บทที่ 3 หงหลวนแต่งงาน
ลมราตรีพัดกรู แสงจันทร์สาดส่อง
ภายในหอตั้นเสวี่ยของจวนสกุลเซี่ยเวลานี้ เซี่ยจิ่นสองมือไพล่หลัง ฟังน้องชายตัวน้อยเซี่ยซือที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะท่อง ‘ยุทธศาสตร์ความรู้ บทป้องแคว้น’ ใน ‘หกยุทธศาสตร์ไท่กง’
เซี่ยซือโคลงศีรษะไปมา เอ่ยท่องอย่างลื่นไหล “ฟ้ากำเนิดสี่ฤดู ดินกำเนิดสรรพสิ่ง ใต้ฟ้ามีประชา ประชาปกครองด้วยกษัตริย์ กฎวสันต์คือก่อเกิด สรรพสิ่งงอกเงย กฎคิมหันต์คือเติบโต สรรพสิ่งเฟื่องฟู…”
จู่ๆ ไม้ลงโทษ ด้ามหนึ่งก็หวดใส่โต๊ะ เซี่ยจิ่นเอ่ยเสียงดุ “นั่งตัวตรง!”
เซี่ยซือตกใจจนเหยียดหลังตรง ศีรษะนิ่ง ลูกตาไม่กล้าล่อกแล่ก
เซี่ยจิ่นถึงค่อยเอ่ยว่า “นั่งดุจระฆัง ยืนดั่งต้นสน ลุกนั่งเดินหยุดล้วนต้องมีสง่าราศี! เอาล่ะ ต่อได้แล้ว”
เซี่ยซือท่องตำราต่ออย่างว่าง่าย “…ดังนั้นใต้หล้ามั่นคง กษัตริย์เก็บงำ ใต้หล้าปั่นป่วน กษัตริย์แก้ไข นี่คือหลักการ…”
บนใบหน้าเซี่ยจิ่นมองอารมณ์ใดไม่ออก “หมายความว่าอย่างไร”
เซี่ยซือยืดอกกล่าว “นักปราชญ์อิงกฎการโคจรของสรรพสิ่ง เลียนอย่างกฎแห่งธรรมชาติ นำมาเป็นหลักในการปกครองใต้หล้า ดังนั้นยามใต้หล้าสงบสุข กษัตริย์ต้องเก็บงำไม่เผยตน ยามใต้หล้าปั่นป่วน กษัตริย์ต้องออกหน้าแก้ไขให้กลับคืนดังเดิม สร้างความผาสุก…”
เซี่ยจิ่นเพียงพยักหน้าน้อยๆ “ยังนับว่าจดจำได้ เจ้าท่อง ‘ยุทธศาสตร์มังกร บทกำลังทัพ’ มาอีก”
เซี่ยซือแทบกระโดดขึ้นมา เขาเอ่ยว่า “อาจารย์ยังสอนไม่ถึงตรงนี้!”
เซี่ยจิ่นกล่าวอย่างไม่พอใจ “อาจารย์ไม่สอน ตัวเจ้าก็ไม่สามารถอ่านก่อนล่วงหน้าหรือ สกุลเซี่ยเราสร้างตัวมาด้วยวิชาทางทหาร ‘หกยุทธศาสตร์ไท่กง’ นี่ยังเป็นพื้นฐาน เหนือหกยุทธศาสตร์ยังมีสามกลยุทธ์ พี่รองของเจ้าตอนนางอายุเท่าเจ้าไม่ต้องพูดถึงหกยุทธศาสตร์เลย กระทั่งสามกลยุทธ์หวงสือกงล้วนจดจำได้แม่น…”
เซี่ยซือกลอกตาใส่ “เอาพี่รองมาข่มทับข้าอีกแล้ว เหตุใดพี่ใหญ่ไม่เทียบกับตัวท่านเองเล่า”
เซี่ยจิ่นหัวเราะเสียงเย็น พูดอย่างไร้ยางอาย “ข้าไม่พูดถึงตัวข้าเพราะห่างชั้นเกินไป เกรงว่าจะกระเทือนความมั่นใจของเจ้า”
“ชิ” เซี่ยซือส่งเสียงคำหนึ่ง ลูกตากลอกไปมา ก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์กล่าว “พี่ใหญ่ย่ามใจอะไรกัน ข้าเคยได้ยินพี่รองบอกว่าไม่ต้องพูดถึงคนอื่นหรอก เพราะมีคนหนึ่งที่ท่านไม่เคยกดข่มได้ แม่ทัพเสิ่นนั่น…”
คิ้วเซี่ยจิ่นเลิกขึ้นอีกครา ฟาดไม้ลงโทษลงบนโต๊ะแรงๆ ดังเพียะ “ยามจื่อ แล้ว พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย รีบอ่านบทกำลังทัพซะ”
ครั้งนี้เซี่ยซือกลับไม่กลัวเขา ใบหน้าเล็กย่นยู่ร้องว่า “พี่ใหญ่ก็รู้ว่ายามจื่อผ่านไปแล้วกลับยังไม่ปล่อยข้าอีก ข้ารู้ว่าท่านจวนจะแต่งแม่ทัพเสิ่นเข้ามาแล้วจึงหงุดหงิด ดังนั้นถึงได้มาหงุดหงิดใส่ข้า!”
“ว่าอะไรนะ!” เซี่ยจิ่นสีหน้าอึมครึม แววหนาวยะเยือกสองสายพุ่งผ่านในดวงตาประหนึ่งลูกธนู
เซี่ยซือแลบลิ้นน้อยๆ กระโดดผลุงลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปข้างนอก
เขาวิ่งไปพลางยังหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้ออย่างไม่กลัวตาย โบกเบาๆ เบื้องหน้าพี่ชายตน
“วันนี้สะดุดของสิ่งนี้ในห้องหนังสือของพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ยังคงคิดถึงเจ้าของต่างหูนี้ใช่หรือไม่”
เมื่อเซี่ยจิ่นมองเห็นชัดเจนก็ยิ่งโมโห โยนไม้ลงโทษออกไปแล้วหยิบกระบี่ที่แขวนตรงผนังมาถือไว้ ม้วนแขนเสื้อพลางตะคอกว่า “คืนมา!”
เซี่ยซือทำหน้าทะเล้นก่อนโยนต่างหูนั่นมาบนโต๊ะ “ท่านจะแต่งกับแม่ทัพเสิ่นอยู่แล้ว ของเช่นนี้ฉวยโอกาสทิ้งไปโดยเร็วดีกว่า แม่ทัพเสิ่นแต่งเข้ามาไม่ใช่เพื่อดูท่านเห็นของแล้วคิดถึงผู้อื่นนะ”
เซี่ยจิ่นอึ้งตะลึงไปทันใด ความโกรธค่อยๆ สลายลง เขาลูบกระบี่ยาวครู่ใหญ่ก่อนกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”
เซี่ยซือได้ยินน้ำเสียงของพี่ใหญ่แฝงไว้ด้วยความขมขื่นอยู่บางส่วน ทั้งเห็นสีหน้าของเขาก็ให้รู้สึกเสียใจทั้งยังร้อนตัวขึ้นมา รีบคว้าตำราทางทหารมาบังเบื้องหน้าตน ศีรษะแทบจะมุดเข้าไปในหน้าตำราที่พลิกเปิดแล้ว
เซี่ยจิ่นเดินกลับมาหน้าโต๊ะ หยิบต่างหูชิ้นนั้นมาไว้ในมือ มองเซี่ยซือแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “อีกไม่นานพี่ใหญ่ก็ต้องกลับไปเขตเหนือแล้ว ที่ช่วงนี้ทดสอบเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้ารีบโตไวๆ ตอนนี้แม้เขตเหนือจะสงบสุขชั่วคราว แต่บอกไม่ได้ว่าเมื่อไรจะเกิดคลื่นลมอีก…ท่านพ่ออายุมากแล้ว ความมั่นคงของเขตเหนืออย่างไรก็ต้องพึ่งพวกเราสามพี่น้อง”
“ไม่ใช่ว่าตอนนี้มีแม่ทัพเสิ่นแล้วหรือ” เซี่ยซือถามอย่างไม่เข้าใจ
เซี่ยจิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ปิดตาแล้วนวดหว่างคิ้วเบาๆ ถึงค่อยลืมตากล่าวเสียงขรึม “ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น วันหน้าเจ้าก็จะเข้าใจ”
เซี่ยซือโผล่ศีรษะออกมาหลังตำรา ลอบมองพี่ใหญ่อย่างระมัดระวัง
เซี่ยจิ่นกำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองดวงจันทร์กลมข้างนอก สรรพสิ่งสงัดเงียบ ลมราตรีพัดผ่านช่องหน้าต่าง กระทบเสื้อสีขาวบางของเขาเบาๆ ยิ่งขับเน้นรูปร่างสูงเด่น งามสง่าหล่อเหลาขึ้นไปอีก
เซี่ยซือทำเสียงจุปาก เอ่ยงึมงำกับตนเองว่า “เมื่อใดข้าจึงจะสูงแบบพี่ใหญ่นะ”
เซี่ยจิ่นได้ยินก็หันกลับมามองเขายิ้มๆ “ต้องมีวันนั้นแน่ เจ้าจะสูงยิ่งกว่าข้า…เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าจะสอนเจ้าอีกนิดหน่อย เจ้าจะได้กลับห้องไปพักผ่อน”
เซี่ยซือว่าง่ายแล้ว ตอบรับเสียงกังวานใส “ดีเลย พี่ใหญ่”
เซี่ยจิ่นเว้นช่วงไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าว่า เจ้าเปิด…‘ยุทธศาสตร์การศึก’ บทเคลื่อนไหวหน้าที่แปด”
เซี่ยซือเปิดตำราไปหน้าดังกล่าว ได้ยินเพียงเสียงท่องกังวานของเซี่ยจิ่น “นกร้ายจู่โจม เก็บงำสองปีก สัตว์ร้ายออกล่า หูแนบหมอบดิน คนฉลาดเคลื่อนไหว ต้องเผยความโง่…ความหมายของคำพูดนี้คือการบอกว่า ก่อนนกที่ซุ่มอยู่จะออกโจมตี มักเลือกบินต่ำเก็บปีกทั้งคู่” เซี่ยจิ่นก้าวช้าๆ แขวนกระบี่ยาวกลับไปบนผนัง “ก่อนสัตว์ป่าดุร้ายจะออกล่า มักยกหูตั้งขึ้น จากนั้นเลือกคู้ตัวหมอบกับพื้นดิน ยามคนฉลาดจะออกเคลื่อนไหว ต้องเผยท่าทีของคนโง่งมออกมาต่อหน้าผู้อื่นก่อน…”
เขาเดินกลับมาข้างหน้าต่างแล้วแบมือออกใต้แสงจันทร์ จับจ้องต่างหูทรงหยดน้ำสีเขียวโปร่งแสงกลางฝ่ามือนั้นแล้วเอ่ยต่อว่า “ดังนั้นจากท่าทางที่ผิดปกติบางอย่างของศัตรู สามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวบางอย่างในก้าวต่อไปได้ ยกตัวอย่างเช่นมีปีหนึ่งแคว้นฝานเจอภัยหิมะ พี่รองของเจ้าสืบรู้ที่นอกด่านว่าอ๋องแคว้นฝานกักตุนเกลือหยาบจำนวนมากผ่านแคว้นซีเหลียง ปัญหาก็คือถ้าเป็นชาวบ้านใช้ย่อมใช้มากขนาดนี้ไม่ไหว…”
เซี่ยซือร้องตะโกน “ข้ารู้! เกลือหยาบสามารถสลายน้ำแข็งบางที่เกาะตัวบนถนนได้ ทำให้เดินทัพสะดวก…”
เซี่ยจิ่นยิ้มกล่าวพลางพยักหน้า “ไม่เลว ดังนั้นปีนั้น…”
ขณะสองพี่น้องกำลังพูดคุยกัน ที่ประตูมีเสียงเคาะซ้ำๆ ดังมา ไม่รอให้เซี่ยจิ่นเอ่ยปากประตูก็ถูกผลักเปิดแล้ว เซี่ยฮูหยินที่ใบหน้าเปรมปรีดิ์พาหญิงรับใช้กลุ่มหนึ่งก้าวเข้ามา
เซี่ยจิ่นรีบเก็บต่างหูนั้นไว้ในแขนเสื้อ ลดมือลงกล่าว “ท่านแม่”
เซี่ยซือเองก็กระโดดเข้าไปหาพลางยิ้มกล่าว “ท่านแม่”
“อืม” เซี่ยฮูหยินเพียงเอ่ยตอบรับคำหนึ่ง กวาดสายตามองห้องแล้วหันหน้าไปเอ่ยกับหญิงรับใช้คนหนึ่ง “เห็นแล้วกระมัง ข้าบอกแล้วว่าห้องหนังสือนี้ของเขาเรียบง่ายไปหน่อย โต๊ะหนังสือไม้ประดู่ตัวนี้เก่าเกินไป สีก็ทึบเกิน กลับไปให้พ่อบ้านเกาทำโต๊ะไม้พะยูงหอมมา แล้วก็ทำจานฝนหมึกตวนเยี่ยน* จากหินเก่า นำกระบอกล้างพู่กันหรู่เหยา สองชิ้นมาประดับในห้อง ยังมีชั้นหนังสือนั่นด้วย ก็ต้องเปลี่ยนให้เข้ากับโต๊ะ…”
เซี่ยจิ่นรู้สึกเพียงจุดไท่หยางเต้นตุบๆ “ท่านแม่ นี่กำลังทำอะไร”
เซี่ยฮูหยินยามนี้ถึงค่อยหันมาสนใจบุตรชาย กล่าวอย่างเบิกบานว่า “เฉียนเอ๋อร์จะแต่งเข้าบ้านเราแล้ว ไม่เก็บกวาดหน่อยจะได้อย่างไร ทางเรือนเล็กซงยวนนั่นข้าไปดูมาแล้ว พรุ่งนี้จะให้คนมาปรับปรุง ขยายเพิ่มสักห้องสองห้องถึงค่อยเหมาะเป็นบ้านใหม่ จริงสิ ห้องหนังสือนี้ก็เพิ่มอีกสักห้อง ไม่เช่นนั้นเฉียนเอ๋อร์มาแล้วจะไปทำงานที่ใด ผู้อื่นก็เป็นแม่ทัพใหญ่เหมือน…”
“ท่านแม่!” เซี่ยจิ่นยิ้มขื่น “ไม่ต้องทำอะไรใหญ่โตขนาดนี้กระมัง จากพระประสงค์ของไทเฮากับฝ่าบาท หลังแต่งงานนางต้องตามข้าไปเขตเหนือ”
เซี่ยฮูหยินกล่าว “แล้วอย่างไรเล่า ต่อให้อยู่บ้านแค่ไม่กี่วันก็ต้องจัดการดีๆ ถึงจะใช้ได้! ผู้อื่นแต่งเข้ามาจะให้อดสูไม่ได้เป็นอันขาด!”
