บทที่ 5 ราตรีวุ่น
แววตาเสิ่นเฉียนมืดทะมึน กัดริมฝีปาก ปลายคางเกร็งแน่นเผยความแข็งกร้าวอยู่ในที
“ที่แท้ถูกเด็ดปีกหมดสิ้นแล้วเนรเทศมาให้ข้านี่เอง” เซี่ยจิ่นยิ้มน้อยๆ กดเสียงเบาเอ่ยถาม “เจ้า…ทำเรื่องอะไรให้ไทเฮาเดือดดาล”
เสิ่นเฉียนไม่ตอบ เพียงหันหน้าไปอีกทาง
เซี่ยจิ่นจ้องนางนิ่งๆ อยู่นานก่อนถอนหายใจ “เอาเถอะ ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ข้าโยกคนสองพันให้เจ้าก็ได้”
เสิ่นเฉียนมีชีวิตชีวาทันที “ข้าอยากได้คนในสนามฝึกตะวันตก ข้าจะไปเลือกเอง…รอบนี้เป็นคนใหม่ ข้าชี้นำได้สะดวกกว่า”
“ได้สิ” เซี่ยจิ่นยิ้มกล่าว “เจ้าจะเลือกก็เลือก สองพันคน ห้ามเกินแม้แต่คนเดียว”
“ข้าขอเพียงหนึ่งพันแปดร้อยคนก็พอแล้ว เจ้าให้กู้ฉางซือกับข้านะ”
เซี่ยจิ่นชะงักไปแล้ว แววตาพลันเปลี่ยนเป็นอันตราย เขาดึงขาข้างหนึ่งของนางมาโดยพลัน เสิ่นเฉียนร้องตกใจ ทั้งตัวถูกดึงลงมาจากพนักพิง ไถลมาอยู่ข้างตัวเซี่ยจิ่น ปลายชุดนอนด้านหลังม้วนขึ้นมาแล้ว แม้แต่ข้างหน้าก็ถูกม้วนขึ้นไปด้วย เผยเอวเนียนละเอียด
เซี่ยจิ่นค้อมตัวลงข่มอยู่ด้านบนอย่างวางอำนาจ สองแขนยันข้างตัวนาง ในดวงตาสีดำที่จับจ้องมองนางแน่วนิ่งสะท้อนเงาเล็กๆ สองเงาของนาง
“แม่ทัพเสิ่นช่างเลือกคนเป็นเสียจริง” เขากดเสียงต่ำ ลมหายใจอุ่นระผ่านใบหน้านางเพียงผ่านๆ ทว่ากลับคล้ายลวกแก้มนาง “ในคนทั้งหมดนี้มีที่โดดเด่นอยู่ไม่กี่คน เจ้าช่างดีนัก ไม่ทันไรก็เลือกคนที่โดดเด่นที่สุดแล้ว”
เสิ่นเฉียนยกมือจัดเส้นผมข้างแก้มเขาที่ลู่ลงมาตรงคอนาง แสร้งยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าให้ข้าหรือไม่”
เซี่ยจิ่นไม่ตอบ เพียงมองจ้องนางจากตำแหน่งที่สูงกว่า
เสิ่นเฉียนมองตอบสายตาเขา พันผมดำของเขาที่ปลายนิ้วมือเล่นไปมา
สายตาเขาเลื่อนออกจากใบหน้านางมายังเส้นผมของตนในมือนาง ริมฝีปากค่อยๆ เผยยิ้ม “ให้เจ้าก็ได้ แต่ไม่ให้เปล่า ต้องมีของแลกเปลี่ยน”
เสิ่นเฉียนกลืนน้ำลาย มือข้างหนึ่งพันเส้นผมเขา อีกข้างยื่นลงไปค่อยๆ ดึงชายเสื้อที่เอวลง คิ้วตาเจือแววละมุนละไมขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว “แม่ทัพเซี่ยอยากให้ข้าเอาอะไรมาแลกหรือ”
น้ำหนักตัวของเซี่ยจิ่นล้วนกดอยู่บนแขนซ้าย เขายื่นมือขวาออกมา คว้ามือข้างนั้นของนางวางไว้ข้างๆ ก่อนแนบฝ่ามือกับผิวเปล่าเปลือยที่เอวนาง ค่อยๆ ลูบไล้ฝ่ามือเบาๆ แล้วเคลื่อนสูงขึ้นทีละน้อย ในดวงตากระจ่างคล้ายมีระลอกคลื่นพราวระยับ คล้ายธาราวสันต์กระเพื่อมไหวใต้แสงอาทิตย์ สว่างเจิดจ้าและร้อนลวกกายเหลือเกิน
“…อยากได้คนของข้า ไม่ออกแรงสักหน่อยจะได้อย่างไร” เซี่ยจิ่นก้มหน้า เสียงที่ปกติชัดกระจ่างกดต่ำลง ทุกคำที่เอ่ยออกมาพร้อมลมหายใจร้อนเหมือนไฟอ่อนๆ อบจนร่างกายนางร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย “การฝึกทหารม้าของแม่ทัพเสิ่นยอดเยี่ยมนัก ไม่สู้ช่วยข้าฝึกทหารใหม่ครานี้ในสนามฝึกสักหน่อยเป็นอย่างไร”
เสิ่นเฉียนมองใบหน้าที่ประชิดเข้ามาของเขา จู่ๆ ก็นึกถึงเมื่อคืนที่ถูกเขาหลบจูบนั้น ยิ่งคิดถึงบันทึกที่ได้อ่านในวันนี้ ไม่ทันไรนางก็ใจเย็นลง สีหน้าเรียบเฉย แต่กลับยื่นมือไปโอบเอวของเขา แสร้งยิ้มกล่าวอย่างเบิกบาน “เรื่องฝึกทหารไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อย่างไรข้าก็ว่าง แต่พูดเรื่องงานก็พูดไปสิ จู่ๆ เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร กลัวข้าไม่ตกลงหรือ”
ร่างเซี่ยจิ่นพลันแข็งทื่อแล้ว เขาหยุดการกระทำลง
อันที่จริงเขาคิดจะใช้โอกาสยามเอ่ยเรื่องงานมาร่วมหอกับนางภายใต้สถานการณ์ที่นางแบ่งสมาธิไปคิดเรื่องอื่น ถือเป็นการชดเชยและกอบกู้สถานการณ์แตกร้าวของเมื่อคืน
ในเมื่อล้วนแต่งงานแล้ว เขายังหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างดีได้ ต่างฝ่ายต่างเก็บกรงเล็บไปและพยายามจริงใจต่อกันอีกสักหน่อย ไม่ใช่เพราะการแก่งแย่งในราชสำนักกับจุดยืนในราชสำนักทำให้ต่างฝ่ายต่างติดค้างกัน กลายเป็นคู่เวรคู่กรรม เช่นนั้นก็ไม่คุ้มค่าเกินไปแล้ว
ชั่วขณะที่ถูกนางมองทะลุปรุโปร่ง เซี่ยจิ่นหน้าม้านอยู่บ้าง รอตอนจะทำหน้าหนาลงมือต่อไปก็เหลือบไปเห็นแววเย็นเยียบชืดชาจากในดวงตานาง มือที่แทรกเข้าไปใต้เสื้อนางสัมผัสถูกส่วนนุ่มนิ่มที่ทำให้ใจสั่นไหวก็ไม่อาจเลื่อนต่อไปได้อีกแล้ว
