโม่อี้ชี้หน้ามัน ซืออวี้พลันรีบวิ่งหนีหางจุกก้น
ผู้คนใต้แสงจันทร์พากันมองไปทางเขาราวกับยังไม่หายตกตะลึง ซูโม่อี้ก้มศีรษะหลบสายตาของหลินหวั่นชิง ขณะที่เขาหันหลังปิดหน้าต่างอย่างเด็ดขาด ลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย
“สตรี…เป็นต้นเหตุของความหายนะ” เขาพึมพำเสียงเบาจนกระทั่งเสียงของเยี่ยชิงดังขึ้นที่ข้างหู
เยี่ยชิงหยิบเทียบเชิญใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้ซูโม่อี้แล้วพูดว่า “ใต้เท้า นี่มาจากในวังขอรับ”
เดิมทีซูโม่อี้ก็กำลังว้าวุ่นอยู่แล้ว ยามนี้จึงขมวดคิ้วถามว่า “มีอะไร”
เยี่ยชิงเอ่ยตอบ “เป็นเทียบเชิญให้เข้าร่วมการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิของพระราชวงศ์ขอรับ”
น้ำเสียงของซูโม่อี้หมดความอดทนเล็กน้อย “อ้อ ไม่ไป”
เปลือกตาของเยี่ยชิงกระตุก เขารู้สึกจนปัญญากับความอวดดีของเจ้านายตนเอง “แต่…เทียบเชิญนี้ไทเฮาทรงเป็นผู้ออกเองขอรับ”
ซูโม่อี้พูดอย่างขอไปที “อืม ครั้งก่อนเสด็จยายตรัสว่าไม่ต้องการพบข้าในระยะเวลาอันสั้นนี้ บอกไปว่าข้างานยุ่ง ปลีกตัวไปไม่ได้”
“แต่…” เยี่ยชิงพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะพูดโน้มน้าวต่อไปอย่างไรดี ต้องรู้ว่าผลของการทำอะไรตามอำเภอใจของเจ้านายผู้นี้ก็คือสายตาที่ไทเฮามองเขาจะไม่เป็นมิตรไปอีกนาน เขาทำได้เพียงหอบความหวังเพียงเล็กน้อยครั้งสุดท้าย อ่านเทียบเชิญนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อดูว่าจะหาข้ออ้างตรงกับความสนใจของอีกฝ่ายได้บ้างหรือไม่ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย “ใต้เท้า ราชเลขาซ่งก็ได้รับเชิญเช่นกันนะขอรับ”
คนที่เดิมทีกำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็ยืนตัวตรงขึ้นมาทันที หันมามองเยี่ยชิงแล้วพูดว่า “ซ่งเจิ้งสิงจะไปหรือ”
เยี่ยชิงพยักหน้าแล้วพูด “ขอรับ การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้เป็นข้ออ้างว่าฮ่องเต้เอาพระทัยใส่ขุนนางอย่างหนึ่ง ซ่งเจิ้งสิงไม่กล้าไม่ไป”
ซูโม่อี้ได้ยินดังนั้น จู่ๆ ดวงตาของเขาก็สดใสขึ้นมาทันที เขาเอ่ยตอบเยี่ยชิง “ถ้าเช่นนั้นก็ตอบรับคำเชิญแล้วกัน”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤษภาคม 2567)
Comments
comments
No tags for this post.