“ท่านแม่เข้าใจเหตุผลที่นางแต่งเข้ามาหรือไม่” เซี่ยจิ่นอยากโต้แย้งแต่ก็หยุดไป สุดท้ายจึงเอ่ยเสียงเบา
เซี่ยฮูหยินถลึงตาใส่เขา “ข้าไม่สน! พวกเจ้าอ้อมไปอ้อมมาเช่นนี้ข้าคร้านจะฟัง! เอาเป็นว่าตอนนี้ข้ามีความสุขมาก เจ้าอย่าได้มาขัดความสุขข้า น้องสาวเจ้าที่เขตเหนือรู้แล้วต้องดีใจมากเช่นกันแน่ ข้าขอเตือนเจ้าไว้…” นางมองบุตรชายตั้งแต่หัวจรดเท้า “ผู้อื่นเข้ามาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรล้วนต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดี อย่าเอาแต่ทำท่าเหมือนจะตายเช่นนี้ ใบหน้าอย่างกับก้อนน้ำแข็งนี่ใครจะชอบมอง”
“โอ๊ะ” เซี่ยซือร้องคำหนึ่งแล้วกระโดดขึ้นไปบนร่างพี่ชาย ใช้มือดึงมุมปากเขาออกไปสองฝั่ง
“เหลวไหล!” เซี่ยจิ่นขมวดคิ้วถลึงตาดุ ดึงน้องชายที่ปีนขึ้นบนร่างเขาเหมือนลิงน้อยลงมา
เซี่ยฮูหยินหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ ก่อนพาเซี่ยซือออกไปอย่างพอใจ จากไปประหนึ่งลมพายุแล้ว
ในห้องหนังสือพลันเงียบลง เซี่ยจิ่นถอนหายใจยาวคราหนึ่ง ก่อนนวดหว่างคิ้ว เขาเดินไปนั่งข้างหน้าต่าง หยิบต่างหูข้างนั้นออกมาจากในแขนเสื้อแล้วเพ่งมองกลางฝ่ามือ
หยดน้ำมรกตนั้นเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม เส้นเงินเล็กบางไม่ได้เชื่อมกับเข็มต่างหู กลับเป็นตัวหนีบฉลุลายเล็กๆ
เขามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น มองไปนอกหน้าต่าง
จันทร์กระจ่างค่อยๆ ถูกบดบัง คืนฤดูสารทหนาวเย็น
คำพูดของเซี่ยซือกับมารดาสลับกันดังก้องอยู่ในหูเขา เขาก้มหน้าลง หลุบตาจ้องมองฝ่ามืออยู่นานถึงค่อยลุกขึ้นออกจากห้อง เดินไปยังข้างศาลามุมเหลี่ยมที่อยู่เหนือทะเลสาบวั่นชุนในสวนดอกไม้ แล้วโยนต่างหูข้างนั้นลงไปในน้ำ
ต้าเซวียน รัชศกเจาซิ่งปีที่สาม วันที่แปดเดือนสิบ ฤกษ์เหมาะแต่งงาน
วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส ดวงอาทิตย์ฤดูใบไม้ร่วงสาดแสงส่องสว่าง บนถนนสายหลักสองสามสายในเมืองหลวงแน่นขนัด บรรยากาศคึกคัก ผู้คนเบียดเสียด ผลักๆ ดันๆ อยู่บนถนน ทางหนึ่งถกเรื่องสินเดิมหนาหนักสี่สิบแปดคนหามของแม่ทัพเสิ่นเมื่อวาน อีกทางชะโงกศีรษะมองขบวนรับเจ้าสาวของแม่ทัพเซี่ยจวนเวยหย่วนโหว
ยามเช้าตรู่เซี่ยจิ่นก็นำขบวนรับเจ้าสาวกับเกี้ยวบุปผาออกจากจวนแล้ว แต่เกือบเที่ยงวันแล้วก็ยังห่างจากจวนแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วอีกสองถนนเต็มๆ
เซี่ยจิ่นเคยให้คนไปสอบถามเสิ่นเฉียนก่อนหน้านี้ ความต้องการของนางคือแต่งออกจากจวนแม่ทัพของตนเอง ไม่ใช่จากจวนของติ้งหย่วนโหวเสิ่นชื่อ
นับแต่ทั้งสองตอบรับเรื่องแต่งงานจนถึงวันพิธีในวันนี้ใช้เวลาเพียงเดือนเศษเท่านั้น เพราะมีราชบัณฑิตฟู่คอยจับจ้องคู่ที่ตนเลือกมาเอง ถึงทำให้ขั้นตอนยุ่งยากอย่างดูดวงชะตา มอบสินสอด ดูฤกษ์เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ สองบ้านยุ่งง่วนเหมือนเดินทัพออกรบจนในที่สุดก็มาถึงวันนี้แล้ว ทุกอย่างพร้อมพรัก ขาดเพียงลมบูรพา*
หนึ่งเดือนกว่ามานี้เสิ่นเฉียนทูลลาพักงานไม่ได้ไปประชุมขุนนาง เก็บตัวอยู่ในบ้านตลอด นอกจากสิบกว่าวันก่อนที่เข้าวังร่วมงานเลี้ยงครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้โผล่หน้าออกมาเลย
ในช่วงนี้เรื่องจิปาถะสารพัดของงานแต่งล้วนเป็นนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นที่ยิ่งชรายิ่งแข็งแรงออกหน้าจัดการ เสิ่นชื่อคิดอยากมาช่วยหลายครั้งแต่ล้วนถูกนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นขวางจนต้องกลับไป
วันนี้เสิ่นชื่อพาฮูหยินมานั่งในจวนแม่ทัพแต่เช้า ฮูหยินรองเสิ่นเดิมคิดจะไปดูที่เรือนหลัง นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นกลับเอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “อาสะใภ้เช่นเจ้าปกติไม่เอ่ยถามอะไรสักประโยค เวลานี้เหตุใดต้องไปให้เห็นขัดลูกตานางด้วย”
ฮูหยินรองเสิ่นลอบบ่นในใจว่า เช่นนั้นก็ช่างเถิด แล้วไปนั่งดื่มชาในห้องโถงอย่างเบิกบานสบายใจ
นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นอ้างว่าจะไปเปลี่ยนชุด ยันไม้เท้าอ้อมไปยังปากประตูชั้นใน แล้วถามกับสาวใช้ข้างใน “กลับมาหรือยัง”
สาวใช้ส่ายหน้าอย่างเป็นกังวล นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นกัดฟัน เอ่ยกำชับพ่อบ้านที่อยู่ด้านหลัง “ยื้ออีก”
หนึ่งเค่อให้หลัง หัวขบวนรับเจ้าสาวซึ่งเคลื่อนถึงถนนด้านหน้า จู่ๆ พลันมีเด็กกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาขวางอยู่หน้าม้าใหญ่ของเจ้าบ่าวอย่างไร้ความกลัวเกรง ที่อยากได้เงินก็ขอเงิน ที่ต้องการขนมก็ขอขนม ล้อมเจ้าบ่าวพลางกระโดดโลดเต้นขับร้องเพลง “ลมเอื่อยพัดพาต้องปทุม ด้ายเฒ่าจันทรา พาจับคู่ ชื่นมื่นสุขสมเยือนใต้หล้า มงคลเยือนมาหน้าประตู…”
…อีกแล้ว!
ดวงตาเย็นชาของเซี่ยจิ่นจ้องเด็กกลุ่มนี้เขม็ง ร่างหยัดตรงรั้งบังเหียน รอจนเด็กๆ ขับร้องเพลงจบถึงค่อยกล่าว “ตกรางวัล”
ลูกพี่ลูกน้องชายคนหนึ่งข้างกายเขาที่มากับขบวนรับเจ้าสาวด้วยคว้าเงินอีแปะ ออกมากำหนึ่ง โยนให้พลางขยับไปกล่าวข้างหูเซี่ยจิ่น “วันนี้รอบที่ห้าแล้ว เป็นใครไม่มีตามาขวางทางพวกเรา”
เซี่ยจิ่นเหลือบมองจวนแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วที่อยู่ไม่ไกลแล้วกล่าวอย่างจนใจ “อย่างไรก็สายมาหนึ่งชั่วยามแล้ว เช่นนั้นก็ไปช้าๆ เสียเลย ไม่แน่พอถึงจวนสกุลเสิ่นแล้วอาจยังมีอะไรอีก”
ดังคาด ขบวนรับเจ้าสาวถึงหน้าประตูใหญ่ที่ปิดสนิทของจวนแม่ทัพแล้วยังถูกขวางอีกเกือบหนึ่งชั่วยาม ต่อกลอนไปแล้วยี่สิบสามสิบบท ตอบคำถามประหลาดขอบเขตกว้างไปมากมาย สุดท้ายภายใต้เงื่อนไขของนายท่านผู้เฒ่าเสิ่น ยังเป็นเซี่ยจิ่นท่อง ‘ตำราศาสตร์ทหาร’ ที่นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นเขียนเมื่อนานมาแล้วออกมาสามรอบโดยไม่ผิดสักตัวถึงได้ถูกปล่อยตัวเข้ามาในประตูใหญ่
รอจนเซี่ยจิ่นเข้ามาในโถงหน้าได้อย่างยากลำบาก หลังจากยกน้ำชาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่น เสิ่นชื่อสองสามีภรรยาแล้ว พี่เลี้ยงเจ้าสาวก็ยิ้มกว้างออกมา กล่าวว่าเจ้าสาวไม่ค่อยพอใจกลอนเร่งเร้า* ของเจ้าบ่าวสักเท่าไร ขอให้แต่งใหม่สองสามบท
บนใบหน้าเซี่ยจิ่นที่ปราศจากซึ่งสีหน้าหมดความอดทนใดๆ เขียนใหม่บทแล้วบทเล่าอย่างให้ความร่วมมือ
“ผืนภาพวาดครึ่งม้วนเมาสีสารท คันฉ่องทรงดอกกระจับสะท้อนยิ้มพุดตาน ม่านงามผวยแดงคะนึงหา น้ำค้างบัวหลิวลู่ยวนยางฝัน”
เขาเอ่ยท่องลวกๆ ไปพลางสังเกตผู้อาวุโสสกุลเสิ่นไปด้วย
นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นใบหน้าสุขุม เสิ่นชื่อสีหน้าสงสัย บางครั้งยังส่งสายตาเห็นใจมาให้เขาด้วย
เซี่ยจิ่นดื่มชาอึกหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “ถอดชุดศึกสวมใส่กระโปรงงาม อยู่ในห้องแต้มชาดงามพริ้งเพรา…”
ครั้นเห็นว่ากลอนเร่งเร้ามากแต่งยิ่งฟังกลับยิ่งไม่เข้าที ในที่สุดก็มีเสียงกรุ๊งกริ๊งของหยกประดับดังมาระลอกหนึ่ง เจ้าสาวซึ่งคลุมศีรษะถูกคนพยุงออกมาแล้ว เซี่ยจิ่นมองใต้กระโปรงเจ้าสาวคราหนึ่ง ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยโดยไม่มีใครสังเกต
คู่แต่งงานทำพิธีคารวะผู้อาวุโสแล้ว เจ้าบ่าวก็จูงมือเจ้าสาวนำนางขึ้นเกี้ยวบุปผา
“วันนี้เป็นวันสำคัญ ออกไปทำธุระก็ควรเร่งสักหน่อย หากไม่กลับมาอีกข้าก็ยื้อไม่อยู่แล้ว” ใบหน้าภูเขาน้ำแข็งที่ไม่เปลี่ยนตลอดปีของเซี่ยจิ่นเผยรอยยิ้มดุจลมวสันต์ในที่สุด แต่น้ำเสียงที่เอ่ยกับคนข้างกายกลับเย็นยะเยียบ เจือแววหงุดหงิดไม่พอใจอยู่บ้าง
เจ้าสาวที่มีผ้าคลุมหน้าอยู่หัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่ง
“แม่ทัพเซี่ยพูดอะไร” อาจเพราะยังไม่ทันได้ดื่มน้ำ เสียงของนางจึงแหบแห้งไปบ้าง “ทั้งชีวิตก็แต่งงานแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว จึงอยากได้กลอนเร่งเร้าจากท่านแม่ทัพอีกหน่อยก็เท่านั้น” นางถามคล้ายหยอกเย้า “ทำไม ไม่ได้หรือ”
“…ได้แน่นอน” เซี่ยจิ่นเลิกม่านเกี้ยวขึ้น พยุงเจ้าสาวเข้าไปนั่งแล้วเอ่ยเตือนนางอย่างหวังดียิ่ง “เจ้าลืมเปลี่ยนรองเท้า”
เจ้าสาวตัวแข็งทื่อไปทันใด เท้าหดกลับเข้าไปในกระโปรงแดง
ยามนี้เซี่ยจิ่นถึงรู้สึกเหมือนได้เอาคืนแล้ว หัวเราะเสียงเบาพลางปล่อยม่านลง เขากระโดดขึ้นม้าขาวด้านหน้าแล้วเรียกฉีหมิงเยวี่ยองครักษ์คนสนิทของตนเข้ามา ก่อนกระซิบเสียงเบาสองสามประโยคบนหลังม้า
คนแบกเกี้ยวค่อยๆ ยกเกี้ยวบุปผาขึ้น เสียงฆ้อง กลอง และประทัดดังก้องระลอกหนึ่ง เจ้าบ่าวนำขบวนยิ่งใหญ่มุ่งหน้าไปอย่างมั่นคงภายใต้เสียงหัวเราะยินดี ไม่ทันไรก็จากไปไกลแล้ว