เห็นชัดว่านางยังรู้สึกไม่ดีกับเรื่องเมื่อคืนอยู่ แม้ใบหน้าจะแย้มยิ้ม แต่เรือนกายใต้ฝ่ามือเขากลับเกร็งอย่างชัดเจน มือที่โอบเอวเขาก็แข็งทื่อยิ่ง
เมื่อสัมผัสได้ถึงการต่อต้านของนาง เซี่ยจิ่นจึงได้แต่วางมือ ยื่นมือมาดึงปลายเสื้อนางลง ให้ปกคลุมมิดชิด
เขาลุกขึ้นพลางถอยห่าง เสิ่นเฉียนก็ลุกขึ้นนั่งเช่นกัน ลูบผมที่ยุ่งเบาๆ พลางยิ้มเย้าให้เขา “เจ้าให้ข้าไปสนามฝึกช่วยเจ้าฝึกทหาร ไม่กลัวว่าข้าจะฉวยโอกาสสอดมือไปยุ่งเรื่องกิจทหารของทัพเขตเหนือหรือ”
“เจ้าจะทำหรือ” เซี่ยจิ่นย้อนถาม
“เอาเถอะ แม่ทัพเซี่ยช่างคิดคำนวณเยี่ยมนัก ไม่พูดถึงเรื่องใช้ทุกวิธีการ ยังสามารถสอดแนมได้ว่าข้ามีใจเป็นอื่นหรือไม่” เสิ่นเฉียนกัดริมฝีปากเบาๆ “ใต้หนังตาเจ้าข้ายังจะสามารถก่อคลื่นลมอะไรได้ ได้แต่เป็นวัวเป็นม้าให้เจ้าอย่างเชื่อฟังแล้ว”
เซี่ยจิ่นหัวเราะออกมา จับคำพูดนางแล้วรุกไล่ตามต่อ “เมื่อคืนเจ้าไม่ใช่บอกว่าจะไม่ให้ข้าลำบากใจหรือ เจ้าคิดก่อคลื่นลมอะไร”
ดวงตาทั้งคู่ของเสิ่นเฉียนแวววาม ยิ้มหวานเอ่ย “เจ้าเดาสิ”
คิ้วของเซี่ยจิ่นขมวดเข้าหากันอีกครั้ง เขาใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ เติมน้ำชาให้ตนเองถ้วยหนึ่งถึงค่อยกล่าว “เช่นนั้นพวกเราตกลงกันแล้ว บาดแผลที่ขาเจ้าหายก็ไปสนามฝึก แล้วข้าจะให้หนึ่งพันแปดร้อยคนนั้นกับเจ้า นอกจากกู้ฉางซือยังมีรองผู้บังคับกองด้วยอีกสองคน แต่คนที่มีตำแหน่งทางทหารแล้วย่อมมีความทะเยอทะยานหรือความเห็นของตน จะยินยอมติดตามเจ้าหรือไม่ข้าก็พูดไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะกู้ฉางซือ หากเจ้าสามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้ข้าก็ไม่มีความเห็นอื่น”
“รู้แล้ว” เสิ่นเฉียนเก็บแววยั่วเย้าบนใบหน้า เอ่ยอย่างจริงจัง “ถ้าเขาไม่ยอม ข้าย่อมไม่ฝืนบังคับ”
เซี่ยจิ่นพยักหน้าจากนั้นมองดูสีท้องฟ้า “ดึกมากแล้ว แม่ทัพเสิ่นเข้านอนได้แล้วกระมัง”
เสิ่นเฉียนหลุดหัวเราะ มองดูมือที่เขายื่นออกมาเล็กน้อยก่อนยื่นมือออกไป เซี่ยจิ่นกุมมือนั้น เป่าเทียนห้องด้านนอกแล้วจูงนางเข้าไปห้องด้านใน
คืนนี้ไม่มีเทียนมงคล เทียนในห้องล้วนดับไปแล้ว มีเพียงแสงจันทร์ส่องผ่านกระดาษหน้าต่างและตกต้องบนพื้นไม้สนที่ขัดเงา เกิดเป็นรัศมีแสงคลุมเครือวงหนึ่ง
ในม่านเตียงเห็นเพียงเค้าโครงตู้ไม้มะเกลือที่ตั้งเป็นผนัง เตากำยานป๋อซานบนโต๊ะเตี้ยข้างหน้าต่างส่องแสงเล็กน้อยภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากห้องอาบน้ำ เพียงแต่ตอนนี้กำยานในเตาดับไปหมดแล้ว ขาดความงดงามไป เหลือไว้เพียงความเคร่งขรึมเงียบเหงา
เสิ่นเฉียนลืมตามองนอกม่าน รู้สึกเพียงใจอันหนักอึ้งถูกความเงียบอันมืดสลัวนี้กดทับจนรู้สึกหายใจไม่ออกอยู่บ้าง คิดอยากทำอะไรบางอย่างมาต่อต้านความกดดันนี้
ลมหายใจของเซี่ยจิ่นที่อยู่เบื้องหลังราบเรียบแผ่วเบา เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอน กลางวันยังยุ่งอยู่ในสนามฝึกทั้งวัน เมื่อขึ้นเตียงแล้วก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
เตียงกว้างมาก ระหว่างร่างทั้งสองใต้ผ้าห่มแพรยังมีช่องว่างอีกช่วงหนึ่ง แต่ความร้อนบนร่างเขากลับรุกล้ำเข้ามาไม่หยุด ปกคลุมตัวนางไว้จนไม่อาจหลีกหนีได้
ทุกการเคลื่อนไหวเล็กๆ ของเขานางล้วนสัมผัสได้ บางคราวยังทำให้นางใจเต้นไม่เป็นส่ำ สงสัยว่าอีกเดี๋ยวแขนของเขา ขาของเขา หรือร่างกายของเขาจะมาสัมผัสถูกตัวนาง
มีบางครั้งนางรู้สึกว่าบนเอวตนเองมีความร้อนระลอกหนึ่งแผ่มา เมื่อแยกแยะอย่างละเอียดกลับเหมือนปกติทุกอย่าง
เสิ่นเฉียนก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนกำลังประชันขันแข่งอะไรอยู่ นางรู้ชัดว่าอาการกระสับกระส่ายในร่างมีสาเหตุมาจากอะไร ในเวลาเช่นนี้ขอเพียงหันตัวไปปลุกเขา บางทีความทรมานทั้งกายใจที่แสนละเอียดอ่อนและยืดยาวนี้ก็จะดับสลายไปอย่างเป็นธรรมชาติ แต่นางกัดริมฝีปากระงับความคิดที่โผล่ขึ้นมาเป็นระยะๆ ในสมองลงไป แล้วหลับตาลงไปทั้งอย่างนั้น
นางรู้สึกว่าตนควรรักษาศักดิ์ศรีและขีดเส้นแบ่งเอาไว้ ไม่ใช่มอบให้ทั้งกายใจเช่นนั้น ซึ่งนางไม่ต้องการ
เซี่ยจิ่นพลิกกายมา ยังคงหายใจเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ลมหายใจที่พ่นออกมาจากจมูกกลับหลั่งรดแผ่นหลังและช่วงคอของนาง ทำเอานางขนลุกชัน ในใจเหมือนถูกขนนกปัดผ่านเบาๆ ทั้งคันและชา ทำให้นางหวนนึกถึงความรู้สึกที่ฝ่ามือเขาลูบไล้บนเอวนางก่อนหน้านี้
ตอนกลางวันไม่ควรนอนกลางวันเลย มิเช่นนั้นคงไม่ถึงขั้นนอนไม่หลับเยี่ยงตอนนี้
เสิ่นเฉียนกำลังคิดในใจก็พลันรู้สึกเจ็บที่ขา ครั้งนี้กลับเป็นเซี่ยจิ่นขยับขาจริงๆ แล้ว เขาไม่ระวังเตะโดนบาดแผลบนน่องนาง
นางยื่นเท้าออกไปถีบขาเขาหนหนึ่ง
เซี่ยจิ่นตื่นขึ้นมาทันที
เสิ่นเฉียนพลิกตัวมาก็เห็นเซี่ยจิ่นกำลังมองนางในความมืด
“เป็นอะไรไป” เขางุนงง เสียงเจือความแหบพร่าของคนเพิ่งตื่นจากฝันเล็กน้อย
“เจ้าเตะโดนแผลที่ขาข้าแล้ว” เสิ่นเฉียนดึงผ้าห่มมาแล้วเอ่ยอย่างขุ่นเคือง
เซี่ยจิ่นไม่ส่งเสียง เขานวดขมับเล็กน้อยพลางลุกขึ้นนั่ง อ้อมตัวนางไปเลิกม่านเตียง
“ขออภัยด้วย ให้ข้าดูหน่อย”
“ดูอะไร” เสิ่นเฉียนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้านอนสงบๆ หน่อยก็พอแล้ว”
เซี่ยจิ่นไม่สนใจนาง ลงจากเตียงไปจุดเทียนเอง ทั้งกลับมานั่งและดึงขานางออกมาจากผ้าห่ม
แสงเทียนไหวระริกส่องสว่างทั่วห้อง เสิ่นเฉียนยันตัวขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอน เพียงกำมุมผ้าห่มไว้ไม่ส่งเสียง
เซี่ยจิ่นแก้ผ้าพันแผลออกอย่างระมัดระวัง มองดูโดยละเอียด
“ยังดี ไม่หนักมาก” เขาพูดจบแต่ยังคงก้มหน้าอยู่ดังเดิม พันผ้าพันแผลใหม่อีกครั้ง
เสิ่นเฉียนเอนตัวมองดูเขา
เซี่ยจิ่นไหล่เรียบกระดูกตรง ร่างกายผอมบาง สวมชุดกับไม่สวมชุดความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ยามถอดชุดออก กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งมีพลังปรากฏแนบแนวกระดูก ร่องนูนชัดเจน บนร่างยังมีรอยแผลดุดันอยู่สองสามรอย สมชายชาตรียิ่ง ยามสวมเสื้อผ้าปิดบังร่างกายแข็งแกร่งนั้นกลับดูสูงโปร่งโดดเด่น ท่วงท่าสง่างดงาม แน่นอน ถ้าสวมเกราะจะถือเป็นความองอาจอย่างหนึ่ง
ยามนี้เขาขมวดคิ้วน้อยๆ ขนตายาวหลุบลงปกคลุมดวงตา คอเสื้อชุดนอนเปิดออกเล็กน้อย เผยผิวใต้กระดูกไหปลาร้า เนื่องจากเอียงตัวลง ผมดำที่แผ่ลงมามีบางส่วนตกเข้าไปในสาบเสื้อพอดี คลอเคลียอยู่บริเวณกลางอก ยิ่งดูล่อลวง…งดงามชวนหลงใหลโดยแท้
เสิ่นเฉียนเคลื่อนสายตาหนี “ถ้าอีกเดี๋ยวเจ้าเตะข้าอีกจะทำอย่างไร”
เซี่ยจิ่นพันแผลเสร็จก็ผูกปมให้ดีก่อนมองนางปราดหนึ่ง “เจ้านอนให้สบายเถอะ ข้าไปนอนบนตั่งห้องด้านนอกคืนหนึ่งแล้วกัน”
เสิ่นเฉียนหาวแล้ว ขยิบตายิ้มกล่าว “หรือไม่พรุ่งนี้ให้คนเก็บกวาดห้องข้างฝั่งตะวันออกให้เจ้าเป็นอย่างไร”
เซี่ยจิ่นลังเลเล็กน้อย “หากท่านแม่รู้เข้าจะอธิบายอย่างไร ช่างเถอะ อย่างไรอีกไม่นานก็ไปเขตเหนือแล้ว หรือไม่ตั้งแต่พรุ่งนี้ข้านอนในค่ายตลอด ท่านแม่ถามขึ้นมาก็บอกว่าในค่ายมีกิจทหารมาก”
“ตามใจเจ้า” เสิ่นเฉียนดึงผ้าห่มเบาๆ แล้วเอนตัวลงนอน
เซี่ยจิ่นปลดม่านเตียงลงแล้วเป่าเทียนอีกครั้ง เขาหยิบเสื้อคลุมสองตัวบนเก้าอี้ติดมือมาเป็นผ้าห่มและออกไปห้องด้านนอก
วันรุ่งขึ้นเสิ่นเฉียนพาจูเฉินขี่ม้าออกจากจวนสกุลเซี่ย ไปจุดธูปไหว้พระที่วัดเป่าติ่งนอกเมือง
เตร็ดเตร่อยู่ทั้งเช้านางถึงกลับเข้าเมืองอย่างเชื่องช้า ทว่าไม่ได้มุ่งหน้าไปจวนสกุลเซี่ย กลับลัดเลาะไปมา อ้อมตรอกเล็กเปลี่ยวสายหนึ่งเข้าไปในเรือนเล็กหลังหนึ่งกับจูเฉิน
ในเวลาหนึ่งก้านธูป ทั้งสองผลัดเปลี่ยนชุดแล้วผลักประตูออกมา ควบม้ามุ่งหน้าไปถึงหอเฟยเยวี่ยฝั่งตะวันตกของเมือง และจองห้องรับรองที่เห็นทะเลสาบบนชั้นสามห้องหนึ่ง
จูเฉินเปิดหน้าต่างออก ด้านนอกเป็นภาพภูเขาทะเลสาบ ทิวทัศน์งดงาม แสงอาทิตย์ส่องบนผิวทะเลสาบ ย้อมคลื่นน้ำเป็นสีทองอร่าม นอกหน้าต่างไม่ไกลมีต้นดอกกุ้ยสูงใหญ่ต้นหนึ่ง ยามนี้แม้ดอกกุ้ยโรยรา แต่กิ่งใบยังคงเขียวชอุ่ม บดบังสายตาของผู้ที่สัญจรอยู่ข้างทะเลสาบและบนทะเลสาบ มอบความสงบเงียบและสันโดษให้ห้องรับรอง
“เป็นห้องชั้นล่างนี้จริงๆ ใช่หรือไม่” เสิ่นเฉียนถาม
จูเฉินพยักหน้าน้อยๆ “พิราบสื่อสารที่จับได้จากเรือนพักทูตเมื่อคืนวาน จดหมายลับบนขาเขียนว่าเป็นห้องข้างล่างนั่น”
เสิ่นเฉียนลงกลอนประตูห้องรับรองแล้วหยิบเชือกออกจากกระเป๋าตาเหลียน นำมาพันตรงแขนเสื้อเป็นรอบๆ พันเสร็จแล้วก็ไปพันที่ขากางเกงตรงน่องอีก