ขากลับราบรื่นมาก แต่เวลาขบวนรับเจ้าสาวมาถึงประตูใหญ่จวนสกุลเซี่ยที่แขวนโคมงดงาม สุริยันก็จมลงแล้ว ประกายอัสดงที่ขอบฟ้าย้อมสีแดงไปครึ่งเมือง คนจวนสกุลเซี่ยที่ออกมาคอยดูด้านหน้าจวนต่างถอนหายใจโล่งอก รีบวิ่งเข้าไปภายในเรือน “มาแล้วๆ”
เซี่ยจิ่นพลิกตัวลงจากม้าแล้วเดินไปด้านหน้าเกี้ยวบุปผา เรือนกายสูงโปร่งบดบังสายตาของผู้คน เขาเกี่ยวม่านออกน้อยๆ แล้วยื่นรองเท้าปักสีแดงเข้าไปผ่านรอยแยกม่าน
“เพิ่งให้หมิงเยวี่ยซื้อมา อาจไม่พอดี อย่างไรก็ใส่ไปก่อนเถอะ”
ในเกี้ยวบุปผามีเสียงกุกกักเบาๆ ดังมา เซี่ยจิ่นรออยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยเลิกม่านขึ้น ยื่นมือเข้าไปประคองเจ้าสาวออกมา จากนั้นย่อตัวลง รอจนนางขึ้นหลังตนแล้วถึงค่อยแบกเจ้าสาวก้าวเข้าประตูใหญ่จวนสกุลเซี่ยอย่างรวดเร็ว
คืนนี้จวนเวยหย่วนโหวมีแขกสูงศักดิ์มากมาย เสียงครึกครื้นเบิกบาน บรรยากาศเปี่ยมด้วยความมงคลยิ่งยวด ขุนนางชั้นสูงในราชสำนักมามากกว่าครึ่ง เซวียนหยางอ๋องซึ่งนั่งบนที่นั่งแขกสำคัญก็อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ กระทั่งถึงหลังยามจื่อแขกเหรื่อเต็มโถงถึงค่อยๆ สลายไป
เซี่ยจิ่นคุกเข่าอยู่หน้าห้องโถง รับของขวัญอวยพรที่ไทเฮากับฮ่องเต้ให้คนในวังส่งมา ก่อนเดินอ้อมเรือนหน้า เข้าเรือนหอภายในเรือนหลังโดยตรง
ภายในเรือนเล็กซงยวนเงียบสงบ พวกก่อกวนห้องหอถูกเซี่ยฮูหยินผู้ดุดันไล่ไปจนหมด เวลานี้ในเรือนมีโคมแดงแขวนสูง ม่านแดงปักลายงดงาม สิ่งที่เห็นล้วนเป็นสีสันที่มีชีวิตชีวา ลมเย็นยามราตรีฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน
เซี่ยจิ่นยืนนิ่งอยู่ในลานเรือนเล็กน้อยก่อนเข้าไปในห้อง อ้อมผ่านฉากกั้นสิบสองพับที่ปักลายมงคลมั่งคั่งเฟื่องฟู ผู้ที่เดิมควรนั่งรอข้างเตียงนอน ยามนี้กลับห่อตัวด้วยผ้าห่มหนาหลับไปบนเตียงแล้ว ม่านโปร่งแดงครึ่งหนึ่งลู่ลงมา ผ้าคลุมหน้าที่เปิดออกไปอยู่ปลายเตียง บนเก้าอี้พาดชุดแต่งงานสีแดงสด สิ่งที่วางบนแท่นวางเท้าหน้าเตียงคือรองเท้าปักแดงที่เขาสั่งให้คนเร่งไปซื้อมาวันนี้
…สมกับเป็นเสิ่นเฉียน
เซี่ยจิ่นเองก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่ารู้สึกผิดหวังหรือโล่งใจกันแน่ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนถอดชุดแต่งงานบนร่างออกและไปห้องอาบน้ำ
ในมุมห้องอาบน้ำมีชุดที่เสิ่นเฉียนผลัดเปลี่ยนวางอยู่ กางเกงผ้าไหมสีดำตัวนี้เป็นตัวที่นางใส่ไว้ใต้ชุดกระโปรงเจ้าสาวสีแดงเพราะเปลี่ยนไม่ทัน ขณะเซี่ยจิ่นแบกนางเข้าจวนวันนี้ต้องลอบดึงกระโปรงนางลงมาปิดให้อยู่บ่อยๆ
เขาถอนหายใจอย่างจนใจคราหนึ่งก่อนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
เสียงกุกกักดังขึ้น เทียนแดงบนแท่นสูงแตกตัวกลายเป็นประกายเล็กๆ คล้ายดอกไม้ เสิ่นเฉียนพลิกตัวอย่างงัวเงีย ครั้นสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ร่าง ยังไม่ทันลืมตาขึ้นนิ้วทั้งห้านางก็พลันยื่นออกไปแล้ว คว้าคอเสื้ออีกฝ่ายแล้วเหวี่ยงลงกดไว้ด้านข้าง ก่อนจะพลิกตัวขึ้นคร่อม มืออีกข้างบีบลำคอคนข้างใต้แน่น
“ใคร!” หลังตวาดคำนี้ออกมานางถึงค่อยลืมตาที่ยังมีความง่วงงุนอยู่ขึ้น
การมองครานี้นางพลันกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง รีบปล่อยมือที่กุมคออีกฝ่ายออก
“เหตุใดถึงเป็นเจ้า”
คนที่ถูกนางกดตัวกลับเป็นเซี่ยจิ่นที่สวมชุดนอนสีแดงทั้งตัว บนใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง ถูกการกระทำอันดุร้ายของนางเมื่อครู่นี้ทำให้มึนงงอยู่บ้าง
ในม่านโปร่งแดงกลางที่นอนยุ่งเหยิง คนสองคนจ้องมองกันเงียบๆ ผมดำของเซี่ยจิ่นระหมอน คอเสื้อชุดนอนถูกนางดึงเปิดออก เผยผิวงามบริเวณกระดูกไหปลาร้า รอยนิ้วแดงจางๆ สองสามรอยตรงคอยังไม่หายไป ขับให้หางตาและข้างแก้มที่เจือสีผลท้อเพราะดื่มสุราดูละมุนละไมและมีท่าทีคลุมเครืออย่างแปลกประหลาด
ดวงตางามของเสิ่นเฉียนจ้องมองแน่วนิ่ง นางถูกความงามตรงหน้านี้ทำให้ลุ่มหลงไปชั่วขณะ ถึงขั้นลืมขยับตัวไป
มุมปากเซี่ยจิ่นเผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งช้าๆ นัยน์ตาดำขลับภายใต้ขนตายาวเป็นประกายดุจดวงดาว เอ่ยเจือนัยถากถางเล็กๆ “วันนี้พวกเราสองคนแต่งงานกัน ย่อมต้องเป็นข้าสิ ความสามารถในการลืมของแม่ทัพเสิ่นนับว่าเร็วยิ่ง”
“หลับจนหลงแล้ว ขออภัยด้วย” เสิ่นเฉียนกล่าวงึมงำ เป่าลูกผมตรงหน้าผากเบาๆ ถึงทำท่าจะพลิกตัวลงจากร่างเขา เซี่ยจิ่นกลับคว้าต้นขาซ้ายของนางไว้ รั้งให้นางคร่อมอยู่บนเอวเขาต่อ มือซ้ายลูบไล้ไปตามข้อเท้าขวาของนางช้าๆ
“เจ้า…”
เสิ่นเฉียนขยับตัวอยู่ไม่สุขแล้ว ความรู้สึกร้อนลวกผสมปนเปกับความซ่านชาแสนประหลาดพลันวาบขึ้นมาจากบริเวณที่มือเขาลูบไล้ พาให้แก้มนางพลอยร้อนผ่าวไปด้วย
ภายใต้แสงเทียนหรุบหรู่ หลังม่านแดงที่ปิดคลุม หญิงสาวที่สวมชุดนอนแดงทั้งร่างปล่อยผมดำสยาย แต้มลักยิ้มสองข้างเผยชัด ความงามเปล่งปลั่งแผ่กระจายออกมา ไม่ได้วางตัวเรียบง่ายดูสุภาพเหมือนในยามปกติอีก
ฝ่ามือมีพลังกดผ่านน่องนางทุกกระเบียด คล้ายกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง จนกระทั่งคนบนร่างเขาร้องออกมา ดวงตาเหม่อลอยที่ไม่รู้ว่าจับจ้องไปที่ใดจู่ๆ ก็จรดสายตานิ่งในฉับพลัน เซี่ยจิ่นถึงค่อยหยุดมือที่ลูบไล้ลง แล้วเลิกกางเกงของนางขึ้น
บริเวณใต้เข่านางลงไปสามชุ่นมีผ้าพันไว้ลวกๆ ไม่กี่ทบ เวลานี้มีรอยเลือดซึมออกมาแล้ว เพียงแต่เพราะสวมกางเกงไหมสีแดงจึงมองเห็นได้ไม่ชัด
เซี่ยจิ่นมองบริเวณนั้นแล้วเอ่ยถามเรียบๆ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เสิ่นเฉียนบ่ายเบี่ยงไม่ตอบในทันที พลิกตัวลงจากร่างเขามานั่งที่ขอบเตียง เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “บาดแผลเล็กน้อย มัวแต่เร่งเดินทางเพื่อทำเวลา เลยไม่ระวังร่วงจากหลังม้า”
“ไม่ระวังหรือ” เซี่ยจิ่นเอ่ยเหน็บแนมหนึ่งประโยค “แม่ทัพเสิ่นตกจากม้าลงมาได้ เกรงว่าดวงอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วกระมัง”
“นี่ไม่ใช่รีบกลับมาแต่งงานกับเจ้าหรือ” เสิ่นเฉียนยิ้มพลางเหลือบมองเขา “ข้าใจร้อนดุจไฟเผา กลัวยิ่งว่าจะกลับมาไม่ทันฤกษ์มงคล ยังดีแม้ว่าจะสายไปสักหน่อยแต่ได้กลอนเร่งเร้าจากแม่ทัพเซี่ยมาสิบกว่าบท นับว่าในคราวเคราะห์ยังมีโชค ข้าดีใจยิ่ง”
“…อย่างนั้นหรือ” เซี่ยจิ่นไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ปิดสาบเสื้อที่นางเปิดไว้แล้วลุกขึ้นนั่งเอ่ยอย่างกรุ่นโกรธ “วันแต่งงานกำหนดไว้ก่อนนานแล้ว มีเรื่องสำคัญอะไรต้องรีบไปจัดการภายในวันนี้ให้ได้”
เสิ่นเฉียนก้มหน้าไม่ยอมตอบ
เซี่ยจิ่นมองนางคราหนึ่งแล้วลุกขึ้นเดินไปห้องอาบน้ำ ครู่หนึ่งก็ยกน้ำสะอาดออกมาถังหนึ่ง วางบนแท่นวางเท้า จากนั้นยกขาขวาของนางขึ้น
เสิ่นเฉียนรีบกล่าว “ข้าทำเอง”
เซี่ยจิ่นก็ไม่ได้ดึงดัน เพียงนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง มองนางม้วนกางเกง แก้ผ้าพันแผล และบิดผ้าสะอาดในถังมาเช็ดแผล
บริเวณบาดแผลนั่นถูกพันอย่างลวกๆ ทั้งไม่ได้ผ่านการทำความสะอาด ตอนนี้รอบปากแผลยังมีคราบสกปรก เสิ่นเฉียนยังคงมีสีหน้าปกติ การกระทำหยาบกระด้าง ตอนเช็ดโดนเนื้อหนังที่เลิกเปิดยังไม่ขมวดคิ้วสักนิด
เซี่ยจิ่นมองอย่างเฉยชาอยู่ด้านข้าง ในที่สุดก็ทนมองต่อไปไม่ไหว ค้อมเอวคุกเข่าแย่งผ้าในมือนางมา เขาชุบผ้าแล้วบิดใหม่อีกครั้ง ค่อยๆ เช็ดบริเวณบาดแผล การกระทำของเขานับว่าอ่อนโยนกว่าตอนเจ้าของแผลทำเองไปมาก
เสิ่นเฉียนกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าบนขาข้ามีแผล” นางมั่นใจว่ายามเดินเหินไม่ได้แตกต่างจากเวลาปกติ ไม่คิดว่ายังถูกเขาสังเกตเห็นจนได้ คนผู้นี้ช่างละเอียดรอบคอบจริงๆ
เซี่ยจิ่นไม่ตอบ ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยถามกลับ “ไปด่านจี้อวิ๋นเขตตะวันตกกระมัง”
“ปิดบังเจ้าไม่ได้เลย” เสิ่นเฉียนหัวเราะเล็กน้อย “ไม่ผิด เดิมข้าคำนวณเวลาเป็นอย่างดีแล้ว สามารถเร่งกลับมาถึงเมื่อคืนได้แน่ๆ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายระหว่างทางเข้า มีคนวางยาม้าของจุดพักม้า ไม่เพียงข้า ม้าของเจียงหมิงกับจูเฉินก็โดนเล่นงานเช่นกัน”
“เป็นฝีมือใคร เสิ่นยวนญาติผู้น้องเจ้าหรือ” เซี่ยจิ่นกุมข้อเท้านาง วางขาข้างนั้นของนางไว้บนตักตนเองแล้วก้มมองบาดแผลนางอย่างละเอียด
เสิ่นเฉียนตอบออกมาอย่างเปิดเผยจริงใจยิ่ง “ใช่ เขาคงคิดเพียงขัดขวางข้า ให้ข้ามางานแต่งงานไม่ทัน”
“เจ้าหาเรื่องใส่ตนเอง” เซี่ยจิ่นพูดอย่างไม่เกรงใจ “ในเมื่อเจ้าตอบรับคำไทเฮามาสกุลเซี่ยของข้าแล้ว ก็ต้องยอมปล่อยอำนาจบัญชาการทัพเขตตะวันตกสิบหมื่น ตอนนี้กลับเร่งไปเขตตะวันตกติดต่อกับผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าพวกนั้น หากข้าเป็นเสิ่นยวน ในใจก็คงไม่พอใจเช่นกัน”
เสิ่นเฉียนกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “นี่เจ้าพูดแทนเสิ่นยวนหรือ”
“พูดแทนเขาแล้วอย่างไร” เซี่ยจิ่นหัวเราะหยัน “เสิ่นเฉียน เป็นคนไม่อาจโลภมากเกินไป เจ้าไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าปลากับอุ้งตีนหมีไม่อาจได้มาพร้อมกัน* หรือ”
เขาลากเก้าอี้เข้ามา วางขานางบนเก้าอี้ ส่วนตนลุกขึ้นยืน ยกถังน้ำออกไปแล้วหยิบล่วมยากลับมา
“นี่เป็นเขากำลังแสดงอำนาจกับเจ้า เตือนเจ้าว่าอย่าได้สอดมือเข้าไปในทัพเขตตะวันตกอีก” เซี่ยจิ่นใส่ผงยาบนปากแผลอย่างละเอียดรอบคอบพลางเอ่ยไปด้วย “เจ้าล้วนต้องการทัพเขตตะวันตกกับทัพเขตเหนือ? บนโลกนี้ไม่มีเรื่องดีปานนั้นหรอก”
คนผู้นี้แม้ปากเอ่ยคำพูดทิ่มแทง แต่การกระทำที่มือกลับเบาและอ่อนโยนยิ่ง เสิ่นเฉียนเดิมอยากโมโห แต่คิดได้ว่าขานางถูกกำอยู่ในมือผู้อื่น ผู้รู้สถานการณ์ย่อมเป็นคนฉลาด นางจึงอดกลั้นไม่ส่งเสียงออกไป
“ตอนแต่งงานหากเจ้าไม่มาปรากฏตัว ทางฝั่งไทเฮานั่นย่อมไม่อาจอธิบายได้” เซี่ยจิ่นเป่าบาดแผลนางเบาๆ ให้ผงยากระจายไปลึกยิ่งขึ้น “หากเจ้ากับไทเฮาเกิดความหมางใจกัน เสิ่นยวนจะยิ่งสามารถกุมทัพเขตตะวันตกได้มากขึ้น ที่ผ่านมาเจ้ากระทำการยังนับว่าสุขุม เหตุใดยามนี้กลับเลอะเลือนเสียแล้วเล่า เสิ่นยวนเพิ่งรับดูแลทัพเขตตะวันตก เป็นช่วงระมัดระวังตื่นตัว ไยเจ้าต้องไปยั่วโมโหเขาตอนนี้ด้วย”
เซี่ยจิ่นพูดพลางเงยหน้ามองนาง ภายใต้การมองครั้งนี้ทำเอาเขาอึ้งตะลึงไปโดยไม่รู้ตัว เพราะเสิ่นเฉียนไม่ได้มีสีหน้าโกรธเคืองเหมือนที่เขาคิดไว้ ทั้งนางไม่ได้เตรียมเอ่ยคำพูดโต้ตอบเขาเสียด้วยซ้ำ เพียงยิ้มน้อยๆ มองมาที่เขา
เขาถึงเพิ่งรู้สึกตัวตอนนี้ว่าใบหน้าตนเองอยู่ใกล้กับขานางมาก ริมฝีปากจวนจะแตะผิวอยู่รอมร่อแล้ว ส่วนนางก็เอนร่างบนขอบเตียงอย่างสบาย รวบผ้าห่มเป็นก้อนรองไว้ใต้ร่าง ขาข้างนั้นปล่อยให้เขายกขึ้นอย่างยอมลดตัว สีหน้าบนใบหน้าคล้ายกำลังบอกว่า ‘อยากจูบก็จูบเถอะ’
ในใจเซี่ยจิ่นพานอับอายขึ้นมา เขาวางขานางลงด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วนำผ้ามาพันเป็นรอบๆ ส่วนปากก็ยังไม่ยอมปล่อยคนไปง่ายๆ “รีบไปทัพเขตตะวันตกในเวลานี้ เจ้าคงไม่ใช่นึกเสียใจภายหลังกระมัง แต่น่าเสียดาย ไม้กลายเป็นเรือ แล้ว เจ้าเสียใจภายหลังก็ไม่มีประโยชน์ หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เหตุใดตอนนั้น…”
เสิ่นเฉียนเท้าแก้มเอ่ยตัดบทเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “เซี่ยจิ่น วันนี้เป็นคืนเข้าหอนะ เจ้าพูดจาเหลวไหลมากเพียงนี้ คงไม่ใช่คิดถ่วงเวลากระมัง หากเจ้าไม่ต้องการแค่พูดมาตามตรงก็พอ ข้าไม่บังคับเจ้าหรอก”
โทสะของเซี่ยจิ่นคล้ายจุกอยู่ตรงลำคอ เขาแทบกระโดดพรวดขึ้นมา “ถ่วงเวลาหรือ ข้าถ่วงเวลาอะไรกัน เสิ่นเฉียน เจ้าเอาแต่พูดคำพูดพวกนี้ ไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือ”
เสิ่นเฉียนยิ้มน้อยๆ “นี่เป็นคำพูดน่าเบื่อหรือ ไม่ใช่เรื่องจริงจังหรือไร”
เซี่ยจิ่นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ มองนางปราดหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แม่ทัพเสิ่นยามนี้เอนกายนอนบนเตียงอย่างเกียจคร้าน ผมดำดุจม่านน้ำตกพาดเอียงๆ บนไหล่ข้างหนึ่ง ในสาบเสื้อชุดนอนเผยด้ายทองของเอี๊ยมแดง ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสะท้อนกับแสงเทียนแดงหรือเพราะบนใบหน้าทาแป้งชาด ใบหน้าที่เรียบๆ เสมอมายามนี้เผยลักยิ้มสองข้าง แววตาใสกระจ่างดุจสายน้ำ ที่สำคัญที่สุดคือขาเรียวยาวข้างหนึ่งยังวางบนตักเขา มุมกางเกงบางเพียงห้อยอยู่บนข้อพับขาข้างนั้น หากมองข้ามผ้าพันแผลหนาๆ นั่นก็นับว่าเพริศแพร้วจริงๆ
เซี่ยจิ่นพลันรู้สึกริมฝีปากแห้งอยู่บ้าง ใบหน้าเห่อร้อนนิดหน่อย
สายตาทั้งคู่สบประสานกัน ล้วนไม่ได้ผละหนีออกไป
ผ้าพันแผลพันเสร็จนานแล้ว แต่มือของเซี่ยจิ่นยังคงวางอยู่บนขานางดังเดิม ฝ่ามือสัมผัสกับน่องที่ได้สัดส่วน ค่อยลูบไล้ช้าๆ ผิวบริเวณที่ถูกสัมผัสพลันร้อนวูบวาบ ทำเอาลมหายใจของทั้งคู่ค่อยๆ กระชั้นขึ้นน้อยๆ หัวใจก็เต้นเร็วยิ่งขึ้น
มือเขาค่อยๆ ลูบขึ้นไปข้างบน เมื่อสัมผัสกับต้นขาที่เนียนแน่น เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรวบขาข้างที่บาดเจ็บของนางกับขาอีกข้างไว้ในอ้อมแขน แขนอีกข้างก็ยกพาดผ่านหลังเอวนาง ก่อนอุ้มนางเข้าไปในส่วนลึกของเตียง
ม่านโปร่งแดงทั้งผืนร่วงลงมาปิดคลุมแล้ว ในพื้นที่เล็กๆ นี้เต็มไปด้วยสีแดงเข้มๆ จางๆ แสงเทียนส่ายไหวประเดี๋ยวสลัวประเดี๋ยวสว่างอยู่นอกม่าน เศษเสี้ยวกาลเวลาคล้ายปรากฏ กลายเป็นสายธารายาวเนิ่นนาน ภายในแช่ไว้ด้วยเรื่องราวของอดีตเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเขากับนาง ผลักดันให้เขาตระกองกอดคนบนร่างแน่นไปตามจิตใต้สำนึก
การปะทะที่เจ้ามาข้ารับเหล่านั้น ยามนี้กลายเป็นเงาสะท้อนบนผิวน้ำ ไหวกระเพื่อมแผ่วเบาบนหัวใจ ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์อันใด ยิ่งไม่กระทบต่อภาพรวมสำคัญ
ยามกอดรัดเอวของนางและคลายแถบรัดเอวชุดนอนออก ทั้งหมดนี้ที่แท้แล้วไม่ได้ลำบากแต่อย่างใด เซี่ยจิ่นคิดในใจ
หนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมานี้มีหลายครั้งมากที่เขาลองคิดถึงสถานการณ์ตอนเข้าหอ ทว่าทุกครั้งเมื่อนึกถึงช่วงสำคัญก็ไม่อาจคิดต่อไปได้อีก แต่ได้มีการหมั้นหมายไว้แล้ว ไม่ว่านางมีเป้าหมายอะไร ทั้งโอบกอดความคิดเช่นไรแต่งให้เขา สุดท้ายพวกเขาก็ต้องกลายเป็นสามีภรรยากันอยู่ดี ต่อให้ไม่พอใจเท่าไร ไม่ยินยอมเพียงไร เขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดตนเอง มองนางเป็นภรรยาของเขาให้ได้
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมองเสิ่นเฉียนเป็นสตรีนางหนึ่ง นางกับสตรีส่วนใหญ่ที่เขารู้จักช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นางมีความสามารถในการต่อสู้โดดเด่น นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา กล้าคิดกล้าทำ เวลาส่วนใหญ่ไม่มีท่วงท่าเฉกเช่นสตรีในห้องหอ บางคราวยังมีนิสัยของอันธพาล แต่พอถึงคราวต่อสู้นางจะนำอยู่หน้าสุดเสมอ กล้าหาญไร้ความกลัวเกรง มีบารมีมากในกองทัพ
พอตัดเรื่องบุญคุณความแค้นและการทะเลาะเบาะแว้งเหล่านั้นออกไป ส่วนตัวแล้วเซี่ยจิ่นก็ชื่นชมนางมากจริงๆ แต่ความชื่นชมนี้ตัวเขาคิดว่าไม่ใช่ความชื่นชอบและชอบพอในแบบที่บุรุษพึงมีต่อสตรีเด็ดขาด
เขารู้เช่นกันว่าตนใส่ใจเสิ่นเฉียนมาตลอดจากเหตุนั่นบ้างนี่บ้าง เขามักคิดถึงนางบ่อยครั้ง เวลานางไม่มาหาเรื่องเขา เขายังถึงขั้นลอบไปยั่วยุนางถึงที่ ทว่าแต่ไรมาไม่เคยคิดไปชอบพอนาง รักนาง หรือทำเรื่องแนบสนิทชิดใกล้กับนาง…เว้นก็แต่ความฝันโดยบังเอิญครั้งนั้น
ดังนั้นเมื่อรู้ว่าต้องแต่งงานกับนาง เซี่ยจิ่นจึงไม่ยินยอมและต่อต้าน
เขาเคยคิดว่าการเข้าหอนี้เป็นไปได้มากว่าตนจะผ่านไปไม่ได้ ดังนั้นพอตื่นมาตอนเช้าของทุกวันเขาล้วนจะท่องเงียบๆ สามครั้งว่า…‘เสิ่นเฉียนเป็นสตรี ข้าจะกลายเป็นสามีของนาง ส่วนนางจะกลายเป็นภรรยาของข้า’
เรื่องมาถึงตอนนี้ ทุกอย่างกลับง่ายดายเพียงนี้ ถึงขั้นเขาไม่รู้สึกฝืนใจเลยสักนิด ตอนแรกเขายังนึกตกใจกับท่าทีของตนเอง ภายหลังก็ปล่อยวางได้
อาจเป็นผลจากการที่เขาปรับอารมณ์และการบอกกับตนเองมาหลายวัน จึงยอมรับฐานะใหม่นี้ระหว่างนางกับเขาได้
บทที่ 4 ใจกลัดกลุ้ม
ร่างกายทวีความร้อนขึ้นเรื่อยๆ สมองยิ่งหนักอึ้ง ความคิดทั้งหมดถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เขาปล่อยให้ร่างกายและสัญชาตญาณนำพาไป ตกลงสู่ห้วงแห่งอารมณ์อันไม่คุ้นเคย
เปลวเทียนสีแดงพลิ้วไหว ม่านเตียงส่งกลิ่นหอมกำจาย เมื่อนางถอดชุดนอนออก บนเรือนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสด เซี่ยจิ่นเอื้อมมือไปด้านหลังนางเพื่อคลายสายรัดเอี๊ยมนั้นออก
เสิ่นเฉียนโอบกอดเขาไว้ด้วยสองแขน ซุกหน้าลงแนบกับอกเขาราวกับเมามายในฤทธิ์สุรา ริมฝีปากสีแดงจูบสะเปะสะปะไปตามกระดูกไหปลาร้าของเขา แล้วงับเข้าไปตรงลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงของเขาประหนึ่งอสรพิษ แล้วเลื่อนใบหน้ามาที่ข้างริมฝีปากเขา
เซี่ยจิ่นกลับผินหน้าออกโดยไม่ตั้งใจ คล้ายหลบเลี่ยงนางตามจิตใต้สำนึก