“บาดแผลที่ขาของท่านแม่ทัพไม่เป็นไรหรือ” จูเฉินเห็นการกระทำของนางแล้วอดเอ่ยถามอย่างห่วงใยไม่ได้
เสิ่นเฉียนส่ายหน้าน้อยๆ หยัดร่างเคลื่อนไหวนิดหน่อยแล้วนำผ้ามาปิดบังใบหน้า จากนั้นดึงปมเชือกที่เอวเบาๆ หลังจากมั่นใจว่าแน่นดีแล้วก็พลิกตัวไปนอกหน้าต่าง เคลื่อนตัวลงไปด้านล่างทีละน้อยโดยการเกาะร่องผนังด้านนอก
จูเฉินซึ่งอยู่ริมหน้าต่างปล่อยเชือกลงไปทีละนิดตามการเคลื่อนไหวของนาง รอจนนางไปถึงนอกหน้าต่างห้องรับรองชั้นสองนั้นแล้วค่อยหยุด ไม่ได้ปล่อยเชือกต่อ
เสิ่นเฉียนลองหยั่งเท้าดู ก่อนเงยหน้าขึ้นส่งสัญญาณมือให้จูเฉิน ศีรษะจูเฉินผลุบหายเข้าไปในห้องทันใด
ทั้งตัวเสิ่นเฉียนแนบติดกับผนังด้านนอกอย่างเงียบๆ ราวกับผีเสื้อที่เกาะอยู่บนผนังนิ่งๆ นางสวมชุดสีเขียวเข้มทั้งร่าง เมื่อถูกต้นดอกกุ้ยบดบัง ต่อให้เรือในทะเลสาบแล่นมาใกล้ๆ คนบนเรือก็มองเห็นนางไม่ชัด
เสิ่นเฉียนรวบรวมสมาธิ รออยู่ครู่ใหญ่กว่าจะได้ยินเสียงเปิดประตูห้องรับรอง และมีเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินเข้ามาภายในห้อง เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยถามอยู่ด้านหลังอย่างกระตือรือร้น “นายท่านต้องการสั่งอะไรขอรับ”
คนผู้นั้นตอบ “เอาปี้หลัวชุนมาหนึ่งกาก่อน”
เสียงนี้เสิ่นเฉียนรู้จัก เป็นทูตเอ้ออวิ๋นจากแคว้นซีเหลียงที่ไม่กี่เดือนก่อนติดตามมาเมืองหลวงพร้อมกับท่านหญิงหลันเจิงซึ่งมาเพื่อแต่งงาน
หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ยกชามาแล้ว เอ้ออวิ๋นก็เดินไปตรงหน้าต่างแล้วเปิดหน้าต่างออก เสิ่นเฉียนที่อยู่ด้านนอกสูดหายใจเข้าลึก หลังเอวเกร็งแน่น หน้าต่างที่เปิดออกเกือบพัดมาโดนข้อเท้านาง
คนทั้งในและนอกห้องล้วนกำลังรอคอย เอ้ออวิ๋นเดินกลับไปกลับมาในห้องคล้ายร้อนใจมาก พึมพำภาษาซีเหลียงกับตนเองอยู่บ่อยๆ “เหตุใดยังไม่มา คงไม่เกิดเหตุอะไรกระมัง”
ใจเสิ่นเฉียนเองก็ลอยสูงขึ้นเช่นกัน
ไม่ทันไรประตูห้องรับรองก็เปิดออกแล้ว มีคนเดินเข้ามา
เอ้ออวิ๋นกลับร้องอย่างแตกตื่น “พวกเจ้า…” ยังพูดไม่ทันจบเขาก็เหมือนถูกคนอุดปากไว้ ได้ยินเพียงเสียงดิ้นรนดังอื้อๆ เล็กน้อย
มีคนเอ่ยเสียงขรึมว่า “อย่าส่งเสียง นั่งลงดีๆ”
เสียงของคนที่เอ่ยนี้เสิ่นเฉียนก็รู้จักเช่นกัน เป็นรองผู้บัญชาการเซียวฉีแห่งหน่วยองครักษ์กวงหมิงของเมืองหลวง
ดูท่าคนที่ได้ข่าว ทั้งยังคอยเฝ้ารออยู่ที่นี่จะไม่ได้มีนางคนเดียว
เซียวฉีหูตาว่องไว วิชาต่อสู้สูงส่งแข็งแกร่ง เสิ่นเฉียนที่อยู่นอกหน้าต่างไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ กระทั่งหายใจยังพยายามให้มีเสียงเบาที่สุด
เวลาผ่านไปทีละน้อย สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เซียวฉีที่อยู่ในห้องเห็นชัดว่ากลั้นไม่อยู่แล้ว ตวาดถามดุดัน “ไม่ใช่บอกว่าพบกันยามซวีหรือ ตอนนี้เลยไปครึ่งชั่วยามกว่าแล้ว คนที่นัดพบกับเจ้าเหตุใดถึงยังไม่มา!”
เสิ่นเฉียนฉวยโอกาสตอนเขาเอ่ยปากรีบแก้เชือกที่เอวแล้วกระตุกเบาๆ จูเฉินซึ่งอยู่ด้านบนได้รับสัญญาณก็ค่อยๆ ดึงเชือกกลับไป
เอ้ออวิ๋นเพียงส่งเสียงฮึคราหนึ่ง ไม่ได้ตอบอันใด
เซียวฉียิ้มเย็นกล่าว “ดูท่าจะเป็นจิ้งจอกเฒ่าสินะ!”
เสิ่นเฉียนเองก็รู้สึกว่าคนที่นัดพบนั่นคงไม่มาแล้ว นางทอดถอนใจพลางปีนขึ้นไปด้านบนอย่างเบามือเบาเท้า
เวลานี้เซียวฉีหมดความอดทนแล้ว เขาตบโต๊ะพลางออกคำสั่งเสียงดัง “ปิดหอเฟยเยวี่ยซะ คนในหอนี้ทุกคนล้วนห้ามปล่อยออกไป ตรวจสอบให้ละเอียด!”
เสิ่นเฉียนลอบกล่าวในใจว่าแย่แล้ว นางรีบปีนลงไปด้านล่าง
องครักษ์กวงหมิงสองสามนายขานรับแล้วออกไป เซียวฉีเดินมาข้างหน้าต่าง ยื่นศีรษะออกไปมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นอะไรก็มองลงไปข้างล่าง กลับเห็นเงาดำกำลังมุ่งหน้าไปทางทะเลสาบ ในดวงตาเขาวาบประกาย ตวาดว่า “ที่แท้ซ่อนอยู่นอกหน้าต่าง เอาธนูมา!”
เสิ่นเฉียนได้ยินเขาตวาดเช่นนี้ก็รู้ว่าร่องรอยตนถูกเปิดเผยแล้ว นางรีบลงน้ำแล้วว่ายไปเบื้องหน้าสุดชีวิต ว่ายไปได้ไม่เท่าไรได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิวดังมาจากด้านหลัง ธนูดอกหนึ่งแหวกผ่านอากาศเข้ามา กรีดผ่านคลื่นน้ำพุ่งตรงเข้าที่ไหล่นาง โชคดีที่ถูกแรงลอยตัวของน้ำขวางไว้เล็กน้อย มันจึงปักเข้ามาไม่ลึก
เซียวฉียิงธนูออกไปหนึ่งดอกก็พลันโบกแขน “ตาม!”