จูบของนางปะทะความว่างเปล่าเข้าแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย ทั้งสองต่างตัวแข็งทื่อ
ความอ่อนโยนแสนเร่าร้อนเมื่อครู่นั้นดั่งกระแสน้ำถดถอย เซี่ยจิ่นที่แทบจะได้สติขึ้นมาในพริบตารู้สึกได้ว่าตนทำพลาดอย่างที่ไม่อาจแก้ไขได้ไปแล้ว
เสิ่นเฉียนเป็นคนหยิ่งทะนงผู้หนึ่ง แม้บางครั้งนางทำตัวคล้ายอันธพาลไปบ้าง บางคราปากก็ไว ชอบเอ่ยคำพูดปากไม่ตรงกับใจบางส่วนทำให้คนเต้นเร่าๆ แต่เขารู้ว่านางเป็นคนความรู้สึกฉับไวและทะนงตนมาก ยิ่งกว่านั้นคือเขาทำให้นางต้องรู้สึกเช่นนั้นในช่วงเวลานี้
ดังคาด แขนของเสิ่นเฉียนแม้ยังวางพาดอยู่ที่ไหล่เขา แต่สีแดงบนใบหน้าจางหายไปอย่างรวดเร็ว อารมณ์สงบลง ระลอกคลื่นในดวงตาสลายไป และคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เหลือเพียงประกายตาเย็นเยียบเท่านั้น
เซี่ยจิ่นจ้องมองนางโดยไม่ขยับเขยื้อน มือยังคงวางค้างเติ่งอยู่บนเอวนาง สายรัดเอี๊ยมของนางพันอยู่กับนิ้วเขา ราวกับพันยุ่งเหยิงจนความคิดเขาว้าวุ่นไม่เป็นสุข
ภายในม่านแดงได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่ค่อยๆ สงบลงของทั้งสอง เสิ่นเฉียนพลันรู้สึกหนาวเล็กน้อย นางยิ้มเยาะตนเองเบาๆ แล้วดึงมือเขาออกไป
สายรัดเอี๊ยมที่อยู่ระหว่างนิ้วมือก็พลอยถูกเขาดึงออกไปด้วยในยามนี้ เอี๊ยมสีแดงปักลายหงส์สีทองพลันเลื่อนหลุด เผยให้เห็นเรือนร่างงดงาม
เสิ่นเฉียนร้องโอ๊ะขึ้นมาคำหนึ่ง นางรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นบังทรวงอก มืออีกข้างคว้าเอี๊ยมขึ้นมา แล้วหันหลังไปหยิบชุดนอนที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาสวมใส่
“กระอักกระอ่วนจริงๆ นั่นล่ะ ทำให้เจ้าต้องเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของข้าเข้าแล้ว” นางยิ้มกล่าว “ดีที่เจ้าเองก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไร รอบนี้พวกเรานับว่าเสมอกัน”
ในใจเซี่ยจิ่นหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เสิ่นเฉียนผูกแถบรัดเอวชุดนอนดีแล้วจึงหันร่างกลับมา มองเซี่ยจิ่นที่เปลือยท่อนบนอันแสนดึงดูดสายตาตรงหน้าแล้วหัวเราะพรืดออกมา ก่อนหยิบชุดที่ถูกโยนไว้ด้านข้างมาคลุมร่างให้เขาลวกๆ ตบแก้มเขาเบาๆ ราวกับปลอบโยน
“นั่นน่ะ…” นางเอ่ยเหมือนไม่เจตนา “ลืมไปว่าเจ้ามีคนในใจอยู่แล้ว สำหรับเจ้าคงยากไปสักหน่อย”
เซี่ยจิ่นไม่อาจอธิบายชี้แจง ทั้งไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้าง
เสิ่นเฉียนเลิกม่านออก ขณะที่นางกำลังจะลงจากเตียง ข้อมือพลันถูกคนยุดไว้ เซี่ยจิ่นดึงนางเข้ามาในอ้อมอก ริมฝีปากประทับลงบนใบหน้านางโดยไม่สนสิ่งใด
เสิ่นเฉียนเบือนหน้าหลบ แล้วตวัดมือตบหน้าเขาไปตรงๆ
เพียะ!
สิ้นเสียงดัง บนใบหน้าของเขาพลันปรากฏรอยนิ้วแดงห้าสาย
นางกล่าวอย่างโมโห “ข้าบอกไปแล้วว่าเจ้าไม่ต้องฝืน! เจ้ายังต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ”
แผ่นอกเซี่ยจิ่นกระเพื่อมไหว เขาค่อยๆ ยื่นมือขึ้นมาลูบใบหน้าตนเอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนถูกเสิ่นเฉียนตบหน้าเช่นนี้ เขาต้องคิดหาวิธีเอาคืนแน่ แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่าตนสมควรโดนฝ่ามือนี้
เสิ่นเฉียนมองเขาอย่างเย็นชาก่อนลุกขึ้นเดินไปนั่งหน้าโต๊ะแปดเซียน ที่อยู่กลางห้องหอ
บนโต๊ะวางอาหารเย็นกับของว่างไว้สองสามจาน บนถาดใบหนึ่งวางสุราฮวาเตียว หนึ่งกากับจอกสุราเล็กสองจอก เป็นของที่ให้บ่าวสาวแลกจอกสุรา
เสิ่นเฉียนสงบใจลงแล้วหยิบกาสุรานั่นขึ้นมา พลิกจอกสุราที่คว่ำอยู่ค่อยๆ รินสุราลงไป
ขณะกำลังจะส่งเข้าปาก มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาแย่งจอกสุรานั้นไป
เซี่ยจิ่นดื่มจอกนั้นจนหมดแล้วเอ่ยว่า “ขาเจ้ามีแผล อย่าดื่มสุราจะดีกว่า”
“ก็จริง” เสิ่นเฉียนคล้ายลืมความหงุดหงิดเมื่อครู่ไปแล้ว ยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นแลกจอกสุราก็ไม่ต้องดื่มแล้ว? ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ได้เปิดผ้าคลุมหน้าข้านี่”
เซี่ยจิ่นเงียบไม่ส่งเสียง นั่งลงข้างกายนางด้วยสีหน้ามืดทะมึน
เสิ่นเฉียนขยับเข้าไปบีบปลายคางเขาแล้วมองดู “อา ตบแรงไปหน่อย ขออภัยด้วย หรือไม่ทายาสักหน่อยหรือไม่ เช่นนั้นพรุ่งนี้จะพบหน้าคนได้อย่างไร”
อารมณ์นางนับว่าฟื้นฟูเร็วยิ่ง เซี่ยจิ่นกล่าวอย่างกึ่งจริงกึ่งเท็จ “ผู้อื่นถามก็บอกไปตามตรงว่าถูกเจ้าตบ”
“อย่าสิ ลือออกไปผู้อื่นจะมองว่าข้าดุร้าย” เสิ่นเฉียนลุกขึ้นหยิบล่วมยาที่เขาวางบนเก้าอี้เมื่อครู่ กอดมาวางไว้บนโต๊ะ “ขวดใดเป็นยาลดบวม”
เซี่ยจิ่นเหลือบมองคราหนึ่ง “ขวดสีเขียวลายกิ่งดอกไม้พัน”
เสิ่นเฉียนหยิบสำลีออกมาจากในกล่อง จุ่มผงยาแล้วทาบนรอยนิ้วที่บวมแดงอยู่บ้างนั้นอย่างเอาใจใส่
เทียนแดงเผาไหม้เงียบๆ ไกลออกไปมีเสียงเคาะโมงยามดังมารางๆ หน้าต่างที่ไม่ได้ปิดสนิทมีลมพัดผ่าน พัดจนดอกชบาสองสามกิ่งที่ปักอยู่ในแจกันตรงริมหน้าต่างส่ายไหว
ยามดึกอันเงียบสงัด เงาเทียนแดงวูบไหว
มือของเสิ่นเฉียนนิ่งมาก ทาไปพลางพูดไปด้วย “ดึกมากแล้ว ทายาเสร็จก็นอนเถอะ พูดไว้ก่อนนะ ข้าคุ้นกับการนอนด้านนอก เจ้าก็นอนด้านในเถิด”
เซี่ยจิ่นไม่ส่งเสียง เสิ่นเฉียนเก็บขวดยาแล้วเหลือบมองเขา กล่าวอย่างคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “พวกเราก็ไม่ใช่ว่าร่วมหอไม่ได้เสียหน่อย เจ้าไม่ต้องรู้สึกรับผิดชอบอะไร อย่างไรข้าแต่งให้เจ้าก็ไม่ใช่เพื่อสิ่งนี้”
คิ้วยาวของเซี่ยจิ่นเลิกขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เช่นนั้นเจ้าทำเพื่ออะไร”
เสิ่นเฉียนหาว “ในใจเจ้าไม่ใช่มีคำตอบอยู่หรือ เหตุใดต้องถามข้า”
เซี่ยจิ่นกดมือนาง ดวงตาดำทั้งคู่กระจ่างชัด สายตาราวตาข่ายจับจ้องนางนิ่ง “จับตากับควบคุมสกุลเซี่ยของข้าก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรพวกเราตัวตรงไม่ต้องกลัวเงาเอียง แต่ถ้าเจ้าหมายตาทัพเขตเหนือแปดหมื่น ข้าขอบอกให้เจ้าตัดใจเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า”
เสิ่นเฉียนทำเสียงจุๆ ยื่นมือไปกดหว่างคิ้วที่ขมวดเข้าหากันน้อยๆ ของเขา “ดูเจ้าสิ หัวคิ้วขมวดแน่นขนาดนี้ไปไย วางใจเถอะ ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก” นางหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเสริมพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ว่าเรื่องใด”
เซี่ยจิ่นโมโหจนกัดฟันกรอด แต่ในสถานการณ์นี้เวลานี้ไม่อาจระเบิดอารมณ์ออกมาได้ จึงได้แต่ส่งเสียงหยันคราหนึ่งแล้วลุกขึ้นเดินไปข้างเตียง เข้าไปนอนด้านในตามคำพูดก่อนหน้าของนาง
ไม่นานเสิ่นเฉียนก็ตามขึ้นมาแล้ว ห้อม้าตะบึงมาหลายวันติดต่อกันนางน่าจะเหนื่อยมากแล้ว ไม่ทันไรก็หลับลึกไป
เซี่ยจิ่นได้ยินเสียงลมหายใจนางที่ทั้งเบาและยาวก็พลิกตัวหันมาหานาง
เทียนแดงเผาไปครึ่งหนึ่ง ยามนี้แสงไฟสว่างไสวเป็นพิเศษ ส่องผ่านม่านโปร่งวาดเค้าโครงของคนตรงข้ามออกมาอย่างเด่นชัด นางนอนตะแคงหลับไป เส้นโค้งเว้าช่วงเอวงดงาม มือหนึ่งอยู่ใต้หมอน แขนอีกข้างพาดอยู่นอกผ้าห่มไหมปักลายสีแดง แขนเสื้อม้วนขึ้นเผยปลายแขน
เซี่ยจิ่นถอนหายใจคราหนึ่ง ดึงมือที่อยู่ใต้หมอนของนางออกมาและยัดแขนทั้งสองข้างเข้าไปในผ้าห่ม
วันต่อมาหญิงรับใช้ที่เข้าเวรในเรือนเล็กซงยวนนำสาวใช้มาเคาะประตู ข้างในเงียบเชียบ เดิมคิดว่าต้องเคาะอีกครู่ ไหนเลยจะคิดว่าเพิ่งเคาะไปครั้งเดียวประตูก็เปิดออกแล้ว
คนเปิดประตูคือฮูหยินคุณชายใหญ่ที่เพิ่งแต่งเข้าสกุลเซี่ยเมื่อวาน บนร่างนางสวมชุดเรียบร้อย ผมกลับยุ่งสยาย เห็นคนมาแล้วสีหน้าก็เคร่งขรึมลง “เหตุใดเพิ่งมาเวลานี้”
หญิงรับใช้ที่ได้รับการกำชับจากเซี่ยฮูหยินให้มาช้าสักหน่อยรวมถึงสาวใช้ทั้งคู่ล้วนไม่กล้าส่งเสียง
เสิ่นเฉียนก็ไม่ได้พูดมากความอะไร เพียงเอ่ยประโยคหนึ่ง “ตั้งแต่พรุ่งนี้ถ้าข้าไม่ประชุมขุนนาง ทุกวันยามเหม่า ให้มาปรนนิบัติ” ว่าพลางก็เรียกบ่าวรับใช้เข้าไป “ช่วยข้าหวีผม”
ตอนเซี่ยจิ่นกลับมาจากลานฝึกยุทธ์สกุลเซี่ยก็เห็นเสิ่นเฉียนกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งหน้าคันฉ่อง นางสวมเสื้อนอกตัวสั้นสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อสั้นครึ่งแขนสีเทาอมฟ้า จับคู่กับกระโปรงหกจีบสีขาวอมเหลือง สาวใช้เกล้าผมทรงเมฆาเคลื่อน บนมวยผมเสียบปิ่นหงส์คาบมุกเคลือบทองอันหนึ่ง
เซี่ยจิ่นที่กำลังเดินไปห้องอาบน้ำเห็นนางยามนี้ไม่รู้คิดอะไรขึ้นมา เดินไปเบื้องหน้านางและเหลือบดูบริเวณติ่งหูเล็กน้อย
ติ่งหูกระจุ๋มกระจิ๋มห้อยตะขอเงินเล็กบาง ด้านล่างแขวนตุ้มเล็กโมรา เพียงมองดูก็รู้ว่าด้านบนไม่ใช่ต่างหูหนีบ
เซี่ยจิ่นหลุบตาลงหัวเราะหยันตนเอง ก่อนไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดในห้องอาบน้ำ
สองสามีภรรยาเตรียมตัวเรียบร้อยก็ไปคารวะน้ำชาเซี่ยจี่กับเซี่ยฮูหยินที่เรือนหลัก
เซี่ยฮูหยินรับน้ำชาคารวะจากลูกสะใภ้อย่างเบิกบานยินดี ในใจให้พอใจเป็นพิเศษ
บุตรชายคนโตของนางผู้นี้ตั้งแต่เด็กก็รอบคอบความคิดความอ่านโตเกินวัย ในแต่ละวันทำหน้าเย็นชา สุขุมก็สุขุมอยู่ คนนอกก็ล้วนชื่นชมยิ่ง แต่นางกลับรู้สึกว่าลูกคนนี้ไม่ว่าดูอย่างไรล้วนไม่เหมือนผู้เยาว์ มืดมนอึมครึมตลอดเวลา ทำเอานางผู้เป็นมารดามองแล้วไม่ชอบใจ
ดังนั้นไม่แปลกที่นางจะชอบเสิ่นเฉียน เนื่องจากบุตรชายของตนมีเพียงเวลาอยู่ต่อหน้าแม่นางผู้นี้ถึงจะมีท่าทางที่ผู้เยาว์ควรมี ดังคำกล่าวว่าไม่ใช่ศัตรูไม่พบหน้า** นางสังเกตเห็นนานมากแล้วว่าบุตรชายยามอยู่ต่อหน้าเสิ่นเฉียน ความรู้สึกและอารมณ์บนสีหน้าจะเด่นชัดเป็นพิเศษ ดูมีชีวิตชีวายิ่ง ต่อให้โกรธเกรี้ยวเพียงใดก็ยังสดใสขึ้นมาก
ทว่าเพราะสกุลเสิ่นกับสกุลเซี่ยเป็นศัตรูกันมาแต่ไหนแต่ไร เป็นไปได้ยากที่บุตรชายจะแต่งแม่นางผู้นี้เข้าบ้าน เซี่ยฮูหยินเสียดายยิ่งนัก ลอบเคียดแค้นอยู่หลายปี พอได้ยินว่าไทเฮากับฮ่องเต้หมายจะจับคู่สองคนนี้ แรกเริ่มนางยังไม่กล้าเชื่อ หลังจากยืนยันหลายครั้งก็อดดีใจจนออกนอกหน้าไม่ได้
นี่ไม่ใช่บุพเพที่สวรรค์ลิขิตไว้แต่โบราณ เฒ่าจันทรากำหนดไว้อย่างดีหรอกหรือ
แน่นอนว่าท่านโหวเซี่ยซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ นางอาจจะไม่คิดเช่นนี้ แต่ใครสนเขากันเล่า อย่างไรนางก็พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้เป็นพิเศษ กระทั่งมองดูบุตรชายยังสบายตาขึ้นมาก
นางมอบของขวัญพบหน้าหนักอึ้งกล่องหนึ่งให้ลูกสะใภ้อย่างสนิทสนมพลางกำชับบุตรชายว่า “วันนี้อากาศดี เจ้าพาเฉียนเอ๋อร์ไปเดินเล่นที่เขาเฟิงลู่นอกเมืองเถิด ได้ยินว่าใบเฟิง บนเขาล้วนแดงแล้ว อีกไม่นานพวกเจ้าก็ต้องไปจากเมืองหลวง ควรฉวยช่วงเวลานี้พักผ่อนหย่อนใจดีๆ”
เซี่ยจิ่นกลับกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม “ท่านแม่ ลูกเกรงว่ายังต้องไปสนามฝึกตะวันตกอีก ทหารใหม่คราวนี้ต้องฝึกให้เข้าที่ถึงจะเหมาะพาไปเขตเหนือ เวลานี้อากาศหนาวเย็น ทางเหนืออีกไม่นานจะมีหิมะตก หากหิมะตกหนักปิดเส้นทางบนเขา คงเดินทางลำบาก”
ได้ยินดังนี้เซี่ยจี่ก็เคลื่อนสายตาที่จับจ้องบนแก้มข้างหนึ่งซึ่งแดงน้อยๆ ของเซี่ยจิ่นมาถลึงตาใส่เซี่ยฮูหยินคราหนึ่ง “ทำตัวเหลวไหลอะไร หน้าที่การงานต้องเร่งด่วนกว่าสิ” ว่าพลางหันไปถามเสิ่นเฉียนอย่างอ่อนโยน “เฉียนเอ๋อร์ไม่มีความเห็นอะไรกระมัง”
เสิ่นเฉียนรีบตอบ “กองทัพย่อมเป็นเรื่องสำคัญ”
เซี่ยฮูหยินจนใจ ได้แต่จูงมือเสิ่นเฉียนแล้วยิ้มกล่าว “ข้าเตรียมห้องหนังสือไว้ให้เจ้าแล้วห้องหนึ่งที่หอตั้นเสวี่ย อยู่ข้างๆ ห้องหนังสือของอวิ๋นอิ่น อีกเดี๋ยวข้าพาเจ้าไปชมดู”
หลังกินอาหารเช้า เซี่ยจิ่นพาฉีหมิงเยวี่ยขี่ม้าไปสนามฝึกตะวันตก เซี่ยฮูหยินเนื่องจากต้องจัดการงานในจวน หลังพาเสิ่นเฉียนมาถึงหอตั้นเสวี่ยและนั่งลงครู่หนึ่งก็จากไปแล้ว เสิ่นเฉียนเขียนจดหมายสองฉบับในห้องหนังสือตนเอง คิดๆ แล้วก็เข้าไปในห้องหนังสือด้านข้างของเซี่ยจิ่น
ห้องหนังสือของเขาน่าจะเพิ่งปรับปรุงได้ไม่นาน หน้าต่างใสสะอาดไม่เปื้อนฝุ่น โต๊ะหนังสือและชั้นหนังสือก็เหมือนกับในห้องหนังสือของนาง ยังคงส่งกลิ่นหอมจางๆ ของไม้พะยูงหอม
มุมห้องฝั่งตะวันออกวางกระบะทรายสูงครึ่งตัวคน เสิ่นเฉียนเดินเข้าไปดู ภายในคือหุ่นจำลองขนาดเล็กที่แสดงสภาพพื้นที่แนวหน้าเขตเหนือ ด่านที่อยู่ตรงกลางคือด่านวั่งหลง รอบด้านภูเขาทอดเรียงตัวคดเคี้ยว เหนือด่านขึ้นไปคืออาณาเขตของแคว้นฝาน ใต้ด่านวั่งหลงคือเมืองจิ้งโจว ล้วนทำออกมาได้อย่างประณีตเป็นพิเศษ
บนผนังเหนือกระบะทรายแขวนแผนที่เขตเหนือใหม่เอี่ยมภาพหนึ่ง เสิ่นเฉียนเหลือบดูคร่าวๆ ก็รู้ว่าเพิ่งมีการวาดซ้ำไม่นานมานี้ สนามรบที่เปิดศึกใหม่กับแคว้นฝานในหลายๆ ครั้งล้วนถูกทำเครื่องหมายเด่นออกมา
ผนังฝั่งตะวันตกแขวนภาพอักษรสองผืน ล้วนเป็นฝีมือจรดพู่กันของเซี่ยจิ่น
ภาพด้านขวาคือ ‘ภาพเขาวสันต์ปล่อยสัตว์กลางฝน’ ป่าเขาในภาพเขียวขจี หมอกเมฆบางเบา ไอน้ำในร่องธาราลอยหนาภายใต้สายฝนปรอย มองเห็นคนเลี้ยงสัตว์ขี่วัวไปมา ฝีแปรงของเขาเดี๋ยวลงหมึกหนัก เดี๋ยวแต้มบางเบา หนาบางสอดรับ ดูมีสุนทรียะอย่างยิ่ง
ข้อความที่มุมขวาล่างคือกลอนห้าพยางค์บทหนึ่ง
‘หมอกอวลกว้างชุ่มไม้ ใบเขียวสุขสงัด
แตกใบโศกอีกวรรษ นำฝนพัดคืนไพร’
เซี่ยจิ่นผู้นี้ฝีมือวาดภาพแต่งกลอนล้วนนับว่าไม่เลว บางคราวยังให้อารมณ์สันโดษของปัญญาชนผู้รอบรู้
สายตาเสิ่นเฉียนเคลื่อนไปทางภาพอีกผืน
‘เรื่องด่านวั่งหลง’ ที่อยู่ด้านซ้าย เป็นภาพด่านวั่งหลงในเทือกเขาวั่งหลงของเขตเหนือ จรดฝีแปรงสาดหมึกเขียนคำเพียงไม่กี่ครา ทางยาวด่านแน่นหนา เขาสูงเหวมาก ความรู้สึกเข้มงวดครัดเคร่งพุ่งปะทะเข้ามา
ข้อความที่มุมซ้ายคือกลอนเจ็ดพยางค์
‘ด่านเขาจันทร์ส่องห่านโทนโจม เพลิงศึกโหมพุ่งกลองเร่งก้อง
บินเหินแจ้งข่าวออกป่าหนาว ควบม้าขวางหอกในพันเขา’
ความรู้สึกของเสิ่นเฉียนพวยพุ่ง จับจ้องภาพ ‘เรื่องด่านวั่งหลง’ นั่น ก่อนจะหลุบตาที่มีขนตายาวลง ครู่หนึ่งถึงค่อยยิ้มบางๆ ไปดูหนังสือมากมายบนชั้นหนังสือต่อ
นิ้วของนางไล้ผ่านหนังสือไปทีละเล่ม และหยุดลงบนหนังสือที่เย็บเล่มไว้เรียบๆ เล่มหนึ่ง นางลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา
เซี่ยจิ่นมีนิสัยชอบจดบันทึกเรื่อยเปื่อย ในหนังสือที่เย็บเล่มนี้ก็คือบันทึกสัพเพเหระของเขา ในวัยเยาว์เขาเคยให้นางอ่าน ตอนนี้ยังวางบนชั้นหนังสืออย่างเปิดเผยเช่นนี้ คิดว่าคงรู้สึกว่าไม่มีอะไรจำเป็นต้องปิดบัง นางลังเลเล็กน้อยแล้วหยิบหนังสือออกมาพลิกอ่าน
นางอ่านอย่างสนุกสนานยิ่ง มุมปากยกขึ้นน้อยๆ อยู่บ่อยๆ คิ้วตาอ่อนโยน
บางทีตัวคนจดบันทึกคงไม่ทันสังเกต แต่ในหนังสือเล่มนี้ทุกที่ล้วนสามารถเจอร่องรอยของคนผู้หนึ่งซ่อนอยู่ในระหว่างบรรทัด แอบอยู่ในจุดต่างๆ ของทุกช่วงเวลา
‘…ฤดูหนาวรัชศกหงอู่ปีที่ยี่สิบเจ็ด หิมะหนาปิดเขา เส้นทางลำเลียงถูกตัดขาดมาสามเดือนเศษ เสบียงที่เก็บไว้ถูกใช้เกือบหมด สามทัพหิวโหยหนาวเหน็บ ข้าให้คนยิงธนูล่าสัตว์ ทว่าในพื้นที่เหน็บหนาวยากจะหาร่องรอย ข้ากังวลยิ่ง ราตรีไม่อาจข่มตา ทว่ายังไม่ทันถึงวันจบสิ้น เฉียนให้คนตัดเขาบดหิมะ ส่งเสบียง เครื่องกันหนาว ชุดทหารมาถึง บุญคุณที่มอบส่งถ่านกลางหิมะ เช่นนี้ล้ำค่ายิ่ง หลังวสันต์ก่อนน้ำแข็งละลาย ข้าส่งจดหมายไปขอบคุณ เฉียนตอบเพียงว่า ‘ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง’ ข้าซาบซึ้งใจยิ่ง’
‘…ฤดูสารทเดือนเก้า ชัยชนะใหญ่ที่ธารเอ๋าหลง เฉียนนำนายทหารกองหรงเช่อมาร่วมพบปะกับทัพข้า ราตรีคบเพลิงสว่างจ้า เฉียนกับแม่ทัพซ้ายประชันสุรา เมามายยิ่งยวด ถึงขั้นทำอันธพาลยึดกระโจมข้า ข้าทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ไปนอนร่วมกระโจมแม่ทัพซ้าย เขากลิ่นสุราคลุ้ง เสียงกรนดั่งฟ้าผ่า ข้านอนตาโพลงจนรุ่งเช้า…’
‘…เจาซิ่งแรกฤดูวสันต์ เบื้องบนหมายจับคู่เฉียนกับหงเอินป๋อซื่อจื่อ ข้ากลับเมืองหลวงเพื่อรายงานผลงาน เฉียนเชิญล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ ยามนั้นหงเอินป๋อซื่อจื่อร่วมทางไปด้วย ไม่ทันไรดันหันหลังจากไปเสียแล้ว ข้าเร่งม้าตามถาม ซื่อจื่อกล่าว ‘เฉียนมีใจให้เจ้า เจ้าไม่รู้หรือ’ ข้าอึ้งงันหลุดหัวเราะ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดครั้งใหญ่! ควรรู้ว่าเฉียนมองข้าเป็นคู่ต่อสู้ หมายชนะข้าจึงจะเบิกบาน ดังนั้นถึงพนันล่าสัตว์กับข้า หาใช่คิดชิดใกล้ เฮอะ! ข้าได้ยินข่าวนานแล้วว่าหงเอินป๋อซื่อจื่อมีผู้อื่นในใจ จึงอาศัยคำอ้างน่าหัวร่อนี้…’
“เจ้าโง่งมนี่!” เสิ่นเฉียนอ่านถึงตรงนี้แล้วยิ้มพลางบริภาษประโยคหนึ่งอย่างไม่จริงจัง
นางเปิดหน้าต่อไป อ่านไปรอบหนึ่งมือที่ถือหนังสืออยู่พลันชะงักน้อยๆ
‘…ราตรีสารทในเมืองหลวง ข้าพบสตรีผู้หนึ่งโดยบังเอิญในราตรีจันทร์กระจ่าง นางอ่อนโยนดุจสายน้ำ เปี่ยมเสน่ห์น่าลุ่มหลง ภายหลังข้ามาคิดดู นั่นดุจดั่งความฝัน…’
เสิ่นเฉียนพลิกหน้าต่อไปอย่างทนไม่ไหว แต่บันทึกหน้านั้นกลับถูกฉีกไป
พูดเช่นนี้สตรีที่เขาพบโดยบังเอิญก็คือคนในใจเขาหรือ คำนวณเวลาดูแล้วห่างจากตอนนี้สามปี เหตุใดเขาไม่ไปสู่ขอสตรีผู้นั้นเล่า หรือว่าคนผู้นั้นเป็นศัตรูในราชสำนักของสกุลเซี่ย
อ่อนโยนดุจสายน้ำ? เปี่ยมเสน่ห์น่าลุ่มหลง?