องครักษ์กวงหมิงสองสามนายกระโดดลงจากหน้าต่าง พุ่งลงทะเลสาบไล่ตามเสิ่นเฉียนไปอย่างรวดเร็ว องครักษ์กวงหมิงที่ซุ่มอยู่รอบหอเฟยเยวี่ยก็เคลื่อนไหวเต็มกำลังเช่นกัน เร่งม้าเลียบตามเส้นทางรอบๆ ทะเลสาบไปโอบล้อมไว้
เสิ่นเฉียนอดทนต่อความเจ็บว่ายไปถึงริมฝั่ง ก่อนปีนขึ้นฝั่งทั้งเปียกๆ เช่นนั้น แล้วพุ่งเข้าใส่องครักษ์กวงหมิงนายหนึ่งที่มาถึงก่อน ดึงเขาลงมาจากม้า ส่วนตนเองพลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วลงแส้อย่างแรงพุ่งไปด้านหน้า
องครักษ์กวงหมิงด้านหลังติดตามไม่ลดละ เพราะได้รับคำสั่งให้จับเป็นจึงไม่กล้ายิงธนูใส่ เสิ่นเฉียนขี่ม้าห้อทะยานรวดเร็วจนสลัดหนีองครักษ์กวงหมิงได้ช่วงใหญ่
เมื่อผ่านถนนเปลี่ยวสายหนึ่ง ฝั่งซ้ายเบื้องหน้าก็ปรากฏแสงไฟรางๆ เป็นสนามฝึกตะวันตกที่อยู่ตีนเขาฝูหลวนในฝั่งตะวันตกของเมือง
เสิ่นเฉียนใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนชักม้าควบทะยานไปทางสนามฝึก
ครึ่งชั่วยามกว่าให้หลัง เซียวฉีเร่งม้ามาถึงหน้าสนามฝึกตะวันตก
เขาจับจ้องกระโจมค่ายแถบใหญ่เบื้องหน้าที่ตั้งตามแนวตีนเขาของเขาฝูหลวน เอ่ยถามองครักษ์กวงหมิงข้างกาย “แน่ใจนะว่าคนเข้าไปในค่ายชั่วคราวของทัพเขตเหนือ”
องครักษ์กวงหมิงพิทักษ์เมืองนายหนึ่งพยักหน้า “เห็นเขาไปทางนี้แน่ๆ ขอรับ เพียงแต่ตอนพวกเราไล่ตามไป คนก็หายไปแล้ว” เขาลังเลเล็กน้อย กล่าวอีกว่า “ไม่เห็นกับตาว่าเข้าไปในค่ายหรือไม่ขอรับ”
เซียวฉีเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “ช่างเถิด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้าไปค้นดูสักหน่อย เรื่องนี้สำคัญยิ่ง เซี่ยจิ่นน่าจะยังไว้หน้าข้าบ้าง”
เขานำคนเดินไปที่ปากประตูสนามฝึก เอ่ยบอกสถานการณ์กับทหารเฝ้าประตูอย่างชัดเจน ทั้งแสดงป้ายทองพระราชทานของรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์กวงหมิง ทหารเฝ้าประตูจึงได้แต่ปล่อยคนเข้าไป เอ่ยว่า “คืนนี้แม่ทัพเซี่ยอยู่ในค่ายพอดี ข้าจะให้คนไปรายงาน”
เซียวฉีพยักหน้า “แม่ทัพเซี่ยก็อยู่หรือ เช่นนั้นดียิ่ง เดี๋ยวข้าไปหาเขาเอง”
กระโจมกลางของเซี่ยจิ่นตั้งอยู่ท่ามกลางกระโจมเล็กใหญ่มากมายในพื้นที่สูงต่ำลดหลั่นกันตรงตีนเขา ผ่านสนามฝึกกว้างไปแล้วเดินเลียบไปตามแนวเขาอีกช่วงหนึ่งก็คือค่ายชั่วคราวของทัพเขตเหนือ
เวลานี้การฝึกตอนเย็นสิ้นสุดแล้ว ในค่ายเงียบสงบ พลทหารล้วนอยู่ในกระโจมของตน ด้านนอกมีเพียงทหารถือดาบลาดตระเวนไปมาไม่กี่นายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เซียวฉีมาถึงหน้ากระโจมกลาง ทหารที่ได้รับข่าวก่อนหน้าแล้วเห็นเขามาถึงก็เลิกม่านกระโจมขึ้นสูง
เขาก้าวเข้าไปในกระโจม เซี่ยจิ่นซึ่งนั่งวาดแผนที่อยู่รีบลุกขึ้นมา
เซียวฉีประสานหมัดคารวะ “ข้าขอคารวะแม่ทัพเซี่ย” เขากล่าวพลางตวัดสายตามอง เซี่ยจิ่นสวมเพียงเสื้อคลุมสีขาวตัวเดียว ผมแม้มัดอยู่แต่เส้นผมหลุดลุ่ย บนแก้มยังมีสีแดงที่ยังไม่จางหาย จึงรีบเอ่ยว่า “รบกวนเวลาพักของท่านแม่ทัพแล้ว ขออภัยอย่างยิ่ง”
“ไม่เป็นไร” เซี่ยจิ่นตอบรับ ยิ้มน้อยๆ กล่าว “ใต้เท้าเซียวไม่ต้องเกรงใจ ข้ารู้เรื่องจากทหารเฝ้าประตูแล้ว หากไม่รังเกียจใต้เท้าเซียวก็พักอยู่ในกระโจมข้าสักหน่อย ให้ผู้ติดตามไปค้นหาก็พอ” กล่าวจบก็กำชับฉีหมิงเยวี่ยที่อยู่ข้างกาย “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้ทุกคนออกมาจากกระโจมให้หมด ให้ความร่วมมือการตรวจค้นขององครักษ์กวงหมิง ห้ามละเว้นทุกกระโจม ทุกเรื่องให้ทำตามที่องครักษ์กวงหมิงสั่ง มิเช่นนั้นจะถือว่ามีความผิด!”
ฉีหมิงเยวี่ยรับคำสั่งแล้วจากไป เซียวฉีรีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณแม่ทัพเซี่ยที่ให้ความร่วมมือ”
เซี่ยจิ่นเชิญเซียวฉีนั่งลงแล้วสั่งให้คนยกชาเข้ามา ยิ้มกล่าว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ถึงกับต้องรบกวนใต้เท้าเซียวเชียวรึ”
เซียวฉีถอนหายใจคราหนึ่ง มองซ้ายมองขวาเห็นไม่มีใครก็โน้มตัวลงมา เอ่ยเสียงเบาข้างหูเซี่ยจิ่น “ไม่กี่วันก่อนกรมทหารพบว่าเอกสารสำคัญหายไปสองสามฉบับ ไม่ปิดบังแม่ทัพเซี่ย เป็นแผนที่จัดวางกำลังป้องกันของด่านจี้อวิ๋นที่แนวหน้าเขตตะวันตก”
เซี่ยจิ่นตกใจ “ใครใจกล้าถึงเพียงนี้”
เซียวฉีส่งเสียงชู่คราหนึ่ง “แม่ทัพเซี่ยเบาเสียงหน่อย! เรื่องนี้จะหลุดออกไปภายนอกไม่ได้เด็ดขาด”
เขาเอ่ยต่อ “ตอนนี้ข้ายังหาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ จึงได้แต่เพิ่มการสอดส่องรอบๆ เรือนพักทูต คืนก่อนพวกเราจับพิราบสื่อสารได้ตัวหนึ่งนอกเรือนพักทูต เป็นพิราบสื่อสารที่ทูตเอ้ออวิ๋นจากคณะส่งเจ้าสาวของซีเหลียงปล่อยออกมา บนจดหมายมีการนัดพบคนที่หอเฟยเยวี่ย พวกเราเดาว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นคนที่ขโมยแผนที่จัดวางกำลังป้องกันนี้”
เซี่ยจิ่นพยักหน้า “มากกว่าครึ่งคงไม่ผิด แผนที่จัดวางกำลังป้องกันของด่านจี้อวิ๋นเป็นสิ่งที่แคว้นซีเหลียงต้องการแน่นอน”
“ใช่หรือไม่เล่า” เซียวฉีเอ่ยรับ “เพียงแต่น่าเสียดาย คนมาหอเฟยเยวี่ยแล้ว พวกเรากลับจับไม่ได้ คนผู้นี้ปราดเปรียวยิ่ง”
เซี่ยจิ่นรินชาให้เขาพลางกล่าวปลอบ “ลำบากใต้เท้าเซียวแล้ว ท่านรออย่างวางใจเถอะ พื้นที่ของข้าติดแนวเขา ทั้งไม่อาจปิดเขาทั้งลูกได้ ยากจะบอกได้จริงๆ ว่ามีคนลอบเข้ามาหรือไม่”
เซียวฉียิ้มขื่น “แม่ทัพเซี่ยไม่ต้องกังวล ข้าได้ส่งคนหน่วยหนึ่งไปค้นที่หลังเขาแล้ว”
เซี่ยจิ่นเอ่ยชม “ใต้เท้าเซียวกระทำการรอบคอบ อยากให้ข้าส่งคนไปช่วยหรือไม่”
“เช่นนั้นก็ขอรบกวนท่านแม่ทัพแล้ว” เซียวฉีรีบกล่าว
เซี่ยจิ่นจึงเรียกคนเข้ามาอีกครั้ง หลังสั่งความรอบหนึ่งก็มาสนทนากับเซียวฉีต่อ
ทั้งสองพูดคุยเรื่อยเปื่อยอยู่ในกระโจม ดื่มน้ำชาไปสองกาเต็มๆ แล้ว จากนั้นองครักษ์กวงหมิงก็เข้ามารายงาน กล่าวว่าไม่พบคนน่าสงสัย
เซี่ยจิ่นเอ่ยถาม “ดูบนร่างทุกคนแล้วหรือ ทุกกระโจมล้วนค้นหมดแล้ว?”