เจอกันครั้งแรกก็ทำให้เซี่ยจิ่นคะนึงหาเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นคุณหนูบ้านใด
เสิ่นเฉียนคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยก่อนจะสลัดเรื่องนี้ทิ้งไป และวางหนังสือคืนตำแหน่งเดิม
นางค้นในห้องหนังสือของเซี่ยจิ่นต่อ สุดท้ายเดินไปยังกล่องลิ้นชักสองช่องเหนือชั้นวางของ ลิ้นชักไม่ได้ลงกลอน นางเปิดออกดูเป็นของที่ต้องการพอดี พลิกดูคร่าวๆ ก่อนหยิบม้วนหนึ่งออกมา นำเอกสารข้างในออกมานั่งลงอ่านหน้าโต๊ะอย่างละเอียด
เวลานี้กลับมีคนเคาะประตู เสิ่นเฉียนรีบเก็บของกลับที่เดิม ปิดลิ้นชักแล้วถึงค่อยเอ่ยว่า “เข้ามา”
ผู้ที่เข้ามาเป็นจูเฉิน เสิ่นเฉียนแต่งเข้าสกุลเซี่ยแล้ว เจียงหมิงกับจูเฉินย่อมต้องย้ายเข้าสกุลเซี่ยตามนางมาด้วย
เสิ่นเฉียนกวาดตามองบนแขนจูเฉินครู่หนึ่งแล้วยิ้มกล่าว “บาดแผลเป็นอย่างไร เหตุใดไม่พักมากสักหน่อย”
“ไม่เป็นไรนานแล้วเจ้าค่ะ” จูเฉินส่ายหน้า เอียงตัวเข้ามากระซิบเบาๆ ข้างหูเสิ่นเฉียน
ดวงตาสงบนิ่งของเสิ่นเฉียนเผยแววใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ากล่าว “รู้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปด้วยตนเอง”
จูเฉินคล้ายอยากพูดแต่หยุดเอาไว้ สุดท้ายเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพเพิ่งแต่งงาน เกรงว่าคงไม่สะดวก หรือไม่ก็ให้ข้าไปเองเถิด”
เสิ่นเฉียนส่ายหน้า “บาดแผลของเจ้ากับเจียงหมิงหนักกว่าข้า หากเผยร่องรอยจะแย่เอา อีกทั้งตอนนี้อยู่ในเมืองหลวง ข้าเชื่อใจเพียงเจ้ากับเจียงหมิง ให้ผู้อื่นไปก็ไม่สะดวกใจ ข้าจะระวังการเคลื่อนไหว”
เซี่ยจิ่นกลับมาถึงจวนแล้วไปที่ห้องหนังสือก่อน
เขาเปิดกล่องลิ้นชักบนชั้นวางของ เปิดดูม้วนเอกสารสองสามม้วนในนั้น ตรวจสอบอย่างละเอียดครู่หนึ่งถึงค่อยลงกลอนลิ้นชัก
คืนเดือนหงายลมสงบ น้ำค้างสารทแผ่คลุม ตอนเขากลับมาถึงเรือนเล็กซงยวน เสิ่นเฉียนอาบน้ำหวีผมเสร็จแล้ว สวมชุดนอนที่ย้อมด้วยสีดอกเหมย เอนร่างพิงเก้าอี้กุ้ยเฟย* ที่อยู่ริมหน้าต่างในห้องชั้นนอกพลางพลิกอ่านหนังสือ
เซี่ยจิ่นถอดเกราะออก แล้วล้างมือในอ่างน้ำ ถามเบาๆ ว่า “เจ้าดูเอกสารราชการในห้องหนังสือข้าหรือ”
เสิ่นเฉียนปิดหนังสือมองดูเขาคราหนึ่ง พูดอย่างบอกไม่ถูกว่าอารมณ์ดีหรือไม่ “แม่ทัพเซี่ยนี่ช่างน่าเบื่อจริงเชียว ประตูห้องหนังสือไม่ลงดาล ทั้งไม่มีคนเฝ้า ของสำคัญเช่นนี้วางอยู่ในกล่องลิ้นชักโดยไม่ลงกลอน ไม่ใช่คิดรอให้ข้าอ่านหรือ”
เซี่ยจิ่นทั้งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ คลุมเสื้อตัวนอกที่สะอาดไว้ แล้วก้าวมานั่งลงข้างกายนาง ถกขากางเกงนางขึ้น “วันนี้แผลที่ขาเป็นอย่างไร”
เสิ่นเฉียนหดขากลับ เอ่ยว่า “ดีขึ้นมากแล้ว” นางเอ่ยเสริมว่า “ชายหญิงไม่พึงชิดใกล้ อย่าขยับมือขยับเท้ารุ่มร่าม”
เซี่ยจิ่นยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “แปลกจริง แต่ไรมาแม่ทัพเสิ่นไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยไม่ใช่หรือ” พูดพลางดึงขานางออกมาแก้ผ้าพันแผล
บาดแผลใส่ยาใหม่แล้ว เขาตรวจดูรอบหนึ่งแล้ววางขานางบนเบาะรอง “เย็นสักหน่อย”
เขาเงยหน้าเห็นเสิ่นเฉียนจ้องมองตนอยู่ก็เอ่ยอย่างแยกจริงเท็จไม่ออก “เจ้าแต่งเข้าสกุลเซี่ยแล้ว ข้าย่อมต้องดูแลอย่างจริงใจ หากขนเจ้าพร่องไปสักเส้นเกรงว่าไทเฮาคงมาเล่นงานข้า”
เสิ่นเฉียนหน้าบึ้งตึง ผินหน้าออกไปไม่เอ่ยคำ
เซี่ยจิ่นเหลือบมองนางเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “เจ้าดูแผนที่จัดวางกำลังป้องกันแนวหน้าช่องเขาฉีหลงไปเพื่ออะไร”
เสิ่นเฉียนหันกลับมาแล้วหยิบหนังสือด้านข้างมาเปิด ท่าทางเหมือนไม่คิดสนทนากับเขา ปากกลับเอ่ยว่า “ข้าบอกไปนานแล้ว เจ้าทำเช่นนี้สนุกนักหรือ อยากรู้อะไรก็ถามข้ามาตรงๆ ก็พอ พูดอ้อมไปมาเช่นนี้เจ้าไม่เหนื่อยหรือไร”
เซี่ยจิ่นดึงหนังสือในมือนางออกมา โยนไปข้างๆ “ข้าถามแล้วเจ้าจะพูดหรือ”
ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง เสิ่นเฉียนพลันยิ้มออกมา นั่งตัวตรงกล่าว “เอาเถอะ เจ้าก็ไม่ต้องเดาไปมาแล้ว เจ้ายกช่องเขาฉีหลงให้ข้าเถอะ ข้าจะไปเฝ้าที่นั่น”
เซี่ยจิ่นจ้องมองนางพลางเอ่ยอย่างใคร่ครวญ “ช่องเขาฉีหลงเป็นจุดเชื่อมต่อของเขตตะวันตกกับเขตเหนือพอดี เหนือขึ้นไปยังเป็นพื้นที่ติดกับแคว้นซีเหลียงกับแคว้นฝาน บริเวณนั้นคือปราการธรรมชาติ น้อยคนจะโจมตีเส้นทางนั้น ปกป้องนั้นง่าย แต่คนของเจ้าก็จะสร้างผลงานได้ยากเพราะเหตุนี้เช่นกัน เจ้าจะเอาตรงนั้นไปทำอะไร”
เสิ่นเฉียนเหลือบมองหน้าตาอันหล่อเหลาของเขา ดวงตางามริมฝีปากแดงอยู่ใกล้เพียงคืบ ผิวดูเปล่งปลั่งแววตาเป็นประกายระยิบระยับยิ่ง เห็นแล้วอยากบีบแก้มเขานัก นิ้วมือนางขยับเล็กน้อยแต่ยังอดทนอดกลั้นไว้
“ข้าไปที่นั่นไม่ใช่ตรงใจเจ้าหรือ ข้าไปเฝ้าช่องเขาฉีหลง มีงานที่ได้รับมอบหมายแล้วก็ไปอธิบายกับทางไทเฮาได้สะดวก ทั้งไม่แย่งความชอบของสกุลเซี่ยเจ้า อีกอย่างที่นั่นห่างจากด่านวั่งหลงมาก เลี่ยงการไปปรากฏตัวบ่อยๆ ต่อหน้าเจ้าได้ จะได้ไม่เป็นที่ขัดตาเจ้าด้วย”
เซี่ยจิ่นส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “ยังคงไม่พูดความจริง”
“เช่นนั้นก็ได้ เจ้าเอาธารเอ๋าหลงมาให้ข้า แล้วย้ายน้องสาวเจ้าไปช่องเขาฉีหลงแทน” เสิ่นเฉียนกล่าว เห็นคิ้วของเซี่ยจิ่นขมวดเข้าหากันแล้ว ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ยื่นนิ้วออกไปกดหัวคิ้วเขา “ดูเจ้าสิ นี่ก็เผยร่างจริงออกมาแล้วนี่ วางใจได้ ธารเอ๋าหลงเป็นพื้นที่ที่น้องเซี่ยอี๋เฝ้าอยู่ ข้าไม่แย่งนางหรอก”
เซี่ยจิ่นกุมข้อมือนาง “เมื่อครู่ใครพูดว่าชายหญิงไม่พึงชิดใกล้ อย่าขยับมือขยับเท้ารุ่มร่ามสิ”
เสิ่นเฉียนหัวเราะออกมา “คำพูดข้าเจ้าคิดเป็นจริงเป็นจังด้วยหรือ”
เซี่ยจิ่นกัดฟันกล่าวอย่างขุ่นแค้น “คิดอยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีคำพูดจริงๆ เลยสักประโยค”
ทั้งสองคุยกันครู่หนึ่งเซี่ยจิ่นก็เข้าไปห้องด้านในเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เสิ่นเฉียนยังคงเอนกายบนเก้าอี้กุ้ยเฟย มือถือหนังสือ ทว่ากลับจ้องมองเสื้อเกราะที่เขาแขวนไว้บนเก้าอี้อย่างเหม่อลอย
สองเค่อให้หลังเซี่ยจิ่นในชุดนอนคลุมด้วยเสื้อคลุมไหมสีฟ้านวลก็เดินออกมาแล้ว ในมือถือผ้าพันแผลม้วนใหม่ออกมาด้วย เขานั่งลงแล้วเอาน่องนางมาวางบนตักตนเอง
ผมของเขายังชื้นอยู่ เพียงมัดผมข้างขมับทั้งสองไว้ด้านหลัง ผมยาวแผ่สยาย ไอน้ำกับกลิ่นหอมเจ้าเจี่ยว ปะทะเข้ามา
เสิ่นเฉียนเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างไม่มีหัวมีหาง “ไม่สู้แยกห้องนอนกันเถิด”
เซี่ยจิ่นที่กำลังพันแผลที่ขานางชะงักมือ ก่อนนึกถึงสภาพตอนตื่นนอนเมื่อเช้าของทั้งคู่
เมื่อคืนเขาพลิกตัวไปมาตลอด กระทั่งเกือบสว่างถึงได้สะลึมสะลือหลับไป ยามตื่นมาพบว่าขาข้างหนึ่งของนางมาก่ายอยู่บนตัวเขา และที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือน่องนางกำลังกดทับบนตำแหน่งที่สุ่มเสี่ยง อีกทั้งผู้ที่สร้างเรื่องตื่นแล้ว กำลังจ้องมองเขาอย่างแฝงความนัยมากมาย
‘ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ’ นางยกขาออก ทว่ามุมปากกลับโค้งเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายเล็กๆ
รอยยิ้มนี้ทำเอาเขายิ่งกระดากอาย ความร้อนพวยพุ่งมาที่แก้ม กระทั่งใบหูยังแดงเถือกแล้ว เขาจำต้องข่มความอายและความโกรธลงไป อธิบายให้นางฟังอย่างหมดท่า ‘ตอนเช้าๆ ก็เป็นเช่นนี้ ไม่นานก็จะผ่านพ้นไป นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า’
‘ข้าเข้าใจ’ นางพูดด้วยสีหน้าจริงจังราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ‘ข้าไม่แปลกใจแล้วที่มีคนบอกว่าถ้าจะใช้กำลังกับบุรุษ ให้ลงมือตอนเช้าตรู่’
‘เจ้า…’ ขมับของเขากระตุกเล็กน้อย ความร้อนพุ่งขึ้นแก้ม จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง ‘ขยับออกไปหน่อย ข้าจะลงจากเตียง’
นางยิ้มพร้อมกับขยับตัวเปิดทางให้ ‘เจ้าโกรธอะไรกัน ข้ายังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะใช้กำลังกับเจ้า’
คิดถึงตรงนี้มุมปากเซี่ยจิ่นก็เผยรอยยิ้มหนึ่ง พยายามเอ่ยด้วยท่าทีผ่อนคลายเป็นที่สุด “มีอันใด กลัวข้าทนไม่ไหวหรือ”
เสิ่นเฉียนเอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่ใช่ ข้ากลัวตนเองจะทนไม่ไหวแล้วใช้กำลังกับเจ้าต่างหาก”
เซี่ยจิ่นอับจนต่อถ้อยคำ ครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยว่า “เจ้าช่างน่าประหลาดใจจริงๆ พวกเราตอนนี้เป็นสามีภรรยาแล้ว…” เขาหยุดไปไม่เอ่ยต่อ ความหมายในคำพูดรู้ได้โดยไม่ต้องกล่าว
เสิ่นเฉียนกลับใคร่ครวญอย่างจริงจัง “ไม่ดีกระมัง ในเมื่อเจ้ามีคนในใจ ข้าทำเช่นนี้ดูเหมือนไม่ใคร่เหมาะสม”
“ข้าบอกเจ้าอย่างชัดเจนแล้วหรือว่าข้ามีคนในใจ” เซี่ยจิ่นพันผ้าพันแผลเสร็จก็วางขานางลง จ้องมองนาง
เสิ่นเฉียนอดกลั้นแต่ในที่สุดก็กลั้นไม่ไหว มองเขาอย่างยากคาดเดา เอ่ยช้าๆ ออกมาไม่กี่คำ “อ่อนโยนดุจสายน้ำ เปี่ยมเสน่ห์น่าลุ่มหลง”
เซี่ยจิ่นราวกับถูกผึ้งต่อยอย่างไรอย่างนั้น กระโดดพรวดขึ้นมา “เจ้าอ่านบันทึกข้าหรือ”
“ใช่แล้ว” เสิ่นเฉียนขยับโคมออกแล้วหยิบกรรไกรเงินเล็กไปตัดไส้เทียน เติมน้ำมันลงไปพลางกล่าว “ภายหลังข้ามาคิดดู นั่นดุจดั่งความฝัน…เฮ้อ การพบกันโดยบังเอิญที่เหมือนดั่งฝันดุจมายาเช่นนี้ กลับไม่ได้อ่านต่อ น่าเสียดายจริงๆ เหตุใดเจ้าต้องฉีกหน้านั้นด้วยเล่า”
สีหน้าของเซี่ยจิ่นมีความอับอายและความโกรธกรุ่นของคนที่ถูกผู้อื่นมองทะลุเรื่องลับในใจ เขาไม่ตอบกลับย้อนถาม “เจ้ายังอ่านอะไรอีก”
“ไม่มีอะไร แค่อ่านบันทึกเล่มหนึ่งของเจ้ากับแผนที่จัดวางกำลังป้องกันของช่องเขาฉีหลงเท่านั้น” เสิ่นเฉียนมองมา “โมโหขนาดนี้ไปทำไม อ่านบันทึกของเจ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าถือเป็นความผิดของข้า แต่ถ้าเจ้าไม่อยากให้ผู้อื่นมาเห็นก็ควรวางไว้ในที่ลับลงกลอนให้ดี วางอยู่บนชั้นหนังสือเช่นนี้ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าอ่านไม่ได้เล่า เมื่อก่อนเจ้าเองก็เคยเอามาให้ข้าอ่าน”
“พูดเช่นนี้ยังเป็นความผิดของข้า?” จุดไท่หยางของเซี่ยจิ่นเต้นตุบๆ แล้ว แค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินเข้าห้องด้านใน
เขาสงสัยอยู่บ้าง เป็นเช่นนี้ต่อไปสักวันตนจะต้องถูกนางทำให้โมโหอกแตกตายเป็นแน่ เมื่อก่อนเจอหน้ากันไม่นับว่าบ่อยก็ช่างเถอะ นี่ฟ้าดินยังกราบไหว้แล้ว ไม่เจอเช้าก็ต้องเจอเย็น ตกกลางคืนยังนอนร่วมเตียง หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้จะใช้ชีวิตอย่างไรแล้ว
เสิ่นเฉียนปัดลูกผมตรงขมับเบาๆ ฉวยหนังสือด้านข้างขึ้นมาเปิดอ่าน
กาน้ำหยด* บนชั้นหนังสือไหลร่วงลงมาเรื่อยๆ
เทียนไขในเชิงเทียนก้านบัวบนโต๊ะเตี้ยไหม้หมดแล้ว นางลุกขึ้นเปลี่ยนเทียนเล่มใหม่
ขณะกลับมานั่งอีกครั้ง นางได้ยินเสียงเซี่ยจิ่นดังมาจากหลังฉากบังลมว่า “เลยยามจื่อแล้ว เจ้าคิดจะนั่งอ่านหนังสือทั้งคืนหรือไร”
เสิ่นเฉียนมองหนังสือในมือแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่กำลังโกรธข้าหรือ ข้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย เวลานี้ไปอยู่ตรงหน้าเจ้าไม่ใช่ยิ่งทำให้เจ้าหงุดหงิดกว่าเดิมหรือ”
นางกล่าวจบก็หูตั้งคอยฟัง ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจเนิบๆ ดังมาจากห้องด้านใน จากนั้นเซี่ยจิ่นก็เดินอ้อมฉากบังลมมา เลิกชุดขึ้นนั่งหน้าโต๊ะ รินชาถ้วยหนึ่งทว่าไม่ได้ดื่ม เพียงหันมาจ้องมองนาง
หนังสือในมือเสิ่นเฉียนบังอยู่เบื้องหน้านาง เหนือขอบหนังสือกลับมีดวงตาดำขาวตัดกันชัดเจนคู่หนึ่งโผล่ออกมา กะพริบคราหนึ่ง ก่อนกะพริบอีกครั้ง เซี่ยจิ่นปั้นหน้านิ่งไว้ไม่อยู่ หลุดยิ้มออกมาแล้ว
รอยยิ้มนี้คล้ายมีสายลมพัดความอึมครึมออกไป กระทั่งแสงเทียนบนเชิงเทียนยังส่ายรับ เสิ่นเฉียนโยนหนังสือในมือออกไปแล้วยิ้มกล่าว “ดีแล้วที่ไม่โกรธ เช่นนี้สิที่ควรเป็น ยิ้มน่ามองออกปานนี้ เหตุใดเอาแต่ปั้นหน้าเป็นก้อนน้ำแข็งอยู่ทั้งวัน”
“นี่ไม่ใช่เพราะถูกเจ้าทำให้โมโหหรือ” เซี่ยจิ่นเหลือบมองหนังสือที่ถูกนางโยนไปข้างๆ “ข้าว่าเจ้าอย่าอ่านเลย นานขนาดนี้แล้วเจ้าอ่านไปได้แค่สองหน้าเท่านั้นหรือ”
เสิ่นเฉียนบ่นงึมงำ “ยุ่งน่า”
เซี่ยจิ่นดื่มชาคำหนึ่ง นิ้วมือลูบไล้ไปตามลวดลายบนขอบถ้วยเบาๆ ลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าฉีกหน้านั้นไป เป็นเพราะรู้สึกว่านั่นคือเรื่องในอดีต นับแต่นี้ไปจะไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก”
เสิ่นเฉียนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้กุ้ยเฟย จัดสาบเสื้อตนเองเล็กน้อยมานั่งตรงข้ามเขา ก่อนรินชาให้ตนเองเช่นกัน
“หลังจากนั้นเหตุใดเจ้าไม่ไปตามหาแม่นางคนนั้น” นางถือถ้วยชา ทอดถอนใจเอ่ยด้วยท่าทีคลุมเครือ “หากเจ้าแต่งนางไปก่อน ตอนนี้ก็คงไม่มีเรื่องเช่นนี้ของพวกเราแล้ว”
เซี่ยจิ่นมองดูนาง “ที่สนามฝึกวันนั้นข้าไม่ใช่พูดไปแล้วหรือ ข้าไม่รู้ว่านางเป็นใคร”
“ไม่รู้ว่านางเป็นใครหรือ ด้วยความสามารถของเจ้าถึงกับสืบหาไม่พบ? เหตุใดเจ้าไม่บอกข้า ข้าจะได้ช่วยเจ้าสืบหา”
“ไมตรีของพวกเราสองคนไม่ได้ดีถึงขั้นนั้นกระมัง อีกอย่าง…” เซี่ยจิ่นพูดอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าหรือจะใจดีช่วยข้า ไม่เอามาล้อข้าก็นับว่าดีถมเถแล้ว”
ในน้ำเสียงเขาเจือแววต่อว่าอยู่บ้างโดยไม่รู้ตัว “มีครั้งใดบ้างที่เจ้าไม่หาเรื่องข้า ชอบเห็นข้าขายหน้าต่อหน้าเจ้าถึงจะเบิกบาน”
“ข้าน่ะหรือ” เสิ่นเฉียนหัวเราะเบาๆ พลางลูบแก้มตนเอง “เป็นเจ้าคิดเล็กคิดน้อยเอง”
เซี่ยจิ่นพยักหน้า เอ่ยยิ้มๆ “ใช่ ข้าใจแคบ ส่วนแม่ทัพเสิ่นใจกว้าง ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย พอใจหรือยัง เรื่องในอดีตล้วนผ่านไปแล้ว พวกเราไม่พูดเรื่องนี้แล้วได้หรือไม่”
“ไม่พูดก็ไม่พูดสิ” เสิ่นเฉียนดื่มชาในถ้วยจนหมดแล้วลุกขึ้นกลับไปนั่งยังเก้าอี้กุ้ยเฟย “เจ้าจะให้ข้าไปช่องเขาฉีหลงหรือไม่”
“เจ้าอยากไปที่นั่นก็ไปเถอะ” เซี่ยจิ่นคิดๆ แล้วถามหยั่งเชิงนาง “กองหรงเช่อที่เจ้าควบคุมโดยตรง ไทเฮาน่าจะอนุญาตให้ตามเจ้ามาด้วยกระมัง”
เสิ่นเฉียนมองเชิงเทียนก้านบัวบนโต๊ะเตี้ย ในดวงตาปรากฏแววชิงชังเสี้ยวหนึ่ง น้ำเสียงกลับเฉยเมย “กองหรงเช่อ…ไม่มีแล้ว”
เซี่ยจิ่นตกใจ รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงโดยพลัน ถามว่า “เหตุใดถึงไม่มีแล้ว ไม่ใช่ยังอยู่หรือ แค่ได้ยินว่าแม่ทัพซุนกระทำความผิด แต่แม่ทัพเฝิงยังอยู่ไม่ใช่หรือ”
เสิ่นเฉียนหันไปมองนอกหน้าต่าง “เปลือกยังอยู่ แต่ไส้ในล้วนเปลี่ยนไปแล้ว”
“ไทเฮาจะอนุญาตให้เสิ่นยวนทำเรื่องพรรค์นี้หรือ” เซี่ยจิ่นเอ่ยถามพลางมองนาง “ทหารของกองหรงเช่อเป็นเจ้าฟูมฟักมาเองกับมือ ซื่อสัตย์ต่อเจ้ายิ่ง แม่ทัพทั้งสองล้วนเป็นมือขวามือซ้ายของเจ้า ตามเจ้ามาเขตเหนือสามารถช่วยเจ้าควบคุมสกุลเซี่ยได้พอดี ตัดแขนของเจ้าไปแล้วเจ้ายังจะทำการใดได้”
เสิ่นเฉียนหัวเราะเสียงเย็น “หากไม่มีคำบัญชาจากไทเฮา เสิ่นยวนหรือจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ วันนั้นเบื้องหน้าข้าถูกเรียกตัวด่วนกลับเมืองหลวง เบื้องหลังเสิ่นยวนก็ใช้อำนาจบังคับคนในค่าย อ้างความผิดเลื่อนลอยจับซุนจินเฟิ่ง เฝิงเจินแม้ยังอยู่ แต่ผู้บังคับกองสองคนล้วนถูกโยกย้าย รองผู้บังคับกองกับพลทหารลงไปก็เปลี่ยนส่งเดชไปหมด…ดังนั้นกองหรงเช่อตอนนี้แม้ยังอยู่ แต่ไม่ใช่กองหรงเช่อเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถึงให้ข้า ข้าก็ไม่เอา”
เซี่ยจิ่นไม่ได้เอ่ยคำ เพียงจ้องมองนางอย่างสืบเสาะคล้ายอยากค้นหาความจริง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ธ.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.