องครักษ์กวงหมิงผู้นั้นกล่าว “ล้วนดูหมดแล้วขอรับ ทั้งไม่มีใครมีแผลที่เพิ่งถูกธนูยิงบนไหล่ กระโจมในค่ายก็ค้นจนทั่วแล้ว เหลือเพียง…” พูดพลางเหลือบมองม่านกระโจมชั้นในของกระโจมใหญ่นี้ของเซี่ยจิ่น ความนัยในคำพูดคือเหลือเพียงกระโจมชั้นในของกระโจมกลางนี้ที่ยังไม่ได้ค้น
สีหน้าของเซี่ยจิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลุกขึ้นยิ้มกล่าว “ในเมื่อค้นจนหมดแล้ว ใต้เท้าเซียวคิดว่าองครักษ์กวงหมิงจะถอนตัวกลับไปได้หรือยัง”
องครักษ์กวงหมิงผู้นั้นมองเซียวฉีคราหนึ่ง เซียวฉีเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเมื่อครู่ของเซี่ยจิ่นอยู่ก่อนแล้ว เขาส่งสายตาไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชา แล้วยิ้มพลางลุกขึ้นยืนเช่นกัน
องครักษ์กวงหมิงนายนั้นพุ่งตัวไปหน้ากระโจมชั้นใน ขณะจะยื่นมือไปเลิกม่านก็พลันตาลาย เงาร่างคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาขวางเบื้องหน้า ทั้งยังคว้าแขนที่ยื่นออกไปของเขาไว้
ชั่วขณะหนึ่งบรรยากาศในกระโจมเปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันควัน
เซี่ยจิ่นสีหน้าเคร่งขรึม แววตาเย็นเยียบ เอ่ยเย็นชาว่า “อะไรกัน องครักษ์กวงหมิงไม่มีมารยาทเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร กระโจมชั้นในคือที่พักของข้า หรือพวกเจ้าจะสงสัยข้าด้วย” ว่าพลางเปิดเสื้อของตนออก เผยลาดไหล่เกลี้ยงเกลาครู่หนึ่งก่อนปิดสาบเสื้อกลับไป
เซียวฉีแสร้งกระแอมคราหนึ่ง ใบหน้าเปื้อนยิ้มกล่าว “แม่ทัพเซี่ยเข้าใจผิดแล้ว วันนี้ขอบคุณในความร่วมมือของท่านมาก แต่ยังคงขอให้ร่วมมือจนถึงที่สุด กระโจมชั้นในของท่านนี้พวกเราได้ดูสักหน่อยก็กลับไปรายงานได้แล้วไม่ใช่หรือ”
สีหน้าเซี่ยจิ่นคล้ำเขียว ปล่อยแขนขององครักษ์กวงหมิงผู้นั้นแล้วเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ใต้เท้าเซียวอยากดูจริงหรือ”
เซียวฉีจ้องมองเขา พยักหน้าช้าๆ
เซี่ยจิ่นส่งเสียงหยัน เปิดม่านเป็นร่องเล็กน้อยด้วยตนเอง เอ่ยว่า “ข้างในคือภรรยาข้า ใต้เท้าเซียวอยากเข้าไปพิสูจน์ฐานะแท้จริงหรือไม่”
เซียวฉีเดินไปหน้าม่านชั้นในและมองผ่านร่องม่านเข้าไป เห็นเพียงบนเตียงข้างในมีหญิงผู้หนึ่งปล่อยผมยาวสยายกำลังนอนอยู่ นางคล้ายหลับลึกมาก แขนเปลือยเปล่าข้างหนึ่งเผยออกมานอกผ้าห่ม กระทั่งหัวไหล่กลมมนครึ่งหนึ่งก็ถูกผมดำปกคลุมเลือนราง
ในใจเซียวฉีสะดุ้งตกใจ ขณะกำลังถอยออกมา องครักษ์กวงหมิงผู้นั้นทางด้านหลังก็ยื่นหัวเข้ามา เซียวฉีกดเขาไปอีกด้าน ตวาดว่า “เจ้าคนไม่รู้ดีชั่ว นี่ใช่สิ่งที่เจ้ามองได้หรือ!”
เขาด่าว่าจบแล้วก็ประสานมือคารวะเซี่ยจิ่นพลางยิ้มกล่าว “ล่วงเกินแล้วๆ ข้าน้อยเลินเล่อ ไม่รู้ว่าแม่ทัพเสิ่นอยู่ที่นี่ ขอแม่ทัพเซี่ยโปรดอภัย!”
เซี่ยจิ่นปล่อยม่านลง เพียงยิ้มบางๆ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะเบื้องหน้า หยิบพู่กันหู ที่วางอยู่ข้างจานฝนหมึกขึ้นมา นัยส่งแขกชัดแจ้ง
เซียวฉีรีบเอ่ยคำพูดดีๆ อีกสองสามประโยคก่อนกล่าวอำลาเซี่ยจิ่นแล้วจากมา
องครักษ์กวงหมิงผู้นั้นตามอยู่ด้านหลังเซียวฉี เดินไปพลางถามไปด้วย “ใต้เท้าเซียว ข้างในเป็นแม่ทัพเสิ่นจริงหรือขอรับ”
เซียวฉีกล่าว “ไม่ใช่นางแล้วจะเป็นใคร เพิ่งแต่งงานกัน เซี่ยจิ่นยังไม่มีความกล้าพอจะพาหญิงอื่นมาในค่ายทหารหรอก”
องครักษ์กวงหมิงยิ้มกล่าว “ไม่ใช่บอกว่าแต่ไรมาแม่ทัพเซี่ยกับแม่ทัพเสิ่นไม่ถูกกันหรือขอรับ ดูเช่นนี้สองคนนี้กลับเป็นข้าวใหม่ปลามัน แยกกันไม่ได้แม้แต่เค่อเดียว”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร” เซียวฉีสาวเท้าก้าวไปเบื้องหน้า “เรื่องอื่นอาจไม่ถูกกัน ไม่ได้หมายความว่าเรื่องบนเตียงจะไม่ถูกกันนี่ เจ้าไม่เห็นชุดที่แม่ทัพเซี่ยสวมหรือ ยังไม่พ้นยามซวีก็สวมชุดนอนแล้ว”
องครักษ์กวงหมิงผู้นั้นเผยสีหน้ากระจ่างแจ้ง หัวเราะกล่าวอย่างเจตนาไม่ดี “ไม่แน่ก่อนพวกเรามาถึง เขาสองคนอาจจะกำลัง…ไม่คิดว่าวันนี้ต้องมาพบเจอเรื่องพรรค์นี้ โอ๊ะ แย่จริง นี่หากเป็นพวกเราไปขัดขวางเรื่องดีของแม่ทัพเซี่ยเข้าแล้วจริงๆ ใต้เท้า ท่านว่าแม่ทัพเซี่ยผู้นี้จะเก็บแค้นไว้ในใจหรือไม่ขอรับ”
เซียวฉีหัวเราะหึ เอ่ยไล่ไปคำหนึ่ง “ไสหัวไป!”
เซี่ยจิ่นที่อยู่ในกระโจมได้ยินเสียงคนห่างออกไปแล้วก็ออกไปไล่ทหารยามให้จากไป เมื่อปิดม่านกระโจมดีแล้วจึงเข้าไปในกระโจมชั้นใน
เขาเดินไปถึงหน้าเตียง ปัดผมดำที่สยายบนไหล่คนบนเตียงออก เผยบาดแผลที่ปิดอยู่ใต้เส้นผม ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจกล่าว “เจ้ามีใครสาปแช่งมาหรือไร ไม่ใช่ยามทำศึกแท้ๆ เหตุใดถึงบาดเจ็บไม่ได้หยุด”
เสิ่นเฉียนหัวเราะเบาๆ จากในผ้าห่ม นางพลิกตัวขึ้นนั่งพลางเอาผ้าห่มห่อตัวไว้ กล่าวว่า “เอาเสื้อผ้ามาให้สวมหน่อย”
เซี่ยจิ่นหยิบชุดตัวกลางของตนมาชุดหนึ่งแล้วคลุมให้นางจากด้านหลัง
เสิ่นเฉียนสวมเสื้อผ้าดีแล้วก็หันกลับไปถาม “เขาเห็นหัวไหล่ข้าหรือไม่”
เซี่ยจิ่นมุมปากกระตุก “เห็นแล้ว น่าจะไม่สงสัยเจ้าอีก เจ้าสามารถล้างข้อสงสัยได้แล้ว”
“ขอบคุณมาก” เสิ่นเฉียนเม้มปากยิ้ม “มีของกินหรือไม่”
“ตอนนี้ไม่มี” เซี่ยจิ่นกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “บอกความจริงมาถึงจะมีให้กิน”
เสิ่นเฉียนกลอกตาใส่เขา “ไม่กินก็ไม่กิน ไม่ใช่ว่าไม่เคยหิวเสียหน่อย”
เซี่ยจิ่นหงุดหงิดในใจอยู่บ้าง ลุกขึ้นเหลือบมองนางพลางกล่าว “คิดจะไม่พูดใช่หรือไม่ เซียวฉีน่าจะยังไปไม่ไกล…”
เสิ่นเฉียนถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้าย “เจ้ากล้าหรือ”
เซี่ยจิ่นหัวเราะคราหนึ่ง “ลองดูหรือไม่เล่า”
“เจ้าไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะ เรียกเซียวฉีกลับมาไม่ใช่ทำให้เจ้ามีความผิดฐานซุกซ่อนคนร้ายหรือ” ใบหน้างามของเสิ่นเฉียนเคร่งขรึม แต่ดวงตากลับกะพริบปริบๆ
“เจ้าก็รู้หรือว่าตนเองเป็นคนร้าย” เซี่ยจิ่นส่ายหน้าถอนหายใจ “ข้าก็ไม่ได้ขอให้เจ้าซาบซึ้งรู้คุณ แค่พูดความจริงสักหน่อย มันมีอะไรยากหรือ”
เวลานี้ฉีหมิงเยวี่ยเอ่ยเรียกเสียงดังจากนอกกระโจม “ท่านแม่ทัพ”
เซี่ยจิ่นออกไปจากกระโจมชั้นใน เดินไปนั่งหน้าโต๊ะทำงาน “เข้ามา”
ฉีหมิงเยวี่ยนำกล่องอาหารใบหนึ่งเข้ามาแล้ว
เซี่ยจิ่นเอ่ยถามเขา “ตรงม้าจัดการเรียบร้อยหรือยัง”
ฉีหมิงเยวี่ยพยักหน้าน้อยๆ
เซี่ยจิ่นกล่าว “เจ้าไปเถอะ กลับจวนไปบอกพ่อกับแม่ข้าสักหน่อย และให้สาวใช้นำเสื้อผ้าของฮูหยินมาด้วยสองชุด ถ้าเจอคนที่ตรวจการห้ามออกจากบ้านยามวิกาล รู้ใช่หรือไม่ว่าต้องพูดอย่างไร”
ฉีหมิงเยวี่ยยิ้มกล่าว “รู้ขอรับ”
เซี่ยจิ่นถือกล่องอาหารแล้วเลิกม่านเดินเข้าไปในกระโจมชั้นใน เขาวางไว้บนโต๊ะเตี้ยตรงมุม ค่อยๆ เปิดกล่องอาหาร รอจนกลิ่นหอมของอาหารอบอวลทั่วกระโจมแล้วถึงค่อยยิ้มถาม “อยากกินหรือไม่”
เสิ่นเฉียนหาปิ่นปักผมที่วางไว้ข้างหมอนไม่เจอชั่วขณะ จึงลงจากเตียงเดินตรงเข้ามา เซี่ยจิ่นกำลังจัดวางจาน นึกว่านางจะมาแย่งอาหารก็รีบยื่นแขนขวางไว้ ไหนเลยจะรู้ว่าเสิ่นเฉียนไม่มองอาหารสักแวบเดียว หยิบตะเกียบบนโต๊ะไปข้างหนึ่งก็เดินไปแล้ว
“จิตใจเข้มแข็งยิ่งนัก!” เซี่ยจิ่นชมคราหนึ่ง เอียงหัวไปมองนาง เห็นขายาวสองข้างที่สอดเข้าไปในผ้าห่มของนางพอดี
ลูกกระเดือกเซี่ยจิ่นขยับ เขาย้ายสายตาไปทางอื่น
เสิ่นเฉียนม้วนผมสองสามรอบแล้วเสียบตะเกียบยึดไว้ก่อนเอ่ยถามเขา “เสื้อผ้าข้าเล่า ตอนนี้น่าจะแห้งแล้วกระมัง ไม่แห้งก็เอามาอบสักหน่อย”
“ข้าเผาทิ้งไปแล้ว” เซี่ยจิ่นพูดพลางตักโจ๊กไปด้วย
โจ๊กนี้เป็นพ่อครัวทหารในค่ายเร่งเปิดเตาเล็กต้มออกมา ทั้งหอมทั้งข้น และยังร้อนมาก เซี่ยจิ่นวางบนโต๊ะให้เย็นลงแล้วหยิบล่วมยามานั่งข้างเตียง ยิ้มกล่าว “คราวนี้พันได้แล้ว”
บทที่ 6 หนาวสะท้าน
เสิ่นเฉียนนั่งตัวตรง เซี่ยจิ่นดึงเสื้อลงมาจากไหล่นาง จดจ่อทำแผลให้นาง ไม่ทันไรผ้าพันแผลก็แนบมาแล้ว แขนของนางถูกคนข้างหลังยกขึ้นจากในเสื้อ พันผ้าพันแผลอ้อมใต้วงแขนแล้วผูกไว้อย่างดีด้านหลังเบาๆ
มือเขาไม่ได้จากไป ลูบแผลเก่าอื่นๆ บนหลังนางเบาๆ บาดแผลเหล่านั้นไม่มีความรู้สึกเจ็บมานานแล้ว ยามนี้ถูกฝ่ามือข้างนั้นเคลื่อนผ่านลูบไล้ ลูบจนเกิดความรู้สึกสั่นไหวและอ่อนระทวยเรื่อยๆ
“เจ็บหรือไม่” เสียงของเซี่ยจิ่นเจือแววกดข่มรางๆ
“เจ็บสิ เหตุใดจะไม่เจ็บ” เสิ่นเฉียนเป่าลูกผมที่ปรกหน้าผาก เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“รู้จักเจ็บก็ก่อเรื่องให้น้อยลงหน่อย” เซี่ยจิ่นเอ่ยดุ จับแขนนางใส่กลับไปในเสื้อแล้วปิดสาบเสื้อให้ดี
เสิ่นเฉียนผูกเชือกที่เอวพลางเอ่ยเรื่อยเปื่อย “ทนๆ เอาก็ผ่านไปแล้ว ตอนเด็กเคยมีภิกษุรูปหนึ่งทำนายชะตาข้า บอกว่าจะอยู่ได้ไม่ถึงสี่สิบปี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ฉวยโอกาสตอนยังมีชีวิตอยู่ทำเรื่องให้เยอะๆ เล่า ไม่เช่นนั้นก็ขาดทุนแย่สิ”
นางกล่าวจบไม่ได้ยินเสียงจากด้านหลังจึงหันกลับมามอง เซี่ยจิ่นมีสีหน้าสงสัย คล้ายกำลังแยกแยะจริงเท็จในคำพูดนาง
“จริงหรือ” เขาถาม
“แน่นอนว่าโกหก!” เสิ่นเฉียนหัวเราะฮ่าๆ ยื่นมือไปตบหน้าเขาเบาๆ “ตอนหลังภิกษุรูปนั้นบอกว่าถ้าแม่ข้ามอบเงินให้อีกห้าสิบตำลึง เขาจะทำพิธีเปลี่ยนชะตาให้ข้า รับรองว่าข้าจะอยู่ได้ถึงเจ็ดสิบแปดสิบปี ผลคือถูกแม่ข้าไล่ออกไป!”
เซี่ยจิ่นกัดฟันปัดมือนางออก “พูดน้อยลงสักสองประโยคข้าก็ไม่มองเจ้าว่าเป็นใบ้หรอก” เขากล่าวต่อว่า “โจ๊กน่าจะเย็นแล้ว ข้าไปยกมานะ”
เสิ่นเฉียนหันหน้าหนี “ข้าไม่กิน”
เซี่ยจิ่นจ้องนางอยู่ครู่ใหญ่แล้วลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบโจ๊กบนโต๊ะแล้วถือประคองเข้ามา ส่งไปตรงหน้านาง “ไม่พูดก็ไม่พูด กินเองได้กระมัง”
เสิ่นเฉียนยื่นแขนซ้ายไปรับชามโจ๊กมา เพราะกระเทือนแผลจึงอดไม่อยู่ส่งเสียงซี้ดออกมา นางพลันส่งยิ้มงามให้เขา “แม่ทัพเซี่ยป้อนข้านะ”
เซี่ยจิ่นเดินจากไป “ฝันไปเถอะ”
เสิ่นเฉียนงึมงำ “เรื่องดีต้องทำให้ถึงที่สุดสิ”
นางใช้มือขวาถือช้อน ตักขึ้นมาช้อนหนึ่งส่งเข้าปาก โจ๊กอุ่นกำลังดี ตรงกับความเคยชินของนาง
นางกินไปได้ไม่กี่คำก็หันไปมองเซี่ยจิ่น
เซี่ยจิ่นกำลังเก็บล่วมยา ศีรษะก้มลงเล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เซี่ยจิ่น เจ้าสังเกตหรือไม่” จู่ๆ เสิ่นเฉียนก็เอ่ยอย่างจริงจัง “อันที่จริงเจ้าดีต่อข้ามาก”
เซี่ยจิ่นเงยหน้ามองนาง เพียงส่งเสียงฮึคราหนึ่ง
“จริงๆ นะ ข้าสังเกตเห็นมานานแล้ว” เสิ่นเฉียนเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “น่าจะเป็นเพราะถ้าขาดข้าผู้นี้ที่คอยแข่งเอาชนะคะคานกับเจ้า แย่งนั่นแย่งนี่กับเจ้า ยั่วโมโหเจ้า ชีวิตเจ้าจะน่าเบื่อมากน่ะสิ ทั้งยังจะเหงามากด้วย ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะไม่ชอบข้าเพียงใด แต่ก็ยังคงปกป้องข้า ตามใจข้า”
เซี่ยจิ่นใจสั่นสะท้าน เขาปิดล่วมยา สายตาซับซ้อนมองมาที่นาง
ร่างกายครึ่งล่างของเสิ่นเฉียนซุกอยู่ในผ้าห่ม ผ้าผืนหนึ่งวางอยู่บนขานาง มือข้างหนึ่งถือชามโจ๊ก อีกข้างถือช้อนคนเบาๆ ในชาม สีหน้านุ่มนวล ในดวงตาที่มองดูเขามีเปลวเทียนเล็กๆ สองดวงส่องสว่างดึงดูดสายตา เสียดายก็แต่ตะเกียบข้างหนึ่งซึ่งเสียบบนมวยผมที่ดูขัดตาไปสักหน่อย
สายตาเซี่ยจิ่นหยุดอยู่ที่ตะเกียบข้างนั้นครู่หนึ่งก่อนย้ายออกไปอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“เจ้าไม่สังเกตเลยกระมัง” เสิ่นเฉียนก้มหน้ากินโจ๊กต่อ กลืนเสร็จคำหนึ่งค่อยเอ่ยต่อ “เจ้าจำได้หรือไม่ ฤดูใบไม้ร่วงปีหงอู่ที่ยี่สิบแปด พวกเราได้พบหน้ากันที่เขาเหมิงจย่า เจ้าไม่เห็นด้วยที่ข้าจะนำกองทหารม้าไปบุกจู่โจมกะทันหัน บอกว่าเสี่ยงเกินไป สุดท้ายทะเลาะกันใหญ่โต เจ้าโมโหพาคนจากไป ภายหลังการบุกจู่โจมกะทันหันของข้าประสบผลสำเร็จ ปากเจ้าพูดเพียงว่าโชคดี แต่อันที่จริง…”
นางหยุดไม่ได้เอ่ย มองเซี่ยจิ่นยิ้มๆ
เซี่ยจิ่นทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง ปากแข็งกล่าว “ไม่ใช่โชคดีแล้วจะเป็นอะไร”
“เจ้าพาคนตามอยู่ด้านหลังด้วยตนเอง ข้ารู้ ดังนั้นถึงได้คิดถึงแต่ชัยชนะ มุ่งหน้าไปอย่างไร้ความกลัวเกรง ไม่มีความห่วงกังวลใดๆ” เสิ่นเฉียนเอ่ยเสียงเบา สบมองดวงตาเขา “ยังมีเรื่องในวันนี้…”
เซี่ยจิ่นเพียงกระแอมเบาๆ คราหนึ่งไม่เอ่ยอะไร
เสิ่นเฉียนหลุบตาลง “เรื่องพวกนี้ข้าล้วนรู้ชัด ในใจซาบซึ้งเจ้ามาก ไม่ใช่ข้าไม่ยอมพูด แต่เพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอเมื่อถึงเวลาเหมาะสมข้าจะบอกเรื่องที่ควรบอกกับเจ้าทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง”
เซี่ยจิ่นมองนางกินโจ๊กชามนั้นเสร็จเงียบๆ ถึงค่อยส่งชาถ้วยหนึ่งให้ รอนางดื่มแล้วจึงถือชามกับถ้วยชาเปล่าออกไป เอ่ยเรียบๆ “กินอิ่มแล้วก็นอนซะ พรุ่งนี้พวกเรายังต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้า”
เขาพูดพลางยื่นมือไปดึงตะเกียบขัดตาข้างนั้นออก แล้วลูบผมยุ่งที่สยายลงมาของนางเบาๆ
เสิ่นเฉียนถอนหายใจอย่างพึงพอใจ ซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม สองมือจับขอบผ้าห่ม ยิ้มกล่าวตาเป็นประกาย “เรื่องราวไม่อาจคาดเดาจริงๆ คืนนี้ยังคงต้องนอนเตียงเดียวกับเจ้าเสียได้”
เซี่ยจิ่นเอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “เป็นเจ้าที่มาด้วยตนเอง ข้าหลบแล้วก็ยังหลบไม่พ้น”
“ใช่ๆๆ” เวลานี้เสิ่นเฉียนอารมณ์ดียิ่ง เอ่ยคล้อยตามเขา “เป็นข้าที่มาเอง เจ้านอนแล้วห้ามเตะข้านะ!”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ธันวาคม 2567)
Comments
comments
No tags for this post.